Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่ 2

บทที่ 2

Published by surachat.s, 2020-04-21 05:36:31

Description: บทที่ 2

Search

Read the Text Version

16 บทที่ 2 ปจั จัยทีม่ ีความสาคัญตอ่ สุขภาพ แนวคิด สุขภาพเป็นเร่อื งทส่ี าคัญสาหรับบคุ คล สขุ ภาพจะเน้นความสุขซึง่ มีความหมายทางบวก มีผ้ใู ห้ คาจากัดความไว้มากมาย แต่ความหมายที่ได้รบั การยอมรับว่าครอบคลมุ และชัดเจนคือคาจากดั ความของ องค์การอนามยั โลก โดยได้ให้ความหมายของ สขุ ภาพคือ สภาวะของความสมบรู ณ์ของร่างกาย จิตใจ รวมทงั้ การดารงชีวติ อยูใ่ นสังคมด้วยดี มิไดห้ มายถงึ เพยี งความปราศจากโรค หรอื ปราศจากความทุพพลภาพน้นั สุขภาพเป็นสทิ ธขิ ั้นพ้ืนฐานของมนษุ ยชน การปรับปรุงส่งเสรมิ หรือดารงสขุ ภาพกเ็ ปน็ หน้าท่แี ละความ รบั ผิดชอบของบุคคลทีพ่ ึงมีต่อตนเอง การจะมภี าวะสขุ ภาพท่ีพงึ ปรารถนาน้ัน บุคคลจะต้องมีแนวคิดที่ ถูกต้องและเป็นระบบในเรื่องสุขภาพ เนอื้ หา ปัจจัยทม่ี คี วามสาคญั ตอ่ สุขภาพ แบ่งเปน็ 3 ปจั จัย 1. ปัจจยั ภายใน (Internal Factors) 1.1 พนั ธุกรรม (Genetic) 1.2 เชื้อชาติ (Race) 1.3 อายุ (Age) 1.4 เพศ (Sex) 1.5 พฤติกรรมสุขภาพ (Health Behaviors) 1.6 สขุ ภาพจติ (Mental Health) 2. ปจั จยั ภายนอก (External Factors) 2.1 สภาพภูมิศาสตรแ์ ละสภาพภูมอิ ากาศ 2.2 น้า 2.3 เสยี ง 2.4 สิ่งปฏิกูลและขยะมูลฝอย 2.5 ระบบเศรษฐกิจและการประกอบอาชีพ 2.6 การเปล่ยี นแปลงดา้ นประชากร 2.7 การศึกษา 2.8 การเปลีย่ นแปลงดา้ นเทคโนโลยีสารสนเทศ 3. ระบบบรกิ ารสุขภาพ (Health Service System)

17 วัตถปุ ระสงค์ 1. นสิ ติ สามารถอธิบายปจั จยั ภายในทม่ี คี วามสาคัญต่อสุขภาพ ได้แก่ พนั ธุกรรม เช้อื ชาติ อายุ เพศ พฤตกิ รรมสุขภาพ สุขภาพจิต ได้ถกู ต้อง 2. นสิ ิตสามารถอธิบายปจั จยั ภายนอกที่มคี วามสาคัญตอ่ สุขภาพ ได้แก่ สภาพภูมศิ าสตร์และสภาพ ภูมิอากาศ น้า เสยี ง สง่ิ ปฏิกลู และขยะมูลฝอย ระบบเศรษฐกจิ และการประกอบอาชีพ การเปล่ียนแปลงดา้ น ประชากร การศึกษา และการเปลย่ี นแปลงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศได้ถกู ต้อง 3. นิสิตสามารถอธิบายระบบบรกิ ารสุขภาพที่มคี วามสาคญั ต่อสุขภาพไดถ้ ูกต้อง กิจกรรมระหว่างเรียน 1. การบรรยาย 2. กจิ กรรมการนาเสนอกลมุ่ 3. ให้นิสติ ซกั ถาม เน้อื หา ปัจจัยที่มคี วามสาคัญตอ่ สขุ ภาพ แบ่งเป็น 3 ปัจจยั คอื 1. ปจั จยั ภายใน (Internal Factors) 2. ปจั จัยภายนอก (External Factors) 3. ระบบบรกิ ารสขุ ภาพ (Health Service System) 1. ปจั จยั ภายใน (Internal Factors) เป็นปัจจัยด้านตัวบุคคล ซึ่งเป็นปัจจัยท่ีมีความสาคัญ บุคคลมีความสาคัญต่อการดูแลสุขภาพและ ส่งเสริมสุขภาพ การดูแลสุขภาพขึ้นอยู่กับทัศนคติ ความรู้ วิธีการปฏิบัติตัวของบุคคลซ่ึงบุคคลภายนอกหรือ เทคโนโลยีต่างๆ ไม่สามารถปฏิบัติแทนได้ เป็นเพียงให้การสนับสนุน เกื้อกูลเท่านั้น ปัจจัยด้านตัวบุคคลท่ี สาคญั ได้แก่ 1.1 พนั ธุกรรม (Genetic) 1.2 เช้อื ชาติ (Race) 1.3 อายุ (Age) 1.4 เพศ (Sex) 1.5 พฤตกิ รรมสขุ ภาพ (Health Behaviors) 1.6 สุขภาพจิต (Mental Health) 1.1 พันธกุ รรม (Genetic) ปัจจัยด้านน้ี บุคคลไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ส่ิงที่สาคัญสาหรับปัจจัยด้านน้ี คือ ยีน (Gene) ซึ่งเป็น การถ่ายทอดพันธกุ รรม ดว้ ยวิธีการสืบพันธ์ บดิ า มารดา จะถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมให้แก่ บุตร หลาน โดยลักษณะการถ่ายทอดน้ัน จะกาหนดโครงสร้างของร่างกายมนุษย์ เช่น ความ สูง ต่า สีผิว (ขาว – ดา) ลักษณะเส้นผม (สีดา สีน้าตาล ผมหยิก ผมตรง) ลักษณะสีของตา (ฟ้า น้าตาล) ชนิดของหมู่เลือด (A, B, O, AB) และหมูเ่ ลอื ด Rh+, Rh- รวมถงึ ศกั ยภาพระดับสติปญั ญาทีม่ ผี ลต่อการเรียนรู้ของแต่ละบุคคล นอกจากส่ิง

18 ที่กล่าวมาแล้วนั้น การถ่ายทอดลักษณะท่ีผิดปกติของยีน ก็ถ่ายทอดสู่ บุตร หลานเช่นกัน เช่น การ เจริญเติบโตของสมองช้ากว่าปกติ ศีรษะล้าน โรคเบาหวาน โรคหัวใจบางชนิด โรคเลือด โรคโลหิตจางชนิด Sickle cell anemia โรคธาลสั ซีเมีย โรคมะเร็งบางชนดิ (ไพบลู ย์ โลส่ ุนทร, 2552) 1.2 เช้อื ชาติ (Race) เป็นปัจจัยหนึ่งที่สัมพันธ์กับสุขภาพ ทาให้มีโอกาสหรือแนวโน้มต่อการเจ็บป่วยบางชนิดได้ง่าย เช่น คนผิวดาจะมีความต้านทานต่อไข้มาเลเรีย ชนเชื้อชาติอเมริกันมีโอกาสเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดหัวใจได้ เป็นต้น 1.3 อายุ (Age) กลุ่มอายุที่แตกต่างกัน จะมีความสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคหรือเกิดความเจ็บป่วยแตกต่างกัน เช่น สาหรับในวัยทารกและวัยเด็ก ในวัยน้ีร่างกายอยู่ในระยะกาลังเจริญเติบโต และพัฒนาการของอวัยวะต่างๆ จงึ มคี วามออ่ นแอและมภี มู คิ ุม้ กันตา่ มโี อกาสเกดิ โรคไดง้ ่าย วยั นจี้ งึ เป็นวยั ทีต่ ้องไดร้ ับการเลี้ยงดูเอาใจใส่อย่าง ดี จงึ จะช่วยให้วัยน้ีเจริญเติบโตตามวัย มีสุขภาพที่แขง็ แรงสมบูรณ์ บคุ คลในวัยนี้มีความเสี่ยง ต่อการเกิดโรค หลายชนิด ยกตัวอย่างเช่น โรคหัด (Measles) เกิดจากเชื้อ Virus มักพบในเด็กอายุ 2-14 ปี โรคคางทูม (Mumps) เกิดจากเชื้อ Virus มักพบในเด็กอายุ 5-15 ปี สาหรับวัยรุ่น ระบบต่างๆ ภายในร่างกายของวัยรุ่นมีการเจริญอย่างสมบูรณ์ มีการสร้างฮอร์โมนใน ร่างกายเพ่ิมมากขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างและสรีระ บุคคลในวัยนี้มักไม่ค่อยเจ็บป่วยเพราะ รา่ งกายมคี วามสมบูรณ์แข็งแรง มภี ูมคิ ุ้มกนั ในร่างกาย แต่เน่ืองจากวัยนเ้ี ป็นวยั ที่คึกคะนอง อยากรอู้ ยากลอง โรคหรอื ความเจ็บปว่ ยท่เี กิดขึ้นจึงมักเกิดจากพฤติกรรมของตนเอง ยกตัวอยา่ งเช่น โรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (Sexual Transmitted Disease): โรคซฟิ ิลิส หนองใน โรคเอดส์ โรคทเ่ี กิดจากการสบู บหุ รี่ ดื่มสรุ า เป็นตน้ สาหรับในวัยกลางคนหรือวัยผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่จะเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง เช่น โรคเอส แอล อี (SLE: Systemic Lupus Erythrematosus) และเป็นโรคมะเรง็ เช่น มะเร็งรงั ไข่ มะเร็งปาก มดลูก มะเร็งลาไส้ มะเร็งปอด และโรคท่ีเกิดจากการสูบบุหร่ี ด่ืมสุรา เป็นต้น (พัชร นักบรรเลง, สุนีรัตน์ ภู่ เอีย่ ม และบงั อร สาลี, 2552) สาหรบั ในผู้สูงอายุ พบว่าเจ็บป่วยดว้ ยโรคระบบหวั ใจและหลอดเลอื ด ประมาณร้อยละ 50 เนอ่ื งจาก อายุท่ีเพ่ิมข้ึน จะมีการสะสมของคลอลาเจนในหัวใจ และหัวใจมีความยึดหยุ่นลดลง ลิ้นหัวใจของผู้สูงอายุ มักจะแข็ง เพราะเส่ือม มีไขมัน แคลเซียมไปเกาะ ส่งเสริมให้เกิดภาวะความเจ็บป่วยได้ง่าย นอกจากการ เปลี่ยนแปลงของโครงสร้างและสรีรวิทยาของระบบไหลเวียนโลหิตท่ีเกิดข้ึนตามธรรมชาติแล้วน้ั น ในคน สูงอายุยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทาให้เกิดความเส่ียงต่อการเกิดโรคของระบบหัวใจและหลอดเลือดได้อีก เช่น จาก การขาดฮอร์โมนในผ้สู ูงอายุหญิง โรคอ้วน นอกจากนแ้ี ลว้ ผ้สู ูงอายุยังพบความเส่ือมของความสามารถในการ รับรู้ส่ิงแวดล้อม เช่น สายตา หู ความจา ทาให้พบภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุได้ (ชัยวัฒน์ วามวรรัตน์ และ สมศกั ดิ์ ถน่ิ ขจี, 2548) 1.4 เพศ (Sex) โรคบางโรคมักเกิดกับเพศใดเพศหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น โรคที่พบบ่อยในเพศหญิง เช่น น่ิวในถุงน้าดี โรคของต่อมไทรอยด์ โรคกระดูกพรุน โรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์ โรคมะเร็งเต้านม สาหรับโรคที่พบบ่อยใน ชาย ไดแ้ ก่ โรคกระเพาะอาหาร ไสเ้ ล่ือน โรคทางเดนิ หายใจ โรครดิ สีดวงทวาร โรคมะเรง็ ตับ

19 1.5 พฤติกรรมสุขภาพ (Health Behaviors) พฤติกรรมสุขภาพ หมายถึง การกระทาหรือการปฏิบัติของบุคคลที่มีผลต่อสุขภาพซึ่งเป็นผลมาจาก การเรียนรู้ของบุคคลเป็นสาคัญ โดยแสดงออกให้เห็นได้ในด้านของการกระทา และการไม่กระทา จากการ ทบทวนวรรณกรรมต่างๆท่ีเกี่ยวข้องและเอกสารอ้างอิงต่างๆ พบว่า พฤติกรรมท่ีมีความสัมพันธ์กับสุขภาพ คือ พฤติกรรมการบริโภคอาหาร พฤติกรรมเส่ียงทางเพศ การออกกาลังกาย การดื่มสุราและการสูบบุหร่ี การขบั ถ่าย การนอนหลบั พักผอ่ น เป็นต้น 1.5.1 พฤตกิ รรมการบริโภคอาหาร พฤติกรรมการรับประทานอาหาร นิสัยการรับประทานอาหารเปน็ การถา่ ยทอดทางวฒั นธรรม ซึ่งแตกต่างกนั ไปตามลักษณะท้องถิน่ และความชอบของแต่ละคน พฤติกรรมการรับประทานมผี ลกระทบต่อ สขุ ภาพมาก บางคนรับประทานอาหารจบุ จบิ ชอบรบั ประทานอาหารประเภทขบเคี้ยว ชอบอมทอฟฟ่ี ซึ่งจะ มผี ลทาให้ฟันผุ บางคนไม่ชอบรบั ประทานอาหาร ประเภทผักและผลไม้ ทาให้มีกากอาหารน้อย ทาใหเ้ ส่ยี ง ตอ่ การป่วยเปน็ มะเร็งลาไส้ อาหารทีไ่ มส่ ะอาดทาให้ทอ้ งเสยี อาหารสกุ ๆ ดิบๆ เชน่ ปลาดิบ ก้อย ปลา ทาให้ เปน็ โรคพยาธิ บางคนชอบอาหารทม่ี ีไขมันสูง อาจทาให้เป็นโรคอ้วน หรอื ไขมนั อุดตนั ในเสน้ เลอื ดเป็นต้น บาง คนชอบหรอื ไม่ชอบอาหารบางประเภททาให้ได้อาหารไม่ครบถว้ น อาหารจึงเปน็ องคป์ ระกอบทสี่ าคญั ต่อ สุขภาพ การบริโภคอาหารโดยเฉพาะอย่างยงิ่ อาหารท่ีไม่มีประโยชน์ เชน่ อาหารจานด่วน ขนมกรบุ กรอบ หรืออาหารกลอ่ งทมี่ สี ่วนประกอบของไขมนั แป้ง เกลือโซเดยี ม สารปรุงรสอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติ ในปริมาณ ท่มี ากเกนิ ไป ส่งิ เหล่านี้นอกจากจะไม่มีคณุ คา่ ทางโภชนาการแล้ว ยงั เป็นสว่ นสาคญั ทที่ าให้เกดิ โรคต่างๆ ได้ อกี ดว้ ย การได้รับสารอาหารเพยี งพอ และร่างกายสามารถนาไปซ่อมแซมส่วนต่างๆของรา่ งกาย และบารุง รา่ งกายให้สมบูรณ์แข็งแรง เป็นตวั บง่ ชีไ้ ดถ้ งึ ภาวะสขุ ภาพที่ดี 1.5.2 การมีพฤติกรรมเส่ยี งทางเพศ พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ หรือพฤติกรรมท่ีไมป่ ลอดภัยทางเพศ สามารถทาให้เกดิ โรคตดิ ต่อ ทางเพศสัมพนั ธ์มากมายหลายโรค ยกตัวอยา่ งการมพี ฤติกรรมทไี่ ม่ปลอดภยั ทางเพศ คือ การไมใ่ ส่ถุงยาง อนามัยขณะมีเพศสมั พันธ์ การมคี นู่ อนหลายคน การมเี พศสมั พนั ธ์ตงั้ อายุนอ้ ยๆ มีพฤตกิ รรมรักร่วมเพศ ชาย รักชาย มีพฤติกรรมใชบ้ ริการกับสตรขี ายบริการทางเพศ พฤตกิ รรมเหล่าน้ีทาใหเ้ กิดผลกระทบทางสขุ ภาพ คือทาให้เกิดโรคติดต่อเช่น โรคซิฟลิ ิส เรมิ หดู หงอนไก่ หนองใน เอดส์ หรือการเกิดโรคไม่ตดิ ตอ่ กไ็ ด้ เชน่ โรคมะเรง็ ปากมดลูก เป็นต้น หรือรา่ งกายไดร้ บั บาดเจบ็ จากการร่วมเพศ แบบวติ ถารหรอื รนุ แรงถึงขนาด สญู เสียชีวติ จากการฆาตกรรม เพราะความรกั และความหึงหวงได้ 1.5.3. การดม่ื สรุ า การสบู บุหรี่ และการใชส้ ารเสพตดิ เพือ่ ลดความอ้วน การดื่มสุรา และการสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุของการเกิดโรคภัยต่างๆ ได้ เช่นการสูบบุหร่ีทาให้ เกิด โรคต่อไปน้ี เช่น โรคมะเร็งปอด โรคความดันโลหิตสูง โรคถุงลมปอดโป่งพอง โรคหลอดเลือดหัวใจแตก ตีบ ตัน สาหรับการดื่มสุราติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่อไปน้ี เช่น โรคหัวใจ โรคตับแข็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็งตับ ผลท่ีตามมาจากการเกิดความเจ็บป่วย มักเกิดความทรมานต่อร่างกาย และจติ ใจ ส้ินเปลอื งคา่ ใชจ้ ่ายในการรกั ษาพยาบาล นอกจากการเกิดโรคต่างๆ แล้ว การดืม่ สุราหรือเครือ่ งด่ืม ที่มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์ มากๆ มักทาให้การทางานของระบบประสาทและสมองลดลง เกิดการขาด สติได้ง่าย ขาดความย้ังคิด และเป็นผลให้เกิดอุบัติเหตุ และเกิดความพิการจากอุบัติได้ (สุพินดา แซ่เตียว, 2546 และ ดวงพงศ์ พงศ์สยาม, 2552) นอกจากนี้ในปัจจุบันวัยรุ่นยังมีพฤติกรรมใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ลดน้าหนักอย่างแพร่หลาย จาก การศึกษาท่ีผ่านมาของ ปวีณา ยุกตานนท์ ได้ทาการศึกษาเรือ่ งปจั จยั คัดสรรกบั พฤติกรรม การใชย้ าลดความ

20 อ้วนของวยั รุ่นหญิงตอนปลาย (ปวีณา ยุกตานนท์, 2549) อายุระหว่าง 18-21 ปี พบว่ากลุ่ม ตัวอย่างร้อยละ 50 ท่ีเข้ารับบริการจากสถานลดน้าหนัก แห่งหน่ึงในกรุงเทพมหานคร มีพฤตกิ รรมการลดน้าหนกั โดยการใช้ ยา และจากข้อมลู กองควบคุมวตั ถุเสพตดิ (2553) พบวา่ มกี ารจ่ายยาลดความอว้ นจากสถานพยาบาลเอกชน โดยจัดไว้เป็นชุดให้รับประทานเหมือนกันทุกวัน แต่ละ ชุดประกอบด้วยยาประมาณ 1-6 รายการ หนึ่งใน จานวน 6 รายการนั้นมียา จากกลุ่มยากลุ่มแอมเฟตามีน (Amphetermine) โดยยา จะออกฤทธ์ิกระตุ้น ประสาทส่วนกลางและระบบประสาทซมิ พาเธติก ทาให้เกดิ อาการเบื่ออาหาร มีผลข้างเคียงคือ เกิดอาการใจ ส่นั กระวนกระวาย นอนไม่หลับ 1.5.4 การขับถ่าย ผู้ท่ถี ่ายอุจจาระไมเ่ ป็นเวลา ถ่ายลาบาก อจุ จาระมลี กั ษณะแขง็ ต้องเบง่ ถา่ ยอจุ จาระ มี โอกาสเส่ียงต่อการป่วยเป็นโรคริดสีดวงทวารสูงกว่าคนท่ีมีการขับถ่ายเป็นเวลาและถ่ายสะดวก พฤติกรรม การกลัน้ ปัสสาวะทาให้เกดิ เปน็ โรคตดิ เช้อื ของกระเพาะปัสสาวะไดง้ ่าย 1.5.5 การนอนหลับพกั ผ่อน ผ้ทู ่นี อนพกั ผอ่ นไม่เพยี งพอจะร้สู กึ ปวดศรี ษะ ควบคมุ สติไม่ได้ ไม่สนใจ ส่งิ แวดล้อมปกติควร นอนพักประมาณ 6-8 ช่วั โมงในเวลากลางคนื ผ้ทู ไี่ ด้รับการพกั ผอ่ นไมเ่ พียงพอ จะไม่สามารถควบคุมตนเองให้ ทางานอย่างมีประสิทธิภาพได้ โดยเฉพาะหากต้องทางานท่ีมีความเส่ียง หรือต้องระวังอันตราย เช่น ทางาน เกีย่ วกบั เครอื่ งจกั ร หรอื ตอ้ งขบั รถประจาทาง ซงึ่ อาจเกดิ อบุ ัติเหตุได้ 1.6 สุขภาพจิต (Mental Health) ร่างกายและจิตใจมีความสัมพันธ์กัน สภาพอะไรก็ตามท่ีกระทบกระเทือนทางด้านร่างกายก็จะ กระทบกระเทือนต่อจิตใจด้วย และสภาพอะไรก็ตามท่ีกระทบ กระเทือนต่อจติ ใจกจ็ ะมผี ลให้ร่างกายเจบ็ ป่วย ได้ นอกจากน้อี งคป์ ระกอบทางจิตยังเป็นตัวกาหนดพฤติกรรมต่างๆ อีกดว้ ย องคป์ ระกอบเหล่านีไ้ ด้แก่ 1.6.1 อตั มโนทศั น์ (self-concept) เปน็ ผลรวมของความรู้สึกนึกคดิ และการรับรทู้ ลี่ กึ ซงึ้ และซบั ซ้อน ทบ่ี คุ คลมตี ่อตนเอง และมีอทิ ธิพลอย่างมากในการกาหนดพฤติกรรม คือการทีบ่ ุคคลจะแสดงพฤติกรรม อย่างไรนน้ั ขนึ้ อยู่กบั วา่ บคุ คลนนั้ รับรู้เกย่ี วกบั ตนเองอยา่ งไร (กอบกลุ พันธ์เจรญิ วรกลุ 2531: 77-106) อัต มโนทศั น์ มคี วามสาคัญต่อสขุ ภาพอยา่ งย่ิง โดยเฉพาะอัตมโนทศั นด์ ้านร่างกาย (physical self) ถา้ บคุ คลน้นั มองวา่ ตนเป็นคนมีรูปร่างหนา้ ตาตี เป็นคนสวย หรือเปน็ คนรูปหล่อ ก็จะมีอทิ ธิพลใหบ้ ุคคลน้นั พยายามบารุง สขุ ภาพและรา่ งกายของตนให้อยูใ่ นสภาพดีต่อไป อัตมโนทัศน์ด้านการยอมรับนับถือตนเอง (self-esteem) การยอมรับนับถือตนเองเป็นการรับรู้ เกี่ยวกับคุณค่าของตนเอง บุคคลจะประเมินคุณค่าของตนเองจากลักษณะที่ตนเป็นอยู่และเปรียบเทียบกับ ลักษณะทีต่ นอยากให้เป็น และระดบั การยอมรับนบั ถือตนเองนจี้ ะ 1.6.2 การรับรู้ (perception) การที่บุคคลจะมีพฤติกรรมเช่นใดนั้น ขน้ึ อยู่กบั การรบั รู้ของตนตอ่ ส่ิง ต่างๆ การรับรเู้ กี่ยวกบั สขุ ภาพ คือ รับรวู้ า่ ตนเองมสี ุขภาพเช่นไรกจ็ ะมีอทิ ธิพลตอ่ พฤติกรรมท่คี นๆ นัน้ จะ กระทา คนแต่ละคนมีการรบั รู้เกย่ี วกบั สุขภาพแตกต่างกัน โดยเฉพาะถ้าฐานะทางเศรษฐกิจต่างกัน จะรบั รู้ เกีย่ วกบั อาการป่วยและตัดสินใจรับการรักษาตา่ งกัน คนฐานะทางเศรษฐกจิ ดีจะรับรูเ้ ก่ียวกับอาการป่วยเร็ว กวา่ บางคนเมื่อรู้สกึ วา่ ครน่ั เนื้อคร่ันตัวหรือปวดเม่ือยตามตัว จะรูว้ ่าตนกาลงั ไมส่ บาย ในขณะ ทีบ่ างคนเดนิ ไมไ่ หว หรือทางานไม่ไหว จงึ จะรับรู้วา่ ไมส่ บาย ซง่ึ การรบั รูเ้ หลา่ นจ้ี ะเปน็ ตวั กาหนดพฤติกรรมทปี่ ฏิบัติในเวลา ตอ่ มา เช่นเมื่อรบั รู้ว่าป่วย จะหยุดจากงานไปพบแพทยห์ รือรบั การรักษาตามความเช่ือของตน ซึ่งจะมีผลต่อ สุขภาพในเวลาต่อมา การรับรู้เก่ียวกับสุขภาพของประชาชนท่วั ไปจะแตกต่างกับบุคคลากรทางการแพทย์ คือ

21 ประชาชนท่ัวไปมักจะใช้อาการทีป่ รากฏเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาวา่ ป่วยหรอื ไม่ แต่แพทย์จะใช้การตรวจพบ ความผิดปกตเิ ปน็ ตัวบง่ ช้ีการปว่ ยหรือเปน็ โรค ดังนนั้ ประชาชนที่ไปใหแ้ พทยต์ รวจบางรายแพทย์อาจตรวจไม่ พบ ความผดิ ปกติใดๆ และบอกว่าคนๆ น้นั ไม่ไดป้ ว่ ย ในขณะท่ีบางคนไมม่ ีอาการผดิ ปกติเลย เมือ่ ตรวจ รา่ งกายอาจพบวา่ เปน็ โรคบางอย่างได้ ดังนน้ั การรับรู้เก่ยี วกับสขุ ภาพท่ีจะมีผลดีต่อสุขภาพ คือ การรับรูว้ า่ บางคนอาจป่วยเป็นโรคได้ทั้งทีไ่ ม่มอี าการผดิ ปกติใดๆ การรบั รู้ว่าการดแู ลสขุ ภาพให้แข็งแรงและการปอ้ งกัน โรคเป็นสิง่ ท่สี าคญั กว่าการรักษาเมื่อเจ็บปว่ ย และรบั ร้วู า่ สขุ ภาพเป็นสงิ่ มีค่าเหนอื สง่ิ อืน่ ใด 1.6.3 ความเชอื่ ปกติคนเรามักได้ความเช่ือมาจาก พ่อ แม่ ปู ย่า ตา ยาย หรือผูท้ เ่ี ราเคารพเชื่อถือ จะยอมรับฟงั โดยไม่ต้องพสิ ูจน์ ความเช่อื เหลา่ น้ีเปน็ สว่ นหนึ่งของการดาเนนิ ชีวิต ความเช่ือเม่ือเกดิ ขึ้นแลว้ มกั จะเปลี่ยนแปลงยาก ความเช่อื ด้านสขุ ภาพ (health belief) คือความเชอ่ื เกี่ยวกับสุขภาพทค่ี นแตล่ ะคนยดึ ถือว่าเป็น ความจริง ความเชอ่ื ดังกลา่ วอาจจะจรงิ หรอื ไม่จริงก็ได้ บุคคลจะปฏบิ ัติตามความเช่ือเหลา่ น้ีอย่างเคร่งครัด ไม่ วา่ จะอยใู่ นสถานการณ์เซ่นใดก็ตาม และจะรูส้ ึกไม่พอใจถา้ ใครไปบอกวา่ สง่ิ ที่เขาเชอ่ื น้ันเป็นส่งิ ที่ไม่ถูกต้อง หรือแนะนาใหเ้ ขาเลิกปฏบิ ัตติ ามความเชื่อหรือให้ปฏบิ ัติในส่ิงท่ีตรงข้ามกับความเช่อื ความเช่อื เกี่ยวกบั สขุ ภาพในสงั คมไทยมีมากมาย การปฏิบตั ิตามความเชือ่ จะทาใหบ้ คุ คลมคี วามมนั่ ใจและรู้สกึ ปลอดภยั ถ้าต้อง ฝนื ปฏิบตั ิในส่งิ ท่ขี ัดกับความเชอ่ื จะรสู้ ึกไม่ปลอดภัย เกรงวา่ จะเปน็ อนั ตราย ความเชื่อท่ีพบได้ทัว่ ๆ ไป เกยี่ วกบั สขุ ภาพได้แก่ เชอ่ื วา่ ถ้ารับประทานไข่ขณะทีเ่ ป็นแผล จะทาให้แผลนนั้ เปน็ แผลเป็นที่นา่ เกลียดเมื่อ หาย ถา้ รบั ประทานข้าวเหนียวจะทาใหแ้ ผลกลายเป็นแผลเป่ือย หญิงต้งั ครรภ์ ถา้ รับประทานเนอ้ื สัตว์ชนิดใด จะทาให้ลกู มีพฤตกิ รรมเหมือนสัตวช์ นดิ นั้น เช่อื วา่ การด่มื เบยี ร์วนั ละ 12 แกว้ จะชว่ ยป้องกันการตดิ เช้ือของ ลาไส้ เชอื่ ว่าถา้ ดื่มนา้ มะพรา้ วขณะมปี ระจาเดอื น จะทาใหเ้ ลอื ดประจาเดือนหยดุ ไหลเป็นตน้ ความเชอื่ เหล่าน้ี บางอย่างมีผลกระทบตอ่ สุขภาพมาก แตบ่ างอย่างไมม่ ีผลเสียหายตอ่ สุขภาพ 1.6.4 คา่ นิยม คือการให้คุณค่าต่อสิ่งใดสิ่งหนง่ึ ค่านยิ มของบคุ คลได้รบั อทิ ธิพลมาจากสังคม บคุ คล พยายามแสดงออกถึงค่านิยมของตนทุกครั้งท่มี โี อกาส คา่ นิยมของสังคมใดสงั คมหน่ึง จะมอี ิทธิพลตอ่ การ ประพฤตปิ ฏิบัติของบุคคลในสังคมนั้นๆ อย่างมาก คา่ นยิ มทีม่ ีผล กระทบตอ่ สุขภาพ เช่น ค่านยิ มของการดื่ม เหล้า สูบบหุ รี่ ซึ่งแสดงถงึ ความมฐี านะทางสงั คมสูง คา่ นิยมของการเที่ยวโสเภณีวา่ แสดงถึงความเป็นชาย ชาตรี คา่ นิยมทช่ี ่วยสง่ เสริมสุขภาพ คือ คา่ นิยมของความมีสุขภาพดี 2. ปัจจัยภายนอก (External Factors) 2.1 สภาพภูมศิ าสตรแ์ ละสภาพภมู อิ ากาศ 2.2 นา้ 2.3 เสยี ง 2.4 ส่งิ ปฏกิ ูลและขยะมูลฝอย 2.5 ระบบเศรษฐกจิ และการประกอบอาชีพ 2.6 การเปลยี่ นแปลงดา้ นประชากร 2.7 การศกึ ษา 2.8 การเปลยี่ นแปลงดา้ นเทคโนโลยีสารสนเทศ 2.1 สภาพภูมศิ าสตรแ์ ละสภาพภมู ิอากาศ ลักษณะภูมิศาสตร์ท่ีแตกต่างกัน ทาให้เกิดฤดูกาลแตกต่างกันและอุณหภูมิของแต่ละพื้นที่แตกต่าง กัน ซ่ึงมีผลกระทบต่อสุขภาพของบุคคลโดยตรง เช่น ประเทศไทย ตั้งอยู่บริเวณแถบศูนย์สูตร มีโรค

22 เวชศาสตรเ์ ขตร้อนนานาชนดิ เกิดข้ึนกับประชาชน ได้แก่ โรคพยาธติ ่างๆ ไข้มาลาเรีย ซ่ึงประเทศในเขตหนาว จะไม่พบกับปัญหาสุขภาพเหล่าน้ี นอกจากน้ีแล้วสภาพภูมิศาสตร์ ยังก่อให้เกิดภัยธรรมชาติต่างๆ เช่น น้า ท่วม แผ่นดินไหว พายุ การเปลย่ี นแปลงตามฤดกู าล ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทาให้การเจ็บป่วยแตกต่างกนั เช่น ฤดูหนาว ฤดรู ้อน หากเปน็ ฤดูหนาว โรคทพี่ บบ่อยคือ โรคภูมแิ พ้ เป็นต้น สภาพภูมิอากาศมีความสาคัญทั้งอุณหภูมิท่ีร้อนเกินไปหรือหนาวเย็นเกินไป ในกรณีท่ีอุณหภูมิสูง มากอาจเกิดความเจ็บป่วย เช่น ผดผื่น โรคลมแดด (heat syncope) หรือโรคทางเดินอาหาร เน่ืองจาก อากาศร้อนทาให้อาหารเน่าเสียได้ง่าย ภาวะขาดน้า เป็นต้น สาหรับอุณหภูมิที่หนาวเย็นมากเกินไปก็เกิด ปัญหากับสุขภาพได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก คนสูงอายุหรือผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง หอบ หืด เป็นต้นเมื่อบคุ คลเผชญิ อาการหนาวเยน็ (แสงโฉม ศิริพานิช, 2555) มกั มีอาการแสดงดังตารางที่ 1 ตารางท่ี 1 แสดงเกณฑ์ระดับอณุ หภมู ริ ่างกาย เทียบกบั อาการและอาการแสดงของภาวะอุณหภมู ิร่างกายต่า ระดับ อณุ หภูมิ อาการและอาการแสดง ร่างกาย น้อย 37.2 – 36.1 ปกติ อาจเร่มิ ส่นั สะท้านเล็กน้อย 36.1 – 35.0 รสู้ กึ หนาวเยน็ มอื เริ่มชา และเรม่ิ หนาวส่ันมากขนึ้ ปานกลาง 35.0 -33.9 หนาวสั่น กล้ามเนอื้ ทางานไม่ประสานกนั เคลื่อนไหวช้าลง สับสนตนื่ เต้นลก็ น้อย 33.9 – 32.2 หนาวส่นั มากขนึ้ พูดลาบาก ความจาเสอื่ มเร่ิมเสื่อม เคลอื่ นไหวช้าลง ไม่สามารถใช้ มือได้ เกิดภาวะซึมเซา ผิวหนงั ซดี เย็น รนุ แรง 32.2 – 30.0 หยุดหนาวสั่น ผวิ หนงั คลา้ บวม กล้ามเนื้ออ่อนแรง ไม่สามารถเดินได้ สับสนควบคุม ตัวเอง ไม่ได้ วติ กกงั วล 30.0 – 27.8 กลา้ มเนือ้ แขง็ มนึ งง ไมร่ บั รู้ส่ิงตา่ ง ๆ อัตราการเตน้ ของชีพจร และการหายใจลดลง และการ เต้นหัวใจชา้ ลง 27.8 -25.6 ไม่รูส้ ึกตวั หมดสติ การเต้นของหัวใจและการหายใจผดิ ปกติ ไมส่ ม่าเสมอ คลาไม่พบ ชพี จร 25.6 – 23.9 ภาวะปอดบวมระบบหัวใจและหายใจล้มเหลว และเสียชีวิต ทีม่ า : Outdoor action Guide to Hypothermia and Cold weather injuries, 2005 2.2 น้า น้าเป็นปจั จยั สาคญั ต่อส่งิ มชี วี ิตทกุ ชนดิ โดยเฉพาะมนุษย์ต้องอาศยั น้าในการดารงชีพ หากนา้ มึ คณุ สมบตั เิ ปล่ียนไปจากเดิม เช่น มสี ารเคมเี จอื ปน นา้ เส่ือมคุณภาพจากสาเหตอุ ะไรกต็ ามแต่ เช่นการปลอ่ ย นา้ เสยี จากโรงงาน จะสง่ ผลกระทบต่อสขุ ภาพของบุคคล เชน่ เกดิ โรคทางเดินอาหาร อุจจาระรว่ ง อาหารเป็น พิษ นอกจากน้ียังสามาถทาให้เกดิ โรคทางผิวหนงั ไดอ้ ีกด้วย 2.3 เสยี ง ระดับเสียงท่ีจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของบุคคล ตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก คือ เสียงที่ดัง เกิน 85 dB(A): เดซิเบลเอ ส่วนใหญ่พบที่โรงงานอุตสาหกรรม ดังน้ันหากเสียงท่ีมนุษย์ได้ยินเกินกว่าเกณฑ์ มาตรฐานหรือเกิดมลพิษทางเสียง จะส่งผลกระทบต่อภาวะสุขภาพของมนุษย์ ได้แก่ อาการหูอื้อ หูหนวก แบบเฉียบพลัน ในกรณีท่ีเสียงมีความดังเป็นคร้ังคราว ในเวลาส้ันๆ อาจทาให้ขาดสมาธิในการทางาน เกิด ความเครียดได้

23 2.4 สิ่งปฏิกูลและขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูลและขยะมูลฝอยจากโรงพยาบาลหรือห้องปฏิบัติการต่างๆท่ีใช้สารเคมี เป็นแหล่งกระจาย ของเชื้อโรคและสารเคมี สารพิษ ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของบุคคล นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งเพาะพันธ์ุ สัตว์นาโรคต่างๆ ไดแ้ ก่ แมลงวัน แมลงสาบ หนู เป็นต้น ซ่ึงสัตวเ์ หล่าน้ีเป็นสัตว์นาโรคท้ังสน้ิ เช่นโรคทางเดิน อาหาร นอกจากเกิดโรคแลว้ ส่ิงปฏิกูลและขยะมลู ฝอยยังเกิดกลิ่นเหม็นเน่า สภาพแวดล้อมไมส่ วยงาม สง่ ผล ตอ่ จติ ใจได้ 2.5 ระบบเศรษฐกจิ และการประกอบอาชีพ ในปัจจุบันระบบเศรษฐกิจภายในของประเทศไทยเปน็ แบบผสม ซึ่งหมายถึง ระบบเศรษฐกิจทีร่ ัฐเข้า มามีส่วนในการดาเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายประการ แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่จะเป็นของ เอกชน ซึ่งเป็นระบบท่ีประเทศ ต่าง ๆ ท่ัวโลกนิยมใช้ในปัจจุบัน ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจเป็นปัจจัยหน่ึงที่ส่งผล กระทบกับครัวเรือนโดยกาลังการบริโภคของครัวเรือนลดลงซ่ึงเป็นผลจากรายได้ท่ีลดลงจากการถูกเลิกจ้าง หรอื ถูกลดชั่วโมงการทางาน และรายจา่ ยท่ีเพม่ิ ข้ึน จากราคาสินคา้ ท่ีเพมิ่ ข้ึน กาลังการบริโภคท่ลี ดลงทาให้การ บริโภคสินค้าและบริการลดลง ก่อให้เกิดภาวะขาดสารอาหารได้ สภาพเศรษฐกิจและสังคมของตนเองหรือ สถานะการณร์ อบข้างอาจทาใหค้ รวั เรอื นเกดิ ความเครยี ด ซึมเศรา้ และเกดิ ปัญหาสขุ ภาพจติ การประกอบอาชีพท่ีมีความเสี่ยงตอ่ การเกิดปัญหาสุขภาพเช่น เสียงดังจากเคร่ืองจักร ฝุ่นท่ีเกิดจาก กระบวนการผลิต ความร้อนที่เกิดจากการทางานของเคร่ืองจักรต่างๆ เป็นต้น รวมท้ังลักษณะงานท่ีซ้าซาก ทา่ ทางการทางานท่ีผิดธรรมชาติ และอันตรายท่ีเกิดจาก เคร่ืองจักร สิ่งเหล่าน้ีลว้ นมีผลต่อการเจ็บป่วย และ สขุ ภาพอนามัยระยะยาวแกค่ นงานท้งั ส้นิ 2.6 การเปลีย่ นแปลงดา้ นประชากร การเปล่ียนแปลงทางประชากร ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างทางประชากร คือ ทาให้จานวนและ สัดส่วนทางประชากรในกลุ่มอายุเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยทั่วไปโครงสร้างทางประชากรแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ วัยเดก็ (อายุ 0-14 ป)ี วัยทางาน (อายุ 15-59 ปี) วัยสูงอายุ (อายุ 60 ปีขน้ึ ไป) จากการคาดการณส์ ัดสว่ น ประชากรในประเทศไทย พบว่าวัยทางานจะเร่ิมลดลง ก่อนปี พ.ศ.2563 และกลุ่มคนสูงอายุจะเพิ่มมากข้ึน จากการทีก่ ลมุ่ บุคคลวัยทางานลดลงน้ี ส่งผลให้เกิดความแปรปรวนและการเตบิ โตทางเศรษฐกิจเกดิ ปญั หาได้ และจากการท่ีประชากรสูงอายุมีเพ่ิมมากข้ึนจะส่งผลต่อระบบการดูแลสุขภาพของประเทศ เนื่องจากปัญหา สุขภาพของผู้สูงอายุคือโรคเร้ือรัง ได้แก่ มะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคระบบทางเดินหายใจ รวมทั้ง ความผิดปกติเกี่ยวกับอวัยวะต่างๆ เช่น การสูญเสียการมองเห็น การได้ยิน ความผิดปกติของระบบประสาท เช่น ภาวะสมองเสื่อม รัฐบาลและหน่วยงานสาธารณสุขต้องมีกลยุทธ์และนโยบายที่เตรียมรับมือกับปัญหาที่ จะเกดิ ขึน้ ในอนาคต 2.7 การศึกษา การศึกษามีความสาคัญของการดูแลสุขภาพจะช่วยให้บุคคลมีพฤติกรรมเก่ยี วกบั สุขภาพต่างๆ อย่าง ถูกต้อง เช่น การรับประทานอาหาร การออกกาลังกาย การป้องกันอุบัติเหตุ พฤติกรรมเหล่าน้ีจะติดตัวเป็น ลักษณะนิสัยท่กี ่อใหเ้ กดิ ผลดตี ่อสุขภาพเมื่อเข้าส่วู ัยผู้ใหญ่และผสู้ ูงอายุต่อไป นอกจากการศึกษาทาให้บุคคลมี ความรู้ในการดูแลสุขภาพและป้องกันโรคแล้ว ยังทาให้รู้ถึงสิทธิในการรักษา สามารถเข้าถึงระบบบริการ สุขภาพได้

24 2.8 การเปลีย่ นแปลงดา้ นเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศนั้นไม่ได้เกิดปัญหาต่อสังคมเฉพาะด้านภยั คุกคามทางสังคมจากการเข้าถงึ สือ่ ที่ ไม่เหมาะสมอย่างง่ายเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งด้านร่างกาย และด้านจิตใจ และดา้ นสังคมซ่ึง โดยส่วนใหญ่นั้น ผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมักไม่รู้ตัวว่าเกิดปัญหาเหล่านั้นขึ้น ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต รวมทั้งโทรศัพท์มือถือประเภท smart phone หรือใช้ แท็ปเล็ต จึงควรระมัดระวังในการใช้ อุปกรณ์เหล่านี้อย่างเหมาะสม ถูกวิธี เพื่อป้องกันการเกิดผลเสียต่อสุขภาพ เช่น ตาหรือระบบประสาท เกิด โรคที่เกิดจากท่านั่ง เช่น กลุ่มอาการปวดข้อต่างๆ หรือโรคท่ีเกิดจากเชื้อโรคท่ีมีอยู่ในคอมพิวเตอร์ เช่น โรค ภูมแิ พ้ เป็นตน้ ตวั อย่างผลกระทบต่อรา่ งกายมดี งั น้ี 8.1 ดวงตา กล้ามเนอ้ื และระบบประสาท ทาใหเ้ กดิ อาการเม่ือยตา สายตาเสอ่ื ม ปวดกล้ามเนื้อและ ปวดศรี ษะ คลื่นไส้ เปน็ ตน้ ถ้าอาการเปน็ มากยังอาจก่อให้เกดิ ปญั หาสายตาเสื่อมลง เน่ืองจากขณะใช้ คอมพวิ เตอรด์ วงตาตอ้ งจอ้ งมองหน้าจอท่ีมีตัวหนงั สอื หรือ ภาพกระพรบิ ตลอดเวลา ทาให้กลไกตามธรรมชาติ ของการกระพรบิ ตาลดน้อยลงจนเราไม่สังเกต เปน็ เหตุผลสาคัญท่ีทาใหต้ าแห้ง 8.2 กล่มุ อาการปวดข้อ (Carpal Tunnel Syndrome: CTS) กลมุ่ อาการปวดขอ้ ซึ่งมสี าเหตเุ กดิ จากมกี ารกดทับเส้นประสาท median nerve ที่บรเิ วณ ขอ้ มือ กลุม่ อาการน้สี ามารถพบได้ในผูท้ ี่ใช้คอมพิวเตอรเ์ ป็นเวลานานๆ ทาใหเ้ กิดอาการของโรคกระดูกข้อมือ เจ็บปวด ข้อกระดูกนิ้วมือเส่ือม และชา จากการกดแป้นพิมพ์ และการใช้เมาส์ต่อเน่ืองเป็นเวลานาน การจับ เมาสโ์ ดยมีข้อมือเป็นจุดหมนุ อาจเกดิ พังผืดบริเวณขอ้ มือ หากปล่อยทิง้ ไวเ้ ป็นเวลานานจะทาใหเ้ กิดอาการชา จนไมส่ ามารถหยบิ ของได้ 8.3 โรคทีเ่ กิดจากการใช้อปุ กรณ์คอมพวิ เตอร์ โดยเกดิ จากเชื้อโรคทมี่ าจากมือและนิ้วของผูใ้ ช้ โดยเฉพาะคีบอร์ด หนา้ จอคอมพวิ เตอร์ จะพบเช้ือ แบคทีเรยี หรอื ไรฝุน่ ได้ อาจเกดิ การตดิ เชื้อในร่างกาย หรอื เกดิ โรคภมู ิแพ้จากไรฝุน่ ได้ 8.4 กลมุ่ อาการทนรอไม่ได้ (Hurry Sickness) มกั จะเกดิ กบั ผ้ทู ่ีเล่นอนิ เทอรเ์ นต็ ที่ทาให้กลายเป็น คนขี้เบื่อ หงดุ หงิดง่าย ใจรอ้ น เครียดงา่ ย เชน่ ทนรอเคร่ืองดาวน์โหลดนานๆ ไมไ่ ด้ กระวนกระวาย หากมี อาการมากๆ กจ็ ะเขา้ ขา่ ยโรคประสาทได้ จึงควรปรบั เปล่ียนลักษณะงานและพยายามควบคุมอารมณต์ นเอง 8.5 ปญั หาปวดคอ ปวดบ่า ปวดไหล่ ปญั หาปวดหลงั เกิดจากคียบ์ อรด์ และเมาส์ไม่อยู่ในระดับเดยี วกนั ถ้าอยูส่ ูงกว่าเวลาใชค้ ยี ์บอรด์ และเมาส์นาน ๆ ไหล่ จะค่อย ๆ ยกสงู ข้นึ โดยอัตโนมัติ เพ่ือให้แขนและมือจะได้ทางานถนดั การยกไหล่ขน้ึ นาน ๆ กล้ามเน้ือที่ยก ไหล่จะลา้ ปวดเม่อื ยได้ ปวดตั้งแต่ไหล่ บา่ ถงึ คอ ขณะนง่ั ทาคอมพิวเตอร์หากเกา้ อ้ีไมส่ งู พอดีทเ่ี ทา้ สามารถ วางพื้นได้ กจ็ ะปวดเมื่อย 3. ระบบบรกิ ารสขุ ภาพ (Health Service System) ถอื เปน็ ปัจจัยกาหนดสุขภาพที่สาคัญด้วย การพฒั นาระบบบรกิ ารสุขภาพหรือระบบบริการ สาธารณสขุ เพ่อื ใหเ้ กิดความเท่าเทยี ม และประชาชนทุกคนสามารถเขา้ ถงึ ระบบบริการสขุ ภาพทไี่ ด้มาตรฐาน และมีความยงั่ ยนื องคป์ ระกอบของระบบบรกิ ารสขุ ภาพ ประกอบด้วย 3.1 การกระจายโครงสรา้ งพื้นฐานของระบบบริการสาธารณสขุ ทั้งภาครัฐและเอกชน มีการ กระจายมีการครอบคลุมมากข้นึ และการสร้างหลักประกนั ด้านสุขภาพจะส่งผลใหป้ ระชาชนมี สขุ ภาพดขี ้นึ ได้ 3.2 โครงสรา้ งองคก์ รการบรหิ ารงานสาธารณสขุ ในการบรหิ ารการสาธารณสขุ จะต้องปรบั องค์กรการทางานใหเ้ ล็กลงเน้นกระจายอานาจไปส่หู นว่ ยปฏบิ ตั ิจะทาให้เกดิ การปรับกระบวนการทางานให้

25 ตอบสนองตอ่ ภาวะการมสี ขุ ภาพดีของประชาชน 3.3 คณุ ภาพและประสทิ ธภิ าพในการบริการ มแี นวโน้มการแข่งขนั การพฒั นาคณุ ภาพ บริการ และการพัฒนาคณุ ภาพมาตรฐานของสถานพยาบาลทกุ ประเภท ทุกระดบั เกิดขึ้นแต่มีปัญหาการ กระจายทรัพยากรสาธารณสุขไม่ทดั เทียมกันในภมู ิภาคส่งผลให้ปัญหาสุขภาพอนามยั ของประชาชนในบาง พน้ื ที่มปี ัญหารุนแรง 3.4 ค่าใช้จ่ายดา้ นสขุ ภาพ มีการใช้ทรพั ยากรอยา่ งสน้ิ เปลือง ทาให้คา่ ใช้จ่ายด้านการ รกั ษาพยาบาลในภาพรวมของสงั คมสงู ข้ึน 3.5 การมีส่วนร่วมของประชาชน การพึ่งตนเองและการมสี ่วนรว่ มในการรกั ษาพยาบาลของ ประชาชนในการดแู ลสขุ ภาพตนเอง ครอบครัว และชมุ ชน โดยเน้นการสาธารณสขุ มูลฐานยังทาไดผ้ ลดีอย่าง แท้จริงในบางพ้ืนท่ีเทา่ นั้น และขาดความยงั่ ยนื ในการพฒั นา ดังนั้นคุณภาพการบริการสุขภาพ การส่งเสริมคุณภาพชีวิตท่ีดีของบุคคล จาเป็นจะต้องมีการพัฒนา แบบองค์รวม โดยบูรณาการการพฒั นาปัจจยั ต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์และมีผลกระทบต่อภาวะสุขภาพ ร่วมกับ ระบบบริการสาธารณสุข โดยมุง่ เน้นให้คนมีความรู้ในการส่งเสริมสุขภาพ การปอ้ งกันโรค การดูแลตนเองและ ครอบครัว ควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านจิตใจ คุณภาพการบริการสุขภาพ เป็นการจัดบริการสาธารณสุขใน รูปแบบต่างๆ เพ่ือแก้ไขปัญหาและความต้องการของประชาชน ในเร่ืองสุขภาพอนามัย เพื่อยกระดับสุขภาพ อนามัยของคนในชาติให้อยบู่ นรากฐานของการมีสุขภาพอนามัยทีด่ ี โดยท้ังภาครัฐและเอกชนให้ความร่วมมือ กันจัดบริการสุขภาพให้ทั่วถึง แต่ในปัจุบันบุคลากรสาธารณสุขมีจานวนจากัด ตลอดจนเครื่องมือทางการ แพทยท์ ี่มีคุณภาพก็มีจากัดเฉพาะสถานบริการขนาดใหญ่ ทาให้บริการได้ไม่ทั่วถงึ และประชาชนเขา้ ถึงสถาน บรกิ ารสาธารณสุขได้เพียงเฉพาะกลมุ่ บุคคลท่อี ย่ใู นเมืองใหญ่ เอกสารอ้างอิง ขา่ วสารกรมสขุ ภาพจิต ปีที่ 18, ฉบบั ที่ 207 (เดือนมีนาคม 2554). http://www.dmh.go.th. (Accessed 25 เม.ย.54). คมู่ ือวทิ ยากรสอนเร่ืองเครยี ด. ศนู ยส์ ขุ ภาพจติ ที่ 1 – 15 กรมสขุ ภาพจิต กระทรวงสาธารณสขุ . http://www.dmh.go.th/plan/FormRptDmh/dl.asp?id=108 (Accessed 25 เม.ย.54). จนิ ดา บุญช่วยเกือ้ กูล. การดแู ล รกั ษา และสง่ เสรมิ สขุ ภาพ. ใน สุชาติ โสมประยรู , สุพัฒน์ ธีรเวชเจรญิ ชยั , บรรณาธิการ. สุขภาพเพ่ือชวี ิต. พมิ พค์ ร้ังที่ 5. กรงุ เทพฯ : สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2548. ชัยวัฒน์ วามวรรัตน์ และ สมศักด์ิ ถ่ินขจ.ี ภาวะเส่ยี งทางสุขภาพและสวสั ดกิ ารของบุคคลวยั ต่างๆ. ใน สชุ าติ โสมประยูร, สพุ ฒั น์ ธรี เวชเจรญิ ชัย, บรรณาธิการ. สุขภาพเพอื่ ชีวติ . พมิ พ์ครง้ั ที่ 5. กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พม์ หาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, 2548. ดวงพงศ์ พงศ์สยาม. มานุษยวิทยาสขุ ภาพ. พมิ พค์ รั้งท่ี 1. กรุงเทพฯ : โอ เอส พร้ินติ้งเฮ้าส์, 2552. พัชร นกั บรรเลง, สนุ รี ัตน์ ภ่เู อย่ี ม, บงั อร สาลี. ปจั จัยท่มี ีผลกระทบต่อสุขภาพ. ใน: เรณู สอนเครอื , บรรณาธิการ. แนวคดิ พน้ื ฐานและหลกั การพยาบาล. พิมพ์ครงั้ ที่ 9. กรุงเทพฯ : ยทุ ธรนิ ทร์ การ พมิ พ์ จากดั , 2552. ไพบูลย์ โลส่ ุนทร. ระบาดวิทยา. พิมพ์ครั้งท่ี 7. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย,2552.

26 รายงานสรุปผลการสารวจสุขภาพจิตของประชาชนในภาวะวกิ ฤตเศรษฐกจิ ช่วงเดือน สงิ หาคม 2550 – ก.พ. 2551. กรมสขุ ภาพจิต กระทรวงสาธารณสขุ . http://www.social.dmh.go.th. (Accessed 25 เม.ย.54). โรงพยาบาลจิตเวชนครสวรรค์ราชนครนิ ทร์ กรมสุขภาพจิต(กนั ยายน/2550). ความรูส้ ุขภาพจติ สาหรบั ประชาชน. http://www.nph.go.th/knowledge/sukapabjit/sukapabjit.html. (Accessed 25 เม.ย.54). สุพินดา แซเ่ ตยี ว. การจัดการดา้ นสขุ ภาพอนามยั . พมิ พ์ครัง้ ท่ี 1. ฉะเชงิ เทรา : โรงพมิ พป์ ระสานมิตร จากดั , 2546. แสงโฉม ศริ พิ านชิ . การป้องกันและดูแลภาวะอณุ หภูมริ ่างกายต่า (Hypothermia) ในช่วงอากาศหนาว เยน็ . สานกั ระบาดวิทยา กรมควบคมุ โรค รายงานการเฝาระวงั ทางระบาดวิทยาประจาสปั ดาห ปที่ 43 ฉบบั ท่ี 2: 20 มกราคม 2555. WHO in Hogarth 1978 : 236. กรมสุขภาพจติ กระทรวงสาธารณสุข.http://www.social.dmh.go.th. (Accessed 25 เม.ย.54).

27 แบบฝึกหดั กลมุ่ เรยี นท.่ี ............ ชอ่ื สกุลนสิ ิต...........................................................................................รหสั นิสิต............................................ กจิ กรรมที่ 1 จงอธบิ ายพร้อมยกตัวอยา่ งปัจจยั ภายใน ท่ีส่งผลตอ่ สุภาพ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… กจิ กรรมที่ 2 จงอธบิ ายปจั จัยภายนอกที่สาคญั ที่ส่งผลต่อสภุ าพ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook