41 บทท่ี 4 การควบคมุ และ ปอ้ งกันโรค เน้ือหา 1. ความหมาย และ ประเภทของโรค 2. แนวโน้มการเกดิ โรค และ การเจบ็ ปว่ ยในคนไทย 3. ปจั จยั ท่ีทำให้เกดิ โรค 4. การถา่ ยทอดโรค 5. ธรรมชาตขิ องการเกดิ โรค 6. หลกั และ วธิ กี ารป้องกนั และ ควบคมุ โรค 7. การปอ้ งกันโรคที่พบบอ่ ยในชวี ิตประจำวนั และ การดูแลเบ้ืองตน้ แนวคดิ 1. โรค และ การเจ็บปว่ ย เป็นภาวะท่ีแสดงออกถึงความไมส่ มดุลของร่างกาย ทีเ่ กดิ ขนึ้ เพ่ือ ตอบสนองตอ่ ส่ิงที่มากระตุ้น เม่ือเชือ้ โรคเขา้ สู่รา่ งกาย จะเกดิ การเปลีย่ นแปลงขน้ึ ในรา่ งกาย ซ่งึ รา่ งกายอาจแสดงออกทั้ง อาการ อาการแสดง หรือความผดิ ปกตจิ ากการตรวจทางห้องปฏิบตั กิ าร ภายหลงั การเกดิ โรค อาจเปน็ ไดต้ ัง้ แต่ หายจากโรค พิการ หรอื ทุพลภาพ หรือ ตาย 2. การเกดิ โรค เกิดจาก ปัจจัยท่สี ำคัญ 3 ประการ ได้แก่ คน สิง่ ท่ที ำให้เกดิ โรค และ สง่ิ แวดล้อม ในภาวะปกติ ท่ี 3 ปัจจยั อยู่ในภาวะสมดุลจะไมเ่ กิดโรค ในภาวะที่ปัจจยั ใดปัจจัยหนง่ึ หรอื หลายปจั จยั เกิดความไม่สมดุล จะเกิดโรคขน้ึ 3. การถ่ายทอดโรค มที งั้ ทางตรง จากบคุ คลทเี่ ปน็ แหลง่ โรค ไปยังบคุ คลทมี่ ีภมู ิไวรบั ทางอ้อมทเ่ี ปน็ การถา่ ยทอดผ่านส่อื กลาง เชน่ ผ่านทางน้ำ อาหาร พาหะนำโรค และ ถ่ายทอดทาง อากาศ เชน่ ทางการไอ จาม 4. ธรรมชาตขิ องการเกิดโรค ประกอบดว้ ย 4 ระยะ ได้แก่ 1) ระยะไวตอ่ การรบั เชื้อ เป็น ระยะทผ่ี ู้ที่มีภมู ิไวรับมีความพรอ้ มในการท่จี ะรบั เช้อื โรคเขา้ สรู่ า่ งกายเนอื่ งจากร่างกายมีความ ออ่ นแอ 2 ) ระยะก่อนปรากฏอาการ ซึ่งเรยี กวา่ ระยะฟกั ตวั 3) ระยะปรากฏอาการของโรค เปน็ ระยะที่ร่างกายไมส่ ามารถทนทานต่อเช้ือโรคได้ จงึ แสดงอาการออกมา 4) ระยะไร้ความสามารถ เป็นระยะสดุ ทา้ ย ซึง่ ผลลัพธ์ท่ีเกิดข้ึน จะมไี ด้ตัง้ แต่ เจ็บปว่ ยเร้อื รงั พิการ หรอื ตาย 5. การปอ้ งกนั โรค แบ่งออกเป็น 3 ระดบั ไดแ้ ก่ 1) ระดบั ปฐมภูมิ เป็นการป้องกนั โรค ลว่ งหนา้ กอ่ นการเกดิ โรค ซึง่ ประกอบด้วย การป้องกนั โรคทว่ั ไป และ การป้องกนั โรคเฉพาะอย่าง 2)
42 ระดับทุติยภมู ิ เป็นการป้องกันในระยะเกดิ โรค 3) ระดับตตยิ ภูมิ เปน็ การปอ้ งกนั ภายหลังท่ีรา่ งกาย รับตวั กอ่ โรคเข้าสู่รา่ งกายแลว้ เปน็ การปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ กิดอนั ตราย และ ความพิการ 6. การควบคมุ โรค เป็นการสกดั กน้ั การเพ่ิมจำนวนการเกิดโรค และ ไม่ให้โรคนน้ั ขยายวง กวา้ งออกไปในชุมชน จนถงึ ขั้นท่ไี มส่ ามารถควบคมุ ได้ ในขณะท่ีการป้องกนั โรคสว่ นใหญ่จะตอ้ ง ดำเนินการก่อนพบตัวก่อโรค หรือ ก่อนมีอาการปว่ ย แต่การควบคมุ โรคจะดำเนินการหลังท่มี ีโรค เกิดขึ้นแล้ว โดยมีมาตรการในการลดผลด้านการเจบ็ ป่วยในกล่มุ ผปู้ ว่ ย การปอ้ งกันการถ่ายทอดโรค ท่ีจะขยายตัวออกไป และ การเพ่มิ ภมู ิต้านทานใหก้ บั ประชากรเส่ยี ง วัตถปุ ระสงค์ เม่อื ศึกษาหนว่ ยนี้ จบแล้ว นิสติ สามารถ 1. อธบิ าย ความหมายของ “โรค” และ ปจั จัยทท่ี ำใหเ้ กดิ โรคได้ 2. อธบิ าย ธรรมชาติของการเกดิ โรค และ การถ่ายทอดโรคได้ 3. อธบิ าย หลัก และ วิธีการป้องกัน และ ควบคุมโรคได้ กิจกรรมระหว่างเรียน 1. ให้นิสติ จับค่กู นั ซกั ถามเกีย่ วกบั การเจ็บปว่ ยในรอบปีท่ผี ่านมา และแลกเปล่ยี น ประสบการณ์เก่ยี วกบั การปอ้ งกนั และ ควบคุมโรคในโรคที่นสิ ิตมปี ระสบการณ์ คนละ 1 โรค 2. สุม่ เลอื กนิสิต 1-2 คู่ ออกมานำเสนอประสบการณ์ และ ใหน้ ิสิตทเ่ี หลือได้รว่ มกนั แสดง ความคิดเหน็ และ แลกเปลย่ี น ประสบการณ์เกย่ี วกับการเจบ็ ปว่ ย การปอ้ งกนั และ ควบคมุ โรค ส่วนของเน้อื หา 1. ความหมาย และ ประเภทของโรค 1.1 ความหมายของโรค คำว่า “โรค” ตามพจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2543 แปลวา่ “ความเจบ็ ปว่ ย” หรือ ความเจบ็ ป่วยทางจติ ใจ ซึง่ ในภาษาอังกฤษใชค้ ำวา่ disease มาจาก dis + ease แปลตรงตวั วา่ “ความไมส่ บาย” “โรค” หมายถึง ความเจ็บปว่ ยอนั เกดิ จาก ส่งิ ท่ีทำใหเ้ กดิ โรค กระทำตอ่ อวยั วะ ของร่างกาย มนษุ ย์ ในช่วงเวลาหนึ่ง แลว้ ก่อให้เกดิ ความผิดปกตขิ ้ึนในร่างกาย ซงึ่ แสดงออกเป็น อาการ (signs และ อาการแสดง (symptoms) หรือพบความผดิ ปกติจาการตรวจทางหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร ซึ่งอาการ และ อาการแสดงนี้อาจปรากฏอยรู่ ะยะหนึ่ง แล้ว หาย หรอื กลับเป็นซ้ำ ขน้ึ มาอีก หรอื อาการคงอยู่ ตลอดไป และอาจมผี ลทำให้ อวัยวะส่วนใดสว่ นหนึ่ง หรอื ท้ังร่างกาย เกิดความพกิ าร ทุพลภาพ หรอื ตาย ได้ (Beaglehole et al.,1993 ; Last, 2001)
43 ร่างกาย สิ่งทที่ าให้ เป็นโรค หาย ของเรา เกดิ โรค พิการ หรือ ทพุ ลภาพ ตาย รปู ที่ 1 ความหมายของ “โรค” (ดดั แปลงจาก Last, 2001)
44 1.2 ประเภทของโรค (มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช, 2552) แบ่ง ตามลกั ษณะความสามารถของโรคทจ่ี ะแพร่ติดตอ่ ไปได้ เปน็ ดังนี้ 1. โรคติดตอ่ (Communicable disease) หมายถึงโรค เมอ่ื ทำใหเ้ กดิ การป่วยใน คนหนึ่งแล้วจะสามารถแพร่ติดต่อ ไปยงั คนอื่นต่อไปไดอ้ ีกจนเกดิ โรคน้นั ๆ ขน้ึ เปน็ วงกว้าง มผี ้ปู ่วย เปน็ จำนวนมาก เช่นหดั ไข้เลือดออก อุจจาระร่วง เอดส์ เป็นตน้ นอกจากโรคจะสามารถแพร่ตดิ ต่อ จากคนไปสู่คนดว้ ยกนั แล้ว ยังมโี รคทสี่ ามารถแพร่ติดตอ่ จากสตั วม์ าสคู่ นได้ เชน่ โรคฉ่หี นู โรคพษิ สุนัข บา้ โรคพยาธใิ บไม้ตับ โรคอจุ จาระร่วง โรคเอดส์ โรคหวดั เป็นต้น 2 โรคไม่ตดิ ต่อ (Non communicable disease) หมายถึงโรคทไ่ี ม่สามารถแพร่ ติดตอ่ จากคนหนงึ่ ไปยังอีกคนหนง่ึ ไดโ้ รคเหล่านม้ี ักเกีย่ วกับพนั ธุกรรม หรอื ความผดิ ปกติต้ังแต่เกิด เชน่ โรคเบาหวาน โรคทาลสั ซเี มีย เป็นต้น นอกจากน้นั ยงั หมายถงึ การบาดเจบ็ จากจราจรทางถนน การเสียชวี ติ จากการจมนำ้ ในเดก็ ปญั หาสขุ ภาพจากหมอกควัน ในภาคเหนือ และ ภาคใต้ อบุ ตั ภิ ัย สารเคมี เปน็ ต้น 2. แนวโน้มการเกิดโรค และ การเจ็บปว่ ยในคนไทย ในสมยั ก่อนการแพทย์ และ การสาธารณสขุ ยังไม่เจรญิ โรคทพ่ี บส่วนใหญ่ ที่เปน็ สาเหตุของ การเจ็บปว่ ย และ การตาย จะเป็นโรคตดิ ต่อ เช่น อหิวาตกโรค ไข้ทรพิษ เปน็ ตน้ ต่อมามีความ เจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การแพทย์ และ การสาธารณสุข มคี วามเจริญมากขึน้ มีผลทำใหก้ าร เจบ็ ป่วย และ การตาย ด้วยโรคติดตอ่ ลดน้อย แต่โรคไมต่ ดิ ตอ่ ซ่ึงสว่ นหน่งึ เกิดจากพฤติกรรมกลับทวี ความรุนแรงเพิ่มมากขนึ้ เช่นพฤติกรรมการบรโิ ภค อาหาร หวาน มัน เค็ม ความรีบเรง่ ในการปฏบิ ตั ิ กจิ วตั รประจำวนั ส่ิงแวดล้อมทเ่ี ต็มไปด้วยมลพิษ สิง่ แวดล้อทีไ่ มเ่ หมาะสม ทำให้เกิดโรคไมต่ ิดต่อ เกดิ ขน้ึ เชน่ เบาหวาน ทาลัสซีเมีย และ มะเร็ง เปน็ ต้น 3. ปจั จัยทที่ ำใหเ้ กดิ โรค การเกดิ โรคภัย ไข้เจ็บในมนุษยน์ ั้น ตอ้ งเกิด จากสาเหตุ หรือ ปจั จัย 3 อยา่ ง ได้แก่ (พิพัฒน์ ลักษมจี รสั กลุ , 2546 ; ไพบลู ย์ โลห่ ส์ นุ ทร, 2552 ) 1. คน (Host) 2. สิ่งทที่ ำใหเ้ กดิ โรค (Agent) 3. สิง่ แวดล้อม (Environment) คน (Host ) สภาพรา่ งกายท่เี ปลย่ี นแปลงไป ทำให้เกดิ ความไวต่อการเกิดโรค เช่นเดก็ และ ผ้สู งอายุ มีความเสีย่ งทีจ่ ะเกดิ โรคได้มากกว่ากล่มุ อายุอ่ืน ๆ เนื่องจากเป็นกลุ่มท่ีมภี ูมิต้นทานตำ่ คุณลกั ษณะของ บคุ คลที่สง่ ผลใหม้ โี อกาสเปน็ โรคต่าง ๆ เพิ่มมากข้นึ
45 1. อายุ พบวา่ โรคบางอย่างพบในเดก็ มากกว่าผู้ใหญ่ เช่น คอตบี ไอกรน โปลิโอ เนอื่ งจากในวัยเด็ก ภูมคิ ุ้มกันของร่างกายยงั ไมส่ มบูรณ์ ทำใหภ้ มู ติ ้านทานต่ำ เม่ือไดร้ บั เชื้อโรค มี โอกาสที่จะเป็นโรคสงู เม่ือได้รับวัคซีน ทำให้ภมู คิ ุ้มกันในรา่ งกายสูงขน้ึ และ ลดต่ำลงเม่ืออย่ใู นวัย ผู้สงู อายุ ทำใหม้ ีโอกาสเสีย่ งต่อการเจ็บปว่ ยได้มากข้นึ 2. เพศ โดยทัว่ ไป เพศชาย มีอตั ราตาย สูงกว่าเพศหญิง เนื่องจากลักษณะของการ ทำงาน และลักษณะของการดำเนินชีวติ แต่เพศหญิง มีอัตราปว่ ย มากกวา่ เพศชาย อาจเนอ่ื งมาจาก ความสมดุลของฮอรโ์ มน และโดยท่วั ไปเพศหญงิ มีอตั ราการไปพบแพทย์ เพ่ือตรวจสุขภาพใน ระยะแรกสงู กว่าเพศชาย 3. กรรมพนั ธ์ุ โรคบางชนิดสามารถถา่ ยทอดทางกรรมพันธุ์ ได้ เชน่ โรคเลอื ดทาลสั ซีเมยี เบาหวาน เป็นตน้ 4. เชือ้ ชาติ คนทีต่ า่ งเชอื้ ชาติจะมคี วามสามารถในการตา้ นทางโรคแตกต่างกนั เช่น คนผิวขาวจะมีความสามารถต้านทานต่อวัณโรค ไดม้ ากกว่าคนผิวดำ 5. ภูมิตา้ นทานในมนษุ ย์ ในเดก็ ทกี่ นิ นมแม่ ภูมิคมุ้ กนั ท่ีผา่ นจากแม่ไปหาลกู จะอยู่ นานประมาณ 6 เดือน 6. อาชพี ผทู้ ท่ี ำงานเกี่ยวข้องกับแบตเตอร่ี มีโอกาสทีจ่ ะได้รบั สารพิษ จากตะกวั่ หรอื เกษตรกร มคี วามเส่ียงท่ีจะเกิดโรคมะเร็งของผวิ หนัง 7. พฤติกรรม เชน่ พฤติกรรมการกนิ อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ก็เสยี่ งต่อการเกดิ โรค พยาธิต่าง ๆ หรอื อาหารมีการปนเปื้อนเชอ้ื โรค เช่นอาหารที่มแี มลงวันตอม หรอื อาหารทีป่ รุงสุกแลว้ แต่ทงิ้ ไว้คา้ งคนื หลายวนั ก็มีความเสย่ี งตอ่ การเกิดโรคในระบบทางเดินอาหาร เชน่ โรคอุจจาระรว่ ง หรอื โรคอาหารเป็นพิษ สิง่ ทีท่ ำให้เกดิ โรค (Agent) หมายถงึ ตัวก่อโรค หรอื สง่ิ ท่ีเปน็ ต้นเหตทุ ท่ี ำให้เกิดโรค อาจ เปน็ ส่ิงทมี่ ชี วี ิต หรอื ไม่มชี วี ิตก็ได้ แบ่งเปน็ 4 ชนดิ ได้แก่ 1. ส่งิ ท่ที ำใหเ้ กดิ โรคทางชีวภาพ (biological agent) ได้แก่เช้ือโรคต่าง ไ เช่น แบคทีเรยี พยาธิ เช้อื รา ชนิดต่าง ๆ รคิ เกตเชีย เปน็ ต้น 2. สิ่งทีท่ ำให้เกดิ โรคทางเคมี (chemical agent) หมายถงึ สารเคมี ท่ีอาจเป็น อันตรายต่อมนษุ ย์ ไดแ้ ก่ สารพษิ ตา่ ง ๆ เช่นสารหนู ยาฆา่ แมลง เครือ่ งสำอาง ยารักษาโรค และ สารเคมีท่ีอยู่ในร่างกายมนุษย์ที่มมี าก หรอื น้อย เกินไปก็ก่อใหเ้ กิดความผดิ ปกติ ได้เช่น ฮอร์โมน 3. สง่ิ ท่ที ำใหเ้ กดิ โรคทางกายภาพ (physical agent) ได้แก่ความร้อน แสง เสียง รังสีตา่ ง ๆ 4. สง่ิ ท่ที ำใหเ้ กดิ โรค เนื่องจากการขาดสารทจ่ี ำเป็นต่อรา่ งกาย (absent or insufficiency or factor necessary to health) เชน่ วติ ามินตา่ ง ๆ ถ้าขาดวติ ามนิ ซี อาจทำให้ เกดิ อาการเลือดออกตามไรฟัน เปน็ ต้น
46 สงิ่ แวดล้อม (Environment) หมายถึงสง่ิ ต่าง ๆ ท่ีอยรู่ อบ ๆ ตวั เรา ที่มสี ่วนเกี่ยวขอ้ งกบั การเกิดโรค 1.ส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ (physical environment) ได้แก่ สภาพทัว่ ไปของที่ อยู่อาศัย เช่นมีภาชนะเก็บกักนำ้ ในบ้าน ท่ีไมม่ ฝี าปิด ก็จะเอ้ือให้ยุงลายมาวางไข่ ทำให้เปน็ แหล่ง เพาะพนั ธข์ุ องพาหะนำโรค ไข้เลอื ดออก 2. สง่ิ แวดลอ้ มทางเคมี (chemical environment) ได้แก่ ภาวะแวดลอ้ มท่ี ประกอบด้วยสง่ิ ต่าง ๆ ที่มลี ักษณะทางเคมี ท่จี ะนำไปส่โู รคได้ เช่น การพบสารเคมีบางอยา่ งใน อาหาร โดย เฉพาะอยา่ งยงิ่ กลุม่ ยาปฏชิ ีวนะ ทจ่ี ะนำไปสู่การดอ้ื ยาในอนาคต 3. ส่ิงแวดลอ้ มทางชวี ภาพ (biological environment ) ได้แก่ สภาวะแวดลอ้ ม ท่ี ประกอบด้วยสงิ่ มชี ีวติ ตา่ ง ๆ เช่น เชอ้ื โรค ทจี่ ะนำไปสกู่ ารแพรก่ ระจายเชื้อ เชน่ บรเิ วณทม่ี ยี ุงลาย ชกุ ชมุ 4. สิง่ แวดลอ้ มทางด้านเศรษฐกิจ และ สงั คม เป็นสิ่งแวดล้อมทเ่ี อ้ือต่อการเกิดโรค เช่น พฤตกิ รรมของกลุม่ ประชากรท่ีเสีย่ งต่อการเกดิ โรคเอดส์ ทเ่ี กิดจากการยา้ ยถ่นิ จากสังคมชนบทสู่ สังคมเมือง การเกิดโรคแตล่ ะอยา่ ง เกดิ จากความ ไมส่ มดุลของปจั จัยท้ัง 3 อย่าง ในภาวะปกตทิ ่ีไมม่ ี โรค ปจั จัยทัง้ 3 จะมีความสมดุลกนั ในภาวะปกติ จะทำใหเ้ กดิ ความไม่สมดลุ กัน ซึ่งอาจทำให้เกิด การเปล่ียนแปลงในตวั คน เช่น คนมภี ูมติ ้านทานต่อโรคต่ำ เช่น ในคนท่ีอดอาหาร หรอื อดนอนมา หลายวนั ทำใหร้ ่างกายอ่อนแอ เมื่อไปเยยี่ มเพื่อน หรือผู้ป่วยอื่นท่ีปว่ ยเป็นโรค เช่น ไขห้ วัด ก็มีโอกาส ทจ่ี ะตดิ เช้อื โรคจากผูป้ ว่ ยได้ง่าย ในฤดูฝน มฝี นตกบ่อย ๆ อาจ ทุกวันหรือ 2-3 วนั ตอ่ ครัง้ ทำให้มีนำ้ ขงั เปน็ จำนวนมาก โดยเฉพาะในภาชนะทีไ่ มไ่ ด้ใช้แล้ว เชน่ ยางรถยนต์ แกว้ แตก ขวดแตก กะลามะพรา้ ว ทำให้เกิดน้ำขัง ซง่ึ เปน็ แหล่งเพาะพนั ธ์ของลูกนำ้ ยุงลาย ทเ่ี ปน็ พาหะของโรค ไข้เลือดออก หรอื ในฤดรู ้อน ในท่ที ่มี ีอากาศรอ้ น ยงุ สามารถแพร่พันธุ์ไดด้ ี เนือ่ งจากความรอ้ นทำให้ไข่ ยุงสุกและแตกตวั ได้งา่ ย จึงทำใหม้ ปี ริมาณของยงุ เป็นจำนวนมาก ซึง่ สง่ ผลทำให้ เด็กมโี อกาสเสย่ี งต่อ การเกิดไขเ้ ลือดออกได้ 4. การถา่ ยทอดโรค (Modes of disease transmission) (สุพนิ ดา เตยี ว, 2546 ) โรคติดตอ่ มีการถา่ ยทอดโรคท้ังโดยตรง และ โดยอ้อม ดงั นี้ 1. ถา่ ยทอดโดยตรง (direct transmission) ได้แก่การถา่ ยทอดจาก บุคคลที่ เป็นแหลง่ โรค ไปยังคนที่มีภูมิไวรับโดยไมม่ ีส่ือกลาง เช่น การตดิ ต่อโดยการสมั ผสั การไอ จามรดกนั 2. ถา่ ยทอดทางอ้อม (indirect transmission) เป็นการถา่ ยทอดผา่ นสอื่ กลาง สามารถแบง่ ได้ดงั นี้
47 2.1 ถา่ ยทอดโดยอาศัยสื่อนำโรค เชน่ ผ่านทาง อาหาร น้ำ กรณีทเี่ ป็น โรคติดต่อทางเดินอาหาร 2.2 ถ่ายทอดโดยอาศัยพาหะนำโรค เช่น แมลงวนั ยงุ 3. ถา่ ยทอดทางอากาศ (airborne) เปน็ การถา่ ยทอดทางละอองฝอย เชน่ การ ไอ หรือ จามรดกัน และ ถ่ายทอดทางฝ่นุ เชน่ กรณเี ชอ้ื วัณโรคท่ีออกมากบั เสมหะ แลว้ ตกลงสพู่ น้ื ดิน เม่อื แห้งจะกลายเปน็ ฝุ่นละออง ท่สี ามารถปลิวฟ้งุ กระจายเข้าส่รู า่ งกายได้ 5. ธรรมชาติของการเกดิ โรค การศกึ ษาธรรมชาตขิ องการเกิดโรค สามารถใช้อธบิ ายแบบแผนของการเกิดโรค ซ่ึงสามารถ อธบิ ายได้ท้ังโรคติดเช้อื และ โรคไม่ติดเชอ้ื โดยแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดงั นี้ (ไพบลู ย์ โลห่ ์สุนทร, 2552) 1. ระยะไวต่อการรับเชื้อ เป็นระยะท่ีมนุษย์เสยี่ งต่อการสัมผัส หรือ กำลังสัมผัสกับ ปจั จัยเสีย่ ง เช่น เด็กทม่ี ภี าวะทพุ โภชนาการ หรอื ขาดอาหาร มีภูมไิ วรบั ต่อการติดเช้ือโรค ซึ่งทำให้ เกดิ ปอดบวม หรอื อจุ จาระร่วงได้โดยง่าย แต่ละโรคมีความแตกตา่ งกนั ในตามธรรมชาติของโรค ปรมิ าณของเชอื้ โรค สาเหตุท่ีทำใหเ้ กิดโรค และพฤตกิ รรมของมนษุ ย์ รวมทั้งสิง่ แวดล้อมท่สี นบั สนนุ ให้เกิดโรค 2. ระยะก่อนปรากฏอาการ มีการเปล่ยี นแปลงทางพยาธิสภาพ แตย่ ังไมป่ รากฏ อาการ ในโรคตดิ เช้ือเปน็ ระยะที่เช้ือโรคเขา้ สรู่ ่างกาย และมกี ารเพิ่มจำนวนของเช้ือโรค แต่ไม่ สามารถตรวจพบอาการของการติดเชอ้ื จึงเรยี กระยะนวี้ ่า “ระยะฟักตัว” ในโรคไม่ตดิ ต่อ ระยะนี้มี ระยะเวลาไม่แน่นอน ตา่ งจากโรคติดเชื้อท่ีมรี ะยะเวลาท่ีแน่นอน 3. ระยะปรากฏอาการของโรค เป็นระยะท่รี ่างกายไม่สามารถทนต่อการรกุ ราน ของเชื้อโรค ได้ ทำใหร้ า่ งกายปรากฏอาการ และ อาการแสดง ผูป้ ว่ ยในระยะนแี้ บง่ เปน็ 3 กลุ่ม ได้แก่ 3.1 กลุม่ ท่หี ายไปไดเ้ อง ในบางครัง้ โรคจะหายไปไดเ้ อง ต้ังแตอ่ ยู่ในระยะ กอ่ นปรากฏอาการ ทง้ั นีข้ นึ้ อยู่กบั ว่าผ้ปู ว่ ยได้ดแู ลตนเองจนสามารถปรบั ตัวใหผ้ ่านพ้นภาวะท่ีไม่สมดุล นไ้ี ด้เร็วเพยี งใด 3.2 กล่มุ ทรี่ กั ษาดว้ ยวธิ กี ารทีไ่ ม่สลับซบั ซอ้ น เช่นรับประทานยาก็หาย ผู้ปว่ ยกลุม่ นีต้ อ้ งได้รบั การวินิจฉัยโรคแตเ่ ริ่มแรก กอ่ นทีพ่ ยาธสิ ภาพของโรคจะรุนแรง การไดร้ ับการ รกั ษาที่ทันท่วงที การหลีกเลีย่ งปัจจัยท่ีทำให้อาการผปู้ ่วยเลวลง จะทำใหผ้ ปู้ ว่ ยหายจากโรคไดเ้ ร็วข้นึ 3.3 กล่มุ ทต่ี ้องรักษาดว้ ยวธิ กี ารที่ยุง่ ยาก เช่น การผา่ ตัดรว่ มกบั การให้ยา หรอื ร่วมกับการฉายแสง หรือวธิ ีการอ่ืน ๆ กลุม่ นีม้ ักเป็นกลุ่มที่ไม่สนใจตวั เอง หรือกลมุ่ ท่ีดอ้ ยโอกาส ในการเขา้ รับบริการสขุ ภาพ ไดร้ บั การตรวจวินิจฉยั ช้า ปล่อยให้ตนเองมีอาการมากเขา้ จึงเขา้ รับการ ตรวจวินจิ ฉยั หรอื ในบางกรณีมีการดำเนนิ โรคเรว็ ทำให้มีอาการรนุ แรง ในระยะสน้ั ๆ เช่นโรคฉี่หนู ท่ี เชือ้ โรคเขา้ ไปทำลาย ปอดตบั หรอื ไต ทำให้เสยี ชวี ติ ได้โดยง่าย
48 4. ระยะไร้ความสามารถ เป็นระยะท่ีโรคเข้ามาสรู่ ะยะสุดท้าย ผลลัพธ์ของโรคใน ระยะน้ี ขนึ้ อยู่กับชนิดของเช้ือโรค สาเหตุของโรค การไดร้ บั การรกั ษาท่ีมีประสิทธิภาพ และการรักษา ทที่ นั ท่วงที ตลอดจนการฟืน้ ฟูสภาพ รวมทง้ั พฤตกิ รรมของผู้ป่วย ทีจ่ ะสง่ เสรมิ หรอื ยับยงั้ ความ รุนแรงของโรคด้วยตนเอง ผลทีเ่ กดิ ในระยะน้ี ได้แก่ ตาย เจบ็ ป่วยเร้ือรงั มีความพิการ และที่ดที ่สี ดุ คือ หายจากโรค 6. หลักและวธิ กี ารปอ้ งกัน และ ควบคุมโรค ความหมาย และ ความสำคัญของการปอ้ งกนั โรค การป้องกันโรค หมายถึง การดำเนินการใด ๆ เพือ่ สกดั ก้นั ไมใ่ ห้เกดิ โรค กบั บคุ คล ไปจนถงึ การหยุดยงั้ การลุกลามของโรค ไมใ่ หเ้ กิดผลเสียต่อผ้ปู ่วย รวมท้ังการสกัดกนั้ ไมใ่ หเ้ กิดโรค กับคน จำนวนมากในชมุ ชน ดว้ ย หลกั การดำเนินงานในการปอ้ งกันโรค (อัมพร เจรญิ ชยั และ เปร่ืองจิตร ฆารรัศมี ,2545) การปอ้ งกันโรคมหี ลักทส่ี ำคัญคือ ต้องแก้ไขท่ปี จั จยั ท่มี ีผลต่อการเจบ็ ปว่ ย โดยต้องดำเนินการ โดยมงุ่ ท่ีการปรบั ปรุงปจั จยั ทเี่ ปน็ ต้นเหตุของการเกิดโรค ต้ังแตก่ ารสกัดไม่ให้ตัวก่อโรคเขา้ สรู่ ่างกายผู้ มีภมู ิไวรบั ลดประมาณตวั ก่อโรคในแหลง่ โรค สกัดก้ันไม่ให้ตวั กอ่ โรคออกจากแหล่งโรค ไปเขา้ สู่ ร่างกายผูม้ ภี ูมิไวรับ เพ่ิมความตา้ นทานใหแ้ ก่ผทู้ ีม่ ภี ูมิไวรับ แก้ไขสภาพแวดลอ้ มไมใ่ ห้อำนวยตอ่ การ เพ่มิ ปริมาณตัวก่อโรค และ สัตว์นำโรคต่าง ๆ และ ในทสี่ ดุ ตอ้ งมีการปรับสภาพรา่ งกาย ผู้ทม่ี ภี มู ิไวรับ ใหส้ ามารถต้านทานโรค ไม่ให้ดำเนินต่อไปได้ ระดับของการดำเนนิ การป้องกนั โรค แบง่ ออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ 1. ระดบั ปฐมภมู ิ (primary prevention) เป็นการป้องกันโรคล่วงหนา้ เปน็ การป้องกนั โรคกอ่ นระยะเกดิ โรค เปน็ วธิ ีการทย่ี อมรบั ว่ามปี ระสทิ ธภิ าพมาก ประหยัดทสี่ ุด และได้ผลมากที่สุด ซึ่งสามารถแบ่งกจิ กรรมออกเปน็ 2 กลุม่ ได้แก่ 1.1 การปอ้ งกันโรคทัว่ ไป ไดแ้ ก่กจิ กรรมต่าง ๆ ทีส่ ง่ เสรมิ สุขภาพ ทั้งทางร่างกาย และ จติ ใจ ไดแ้ ก่ 1.1.1 การใหส้ ขุ ศึกษา เก่ยี วกับความร้ทู ่ัวไปในการป้องกันโรค การ เปลี่ยนแปลงทัศนคติ และการปรบั ตวั ใหถ้ ูกหลักสุขวทิ ยาส่วนบุคคล และชุมชน 1.1.2 การจดั โภชนาการให้ถูกต้องตามมาตรฐาน เหมาะสมกบั กลุ่มอายุ เช่น การรับประทานอาหารให้ครบทงั้ 5 หมู่ รบั ประทานอาหารใหค้ รบทั้ง 3 ม้ือ ในจำนวนท่ี พอเหมาะกบั รา่ งกาย และ ปริมาณงานท่ที ำในแต่ละวัน 1.1.3 กจิ กรรมท่ีส่งเสรมิ ในด้านการเลยี้ งดูเด็กทถี่ ูกต้อง ทง้ั การเจริญ เตบิ โตในด้านร่างกาย และ จิตใจ 1.1.4 การจัดทอ่ี ยู่อาศยั ใหถ้ ูกสุขลักษณะ รวมทั้งการประกอบอาชีพที่ ปลอดภยั และ เหมาะสม
49 1.1.5 การจัดให้มบี ริการดา้ นตรวจสขุ ภาพอนามยั โดยเฉพาะในเดก็ เล็ก หรือ เด็กนักเรียน และในกลุ่มผใู้ หญ่ควรมกี ารตรวจสขุ ภาพปลี ะ 1 ครั้ง 1.1.6 การจดั ใหม้ ีบริการดา้ นการให้คำปรึกษา และ แนะนำเก่ียวกบั เพศศึกษา การสมรส การส่งเสรมิ สขุ ภาพจติ การให้ความรู้เก่ยี วกบั การป้องกัน และ การโภชนาการ 1.2 การปอ้ งกนั เฉพาะอยา่ ง ได้แกก่ ิจกรรมตา่ ง ๆ ทสี่ ง่ เสริมให้ร่างกายมีความ ตา้ นทานตอ่ โรคตา่ ง ๆ การปรบั ปรุงส่ิงแวดลอ้ มไม่ใหเ้ ปน็ แหล่งแพรโ่ รค ได้แก่กิจกรรมต่าง ๆ ที่ เกี่ยวขอ้ งกับ 1.2.1 การให้ภมู ิคุ้มกันเพ่ือป้องกันโรคติดต่อต่าง ๆ ทสี่ ามารถปอ้ งกนั ได้ ดว้ ยวคั ซีน ไดแ้ ก่วคั ซนี ข้นั พนื้ ฐานสำหรับเดก็ และ วัคซีนขั้นเสริม สำหรับกลุ่มตา่ ง ๆ ทีม่ ีความเสยี่ ง ต่อการเกดิ โรค เช่น วณั โรค คอตบี ไอกรน บาดทะยัก ตับอักเสบ คางทูม หัด หัดเยอรมนั ไขส้ มอง อักเสบ ท่ีให้ในเดก็ หรือ วคั ซีนชนิดอนื่ ที่ใหเ้ พอ่ื ป้องกนั เชน่ วคั ซนี ปอ้ งกนั ไข้หวดั 2009 ไข้หวดั ใหญ่ ในกลมุ่ ผู้ท่มี ีความเสย่ี งต่อการเกิดโรคเช่นผู้ท่ีป่วยด้วยโรคเรอ้ื รัง เชน่ เบาหวาน ผ้สู งู อายุ เป็นตน้ หรอื การใชอ้ ปุ กรณ์ป้องกนั ต่าง ๆ เชน่ การใช้ถงุ ยางอนามัย ปอ้ งกันโรคเอดส์ และ โรคตดิ ต่อทาง เพศสัมพันธ์ การใสแ่ วน่ ดำ หรือ หนา้ กากเชือ่ มโลหะ เพื่อปอ้ งกนั สายตาจากประกายไฟเช่ือมโลหะ 1.2.2 การจัดหรือปรับปรุงสขุ าภบิ าลส่งิ แวดล้อม ไดแ้ ก่การจดั หาน้ำสะอาด การกำจัดของเสีย และ ส่งิ ปฏกิ ูล การสขุ าภบิ าลอาหาร การกำจดั และ ควบคุมมลพิษ การกำจดั หรอื ควบคมุ สตั ว์ และ แมลงนำโรค การควบคุมสิง่ ท่ีก่อให้เกดความรำคาญต่าง ๆ 1.2.3 การจัดบริการให้ความปลอดภยั ในดา้ นการป้องกนั อบุ ัติภัยจากการ ประกอบอาชีพ การจราจร การเดนิ ทางท่องเท่ียว 2. ระดบั ทตุ ิยภูมิ (secondary prevention) เปน็ การป้องกันในระยะเกิดโรค เมื่อเกิด โรคขนึ้ จุดมุ่งหมายทสี่ ำคัญคือ การระงบั กระบวนการดำเนินของโรค การปอ้ งกันการแพร่เชื้อ และ การระบาดของโรค ไปยงั บุคคลอนื่ ๆ ในชุมชน โดยมีมาตรการดงั นี้ 2.1 การค้นหาผูป้ ว่ ยในระยะเรม่ิ แรก โดยเฉพาะโรคตดิ ตอ่ ที่รา้ ยแรง เพื่อป้องกัน ไม่ให้เชือ้ โรคแพร่กระจายไปสู่ ผอู้ ่นื นอกจากนนั้ ยงั สามารถระงับกระบวนการดำเนนิ ของโรคได้ เพื่อให้การรักษาท่ีถูกต้อง และปอ้ งกนั ไม่ให้โรคตดิ ต่อไปยงั ผอู้ นื่ 2.2 การวินจิ ฉยั โรค และการรักษาท่ีทันทว่ งที จะทำใหส้ ามารถรักษาโรคได้ถูกต้อง และ มีประสิทธภิ าพ 2.3 การป้องกนั การแพร่เชื้อ ท่ีอาจแพร่กระจายไปสู่บุคคลอน่ื ในชมุ ชน เชน่ การ ควบคุมสตั ว์ แมลงนำโรค การทำให้นำ้ สะอาดปราศจากเชื้อโรค การสขุ าภิบาลอาหาร เช่น ปกปิด อาหารจากแมลง หรือ สตั ว์นำโรค เช่น แมลงสาบ หรือ หนู การสุขาภบิ าลสิง่ แวดล้อม เช่น การ กำจัด ขยะ ตามประเภทของขยะ เชน่ ขยะเปียก นำมาทำเปน็ ปยุ๋ หรอื ฝงั ขยะแห้ง ในส่วนท่ีสามารถ นำมาใช้ได้อีก เชน่ กระดาษหน้าเดยี ว ขวดแกว้ เป็นตน้
50 2.4 ใช้มาตรการทางกฎหมาย โดยเฉพาะโรคติดต่อทรี่ ้ายแรง และ อาจส่งผล กระทบต่อคนหมูม่ าก เช่นโรคไขห้ วัด 2009 เปน็ ต้น 3. ระดับตติยภูมิ ( tertiary prevention) เป็นการป้องกนั ในระยะหลัง ภายหลังจากที่ ได้รับตวั ก่อโรคเข้าไป และเกิดอาการของโรคข้ึนแล้ว การดำเนนิ การป้องกนั ไมใ่ ห้เกิดอันตรายตอ่ ผ้ปู ่วยจนถึงพกิ ารในที่สดุ ตวั อยา่ งเชน่ ในกรณีผูป้ ระสบอบุ ัติเหตรุ ถยนต์ และไดร้ บั อันตรายจนเกดิ การบาดเจ็บท่ีศีรษะอย่างรนุ แรงจนหมดสติ การดแู ลประคับประคองในระยะหมดสติ เพื่อป้องกัน สมองตาย จนผปู้ ว่ ยเกิดความพิการ เม่ือฟ้ืนรู้สกึ ตวั ภายหลัง ถอื ว่าเป็นการป้องกันในระยะ ตตยิ ภมู ิ ซง่ึ มาตรการในการป้องกัน เป็นการปอ้ งกนั ความพิการ และให้การฟ้นื ฟสู ภาพตั้งแต่เนน่ิ ๆ 6. การควบคุมโรค (มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช, 2552 ) การควบคุมโรคเป็นมาตรการทม่ี จี ุดม่งุ หมาย เพื่อสกดั ก้นั การเพิ่มจำนวนการเกดิ โรค และ ไม่ให้โรคนน้ั ขยายวงกว้างออกไปในชมุ ชน จนถงึ ข้ันท่ีไมส่ ามารถควบคมุ ได้ ในขณะทีก่ ารป้องกันโรค สว่ นใหญจ่ ะตอ้ งดำเนนิ การก่อนพบตวั ก่อโรค หรือ ก่อนมีอาการปว่ ย แตก่ ารควบคมุ โรคจะ ดำเนินการหลังที่มโี รคเกดิ ข้ึนแล้ว แต่การป้องกัน และ ควบคมุ โรคมีจดุ มุ่งหมายเดยี วกนั คอื การ ยับยัง้ ไม่ให้เกดิ อนั ตรายกับบุคคลและ ชุมชนจากการเกิดโรค โดยเน้นการควบคมุ ไม่ให้ตวั ก่อโรคออก จากแหล่งโรค ไปยงั บุคคลอืน่ ขั้นตอนในการควบคุมโรค เม่อื พบผู้ปว่ ยที่ไดร้ ับตวั ก่อโรคเขา้ ไปในร่างกาย จนกระทั่งมีการเปลย่ี นแปลงทางพยาธสิ ภาพ ของรา่ งกาย และ แสดงอาการ และ อาการแสดงให้เห็นได้ในทส่ี ดุ ตอ้ งดำเนินการดังนี้ 1. พยายามลดผลดา้ นการเจ็บปว่ ยในกลมุ่ ผู้ปว่ ย ผู้ป่วย เปน็ กลุ่มท่มี ีตัวก่อโรคอยู่ ในร่างกาย ที่พรอ้ มจะถา่ ยทอดไปยงั ผู้ทมี่ ภี ูมิไวรับ หรอื ผู้ท่มี ีสภาพรา่ งกายอ่อนแอ การดำเนนิ การวบ คมุ โรคในเบื้องต้น เป็นบทบาทของบุคลากรทางดา้ นสุขภาพทตี่ ้อง เตรยี มการดา้ นการวนิ จิ ฉยั โรค และ เตรียมการด้านการรักษาโรค เพ่ือลดผลด้านการเจบ็ ป่วยในกลุ่มผ้ปู ว่ ย 2. ป้องกันการถ่ายทอดโรคท่ีจะขยายตัวออกไป ได้แก่ 2.1 การกำจัดแหลง่ รังโรค กรณที ี่แหลง่ รงั โรคท่เี ป็นสัตว์ หรอื แมลงนำโรค เช่น ยุงลาย นำโรคไขเ้ ลือดออก ซ่ึงปกติยุงลาจะวางไข่ในนำ้ สะอาด ตามภาชนะบรรจนุ ำ้ ที่อยทู่ ง้ั ใน และ นอกบรเิ วณบา้ น และในภาชนะท่ีไม่ใชแ้ ลว้ เชน่ ขวดแตก ยางรถยนตท์ ี่ไม่ใช้แลว้ ซง่ึ ภาชนะ ดงั กลา่ วอาจอยู่ในสวน หรือในที่ทร่ี กรงุ รงั ไม่ไดม้ ีการทำความสะอาดเปน็ ประจำ การทำลายแหลง่ สามารถทำได้โดยการปรบั ปรุงสุขาภบิ าลสง่ิ แวดล้อม การคว่ำภาชนะทีม่ นี ำ้ ขัง ภาชนะบรรจนุ ้ำใน บ้านควรมฝี าปิด หากเป็นภาชนะบรรจนุ ้ำท่ีไม่มฝี าปดิ เชน่ อ่างน้ำในห้องน้ำ อาจใสท่ รายอะเบท ท่มี ี คุณสมบตั ใิ นการฆ่าลกู น้ำของยุงลาย หรือใสป่ ลาหางนกยงู เพื่อให้กินลูกน้ำยุงลาย เปน็ ต้น 2.2 การลดความสามารถในการแพร่ติดต่อของโรค เป็นการดำเนินการ ทำให้ตวั ก่อโรคมีระยะในการแพร่ติดต่อสนั้ ลง เช่น กรณีการใหว้ คั ซนี โปลิโอชนดิ กนิ ในพื้นทท่ี ี่พบ
51 ผ้ปู ่วยโปลิโอเป็นประจำ มผี ลทำให้เชอื้ โปลโิ อท่ีหลบซ่อนอยู่ในตวั คน ถูกทำลาย ซึง่ มีผลทำให้โอกาส ในการแพรต่ ดิ ต่อลดสั้นลงด้วย ซงึ่ การดำเนินการในลักษณะนี้ตอ้ งมกี ารดำเนนิ การติดตอ่ กนั หลายปี จนสามารถกวาดลา้ งโรคได้ 2.3 การแยกแหลง่ รังโรคออกจากผทู้ มี่ ีภูมิไวรับ หรอื ผทู้ ี่มีร่างกายออ่ นแอ พรอ้ มที่จะรบั เช้ือโรค เปน็ การดำเนนิ การเพื่อลดการถา่ ยทอดเช้ือที่เปน็ ตวั กอ่ โรคให้มโี อกาสสมั ผัสกับ ผู้ที่มีภมู ิไวรบั นอ้ ยลง เชน่ การรบั ผู้ป่วยเขา้ รบั การรกั ษาในโรงพยาบาล เพ่ือแยกผู้ป่วยใหอ้ อกจากคน ปกติ หรอื ผู้ทม่ี ีภูมิไวรบั 2.4 การแยกกกั โรค (Isolation) เป็นมาตรการที่ใชก้ ับผู้ป่วย เพ่อื แยก ผู้ป่วยไม่ใหแ้ พร่ติดตอ่ ไปยงั ผู้อื่น ซง่ึ ต้องมีมาตรการเพื่อใหแ้ น่ใจว่าเชอ้ื โรคจะไมแ่ พรไ่ ปสู่ผู้อ่ืน 2.5 การสขุ าภบิ าลสงิ่ แวดล้อม ได้แก่ การควบคุมสตั วน์ ำโรค การกำจดั ขยะสงิ่ ปฏิกลู การจัดหานำ้ กิน นำ้ ใช้ทส่ี ะอาด การสุขาภิบาลอาหาร การดำเนนิ การดา้ นสขุ าภิบาล เหล่าน้มี ีความสำคัญอย่างยิ่งในการควบคมุ โรคติดต่อทางอาหารและ น้ำ เชน่ โรคอาหารเป็นพิษ อจุ จาระรว่ ง เป็นตน้ 3. เพ่มิ ภูมิตา้ นทานให้กับประชากรเสี่ยง เพื่อใหส้ ามารถต้านทานการติดโรคได้ ไดแ้ ก่ การสร้างเสรมิ ภมู ิคุ้มกันโรค วัคซนี ท่สี ำคญั เช่น คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก หัดเยอรมัน เป็นต้น 7. การปอ้ งกันโรคที่พบบ่อยในชีวิตประจำวัน และ การดูแลเบอ้ื งต้น โรคทีพ่ บบอ่ ย สว่ นใหญเ่ ป็นโรคในระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคไขห้ วัด ไข้หวัดใหญ่ โรคตดิ ต่อทางอาหารและ น้ำ เช่น โรคอุจจาระร่วง อาหารเปน็ พิษ โรคติดต่อทน่ี ำโดยแมลง เช่นโรค ไข้เลอื ดออก และ โรคตดิ ตอ่ ทางเพศสมั พนั ธ์ ไข้หวดั (Cold) เป็นการตดิ เช้ือ ของจมูก และ คอ บางครง้ั เรียก upper respiratory tract infection เกดิ จากเช้ือไวรัส เมอื่ เช้ือโรคเข้าส่รู า่ งกาย จะทำใหเ้ ยื่อจมูก บวม แดง มกี ารหลัง่ ของเมอื กออกมา ผู้ป่วยจะมีอาหารนำ้ มูกไหล ไข้ไมส่ ูงมาก เป็นโรคทีส่ ามารถหายไดเ้ อง ภายใน 1 สปั ดาห์ โดยปกติในผ้ใู หญจ่ ะเปน็ ประมาณ เฉล่ีย 2-4 ครั้ง ตอ่ ปี โรคไขห้ วัด มีความแตกต่างจาก ไขห้ วัดใหญ่ ไขห้ วดั ใหญ่ จะมไี ข้สงู ประมาณ 3-4 วัน ปวดศรี ษะมาก อ่อนเพลยี ปวดเมือ่ ยตามตัวซง่ึ พบได้บ่อย การติดตอ่ เชอื้ นตี้ ดิ ต่อได้ง่าย ในทางเดนิ หายใจ โดยการไอ หรือ จาม เชื้อโรคจะเข้าทางเยอื่ บุ ตา และ ปาก สัมผสั เชอื้ โรคในผู้ปว่ ยทางแกว้ นำ้ เสื้อผา้ การจบู และ สมั ผสั ทางมือทีป่ นเปือ้ นกบั เช้ือโรค การปอ้ งกนั ควรล้างมือบอ่ ย ๆ ไม่ควรเอามือเขา้ ปาก หรอื ขยต้ี า ไมค่ วรใชข้ องสว่ นตวั เชน่ ผา้ เช็ดหนา้ แกว้ นำ้ ร่วมกบั ผอู้ ่นื หลีกเลยี่ งการสัมผัสใกลช้ ิกับผู้ปว่ ย เมื่อมีอาการป่วยควรหยดุ พกั ที่บ้าน เวลา ไอ หรือ จาม ควรใชผ้ ้าปิดปาก และ จมูก ทุกครั้ง การปอ้ งกัน ไข้หวดั ใหญ่ โดยการฉดี วคั ซีน เป็นวคั ซีนทีท่ ำจากเช้ือท่ีตายแลว้ ฉีดปลี ะ 1 คร้งั แตก่ ารฉดี ต้องเลือกผ้ปู ว่ ยดงั ต่อไปนี้
52 1. ผทู้ ่ีมีอายุ มากกวา่ 50 ปี 2. ผูท้ ่ีมีโรคเรอ้ื รงั ประจำตัวเช่น โรคไต โรคหวั ใจ โรคตบั เบาหวาน เอดส์ 3. หญิงตงั้ ครรภ์ ตงั้ แต่ 3 เดือน ข้ึนไป และมกี ารระบาดของไขห้ วัดใหญ่ 4. ผู้ท่ีอาศัยในสถานเล้ยี งคนชรา 5. เจา้ หนา้ ที่สาธารณสขุ ที่ดแู ลผู้ป่วยเรื้อรัง 6. นกั เรียนท่อี ยรู่ วมกัน 7. ผู้ทจ่ี ะเดินทางไปยงั พื้นที่ ท่ีมีการระบาดของไขห้ วัดใหญ่ โรคตดิ ต่อทางอาหารและนำ้ โรคติดต่อทางอาหารและ นำ้ ทีพ่ บบ่อยได้แกโ่ รคอุจจาระร่วง และ โรคอาหารเปน็ พษิ โรคอจุ จาระรว่ ง หมายถึง ภาวะท่มี กี ารถา่ ยอุจจาระเหลว จำนวน 3 คร้ังตอ่ กันหรือ มากกว่า หรือถา่ ยเปน็ นำ้ มากกวา่ 1 ครั้ง ใน 1 วัน หรือถ่ายเป็นมกู หรอื ปนเลอื ดอย่างน้อย 1 ครัง้ สาเหตเุ กดิ จากการตดิ เช้อื ในลำไส้จากเชอ้ื แบคทีเรยี ไวรสั โปรโตซัว ปรสติ และหนอนพยาธิ การติดตอ่ ของโรค โดยการรับประทานอาหารหรือด่ืมน้ำทีป่ นเป้ือนเช้ือท่ีออกมากับอุจจาระของผู้ปว่ ย ระยะฟกั ตัวของโรค อาจส้นั 10-12 ชวั่ โมง หรอื 24-72 ชั่วโมง ขึน้ กับชนดิ ของเชอื้ กอ่ โรค อาการและอาการแสดง อาการอจุ จาระรว่ งเปน็ น้ำ ปวดทอ้ ง คลนื่ ไส้ อาเจยี น การป้องกนั โรคติดต่อทางอาหารและนำ้ 1. เลือกอาหารทผี่ า่ นกระบวนการผลติ อยา่ งปลอดภยั เช่น เลอื กนมท่ีผ่านกระบวนการพาส เจอร์ไรซ์ ผกั ผลไม้ควรล้างด้วยนำ้ ปริมาณมากๆ ให้สะอาดทั่วถงึ 2. ปรุงอาหารให้สกุ ท่ัวถงึ ก่อนรบั ประทาน 3. รับประทานอาหารที่ปรุงสกุ ใหม่ๆ 4. หากมีความจำเป็นต้องเกบ็ อาหารท่ปี รงุ สุกไวน้ านกว่า 4-5 ชวั่ โมง ควรเกบ็ ไว้ในตู้เย็น และ ก่อนทจี่ ะนำอาหารมารบั ประทานความอุ่นใหร้ อ้ น 5. ไมน่ ำอาหารทป่ี รุงสุกแล้วมาปนกับอาหารดบิ อีก เพราะอาหารที่สกุ อาจปนเปื้อนเชื้อโรคได้ 6. ลา้ งมอื ให้สะอาด ไมว่ า่ จะเปน็ ก่อนการปรุงอาหาร กอ่ นรับประทาน และโดยเฉพาะหลงั การเขา้ ห้องนำ้ 7. ดูแลความสะอาดของพน้ื ทส่ี ำหรบั เตรยี มอาหาร ลา้ งทำความสะอาดหลงั การใชท้ กุ คร้งั 8. เก็บอาหารให้ปลอดภยั จากแมลง หนู หรอื สัตวอ์ ่นื ๆ 9. ใชน้ ำ้ สะอาดในการปรุงอาหาร และควรระวงั เป็นพเิ ศษในการใชน้ ้ำเพ่ือเตรียมอาหารเดก็ ทารกได้
53 เมอื่ มีอาการอจุ จาระร่วง ควรปฏบิ ัติ ดังน้ี 1. ให้สารนำ้ ละลายเกลอื แรโ่ อ อาร์ เอส หรือ ของเหลวมากกว่าปกติ เพ่ือป้องกนั การขาดน้ำ 2. ใหอ้ าหารอ่อนยอ่ ยงา่ ย เช่น ข้าวตม้ โจก๊ หรือน้ำขา้ ว หรือแกงจืด ไม่งดอาหาร เพือ่ ป้องกนั การขาดสารอาหาร 3. เมอ่ื อาการโรคอจุ จาระร่วงไม่ดขี น้ึ กค็ วรไปพบเจ้าหนา้ ที่สาธารณสุขหรือแพทย์ไดแ้ ก่ ถ่าย เปน็ นำ้ มากขึ้น อาเจียนบอ่ ย กนิ อาหารไม่ได้ กระหายน้ำกวา่ ปกติ มีไขส้ งู ถา่ ยอุจจาระเป็นมูก หรอื ปนเลือด โรคติดต่อทน่ี ำโดยแมลง โรคติดต่อท่นี ำโดยแมลง ที่พบบอ่ ยได้แก่โรค ไข้เลอื ดออก ไข้มาลาเรยี โดยเฉพาะโรค ไขเ้ ลือดออก พบว่าพบในกลมุ่ อายุท่ีมีอายมุ ากข้นึ ไขเ้ ลือดออก สาเหตโุ รคไขเ้ ลือดออก เปน็ โรคติดต่อท่ีเกดิ จากยงุ ลาย ตัวเมีย บินไปกดั คนที่ปว่ ย เปน็ ไขเ้ ลือดออกโดยเฉพาะช่วงทม่ี ไี ขส้ ูง เชื้อไวรสั จะเพิม่ จำนวนในตวั ยุงประมาณ 8-10 วัน เมอ่ื ยุง กดั คนกจ็ ะแพร่เชอ้ื สูค่ น เช้ือจะอยูใ่ นร่างกายคนประมาณ 2-7 วนั ในชว่ งท่ีมีไข้ หากยุงกดั คนในช่วงนี้ กจ็ ะรับเชอ้ื ไวรัสมาแพร่ให้กับคนอนื่ ได้ ซึ่งส่วนใหญม่ ักจะเปน็ เด็ก โรคนรี้ ะบาดในฤดฝู น ยุงลายชอบ ออกหากินในเวลากลางวนั ตามบ้านเรอื น และโรงเรยี น ชอบวางไขต่ ามภาชนะที่มีน้ำขงั เชน่ ยาง รถยนต์ กะลา กระป๋อง จานรองขาตู้กบั ข้าว แต่ไม่ชอบวางไข่ในท่อระบายน้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง อาการ อาการของไข้เลือดออกไม่จำเพาะ อาการมีได้หลายอยา่ ง ในเด็กอาจจะมเี พยี ง อาการไขแ้ ละผื่น ในผ้ใู หญ่อาจจะมไี ขส้ งู ปวดศรี ษะ ปวดตามตัว ปวดกระบอกตา ปวดกลา้ มเน้ือ หากไม่คิดโรคนอี้ าจจะทำใหก้ ารรักษาช้า ผปู้ ว่ ยอาจจะเสยี ชีวิต ลักษณะท่สี ำคญั ของไข้เลือกออกคือ ไข้สูงเฉียบพลัน ประมาณ 2-7 วัน เบ่ืออาหาร หนา้ แดง ปวดศีรษะ รว่ มกับอาการคลน่ื ไส้ อาเจยี น และอาจมีอาการปวดทอ้ งรว่ มด้วย บางรายอาจมีจุดเลอื ดสแี ดงข้ึนตามลำตัว แขน ขา อาจ มกี ำเดาออก หรอื เลือดออกตามไรฟนั และถ่ายอจุ าระดำเน่ืองจากเลือดออก และอาจทำใหเ้ กดิ อาการช็อกได้ ในรายท่ีชอ็ กจะสังเกตได้จากไขจ้ ะลดแต่ผู้ป่วยซมึ ลง ตัวเย็น หมดสตแิ ละเสยี ชีวติ ได้ การปอ้ งกัน 1. กำจดั แหล่งเพาะพันธุ์ยุง เช่น กะละ ยาง กระป๋อง 2. หาฝาปิดภาชนะบรรจนุ ำ้ เช่น โอ่ง ถังน้ำ หรือใส่ ทรายอะเบท เพ่ือกำจัดลกู น้ำยงุ ลาย 3. ในแหลง่ นำ้ สาธารณะอาจจะเลยี้ งปลาเพอ่ื กินลกู น้ำ 4. ปรบั ปรงุ สขุ าภิบาลส่งิ แวดลอ้ ม เพื่อกำจดั แหลง่ เพาะพันธุย์ ุง สรุป การเจบ็ ปว่ ย เปน็ ภาวะทแี่ สดงออกถึงความไม่สมดุลของร่างกาย ซึง่ โรคทเ่ี กดิ จากการ เจ็บปว่ ยจะมีท้งั โรคตดิ ตอ่ และโรคไม่ติดต่อ การมีความรู้เก่ียวกบั ธรรมชาติการเกดิ โรค การถ่ายทอด โรค จะนำไปสู่ การป้องกันโรคท่ถี ูกต้อง ซึ่งการป้องกันโรคทม่ี ีประสิทธภิ าพมากที่สดุ คือการป้องกัน
54 โรคปฐมภูมิ หรอื การปอ้ งกันโรค ตั้งแต่ท่ยี งั ไมเ่ กิดโรค แต่ เมื่อไมส่ ามารถปอ้ งกันการเกดิ โรคได้ และ มกี ารเกิดโรคในบคุ คลแล้ว กต็ ้องมีการควบคุมโรค เพื่อไม่ใหเ้ กดิ การแพรก่ ระจายของโรค ซึ่งจะ ส่งผลกระทบท้ังในบคุ คล ครอบครัว ชุมชน และอาจสง่ ผลกระทบถึงการท่องเทีย่ ว เศรษฐกิจ และ สงั คมได้ในทส่ี ุด เอกสารอา้ งองิ ฤทัยพร ตรตี รง และ ผจงศลิ ป์ เพงิ มาก. ระบาดวิทยา : แนวคดิ พ้ืนฐาน และ แนวทางการนำไปใช้ . ภาควชิ าพยาบาลสาธารณสขุ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร,์ 2550 . พันธทุ์ พิ ย์ รามสูต. ระบาดวิทยาสังคม. กรงุ เทพ : พ.ี เอ.ลิฟว่งิ , 2540. พพิ ฒั น์ ลักษมจี รัสกลุ . (2546). วิทยาการระบาด : ประยุกตใ์ นงานโรคตดิ เชื้อ. พิมพค์ ร้ังที่ 4. กรุงเทพ ฯ : เจริญดีการพิมพ์. ไพบูลย์ โล่หส์ ุนทร. ระบาดวิทยา . พมิ พ์ครงั้ ที่ 7. กรงุ เทพ : โรงพมิ พ์แห่ง จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2552. มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช. เอกสารประกอบการสอนชุดวิชา การสาธารณสุข ท่วั ไป หน่วยที่ 1– 7 . พมิ พ์ครั้งที 8 .นนทบรุ ี : สำนกั พิมพ์ หาวทิ ยาลัยสุโขทัย ธรรมาธิราช,2552. สพุ ินดา แซ่เตยี ว. การจดั การดา้ นสุขภาพอนามัย. กรงุ เทพ : โรงพิมพ์ประสานมิตร จำกัด,2546. อมั พร เจรญิ ชัย และ เปรอื่ งจิตร ฆารรศั ม.ี (2545) . เอกสารประกอบการสอนวิชาการ พยาบาลชมุ ชน 2. ภาควิชาพยาบาลสาธารณสขุ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ . Beaglehole, R., Bonita, R., & Kjellstrom, T., (1996). Basic epidemiology. Geneva : World Health Organization. Last, J.M. (2001). A dictionary of epidemiology. (4th ed). New York : Oxford University Press. แนะนำเวบ็ ไซต์ทค่ี วรศกึ ษาเพิ่มเตมิ http://www.moph.go.th/ กระทรวงสาธารณสุข http://www.thaincd.com/ สำนักโรคไมต่ ดิ ตอ่ http://www.boe.moph.go.th/ สำนักระบาดวิทยา
http://beid.ddc.moph.go.th / 55 http://www.kmddc.go.th / http://www.aidsthai.org/ สำนกั โรคติดต่ออบุ ตั ิใหม่ สำนักจดั การความรู้ กรมควบคมุ โรคติดต่อ http://thaigcd.ddc.moph.go.th/ สำนกั โรคเอดส์ วัณโรค และ โรคติดตอ่ ทาง เพศสัมพนั ธ์ สำนักโรคติดตอ่ ท่ัวไป
56 คำถามท้ายบท ให้นสิ ติ ระบรุ ายละเอียด การเจบ็ ปว่ ยของตนเอง ในรอบ 6 เดอื นทผ่ี ่านมา ในหัวข้อต่อไปนี้ 1. ระบกุ ารเจ็บปว่ ย หรอื โรค ทเี่ ปน็ จำนวน 1 อาการ หรือ 1 โรค ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................................................... 2. ระบอุ าการที่เป็น ............................................................................................................................. .................................. ......................................................................................................................................... ...................... ............................................................................................................ ................................................... ................................................................................................................................... ............................ 3. ระบุสาเหตขุ องการเจบ็ ปว่ ยคร้งั นี้ ..................................................................................................................................... .......................... ......................................................................................................... ..................................................... . ............................................................................................................................. .................................. ................................................................................................. ........................................................... ... 4. ระบวุ ิธีการดูแลตนเอง และ การปฏิบตั ิตัวเมื่อเจบ็ ป่วย ............................................................................................................................. .................................. .................................................................................................................................. ............................. ............................................................................................................................. .................................. ................................................................................................. ......................................................... ..... ............................................................................................................................. .................................. .......................................................................................................................................................... ..... 5. ระบุกจิ กรรมทเ่ี กีย่ วข้องกบั การ ปอ้ งกัน และ ควบคุมโรคในโรคที่เจ็บปว่ ยครัง้ นี้ ............................................................................................................................................................ ... ............................................................................................................................. .................................. ................................................................................................. .......................................................... .... ............................................................................................................................. .................................. 6. บอกสงิ่ ท่ีไดจ้ ากการทำกิจกรรมน้ี ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .................................. ........................................................................................................................................................... ....
57 ............................................................................................................................. .................................. ................................................................................................................................... ............................
Search
Read the Text Version
- 1 - 17
Pages: