โครงการจัดทาสารสนเทศ พัฒนาการแนวคดิ ของกรมการพัฒนาชมุ ชน สาหรับบคุ ลากรของสถาบนั การพฒั นาชมุ ชน กรมการพฒั นาชมุ ชน
๒ คานา การดาเนินงานของกรมการพัฒนาชุมชนมีผลงานมากมายเป็นที่ประจักษ์สร้างสรรค์วางรากฐาน งานพัฒนาชมุ ชน นบั ตัง้ แตร่ ะยะกอ่ รา่ งสรา้ งองค์การ จนถึงปจั จุบัน ดังน้ัน ผู้จัดทาจึงได้ศึกษาแนวคิด หลักการทางาน และผลงานของอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ในแต่ละยุคเพ่ือให้บุคลากรของสถาบันการพัฒนาชุมชนใช้เป็นแบบอย่างในการทางานเพ่ือให้บรรลุเป้าหมาย ยุทธศาสตรก์ รมการพัฒนาชุมชนตอ่ ไป นางสาวอานตี าร์ เจะเลาะ กรกฎาคม 2562
สารบัญ ๓ คานา หน้า สารบัญ ปรัชญาหลักการพฒั นาชุมชน 5 ตานานพัฒนาชุมชน 6 ความเปน็ มาของกรมการพฒั นาชุมชน 9 ยคุ แรก กอ่ ร่างสรา้ งองค์กร (พ.ศ.2505- 2514) 11 ยคุ ท่ี 2 สร้างพลังชุมชน (พ.ศ 2515- 2524) 18 ยคุ ท่ี 3 สู่ระบบบริหารการพฒั นาชนบทแห่งชาติ (พ.ศ.2525- 2534) 27 ยคุ ที่ 4 เสริมสรา้ งความเขม้ แข็งของชมุ ชน (พ.ศ.2535- 2544) 33 ยุคที่ 5 สู่ยุคใหมข่ องระบบราชการ (พ.ศ.2545- 2554) 39 ยคุ ท่ี 6 พ.ศ.2555-ปจั จบุ ัน 47 การดาเนินงานตามนโยบายสาคญั ของรัฐบาล 48 สัญลักษณ์กรมการพัฒนาชุมชน 49 บรรณานกุ รม 53
๔ “พัฒนา คือ สร้างสรรค”์ คาขวญั พระราชทานของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั เน่อื งใน “วนั พัฒนา” “พัฒนาชุมชนต้องพัฒนาใจคนไปพร้อมกับวตั ถุ” คาขวัญพระราชทาน สมเด็จพระนางเจ้าสิรกิ ิติ์ พระบรมราชนิ นี าถ
๕ ปรชั ญาหลักการพัฒนาชุมชน ปรชั ญาพฒั นาชุมชน หลักความเป็นจริงแห่งชีวิต ที่นักพัฒนาชุมชนยึดถือเป็นสรณะคือ ความเช่ือม่ันและศรัทธา ในมนุษยชาติวา่ มนษุ ย์ทกุ ชวี ิตมีคณุ ค่าและมคี วามหมาย มศี ักดิศ์ รี และ มศี ักยภาพ กล่าวคือ มีฐานะแห่งความเป็นมนุษย์ที่ไม่ควรจะได้รับการเหยียบย่า ดูหมิ่น เหยียดหยาม จากเพื่อน มนุษย์ด้วยกันเอง มีความสามารถจากการเป็นมนุษย์ท่ีควรได้รับการยอมรับและทาให้ปรากฎเป็นจริงในทาง ปฏิบตั จิ ากเพอ่ื นมนุษย์ด้วยกันเอง หลกั การพัฒนาชุมชน หลักการพฒั นาชุมชนทแ่ี ท้จริง คอื หลักประชาชน ๑.เริ่มต้นที่ประชาชน ยืนจุดเดียวกับประชาชน มองโลก มองชีวิต มองปัญหา จากทัศนะ ของประชาชน เพ่ือให้เขา้ ใจปัญหา ความตอ้ งการประชาชนเพื่อใหเ้ ขา้ ถึงชีวติ จิตใจของประชาชน ๒.ทางานร่วมกับประชาชน (ไม่ใช่ทางานให้แก่ประชาชนเพราะจะทาให้เกิดความคิดมาทวงบุญ ทวงคุณจากประชาชนในภายหลัง) การที่จะทาให้ประชาชนเข้าใจปัญหาของตนเองและมีกาลังใจ ลุกขึ้นต่อสู้กับปัญหาช่วยกันคิดช่วยกันแก้ไขปัญหานั้นย่อมมีหนทางท่ีจะกระทาได้โดยไม่ยากห ากเข้าใจปัญหา และเขา้ ถงึ จิตใจประชาชน ๓.ยึด ประชาชนเป็นพระเอก ประชาชนต้องเป็นผู้กระทาการพัฒนาด้วยตนเอง ไม่ใช่เป็น ผู้ถูกกระทาหรือฝ่ายรองรับข้างเดียว เพราะผลของการกระทาการพัฒนานั้น ตกอยู่ท่ีประชาชนโดยตรง ประชาชนเปน็ ผ้รู บั โชคหรือเคราะหจ์ ากการพฒั นา นัน้ ดังนนั้ การพฒั นาชุมชนจึงมหี ลักการท่ีมีจุดหมาย ๓ เชิง ในการพัฒนาทรพั ยากรมนุษยแ์ ละชมุ ชนมนุษยด์ งั นี้ ๑. จุดหมาย เชิงกระบวนการ (Process Goal) เป็นกระบวนการตอ่ เนอื่ งในการพัฒนาความคิด จติ ใจมนุษย์ ใหค้ ิดพึง่ ตนเองมีจติ ใจเอื้อเฟ้ือชว่ ยเหลือเพื่อนมนษุ ย์ ๒. จุดหมาย เชิงสัมพันธภาพ (Relationship Goal) เป็นการทาให้มนุษย์มีความสัมพันธ์ท่ีดี ต่อกันร่วมมือร่วมใจกนั ทางานเพื่อกันและกนั คือ เพื่อกล่มุ ๓. .จุดหมาย เชิงการงาน (Task Goal) เป็นการทางานพัฒนาความเป็นอยู่ของมนษุ ย์เพื่อความ อยเู่ ย็นเปน็ สขุ
๖ ตานานพฒั นาชมุ ชน ก่อนจะเป็นกรมการพฒั นาชุมชน จากบรู ณะชนบท ผา่ นพัฒนาการท้องถ่ิน สกู่ ารพฒั นาชมุ ชน (พ.ศ. ๒๔๘๓-๒๕๐๔) แนวความคิดเก่ียวกับการพัฒนาชุมชนของโลกเกิดข้ึนในช่วงคร่ึงหลังปี พ.ศ. ๒๔๘๓ โดยประเทศใน เ ค รื อ จั ก ร ภ พ อั ง ก ฤ ษ ที่ เ ริ่ ม เ ป ล่ี ย น แ น ว คิ ด เ กี่ ย ว กั บ ก า ร พั ฒ น า ม า เ ห็ น ค ว า ม ส า คั ญ ข อ ง ป ร ะ ช า ช น ในการเป็นแกนกลางของพลังขับทางสังคม แนวความคิดนี้ถูกเผยแพร่ออกไปยังนานาประเทศ จ น เ กิ ด ป รั ช ญ า เ ก่ี ย ว กั บ ก า ร ท า ง า น ร่ ว ม กั น อ ย่ า ง ใ ก ล้ ชิ ด แ ล ะ ส นั บ ส นุ น กั น ร ะ ห ว่ า ง รั ฐ บ า ล กั บ ป ร ะช า ช น ใ น ก า ร ป รั บ ป รุ ง ค ว า ม เ ป็ น อ ยู่ ข อ ง ชุ ม ช น ท่ี รู้ จั ก กั น ใ น ชื่ อ ว่ า ข บ ว น ก า ร พั ฒ น า ชุ ม ช น (Community Development ) การนาแนวคิดการพัฒนาชุมชนมาดาเนินการในประเทศไทยก็ได้อิทธิพล มาจากกระแสการพฒั นาทีเ่ ปลี่ยนแปลงไปดงั กล่าวข้างตน้ เช่นกัน โดยมีความเปน็ มาของการพัฒนาชมุ ชน พ.ศ ๒๔๘๓ ประกาศของกระทรวงมหาดไทยกาหนดให้มีการดาเนินงา นแผนการบูรณะชนบทมี วัตถปุ ระสงค์ ๒ ประการ ๑.สรา้ งสรรค์ชีวติ จิตใจของประชาชนในชนบทให้เหมาะสมท่จี ะเป็นพลเมืองดี ๒.สง่ เสรมิ ให้ประชาชนมีการครองชีพดีข้ึน พ.ศ ๒๔๙๗ กระทรวงศึกษาธิการดาเนินงานพัฒนาการท้องถ่ินในรูปของโครงการมูลสารศึกษาและจัดตั้งศูนย์ ฝึกอบรมศึกษาผู้ใหญ่จังหวัดอุบลราชธานี (ศ.บ.ศ.อ.) โดย UNESCO สนับสนุนเป็น ๑ ใน๖ แห่งของโลก ท่ีผลิต สารนิเทศก์ (อบรม ๒ ปี รุ่นแรกสาเร็จปี ๒๔๙๙ ออกปฏิบัติงานในหน่วยมูลสารศึกษา ในจงั หวัดตา่ งๆ พ.ศ ๒๔๙๙ ก ร ม ป ร ะ ช า ส ง เ ค ร า ะ ห์ ตั้ ง ส า นั ก ง า น พั ฒ น า ก า ร ท้ อ ง ถิ่ น เ ป็ น ส า นั ก ง า น อิ ส ร ะ ข้ึ น ต ร ง กั บ กระทรวงมหาดไทย มุ่งให้ประชาชนมีส่วนร่วม ร่วมคิด ร่วมลงทุน และร่วมแรงงาน เพ่ือแก้ปัญหาท้องถิ่นตาม คติการปกครองระบอบเสรปี ระชาธปิ ไตย พ.ศ ๒๕๐๐ ก ร ม ม ห า ด ไ ท ย ริ เ ริ่ ม โ ค ร ง ก า ร พั ฒ น า ท้ อ ง ถิ่ น ขึ้ น ไ ด้ ท ด ล อ ง ป ฏิ บั ติ มี ค ว า ม เ ป็ น ไ ป ไ ด้ จงึ คดั เลือกปลัดอาเภอเขา้ อบรมเป็น ปลัดอาเภอพัฒนากร ส่งออกปฏิบตั งิ านพัฒนาในเขตพฒั นาทก่ี าหนด พ.ศ ๒๕๐๒ คณะรัฐมนตรีมีมติเม่ือ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๐๒ มอบกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าของเรื่องงาน พฒั นาการท้องถนิ่ และมีมตเิ ม่อื ๕ สงิ หาคม ๒๕๐๒ ใหก้ รมมหาดไทยรบั โอนสารนิเทศ จานวน ๒๖๐ คน และ งานมูลสารศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการมาสังกัดกรมมหาดไทย วันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๐๒ กรมมหาดไทย เปน็ เจ้าของเร่อื งในงานพัฒนาการท้องถน่ิ แหง่ ชาติ แทนกรมประชาสงเคราะห์
๗ พ.ศ ๒๕๐๓ สานักงานพัฒนาการท้องถิ่นได้รับการยกฐานะเป็น ส่วนพัฒนาการท้องถิ่น ขึ้นกับกรมมหาดไทย มหี นา้ ทร่ี ับผดิ ชอบการฝึกอบรมขา้ ราชการพัฒนาท้องถน่ิ แห่งชาติ เจ้าหน้าที่ประสานงานและเป็นศูนยว์ างแผน พฒั นาท้องถนิ่ เปน็ สานักงานเลขาธกิ ารคณะกรรมการพฒั นาท้องถนิ่ แห่งชาติ กฎ ก.พ. ฉบับที่ ๒๔๐ ออกตาม พ.ร.บ. ข้าราชการพลเรือนพ.ศ. ๒๔๙๗ เทียบตาแหน่งปลัดอาเภอ พัฒนากรและสารนิเทศก์ในกรมมหาดไทยว่า”พัฒนากร” (Community development Worker หรือ Community Development Organizer) พ.ศ ๒๕๐๔ รัฐบาลไทยด้วยการสนับสนุนขององค์การสนธิสัญญาเอเชียอาคเนย์ (SEATO) จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือ ทางวิชาการพัฒนาการท้องถ่ินประจาภาคไทย-สปอ. (ศ.ว.พ.) ข้ึนที่จังหวัดอุบลราชธานีเปน็ แห่งแรก ภายหลัง เปลี่ยนชอื่ เป็นศูนย์ช่วยเหลอื ทางวชิ าการพฒั นาชุมชนไทย-สปอ.
๘ รายชื่อ อธิบดกี รมการพฒั นาชมุ ชน (พศ.๒๕๐๕-ปี ๒๕๖๒) ๑. นาย สาย หุตะเจริญ ๑ ตุลาคม ๒๕๐๕ -๓๐ กนั ยายน ๒๕๑๒ ๒. นายประสงค์ อิศรภักดี ๑ ตุลาคม ๒๕๑๒ - ๓๐ กนั ยายน ๒๔๑๔ ๓. นาย พฒั น์ บุญยรตั น์พันธุ์ ๑ ตุลาคม ๒๕๑๔ –๓๐ กันยายน ๒๕๑๘ ๔. นาย นิรุติ ไชยกลู ๑ ตลุ าคม ๒๕๑๘ - ๓๐ กันยายน ๒๕๒๒ ๕. ร.ต.ท. ระดม มหาศรานนท์ ๑ ตุลาคม๒๕๒๒ - ๓๐ กันยายน ๒๕๒๖ ๖. นาย สุวนัย ทองนพ ๑ ตุลาคม ๑๔๑๖- ๓๐ กันยายน ๒๕๓๑ ๗. นาย ศักดา อ้อพงษ์ ๑ ตุลาคม ๒๕๓๑- ๓๐ กันยายน ๒๕๓๒ ๘. ดร.ยุวฒั น์ วฒุ ิเมธี ๑ ตุลาคม ๒๕๓๒ –๓๐ กนั ยายน ๒๕๓๔ ๙. นาย สมิตร กจิ จาหาญ ๑ ตลุ าคม ๒๕๓๔ –๓๐ กนั ยายน ๒๕๓๖ ๑๐. นาย อภัย จันทนจุลกะ ๑ ตลุ าคม ๒๕๓๖- ๓๐ กันยายน๒๕๓๙ ๑๑. นายสมศักดิ์ ศรวี รรธนะ ๑ ตุลาคม ๒๕๓๙- ๓๑ พฤษภาคม๒๕๔๑ ๑๒. นายไพโรจน์ พรหมส์น ๑ มิถนุ ายน ๒๕๔๑-๒๙ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๑ ๑๓. นายจเด็จ อนิ ทรส์ วา่ ง ๑ มนี าคม๒๕๔๓- ๓๐ กนั ยายน ๒๕๔๔ ๑๔. นายสจุ ริต ปจั ฉิมนนั ท์ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๔ –๓๐ กนั ยายน ๒๕๔๕ ๑๕. นายสุจริต นันทมนตรี ๑ ตุลาคม ๒๕๔๕- ๔ มถิ ุนายน ๒๕๔๖ ๑๖. นายชัยสิทธิ์ โหตระกิตย์ ๕ มิถุนายน ๒๕๔๖-๓๐ กันยายน ๒๕๔๘ ๑๗. ดร.นิรนั ดร์ จงวุฒิเวศน์ ๑ ตลุ าคม ๒๕๔๘- ๓๐ กันยายน ๒๕๕๐ ๑๘. นาย ปรชี า บตุ รศรี ๑ ตุลาคม ๒๕๕๐ -๑๙ ตลุ าคม ๒๕๕๑ ๑๙. นายชมุ พร พลรักษ์ ๒๐ ตลุ าคม ๒๕๕๑- ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๒ ๒๐. นาย ไพรตั น์ สกลพนั ธุ์ ๑๖ มนี าคม ๒๕๕๒- ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ ๒๑. นาย มงคล สุระสจั จะ ๑ ตลุ าคม ๒๕๕๒ - ๒๙ เมษายน ๒๕๕๓ ๒๒. นายวเิ ชียร ชวลิต ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๓ -๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๓ ๒๓. นายสรุ ชยั ขนั อาสา ๒๐ ธนั วาคม๒๕๕๓ - ๒๔ พฤจิกายน ๒๕๕๔ ๒๔. นายประภาส บญุ ยินดี ๒๔ พฤจิกายน ๒๕๕๔- ๓๐ กันยายน-๒๕๕๕ ๒๕. นายขวัญชยั วงศ์นิติกร ๑ ตลุ าคม ๒๕๕๕ - ๓๐ กนั ยายน ๒๕๕๘ ๒๖. นาย ไมตรี อินทสุ ตุ ๑ ตลุ าคม ๒๕๕๘- ๑ ตลุ าคม ๒๕๕๘ ๒๗. นายอภชิ าติ โตดิลกเวชช์ ๒ ตุลาคม๒๕๕๘- ๓๐ กนั ยายน ๒๕61 ๒๘. นายนิสิต จันทรส์ มวงศ์ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ – ปจั จุบนั อธิบดกี รมการพฒั นาชุมชน
๙ ความเปน็ มาของกรมการพฒั นาชมุ ชน : รากฐานการพัฒนาชนบทไทย จากพัฒนาการท้องถิ่น ผา่ นกรมมหาดไทย สกู่ รมการพัฒนาชมุ ชน (พ.ศ. ๒๕๐๕-๒๕๕๐) ชนบทไทยเม่ือ ๕๐ ปีก่อนประชากรส่วนใหญ่ยังด้อยความเจริญมีการศึกษาต่า ยากจนเจ้าหน้าท่ีของ รัฐเข้าไม่ถึงประชาชน ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เพ่ือให้การพัฒนาเกิดความยั่งยืนประชาชนต้องเข้า มามีสว่ นร่วมในการตดั สินใจและพฒั นาทอ้ งถิ่นของตนเอง ใน ปีพ.ศ. ๒๕๐๕ ได้มีพระราชบญั ญตั ิปรบั ปรุงกระทรวง ทบวง กรม ฉบบั ที่ ๑๐ และพระราชบัญญัติ โอนกิจการบริหารของกระทรวงมหาดไทย ซ่ึงมีการปรับปรุงใหม่ พ. ศ. ๒๕๐๕ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษเล่มที่ ๗๙ ตอนท่ี ๘๙ เมื่อวันท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๐๕ ให้ แยกงานพัฒนาการท้องถิ่นออกจากกรม มหาดไทยมาตั้งเป็นกรมใหม่ช่ือว่า “ กรมการพัฒนาชุมชน” ส่วนกรมมหาดไทยเปลี่ยนชื่อเป็น“ กรมการ ปกครอง” โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้แถลงต่อสภาฯ ถึงเหตุผลความจาเป็นของการตั้ง หนว่ ยงานใหม่ ดังนั้น กรมการพัฒนาชุมชนจึงก่อตั้งข้ึนเมื่อวันท่ี ๑ ตุลาคมพ. ศ. ๒๕๐๕ โดยพันธกิจ ท่ีกระทรวงมหาดไทยและรัฐบาลมีเจตนารมณ์ มอบหมายให้กรมการพัฒนาชุมชน คือ ปรับปรุงระดับความ เป็นอยแู่ ละมาตรฐานการครองชพี ของประชาชนในหมูบ่ ้านให้ดีย่งิ ขนึ้ โดยเนน้ หนกั ในทางส่งเสรมิ ให้ราษฎรเข้า มาร่วมมือดาเนินงานในแบบการช่วยตวั เองอันเป็นปัจจัยสาคัญตามหลักการพัฒนาชมุ ชนที่วา่ พัฒนากรจะตอ้ ง ทางานกบั ประชาชน มิใชท่ าใหป้ ระชาชนเพอื่ ใหบ้ งั เกดิ ผลสมตามเจตนารมณ์ที่สาคัญ ๓ ประการ
๑๐ ๑. ประชาชนชาวไทยมมี าตรฐานการครองชีพสงู ขึ้น ๒. ทัศนคติของประชาชนเปลี่ยนจาก “ การรอคอยหวังความช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างเดียว” มาเป็น“รว่ มมือกันชว่ ยเหลือตนเอง” ๓. ประชาชนรู้จักสิทธิและหน้าที่ สามารถปกครองตนเองได้ตามวิถีทาง ในระบอบประชาธิปไตย โดยมี“ พัฒนากร” เป็นขา้ ราชการหลักทางานรว่ มกับประชาชนในหมู่บา้ น ตาบล กรมการพัฒนาชุมชนได้ปรับปรุงพัฒนาองค์การอย่างเป็นระบบนับตั้งแต่ได้มีการก่อตั้งข้ึนเมื่อวันท่ี ๑ ตุลาคม ๒๕๐๕ โดยการปรับปรุงกระบวนการทางานและภารกิจให้สอดคล้องกับกระแสการพัฒนา และ สภาพการณ์ของสงั คมในแตล่ ะยุคสมยั ตามความเหมาะสม จาแนกเปน็ ๕ ระยะคือ ระยะแรก : กอ่ ร่างสรา้ งองค์การ (พ. ศ. ๒๕๐๕-๒๕๑๔) ระยะท่ี ๒ : สรา้ งพลังชุมชน (พ. ศ. ๒๕๑๕-๒๕๒๔) ระยะท่ี ๓ : สรู่ ะบบบริหารการพัฒนาชนบทแหง่ ชาติ (พ. ศ. ๒๕๒๕-๒๕๓๔) ระยะที่ ๔ : เสรมิ สรา้ งความเข้มแข็งของชุมชน (พ. ศ. ๒๕๓๕-๒๕๔๔) ระยะท่ี ๕ : สู่ยุคใหม่ของระบบราชการ (พ. ศ. ๒๕๔๕-๒๕๕๔)
๑๑ ยุคแรก ก่อรา่ งสร้างองคก์ ร (พ ศ.๒๕๐๕-๒๕๑๔) การดาเนินงานพฒั นาชุมชนในระยะนเี้ น้นการกระตุน้ ประชาชนให้ร่วมมือกันแก้ปัญหาของตนเองและ หมู่บ้านเพ่ือความมั่นคงของชาติรวมทั้งกระตุ้นให้ประชาชนรับเอาบริการของรัฐบาลมาทาให้เกิดประโยชน์ใน การพฒั นาหมู่บ้านชุมชนของตน ได้มกี ารพัฒนาต้นแบบกิจกรรมพัฒนาชมุ ชนและกระบวนการพัฒนาชุมชนใน หลายเรื่องท่ียังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ การจัดทาแผนพัฒนาชุมชน ๕ ปี การจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ทดลองรูปแบบศูนย์พัฒนาอาชีพสร้างหลักสูตรพัฒนาผู้นาท้องถิ่น พัฒนาระบบการสารวจข้อมูลชุมชน จัดต้ัง องค์กรบริหารการพัฒนาระดับหมูบ่ า้ น ตาบล ในยคุ นมี้ ีอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนผู้มีบทบาทกาหนดทิศทางสร้างสรรค์งานพัฒนาชมุ ชน จานวน 2 ท่าน ไดแ้ ก่ ลาดับท่ี ๑ นายสาย หุตะเจรญิ ดารงตาแหน่ง ๑ ตุลาคม ๒๕๐๕-๓๐ กนั ยายน ๒๕๑๒ มีอุดมการณใ์ นการทางาน คอื รกั ชนบท อดทน ประสานงาน คอื อุดมการณ์ของงานพฒั นาชุมชนเปน็ ผู้ก่อตั้ง กรมการพัฒนาชุมชน ริเร่ิมนาหลักการพัฒนาชุมชนมาใช้ให้กาเนิด พัฒนากร คากล่าว ขอให้พัฒนากรระลึก ไว้เสมอว่าพัฒนากรมีบทบาทและหน้าที่สาคัญท่ีสุดในการพัฒนาคน ให้มีการศึกษาดี มีเงินใช้ไร้ราคา เพอื่ ให้มคี วามร้คู วามสามารถ และรว่ มมอื ในการสรา้ งความเจรญิ ท้งั ทางด้านเศรษฐกจิ และสังคมแก่ชุมชน สหกรณ์ออมทรัพย์กรมการพัฒนาชุมชน จัดต้ังเม่ือ ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ในสมัยของ นายสาย หุตะเจริญ อธิบดีกรมการพฒั นาชมุ ชน เพ่ือเป็นสวัสดกิ ารและชว่ ยเหลอื ข้าราชการและลกู จ้างของกรมการพัฒนาชุมชน ท่ี ประสบปัญหาด้านการเงิน โดยสหกรณ์เป็นแหล่งเงินกู้และแก้ปัญหาทางการเงินของสม าชิก ปัจจุบนั มจี านวนสมาชกิ กว่า ๙ พนั คน และมีสินทรพั ย์รวมกวา่ ๕,๖๕๓ลา้ นบาท ลาดบั ท่ี ๒ นายประสงค์ อศิ รภกั ดี ดารงตาแหน่ง ๑ ตุลาคม ๒๕๑๒-๓๐กนั ยายน ๒๔๑๔ มีอุดมการณ์ในการทางาน คือ การพัฒนาชุมชน เป็นวิธีนาความเปลี่ยนแปลงไปสู่ชนบทให้เจริญ โดยอาศยั ความร่วมมือของประชาชนและเจา้ หน้าท่ีของรัฐบาลเป็นหลกั สาคญั
๑๒ ในระยะแรกของการก่อต้ังกรมการพัฒนาชุมชนได้กาหนดหน้าท่ีของกรมการพัฒนาชุมชน ไว้ ๘ ประการ ตามคาส่ังกรมการพัฒนาชุมชนที่ ๑๐๗ / ๒๕๐๖ ลงวันท่ี ๕ กรกฎาคม ๒๕๐๖ เรื่องการแบ่ง งานและระเบยี บวธิ ีปฏบิ ัติราชการของกรมการพัฒนาชุมชนคอื ๑. ยกมาตรฐานการครองชีพประชาชนในชนบทให้สงู ขนึ้ และมีความมั่นคง ๒. ฝกึ อบรมเจา้ หนา้ ที่และผูน้ าทอ้ งถ่ินเพ่อื ใหเ้ ข้าใจในหลกั การ และ วิธีดาเนนิ งาน ในการพฒั นาชุมชน ๓. ให้การศึกษาและฝกึ อบรมประชาชนใหม้ คี วามรใู้ นแบบและงานฝมี ือสมยั ใหม่ เพ่ือการครองชีพทดี่ ีขึ้น ๔. ส่งเสรมิ และฝึกอบรมประชาชนใหเ้ ข้าใจวถิ ีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย ๕. นิเทศการปฏบิ ัติงานของเจ้าหน้าที่และทาการวจิ ัยและประเมินผลงานพฒั นาชุมชน ๖. เปน็ สถาบันเพอ่ื การศกึ ษาคน้ ควา้ ทางวชิ าการเก่ียวกับงานพฒั นาชมุ ชนของนานาประเทศ ทัง้ ในทางทฤษฎแี ละปฏิบตั ิ ๗. เป็นศนู ยก์ ลางในการบริหารงานพัฒนาชุมชน ประสานการบรกิ ารทางวชิ าการ ของกระทรวง ทบวง กรม และองค์กรต่าง ๆ ที่เกีย่ วข้อง ๘. เป็นสานกั งานเลขาธกิ ารของคณะกรรมการพฒั นาชุมชนแห่งชาติและคณะกรรมการบริหาร และประสานงานพฒั นาชมุ ชนแหง่ ชาติ
๑๓ โครงการปฏบิ ตั ิงานในปี พ. ศ. ๒๕๐๖ มจี านวน ๙ โครงการ ๑. โครงการเปดิ เขตพัฒนาอาเภอ ๒. โครงการฝกึ อบรมเจ้าหน้าที่ ๓. โครงการพฒั นาผนู้ าทอ้ งถิน่ ๔. โครงการพัฒนากลุ่มอาชีพ ๕. โครงการสง่ เสรมิ สาธารณะสมบตั ขิ องชมุ ชน ๖. โครงการพฒั นากิจกรรมสตรี เด็ก และเยาวชน ๗. โครงการส่งเสรมิ และเผยแพร่ ๘. โครงการวจิ ัยและประเมนิ ผล ๙. โครงการศนู ย์ ศวพ.(ศูนย์ช่วยเหลอื ทางวิชาการพัฒนาชมุ ชน) การดาเนินงานพัฒนาชุมชนในระยะน้เี นน้ การกระต้นุ ประชาชนใหร้ ่วมมือกนั แกป้ ัญหาของตนเองและ หมู่บ้านเพื่อความมั่นคงของชาติ รวมทั้งกระตุ้นให้ประชาชนรับเอาบริการของรัฐบาลมาทาให้ เกิดประโยชน์ในการพัฒนาหมู่บ้านชุมชนของตนซึ่งเป็นการส่งเสริมให้โครงการพัฒนาที่หน่วยงานต่าง ๆริเร่ิม ดาเนินการได้บังเกิดผลดียิ่งข้ึนแก่ประชาชน ได้มีการพัฒนาต้นแบบกิจกรรมพัฒนาชุมชนและ กระบวนการพัฒนาชุมชนในหลายเร่ืองที่ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบันบางเรื่องก็มีการพัฒนาต่อในระยะหลังจน กลายเปน็ ระบบของชาติและบางเรือ่ งก็มหี น่วยงานอ่นื นาไปประยกุ ต์ใชอ้ ยา่ งแพร่หลาย งานสาคัญท่ีรเิ ร่ิมและพฒั นาขึ้นมาในระยะนี้ได้แก่ ๑. การพัฒนารูปแบบการจัดทาแผนพัฒนาชุมชน ๕ ปี ซึ่งเป็นรูปแบบของการจัดทาแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมของชมุ ชนระดับตาบลด้วยการดาเนินการวิจยั เชิงปฏิบตั ิการโดยมี นายวิชติ ศุขะวิริยะ รอง อธิบดีฯฝ่ายปฏิบัตินายสุวิทย์ ย่ิงวรพันธุ์ หัวหน้ากองวิจัยและประเมินผลนายเสน่ห์ วัฒนาธร หัวหน้ากองปฏิบัติการ และดร.อมร รักษาสัตย์ ที่ปรึกษางานวิจัยของกรมการพัฒนาชุมชนเป็นผู้ดาเนินการ และท้ายท่ีสุดผลการวิจัยก็ได้นามาแก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจัดทาแผนพัฒนาชุมชน ๕ ปี พ. ศ. ๒๕๐๕ เมื่อเดอื นกนั ยายน ๒๕๐๘ ๒. การจัดต้ังศูนย์พัฒนาเด็กเล็กท่ีบริหารงานโดยชุมชน เพ่ือแบ่งเบาภาระของผู้ปกครองและดูแล เด็กเล็กวัย ๓-๖ ปีให้ได้รับการพัฒนาทั้งร่างกาย จิตใจ และสติปัญญาชุมชนที่จัดการโดยชุมชน และชุมชนได้ สมทบทั้งแรงงาน เงิน วัสดุและสติปัญญาในการดาเนินตั้งแต่สร้างอาคาร ดูแลเด็ก บริหารศูนย์ จนถงึ การหาทุน
๑๔ กรมการพัฒนาชุมชนร่วมกับองค์การยูนิเซฟดาเนินการทดลองโครงการพัฒนาเด็กเล็กเมื่อปี ๒๕๑๐ ในจังหวัดนครปฐม สระบุรี นครราชสีมามิการออกแบบระบบการบริหารศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยชุมชน ภายใต้การดูแลของคณะกรรมการพัฒนาหมู่บ้านและคณะกรรมการพัฒนาตาบล และผู้ดูแลเด็ก (ผดด.) ซึ่งเป็นสตรีในหมู่บ้านอายุ ๑๖-๔๖ ปี ที่ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการพัฒนาหมู่บ้าน และคณะกรรมการพัฒนาตาบลให้ทาหน้าท่ีผู้ดูแลเด็กโดยกรมฯได้พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมผู้ดูแลเด็ก ก่อนประจาการร่วมกับโรงเรยี นอนุบาลละอออุทิศ วิทยาลัยครสู วนดุสิต เป็นหลักสูตรพิเศษใช้เวลา ๙๐ วันผล ของการทดลองเป็นที่สนใจของประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ อย่างกว้างขวางจนถึงปี ๒๕๑๕ มีการขยายเขต ดาเนินงานเพ่ิมอีก ๔ จังหวัดคือ อุดรธานีชัยภูมิประจวบคีรีขันธ์ และสงขลา กรมการพัฒนาชุมชนจึงกาหนด เปน็ นโยบายสง่ เสริมการดาเนินงานศนู ยพ์ ัฒนาเด็กเลก็ ออกไปทัว่ ประเทศตัง้ แต่ ปี ๒๕๑๕ เปน็ ตน้ มา ๓. การทดลองรูปแบบศูนย์พัฒนาอาชีพ การจัดต้ังศูนย์พัฒนาอาชีพทดลองแห่งแรกดาเนินการ ใน ปี ๒๕๑๒ ทต่ี าบลซาผักแพว อาเภอแกง่ คอย จังหวดั สระบุรี โดยการสนับสนนุ จากองค์การแรงงานระหว่าง ประเทศ (ILO) รว่ มกบั หนว่ ยงานตา่ ง ๆ ท่ีเก่ยี วขอ้ ง เพือ่ สรา้ งสถาบนั ฝกึ อบรมอาชพี ในระดับหมู่บา้ นอยา่ งถาวร เ ปิ ด ก า ร ฝึ ก อ บ ร ม รุ่ น แ ร ก เ มื่ อ เ ดื อ น สิ ง ห า ค ม ๒ ๕ ๑ ๑ ก า ร ฝึ ก อ บ ร ม เ น้ น ด้ า น ช่ า ง เ ค รื่ อ ง และการเกษตร และในปี ๒๕๑๔ ได้รับการสนับสนุนจากสานักงบประมาณจัดตั้งศูนย์พัฒนาอาชีพ ขึ้นอีกแหง่ หน่งึ ที่ตาบลหนองบัว อาเภอเมือง จังหวดั กาญจนบรุ ี ๔. การทดลองรูปแบบการพัฒนาหมู่บ้านเกษตรกรรมซึ่งเป็นการนาแนวทางการดาเนินงาน พัฒนาชุมชนท่ีตาบลบอร์โกอามอสซาโน ประเทศอิตาลี มาปรับใช้ โดยการสนับสนุนของบริษัทเชลล์ แห่งประเทศไทยจากัด ดาเนนิ การในปี ๒๕๐๘ ที่ตาบลสารภี อาเภอโชคชยั จังหวัดนครราชสีมาใช้ช่ือว่า โครงการสารภี ต่อมาในปี ๒๕๑๔ มูลนิธิเพ่ือการศึกษา และประชาสงเคราะห์ก็ได้ให้ความช่วยเหลือการดาเนินงานในลักษณะเดียวกันท่ีตาบลขัวมุง อาเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่และตาบลละงู อาเภอละงู จังหวัดสตูลโครงการสารภีนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการริเร่ิมกิจกรรม สาคัญของกรมการพัฒนาชมุ ชนในระยะตอ่ มานั่น คอื กลมุ่ ออมทรัพย์เพื่อการผลติ
๑๕ ๕. การพัฒนาหลักสูตรพัฒนาผู้นาท้องถ่ินประเภทต่าง ๆได้แก่คณะกรรมการพัฒนาหมู่บ้าน คณะกรรมการพัฒนาตาบล ผู้นาเยาวชนผู้นาสตรีโดยหลักสูตรการฝึกอบรมที่พัฒนาขึ้นเป็นเอกลักษณ์ ของการพัฒนาคนตามแบบพัฒนาชุมชนท่ีสาคัญยิ่ง กล่าวคือ เป็นการฝึกอบรมที่มุ่งพัฒนาภาวะผู้นา และทักษะการบริหารจัดการกิจกรรมชุมชน รวมท้ัง การทางานเป็นกลุ่มเป็นสาคัญกรมการพัฒนาชุมชน ได้นาหลักการทางานแบบช่วยกันคิด (Non-directive approach) มาผสมผสานเข้ากับการฝึกอบรม อย่างกลมกลืน ผู้นาท่ีผ่านหลักสูตรนี้ได้กลายเป็นทรัพยากรบุคคลท่ีสาคัญในการบริหารจัดการชุมชน และการจดั ตัง้ กลมุ่ องคก์ รในชมุ ชนในระยะต่อมา ๖. การพัฒนาระบบการสารวจข้อมูลชุมชน ท้ังน้ีด้วยเห็นจาเป็นที่ว่าการทางานด้วยการพัฒนา ชุมชนนั้นเจ้าหน้าที่ต้องมีความเข้าใจในลักษณะของชุมชนและประชาชนท่ีจะเข้าไปทางานด้วยอย่างถ่องแท้ และต้องมีเครื่องบ่งชี้ความก้าวหน้าในการพัฒนาจึงมีการพัฒนาระบบการ สารวจข้อมูลชุมชน ข้ึน และออกเป็นระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการสารวจเบ้ืองต้นเมื่อเปิดเขต พัฒนาอาเภอ พ.ศ. ๒๕๐๙ รวมทั้งออกแบบงานวิจัยและประเมินผลให้มีหน่วยงานรับผิดชอบระดับกองใช้งานวิจัย เป็น“ เสมือนเคร่ืองเรดาร์ที่ค้นหาและแนะแนวทางท่ีเหมาะสมในการปฏิบัติงาน” และใช้การประเมินเป็น“ เครอ่ื งวัดและตาชั่ง” ซง่ึ วัดผลการดาเนินงานว่าตรงตามเป้าหมายหรือไม่ แลว้ นาผลไปเปรียบเทยี บพจิ ารณาว่า งานที่ดาเนินการไปแล้วมีประสิทธิภาพเพียงใดการวิจัยสารวจสภาวะเร่ิมแรกของประชาชนในเขตพัฒนาจึงมี ช่ือเป็นภาษาอังกฤษว่า “ Benchmark Survey” รายงานการสารวจถือได้ว่าเป็นข้ อมูลท่ีสาคัญ ทางประวตั ิศาสตรข์ องชุมชนในปจั จบุ ัน ๗. การพัฒนาระบบการส่งเสริมการพัฒนาแบบช่วยกันคิด ซ่ึงหน่วยงานหลายแห่ง ก็ได้มีความพยายามที่จะใช้แนวทางการทางานรูปแบบน้ีอยู่เช่นกันในขณะนั้น แต่ความเข้าใจและความเชื่อใน การทางานยังไม่ถูกต้องกรมการพัฒนาชุมชนได้ศึกษาค้นคว้าและเผยแพร่เอกสารเกี่ยวกับการทางาน แบบช่วยกันคิดน้ีอย่างจริงจังและกว้างขวาง อีกท้ังมีการวางและพัฒนาระบบงานให้เอื้อกับการทางาน แบบช่วยกันคิดอย่างแท้จริงและได้ทาความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่หลายครั้ง จนเป็นองค์ความรู้สาคัญ ต่อวงการพฒั นาจนถงึ ปจั จุบัน
๑๖ ๘.การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการโดยชุมชน การจัดต้ังให้มีองค์กรบริหารการพัฒนา ระดับหมู่บ้าน ระดับตาบลการวางแผนงานโครงการพัฒนาชุมชน การประชุมปรึกษาหารือระหว่างประชาชน ก า ร มี ศู น ย์ ป ฏิ บั ติ ก า ร ห รื อ ศู น ย์ ก ล า ง ก า ร พั ฒ น า ข อ ง ห มู่ บ้ า น ต า บ ล ท้ั ง ใ น รู ป ข อ ง ศ า ล า ป ร ะ ช า ค ม หรือศูนย์พัฒนาตาบล ล้วนแต่พัฒนารูปแบบให้ชัดเจนข้ึนต้ังแต่ในช่วง ๑๐ ปีแรก ของการก่อต้ังกรม การพัฒนาชุมชนทั้งส้ิน นอกจากน้ี ยังได้ริเร่ิมการคัดเลือกผู้นาท้องถิ่นท่ีมีจิตใจเสียสละเพ่ือส่วนรวม เป็นผู้นาอาสาพัฒนาชุมชนเพื่อช่วยเหลือการทางานของคณะกรรมการพัฒนาหมู่บ้านและคณะกรรม การพัฒนาตาบล ท้ังหมดนี้ก็เพ่ือให้ตาบลสามารถยกระดับขึ้นเป็นองค์การบริหารส่วนตาบล หรอื หนว่ ยการปกครองตนเองได้ในท่ีสดุ ๙. การพัฒนาระบบการประสานงานระหว่างหนว่ ยงานตา่ ง ๆ เพ่ือการพัฒนาชมุ ชน โดยมีแผนการ พัฒนาชมุ ชนและข้อมลู ชุมชนเป็นกลไกไดม้ กี ารปรบั ปรุงแผนการพฒั นาชมุ ชนแห่งชาติและจดั ระบบการบริหาร การพัฒนาชุมชนให้เกิดการประสานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ได้อย่างจริงจังซ่ึงระบบน้ีมีรูปแบบใกล้เคียงกับ ระบบการบริหารการพัฒนาของชาติท่ีใช้ในปัจจุบัน อย่างมาก ข้าราชการของกรมการพัฒนาชุมชนที่ได้รับ แต่งต้ังให้ประจาปฏิบัติงานในตาบล / หมู่บ้านท่ีเปิดเขต พัฒนา คือ “ พัฒนากร” มีบทบาทเป็นตัวเช่ือม ประสานระหว่างหน่วยงานของรัฐกับประชาชนท่ีอยู่ในบ้าน นาเอาปัญหาความต้องการของประชาชนมาให้ หน่วยงานของรฐั พัฒนากร ๑ คนรับผดิ ชอบ ๑ ตาบล และเนอื่ งจากหนว่ ยงานของรฐั มีนอ้ ยและยงั ไมส่ ามารถ ส่งเจ้าหน้าท่ีลงไปปฏิบัติงานในระดับตาบลได้ เพื่อความรวดเร็วและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า “ พัฒนากร” จึงต้องทางานเอนกประสงค์ (Multipurpose Worker) กล่าวคือรับผิดชอบการดาเนินงานพัฒนาชุมชนในทุก ด้านรวมท้ังเป็นผู้นาบริการจากหน่วยงานภายนอกเข้าไปถึงมีประชาชนและขณะเดียวกันก็นาปัญหาความ ต้องการของชาวบ้านมาสู่เจ้าหน้าที่ของรัฐพร้อมกับจัดให้มีเจ้าหน้าท่ีวิชาการประจาอาเภอเรียกว่าพัฒนากร สดย. (สตรีเด็กเยาวชน) จานวน ๓ คนต่ออาเภอโดยให้เป็นผู้รับผิดชอบสนับสนุนทางวิชาการแก่พัฒนากรใน ดา้ นการพัฒนาสังคมการพัฒนาอตุ สาหกรรมในครัวเรือนการพัฒนาการบริโภค และการถนอมอาหาร
๑๗ สรปุ ระยะแรก ในระยะแรกจะเน้นการกระตุ้นประชาชนให้มีร่วมมือกันในการแก้ปัญหาของตนเองและหมู่บ้านเพ่ือ ความมั่นคงของชาติรวมท้ังกระตุ้นให้ประชาชนรับเอาบริการของรัฐบาลมาทาให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนา หมู่บ้านชุมชนของตน และได้มีการพัฒนาต้นแบบกิจกรรมพัฒนาชมุ ชนและกระบวนการพัฒนาชมุ ชนในหลาย เร่ืองที่ยังคง ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ การจัดทาแผนพัฒนาชุมชน ๕ ปี การจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ทดลอง รูปแบบศูนย์พัฒนาอาชีพสร้างหลักสูตรพัฒนาผู้นาท้องถิ่น พัฒนาระบบการสารวจข้อมูลชุมชน จัดต้ังองค์กร บริหารการพัฒนาระดับหมู่บ้าน ตาบล ในยุคน้ีมีอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน จานวน๒ ท่านได้แก่ ๑. นาย สาย หุตะเจริญ ดารงตาแหน่ง ๑ ตุลาคม ๒๕๐๕-๓๐ กันยายน ๒๕๑๒ ๒.นายประสงค์ อิศรภักดี ดารง ตาแหน่ง ๑ ตุลาคม ๒๕๑๒-๓๐กันยายน ๒๔๑๔ มีอุดมการณ์ในการทางาน แต่ละท่านมีอุดมการณ์ในการ ทางานท่ีแตกต่างกันไป โดยส่วนใหญจ่ ะมุ่งเน้นในเรื่องการริเริ่มนาหลักการพัฒนาชมุ ชนมาใช้ให้กาเนิด พัฒนา กรมีบทบาทและหน้าท่ีสาคัญท่ีสุดในการพัฒนาคนและอาศัยความร่วมมือของประชาชนและเจ้าหน้าท่ีของ รัฐบาลเป็นหลักสาคัญ งานสาคัญที่ริเร่ิมและพัฒนาข้ึนมาในระยะนี้ได้แก่๑. การพัฒนารูปแบบการจัดทา แผนพัฒนาชุมชน ๕ ปี ๒. การจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่บริหารงานโดยชุมชน๓. การทดลองรูปแบบศูนย์ พัฒนาอาชีพ๔. การทดลองรูปแบบการพัฒนาหมู่บ้านเกษตรกรรม๕. การพัฒนาหลักสูตรพัฒนาผู้นาท้องถิ่น ประเภทต่างๆ๖. การพัฒนาระบบการสารวจข้อมูลชุมชน๗. การพัฒนาระบบการส่งเสริมการพัฒนาแบบ ช่วยกันคิด๘.การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการโดยชุมชน๙. การพัฒนาระบบการประสานงานระหว่าง หน่วยงานต่างๆ ในระยะน้ีเน้นการกระตุ้นประชาชนให้ร่วมมือกันแก้ปัญหาของตนเองและหมู่บ้านเพ่ือความ มั่นคงของชาติ รวมท้ังกระตุ้นให้ประชาชนรับเอาบริการของรัฐบาลมาทาให้ เกิดประโยชน์ในการพัฒนา หมบู่ า้ นชุมชนของตนเป็นการสง่ เสรมิ ให้เกิดโครงการท่ีเป็นผลดีแกป่ ระชาชนมากข้ึน
๑๘ ยุคที่ ๒ สรา้ งพลังชุมชน (พ.ศ. ๒๕๐๕-๒๕๒๔) ก า ร ด า เ นิ น ง า น พั ฒ น า ชุ ม ช น ใ น ร ะ ย ะ นี้ เ น้ น ก า ร ท า ง า น ต า ม แ น ว ค ว า ม คิ ด ก า ร มี ส่ ว น ร่ ว ม ของประชาชน ส่งเสริมใหป้ ระชาชนรูจ้ กั การช่วยเหลือตนเองและชมุ ชนยิ่งข้ึนเน้นยทุ ธศาสตร์ต่อสู้กบั การแทรก ซึมของคอมมิวนิสต์ให้ความสาคัญต่อการสร้างผู้นาและการรวมกลุ่มให้มีกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆข้ึน ในหมู่บ้าน / ตาบลเพ่ือเป็นฐานหรือเป็นพลังในการพัฒนา นอกจากน้ียังได้ริเริ่มงานอาสาสมัครขึ้น โดยมีจดุ หมายที่สาคญั ได้แก่ การสร้างพลงั ของหมู่บา้ น (ชมุ ชน) ให้เกิดขน้ึ แล้วนาพลังน้นั มาใช้ประโยชนใ์ นการ พฒั นา ใ น ยุ ค น้ี มี อ ธิ บ ดี ก ร ม ก า ร พั ฒ น า ชุ ม ช น ผู้ มี บ ท บ า ท ก า ห น ด ทิ ศ ท า ง ส ร้ า ง ส ร ร ค์ ง า น พั ฒ น า ชุ ม ช น จานวน ๓ ท่าน ได้แก่ ลาดับท่ี ๓ นายพฒั น์ บุญยรัตน์พันธุ์ ดารงตาแหน่ง ๑ ตลุ าคม ๒๕๑๔ – ๓๐กนั ยายน ๒๕๑๘ มอี ดุ มการณ์ในการทางาน คือ สร้างพลงั ชุมชนและใช้พลังชมุ ชนในการพฒั นาชุมชน คาปฏิญาณของนกั ปกครอง ความทกุ ข์ของประชาชนอยู่ท่ีไหนเราตอ้ งไปทีน่ ั้น ลาดับท่ี ๔ นายนริ ตุ ิ ไชยกลู ดารงตาแหน่ง ๑ ตุลาคม ๒๕๑๘-๓๐ กันยายน ๒๕๒๒ มีอดุ มการณ์ในการทางาน คือ ขยันเช่ือมั่น ประสานงาน คอื อดุ มการณข์ องงานพฒั นาชมุ ชน ลาดบั ที่ ๕ ร.ต.ท. ระดม มหาศรานนท์ ดารงตาแหนง่ ๑ ตลุ าคม ๒๕๒๒-๓๐ กนั ยายน ๒๕๒๖ มีอุดมการณ์ ในการทางาน คือ เสียสละ มานะ อดทน ร่วมช่วยเหลือ เพ่ือสร้างสรรค์ คุณภาพของคน ท้งั จากองคก์ ารเอกชน ราษฎร และราชการ คอื อดุ มการณข์ องงานพัฒนาชมุ ชน
๑๙ ระยะสร้างพลังชุมชนเน้นการทางานตามแนวคิดการมีส่วนร่วมของประชาชน ส่งเสริม ให้ประชาชนรู้จักการช่วยเหลือตนเองและชุมชนยิ่งขึ้น ให้ความสาคัญต่อการสร้างผู้นาและการรวมกลุ่ม ให้มกี จิ กรรมต่าง ๆขึ้น ในหมู่บา้ น / ตาบล เพ่อื เป็นฐานหรือเป็นพลงั ในการพัฒนา เริ่มงานอาสาสมัคร มีจุดหมายท่ีสาคัญ คือ การสร้างพลังของหมู่บ้าน (ชุมชน) ให้เกิดข้ึนแล้วนาพลัง น้นั มาใชป้ ระโยชน์ในการพัฒนา พ. ศ. ๒๕๑๕ มีการเปลี่ยนแปลงองค์กรบริหารการพัฒนาระดับตาบล โดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบบั ที่ ๓๒๖ ลงวนั ที่ ๑๓ ธนั วาคม ๒๕๑๕ ให้มีสภาตาบลเป็นองคก์ รเดียว โดยพัฒนากรเปน็ ที่ปรึกษา บทบาทของกรมการพัฒนาชุมชน ปรบั เป็นดังน้ี ๑. ร่วมกับประชาชนในการยกระดับการครองชีพให้สูงข้ึนสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ๒. แก้ปัญหาอุปสรรคและความเดือดร้อนของประชาชนเก่ียวกับปัจจัยขั้นพื้นฐานที่จาเป็น ในการดารงชวี ิต ๓. ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการพัฒนาท้องถิ่นที่จาเป็น และเกินขีดความสามารถ ของประชาชน ๔. ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ผู้นาท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่อื่นๆท่ีเกี่ยวข้องเพื่อเผยแพร่ และใหค้ วามร้ใู นหลักการและวธิ ีการพฒั นาชมุ ชน ๕. ให้การศึกษาและฝึกอบรมการประกอบอาชีพ และดาเนินชีวิตในครอบครัว แก่ประชาชน ระดบั การครองชีพและสุขภาพอนามัย ๖.ส่งเสรมิ และรกั ษาไวซ้ ่ึงขนบธรรมเนยี มประเพณี และวฒั นธรรมอนั ดงี าม ๗. สนับสนุนการกระจายอานาจการปกครองท้องถ่ินโดยฝึกดาเนินงานตามระบอบประชาธิปไตยขน้ั พน้ื ฐานแก่ประชาชน ๘. ศึกษาวิจัยและประเมินผลงานพัฒนาชุมชนท้ังในทางทฤษฎีและปฏิบัติเพ่ือเสนอ แนวคดิ หลักการ วธิ กี าร และผลการดาเนนิ งาน ๙. สนับสนุนให้บุคคล กลุ่มบุคคล และอาสาสมัครเอกชนใช้ความรู้ความสามารถให้เป็นประโยชน์ต่อ ชมุ ชน สังคมและประเทศชาติ
๒๐ ๑๐. เป็นศูนย์กลางบริหารงานพัฒนาชุมชนและทาหน้าที่ประสานงานกับกระทรวง ทบวง กรม และองค์กรตา่ ง ๆที่เกีย่ วขอ้ ง ๑๑. เป็นสานักงานเลขาธิการของคณะกรรมการบริหารและประสานงานพัฒนาชุมชนและกรรมการ อ่ืน ๆ ทสี่ นบั สนนุ ๑๒. หน้าท่ีอ่ืน ๆ ตามท่ีรัฐบาลหรือกระทรวงมหาดไทยมอบหมายนอกจากนี้ยังมีการปรับโครงสร้าง องค์การของกรมการพฒั นาชุมชนในปี ๒๕๑๙ ทาให้มกี ารปรบั โครงการปฏิบัติงานเป็น ๑๒ โครงการ ดังนี้ ๑. โครงการพัฒนาผู้นา ๒. โครงการพฒั นากลมุ่ อาชพี ๓. โครงการพฒั นาเยาวชน ๔. โครงการพัฒนาสตรี ๕. โครงการพฒั นาเด็ก ๖. โครงการพฒั นาอาสาสมคั ร ๗. โครงการสง่ เสริมสาธารณสมบตั ขิ องชุมชน ๘. โครงการส่งเสริมความสัมพันธ์ ๙. โครงการสง่ เสรมิ การใชเ้ วลาวา่ งให้เป็นประโยชน์ ๑๐ โครงการฝกึ อบรมเจ้าหนา้ ที่ ๑๑. โครงการวิจัยและวางแผน ๑๒. โครงการพัฒนาพิเศษ ในช่วง ๑๐ ปีนก้ี ารบริหารงานพฒั นาชมุ ชนได้ปรบั ปรุงถงึ ๒ ครงั้ ดังนี้ คร้ังท่ี ๑ : โครงสร้างการพัฒนาชมุ ชน ๔-๔-๕-๔ ๑. ๑ นโยบายการพฒั นาชมุ ชน ประกอบด้วย ๑) ขจัดความขดั แย้งระหว่างประชาชนต่อประชาชนและตอ่ รฐั บาล ๒) ปรบั ปรงุ ส่งเสริมการครองชีพของประชาชนในชนบทใหส้ งู ขึน้ ๓) สง่ เสรมิ ความสามารถของกลมุ่ บคุ คลในการทางานรว่ มกนั ๔) ส่งเสริมประชาชนในหมู่บ้านให้มีความพึงใจมีความเชื่อม่ัน และสามารถรับผิดชอบในการพัฒนา และคมุ้ ครองชมุ ชนของตน ๑. ๒ วตั ถปุ ระสงค์การพัฒนาชมุ ชน ประกอบด้วย ๑) เพือ่ ดาเนนิ การให้ประชาชนมีความคิดเหน็ ตรงกันมีศรัทธาอยา่ งเดียวกัน ๒) เพื่อกระตุ้นเตือนประชาชนให้มีความคิดริเร่ิมเกิดความต้องการในสิ่งจาเป็นแก่การดารงอยู่ และร่วมกันทางานตามความสามารถของตน ๓) เพ่ือพัฒนาประชาชนให้มีความรู้ความสามารถสูงข้ึนในการประกอบอาชีพและฝีมือในการทางาน ประเภทต่างๆ ๔) เพ่ือฝึกให้ประชาชนได้ทางานเป็นกลุ่ม เพ่ือให้เกิดพลังในการทางาน และฝึกหัดการดาเนินงาน แบบประชาธิปไตย
๒๑ ๑. ๓ เปา้ หมายของการพัฒนาชมุ ชน ประกอบด้วย ๑) เร่งการเพิ่มผลผลติ เพิ่มรายได้ และลดรายจ่ายของชุมชน ๒) ปรบั ปรุงสง่ เสริมสง่ิ แวดล้อมในชุมชนใหด้ ขี ้ึน ๓) ปรับปรงุ ส่งเสรมิ การอนามัยและสุขาภบิ าล ๔) ส่งเสรมิ การศึกษาและวัฒนธรรม ตลอดจนให้เรียนรู้ในสงิ่ จาเปน็ ๕) พฒั นาประชาชนใหใ้ ช้เวลาว่างให้เปน็ ประโยชนต์ ่อตนเองและชุมชน ๑. ๔ จดุ ม่งุ หมายการดาเนนิ งานพัฒนาชุมชน ประกอบด้วย ๑) มงุ่ แปรเปลย่ี นทัศนะของประชาชน ๒) สรา้ งศรัทธาให้เกิดขนึ้ ในหมปู่ ระชาชน ๓) สง่ เสริมใหเ้ กดิ การรวมกลมุ่ ๔) ส่งเสรมิ ให้กล่มุ มพี ลังความสามารถในการปฏบิ ตั งิ าน และครองตนตามระบอบประชาธปิ ไตย ครง้ั ที่ ๒: หลักการปฏบิ ตั ิพิจารณาสภาวการณห์ ลกั การปฏิบตั ิงานพฒั นาชุมชนคอื หลักการ ๔ ป ประชาชน หมายถึง ทางานกับประชาชน พัฒนาทัศนคติของประชาชนทุกเพศ ทุกวัย และพิจารณา สภาวการณแ์ ละปญั หาของชมุ ชน และประชาชนเปน็ หลกั ในการเร่มิ งาน ประชาธิปไตย หมายถึง ทางานในรูปคณะกรรมการ ซ่ึงเป็นตัวแทนของประชาชนในท้องถิ่น ระดับหมู่บ้านตาบล สนับสนุนให้ประชาชนรวมกลุ่มกัน ริเริ่มโครงการและกิจกรรมเพ่ือปรบั ปรงุ ท้องถิ่นตนเอง แ ล ะ อ า ศั ย ห ลั ก ก า ร เ ข้ า ถึ ง ป ร ะ ช า ช น ใ น ก า ร ท า ง า น แ ล ะ ร่ ว ม ง า น กั บ ผู้ น า ท้ อ ง ถ่ิ น แ ล ะ ป ร ะ ช า ช น ในรูปกลมุ่ ประสานงาน หมายถึง ร่วมมือและประสานงานกับทุกหน่วยงานองค์การท้ังของรัฐบาลและเอกชน ชักนาบริการของนักวิชาการไปสู่ประชาชนและกระตุ้นให้ประชาชนไปหานักวิชาการเพ่ือรับ บริการ ตามความตอ้ งการโดยเหมาะสม พฒั นากร จะเปน็ ผเู้ ชอื่ มประสานงานระหว่างนักวชิ าการกบั ประชาชน ประหยัด หมายถึง ให้ประชาชนช่วยตนเองเป็นหลัก รัฐช่วยเหลือในส่ิงท่ีเกินความสามารถ ของประชาชนเท่านั้น ในการจดั ทาโครงการกจิ กรรมตา่ ง ๆ พยายามนาทรพั ยากรในท้องถ่ินทงั้ ในด้านกาลังคน และวัสดุมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากท่ีสดุ ทุกฝ่ายร่วมกันคิดและวางแผนการปฏิบัติงานตามโครงการไวล้ ่วงหน้า ผลงานระยะนี้เนน้ ยุทธศาสตร์ต่อสู้กับการแทรกซึมของคอมมวิ นิสต์ การสร้างและการพฒั นาความสัมพนั ธ์ทาง สังคมในชุมชน งานสาคัญๆ ที่รเิ รม่ิ และพฒั นาในระยะนี้ ไดแ้ ก่ ๑. การพัฒนาข้ันตอนการส่งเสริมและพัฒนากลุ่มให้เป็นองค์ความรู้สาคัญในการพัฒนากล่มุ องค์กร ชุมชนทใ่ี ช้กนั แพรห่ ลายในปัจจุบนั และไดร้ ับการนาไปอ้างอิงเชงิ วชิ าการอยู่เสมอ ซ่งึ เรยี กว่าหลกั การ ๓ ขน้ั ๘ ตอนของการพัฒนากล่มุ
๒๒ ๒. การพัฒนารูปแบบศูนย์เยาวชนชุมชนโดยให้มีการจัดตั้งศูนย์เยาวชนระดับตาบลขึ้นโดยให้ใช้ อาคารศูนย์พัฒนาตาบลหรือที่ทาการของคณะกรรมการพัฒนาตาบล เพ่ือเป็นศูนย์รวมการติดต่อสื่อสัมพันธ์ และใหก้ ารสนับสนนุ ซง่ึ กันและกนั ระหว่างสมาชิกของกลมุ่ เยาวชนประเภทกิจกรรมต่าง ๆ นอกจากนี้ยังทาหน้าท่ีสนับสนุนกิจกรรมและประสานกิจกรรมให้ต่อเนอื่ งกับกิจกรรมของกลุ่มคนวัยอื่น ๆ ท้ังในระดับตาบลและหมู่บ้านช่วยให้ความรู้และให้ความช่วยเหลือท่ีผู้ปกครองของสมาชิกศูนย์เยาวชนด้วย พร้อมกบั ออกแบบการบรหิ ารงานศนู ย์เยาวชน ใหม้ ีองค์กรบรหิ ารงานศูนย์เป็นเยาวชนในตาบลนั้นและมีที่ปรึกษาเปน็ ผู้นาเยาวชนท่ีพ้นวยั เยาวชนไปแล้วและ ผู้นาชุมชนอื่นๆ อันเป็นรูปแบบของการบรหิ ารจดั การโดยชมุ ชนอีกกิจกรรมหน่งึ ๓. ทดลองจัดต้ังศูนย์ฝึกอบรมเยาวสตรี ในจังหวัดภาคเหนือข้ึนเพื่อฝึกอบรมเยาวสตรีในภาคเหนือ ให้สมเป็นกุลสตรีมีความรู้ความสามารถพอท่ีจะประกอบอาชีพและมีชีวิตอยู่ในสังคมได้ด้วยดีและเป็นตวั อยา่ ง แก่เยาวสตรีอ่ืนๆในหมู่บ้านชนบทอีกด้วยกรมการพัฒนาชมุ ชนได้นาโครงการนี้เสนอต่อคณะกรรมการส่งเสริม เยาวชนแห่งชาติ สภาบริหารคณะปฏิวัติ และสานักงบประมาณได้รับความเห็นชอบในหลักการให้ดาเนินงาน เป็นการทดลองก่อนในปีงบประมาณ ๒๕๑๖ โดยใช้สานักงานพัฒนาชุมชนเขต ๕ จังหวัดลาปางเป็นสถานท่ี ฝกึ อบรมทดลองฝกึ อบรม ๒ รุ่นรวม ๑๐๐ คน
๒๓ ๔. ริเริ่มให้มีวันกตัญญู เพ่ือยกฐานะผู้อาวุโสในชุมชนให้สูงขึ้นเพื่อให้พ้นวิถีทางของการต่อต้านการ เปลี่ยนแปลงโดยส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวบ้านในเขตพัฒนาทุกแห่ง ร่วมมือร่วมใจกันแสดงออกซึ่งความ กตญั ญูตอ่ ผู้อาวุโสอันมีพระคุณอยา่ งพร้อมเพียง และเป็นกิจจะลกั ษณะ ทั้งใหถ้ อื ว่าวันนนั้ เปน็ วันสาคัญเรียกว่า “ วันกตัญญู” อันเป็นการจรรโลงวัฒนธรรมอันดีงามของชาติให้มั่นคงถาวรสืบไปช่ัวกาลนานโดยถือเอาวัน สารท กลางปีเป็นวันกตัญญูดาเนินการประกอบพิธีตามขนบประเพณีและศาสนาของชุมชนนั้น ๆ ซ่ึงต่อมาได้ ผนวกเข้ากับงานพฒั นาเยาวชน และกาหนดใหว้ นั ที่ ๑๓ เมษายนของทกุ ปี เปน็ วันกตญั ญู ๕. ริเริ่มให้มีกิจกรรมวันพัฒนาโดยถือโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยหู่ ัว ๕ ธนั วาคมของทุกปเี ชิญชวนประชาชนระดมพลังพัฒนาสภาพแวดลอ้ มในหมู่บ้านถวายเป็นราช สักการะจนปัจจุบันทุกหน่วยราชการได้ร่วมกันจัดงานวันพัฒนาในช่วงวันท่ี ๔-๖ ธันวาคมของทุกปีจนเป็น ประเพณีไปแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราช ทาน คาขวัญเนื่อ งในวัน พั ฒ น า คอื “ พฒั นาคือสรา้ งสรรค์” เพอื่ เป็นแนวทางในการปฏิบัติตวั และปฏบิ ัตหิ น้าทขี่ องนกั พัฒนา
๒๔ ๖. ริเรม่ิ การสง่ เสรมิ กีฬาชนบท โดยส่งเสรมิ ความสาคญั ของการกีฬาสละท่ีดินของตนเพ่ือสร้างสนาม กีฬาของชุมชนซึ่งต่อมาได้ผนวกไว้กับโครงการพัฒนาเยาวชน และมีการจัดการแข่งขันกีฬาเยาวชนบทเป็น ประจาทุกปี ๗. ส่งเสริมการพัฒนาห้องสมุดชนบท โดยให้มีห้องสมุดอยู่ตามศูนย์พัฒนาตาบลเพ่ือการส่งเสริม การศึกษาแก่ประชาชนและเยาวชนในชนบทให้มีนิสัยรักการอ่าน รู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์และเป็น แหล่งค้นควา้ หาความรูด้ ้วยตนเอง ๘. ริเริ่มการประกวดหมู่บ้านพัฒนาดีเด่น โดยร่วมกับองค์การ สปอ. ให้หมู่บ้านได้มีโอกาสแสดงผล งานอันเป็นเกียรติยศแก่หมู่บ้านและตาบลนั้น ๆโดยให้จังหวัดคัดเลือกหมู่บ้านท่ีมีลักษณะดีเด่น สง่ เข้าประกวด ซง่ึ เป็นตน้ แบบของการประกวดหมูบ่ า้ นในระยะต่อมา ๙. พัฒนาต้นแบบกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตโดยเร่ิมทดลองในพื้นที่โครงการสารภี ๒ แห่ง คอื ตาบลขัวมงุ อาเภอสารภี จังหวัดเชยี งใหม่ และ ตาบลละงู อาเภอละงู จงั หวดั สตูล โดยมีวัตถปุ ระสงค์เพอื่ ให้ เป็นสถาบันพัฒนาคนพัฒนาคุณธรรมในชุมชน พัฒนาเงินทุนระดับท้องถ่ินในการพัฒนาอาชีพ และ สวสั ดิการของชมุ ชนเปน็ ศนู ยบ์ ริหารวชิ าการต่าง ๆ ในการพฒั นาอาชีพอีกท้งั ใหก้ ารบรกิ าร ทางดา้ น การตลาดการจัดหาทุนและวัสดุอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพของสมาชิกสนบั สนุนใหส้ มาชิกรู้จกั การสะสมทุน ออมประหยัด ซง่ึ ปจั จบุ นั ได้ขยายผลออกไปอย่างแพร่หลาย “ กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต” ใช้“ เงิน” เป็นเคร่ืองมือในการพัฒนาคนดาเนินงานโดยยึดหลัก คณุ ธรรม ๕ ประการ คือ ความซ่ือสตั ย์ความเสียสละความรบั ผิดชอบความเห็นอกเหน็ ใจกัน และความไวว้ างใจ ซ่ึงกันและกัน เพ่ือสร้างโอกาสให้ประชาชนยากจนในชนบทเข้าถึงแหล่งทุนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตั้งแต่ใช้ จ่ายยามเดือดร้อนจาเป็นการลงทุนประกอบอาชีพการจัดสวัสดิการต่าง ๆ แก่สมาชิก และผู้ด้อยโอกาสใน ชุมชน มีการพัฒนาธุรกิจของกลุ่ม หลายรูปแบบเช่น การสร้างลานรวมผลผลิต ยุ้ง / ฉาง / ธนาคารข้าวศูนย์ สาธิตการตลาด ปั้มน้ามัน โรงงานแปรรูปผลผลิต โรงงานน้าด่ืมปัจจุบันมีกลุ่มออมทรัพย์เพ่ือการผลิตจานวน ๓๔, ๕๓๐ กลมุ่ มเี งนิ ออมของประชาชน๒๕, 000 ลา้ นบาท
๒๕ ๑๐. พัฒนารูปแบบการดาเนินงานหมู่บ้านพัฒนาทางยุทธศาสตร์ เพื่อต่อต้านการแทรกซึมของ ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์เป็นสาคัญ โดยกาหนดให้มีหมู่บ้านที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ในการพัฒนา เรียกว่า หมู่บ้านพัฒนาเน้นหนักข้ึน หมู่บ้านน้ีจะเป็นหมู่บ้านที่จุดประกายไฟขยายการพัฒนาชุมชนออกไป ทานองเดียวกับไฟลามทุ่ง พร้อมกันน้ันก็ได้กาหนดให้หมู่บ้านพัฒนาเน้นหนักแห่งหน่ึงเป็นหมู่บ้านพัฒนา วิเคราะห์ซึ่งใช้เป็นสถานท่ีทดลองค้นคว้าหาความชานาญในทางวิชาการเฉพาะกรณีไปใช้ในหมู่บ้านพัฒนา เน้นหนักทั่วไป แนวความคิดของหมู่บ้านพัฒนาวิเคราะห์นี้เป็นต้นแบบของ Social lab ของ ศพช. เขตในปัจจุบัน นอกจากนี้ ผลการศึกษาค้นคว้าทดลองในหมู่บ้านพัฒนาวิเคราะห์ยังก่อให้เกิดภารกิจการ ส่งเสรมิ ครอบครัวพัฒนาในเวลาต่อมาอกี ดว้ ย ๑๑. การพัฒนาทฤษฎีการพัฒนา ๓ มิติ เพ่ือเป็นกรอบความคิดในการกาหนดนโยบาย และแนวทางการทางานพัฒนาชุมชนใน ๕ ปีแรกของทศวรรษท่ีสองของกรมการพัฒนาชุมชนโดยช้ีให้เห็น ว่าการทจ่ี ะสรา้ งพลังชมุ ชนและใชพ้ ลังชุมชนเพื่อใหเ้ กิดประโยชน์ต่อชมุ ชนไดน้ ัน้ จาเป็นต้องอาศยั หลกั การสร้าง พลังมวลชนที่มีอยู่ในชุมชนให้มีความสามารถที่จะปรับปรุงสภาพสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์ด้วยตัวของเขา เอง ซึ่งต้องใช้วิธีการพัฒนาท้ังในด้านรูปธรรมและนามธรรมให้เป็นไปอย่างกว้างขวางรวดเร็วได้สัดส่วน และมัน่ คงถาวร ในช่วงท้ายของทศวรรษนี้ระบบการบริหารการพัฒนาของชาติได้มีความเคลื่อนไหวที่จะปฏิรูประบบ คร้ังใหญ่ กรมการพัฒนาชุมชนก็ได้มีส่วนเข้าร่วมในการพัฒนาระบบดังกล่าวกับสานักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติด้วย และเพื่อสนับสนุนการเปล่ียนแปลงของระบบการบริหารการ พฒั นาของชาติ ระบบการบริหารการพัฒนาชุมชน จึงมีการเปลี่ยนแปลงไปดว้ ยในชว่ งทศวรรษต่อมา ในยุคน้ี “ พัฒนากร” ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ให้ความรู้แก่ประชาชนและสนับสนุนส่งเสริม ให้ประชาชนรวมกันเป็นกลุ่มเพื่อใช้ขบวนการกลุ่มเป็นวิธีการแก้ปัญหาของชุมชน มีหน้าท่ีความรับผิดชอบท้ัง ต่อประชาชน และต่อรัฐในการทางานร่วมกับประชาชนช่วงที่การต่อสู้กับการก่อการร้ายรุนแรง “ พัฒนากร” มีบทบาทในฐานะผู้นาการเปล่ียนแปลง ในช่วงท้ายของทศวรรษน้ีพัฒนากรเปลี่ยนไป มี บทบาท ๓ ประการคอื ๑. เป็นผู้เช่อื มประสานระหวา่ งหนว่ ยงานของรัฐเอกชนกบั ประชาชนตลอดจนและรายงาน ๒. เป็นผู้ร่วมปฏิบัติงานกับองค์กรประชาชนและประชาชนด้านการวางแผนพัฒนาตาบลการจัดการ รวมกลุ่มและปฏิบัตงิ านตามโครงการพัฒนา ๓. เปน็ ผ้สู ่งเสรมิ เผยแพร่ทกั ษะโดยการฝกึ อบรมการสาธิตจัดนทิ รรศการต่าง ๆเพอ่ื เผยแพร่ความรู้ทาง วิชาการด้านตา่ ง ๆ แก่ประชาชน
๒๖ สรุประยะท่ี ๒ ในระยะที่๒ น้ีเน้นการทางานตามแนวความคิดการมีส่วนร่วมของประชาชน ส่งเสริมให้ประชาชน รู้จักการช่วยเหลือตนเองและชุมชนมากขึ้นเน้นยุทธศาสตร์ในการต่อสู้กับการแทรกซึมของคอมมิวนิสต์ และให้ความสาคัญต่อการสร้างผู้นาและการรวมกลุ่มให้มีกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆขึ้นในหมู่บ้าน / ตาบล เร่ิมงาน อาสาสมคั ร มจี ดุ หมายทีส่ าคญั คอื การสร้างพลังของหมบู่ ้าน (ชมุ ชน) ให้เกิดขนึ้ แลว้ นาพลงั นั้นมาใช้ประโยชน์ ในการพฒั นา ในยคุ นม้ี ีอธิบาดีกรมการพัฒนาชมุ ชน จานวน ๓ทา่ น ๑.นายพัฒน์ บญุ ยรัตนพ์ ันธุ์ ดารงตาแหน่ง ๑ ตุลาคม ๒๕๑๔ – ๓๐กันยายน ๒๕๑๘ ๒.นายนิรุติ ไชยกูล ดารงตาแหน่ง ๑ ตุลาคม ๒๕๑๘-๓๐ กันยายน ๒๕๒๒ ๓.ร.ต.ท. ระดม มหาศรานนท์ ดารงตาแหน่ง ๑ ตุลาคม ๒๕๒๒-๓๐ กันยายน ๒๕๒๖แต่ละท่านมี อดุ มการณใ์ นการทางานที่แตกต่างกันไป โดยส่วนใหญ่จะมุง่ เนน้ การสร้างสรรค์ คุณภาพของคนทั้งจากองค์การ เอกชน ราษฎร และราชการ คือ อุดมการณ์ของงานพัฒนาชุมชน สร้างพลังให้ชุมชนได้เกิดการพัฒนา งาน สาคัญๆ ที่ริเร่ิมและพัฒนาในระยะน้ี ได้แก่ ๑. การพัฒนาข้ันตอนการส่งเสริมและพัฒนากลุ่ม๒. การพัฒนา รูปแบบศูนย์เยาวชนชุมชน๓. ทดลองจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเยาวสตรี๔. ริเริ่มให้มีวันกตัญญู๕. ริเริ่มให้มีกิจกรรม วันพัฒนา๖. ริเร่ิมการส่งเสริมกีฬาชนบท๗. ส่งเสริมการพัฒนาห้องสมุดชนบท ๘. ริเริ่มการประกวดหมู่บ้าน พัฒนาดีเด่น ๙. พัฒนาต้นแบบกลุ่มออมทรัพย์เพ่ือการผลิต๑๐. พัฒนารูปแบบการดาเนินงานหมู่บ้านพัฒนา ทางยุทธศาสตร์๑๑. การพัฒนาทฤษฎีการพฒั นา ๓ มติ ิ ในยุคนพี้ ฒั นากรได้รบั มอบหมายเร่ืองการใหค้ วามรู้แก่ ประชาชนและสนับสนุนส่งเสริม ให้ประชาชนรวมกันเป็นกลุ่มเพื่อใช้ขบวนการกลุ่มเป็นวิธีการแก้ปัญหาของ ชมุ ชนเพอ่ื ใหช้ ุมชนได้มพี ลังในการพัฒนาตอ่ ไป
๒๗ ยุคที่ ๓ สูร่ ะบบบริหารการพัฒนาชนบทแหง่ ชาติ (พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๓๔) เป็นระยะท่ีอยู่ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๕ และ ๖ ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลได้ ให้ความสนใจและให้ความสาคัญในการพฒั นาชนบทมากขึน้ โดยเน้นให้ประชาชนรู้จักการช่วยตวั เองและการมี ส่วนร่วมเป็นหลัก มีหน่วยงานลงสู่ชนบทเพ่ิมขึ้นในระยะนี้กรมการพัฒนาชุมชนมุ่งเน้นการปรับปรุงขีด ความสามารถของกลุ่มกจิ กรรมให้เปน็ องคก์ รบริหารท่ีมขี ดี ความสามารถ และมปี ระสิทธภิ าพเพิม่ ขนึ้ ในยุคนี้มีอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนผู้มีบทบาทกาหนดทิศทางสร้างสรรค์งานพัฒนาชุมชนจานวน ๓ ทา่ น ไดแ้ ก่ ลาดบั ที่ ๖ นายสุวนยั ทองนพ ดารงตาแหน่ง ๑ ตลุ าคม ๒๕๒๖- ๓๐กันยายน ๒๕๓๑ มีอุดมการณ์ในการทางาน คือ พัฒนาให้หมู่บ้านในชนบท เป็นที่อยู่รวมกันของชาวบ้านท่ีเขาต้องการ อยู่รว่ มกัน ด้วยผาสกุ ตลอดไป ลาดบั ที่ ๗ นายศกั ดา ออ้ พงษ์ ดารงตาแหนง่ ๑ ตลุ าคม ๒๕๓๑-๓๐ กนั ยายน ๒๕๓๒ มีอดุ มการณ์ในการทางาน คอื คดิ พดู ทา ลาดับท่ี ๘ ดร.ยวุ ัฒน์ วุฒิเมธี ดารงตาแหน่ง ๑ ตุลาคม ๒๕๓๒ –๓๐กันยายน ๒๕๓๔ มอี ุดมการณในการทางาน คือ ระเบียบครบ ระบบดี มีคุณธรรม เป็นผตู้ ่อยอดและพัฒนา กลุ่มออมทรพั ยเ์ พอ่ื การผลิต โดยมแี นวคดิ ใชเ้ งินเปน็ เครอื่ งมือเพือ่ การพัฒนาคน ตาม หลกั คณุ ธรรมประการได้แก่ ความซ่ือสตั ย์ ความเสยี สละ ความรับผิดชอบความไว้ใจและความเหน็ อกเห็นใจกัน
๒๘ เป็นระยะท่ีอยู่ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๕ และ ๖ ซ่ึงเป็นช่วงท่ีรัฐบาล ไดใ้ หค้ วามสนใจและให้ความสาคัญในการพฒั นาชนบทมากขึ้น มีการกาหนดรูปแบบและวิธกี ารปฏบิ ัติท่ชี ดั เจน ตัง้ แตร่ ะดับชาติ จังหวัด อาเภอ และตาบลหมบู่ า้ น โดยเน้นใหป้ ระชาชนรจู้ กั การช่วยตวั เอง และการมสี ่วนร่วม เป็นหลักมีหน่วยงานลงสู่ชนบทเพ่ิมขึ้น มีการยุบเลิกคณะกรรมการบริหารและประสานงานพัฒนาชุมชน คณะกรรมการประสานงานพัฒนาชุมชนส่วนจังหวัดและอาเภอ คณะกรรมการพัฒนาตาบล ให้ใช้โครงสร้าง องค์กรบริหารการพัฒนาชนบทของชาติที่จัดตงั้ ข้ึนใหม่แทนรวมทั้งรัฐบาลได้รบั เอาแนวความคิดเก่ียวกับการมี ระบบข้อมูลและการใช้ระบบแผนมาเป็นส่วนหน่ึงของระบบการบริหารการพัฒนาชนบทของชาติด้วย พร้อม กันน้ันกระทรวงมหาดไทย ก็ได้ให้ยุบเลิกคณะกรรมการพัฒนาหมู่บ้าน และออกข้อบังคับกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยคณะกรรมการหมู่บ้าน พ. ศ. ๒๕๒๖ ให้มีคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) เป็นองค์กรเดียวในการ บรหิ ารงานระดับหมบู่ า้ น ซึง่ ประกอบดว้ ยฝา่ ยต่าง ๆ ๘ ฝ่าย โดยให้อยู่ภายใต้การดูแลของกรมการปกครอง จึงกล่าวได้ว่า เป็นการส้ินสุดของระบบการบริหารที่ ออกแบบและขับเคลื่อนโดยกรมการพัฒนาชุมชนมาเป็นเวลา ๒๐ ปีและเป็นการเริ่มต้นของระบบการบริหาร การพัฒนาชนบทท่ีกลไกต่าง ๆ แทบจะไม่มีความแตกต่างกัน เปลี่ยนแตเ่ พียงสว่ นประกอบบางสว่ นและพลขับ เท่านั้น สาหรับบทบาทของกรมการพัฒนาชุมชน ซึ่งเดิมได้ปูพ้ืนฐานงานพัฒนาโดยให้การศึกษาอบรม ประชาชนให้มีความรู้พ้ืนฐานด้านต่าง ๆ สามารถคิด ทาและแก้ไขปัญหาของตนเองและชุมชนโดยมี คณะกรรมการพัฒนาตาบลและหมบู่ ้านเป็นองคก์ รหลกั ในการบริหารการพฒั นาชุมชน เม่ือยบุ เลกิ คณะกรรมการพัฒนาตาบลและหมู่บา้ นเปล่ียนเปน็ กรรมการสภาตาบลและคณะกรรมการ หมู่บ้านในความรับผิดชอบของกรมการปกครองแทน กรมการพัฒนาชุมชนจึงเพ่ิมการให้ความสาคัญกับการ ดาเนินการปรับปรุงขีดความสามารถขององค์กรกลุ่มกิจกรรมพั ฒนาชุมชนให้เป็นองค์กรบริหารที่ มีขีด ความสามารถและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและมุ่งให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการพัฒนากับสภาตาบลและ คณะกรรมการหมู่บ้านมากขึ้นตามนโยบายการพัฒนาชนบทแนวใหม่โดยใช้กระบวนการพัฒนาชุมชนเป็นหลกั ในการดาเนินงานอย่างต่อเนื่องในรูปแบบการให้การศึกษาเพื่อการพัฒนา ในการนี้ยังได้ร่วมพัฒนาศักยภาพ และส่งเสริมบทบาทของสภาตาบลและคณะกรรมการหมู่บ้านในการบริหารการพัฒนาชนบทอย่างจริงจัง รวมทง้ั เข้าร่วมในการพฒั นาระบบการบริหารการพฒั นาชนบทของชาติอย่างแข็งขนั แม้ว่าตลอดระยะเวลาน้ัน จะถูก“ ช่วงชิง” บทบาทการนาอยู่หลายคร้ังจากหน่วยงานข้างเคียงในกระทรวงเดียวกันก็ตาม โดยกาหนด นโยบายของกรมการพัฒนาชุมชน ไว้ดังนี้
๒๙ ๑.ปลูกฝังอุดมการณ์ให้ประชาชนมีความขยัน ความเชื่อม่ันในการช่วยตนเองความร่วมมือช่วยเหลือ กันในการสร้างความเจรญิ ให้กบั ชุมชนของตน ๒. ให้ประชาชนรู้จักการทางานเป็นกลุ่ม และใช้สถาบันต่าง ๆ เพื่อฝึกสอนการปกครองตามระบอบ ประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษตั ริยเ์ ป็นประมขุ ๓. ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมกาหนดความต้องการ วางแผน และดาเนินงานเพื่อสนองความต้องการ ของชมุ ชนดว้ ยตนเอง ๔. ให้ประชาชนรู้จักเสียสละ และอาสาสมัครเพ่ือช่วยชุมชนของตนในด้านความม่ันคงปลอดภัยและ บริการสงั คม ๕. พัฒนาคุณภาพของประชาชนทกุ เพศ ทุกวัย โดยเน้นเดก็ ก่อนวัยเรียน เยาวชน และสตรี ๖. ให้ประชาชนรู้จักใช้วิชาการและทรัพยากรท่ีเหมาะสมในการประกอบอาชีพและดารงชีวิตของตน เพอื่ ยกฐานะทางเศรษฐกจิ และความเปน็ อย่ใู หด้ ีข้ึน ๗. ให้ประชาชนปรับปรุงและสร้างเสริมสาธารณสมบัติต่าง ๆ โดยเน้นปัจจัยการผลิตทางด้าน เกษตรกรรม และอตุ สาหกรรมในครัวเรอื น ๘. พัฒนากลุ่มอาชีพต่าง ๆ ให้สามารถรับผิดชอบด้านการลงทุนการผลิต การตลาด การบริโภค และการเก็บออมเพ่ือเตรียมการไปส่รู ะบบสหกรณ์ต่อไป ๙.สนับสนุนสง่ เสริมการจัดต้งั และพัฒนาองค์กรประชาชนระดับหมู่บ้าน ตาบล ให้เป็นองค์กรพื้นฐาน ที่สามารถคิดตัดสินใจในการวางแผน และปฏิบัติงานเพ่ือแก้ปัญหาของชุมชนตามวิถีทางของระบอบ ประชาธปิ ไตย โครงการปฏิบัติงานในช่วงนี้ปรับไปเป็นแผนงานซึ่งมีแผนการดาเนินงานพัฒนาชุมชนระดับตาบล ๙ แผนงาน ดังนี้ ๑. แผนงานพัฒนาเด็ก ๒. แผนงานพฒั นาเยาวชน ๓. แผนงานพฒั นาสตรี ๔. แผนงานสรา้ งเสรมิ รายได้ ๕. แผนงานสง่ เสริมการออมทรพั ยเ์ พื่อการผลติ ๖. แผนงานพฒั นาสงิ่ แวดล้อม ๗. แผนงานอาสาพฒั นาชุมชน ๘. แผนงานพัฒนาจิตใจ ๙. แผนงานพฒั นาองค์กร อย่างไรก็ตามการเปล่ียนแปลงของระบบการบริหารการพัฒนาชนบทของชาติก็เป็นโอกาส ให้กรมการพัฒนาชุมชนหันกลับมาสร้างความชัดเจนให้กับกิจกรรมพัฒนาชุมชนท่ีได้แตกแขนงออกไปอย่าง กว้างขวางอันเป็นผลมาจากการพัฒนางานในชว่ งทศวรรษท่ี ๒ มกี ารปรับกระบวนการวัตถุประสงค์และวิธีการ ดาเนินงานในหลายเร่ืองโดยมุ่งเน้นความเช่ือมโยงกันและการเพ่ิมศักยภาพของกลุ่มองค์กร ในการดูดซับ ประโยชน์จากระบบการบรหิ ารการพฒั นาชนบท
๓๐ งานสาคัญๆ ท่รี เิ ริม่ และพัฒนาในระยะน้ี ได้แก่ ๑. การพัฒนาอาชีพแบบครบวงจรของกิจกรรมพัฒนาชุมชน ได้ดาเนินงานนโยบายพัฒนา เศรษฐกิจหมู่บ้านซึ่งจาแนกหมู่บ้านตามระดับความจาเป็นในการพัฒนาเศรษฐกิจเป็น ๓ ระดับกาหนด วตั ถปุ ระสงค์ในการพฒั นาตามระดบั แล้วจัดกจิ กรรมใหเ้ หมาะสมทั้งนี้มีการปรับความเชือ่ มโยงระหว่างกิจกรรม ท่เี ก่ียวข้องกับการพฒั นาอาชพี ท่ีมีอยทู่ ั้งหมดโดยให้กลมุ่ ออมทรัพยเ์ พ่ือการผลิตเป็นกิจกรรมแกน ๒. การฝึกอบรมองค์กรในงานพัฒนาชุมชนด้านการบริหารการพัฒนา หลักสูตรฝึกอบรมในช่วงน้ี เน้นหนักการทาความเข้าใจกับระบบการบริหารการพัฒนาชนบทของชาติท้ังระบบองค์กรระบบข้อมูล และระบบแผนงานมีการเรียนรู้กระบวนการวางแผน วางโครงการ อย่างเข้มข้นเพ่ือให้องค์กรสามารถจัดทา แผนและเขียนโครงการไปขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์กรบริหารการพัฒนาระดับต่าง ๆ ได้สะดวกขน้ึ ๓. ปรับรูปแบบขององค์กรสตรีจากกลุ่มกิจกรรมให้เป็นองค์กรบริหารการพัฒนาสตรีทางานให้มี บทบาทในการพฒั นาสตรีเดก็ เยาวชนและมีสว่ นร่วมในการพัฒนาหมู่บ้านตาบลเคียงคไู่ ปกบั คณะกรรมการหมู่บ้าน สภาตาบล คณะกรรมการพัฒนาอาเภอ คณะกรรมการพัฒนาจังหวัดในช่ือว่า คณะการพัฒนาสตรีระดับตาบล คณะกรรมการพฒั นาสตรีระดบั อาเภอ และกรรมการพฒั นาสตรีระดับจังหวัด เพ่ือให้สตรีมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและสามารถพ่ึงตนเองได้มากที่สุดโดยการพัฒนาสตรีถูกจัดแบ่งเป็น งาน ๓ ดา้ น คอื งานการมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งของสตรี งานการรวมกลมุ่ และพัฒนาอาชีพสตรี และงานสร้าง เสรมิ สถานภาพสตรี ๔. พัฒนาภาวะผู้นาของเยาวชนให้สูงขึ้น ผ่านโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนระหว่างประเทศ ไทย-แคนาดา ซ่ึงนับว่าเป็นหน่วยงานแรกท่ีส่งเสริมโอกาสให้เยาวชนชนบทได้ไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว ชาวต่างชาติในต่างประเทศ ทาให้เยาวชนได้เรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณีของกลุ่มสังคมอื่น เกิดความสานึกในคุณค่าความเปน็ ไทย มีโลกทัศนก์ ว้างขึ้นมีความเช่ือม่ันในตนเองสูงขึ้นปัจจบุ ันงานโครงการนี้ ก็ยงั ดาเนนิ การอย่แู ละขยายจานวนประเทศท่จี ะมกี ารแลกเปลี่ยนเยาวชนออกไปอกี หลายประเทศ
๓๑ ๕. พัฒนาบุคลากรของกรมด้านการใช้เครื่องมือในการบริหารจัดการเพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพในการ ทางานบริหารการพัฒนาชนบทและการบริหารการพัฒนาชุมชน เช่น การวางแผนและควบคุมการทางานตาม แผนด้วย PERT และ Logical Framework การวิเคราะห์และตีความขอ้ มลู การทาแผนทขี่ ้อมูล ฯลฯ ๖. พัฒนากระบวนการทางานของนักพัฒนาช่ือ“ CED Process” ซ่ึงย่อมาจาก Community Education for Development Process เพือ่ เพ่มิ ประสทิ ธิภาพการทางานสง่ เสริมการเรยี นร้ขู องประชาชน ๗. จัดการรับรองสถานภาพกิจกรรมและองค์กรในงานพัฒนาชุมชน เน่ืองจากมีหน่วยงานหลาย หน่วยเริ่มขยายงานมาซ้าซ้อนกับงานท่ีกรมการพัฒนาชุมชนส่งเสริมและสนับสนุนอยู่และหน่วยงานเหล่าน้ัน มักใช้ระเบียบกฎหมายเป็นกลไกในการทางาน เพื่อให้การทางานขององค์กรชุมชนได้รับการรับรองอย่าง เป็นทางการจึงเสนอออกระเบียบกระทรวงมหาดไทยกาหนดสถานภาพให้กับองค์กรดังกล่าวเช่น ระเบียบ เกี่ยวกบั ศนู ยเ์ ยาวชนตาบล ฯลฯ ๘. ปรับปรุงศูนย์พัฒนาตาบลให้เป็นศูนย์ข้อมูลประจาตาบล และศูนย์ส่งเสริมความรู้ประจาตาบล เพ่ือสนับสนุนให้สภาตาบลใช้เป็นศูนย์การบริหารการพัฒนาของตาบลในขณะเดียวกันก็ได้รับมอบหมายจาก คณะกรรมการพัฒนาชนบทแห่งชาติให้รับผิดชอบโครงการพัฒนาชนบทระดับหมู่บ้านตามแผนพัฒนาชนบท ยากจน และในส่วนภูมิภาคพัฒนาการอาเภอเป็นเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาอาเภอ ตามระเบียบสานัก นายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารการพัฒนาชนบท พ. ศ. ๒๕๒๔ ลงวันท่ี ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๒๔ ต่อมาวันท่ี ๒๗ มกราคม ๒๕๒๕ ได้แก้ไขให้ปลัดอาเภอ (อาวุโส) เป็นเลขานุการแต่พัฒนาการอาเภอก็ยังคงมีบทบาทใน การบริหารการพัฒนาในคณะกรรมการสร้างงานในชนบทระดับอาเภอ ดูแลการดาเนินงานโครงการสร้างงาน ในชนบท โดยพฒั นาการอาเภอเปน็ เลขานุการคณะกรรมการสรา้ งงานในชนบทระดบั อาเภอ บทบาทของพัฒนากร เปลี่ยนจากเดิมบทบาทในฐานะผนู้ าการเปลี่ยนแปลงกลายเปน็ “ ผู้จัดการการพัฒนา” (DevelopmentManager) ทาหน้าที่เป็นท่ีปรึกษาของสภาตาบลและเป็นเลขานุการ คณะทางานสนบั สนนุ การปฏิบัติการพัฒนาชนบทระดบั ตาบล (คปต.)
๓๒ สรุป ระยะท่ี ๓ เป็นระยะท่ีอยู่ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับท่ี ๕ และ ๖ ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาล เน้นให้ประชาชนรู้จักการช่วยตัวเองและการมีส่วนร่วมเป็นหลัก และมีหน่วยงานลงสู่ชนบทเพิ่มขึ้นในระยะนี้ กรมการพัฒนาชุมชนมุ่งเน้นการปรับปรุงขีดความสามารถของกลุ่มกิจกรรมให้เป็นองค์กรบริหารที่มีขีด ความสามารถ และมีประสิทธิภาพเพิ่มข้ึน ในยุคน้ีมีอธิบดี จานวน ๓ ท่าน ได้แก่ ๑. นายสุวนัย ทองนพ ดารง ตาแหน่ง ๑ ตุลาคม ๒๕๒๖- ๓๐กันยายน ๒๕๓๑ ๒.นายศักดา อ้อพงษ์ ดารงตาแหน่ง ๑ ตุลาคม ๒๕๓๑-๓๐ กันยายน ๒๕๓๒ ๓.ดร.ยุวัฒน์ วุฒิเมธี ดารงตาแหน่ง ๑ ตุลาคม ๒๕๓๒ –๓๐กันยายน ๒๕๓๔ แต่ละท่านมีอุดมการณในการทางานที่แตกต่างกันไปโดยส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นพัฒนา ให้หมู่บ้านในชนบท และประชาชนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข สาหรับบทบาทของกรมการพัฒนาชุมชน ซ่ึงเดิมได้ปูพ้ืนฐาน งานพัฒนาโดยให้การศึกษาอบรมประชาชนให้มีความรู้พ้ืนฐานด้านต่าง ๆ สามารถคิด ทาและแก้ไขปัญหาของ ตนเอง และชุมชนโดยมีคณะกรรมการพัฒนาตาบลและหมบู่ ้านเป็นองค์กรหลักในการบรหิ ารการพัฒนาชุมชน เมอ่ื ยบุ เลิกคณะกรรมการพัฒนาตาบลและหมู่บา้ นเปลีย่ นเปน็ กรรมการสภาตาบลและคณะกรรมการ หมู่บ้านในความรับผิดชอบของกรมการปกครองแทน กรมการพัฒนาชุมชนจึงเพิ่มการให้ความสาคัญกับการ ดาเนินการปรับปรุงขีดความสามารถขององค์กรกลุ่มกิจกรรมพัฒนาชุมชนให้เป็นองค์กรบริหารท่ีมีขีด ความสามารถและมีประสิทธิภาพเพ่ิมข้ึนและมุ่งให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการพัฒนากับสภาตาบล และคณะกรรมการหมู่บ้านมากข้ึนตามนโยบายการพัฒนาชนบทแนวใหม่ อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงของ ระบบการบริหารการพัฒนาชนบทของชาติก็เป็นโอกาส ให้กรมการพัฒนาชุมชนหันกลับมาสร้างความชัดเจน ให้กับกิจกรรมพัฒนาชุมชน และงานสาคัญ ๆท่ีริเริ่มและพัฒนาในระยะน้ี มีจานวน ๘ งานได้แก่ ๑. การพัฒนาอาชีพแบบครบวงจรของกิจกรรมพัฒนาชมุ ชน ๒. การฝึกอบรมองค์กรในงานพัฒนาชุมชนด้าน การบรหิ ารการพฒั นา ๓. ปรับรปู แบบขององค์กรสตรจี ากกลุม่ กจิ กรรมใหเ้ ป็นองค์กรบรหิ ารการพฒั นาสตรี ๔. พัฒนาภาวะผู้นาของเยาวชนให้สูงขึ้น ผ่านโครงการแลกเปลี่ยนเยาวช นระหว่างประเทศ ๕. พัฒนาบุคลากรของกรมด้านการใช้เคร่ืองมือในการบริหารจัดการเพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพ ๖. พัฒนากระบวนการทางานของนักพัฒนาช่ือ“ CED Process” ๗. จัดการรับรองสถานภาพกิจกรรมและ องค์กรในงานพฒั นาชุมชน ๘. ปรับปรุงศูนย์พัฒนาตาบลให้เป็นศูนย์ข้อมูลประจาตาบล บทบาทของพัฒนากร เปล่ียนแปลงกลายเป็น ผู้จัดการพัฒนา ทาหน้าที่เป็นท่ีปรึกษาของสภาตาบลและเป็นเลขานุการคณะทางาน สนบั สนนุ การปฏิบัติการพัฒนาชนบทระดับตาบล (คปต.)
๓๓ ยุคท่ี ๔ เสรมิ สร้างความเข้มแข็งของชมุ ชน (พ. ศ. ๒๕๓๕-๒๕๔๔) ในทศวรรษน้ีเป็นยุคท่ีสังคมมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมีความซับซ้อนโดยเฉพาะการปฏิรูประบบ ราชการ การกระจายอานาจสู่ท้องถิน่ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พ. ศ. ๒๕๔๐ ซ่งึ ส่งผลต่อการทางาน ของกรมการพัฒนาชุมชนทั้งสิ้น ระยะนี้กรมการพัฒนาชุมชนจึงปรับระบบงานและการบริหารให้เหมาะสมอยู่ บอ่ ยครงั้ การปรบั เพ่อื สนบั สนุนการปกครองท้องถ่ิน รวมทั้งกาหนดยทุ ธศาสตร์การพัฒนาชมุ ชนขึ้นเป็นคร้ังแรก ใหค้ วามสาคญั ต่อการพัฒนาความเข้มแข็งของชุมชนผสมผสานการสง่ เสริมการมีสว่ นร่วมของประชาชนในการ พัฒนาประชาธปิ ไตยขน้ั พ้ืนฐานกับการพฒั นาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน รวมทง้ั การปลกู ฝังจิตสานึกและ ความรบั ผิดชอบ ของครอบครัวและชุมชนในการพัฒนา ซึง่ เป็นการบูรณาการการพัฒนาด้านต่าง ๆ ของชุมชน ให้เกิดข้ึนพร้อม ๆ กัน ในยุคน้ีมีอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนผู้มีบทบาทกาหนดทิศทางสร้างสรรค์งานพัฒนา ชุมชน จานวน ๕ ท่าน ไดแ้ ก่ ลาดับท๙ี่ นาย สมติ ร กิจจาหาญ ดารงตาแหน่ง ๑ ตลุ าคม ๒๕๓๔ – ๓๐ กันยายน ๒๕๓๖ มีอดุ มการณ์ในการทางาน คอื ประสทิ ธภิ าพของคน ประสทิ ธผิ ลของงานคอื อุดมการณของงานพัฒนาชมุ ชน ลาดบั ท่ี ๑๐ นายอภัย จันทนจุลกะ ดารงตาแหน่ง ๑ ตุลาคม ๒๕๓๖-๓๐ กนั ยายน ๒๕๓๙ มอี ุดมการณใ์ นการทางาน คอื ศรัทธาในหนา้ ท่ี มวี นิ ยั ให้บริการ ลาดบั ท่ี ๑๑ นายสมศกั ดิ์ ศรวี รรธนะ ดารงตาแหนง่ ๑ ตุลาคม ๒๕๓๙-๓๐พฤษภาคม ๒๕๔๑ มีอุดมการณ์ในการทางาน คือ ยึดมั่นในหลักการแนวทางการพัฒนาชุมชนท่ีถูกต้อง ทางานอย่างเข้าถึง เป็นทยี่ อมรบั ศรทั ธาของประชาชน
๓๔ ลาดับท่ี ๑๒ นายไพโรจน์ พรหมส์น ดารงตาแหนง่ ๑ มิถุนายน ๒๕๔๑-๓๐ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๔๑ มีอดุ มการณ์ในการทางาน คือ วสิ ัยทศั นก์ วา้ งไกล รวมใจแกป้ ญั หา สรา้ งศรทั ธาประชาชน ลาดับท่ี ๑๓ นายจเด็จ อินทร์สว่าง ดารงตาแหน่ง ๑ มีนาคม๒๕๔๓-๓๐กนั ยายน ๒๕๔๔ มีอดุ มการณ์ในการทางาน คือ คิดดี ทาดี พดู ดี คบคนดี และไปในทีด่ ี
๓๕ กรมการพัฒนาชุมชนปรับตัวในช่วงถ่ายโอนงานภารกิจตามพระราชบัญญัติกระจายอานาจสู่ท้องถิ่น ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๗ การเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจในชว่ งแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๘ และการปฏิรูปราชการในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับท่ี ๙ สู่ ภารกจิ การดาเนนิ งานพฒั นาชุมชนโดยเนน้ การเสริมสรา้ งความเขม้ แขง็ ของชุมชน พระราชกฤษฎีกา แบ่งส่วนราชการกรมการพัฒนาชุมชนกระทรวงมหาดไทย พ. ศ. ๒๕๓๕ กาหนด อานาจหน้าทีข่ องกรมการพฒั นาชุมชนไว้ ๗ ประการ ๑. ฝึกอบรมและพัฒนาข้าราชการและลูกจ้างในสังกัด รวมทั้งให้ความร่วมมือในการฝึกอบรมด้าน การพฒั นาชุมชนแกอ่ งค์กรและหนว่ ยงานท้ังในและต่างประเทศ ๒. ให้การศึกษาและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ โดยเฉพาะการปลูกฝังวิถีประชาธิปไตยขั้นพ้ืนฐานแก่ ประชาชน โดยจดั ตัง้ และพัฒนากล่มุ ประชาชนเป้าหมาย เพื่อให้สามารถพ่งึ ตนเองไดท้ ้ังในดา้ นสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมชุมชน รวมทงั้ ประชาสมั พนั ธก์ จิ กรรม และการปฏบิ ัติงานของหนว่ ยงานในสังกัด ๓. พัฒนาองค์กร อาสาสมัคร และผู้นาท้องถ่ินในระดับตาบลและหมู่บ้าน ด้วยวิธีการพัฒนาชุมชน เพอื่ ให้เปน็ พื้นฐานในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย ๔. พัฒนาระบบ รูปแบบ และวิธีการพัฒนา จัดทาและประสานแผนงานของกรมฯ ให้เป็นไปตาม นโยบายและแผนแม่บทของกระทรวง กากับ เร่งรัด ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานแผนงานของ หน่วยงานในสงั กดั รวมทง้ั แผนพัฒนาตาบล ตลอดจนจัดระบบข้อมูล และเปน็ ศูนยข์ ้อมูลเพ่ือการพัฒนาชนบท ของประเทศ ๕. ให้ความช่วยเหลือทางด้านวชิ าการ และสนบั สนนุ การปฏบิ ตั งิ านพฒั นาชุมชนในสว่ นภมู ภิ าค ๖. ดาเนินการและประสานงานเก่ียวกบั การพฒั นาชมุ ชนในสว่ นภมู ภิ าค ๗. ปฏิบัติราชการอื่นใดกต็ ามที่กฎหมายกาหนดให้เปน็ หน้าทีก่ รมฯ
๓๖ กรมการพัฒนาชุมชนได้ปรับวัตถุประสงค์เป้าหมายและวิธีการดาเนนิ งานให้สอดคล้องกับแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๗ เพ่ือพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่ิงแวดล้อมของประชาชนให้ดีขึ้นโดยยึด หลักการมีส่วนร่วมของประชาชนตามเกณฑค์ วามจาเปน็ พน้ื ฐาน (จปฐ.) จาแนกเปน็ ๙ งานคอื ๑. งานพัฒนาโครงสร้างพืน้ ฐานชนบท ๒. งานพัฒนาเศรษฐกิจชนบท ๓. งานพัฒนาชมุ ชนในเขตพื้นทเี่ ป้าหมายเฉพาะ ๔. งานพฒั นาองค์กร ๕. งานพัฒนาเดก็ ๖. งานพัฒนาและส่งเสริมอาชีพสตรี ๗. งานพฒั นาเยาวชน ๘. งานสง่ เสริมและเผยแพร่ ๙. งานอาสาพฒั นาชมุ ชน วิธีการในการดาเนินงานพัฒนาชุมชนกาหนดไว้ ๒ ประการคือ (๑) ให้การศึกษาและพัฒนา กระบวนการเรียนรขู้ องประชาชน (๒) พัฒนาองค์กรประชาชนและอาสาสมคั ร งานสาคญั ๆ ท่ีได้พัฒนาและรเิ ร่มิ นี้ ในช่วงทศวรรษที่ ๔ ไดแ้ ก่ ๑. โครงการแก้ไขปัญหาความยากจน (กข. คจ.) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อกระจายโอกาสให้ครัวเรือน ยากจนในชนบทมีเงินทุนในการประกอบอาชีพสามารถเพิ่มรายได้ให้พ้นเกณฑ์ความจาเป็นข้ันพื้นฐานโดยการ สนับสนุนเป็นกองทุนของหมู่บา้ นๆละ ๒๘๐, 000 บาทรูปแบบการบริหารจัดการกองทุนเป็นการส่งเสรมิ การ บริหารจัดการโดยชุมชนอยา่ งแท้จรงิ ๒. การส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และตัดสินใจร่วมกันของชุมชนได้มีการพัฒนารูปแบบการจัด กระบวนการชุมชนเพื่อการเรียนรู้และตัดสินใจร่วมกนั ของชุมชนในลกั ษณะเวทชี าวบ้านหรือเวทปี ระชาคมโดย การใชเ้ ครอื่ งมอื ส่งเสรมิ แบบใหม่ๆ เช่น PLP AIC PRA FSC ALS ฯลฯ ทาใหพ้ ัฒนากรมเี คร่อื งมอื มากขนึ้ ในการ ดาเนนิ งานกระบวนการเวทปี ระชาคม ๓. นาเทคโนโลยสี ารสนเทศ เข้ามาใช้ในการบริหารงานพัฒนาชุมชนการสนบั สนุนระบบข้อมูลเพ่ือ การพัฒนาชนบท และการส่งเสริมกจิ กรรมชุมชน ๔. ยกระดับองค์กรชุมชนให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล พัฒนาเครือข่ายองค์กรและผู้นาชุมชนยกระดับ องค์กรชุมชนให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล ทาให้เกิดชมรม สมาคม ซ่ึงจะเป็นกาลังสาคัญในการส่งเสริมกิจกรรม พัฒนาชมุ ชนแทนภาครฐั ทีจ่ ะตอ้ งลดขนาดและกาลังคนลงในอนาคต
๓๗ ๕. ปรับประสิทธิภาพการบริหารงานภายในโดยการดาเนินกิจกรรม ๕ ส การทาข้อตกลงว่าด้วย ความร่วมมือในการขอรับการส่งเสริมเพ่ือเข้าสู่ระบบมาตรฐานสากลของประเทศไทยด้านการจัดการและ สัมฤทธ์ิผลของงานภาครัฐกับสถาบันมาตรฐานสากลภาครัฐแห่งประเทศไทยสานักงาน ก. พ. การพัฒนา ตัวชวี้ ดั ตามระบบการบรหิ ารแบบม่งุ ผลสมั ฤทธ์ิการใชร้ ะบบการรายงานอเิ ลก็ ทรอนิกส์ ๖. ส่งเสริมการนาทุนทางสังคมในงานพัฒนาชุมชนออกมาใช้สนับสนุนนโยบายสาคญั ของรัฐบาล เช่น แผนปฏิบัติการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเพื่อเผชิญปัญหาวิกฤติ นโยบายกองทุนหมู่บ้านและ ชมุ ชนเมอื ง นโยบายสง่ เสรมิ เศรษฐกจิ ฐานราก วิสาหกิจชุมชน โครงการหนึง่ ตาบลหน่ึงผลิตภณั ฑ์การแก้ปัญหา ยาเสพติดโดยพลงั ชมุ ชน ฯลฯ ๗. การส่งเสริมกระบวนการพัฒนาชุมชนในเขตเมือง โดยให้จังหวัดและอาเภอประสานงาน กับผู้บริหารเทศบาลในการร่วมมือกันจัดเก็บข้อมูลคุณภาพชีวิตของประชาชนในเขตเมืองแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ในการส่งเสริมกิจกรรมพัฒนาชุมชนที่เหมาะสมสาหรบั เขตเมือง ซ่ึงการประสานงานกันได้กลาย เป็นทุนอันสาคัญในการร่วมมือกันส่งเสริมการจัดต้ังกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองรว มท้ังโครงการหน่ึงตาบล หน่ึงผลิตภัณฑ์ในระยะเวลาตอ่ มา ระยะน้ีกาหนดหน้าที่ของพัฒนากรให้เป็นการสนับสนุนความเข้มแข็งในการบริหารการพัฒนาของ อบต. โดยไม่ก้าวก่ายอานาจหน้าที่ที่ อบต. มีตามกฎหมายไม่ขัดขวางการพัฒนาศักยภาพของอบต. และอยู่ภายในขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบของกรมฯโดยมีหน้าท่ีจัดเก็บวิเคราะห์ ประมวลผล เผยแพร่ ข้อมูลเพ่ือการพัฒนา อบต. สนับสนุนการจัดทาแผนพัฒนาตาบล ๕ ปีแผนพัฒนาตาบลประจาปีเป็นท่ีปรกึ ษา ด้านการวางแผนของ อบต. จัดต้ัง บริหาร และพัฒนาศูนย์ข้อมูลตาบล รวมท้ังการให้บริการข้อมูลข่าวสาร พฒั นาแก่หน่วยราชการองคก์ รเอกชนและบุคคลท่วั ไป
๓๘ สรปุ ระยะ ๔ เป็นยุคที่สังคมมีการเปล่ียนแปลงรวดเร็วมีความซับซ้อนโดยเฉพาะการปฏิรูประบบราชการ การกระจายอานาจสู่ท้องถิ่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ. ศ. ๒๕๔๐ ซึ่งส่งผลต่อการทางานของ กรมการพัฒนาชุมชนทั้งส้ิน ระยะน้ีกรมการพัฒนาชุมชนจึงปรับระบบงานและการบริหารให้เหมาะสม รวมทั้งกาหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาชุมชนขึ้นเป็นคร้ังแรก และให้ความสาคัญต่อการพัฒนาความเข้มแข็ง ของชุมชนผสมผสานการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาประชาธิปไตยข้ันพ้ืนฐาน กบั การพัฒนาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนรวมทัง้ การปลูกฝังจติ สานึก และความรับผิดชอบของครอบครัว และชมุ ชนในการพัฒนา ซึ่งเปน็ การพฒั นาดา้ นต่าง ๆ ของชมุ ชนให้เกดิ ขน้ึ พรอ้ ม ๆกัน ในยุคน้ีมีอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน จานวน ๕ ท่าน นายสมิตร กิจจาหาญ ดารงตาแหน่ง ๑ ตุลาคม ๒๕๓๔ – ๓๐ กันยายน ๒๕๓๖ ๒.นายอภัย จันทนจุลกะ ดารงตาแหน่ง ๑ ตุลาคม ๒๕๓๖ -๓๐ กันยายน ๒๕๓๙ ๓.นายสมศักด์ิ ศรีวรรธนะดารงตาแหน่ง ๑ ตุลาคม ๒๕๓๙-๓๐พฤษภาคม ๒๕๔๑ ๔.นายไพโรจน์ พรหมส์น ดารงตาแหน่ง ๑ มิถุนายน ๒๕๔๑-๓๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ ๕.นายจเด็จ อินทร์สว่าง ดารงตาแหน่ง ๑ มีนาคม๒๕๔๓-๓๐กันยายน ๒๕๔๔ แต่ละท่านมีอุดมการณ์ในการทางานท่ีแตกต่างกันไป โดยสว่ นใหญ่จะมุ่งเน้นการยดึ มน่ั ในหลกั การแนวทางการพฒั นาชุมชน รวมใจแกป้ ัญหา ศรทั ธาในหน้าที่ งานสาคัญๆ ที่ได้พัฒนาและริเร่ิมน้ี ในระยะท่ี ๔ ได้แก่ ๑. โครงการแก้ไขปัญหาความยากจน (กข. คจ.)๒. การส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และตัดสินใจร่วมกันของชุมชน ๓. นาเทคโนโลยีสารสนเทศ เข้ามาใช้ในการบริหารงานพัฒนาชุมชน ๔. ยกระดับองค์กรชุมชนให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล ๕. ปรับประสิทธิภาพการบริหารงานภายใน ๖. ส่งเสริมการนาทุนทางสังคมในงานพัฒนาชุมชนออกมาใช้ สนับสนุนนโยบายสาคัญของรัฐบาล ๗. การส่งเสริมกระบวนการพัฒนาชุมชนในเขตเมือง ในระยะน้ีกาหนด หนา้ ทขี่ องพัฒนากรให้เป็นการสนับสนนุ ความเขม้ แข็งในการบรหิ ารการพฒั นาของอบต.
๓๙ ยคุ ที่ 5 สู่ยุคใหม่ของระบบราชการ (พ.ศ. ๒๕4๕-๒๕๕4) ใ น ยุ ค น้ี ก ร ม ก า ร พั ฒ น า ชุ ม ช น ไ ด้ ป รั บ กิ จ ก ร ร ม โ ด ย มี ยุ ท ธ ศ า ส ต ร์ เ ป็ น ตั ว ก า ห น ด ทิ ศ ท า ง รวมทั้งนาระบบบริหารจดั การยุคใหม่เขา้ มาจัดระบบความคิดปรับระบบงานกากบั การบริหารงานพฒั นาระบบ ก า ร บ ริ ห า ร แ ล ะ พั ฒ น า ท รั พ ย า ก ร บุ ค ค ล แ ล ะ อ อ ก แ บ บ ร ะ บ บ ก า ร วั ด ป ร ะ เ มิ น ผ ล ท้ั ง ห ม ด ใ ห้ เ ป็ น ไ ป เพื่อการเป็น “ องค์กรราชการท่ีมีสมรรถนะสูงของระบบการบริหารราชการยุคใหม่” ในยุคน้ีมีอธิบดีกรมการ พฒั นาชมุ ชนผูม้ ีบทบาทกาหนดทิศทางสร้างสรรค์งานพฒั นาชมุ ชน จานวน ๑๑ ท่าน ไดแ้ ก่ ลาดบั ที่ ๑๔ นายสุจรติ ปจั ฉมิ นันท์ ดารงตาแหน่ง ๑ ตุลาคม ๒๕๔๔ – ๓๐กันยายน ๒๕๔๕ มอี ดุ มการณใ์ นการทางาน คอื การพัฒนาจะไมม่ ีทางสาเร็จ ถ้าไมพ่ ัฒนาคน ลาดับที่ ๑๕ นายสจุ รติ นนั ทมนตรี ดารงตาแหน่ง ๑ตุลาคม ๒๕๔๕-๔ มิถนุ ายน ๒๕๔๖ มอี ุดมการณใ์ นการทางาน คอื ขอให้ความสาเรจ็ จงเปน็ ของประชาชนและแผ่นดิน ลาดับท่ี ๑๖ นายชัยสทิ ธ์ิ โหตระกิตย์ ดารงตาแหนง่ ๕ มิถนุ ายน ๒๕๔๖-๓๐ กนั ยายน ๒๕๔๘ มอี ดุ มการณใ์ นการทางาน คือ สงั คมหน้าอยู่เชดิ ชคู ณุ ธรรม
๔๐ ลาดบั ที่ ๑๗ ดร.นิรันดร์ จงวุฒเิ วศน์ ดารงตาแหน่ง ๑ตลุ าคม ๒๕๔๘-๓๐กันยายน ๒๕๕๐ มอี ดุ มการณใ์ นการทางาน คอื เปล่ยี นแปลงเพ่ือใหด้ ีขึน้ ลาดบั ท่ี ๑๘ นาย ปรชี า บุตรศรี ดารงตาแหน่ง ๑ตลุ าคม ๒๕๕๐ -๑๙ ตลุ าคม ๒๕๕๑ มอี ุดมการณ์ในการทางาน คือ บา้ นเมืองน่าอยู่ ชมุ ชนเขม็ แข็ง ลาดับที่ ๑๙ นายชมุ พร พลรักษ์ ดารงตาแหนง่ ๒๐ ตลุ าคม ๒๕๕๑-๑๕มนี าคม ๒๕๕๒ มีอดุ มการณ์ในการทางาน คอื เขา้ ใจเข้าถึง คือ หวั ใจของการพฒั นา ลาดบั ที่ ๒๐ นายไพรัตน์ สกลพันธุ์ ดารงตาแหนง่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๒-๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ มีอดุ มการณ์ในการทางาน คอื ถูกต้อง กว้างไกล ทันใจประชาชน
๔๑ ลาดับท่ี ๒๑ นายมงคล สรุ ะสัจจะ ดารงตาแหน่ง๑ ตุลาคม ๒๕๕๒ -๒๙ เมษายน ๒๕๕๓ มีอดุ มการณใ์ นการทางาน คอื ธรรมาภบิ าล ประสานสามัคคี วถิ ีพอเพยี ง ลาดับท่ี ๒๒ นายวิเชียร ชวลติ ดารงตาแหน่ง ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๓ - ๑๕ธันวาคม ๒๕๕๓ มีอุดมการณใ์ นการทางาน คอื ความสาเรจ็ ของงานพฒั นาชุมชนคือ การทางานใหป้ ระชาชนมีความสขุ ลาดับที่ ๒๓ นายสุรชยั ขันอาสา ดารงตาแหน่ง ๒๐ ธันวาคม๒๕๕๓- ๒๔ พฤจกิ ายน ๒๕๕๔ มอี ดุ มการณ์ในการทางาน คอื พัฒนาคอื สรา้ งสรรค์ สรา้ งสขุ ทว่ั แผ่นดิน ลาดบั ท่ี ๒๔ นายประภาส บุญยินดี ดารงตาแหนง่ ๒๔ พฤจิกายน ๒๕๕๔-๓๐กันยายน-๒๕๕๕ มีอุดมการณ์ในการทางาน คอื การสง่ เสริมชมุ ชนแหง่ ความเกือ้ กูล คานิยม - งานทุกงานเรียบเรียงกระบวนการให้ง่ายกระบวนการ ให้เป็นไปตามความจริง ถูกต้อง และทางานอยา่ งมคี วามสขุ บนความพากเพียรจะเกดิ ประโยชนต์ ่อเราและประเทศชาติ
๔๒ เม่ือก้าวสู่ปีที่ ๔๑ ของกรมการพัฒนาชุมชนเป็นช่วงท่ีต้องมีการเปล่ียนผ่านอันเนื่องมาจาก การปฏิรูประบบราชการ เป็นการทางานในรูปแบบใหม่ของงานพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน ได้พัฒนายกระดับงานจากพื้นฐานความรู้เดิมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของการปฏิรูประบบราชการการ กระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครองสว่ นท้องถน่ิ เป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ ปญั หา และทิศทางของชุมชนมาก ยงิ่ ข้นึ ในทศวรรษน้ีได้ปรับบทบาทภารกิจกรมการพัฒนาชุมชน จานวน ๒ คร้ัง คือพ. ศ. ๒๕๔๕ และ พ.ศ. ๒๕๕๒ และไดป้ รบั เปล่ยี นกจิ กรรมโดยมยี ุทธศาสตร์เปน็ ตัวกาหนดทิศทางของการดาเนนิ งานพัฒนา ชุมชน รวมท้ังนาระบบบริหารจัดการยุคใหม่เข้ามาจัดระบบความคิด ปรับระบบงานกากับการบริหารงาน พัฒนาระบบการบริหาร และพัฒนาทรัพยากรบุคคล และออกแบบระบบการวัดประเมินผลทั้งหมดให้เป็นไป เพอ่ื การเป็น“ องคก์ รราชการทีม่ ีสมรรถนะสงู ” ของระบบการบรหิ ารราชการยุคใหม่ การปรบั บทบาทภารกจิ ของกรมการพฒั นาชมุ ชนมี ดงั น้ี ครั้งท่ี ๑ กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการพัฒนาชุมชนกระทรวงมหาดไทย พ. ศ. ๒๕๔๕ กาหนดอานาจหนา้ ทีข่ องกรมการพัฒนาชมุ ชนไว้ ดังน้ี (๑) กาหนดนโยบาย แนวทาง แผน และมาตรการในการพัฒนาชุมชนเพื่อเสริมสร้างศักยภาพ และ ความเขม้ แขง็ ของชมุ ชน (๒) ส่งเสริมศกั ยภาพของประชาชน ผนู้ าชุมชน องคก์ รชุมชน และเครอื ข่ายองค์กรชุมชน เพื่อใหม้ ีสว่ นร่วม และเกดิ การรวมกลมุ่ ให้สามารถพ่ึงตนเองได้ (๓) ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ของประชาชน ผู้นาชุมชน องค์กรชุมชน และเครือข่ายองค์กรชุมชน เพ่ือพฒั นา และแกไ้ ขปัญหาของชมุ ชน (๔) สง่ เสริมวสิ าหกจิ ชมุ ชน เพ่ือเสริมสร้างเศรษฐกิจชุมชน (๕) พฒั นาระบบขอ้ มูลเพอ่ื การวางแผน และการบรหิ ารการพัฒนา (๖) วจิ ัย และพัฒนารปู แบบ และวิธกี ารพฒั นาชมุ ชนให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนและ สภาพพนื้ ท่ี (๗) ฝึกอบรม และพัฒนารูปแบบ และพัฒนาผู้นาชุมชน องค์กรชุมชน และเครือข่ายองค์กรชุมชน รวมท้งั ใหค้ วามร่วมมือในการฝึกอบรมดา้ นการพฒั นาชุมชน (๘) ปฏิบัติราชการอื่นใดตามท่ีกฎหมายกาหนดให้เป็นอานาจหน้าที่ หรือตามที่กระทรวง หรอื คณะรัฐมนตรมี อบหมาย
๔๓ คร้ังที่ ๒ กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการพัฒนาชุมชนกระทรวงมหาดไทย พ. ศ. ๒๕๕๒ ให้กรมการพัฒนาชุมชน มีภารกิจเกี่ยวกับการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชน ส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนฐานรากให้มีความมั่นคง มีเสถียรภาพ โดยสนับสนุนให้มีการจัดทา และใช้ประโยชน์ข้อมูลสารสนเทศ ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย จัดทายุทธศาสตร์ชุมชน ตลอดจนการฝึกอบรม และพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาชุมชน เพ่ือให้เป็นชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน โดยมีอานาจหน้าที่ ดงั ต่อไปน้ี (๑) กาหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ มาตรการ และแนวทางในการพัฒนาชุมชนระดับชาติเพ่ือให้ หนว่ ยงานของรัฐ เอกชน และผมู้ สี ว่ นเกยี่ วข้องดา้ นการพฒั นาชุมชน ได้ใช้เป็นกรอบแนวทางในการดาเนินงาน เพ่ือเสรมิ สรา้ งความสามารถ และความเข้มแขง็ ของชุมชน (๒) จัดทาและพัฒนาระบบมาตรฐานการพัฒนาชุมชน เพ่ือใช้เป็นเครื่องมือสาหรับประเมิน ความกา้ วหนา้ และมาตรฐานการพฒั นาของชุมชน (๓) พัฒนาระบบและกลไกในการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ การจัดการความรู้ การอาชีพ การออม และการบริหารจัดการเงินทุนของชุมชน เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของประชาชนชุมชนผู้นา ชุมชนกลุม่ องค์การชมุ ชนและเครอื ข่ายองค์การชมุ ชน ( ๔ ) ส นั บ ส นุ น แ ล ะ พั ฒ น า ร ะ บ บ ข้ อ มู ล ส า ร ส น เ ท ศ ชุ ม ช น ส่ ง เ ส ริ ม ก า ร ใ ช้ ป ร ะ โ ย ช น์ และการใหบ้ รกิ ารข้อมูลสารสนเทศชมุ ชน เพื่อใชใ้ นการวางแผนบรหิ ารการพฒั นาไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ (๕) ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย พัฒนาและสร้างองค์คว ามรู้เพ่ือใช้ในงานพัฒนา ชุมชน และการจัดทายทุ ธศาสตรช์ มุ ชน ๖.ฝึกอบรมและพัฒนาข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ที่เก่ียวข้อง ผู้นาชุมชน องค์การชุมชน และเครือข่าย องคก์ ารชมุ ชนให้มคี วามรู้ ทกั ษะ ทัศนคติ และสมรรถนะในการทางาน รวมทั้งให้ความร่วมมือทางวิชาการด้าน การพฒั นาชมุ ชนแกห่ น่วยงานทงั้ ในประเทศ และตา่ งประเทศ (๗) ปฏิบัติราชการอ่ืนใดตามที่กฎหมายกาหนดให้เป็นอานาจหน้าท่ีของกรม หรือตามท่ีกระทรวง หรือคณะรัฐมนตรมี อบหมาย ระยะน้ีกาหนดให้“ พัฒนากร” มีหน้าที่ ในการศึกษา วิจัยเพ่ือค้นหาศักยภาพของชุมชนส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนากระบวนการเรียนรู้ และการมีส่วนร่วมของประชาชน ให้การศึกษาประสานงาน และแสวงหาความร่วมมือ ให้คาปรึกษา รวมทั้งติดตาม และประเมินการทางานของชุมชน คือเป็น “ นักยุทธศาสตร์ชุมชน” คือ รู้ว่าจะต้องทาอะไร เพ่ือให้ชุมชนเข้มแข็ง ประชาชนพ่ึงตนเองได้ ครอบครัว มีความสุข ต้องรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ภายใน / ภายนอกชุมชน เพื่อกาหนดเป้าหมาย วิธีการแผนงาน / โครงการ / กิจกรรม ผลักดันขับเคล่ือนให้เป็นไปตามตัวช้ีวัดพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในทศวรรษนี้ กรมการพัฒนาชุมชน มีงานใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายจนยากที่จะบันทึกไว้ได้ท้ังหมดหลายเร่ืองเร่ิมต้นพัฒนาขึ้น มาในระยะน้ี ซ่ึงเปน็ ผลมาจากการพัฒนาระบบราชการ และความก้าวหนา้ ของเทคโนโลยี
๔๔ งานสาคัญๆ ท่ีเกิดขน้ึ ในระยะน้ี ได้แก่ ๑. ส่งเสริมการจัดตัง้ ศนู ย์ประสานงานเครือข่ายองคก์ รชมุ ชนประจาตาบล (ศอช. ต) ซง่ึ เป็นการพัฒนารปู แบบเครอื ข่ายองค์การชมุ ชน โดยการจดั ตงั้ ศูนย์ประสานงานเครือข่ายองค์กรชุมชนประจา ตาบล (ศอช.ต) ทั่วประเทศ เพ่ือเป็นศูนย์กลางในการประสานการทางานขององค์กรชุมชน และเครือข่าย ให้สามารถช่วยเหลือเก้ือกูลกันและกัน โดยศูนย์ประสานงานองค์การชุมชน (ศอช.) เป็นกลไก หลักในการบรู ณาการแผนชุมชนระดับตาบล สูแ่ ผนพฒั นาท้องถิ่นแผนพฒั นาอาเภอ และแผนพฒั นา จังหวดั ๒. พัฒนาระบบมาตรฐานงานชุมชน (มชช.) ให้เป็นเคร่ืองมือส่งเสริมการพัฒนาของผู้นา องค์กรชุมชนเครือข่าย องค์กรชุมชน และชุมชน ให้มีความเข้มแข็งอย่างย่ังยืน ด้วยการเรียนรู้ ตนเองกาหนด ทิศทางการพัฒนา ดาเนินการพัฒนา และประเมินผลความสาเร็จด้วยตนเอง ระบบน้ีสามารถทาให้ชมุ ชนตอบ สังคมได้ว่า“ การเป็นคนคุณภาพ และชุมชนเข้มแข็งเป็นอย่างไร” และถือเป็น “ เคร่ืองช้ีวัดการพัฒนา แบบบรู ณาการทมี่ ีชุมชนเป็นศูนย์กลาง” ๓. พัฒนางานส่งเสริมระบบบริหารจดั การชุมชน โดยการจัดทาแผนชุมชน ซ่ึงเป็นเคร่ืองมือสะท้อน ปัญหา/ความต้องการของชุมชน จากล่างข้ึนสู่บน ส่งเสริมให้หมู่บ้านใช้แผนชุมชน เป็นเคร่ืองมือเสริมสร้างขีด ความสามารถของชุมชน และแก้ไขปัญหาของชุมชน พัฒนากลไกสนับสนุนกระบวนการบูรณาการแผนชุมชน ระดับตาบล / อาเภอ / จังหวัดเพื่อเช่ือมโยงแผนชุมชนกับแผนพัฒนาท้องถ่ินแผนพัฒนาอาเภอ และ แผนพัฒนาจังหวัด และพัฒนาระบบรับรองมาตรฐานแผนชุมชนเพื่อให้แผนชุมชนมีคุณภาพได้มาตรฐาน ได้รับการยอมรับ และนาไปใช้ประโยชน์อย่างจริงจังท่ีมีเอกลักษณ์แตกต่างจากหน่วยงานอื่นที่เน้นการจัดทา แผนชุมชนระดบั หมู่บา้ นในขณะทห่ี นว่ ยงานอน่ื จะเน้นท่รี ะดับตาบล ๔. พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยการนา Pocket PC และพัฒนาโปรแกรม Ayuda forecaster มาใช้กับการจัดเก็บข้อมูล จปฐ. กชช.๒ ค การพัฒนาเว็ปไซด์บริการ การพัฒนาระบบ e-Mail, e-Learning, EPMS, e-สารบรรณ, GIS, e-Reporting รวมถึง ระบบสานักงานอัตโนมัติ (OA) และล่าสุด Community Portal ในชอ่ื moobanthai. com
๔๕ ๕. ส่งเสริมให้วิเคราะหข์ ้อมลู และนาเสนอขอ้ มูลชุมชนในลกั ษณะสารสนเทศชุมชน ๖.ดาเนนิ การโครงการแก้ปัญหาความยากจนแบบเข้าถึงทุกครัวเรือน เพอื่ ยกระดบั รายได้ครวั เรือน ยากจนให้พ้นเส้นความยากจนใช้วิธีประสาน ๒ พลัง คือ ใช้พลังจากภายในชุมชน (Inside-out) โดยกระบวนการแผนชุมชน และพลังจากภายนอก (Outside-in) โดยแก้ในระดับครัวเรือนแบบเข้าถึงทุก ครวั เรือนโดย ใช้หลัก ๔ ท คอื ๑) ทศั นะ ๒) ทรัพยากร ๓) ทกั ษะ ๔) ทางออก คอื การปรบั ทัศนคติของคนจน ให้พร้อมที่จะแก้ปัญหาความจนด้วยตนเองบนพ้ืนฐานทรัพยากร และทักษะท่ีมี และส่วนราชการร่วมหา ทางออกจากความจนโดยการปรับวิถีการดารงชีวิตเพื่อให้ฝึกทักษะในการประกอบอาชีพ สนับสนุนทรัพยากร ส่งผลให้ครัวเรือนมี ๓ พ คือการดารงชีวิตตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง มีความสุขพอเพียง และมีครอบครัว อบอุน่ พอเพียง ๗. การพัฒนาโมเดลการฝึกอบรม ในชอ่ื PLACE Model มาใช้กับการฝกึ อบรมบคุ ลากรทกุ ระดบั ๘. กาหนดค่านิยมองค์กร ท่ีส่งเสริมให้ข้าราชการในหน่วยงานถือปฏิบัติ มีการกาหนดตัวช้ีวัด และระดับพฤติกรรม ๓ ระดับ คือ ระดับพฤติกรรมพื้นฐาน ระดับท้าทาย และระดับพฤติกรรม ระดับต้นแบบ ค่านิยมองค์กร ที่ส่งเสริมให้บุคลากรในหน่วยงานได้ปฏิบัติตามค่านิยมที่พึงประสงค์ ประกอบด้วย A: Appreciation: ชื่นชม B: Bravery: กล้าหาญ C: Creativity: สร้างสรรค์ D: Discovery: ใฝ่รู้ E: Empathy: เขา้ ใจ F: Facilitation: เออื้ อานวยตอ่ มาเพ่ิมอีก ๒ ตวั คอื S: Simplify P: Practical ๙. พัฒนารูปแบบศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ขององค์กรชุมชนและองค์กรท้องถ่ินในลักษณะ e-learning และออกแบบงานส่งเสริมการจัดการความรู้ของชุมชนอย่างเป็นกิจลักษณะในรูปของศูนย์เรียนรู้ ชุมชน โดยส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ การสืบทอดภูมิปัญญาท้องถ่ินเพ่ือพัฒนาคุณภาพชีวิตและยกระดับ รายไดข้ องประชาชน ๑๐. ขับเคล่ือนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ให้เป็นรากฐานของชีวิตประชาชนในหมู่บ้าน โดย ใช้ตวั ชีว้ ดั ๖x๒ เป็นเป้าหมาย “ ลดรายจ่ายเพ่ิมรายได้ออมเรียนรู้อนรุ ักษ์เอื้ออารีต่อกัน” ในปี ๒๕๕๔ ดาเนิน โครงการ “ หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เน่ืองในพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ จานวน ๑, ๗๕๖ หมู่บ้านผลสาเร็จที่ เป็นรปู ธรรมคอื “ ไม่มี ยาเสพติด ไม่มีคนจน ไม่มีหน้ีนอกระบบ มีการจัดสวัสดิการชุมชน มีการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และมีการยกระดับการประเมินผลการพัฒนาเชิงคุณภาพด้วยการวัดความสุขมวลรวมชุมชน (Gross Village Happiness: GVH) ๑๑. พฒั นากจิ กรรมสง่ เสริมการพัฒนากลุ่มออมทรัพยเ์ พ่ือการผลิต หลายกจิ กรรม ได้แก่ การตรวจ สุขภาพกลุ่มออมทรัพย์เพ่ือการผลิต การจัดต้ังโรงเรียนกลุ่มออมทรัพย์ฯ และการพัฒนาผู้เช่ียวชาญ กล่มุ ออมทรัพย์ ฯลฯ ๑๒. ส่งเสริมการจัดต้ังสถาบันการจัดการเงินทุนชุมชน ซ่ึงเป็นองค์กรการเงินชุมชนของพี่น้อง ประชาชนในหมู่บ้านชุมชน ท่ีจัดต้ังขึ้นมาเพื่อบูรณาการด้านการบริหารจัดการเงินทุนในหมู่บ้านชุมชน เพื่อให้ เกิดเอกภาพ สามารถใช้เงินทุนอย่างคุ้มค่าเกิดประโยชน์สูงสุดมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาของหมู่บ้าน ชมุ ชน ๑๓. พฒั นาแนวความคดิ การพฒั นาทนุ ชุมชน เพือ่ ใช้ในการวิเคราะห์สถานการณ์ และการพัฒนา ของชุมชนโดยทนุ ชุมชนประกอบด้วยทนุ กายภาพทุนมนุษย์ทนุ สังคมทุนการเงิน และทุนทรัพยากรธรรมชาติ
๔๖ ๑๔. พัฒนาแนวความคิด “ ส่งเสริมชุมชนแห่งความเกื้อกูล” เพื่อก่อให้เกิดความเข้มแข็ง และพ่ึงตนเองได้อย่างย่ังยืนของชุมชน งานที่ดาเนินการได้แก่ ร้ือฟื้นวัฒนธรรมลงแขก ส่งเสริมระบบ การเกื้อกูลคนทุกข์ยากในชุมชน โดยการจัดให้มีกิจกรรมช่วยเหลือคนยากจน คนด้อยโอกาส และคนชราโดย กองทุนชุมชนจดั ให้มีการบริหารจัดการทรัพยากรของชุมชน เช่น ครวั ชมุ ชน คลังชมุ ชนตูเ้ ย็นธรรมชาติส่งเสริม การผลิตในระบบเศรษฐกิจชุมชนเกื้อกูล เพื่อลดต้นทุนการผลิต และปลูกฝังจิตสานึกสาธารณะ ให้คนในชุมชนมีความรับผิดชอบต่อตนเอง และชุมชนปลูกฝังให้ประชาชนมีความรักภักดีในชาติศาสนาและ พระมหากษัตริย์ สรุป ระยะท๕ี่ ใ น ยุ ค น้ี ก ร ม ก า ร พั ฒ น า ชุ ม ช น ไ ด้ ป รั บ กิ จ ก ร ร ม โ ด ย มี ยุ ท ธ ศ า ส ต ร์ เ ป็ น ตั ว ก า ห น ด ทิ ศ ท า ง รวมทัง้ นาระบบบริหารจัดการยุคใหม่เขา้ มาจัดระบบความคิดปรับระบบงานกากบั การบริหารงานพัฒนาระบบ ก า ร บ ริ ห า ร แ ล ะ พั ฒ น า ท รั พ ย า ก ร บุ ค ค ล แ ล ะ อ อ ก แ บ บ ร ะ บ บ ก า ร วั ด ป ร ะ เ มิ น ผ ล ท้ั ง ห ม ด ใ ห้ เ ป็ น ไปเพ่ือการเป็น “ องค์กรราชการท่ีมีสมรรถนะสูงของระบบการบริหารราชการยุคใหม่” ในช่วงปีพศ. ๒๕๕๕ -๒๕๕๕ ในยุคนี้มีอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน จานวน ๑๑ ท่าน ได้แก่ ๑.นายสุจริต ปัจฉิมนันท์ ดารงตาแหน่ง ๑ ตุลาคม ๒๕๔๔ – ๓๐กันยายน ๒๕๔๕ ๒.นายสุจริต นันทมนตรี ดารงตาแหน่ง ๑ตุลาคม ๒๕๔๕- ๔ มิถุนายน ๒๕๔๖ ๓.นายชัยสิทธ์ิ โหตระกิตย์ ดารงตาแหน่ง ๕ มิถุนายน ๒๕๔๖-๓๐ กันยายน ๒๕๔๘ ๔. ดร.นิรันดร์ จงวุฒิเวศน์ ดารงตาแหน่ง ๑ตุลาคม ๒๕๔๘-๓๐กันยายน ๒๕๕๐ ๕.นาย ปรีชา บุตรศรี ด า ร ง ต า แ ห น่ ง ๑ ตุ ล า ค ม ๒ ๕ ๕ ๐ - ๑ ๙ ตุ ล า ค ม ๒ ๕ ๕ ๑ ๖ . น า ย ชุ ม พ ร พ ล รั ก ษ์ ดารงตาแหน่ง ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๑-๑๕มีนาคม ๒๕๕๒ ๗. นาย ไพรัตน์ สกลพันธ์ุ ดารงตาแหน่ง ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๒- ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ ๘.นาย มงคล สุระสัจจะ ดารงตาแหน่ง๑ ตุลาคม ๒๕๕๒ - ๒๙ เมษายน ๒๕๕๓ ๙. นายวิเชียร ชวลิต ดารงตาแหน่ง ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๓ - ๑๕ธันวาคม ๒๕๕๓ ๑๐.นายสุรชยั ขนั อาสา ดารงตาแหน่ง ๒๐ ธันวาคม๒๕๕๓ -๒๔ พฤจกิ ายน ๒๕๕๔ ๑๑นายประภาส บุญยินดี ดารงตาแหนง่ ๒๔ พฤจกิ ายน ๒๕๕๔-๓๐กันยายน๒๕๕๕แต่ละทา่ นมีอดุ มการณ์ในการทางานท่ีแตกตา่ งกันไป โดยส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นให้ประชาชนมีการเปล่ียนแปลงท่ีดีข้ึน ชุมชนเกิดความเข้มแข็งส่งเสริมชุมชนแห่งความ เก้ือกูล การปรับบทบาทภารกิจของกรมการพัฒนาชุมชนมี ดังนี้ คร้ังท่ี ๑ กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ กรมการพัฒนาชุมชนกระทรวงมหาดไทย พ. ศ. ๒๕๔๕ คร้ังท่ี ๒ กฎกระทรวงแบ่งสว่ นราชการกรมการพัฒนา ชุมชนกระทรวงมหาดไทย พ. ศ. ๒๕๕๒ในทศวรรษน้ี กรมการพัฒนาชุมชน มีงานใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายจน ยากทีจ่ ะบนั ทึกไว้ไดท้ ้ังหมดหลายเร่ืองเริ่มต้นพัฒนาข้ึนมาในระยะน้ี ซึง่ เปน็ ผลมาจากการพฒั นาระบบราชการ และความก้าวหนา้ ของเทคโนโลยงี านสาคัญๆ ทเี่ กิดขึ้นในระยะนี้ ไดแ้ ก่ ๑. สง่ เสรมิ การจัดต้ังศนู ย์ประสานงาน เครือข่ายองค์กรชุมชนประจาตาบล (ศอช. ต) ๒. พัฒนาระบบมาตรฐานงานชุมชน (มชช.) ๓. พัฒนางานส่งเสริมระบบบริหารจัดการชุมช น ๔. พัฒนาระบบเทคโ นโ ลยีสารสนเทศ ๕. ส่งเสริมให้วิเคราะห์ข้อมูลและนาเสนอข้อมูลชุมชนในลักษณะสารสนเทศชุมชน ๖.ดาเนินการโครงการ แก้ปัญหาความยากจนแบบเข้าถึงทุกครัวเรือน ๗. การพัฒนาโมเดลการฝึกอบร๘. กาหนดค่านิยมองค์กร ๙. พัฒนารูปแบบศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ขององค์กรชุมช นแล ะอง ค์กร ท้อง ถ่ินในลั ก ษ ณ ะ ๑๐. ขับเคล่ือนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ๑๑. พัฒนากิจกรรมส่งเสริมการพัฒนากลุ่มออมทรัพย์เพ่ือการผลิต ๑๒. ส่งเสริมการจัดต้ังสถาบันการจัดการเงินทุนชุมชน ๑๓. พัฒนาแนวความคิดการพัฒนาทุนชุมชน ๑๔. พฒั นาแนวความคิด “ สง่ เสรมิ ชมุ ชนแหง่ ความเกือ้ กูล”
๔๗ ยุคที่ 6 (พ.ศ. ๒๕๕๕-ปัจจบุ ัน) ในยุคนี้มีอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนผู้มีบทบาทกาหนดทิศทางสร้างสรรค์งานพัฒนาชุมชน จานวน ๔ ทา่ น ได้แก่ ลาดบั ที่ ๒๕ นายขวญั ชยั วงศน์ ติ ิกร ดารงตาแหน่ง ๑ ตลุ าคม ๒๕๕๕ –๓๐ กนั ยายน ๒๕๕๘ ลาดับท่ี ๒๖ นายไมตรี อินทสุ ุต ดารงตาแหนง่ ๑ ตลุ าคม ๒๕๕๘ -๑ตลุ าคม ๒๕๕๘ ลาดบั ที่ ๒๗ นายอภิชาติ โตดลิ กเวชช์ ดารงตาแหนง่ ๒ ตุลาคม๒๕๕๘-๓๐กันยายน ๒๕๖๑ ลาดับท่ี ๒๘ นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ ดารงตาแหน่ง ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ – ปจั จุบันอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน วิสัยทัศน์ เศรษฐกิจรากมั่นคงและชุมชนพ่ึงตนเองได้ภายในปี 2564 แนวคิด ประเทศ4.0 คือ การสร้าง ความเข้มแข็งจากภายใน เมื่อภายในเข้มแข็งแล้วต้องเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะนาพาประเทศไทยสู่ความ มน่ั คง มัง่ ค่งั และยงั่ ยืนได้ สงั คมไทยเปน็ สังคมทท่ี ีม่ คี วามหวงั มคี วามสุขและความสมานฉันท์ไดอ้ ย่างแท้จรงิ
๔๘ การดาเนนิ งาน ตามนโยบายสาคัญของรัฐบาล ในระยะนี้ นโยบายรัฐบาลหลายเรื่องได้มอบให้กรมการพัฒนาชุมชนดาเนินการ ได้แก่ นโยบายหนึ่ง ตาบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) นโยบายกองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมือง โครงการศูนย์ซ่อมสร้าง เพ่ือชุมชน (Fixit Center) โครงการพัฒนาศักยภาพหมู่บ้าน และชุมชน (SML) กองทุนแม่ของแผ่นดินกองทุน พฒั นาบทบาทสตรี โครงการประชาเสวนา เปน็ ตน้
๔๙ สญั ลกั ษณ์กรมการพฒั นาชุมชน สญั ลักษณก์ รมการพฒั นาชุมชน กรมการพฒั นาชุมชนมีการปรับเปล่ียนสัญลกั ษณ์ตามยุคสมัยต้ังแต่ปี ๒๕๐๓ ปัจจบุ นั มสี ญั ลักษณ์ ๗ แบบ ดงั น้ี สัญลกั ษณ์ แรก : ปที ี่ใช้ ๒๕๐๗ - ๒๕๑๔ องค์ประกอบและความหมาย เครื่องหมายน้ีแสดงว่าเจ้าหน้าท่ีของรัฐบาลเพ่งมองไปท่ีเป้าหมายเดียวกันคือปัญหาของชาวชนบทซึง่ จะต้องร่วมมือกันช่วยประชาชนให้แก้ปัญหาของตนเองอย่างพร้อมเพรียงกันการพัฒนาชุมชนในชนบทจะต้อง พฒั นาในดา้ นต่าง ๆ ท้ัง ๘ ดา้ น ดงั น้ี ๑) การปกครอง ๕) สง่ เสรมิ การศึกษา ๒) ส่งเสริมใหม้ สี หกรณ์ในหม่บู า้ น ๖)ส่งเสริมการอนามัย ๓) มกี ารทาอุตสาหกรรมในครัวเรือน ๗) สง่ เสริมงานโยธา ๔) สง่ เสริมงานการเกษตร ๘) สง่ เสรมิ วฒั นธรรม สญั ลกั ษณท์ ี่ ๒ : ปีที่ใช้ ๒๕๑๔ - ๒๕๑๘ องคป์ ระกอบและความหมาย »กระทอ่ ม หมายถึง ชนบท »สีเหลอื งของวงกลมภายใน หมายถึง ทอ้ งฟ้าสที องผ่องอาไพตอนรุ่งอรุณในชนบท »สเี ขยี วใบไม้ (ใบขา้ ว) ของวงกลมภายนอก หมายถงึ ความอุดมสมบรู ณ์
๕๐ วงกลมภายใน หมายถึง พลงั ชุมชน วงกลมภายนอก เปน็ จุดประสงค์ในการทางาน เปน็ นามธรรมเรยี กว่ากาลังภายใน พัฒนาชมุ ชนเป็นรูปธรรมเรียกว่ากาลัง ภายนอกประกอบดว้ ย ประกอบดว้ ย ๑) การแกไ้ ขสงิ่ แวดลอ้ มให้ดีข้นึ ๑) การนาทัศนะของประชาชน ๒) การใหก้ ารศึกษาแกช่ ุมชน ๒) การแกไ้ ขศรทั ธาประชาชน ๓) การส่งเสรมิ ใหช้ มุ ชนมรี ายได้สูงขน้ึ ๓) การผนึกกาลงั รวมกลุม่ ประชาชน ๔) การขจดั โรคภยั ไข้เจบ็ สง่ เสรมิ สขุ ภาพให้ ๔) การเสริมสรา้ งความสามารถให้กล่มุ แขง็ แรง ๕) การสง่ เสริมใหใ้ ชเ้ วลาวา่ งใหเ้ กดิ ประโยชน์ สญั ลกั ษณ์ที่ ๓: ปที ใ่ี ช้ ๒๕๑๘-๒๕๕๕ องค์ประกอบและความหมาย วงกลมภายในเป็นรูปโครงสร้างของบ้านชนบทมีตัวอักษรพช. อยู่ใต้รูปบ้านมีลายกนกแบบ เคร่ืองหมายยันต์ 5 และ ๔ บนหัวอักษรพ. และบนหัวช. ขอบวงกลมล้อมรอบวงกลมภายในมี ๔ สี ๔ ช่วง หมายถึง หลกั การทางาน ๔ ป. สีขาว หมายถงึ ประชาชนสีแดงหมายถึงประชาธิปไตย สเี ทา หมายถึง ประสานงาน สีน้าเงิน หมายถึง ประหยดั สัญลักษณน์ ี้ได้ถกู ยกเลกิ ในปี ๒๕๕๐ และไดถ้ ูกนากลับมาใชใ้ หม่ในปี ๒๕๕๑ -๒๕๕๕
Search