จดั ทำ�โดย ศูนยจ์ ิตวิทยาการศึกษา มลู นิธยิ ุวสถิรคณุwww.cepthailand.org
Sคoรcสู raอticนTคeิดaching“การคดิ คงทนกวา่ ความรู้ครูควรสอนให้คดิมากกว่าบอกให้จ�ำ หรือย้�ำ ให้เชื่อ”
บทน�ำ การสอนคิด หรือ Socratic teaching เป็นวิธีสร้างทักษะการเรียนรู้อย่าง เป็นระบบ ให้ความสำ�คัญกับกระบวนการเรียนรู้มากกว่าปริมาณเนื้อหา กระตุ้นให้นักเรียนตระหนักว่าความคิดของตนเองเป็นเพียงความเช่ือ ซึ่งสามารถปรับแตง่ ใหค้ มชดั ลึกซง้ึ และมีเหตุผลมากขึน้ โดยเร่มิ ต้นด้วย การสงสยั ความเชอ่ื ทเ่ี คยยดึ ถือ และการต้ังค�ำ ถามอยา่ งเป็นระบบ ลกั ษณะส�ำ คญั ของ การสอนคดิ คือการสนทนาโต้ตอบ (dialogue) เนน้ การ ค้นหาความรู้ร่วมกัน (cooperation) ระหว่างครูกับนักเรียนและในกลุ่ม นักเรียนกันเอง โดยเคร่ืองมือสำ�คัญคือ การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และการถามท่ีมคี ุณภาพ (quality questioning) การสอนคิดจะทำ�ให้นักเรียนสามารถต้ังข้อสงสัยที่ลึกซ้ึง ประยุกต์ทักษะ การถามและกระบวนการคิดน้ีได้กับเรื่องต่างๆ อย่างเป็นประโยชน์ เกิดความพึงพอใจในการถามและการหาค�ำ ตอบด้วยตัวเองมากกว่าการเช่ือ ในส่ิงท่ีคนอ่ืนบอก และในท่ีสุดมีความสนุกที่จะคิด คิดเก่ง คิดดี คดิ มีประโยชน์
คณุ สมบตั ิของครสู อนคดิ 1. เจตคติของครู : ครเู ป็นกลไกหลักท่ที �ำ ใหน้ กั เรยี นมีการคิดทีม่ คี ุณภาพ การสอนคิด ครคู วรมเี จตคตติ อ่ ไปนี้ ซอื่ สตั ยก์ บั ตนเอง (Honesty) : ครูควรมีความเช่ือว่า \"เราไม่จำ�เป็นต้องรู้ทุกเร่ือง ดังน้ันการตอบคำ�ถาม นกั เรียนไม่ได้ จึงเป็นเรอ่ื งปกติ\" ใครๆ ก็ผดิ กันได้ (Fallibility) : ครคู วรยอมรบั ใหไ้ ดว้ า่ \"บางทนี กั เรยี นอาจถกู เราอาจผดิ หรอื ทง้ั นกั เรยี น และเราอาจผิดทั้งคู่\" ครูจึงเป็นแบบอย่างการไม่ยึดติดท่ีตัวบุคคลรวมทั้ง การร้จู ักถอ่ มตัว ไมเ่ ชอื่ อะไรง่ายๆ (Rational Discussion) : ครูควรตระหนักว่า \"ความเชื่อไม่ใช่ความจริง จึงต้องตรวจสอบความ สมเหตุสมผลอย่างรอบด้าน\" ไม่ตอ่ ต้านคนเห็นตา่ ง (No Personal Attack) : ครูควรเข้าใจวา่ \"ความแตกตา่ งไม่ใช่ความขดั แย้ง การมคี วามเช่ือท่ตี ่างกัน ไม่ใช่การเปน็ ศตั รูกัน\" ใสใ่ จใหเ้ กยี รตินักเรียน (Fostering & Care) : ครูควรใส่ใจนักเรียนทุกคน และในขณะเดียวกันก็ปล่อยโอกาสให้นักเรียน มคี วามเปน็ ตวั ของตวั เอง \"ไมย่ ดั เยยี ดเนอ้ื หา (ทม่ี ากเกนิ ไป) ไมส่ อนสง่ิ ทย่ี าก (เกนิ ความจ�ำ เปน็ ) ไมท่ �ำ รา้ ยจติ ใจ ไมท่ �ำ ลายความหวงั (เมอ่ื นกั เรยี นท�ำ ไมไ่ ด)้ \"ครูสอนคดิ | 2
2. ท่าทขี องครู ใส่ใจ ใกล้ชิด เป็นมติ ร ผอ่ นคลาย ชัดเจนทีก่ ระบวนการ ยืดหยุ่นกบั เน้อื หา ถามให้มากเทา่ ทท่ี �ำ ได้ ตอบให้นอ้ ยเทา่ ท่จี �ำ เปน็ ใหค้ วามส�ำ คัญกับนักเรียนทกุ คน ไมว่ ่านกั เรียนจะถามหรือไม่ถาม ตอบหรอื ไมต่ อบ ให้ความสำ�คัญกับทุกคำ�ตอบและทุกคำ�ถามของนักเรียนไม่ว่าถูกหรือผิด และไม่ว่างา่ ยหรอื ยาก หลกี เลี่ยงการตัดสิน ถกู /ผดิ ด/ี เลว โง/่ ฉลาด ยั่วให้สงสยั ยใุ ห้ถกเถียง ยอมให้สนุก แยง้ ให้งุนงง ภายใตบ้ รรยากาศ ท่เี ปน็ มติ ร 3 | ครสู อนคิด
3. ทกั ษะ การสรา้ งความสมั พนั ธท์ ด่ี กี บั นกั เรยี น (Teacher-Student Relationship) เพือ่ เป็นแบบอย่างของการใสใ่ จกนั และกนั (caring thinking) การกระตุ้นให้นักเรียนมสี ่วนรว่ ม (Student Engagement) เพื่อสร้างบรรยากาศการเรียนรรู้ ่วมกนั (collaborative thinking) การถามอย่างเป็นระบบ (Systematic Questioning) เพอ่ื กระตนุ้ ให้เกดิ การใชว้ ิจารณญาน (critical thinking) การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ (Creative Activities) เพอื่ เปิดโอกาสให้นักเรยี นไดใ้ ชจ้ นิ ตนาการสร้างสรรค์ (creative thinking)ครสู อนคดิ | 4
การสรา้ งความสัมพนั ธท์ ่ดี ีกับนกั เรยี น(Teacher-Student Relationship) ครมู ีบทบาทสำ�คัญในการสร้างปฏสิ มั พนั ธ์ท่ดี ีให้เกิดข้นึ เนอื่ งจาก ครูเป็นผู้ใหญม่ ฐี านะเป็นผูด้ แู ลเด็ก การที่ครูเขา้ หานักเรียน จึงงา่ ยกวา่ การที่นักเรียนจะเข้าหาครู ดังน้ันในขั้นแรกครูจึงควรเป็นผู้เริ่มต้น ดว้ ยการยิม้ ให้ หรอื เขา้ ไปพดู คยุ อยา่ งเป็นมิตรกบั เด็ก ครูควรสังเกตว่านักเรียนมีความกังวลหรือไม่ เน่ืองจากการคิด สามารถทำ�ให้เกิดความกังวล เพราะไม่มีความแน่นอนว่าความคิด ทีไ่ ดจ้ ะออกมาดี ถกู ตอ้ ง หรอื ถกู ใจครหู รอื ไม่ นกั เรยี นสว่ นใหญจ่ งึ หลกี เลย่ี งที่จะคิดหรือตอบคำ�ถามท่ีมีความเส่ียงว่าจะผิด ความกังวลทำ�ให้ นักเรียนไม่มีส่วนร่วมในการเรียนเท่าท่ีควร ครูจึงควรสังเกตให้ได้ว่า นักเรยี นคนใดกังวลหรอื ไม่ 5 | ครูสอนคิด
ครูควรสร้างความใกล้ชิด เนื่องจากท่าทีของครูมีความสำ�คัญมากใน การลดความกงั วลของนกั เรยี น การเอาใจใสน่ กั เรยี นแตล่ ะคน การเขา้ หา นักเรียน โดยเดินไปในแต่ละส่วนของห้องอย่างท่ัวถึง การมีท่าทีผ่อน คลายไม่ตึงเครียด มีอารมณ์ขันบ้าง ยิ้มแย้มเป็นส่วนใหญ่และสบตา กบั นักเรยี นเป็นครงั้ คราว จะทำ�ใหน้ ักเรยี นกังวัลน้อยลง ครูควรปฏิบัติต่อนักเรียนด้วยความเข้าใจว่าเด็กแต่ละคนต่างกัน การปฏิบัติต่อนักเรียนควรทำ�ให้เหมาะสมกับธรรมชาติของนักเรียน แต่ละคนเช่นนกั เรียนทีข่ ี้อายไมก่ ลา้ ถามคำ�ถามในกลมุ่ ใหญ่ ครูอาจให้ คำ�ปรึกษากบั นกั เรยี นเปน็ การสว่ นตัวหรอื เป็นกลมุ่ เลก็ นอกเวลาเรยี นครสู อนคดิ | 6
การให้ feedback เป็นวิธีท่ีครูสามารถส่ือความปรารถนาดีไปสู่นักเรียน และในขณะเดียวกันก็ช่วยให้นักเรียนมีพัฒนาการท่ีดีข้ึนตามจุดมุ่งหมายท่ีวางไว้ลกั ษณะของ F E E D ท่ีดไี ด้แก่ มีเปา้ หมายชดั เจน ไม่ feedback หลายประเด็นในคร้ังเดียว ให้ feedback ทพ่ี ฤตกิ รรม ทักษะ ความตัง้ ใจ ความพยายามทเ่ี ปน็ รปู ธรรม เชน่ สามารถท�ำ ...ได,้ มคี วามต้ังใจที่... โดยเหน็ ไดจ้ าก.... หลีกเลยี่ งการ feedback ลักษณะเฉพาะตัวบุคคล ทเี่ ปน็ คณุ สมบตั เิ ช่น เกง่ ฉลาด โง่ Feedback ภายใต้บรรยากาศที่เปน็ มติ ร ไม่ควรท้งิ เวลาการ feedback หลังกจิ กรรมนานเกนิ ไป ควร feedback อย่างสมดลุ ระหวา่ งการส่งเสรมิ ส่ิงท่ที �ำ ได้ดี กบั สง่ิ ท่ี ควรปรับปรงุ 7 | ครูสอนคดิ
การกระต้นุ ใหน้ ักเรยี นมีสว่ นร่วม (Student Engagement) บรรยากาศท่ีปลอดภัย เป็นหัวใจสำ�คัญท่ีจะทำ�ให้นักเรียนกล้าคิดและกล้า แสดงความคดิ เหน็ ครตู อ้ งท�ำ ใหน้ กั เรยี นรสู้ กึ วา่ ความคดิ หรอื “เสยี ง” ของ เขาไดร้ บั การ “ฟงั ” ไมว่ า่ จากครหู รอื เพอ่ื น เพราะเมอ่ื นกั เรยี นรบั รวู้ า่ สิ่งทเ่ี ขา พดู มผี ู้ “รบั ฟงั ” และไดร้ บั การยอมรบั จะเปน็ แรงเสรมิ ทางบวก ท�ำ ใหน้ กั เรยี น กล้าพูดกลา้ แสดงความเห็นมากข้ึน ความสัมพันธ์ท่ีดีและการสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยจะช่วยลดความกังวล ทำ�ให้นักเรียนพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการเรียน และม่ันใจมากขึ้นท่ีจะ ต้งั คำ�ถามหรือแสดงความเห็น ไม่กลัวท่จี ะถูกตำ�หนิ หรือถูกทำ�ให้เสียหน้า รวมทง้ั กล้าทจี่ ะขอความช่วยเหลอื จากครใู นเร่ืองอน่ื ๆ ท่าทที ่เี ป็นมิตรของครทู �ำ ใหน้ ักเรียนรสู้ กึ ปลอดภยั และผอ่ นคลาย เกดิ ความ ไว้วางใจ ไม่กลวั อย่างไรเ้ หตผุ ล ท�ำ ให้กล้าคิดกลา้ ท�ำ ในทางตรงกนั ขา้ ม ทา่ ทที ่ีคุกคามจะทำ�ใหน้ ักเรียนเครียดและกลวั ไม่กล้าพดู ไม่กล้าแสดงออก หรือหลีกเลี่ยงแมแ้ ตจ่ ะคดิครสู อนคดิ | 8
การจัดส่ิงแวดล้อมการเรียนทางกายภาพเป็นส่ิงสำ�คัญ ควรจัดให้ห้อง เรียนอยู่ในลักษณะที่นักเรียนทุกคนสามารถเห็นหน้าเพ่ือนที่กำ�ลังพูด หรือแสดงความคิดเห็นได้ และควรจัดให้มีระยะห่างที่เหมาะสม ไมน่ ง่ั หา่ งหรือชดิ กันเกินไป การจดั ท่นี ่ังในห้องเรียนเพอื่ ใหท้ ุกคนสามารถเห็นหน้าเพ่ือนได้การจัดกิจกรรมหรือการอภิปรายกลุ่มท่ีมีเป้าหมายหรือประเด็นร่วมกัน โดยครูกระตุ้นให้นักเรียนช่วยเหลือกันมากกว่าแข่งขันเพื่อเอาชนะ ครูให้ ความสำ�คัญกับความเห็นของทุกคนในกลุ่มมากกว่าการตัดสินถูกผิด ครตู อ้ งกระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นทกุ คนผลดั กนั น�ำ เสนอหรอื แสดงความเหน็ รวมทง้ั ใหน้ ักเรียนไดฝ้ กึ การ feedback กนั เองอยา่ งสร้างสรรค์การจัดท่ีนงั่ สำ�หรบั กจิ กรรมกลมุ่ 9 | ครูสอนคิด
การถามอย่างเปน็ ระบบ(Systematic Questioning) ในช้ันเรียนทั่วไป ครูส่วนใหญ่ตั้งใจสอนเนื้อหาจำ�นวนมากให้ครบถ้วน ใ น เ ว ล า จำ � กั ด จึ ง มี เ ว ล า เ พี ย ง เ ล็ ก น้ อ ย ที่ ก ร ะ ตุ้ น ใ ห้ นั ก เ รี ย น ไ ด้ คิ ด วิ เ ค ร า ะ ห์ การสอนคดิ จึงต้องเรม่ิ ต้นที่ครทู �ำ ความเขา้ ใจว่า การถามมปี ระโยชน์อยา่ งไร มกี ร่ี ะดับมกี ลุ่มคำ�ถามที่จะนำ�ไปประยุกต์ใช้อะไรบ้าง และจะเลือกหรือจัดคำ�ถามอย่างไรประโยชน์ของการถาม มหี ลายประการ อาทิ 1. ท�ำ ใหเ้ ข้าใจ : การบอกท�ำ ใหจ้ ำ�ได้ แตอ่ าจไมเ่ ข้าใจ 2. ทำ�ให้ไดค้ ดิ : การถามกระต้นุ ใหค้ ดิ คำ�ตอบหยดุ การคดิ การตอบควรเป็นเพียงการหยดุ พักช่วั คราว เพือ่ ถามต่อ 3. ทำ�ใหม้ ่นั ใจ : คำ�ถามท่ีดใี นบรรยากาศที่เปน็ มติ ร ท�ำ ให้นักเรียน ค้นพบคำ�ตอบด้วยตนเอง เกิดความม่ันใจว่าสามารถคิดได้เอง โดยไม่ตอ้ งเชอ่ื ตาม 4. เกดิ การตรวจสอบ : ค�ำ ถามกระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นสงสยั และตรวจสอบ ความเช่ือท่มี อี ยูก่ ่อนถูกถามครสู อนคดิ | 10
ระดบั ของการถาม ตามการแบ่งของ Art Costaระดับท่ี 1 ค�ำ ตอบหาไดจ้ ากเรอ่ื ง หรอื ตวั บทโดยตรง (text explicit) ถามความเขา้ ใจเบอ้ื งตน้ มคี ำ�ตอบท่ีถกู ต้องเพียงคำ�ตอบเดียว จดั เปน็ การถามความเขา้ ใจ(text explicit) เบอ้ื งต้น มกั เปน็ คำ�ถามเกี่ยวกบั ข้อเท็จจริง หรอื ความจำ� ลักษณะการถาม : ใคร , อะไร , ที่ไหน , เมื่อไร ตวั อย่าง : หนุมานเป็นลูกของใคร กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งท่ีสองในปี พ.ศ. อะไรระดบั ที่ 2 ค�ำ ตอบแฝงไวใ้ นเรอ่ื งหรอื ตวั บท (text implicit) ถามเพ่อื เช่ือมโยง ค�ำ ตอบอาจแทรกหรอื กระจดั กระจายในทต่ี า่ งๆ เราจงึ ตอ้ งตดั สนิ ใจ /(text implicit) เลอื ก / สรปุ โดยการจัดระบบ หรอื เช่อื มโยงความสัมพนั ธ์จาก เน้ือหาทม่ี ี ลกั ษณะการถาม : อยา่ งไร , ท�ำ ไม ตัวอย่าง : พระอภัยมณกี บั ขุนแผนมีความเหมือน / ความตา่ ง อย่างไรบา้ ง เพราะเหตุใดกรงุ ศรอี ยธุ ยาจงึ แตกถึงสองครงั้ระดบั ท่ี 3 ค�ำ ตอบอยนู่ อกเหนือเน้ือเรือ่ ง หรือตัวบท จำ�เปน็ ต้องอาศยั ถามจากประสบการณ์ ความรู้ หรอื ประสบการณข์ องผตู้ อบ (Experience Based) (experienced based) ท�ำ ใหค้ ำ�ตอบของแตล่ ะคนมคี วามเปน็ ไปไดท้ ีห่ ลากหลาย ไมม่ คี ำ� ตอบท่ีถกู ตอ้ งชัดเจนคำ�ตอบเดยี ว ลกั ษณะการถาม : อะไรจะเกิดขึ้นถ้า... , หากคณุ อยใู่ นสถานการณ์น้นั คุณจะ... , จากปัจจยั ตา่ งๆ ทมี่ ี ท�ำ นายได้ว่า... ตัวอย่าง : เรื่องรามเกยี รตจิ์ ะจบอยา่ งไร ถา้ ในตอนท้าย สดี า ปฏเิ สธทจี่ ะลุยไฟเพ่ือพิสจู นค์ วามบรสิ ทุ ธ ์ิ หากกรงุ ศรีอยุธยาไมแ่ ตกในคร้ังทีส่ อง ประเทศไทยจะ ตา่ งจากท่เี ป็นอยใู่ นปจั จบุ ันอย่างไร แปลและเรียบเรยี ง จาก http://mrkash.com/costa.html 11 | ครูสอนคดิ
กลมุ่ ค�ำ ถาม กลมุ คำ 1. การเลือกประเดน็ (Selection) - ถามแหลงทม่ี า (source) : ไดประเดน็ นีม้ าจากไหน? - ถามความสำคัญ (significance) : เปนประเดน็ ทีน่ า สนใจยงั ไง สำคญั ยงั ไง? 2. การทำประเดน็ ใหก ระจา ง (Clarification) - ถามความหมาย : คณุ หมายความวาอยา งไรทีว่ า ....? - ใหยกตวั อยา ง (example) : ยกตัวอยางสคิ รับ...? - ถามความตา ง (differential) : มนั ตา งจากอนั อนื่ อยางไร...?ครสู อนคดิ | 12
ำถาม 3. การทดสอบความนา เชอื่ ถือ (Testing) - ถามหาหลักฐาน (evidence) : หลักฐานอะไรทำใหเ ชอ่ื วา....? - ถามหาเหตุผล (logic) : อะไรทำใหเ ชอ่ื วาถา.... แลว จะ....? - ยกตัวอยางแยง (counter-example) : หากมกี รณ.ี ...(ซ่งึ ตา ง/แยง/นอกเหนอื จากที่เดมิ เช่ือ) แลวยังสรปุ แบบเดิมอยหู รือไม? จะสรุปเปล่ียนไปอยางไร? 4. การขยายประเดน็ (Alternatives) ถา ไมใช .... จะเปนอยางอนื่ อะไรอีกบาง? คนอ่นื จะเชื่อตางไปอยา งไรไดบ า ง? มอี ะไรทจ่ี ะทำใหค ุณเปล่ียนความเชอื่ ไดบ าง? 5. การประยุกตประเด็นไปใช (Implication) - ถามผลกระทบ (consequences) : ถาเปน อยา งนัน้ จรงิ อะไรจะเกดิ ขึ้น? จะมีความหมายอยา งไร กับใคร แคไหน? 13 | ครูสอนคิด
การเลอื ก/จัดค�ำ ถาม(Choosing/ListingQuestions) เนื่องจากระดับและชนิดของคำ�ถามมีหลากหลาย ครูควรวางแผน ล่วงหน้าในการเลือกคำ�ถามที่สอดคล้องกับบทเรียนท่ีจะสอนใน แตล่ ะครัง้ การถามทด่ี ีเป็นการถามเพอื่ ใหผ้ ู้เรยี นมีความคิดทมี่ ีคณุ ภาพ กลา่ วคอื คดิ ไดก้ วา้ ง ลกึ ซง้ึ สมเหตสุ มผล และเปน็ ประโยชนใ์ นการน�ำ ไปใช้ หลังคำ�ถามครูควรให้นักเรียนมีเวลาคิดท่ีเพียงพอก่อนตอบคำ�ถาม (thinking time : “รอ 7 วนิ าทหี ลังถาม 3 วนิ าทีหลงั ตอบ”) ครรู อ 7 วนิ าท ี (ยม้ิ นอ้ ยๆ สหี นา้ ใหก้ �ำ ลงั ใจ และนบั ในใจ หนง่ึ รอ้ ยสบิ เอด็ หนง่ึ รอ้ ยสบิ สอง หน่ึงร้อยสิบสาม หน่ึงร้อยสิบส่ี หน่ึงร้อยสิบห้า หน่ึงร้อยสิบหก หน่งึ ร้อยสิบเจ็ด) และครูควรเป็นแบบอย่างในการคิดก่อนตอบ โดยทุก ครั้งท่นี กั เรยี นตอบ ครคู วรรอ 3 วนิ าทหี ลงั นกั เรยี นตอบค�ำ ถาม สว่ น มากด้วยความรีบเร่ง ครูมักไม่รอให้นักเรียนคิดนานพอ หลังจากถาม ครูมักคาดหวังคำ�ตอบโดยเร็ว หากนักเรียนยังไม่ตอบ ครูมักหันไปถาม นักเรียนคนอ่ืน หรือ ตอบแทนเสียเอง และเม่ือเกิดข้ึนซำ้�ๆ จนเป็น ความเคยชนิ ครจู ะเริ่มถามคำ�ถามทง่ี ่ายไม่ทา้ ทายใหค้ ิดหรือค�ำ ถามที่ เกย่ี วขอ้ งกบั ความจ�ำ มากขน้ึ ซง่ึ นกั เรยี นสามารถตอบไดเ้ รว็ โดยไมต่ อ้ งคดิ 00:07 วนิ าทหี ลงั ถาม 00:03 วนิ าทีหลังตอบครสู อนคิด | 14
เพื่อให้เกิดความคิดที่มีคุณภาพ คำ�ถามแต่ละคำ�ถามต้องสอดคล้อง ตอ่ เนอ่ื งครจู งึ ตอ้ งเลอื กและจดั ค�ำ ถามอยา่ งเปน็ ระบบ แนวทางทว่ั ไป คือครูวางแผนการสอนโดยเตรียมคำ�ถามหนึ่งหรือสองคำ�ถามเพื่อ เปิดประเด็น ต่อจากนั้นจินตนาการถึงคำ�ตอบที่เป็นไปได้ของนักเรียน สักสองสามคำ�ตอบ แล้วครูเตรียมคำ�ถามท่ีต่อเนื่องจากแต่ละคำ�ตอบ ของนกั เรยี น โดยเนน้ ทกี่ ารคิดที่ลึกซึ้งข้ึนเชน่ คำ�ถามเพือ่ ทดสอบความน่าเชื่อถือ เพ่อื ขยายประเดน็ หรือเพือ่ การประยุกต์ใช้ 15 | ครสู อนคดิ
การจดั กจิ กรรมสร้างสรรค์ (Creative Activities) ความคิดสร้างสรรคเ์ ป็นความคิดแปลกใหม่ (original) และมีคุณค่า (valuable) มรี ายละเอยี ดและสามารถอธบิ ายทม่ี าทไ่ี ปได้ (elaborative) ความแปลกใหม่ อาจ แปลกใหมใ่ นแงผ่ ลลพั ธห์ รอื วธิ กี าร คณุ คา่ อาจเปน็ คณุ คา่ ตอ่ การน�ำ ไปสรา้ งประโยชน ์ ทางปฏบิ ตั ิ หรอื คณุ คา่ ทางจติ ใจคอื ความงาม ความสขุ ความสงบ การคดิ อยา่ งสร้างสรรคต์ อ้ งอาศยั ความอยากรู้อยากเหน็ (curiosity) และการ จนิ ตนาการ (imagination) ร่วมไปกับการเปิดกว้างและแสวงหาความหลากหลาย (divergent-explorative thinking) ทแ่ี ยกอยตู่ ามแหลง่ ตา่ งๆ และการบรู ณาการหรอื ผสมผสาน (convergent-integrative thinking) เพอ่ื โยงสง่ิ ทม่ี อี ยใู่ หเ้ ปน็ สง่ิ ใหม่ ความอยากรอู้ ยากเหน็ อาจกระตนุ้ ดว้ ยการใชค้ �ำ ถามหรอื กจิ กรรมในเรอ่ื งทใ่ี หม่ ยากหรือท้าทายหรือท่ีนักเรียนไม่คุ้นเคย คาดเดาไม่ได้ แต่สนุก น่าสนใจหรือ นา่ คน้ หา ตวั อยา่ งเชน่ การบรรยายภาพใหน้ กั เรยี นวาดตามโดยไมใ่ หน้ กั เรยี นเหน็ ภาพทค่ี รบู รรยายใหฟ้ งั จะกระตนุ้ ความอยากรอู้ ยากเหน็ และเมอ่ื เสรจ็ แลว้ เฉลย หรอื แสดงภาพนน้ั แลว้ ใหน้ กั เรยี นเปรยี บเทยี บสง่ิ ทต่ี นวาดกบั ภาพตน้ แบบท�ำ ใหเ้ กดิ ความสนกุ การใช้จินตนาการสามารถกระตุ้นให้เกิดข้ึนได้ด้วยการใช้คำ�ถามขยายประเด็น ขา้ งตน้ หรอื การท�ำ กจิ กรรมทเ่ี นน้ การคดิ อยา่ งอสิ ระและไมจ่ �ำ กดั โดยกรอบใดๆ กจิ กรรมเหลา่ นค้ี วรมขี อ้ ก�ำ หนดนอ้ ย เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นคดิ และสรา้ งผลงานทเ่ี ปน็ ไปได ้ หลากหลายตวั อยา่ งเชน่ ครกู �ำ หนดใหน้ กั เรยี นวาดภาพทส่ี อ่ื อารมณต์ น่ื เตน้ โดยจะ วาดรปู อะไรกไ็ ด้ ใชอ้ ปุ กรณ์ สี หรอื เทคนคิ อะไรกไ็ ด้ เปน็ ตน้ครสู อนคดิ | 16
การเปิดกว้างและแสวงหาความหลากหลายกระตุ้นให้เกิดข้ึนได้ ด้วยการให้เวลานักเรียนในการค้นคว้า การจัดเตรียมทรัพยากรหรือ แ ห ล่ ง ค ว า ม รู้ ท่ี แ ต ก ต่ า ง ห ล า ก ห ล า ย ไ ม่ จำ � กั ด ก า ร ใ ช้ คำ � ถ า ม ข ย า ย ประเดน็ ความคดิ ท่นี กั เรยี นมอี ยเู่ ดิมให้กวา้ งขึ้น และการจดั กจิ กรรมกลุ่มท่มี ีการแลกเปลยี่ นและทำ�ร่วมกันการบูรณาการหรือผสมผสานกระตุ้นให้เกิดข้ึนได้ด้วยการใช้กิจกรรม ที่ให้เกิดความคิดรวบยอด มีการเชื่อมโยงความคิดท่ีแตกต่างหลากหลายเข้าด้วยกัน ตัวอย่างเช่น หัวข้อสุขศึกษา ครูให้นักเรียนออกแบบ สูตรอาหารที่สะท้อนคนดี โดยให้นักเรียนนำ�ความรู้และข้อมูลทั้งหมด ที่มีมาประกอบกันเป็นสูตรอาหาร โดยต้องมีทั้งส่วนประกอบ ปริมาณ รวมทั้งระบุวิธีการปรุงและเวลาเพื่อให้ได้คนดีตามที่ต้องการ กิจกรรมนี้อาจท�ำ ตอ่ เน่อื งจากกจิ กรรมท่ีทำ�มากอ่ นหน้าการน�ำ กระบวนการครูสอนคิดไปใชใ้ นโรงเรียนในเครือมลู นิธแิ มฟ่ ้าหลวง 17 | ครูสอนคดิ
แนวทางการสอนคิด 1. การเตรยี มตัว ครูเตรียมแผนการสอน โดยนึกถึงสาระสำ�คัญท่ีจำ�เป็น และเตรียม คำ�ถามเพื่อเข้าสู่บทเรียน และคำ�ถามอีกสักสองสามคำ�ถามในระหว่าง การสอนท่ีจะนำ�นักเรียนเข้าสู่สาระของการเรียนหากมีการหลุดออกจาก ประเดน็ ไปมากเกนิ ไป ครวู างแผนสำ�หรับกจิ กรรมสน้ั ๆ ที่เนน้ ใหน้ ักเรยี นทุกคนมีสว่ นรว่ ม หรือท่ีต้องให้นักเรียนฝึกทักษะ ครูควรเน้นกิจกรรมที่น่าสนใจท่ีจะกระตุ้น ให้นกั เรยี นกระตือรือรน้ (curiosity) และใช้จนิ ตนาการ (imagination) โดยสรุปเป็นแนวทางคร่าว ๆ คือ 1/3 เป็นสาระที่ต้องถ่ายทอด 1/3 เป็นคำ�ถามและการอภิปราย 1/3 เป็นกิจกรรม สัดส่วนอาจปรับไป ไดต้ ามความเหมาะสม เชน่ ในวิชาท่ตี อ้ งการการฝกึ ทักษะมาก เช่น ดนตร ี ศลิ ปะ หรือ งานชา่ ง สดั สว่ นของกจิ กรรมอาจมากขึ้นขณะที่เนือ้ หาสาระ ลดลง แตค่ รูควรวางแผนการสอนใหค้ รอบคลุมท้งั สามส่วน สาระ กิจกรรม ค�ำ ถาม *อน่ึงแผนการสอนน้ีครูควรเขียนไว้เป็นแนวทางเท่านั้น ไม่ควรระบุรายละเอียดยาวเกินไป เช่น ไม่ควรเขยี นเกนิ 1 หนา้ กระดาษ เพราะในช่ัวโมงสอนจริง อาจต้องปรบั เปลย่ี นไปตาม ความจำ�เป็น แผนการสอนจึงต้องมกี ารยืดหยุ่น*ครสู อนคิด | 18
2. การเปิดประเดน็ และการถาม หลังจากทักทายกันตามปกติทั่วไปเพ่ือสร้างบรรยากาศการเรียนท่ี ผ่อนคลายและเป็นมิตรแล้ว ครูสามารถนำ�เข้าบทเรียนด้วยการถาม ครูควร เลือกคำ�ถามที่มลี ักษณะตอ่ ไปน้ี เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน (lived experience) อาจเกี่ยวกับ ข่าวสารบา้ นเมือง หรอื สิง่ ทก่ี �ำ ลงั เปน็ ทส่ี นใจของชมุ ชน หรอื สังคม นกั เรยี นทุกคนสามารถเข้าถึงหรือมสี ว่ นรว่ มได้ (sharing / participation) มหี ลากหลายแงม่ มุ มคี �ำ ตอบทเี ปน็ ไปไดม้ ากกวา่ หนง่ึ (multidisciplinary / complex) เหมาะสมตามบรบิ ท (context) ไดแ้ ก ่ วยั หรอื ชน้ั เรยี น ลกั ษณะของนกั เรยี น เนอ้ื หาท่ีกำ�หนดโดยรายวิชา เวลาท่มี ี สื่อการสอนทีห่ าได้ ต่อเนอ่ื งหรอื เพ่ิมเตมิ จากสง่ิ ท่นี ักเรียนรู้หรือมปี ระสบการณ์อยเู่ ดิม 19 | ครูสอนคิด
ตัวอย่างเช่น การเสียชีวิตของดาราดังจากโรคไข้เลือดออก ซึ่งเป็นข่าวดังนำ�เสนอโดยส่ือทุกสำ�นัก ครูสามารถนำ�มาเป็นประเด็นในการสอนได้ดี เน่ืองจากเปน็ สิ่งที่เกิดขน้ึ จรงิ ทุกคนใหค้ วามสนใจ นักเรยี นทกุ คนนา่ จะรับรู้ขา่ วสารน้ี มแี งม่ ุมในการซักถามและอภิปรายได้มาก อาทิ วชิ า ประเด็นการสอน ตัวอยา่ งคำ�ถามวิทยาศาสตร์ โรค (ไข้เลอื ดออก) - ปัจจยั ที่ทำ�ใหเ้ กิดไขเ้ ลือดออกมีอะไรบา้ ง? การสบื คน้ ทางประวตั ิศาสตร์ - สาเหตุของโรคต่างจากพาหะของโรค ประวัติศาสตร์ (ความเป็นมาของไขเ้ ลือดออก อย่างไร? ในประเทศไทย) - ไขเ้ ลือดออกเกิดขึ้นทเี่ มอื งไทยหรือระบาด มาจากทีอ่ นื่ ? - หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ชนดิ ใดนา่ เช่ือ ถอื ที่สดุ สำ�หรับเรอื่ งทางการแพทย?์คณติ ศาสตร์ จำ�นวนและสดั สว่ น - จงั หวัดที่นกั เรียนอยมู่ ีสดั ส่วนผูเ้ ป็นไข้เลอื ด สงั คม (ประชากรทเ่ี ปน็ ไขเ้ ลอื ดออก ออกเปน็ กเ่ี ทา่ ของกรุงเทพมหานคร? - ถ้าต้องการลดจำ�นวนประชากรท่ีเป็นไข้ภาษาไทย ตามจังหวดั ตา่ งๆ) เลอื ดออกในจังหวัดของนักเรียนต้องเพิม่ หรือลดปจั จยั อะไรบา้ ง? ความเปน็ สว่ นตวั - การเสนอข่าวการตายดว้ ยโรคไข้เลอื ดออก (ของบคุ คลสาธารณะ) ของดารา เป็นการละเมดิ ความเปน็ ส่วนตวั หรอื ไม่ อยา่ งไร? การใชค้ �ำ ประสม (ไขเ้ ลอื ดออก) - เพราะอะไรโรคนจ้ี งึ ใชค้ �ำ วา่ ไขเ้ ลอื ดออก? - โรคมาลาเรยี มชี อ่ื เรยี กอน่ื วา่ ไขป้ า่ หรอื ไขจ้ บั สน่ั จากค�ำ ประสมทใ่ี ช้ โรคมาลาเรยี นา่ จะตา่ งจาก ไขเ้ ลอื ดออกอยา่ งไร?ครสู อนคิด | 20
จะเห็นได้ว่าจากตัวอย่างข้างต้น แม้เป็นประเด็นเดียวกัน ครูสามารถสร้างบทเรียนตามแต่ละสาขาวิชาได้ โดยปรับคำ�ถามให้เหมาะสมกับระดับช้ันและความรูท้ ่ีนักเรียนมมี ากอ่ นหนา้ ในกรณีท่ตี อ้ งอาศยั ข้อมลู เพมิ่ เติม ตอ้ งมีการทดลอง หรือการปฏิบัติการบางอย่างท่ีจำ�เป็นเพื่อตอบคำ�ถาม ครูควรเตรียมเอกสารประกอบหรืออุปกรณ์สำ�หรับการทดลองหรือปฏิบัติการที่ใช้เวลาไม่มากส�ำ หรบั การเรียนรใู้ นหอ้ งเรียน นอกเหนือจากการท่ีครูนำ�เข้าบทเรียนด้วยการใช้คำ�ถามท่ีเตรียมมาใน เบ้ืองต้นแล้ว ครูอาจเร่ิมบทเรียนด้วยการให้นักเรียนต้ังคำ�ถามจากหัวข้อ หรือส่ือการสอนอื่น ที่ครูนำ�มาก็ได้เช่นกัน ครูกระตุ้นให้นักเรียนสงสัย ในแง่มุมต่างๆ ของประเด็นที่มี เม่ือนักเรียนเสนอคำ�ถามจำ�นวนหนึ่ง ครู กำ�หนดวิธีเลือกคำ�ถามโดยใช้วิจารณาญานว่าวิธีใดเหมาะสมในบริบทนั้นๆ เช่น อาจเลือกคำ�ถามแรกท่ีเสนอ อาจเลือกคำ�ถามท่ีสัมพันธ์กับคำ�ถาม ส่วนใหญ่ อาจให้นักเรียนที่ไม่เสนอเป็นคนเลือก หรืออาจให้นักเรียน แตล่ ะคนออกเสียงลงมติ วิธีการเลือกคำ�ถามโดยให้นักเรียนเสนอและตัดสินใจ จะทำ�ให้นักเรียน เห็นว่าครูเปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการแสดงความเห็น และ มีส่วนกำ�หนดวิธีการเรียนการสอน นอกจากนี้ครูยังสามารถแสดงให้ นักเรียนเห็นถึงความหลากหลายในวิธีการตัดสินใจของกลุ่ม เป็นการฝึก นักเรียนให้ร่วมมือและให้เกียรติกัน ซึ่งเป็นพื้นฐานความเข้าใจเก่ียวกับการ อย่รู ่วมกนั อกี ทางหนงึ่ 21 | ครูสอนคดิ
3. กิจกรรม ประกอบไปด้วย คดิ เดย่ี ว-คดิ ค-ู่ รว่ มคดิ (Think-Pair-Share) : เมอ่ื ครใู หน้ กั เรยี นท�ำ กจิ กรรม ทร่ี ว่ มกนั คดิ บอ่ ยครง้ั ทน่ี กั เรยี นบางคนจะไมร่ ว่ มหรอื รว่ มนอ้ ยมากอาจเนอ่ื ง จากอายหรือกลัวว่าความคิดของตนจะไม่เข้าท่าในสายตาของครูหรือเพ่ือน ขอ้ แนะน�ำ ในทางปฏบิ ตั ิง่ายๆ คือ ครูให้นักเรียนได้คิดตามลำ�พังก่อน เพ่อื ให้นักเรียนใช้เวลาในการคิดและ ทบทวนด้วยตนเอง เป็นการเตรียมนักเรียนในเชิงเนื้อหาซ่ึงช่วยให้ นักเรียนเกิดความมั่นใจว่าตนมีความคิดเห็นที่จะแลกเปลี่ยนกับผู้อ่ืน หรือแม้แต่การตอบคำ�ถามครู โดยครูบอกให้นักเรียนคิดเองเงียบๆ คนเดียว (inner talk) โดยอาจให้จดความคิดเห็นหรือคำ�ตอบใน กระดาษของตนส่วนตวั กันลืม การใหเ้ วลาคดิ ทำ�ใหเ้ พ่ิมโอกาสทน่ี กั เรยี น จะมีส่วนรว่ มในการเรยี น ครูให้นักเรียนแลกเปล่ียนคำ�ตอบหรือความคิดเห็นของตนเองกับเพอ่ื น เป็นค่ ู (pair) ด้วยการพูดคุย เพ่อื ให้มีการแลกเปล่ยี นความคิดเห็นซึ่ง กิจกรรมค่นู ้ที ำ�ให้นักเรียนทุกคนได้พูดและแสดงความคิดเห็น เน่อื งจาก การที่ครูใช้คำ�ถามกับนักเรียนท้ังห้องในคราวเดียว นักเรียนหลายคน จะไม่มีโอกาสได้พูดหรือแสดงความคิดเห็น ข้ันตอนนี้ครูควรเน้นว่าให้ มกี ารผลดั กันพดู ผลัดกันฟังทีละคน โดยพยายามแบง่ เวลาใหพ้ อๆ กันครสู อนคิด | 22
ครใู หแ้ ลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ เปน็ กลมุ่ หรอื อภปิ รายกนั ทง้ั ชน้ั โดยครเู ปน็ ผู้กำ�กับการอภิปราย คิดเดี่ยว-คิดคู่-ร่วมคิด น้ีช่วยให้นักเรียนรู้สึกมีส่วนร่วมในกิจกรรม ลดความรู้สึกถูกคุกคามจากคำ�ถามหรือกิจกรรมที่ตนไม่มีเวลาเตรียมตัว ให้พร้อมก่อน โดยวิธีน้ีนักเรียนทุกคนจะได้พูดแสดงความเห็นอย่างน้อย ที่สุดในข้ันของการพูดคุยเป็นคู่ อน่ึงในแต่ละข้ันตอน ครูควรกำ�หนดเวลาตามความเหมาะสม และเตือนนักเรียนก่อนเวลาหมด เพื่อให้นักเรียน ทราบและเตรยี มตัวสมั นากล่มุ ยอ่ ย (Micro-Seminar) หรอื สมั นากลมุ่ ใหญ่ (Seminar) เพอ่ืให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในวงกว้าง ตามความเหมาะสมของประเดน็ เนอื้ หาหรือบรบิ ทของชนั้ เรยี นกิจกรรมอื่นๆ ท่ีครูถนัด เพ่ือนำ�มาประยุกต์ใช้ในห้องเรียน สำ�หรับการ สอนคิดน้ีวัตถุประสงค์หลักของกิจกรรมคือ การกระตุ้นให้นักเรียนทุกคน มีส่วนร่วมและการพัฒนาทักษะการคิดทั้งการใช้วิจารณญานและ ความคิดสร้างสรรค์ 23 | ครสู อนคิด
4. บรรยากาศและสิ่งแวดล้อม เนน้ บรรยากาศทเ่ี ออ้ื ใหเ้ กดิ การคดิ ใครค่ รวญอยา่ งเสรี (Deliberative Democracy) ซง่ึ ประกอบไปดว้ ย การกระตุ้นให้เกิดการร่วมมือกัน (cooperativeness) โดยครูเปิดโอกาส ให้นกั เรยี นทกุ คนสามารถแสดงความเหน็ หรอื ตง้ั ค�ำ ถามไดอ้ ยา่ งเทา่ เทยี ม กนั การสนับสนุนความเป็นตัวของตัวเอง (autonomy) โดยครูต้ังใจรับฟัง และให้ความสำ�คัญกับความเห็นของนักเรียน ให้เกียรติ ไม่บังคับ ไม่วา่ นกั เรยี นจะถาม ตอบค�ำ ถามหรือแสดงความเห็นหรือไม่ก็ตาม การใช้ความคิดไตร่ตรองด้วยเหตุผล (thoughtfulness) โดยครูให้เวลา นักเรียนคิดอย่างเพียงพอ ไม่เร่งรัด แล้วใช้คำ�ถามชวนให้นักเรียนคิด ใหล้ กึ ซง้ึ ขนึ้ สรา้ งบรรยากาศทเี่ ก้อื กูลเป็นกัลยาณมิตร ซ่งึ ไดแ้ ก่ ลดความสมั พนั ธเ์ ชงิ อำ�นาจ (no power relation) โดย หลกี เลยี่ งการ ตดั สนิ ถกู ผิดโดยไมเ่ ปิดโอกาสให้มกี ารโต้แยง้ หรอื อธิบาย หลกี เล่ียงการบงั คบั ให้เชอ่ื (avoid domination) โดย ลดการสัง่ หรอื บอก โดยปราศจากการถามความเหน็ หรืออภิปราย สรา้ งศรทั ธา-มเี มตตา-รจู้ กั ถอ่ มตวั (faith-love-humility) ซง่ึ ในทน่ี ้ี หมายถงึ การเชอ่ื มน่ั ในตวั นกั เรยี นวา่ สามารถคดิ เองได ้ ใจเยน็ ใหก้ �ำ ลงั ใจนกั เรยี น ดว้ ยความเอน็ ดเู หมอื นลกู หลานตวั เอง และเปดิ ใจวา่ ครเู องกไ็ มร่ ไู้ ด้ ผดิ ได้ เช่นเดยี วกับนกั เรียนนั่นเอง ครูสอนคิด | 24
รปู แบบ (Setting) การจดั หอ้ งเรยี น ถา้ เปน็ ไปไดค้ วรนง่ั เปน็ วงกลม สเ่ี หลย่ี มจตรุ สั หรอื รปู ตวั ย ู เพอ่ื ครแู ละนกั เรยี นสามารถเหน็ กนั ทกุ คน ถา้ นกั เรยี นมจี �ำ นวนมาก อาจทำ�เป็นสองวงซอ้ นกนัการจัดทน่ี ัง่ เปน็ สเี่ หลี่ยมจตรุ สั การจดั ท่ีน่ังเปน็ ตวั ยูส่ือการเรียนการสอน (Stimulus) เป็นได้ทุกรูปแบบ เช่น บทความสั้นๆ เรื่องเล่า รูปภาพ เพลง วีดีโอ ส่ิงของ การสอนคิดใช้ส่ือเหล่านี้เพื่อนำ�นักเรียนเข้าสู่การอภิปรายซักถาม จึงไม่แนะนำ�ให้ใช้ส่ือท่ีนักเรียนต้องใช้เวลา ในการทำ�ความเข้าใจมากเกินไป และส่อื ท่ดี ีควรสะท้อนส่งิ ท่เี กิดข้นึ ในชีวิตจริง สื่อที่มีตามธรรมชาติอาจเหมาะสมกว่าสื่อประดิษฐ์ เช่น การสอนเรื่อง พชื ผกั สวนครวั การใชผ้ กั จรงิ ๆ ซง่ึ หาไดง้ า่ ย ยอ่ มดกี วา่ การใชร้ ปู ภาพ เปน็ ตน้ 25 | ครูสอนคิด
5. จบชั่วโมงสอน ครูอาจสรุปสาระสำ�คัญ ตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนให้ตรงกัน สำ�หรับการอภิปรายอาจไม่มีบทสรุปหรือข้อตกลงที่เห็นด้วยกันทุกคน เน่ืองจากการได้ข้อสรุปไม่ใช่หลักสำ�คัญของการสอนคิด ดังนั้นจึงปล่อย ประเด็นโดยยังไม่สรุปได้ แต่ครูควรสะท้อนให้นักเรียนเห็นว่าในชีวิตจริง การพูดคุยถกเถียงหลายครั้งก็ไม่จำ�เป็นต้องสรุปให้เห็นไปในทางเดียวกัน การร่วมอภิปราย ใช้ความคิด แสดงความคิดเห็นอย่างเท่าเทียมและ เป็นมิตรมีความส�ำ คัญส�ำ หรับสงั คมในปัจจบุ ันมากกว่า ครูอาจให้นักเรียนแต่ละคนใช้เวลาทบทวนและบันทึกส่ิงที่ได้จากการ เรียนการสอนหรือจากการอภิปราย (quiet reflection) แล้วครูทบทวน กระบวนการเรียนร้ ู (debrief) ส้นั ๆ อีกคร้งั หน่งึ เช่น การถามถึงส่งิ ท่นี ักเรียน ได้เรียนรู้เพ่ิมเติม ประสบการณ์หรือความรู้สึกต่อการเรียนการสอน และการนำ�สิ่งที่เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง การทบทวนกระบวนการ เรียนรู้เป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ทบทวนและสะท้อน (feedback) ผลการสอนของครูได้ด้วยอกี ทางหน่ึง ครูอาจเปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนได้แสดงความเห็นสุดท้าย (last words for each) โดยครูไมข่ ัดจังหวะ ไมต่ อ่ ประเดน็ และไมโ่ ต้ตอบ ครูอาจมีการบ้านหรือแบบฝึกหัด อาจเป็นคำ�ถามท่ีน่าสนใจแต่ยังไม่ได้ อภปิ รายเพอื่ ให้นกั เรยี นกลับไปคิดตอ่ หรือใหง้ านอ่นื ๆ ตามความเหมาะสม อย่างไรก็ตามการบ้านต้องไม่ใช้เวลาของนักเรียนท่ีบ้านมากเกินไป เช่น การบ้านสำ�หรับเตรียมความรู้ โดยให้อ่านบทเรียนล่วงหน้าก็ไม่ควรเกิน 15 – 30 นาที แตก่ ารบา้ นเพอ่ื ฝกึ ทกั ษะเพม่ิ เตมิ อาจนานกวา่ นน้ัครสู อนคิด | 26
กรอบการสอนคดิ ทั่วไป (Socratic Teaching Class)เปา้ หมาย นักเรียนมสี ่วนรว่ ม (engaging) และมีทักษะการคดิ ที่มีคณุ ภาพ ครมู คี วามสมั พนั ธท์ ี่ด ี กบั นักเรียน สามารถกระต้นุ ใหน้ กั เรยี นมีส่วนรว่ ม สามารถใชค้ �ำ ถามอย่างเป็นระบบ และจดั กจิ กรรมทส่ี ร้างสรรค์เพ่อื การเรียนรู้ความเชอ่ื พน้ื ฐาน 1. การสอนคดิ ชว่ ยใหเ้ กิดการเรียนรทู้ คี่ งอยภู่ ายในตัวนักเรยี น ท�ำ ให้สามารถ ประยกุ ตท์ กั ษะการคิดนไ้ี ดก้ ับเรอ่ื งอน่ื ๆ นอกเหนอื จากวชิ าทีเ่ รยี น 2. การสอนคิดอาศัยการร่วมมือ (collaboration) ระหวา่ งครแู ละนักเรยี น และระหวา่ งนักเรยี นดว้ ยกนั ภายใต้บรรยากาศทเ่ี ปน็ มิตร (friendly setting)ทักษะทจี่ �ำ เปน็ 1. การสร้างความสัมพันธ์ทดี่ ี 2. การกระตุ้นใหม้ ีสว่ นร่วม 3. การตั้งคำ�ถามอยา่ งเป็นระบบ 4. การจดั กจิ กรรมสรา้ งสรรค์กระบวนการ 1. เตรียมหรือสรา้ งประเด็น / กิจกรรม ในห้องเรยี น 2. กระตนุ้ ใหท้ กุ คนมสี ว่ นรว่ มในการเลอื กหรอื วเิ คราะหป์ ระเดน็ / เลอื กหรอื ก�ำ หนดกจิ กรรม 3. พยายามใหน้ กั เรยี นเกดิ ความชัดเจนในประเดน็ / กจิ กรรม ก่อนมีการอภปิ ราย / ปฏิบตั ิ 4. ใช้ค�ำ ถามกระตุ้นให้นกั เรียนตอบเพือ่ ถามต่ออยา่ งเป็นระบบและมที ศิ ทาง ชัดเจน / ใช้กิจกรรมกระต้นุ ใหน้ ักเรียนใช้จนิ ตนาการและฝึกทกั ษะ 5. สรุปหรือให้นักเรียนสรปุ เปน็ ระยะ / อธิบายขน้ั ตอนการปฏบิ ตั ิเปน็ ระยะ 6. ให้นักเรียนแตล่ ะคนเขียนสรุปประเด็น / ตดั สนิ คณุ ค่าและวจิ ารณ์งาน และประสบการณท์ ีไ่ ด้ 7. จัดให้มีการอภปิ รายรว่ มกนั ถึงประสบการณ์ท่ไี ด้ในตอนท้ายสถานที หอ้ งเรยี นหรือนอกหอ้ งเรยี น ไม่จำ�กัดเวลา ประมาณ ……….. ชั่วโมง/ สปั ดาห์จำ�นวนนกั เรยี น ประมาณ 20 – 40 คนอุปกรณ์ ส่อื การสอน เตรียมตามแผนการสอนทีว่ างไว้ ไมเ่ น้นเทคโนโลยีช้ันสูงหากไม่เกยี่ วข้องกับสงิ่ ทนี่ ักเรียนพบเหน็ ในชวี ติ ประจ�ำ วัน พยายามใช้อปุ กรณ์ทหี่ าไดท้ ่วั ไป เนื่องจากเนน้ การเรียนรู้ ท่ใี กลเ้ คียงชีวิตจริงทสี่ ดุประเมนิ ผล Peer review, feedback, debrief 27 | ครูสอนคิด
KEEP CALM AND THINK ONครสู อนคิด | 28
ศูนย์จติ วทิ ยาการศกึ ษา มลู นิธิยวุ สถริ คณุ214 ถนนนครสวรรค์ แขวงวัดโสมนัส เขตปอ้ มปราบศัตรูพา่ ยกรงุ เทพมหานคร 10100 โทร. 02 282 0104 [email protected] หรอื [email protected] KidSD.org www.cepthailand.org
Search
Read the Text Version
- 1 - 32
Pages: