Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภาษาไทยเพื่ออาชีพ

ภาษาไทยเพื่ออาชีพ

Published by panyaponphrandkaew2545, 2020-02-12 05:19:03

Description: ภาษาไทยเพื่ออาชีพ

Search

Read the Text Version

บทที่ ๑ การฟงั การดู เพือ่ อาชีพ ความหมายและประเภทของสือ่ ตา่ ง ๆ สื่อบคุ คล หมายถึง ส่อื ท่อี าศัยบุคคลเปน็ ช่องทางนำพาสารไปสกู่ ลุม่ เป้าหมายโดยใช้ คำพดู เปน็ หลกั ซงึ่ บคุ คลนั้นจะตอ้ งเป็นผ้มู คี วามรู้ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ส่ือบคุ คล แบง่ ออกได้เปน็ 2 ประเภท คอื 1. ประเภทสนทนากับผู้รับสารเพียงคนเดียว เป็นการรบั สารและส่งสารโดย การคยุ กัน ปรึกษาหารือกัน พูดจาโตต้ อบกัน 2. ประเภทของการประชุมกลมุ่ เชน่ การอภปิ ราย การประชมุ การฝึกอบรม ฯลฯ สอ่ื สิง่ พมิ พ์ หมายถงึ สอื่ ที่ผ่านกระบวนกานพิมพล์ งบนกระดาษ สื่อสิ่งพิมพ์ แบ่งออกเป็น 4 ประเภทใหญๆ่ คือ 1.หนงั สอื พิมพ์ ใชส้ ำหรบั รายงานขา่ วและเหตกุ ารณ์ท่วั ไป อาจเป็นรายวันหรอื รายสปั ดาห์ 2. นติ ยสารและวารสาร เป็นสง่ิ พมิ พท์ มี่ ีระยะเวลาออกเป็นรายคาบหรอื ตาม กำหนดเวลา เนื้อหาสว่ นใหญ่จะเป็นด้านสาระความรู้ควบคกู่ บั ความบันเทิง 3. หนังสอื เล่ม เป็นสิง่ พิมพท์ เี่ ย็บรวมเลม่ มเี นอ้ื หาทแ่ี บง่ แยกชัดเจนในแตล่ ะเล่ม 4.ส่ิงพิมพ์เฉพาะกิจตา่ ง ๆ เป็นส่ิงพิมพ์ทผี่ ลิตขน้ึ เพอ่ื ใช้ในกจิ การใดกจิ การหนึ่ง โดยเฉพาะ อาจใช้ในการประชาสัมพันธห์ รอื เผยแพร่ความรกู้ ไ็ ด้ ส่ืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ หมายถึง ส่ือท่อี าศยั ไฟฟา้ เป็นตัวนำ เช่น วทิ ยุ โทรทศั น์ เคเบิลทีวี อินเทอร์เนต็ รวมถงึ วสั ดุที่บนั ทกึ สารสนเทศในรปู ของสญั ญาณอิเล็กทรอนิกส์ เช่น แผน่ ซดี ี แผน่ ดีวดี ี ฯลฯ สือ่ อิเลก็ ทรอนิกส์แบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท คือ 1. สอ่ื ทีใ่ ห้เฉพาะภาพ เช่น เคร่ืองฉายภาพขา้ มหวั

2.ส่ือทใ่ี ห้เฉพาะเสยี ง เช่น วิทยุ เคร่ืองบนั ทกึ เสียง 3. สื่อทใี ห้ทงั้ ภาพและเสียง เช่น โทรทัศน์ ภาพยนตร์ แหลง่ เรียนรใู้ นชุมชน หมายถงึ สิ่งที่มอี ยู่ในสังคมรอบตวั เรา ท้งั สง่ิ มีชวี ิตและไมม่ ีชวี ิต ทงั้ ที่อยู่ในธรรมชาติและมนษุ ย์สร้างขน้ึ เปน็ แหลง่ ความรู้ท่ที ำใหเ้ กดิ ประสบการณก์ าร เรยี นรตู้ ่าง ๆ แหล่งเรยี นรู้ในชุมชน แบ่งออกเปน็ 6 ประเภท คือ 1.ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถิ่น 2. สถานประกอบการต่าง ๆ 3. ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม 4. สอื่ สิ่งพิมพ์ตา่ ง ๆ 5.ส่อื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ การฟังและการดูสารในงานอาชีพอย่างมวี จิ ารณญาณ วจิ ารณญาณ หมายถงึ ปัญญาที่สามารถรแู้ ละให้เหตุผลทถี่ กู ตอ้ ง การฟังและการดูอยา่ งมวี จิ ารณญาณ ควรยึดหลกั ดังนี้...... 1. ฟงั และดูแลว้ เข้าใจ คอื การฟังและดูแล้วสามารถจับประเด็นหรือใจความ สำคัญได้ 2.ฟงั และดแู ล้วจบั ประเด็นสำคัญได้ คือ การฟังและดูอยา่ งวเิ คราะห์ แล้วเรยี บ เรยี งเป็นเรือ่ งราวอย่างย่อได้ 3. ฟงั และดูแล้ววเิ คราะห์ได้ คอื การฟงั และดูแลว้ สามารถแยกแยะขอ้ เท็จจรงิ ออกจากความคดิ เหน็ ได้ 4. ฟงั และดูแลว้ ตีความได้ คือ การฟงั และดูแลว้ สามารถบอกไดว้ ่าสารนั้นมี วัตถุประสงค์อย่างไรบ้าง

5. ฟังและดูแลว้ ประเมนิ คุณคา่ ได้ คือ การฟังและการดโู ดยใช้โดยใช้ วจิ ารณญาณตัดสินว่าสารน้นั ดหี รือไม่ อยา่ งไร ประเภทของสาร 1.สารทใ่ี หค้ วามรู้ คือขอ้ ความหรอื เรอื่ งราวท่ีมีเนือ้ หาเกี่ยวกบั ความรู้ทั่วไปในการ ดำรงชีวิต ข่าวสาร เหตุการณค์ วามเป็นไปในสงั คม ทง้ั สารท่ีเป็นขอ้ เทจ็ จริง ขอ้ คิดเหน็ และการแสดงอารมณค์ วามรู้สึกนกึ คิด 2. สารทีโ่ น้มน้าวใจ คือสารท่ีมีเน้ือหาชักจูงใจใหผ้ ู้รับสารยอมรบั ความคดิ เห็น และคล้อยตาม รวมถึงเชื่อถือจนนำไปปฏิบัติ 3. สารท่ีจรรโลงใจ คอื สารท่ีมเี นื้อหาใหข้ อ้ คดิ หรอื คตแิ กผ่ ู้รับสาร ก่อใหเ้ กดิ ปัญญาและยกระดับจิตใจ รวมไปถงึ ความประพฤติให้ดำเนนิ ไปในทางทีถ่ กู ต้องและดงี าม การวิเคราะห์และวจิ ารณ์สารท่ีฟงั และดู 1. หลักการวิเคราะหส์ ารทฟี่ งั และดู 1.1 กำหนดขอบเขตสิง่ ที่จะวิเคราะหใ์ ห้ชดั เจน 1.2 กำหนดจดุ มงุ่ หมายให้ชัดเจนวา่ วิเคราะห์เรือ่ งอะไร 1.3 พิจารณาหลักความร้หู รอื ทฤษฎีท่ีเกย่ี วขอ้ ง เพ่ือนำมาเปน็ หลกั ในการ วิเคราะห์ 1.4 นำหลกั ความรู้น้นั ไปใชก้ ันเรื่องทีจ่ ะวเิ คราะหเ์ ป็นกรณี 1.5 มกี ารสรุปและรายงานผลกาวิเคราะหใ์ ห้เป็นระเบยี บและชัดเจน 2. หลักการวิจารณ์สารที่ฟงั และดู 2.1 กำหนดวัตถุประสงค์ของการวจิ ารณ์วา่ ต้องการวจิ ารณเ์ พอ่ื อะไร 2.2 หาความรแู้ ละหลักทฤษฏที เ่ี หมาะสมมาเป็นหลักในการวจิ ารณ์ 2.3 ทำความเขา้ ใจส่วนต่าง ๆของเร่อื งทีศ่ ึกษา และต้องวิจารณอ์ ยา่ งมี วิจารณญาณ

2.4 ทบทวนรายละเอยี ดและสรปุ ประเดน็ สำคัญ มารยาทในการฟงั และดูสารในงานอาชพี 1. ฟังและดดู ้วยความสงบ 2.ในรปู แบบการสือ่ สารสองทาง ควรสบตาผู้สง่ สารเพ่อื แสดงว่ากำลงั สนใจฟงั และดสู ารนั้นอยู่ 3. การดแู ละฟงั สอื่ ทเี่ ปน็ อเิ ลก็ ทรอนิกส์ ความมีการปรบั เสยี งให้พอดี 4.หากเป็นการรับสารจากผูอ้ ื่น ควรมกี ารข้ออนญุ าตกอ่ นจะซกั ถาม 5. หากเปน็ การรับสารผา่ นทางส่ือออนไลน์ ควรใชถ้ อ้ ยทสี่ ภุ าพและตรงประเด็น 6. การซกั ถาม ควรใช้ถอ้ ยคำทส่ี ภุ าพและนุ่มนวล 7. กอ่ นทจี่ ะเสนอความคดิ เหน็ ควรตรวจสอบข้อมูลใหถ้ กู ตอ้ งเสียก่อน 8. ไม่ควรแสดงความเหน็ คดั คา้ น ในการกล่าวรายงานต่าง ๆทอี่ ยู่ในระดบั พธิ กี าร 9. การรับสารประเภทอเิ ล็กทรอนกิ ส์ ผ้รู ับสารควรมคี วามสามารถในการใชส้ ื่อ นั้นๆ 10. การรบั สารจากแหล่งชมุ ชน ควรแตง่ กายให้สภุ าพ และช่วยกันดแู ลรกั ษา ความสะอาดของสถานทน่ี ัน้ ๆ ประโยชนจ์ ากการฟงั และการดสู ารในงานอาชพี 1. ไดร้ บั ความรู้ ช่วยเพิ่มพูนความรแู้ ละสามารถนำความรู้นัน้ ไปใชไ้ ดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง 2. เพิ่มพนู ความคิด สามารถนำความรู้ที่ได้ไปปรบั ใช้ในการแก้ไขปัญหา ซึง่ เป็น การฝึกใชว้ จิ ารณญาณ 3. พฒั นาบคุ ลกิ ภาพ นำความรูท้ ีไ่ ดม้ าปรับปรุงและพัฒนาความรู้สกึ นึกคิด สร้าง ความเช่ือมนั่ ให้ตนเอง 4. ได้รับคติ ข้อคิด และความสนกุ สนานเพลดิ เพลนิ ผู้รบั สารสามารถเลอื กรบั สารไดต้ ามความพงึ พอใจ

5. ทำให้เป็นนกั วจิ ารณ์ เมอ่ื ใช้การวเิ คราะหอ์ ยา่ งมีวิจารณญาณเป็นประจำ ก็ ยอ่ มเป็นนกั วจิ ารณ์ท่ดี ีได้ บทที่ ๒ การฟังคำสงั่ หรอื คำแนะนำการปฏิบตั ิงาน การฟังคำส่ังในการปฏิบัตงิ าน การฟงั คำสัง่ ในการปฏิบตั ิงาน หมายถงึ การฟังคำสัง่ จากผ้บู งั คับบญั ชาหรอื ผูท้ ี่มสี ว่ น รว่ นในงานนัน้ ๆเพื่อนำคำส่งั ท่ีไดร้ ับไปปฏิบตั ไิ ดอ้ ย่างถกู ตอ้ งและมปี ระสทิ ธภิ าพ ความสำคัญของการฟงั คำสั่งในการปฏบิ ตั ิงาน 1. ทำให้การปฏิบตั ิงานดำเนนิ ไปอยา่ งรวดเรว็ 2. ชว่ ยพฒั นาทักษะการปฏบิ ัตงิ าน 3. เป็นการสร้างขวัญและกำลงั ใจท่ดี ีให้แก่ผปู้ ฏิบัติงาน 4. เป็นการกระจายการทำงานใหก้ ว้างขึน้ 5. เป็นการสรา้ งความสามัคคใี ห้เกดิ ขึ้นภายในองค์กร 6. เป็นการสรา้ งโอกาสให้ผู้ปฏบิ ัติงานแลกเปลี่ยนความรู้ ความคดิ และ ประสบการณร์ ว่ มกนั ประเภทของการฟังคำสั่งในการปฏบิ ตั ิงาน 1. การฟงั คำสงั่ โดยตรง คือการฟังคำสงั่ อยา่ งเรง่ ดว่ น 2. การฟงั คำสง่ แบบขอรอ้ ง คอื การรับมอบหมายงานทีไ่ ม่เร่งด่วน 3. การฟงั คำสงั่ แบบให้ขอ้ แนะนำ คือการฟังคำสง่ั สำหรับผู้ฟังท่ีมคี วาม รับผดิ ชอบผิดสูงและมหี น้าท่ดี ูแลในเรอ่ื งน้ันๆอยู่แล้ว 4. การฟงั คำส่ังแบบอาสาสมัคร คือการฟังคำสั่งที่ให้ความรว่ มมอื ดี หลกั การฟังคำสงั่ ในการปฏิบัตงิ าน 1. มีความพรอ้ มในการบั คำสั่ง

2. มคี วามกระตอื รือรน้ ในการฟงั คำสง่ั 3. ฟังคำสงั่ โดยใช้สติและสมาธิ 4. เข้าใจวตั ถปุ ระสงคข์ องคำสัง่ 5. ฟังคำสง่ั โดยปราศจากอคติ อุปสรรคของการฟงั คำสัง่ ในการปฏิบตั งิ าน 1. อุปสรรคท่เี กดิ จากผู้ฟงั คำสัง่ • ขาดแรงจงู ใจและทศั นคตทิ ด่ี ีตอ่ การฟงั คำส่งั • ขาดสมาธแิ ละความต้ังใจในการฟังคำส่ัง • ขาดทกั ษะหรือความรู้เก่ยี วกับคำสงั่ • มีความเชอื่ หรอื ค่านยิ มที่ขัดแยง้ กบั คำสั่ง • ขาดความพร้อมดา้ นรา่ งกาย 2. อุปสรรคทเ่ี กิดจากผ้อู อกคำสัง่ • พูดเสียงเบา พูดช้าหรอื พดู เรว็ ไป • ขาดความร้แู ละความเขา้ ใจในการออกคำส่งั • การเทคนิคในการพูด • มกี ารแสดงกิริยาทา่ ทางที่ไม่เหมาะสม • ขาดความชัดเจนในคำส่ัง • ไมว่ เิ คราะหผ์ ู้ฟังกอ่ นออกคำส่งั 3. อุปสรรคที่เกิดจากสภาพแวดลอ้ มภายนอก • สถานที่ฟงั ไม่เหมาะสม • เหตุขดั ข้องทางเทคนคิ หรอื เคร่ืองมืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ชำรดุ มารยาทในการฟังคำส่งั ในการปฏบิ ตั งิ าน 1.ตง้ั ใจฟงั และรบั มอบหมายงานด้วยความเตม็ ใจ

2. จับใจความสำคญั ของคำส่งั ใหเ้ ขา้ ใจ 3. สบตาผอู้ อกคำสง่ั 4. มีปฏกิ ริ ยิ าตอบสนองตอ่ คำสง่ั อย่างเหมาะสม 5. ฟงั อยา่ งมสี มาธิ จดจอ่ กับสิ่งที่ฟงั 6. ไม่พดู แทรกขณะทีผ่ ้อู อกคำสั่งยังพดู ไมจ่ บ 7. หากปฏบิ ัติตามคำสง่ั ไมไ่ ด้ ใหช้ ้ีแจงดว้ ยเหตุผล 8. หากเปน็ การฟงั คำสง่ั จากสอื่ อื่น ควรมกี ารจดบนั ทึก 9. ไมพ่ ะวงกบั ส่ิงต่าง ๆรอบตวั ขณะรับฟังคำส่ัง 10. ไม่พดู ตัดบทหรอื ปฏิเสธทนั ที การฟังขอ้ แนะนำในการปฏิบตั งิ าน การฟงั ขอ้ แนะนำในการปฏิบัตงิ าน หมายถึง การตั้งใจฟังคำพูดเพ่ือช้ีแจงใหป้ ฏบิ ตั ิ เพอื่ ให้งานเปน็ ไปตามระเบยี บแบบแผนทีถ่ ูกต้อง ความสำคัญของการฟังขอ้ แนะนำในการปฏิบัตงิ าน 1. เขา้ ใจขอบเขตของงานมากข้ึน 2.สร้างขวัญและกำลงั ใจใหผ้ ู้ปฏิบัตงิ าน 3. ได้รบั รู้ถึงสถานการณ์และปัญหาขณะปฏบิ ัตงิ าน 4. เป็นแรงกระตนุ้ ให้ผปู้ ฏบิ ัตงิ านปรบั ปรงุ ตนเอง 5. ทำใหร้ ู้จดุ แข็งและจดุ ออ่ นในการปฏิบตั ิงานของตนเอง 6.ไดร้ บั รปู้ ัญหาทีเ่ กดิ ข้ึนในระหว่างการทำงานกบั เพ่ือนร่วมงาน และชว่ ยกนั แก้ไข ปัญหา 7. รู้จักวางแผน ลำดับความสำคญั ประเภทของการฟังข้อแนะนำในการปฏบิ ัตงิ าน

1. การฟงั ขอแนะนำท่ีบอกวิธีการหรอื ขน้ั ตอนการปฏบิ ตั งิ าน 2. การฟงั ขอ้ แนะนำเพ่ือแนะแนวทางการแกไ้ ข 3. การฟงั ข้อแนะนำเพื่อปอ้ งกนั 4. การฟงั ข้อแนะนำเพ่อื เสริมสร้างและพัฒนา หลกั การฟังขอ้ แนะนำในการปฏิบัตงิ าน 1. ฟงั ด้วยความต้งั ใจ 2. ฟังดว้ ยความคิด 3. ไม่มอี คตแิ ละเปิดใจใหก้ ว้าง 4. แยกขอ้ เท็จจรงิ และขอ้ คิดเห็น 5. จดบันทึกขอ้ มลู 6. ทบทวนหลงั การฟงั อุปสรรคของการฟงั ข้อแนะนำในการปฏิบัตงิ าน 1. อุปสรรคทเ่ี กดิ จากผฟู้ งั ขอ้ แนะนำ • ขาดแรงจูงใจและทัศนคตทิ ่ีดีต่อการฟัง • ขาดสมาธแิ ละความต้งั ใจในการฟังคำแนะนำ • ขาดความร้แู ละความเขา้ ใจในขอ้ แนะนำ • ไมส่ ามารถแยกแยะไดว้ ่าข้อแนะนำน้นั สอดคลอ้ งกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ หรอื เปน็ เพยี งขอ้ คิดเหน็ • ขาดความพร้อมดา้ นร่างกาย จิตใจ และสตปิ ญั ญา • ไม่นำไปประยกุ ตใ์ ชใ้ ห้เกดิ ประโยชนใ์ นการปฏิบัติงาน 2.อุปสรรคที่เกิดจากผ้แู นะนำ • เลอื กจงั หวะเวลาในการแนะนำไม่เหมาะสม

• ใชค้ ำไม่สภุ าพ • ไม่ร้เู ร่ืองทแี่ นะนำอยา่ งถ่องแท้ • พูดเบา พดู ชา้ หรอื เรว็ เกินไป • แสดงกริ ิยาท่ีไมเ่ หมาะสม • ขาดเทคนคิ การพดู โน้นน้าวใจในการแนะนำให้ปฏิบตั งิ าน 3. อุปสรรคทีเ่ กดิ จากสภาพแวดลอ้ มภายนอก • สถานทฟ่ี ังไมเ่ หมาะสม • เหตุขดั ขอ้ งทางเทคนิคหรอื เครอื่ งมือทางอเิ ล็กทรอนกิ สช์ ำรุด มารยาทในการฟังขอ้ แนะนำในการปฏบิ ัตงิ าน 1.ตงั้ ใจฟังอย่างมสี มาธิ 2. ฟงั อย่างเปิดใจและไม่มีอคติ 3. ไมค่ วรยมิ้ หรือทกั ทายผู้อ่นื ในขณะทีผ่ ูแ้ นะนำกำลังพูด 4. ไมโ่ ต้แย้งขณะท่ีฟงั ข้อแนะนำ 5.แสดงอาการสนใจ แม้จะเป็นเรือ่ งทรี่ ู้อยแู่ ล้ว 6. ประมวลข้อแนะนำอย่างมเี หตผุ ล 7. มกี ารตอบสนองขณะฟงั บทท่ี 3 การอ่านสารทางอาชพี ความหมายและความสำคญั ของการอา่ น การอา่ น หมายถงึ กระบวนการในการสอื่ ความหมายระหวา่ งผเู้ ขยี นกบั ผ้อู า่ น ความสำคัญของการอ่าน 1. เป็นวธิ ีการหาความร้ทู ง่ี ่าย สามารถอา่ นได้ดว้ ยตนเอง 2. เปน็ เครอื่ งมอื ที่สำคญั ในกาแสวงหาความรู้

3. เป็นสงิ่ ทส่ี ง่ เสริมให้ฉลาดรอบรู้ เสริมสร้างความคดิ 4. กอ่ ใหเ้ กิดความเพลิดเพลิน 5. ก่อใหเ้ กดิ คุณคา่ ทางสังคม 6. เป็นเครอื่ งมือสบื ทอดมรดกทางวฒั นธรรมสู่คนรุน่ ต่อไป การอ่านอย่างมีประสิทธิภาพและมวี ิจารณญาณ ความหมายของการอ่านอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ การอา่ นอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึง การอา่ นท่ีบรรลเุ ป้าหมายทว่ี างไว้ ทำให้ การอา่ นเกดิ ประสทิ ธผิ ล ความหมายของการอ่านอยา่ งมีวิจารณญาณ การอา่ นอย่างมีวิจารณญาณ หมายถงึ การอ่านทบี่ รรลุถึงข้ันสงู สดุ ของการอา่ น เปน็ ปัจจัยที่ส่งเสริมการอา่ นอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ซงึ การอ่านอยา่ งมวี ิจารณญาณที่ดนี นั้ ต้องนำเอาไปปฏบิ ตั ดิ ว้ ยจึงจะเกดิ ประโยชน์สูงสุด กระบวนการอ่านอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและมีวจิ ารณญาณ ขั้นตอนของกระบวนการอา่ นอย่างมีประสิทธิภาพและมีวิจารณญาณ มีดงั น้ี 1. ต้ังจดุ มงุ่ หมายในการอา่ น 2. อ่านเพ่อื ความเข้าใจ 3. อา่ นเพอ่ื จับประเด็นสำคัญ 4. อ่านเพ่ือวเิ คราะห์ 5. อา่ นเพื่อประเมินคา่ 6. อา่ นเพ่ือวินิจฉยั ตดั สนิ 7. อา่ นเพื่อนำไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจำวนั

คุณสมบตั ขิ องนกั อ่านทีด่ ี 1.มนี สิ ยั รักการอ่าน 2. มีทักษะการอ่านอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ 3. มจี ุดม่งุ หมายในการอ่าน 4. รจู้ กั สังเกต 5. เป็นผู้ทม่ี วี ิจารณญาณในการอา่ น การอา่ นค่มู อื ปฏบิ ตั งิ าน คมู่ ือปฏิบัติงาน หมายถงึ เอกสารทีแ่ ตล่ ะองค์กรจดั ทำขึ้นเพอ่ื ใหค้ วามรู้และใชเ้ ป็น แนวทางในการปฏิบัติงาน โดยจะมกี ารระบขุ ั้นตอนการทำงานและขอ้ แนะนำต่าง ๆ ความสำคัญของคู่มือปฏบิ ัติงาน 1. ใชส้ รา้ งมาตรฐานในการปฏบิ ตั งิ าน 2.ใชก้ ำหนดหนา้ ทีแ่ ละความรับผิดชอบของงานส่วนตา่ ง ๆ 3. ใชก้ ำหนดนโยบาย และเปา้ หมายตา่ ง ๆขององคก์ ร 4. ใช้เปน็ แนวทางในการกำหนดขัน้ ตอนตา่ ง ๆในการปฏิบตั ิงาน องค์ประกอบของคมู่ ือปฏิบตั ิงาน 1. วัตถุประสงค์ 2. ขอบเขต 3. คำจำกัดความ 4. หนา้ ทค่ี วามรับผิดชอบ 5. ขัน้ ตอนการปฏบิ ัตงิ าน 6. เอกสารอา้ งองิ

7. แบบฟอรม์ ท่ีใช้ในการปฏบิ ัติงาน จุดมุ่งหมายของการอ่านคู่มือการปฏิบัติงาน 1. รแู้ ละเขา้ ใจขอ้ ปฏบิ ตั ิต่าง ๆไดถ้ ูกตอ้ ง 2. ใช้เปน็ แนวทางในการปฏิบัตงิ านใหไ้ ด้มาตรฐานเดียวกัน 3. ใช้เปน็ หลักในการปฏิบัตงิ าน 4. ลำดบั ขั้นตอนการทำงานได้ถูกต้อง 5. รู้และเข้าใจว่าควรปฏบิ ัตงิ านอยา่ งไร 6. ปฏิบตั ิงานไดส้ อดคล้องกับวิสยั ทศั น์และเปา้ หมายขององค์กร 7. ใช้เป็นเอกสารอ้างอิงในการปฏิบัติงาน เพอื่ ลดข้อผิดพลาดต่าง ๆ หลักการอ่านค่มู ือการปฏิบัตงิ าน 1.กำหนดวัตถุประสงคใ์ นการอา่ น 2. อ่านใหเ้ ขา้ ใจโดยละเอียด 3. จับประเดน็ สำคญั 4. วิเคราะหแ์ ยกแยะ 5. ประเมินความร้ทู ไี่ ด้รับ 6. วินจิ ฉัยการอา่ น 7. การนำไปใชใ้ นการปฏบิ ัติงาน ประโยชนจ์ ากการอ่านคมู่ อื การปฏิบัติงาน ประโยชน์ต่อผอู้ ่าน • เข้าใจตำแหนง่ งานและหนา้ ท่คี วามรับผดิ ชอบ • ลำดบั ขนั้ ตอนการทำงานได้

• เข้าใจเทคนคิ ในการปฏิบตั งิ าน • เขา้ ใจระบบงาน ลดปญั หาการทำงานทซ่ี ้ำซอ้ น • ใช้เปน็ เครอื่ งมอื และเสริมสรา้ งความเช่อื ม่นั ในการปฏิบตั งิ าน • ลดความขัดแยง้ ทอ่ี าจเกดิ ข้นึ • ใชเ้ ป็นเอกสรอา้ งอิงในการทำงาน ประโยชนต์ ่อผ้บู งั คับบัญชา • ลดเวลาสอนงาน • สามารถปฏิบตั งิ านแทนกันได้ • ใชค้ ู่มอื ประกอบกบั การฝึกอบรม • แต่ละหนว่ ยงานเข้าใจในระบบการทำงานซึ่งกันและกัน • ชว่ ยกันออกแบบและปรบั ปรงุ ระบบงานใหม่ • เพิ่มคณุ ภาพของการปฏบิ ตั ิงานให้ตรงตามเปา้ หมาย • ตรวจสอบการปฏิบัตงิ านไดท้ ุกขน้ั ตอน • อำนวยความสะดวกเมื่อมกี ารย้ายตำแหน่งงาน ประโยชน์ต่อองคก์ ร • สร้างมาตรฐานในการปฏบิ ตั ิงาน • ลดข้ันตอนการทำงานที่ซำ้ ซอ้ น • การปฏิบัติงานสอดคล้องกับวิสัยทัศนแ์ ละเป้าหมายขององค์กร • ใชเ้ ปน็ แนวทางในการปรับปรุงการทำงานให้สอดคลอ้ งกับระเบียบ และเทคโนโลยที เี่ ปลีย่ นแปลง • ช่วยในการประเมินผลการทำงาน • ชว่ ยยกระดบั องค์กร สรา้ งโอกาสในการขยายงาน • ประหยดั งบประมาณ การอา่ นคมู่ ือการใชอ้ ุปกรณ์

คมู่ อื การใช้อุปกรณ์ หมายถงึ หนงั สอื ท่ีจดั ทำข้นึ เพอ่ื แนะนำวธิ ใี ชอ้ ุปกรณอ์ า่ งใดอยา่ ง หนึ่ง เพ่ือให้ผ้ใู ช้ไดศ้ ึกษาข้อมูลของอุปกรณน์ ้ันๆได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย ความสำคัญของคูม่ ือการใช้อปุ กรณ์ 1. แสดงองคป์ ระกอบและรายละเอียดตา่ ง ๆของอปุ กรณ์ 2. แสดงหลักการ กระบวนการ และขัน้ ตอนการใช้อุปกรณ์ 3. อธบิ ายเทคนคิ ต่าง ๆในการใชอ้ ุปกรณ์ 4. อธิบายวิธใี ช้อุปกรณ์อยา่ งปลอดภยั 5. อธิบายวิธดี ูแลรักษาอุปกรณ์ 6. อธิบายวิธีแก้ไขปัญหาเบ้อื งตน้ องคป์ ระกอบของคมู่ ือการใช้อุปกรณ์ 1. ขอ้ มลู เบ้อื งตน้ ของอปุ กรณ์ 2. ประโยชนข์ องอุปกรณ์ 3. หลกั การทำงานของอุปกรณ์ 4. ข้นั ตอนการใช้งานอุปกรณ์ 5. การป้องกันและการบำรงุ รักษา 6. ภาพประกอบ จดุ มุ่งหมายของการอา่ นค่มู อื การใชอ้ ุปกรณ์ 1. รู้และเข้าใจองคป์ ระกอบและรายละเอยี ดของอุปกรณ์ 2. รู้และเข้าใจหลกั การการใชง้ านอปุ กรณ์ 3. รู้และเข้าใจเทคนิคตา่ ง ๆเพ่อื นำมาปรบั ใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ 4. รู้และเขา้ ใจวิธีใชง้ านอย่างปลอดภัย 5. ใช้งานอุปกรณไ์ ด้อย่างถูกต้อง

หลกั การอา่ นค่มู ือการใช้อุปกรณ์ 1. กำหนดจดุ มุ่งหมายในการอา่ นให้ชัดเจน 2. การใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจ 3. วิเคราะหแ์ ละประเมนิ ความเขา้ ใจ 4. วนิ ิจฉยั การอ่าน 5. นำความรทู้ อ่ี า่ นไปใชป้ ฏบิ ตั ิงานไดอ้ ย่างถูกตอ้ งและปลอดภัย ประโยชนจ์ ากการอ่านคมู่ อื การใชอ้ ุปกรณ์ ประโยชน์ต่อผ้อู า่ น 1. ได้ทราบรายละเอียดเกีย่ วกับอปุ กรณ์ 2. ทำความเขา้ ใจการใช้งานอุปกรณไ์ ด้ด้วยตนเอง 3. ลดขอ้ ผิดพลาดในการทำงาน 4. ใช้งานอุปกรณ์ตา่ ง ๆได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย 5. ยืดอายกุ ารใช้งานได้ยาวนานขนึ้ 6. พฒั นาทักษะการใชอ้ ุปกรณ์ใหเ้ กดิ ประโยชน์อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ประโยชน์ตอ่ ผู้ผลติ อปุ กรณ์ 1. ทำให้อุปกรณ์มคี วามนา่ เชือ่ ถือ 2. ลดข้นั ตอนการช้ีแจงรายละเอียด 3. ลดปัญหาการร้องเรยี นการใชผ้ ลิตภณั ฑ์ การอา่ นรายละเอยี ดผลติ ภัณฑ์ รายละเอียดผลิตภณั ฑ์ หมายถึง รายละเอียดปลกี ย่อยตา่ ง ๆของผลิตภัณฑ์ ชนิดนั้นๆ ได้แก่ รปู ลักษณ์ ตรายหี่ ้อ บรรจภุ ณั ฑ์ หรอื ลักษณะอื่นๆ

ความสำคัญของรายละเอยี ดผลิตภัณฑ์ 1.ใหข้ อ้ มลู ต่าง ๆ เกี่ยวกับผลิตภณั ฑ์ รวมถึงขน้ั ตอนการผลติ 2. บอกประโยชน์ วธิ ีใช้ ขอ้ ควรระวัง และคณุ สมบตั ขิ องผลิตภณั ฑ์ 3. ใหข้ ้อมูลดา้ นความน่าเชอื่ ถือและความปลอดภัย 4. จำแนกชนิดและประเภทของผลิตภัณฑใ์ นระดับคณุ ภาพท่ีต่างกัน 5. ให้ขอ้ มูลวันเวลาท่ผี ลิต วันหมดอายุ องคป์ ระกอบของรายละเอยี ดผลิตภัณฑ์ 1. รายละเอยี ดเกยี่ วกับตราสินค้า 2. รายละเอียดเกย่ี วกบั คุณภาพของผลติ ภัณฑ์ 3. รายละเอยี ดเกยี่ วกบั ผลิตภณั ฑ์ จุดมุ่งหมายของการอ่านรายละเอยี ดผลติ ภัณฑ์ 1. ตรวจสอบขอ้ มลู ผลิตภณั ฑ์ 2. รูข้ ้อมูลด้านการผลิต 3. ทราบข้นั ตอนและวธิ กี ารใชท้ ี่ถกู ต้อง 4. ตรวจสอบข้อมูลดา้ นคณุ ภาพจากเครอื่ งหมายรบั รอง หลักการอา่ นรายละเอียดผลิตภณั ฑ์ 1. อา่ นอยา่ งละเอยี ดถีถ่ ้วน 2. ทำความเข้าใจข้อมูล 3. วเิ คราะห์แยกแยะข้อเทจ็ จรงิ ข้อคิดเหน็ และโฆษณา 4. ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมลู ท่อี ่าน 5. นำขอ้ มลู ทไ่ี ดไ้ ปประยุกตใ์ ช้ให้เกิดประโยชน์ในการตดั สนิ ใจเลือกซ้อื

ประโยชนจ์ ากการอ่านรายละเอยี ดผลิตภัณฑ์ ประโยชน์ต่อผอู้ ่าน • แบง่ ประเภทของผลติ ภัณฑ์ได้ง่ายข้ึน • ตรวจสอบความถกู ต้องของผลติ ภณั ฑ์ • รู้และเขา้ ใจวธิ ีการใชท้ ีถ่ ูกตอ้ ง • ไดค้ วามรเู้ กี่ยวกบั คุณสมบัตขิ องผลติ ภณั ฑ์ • ความนา่ เชอ่ื ถือในดา้ นการผลติ และจดั จำหนา่ ย • ความน่าเชื่อถือในดา้ นคณุ ภาพ • เปรียบเทยี บคุณภาพและราคาในแต่ละยหี่ อ้ • เก็บรักษาและบรโิ ภคได้ถูกตอ้ ง • หลีกเลี่ยงสารบางชนดิ ประโยชนต์ ่อผผู้ ลิต • ใชแ้ สดงความเป็นเจา้ ของผลิตภัณฑ์ • ได้รบั การค้มุ ครองตามกฎหมาย • ผ้บู ริโภคจดจำผลติ ภัณฑ์ได้แม่นยำ • สรา้ งความนา่ เชื่อถือให้กบั ผลติ ภณั ฑ์ • สามารถตกแต่งและจัดวางผลิตภัณฑ์ทขี่ ายไดอ้ ย่างสวยงาม และ แยกส่วนตลาดออกจากกันอยา่ งชัดเจน • เปน็ เครอื่ งมอื ในการโฆษณา บทที่ 4 การพูดในงานอาชีพ การพูดติดตอ่ กิจธุระ กิจธุระ คอื การงานทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั การดำเนนิ ชีวติ ประจำวนั

การพูดตดิ ตอ่ กจิ ธุระ หมายถงึ การพูดทม่ี ีจดุ มงุ่ หมายเฉพาะเกีย่ วกับธรุ กิจ เพอื่ ส่อื สารให้กิจธุระท่ีตอ้ งการดำเนนิ การนั้นสำเรจ็ รงตามวัตถปุ ระสงค์ ขอ้ ควรคำนงึ ในการถามและตอบ 1. มารยาท ไม่ถามเร่ืองส่วนตวั 2. บุคคล พจิ ารณาวา่ บคุ คลท่เี ราติดต่อน้นั อยใู่ นฐานะหรอื ตำแหน่งอะไร แลว้ เลือกใชถ้ อ้ ยคำทเ่ี หมาะสม 3. กาลเทศะ ควรดวู ่าผู้ทเ่ี ราติดต่อนนั้ มีท่าที อารมณอ์ ยา่ งไร กำลงั ทำงานติดพัน อยหู่ รอื ไม่ 4. สาระ ควรเน้นแต่สาระสำคัญ ให้ไดใจความ 5. ภาษา ใชภ้ าษาให้กะทดั รดั ชัดเจน หลักสำคัญในการพดู ติดตอ่ กจิ ธรุ ะ 1. ผพู้ ูดควรมคี วามรคู้ วามเขา้ เรื่องราวเกยี่ วกบั กิจธุระอยา่ งแจ่มแจง้ 2. ควรลำดบั ความท่ีจะตดิ ตอ่ ธุระน้ันให้ดีก่อน ไมค่ วรพดู วกวนไปมา 3. ควรพดู ให้ตรงประเด็นสำคญั การใช้ถอ้ ยคำภาษาในการพดู ตดิ ต่อกิจธุระ 1. กะทดั รัด 2. ชดั เจน 3. ถูกต้อง 4. สุภาพและออ่ นโยน 5. เหมาะสม การปรับปรงุ บุคลิกภาพเพื่อการตดิ ต่อกจิ ธรุ ะอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ 1. มีใบหน้าทยี่ ิม้ แย้มแจ่มใส

2. มีจิตใจท่ีดงี าม 3. การเคลื่อนไหวอริ ยิ าบถต่าง ๆ การสนทนากิจธุระทางโทรศพั ท์ การสนทนากจิ ธรุ ะทางโทรศพั ท์ หมายถึง การพูดตดิ ต่อกนั ทางโทรศัพท์ท่มี ี จุดมุ่งหมายเฉพาะเกย่ี วกับกิจธรุ ะตา่ ง ๆอาจจากบุคคลกบั บคุ คลหรือจากบุคคลกบั หน่วยงานให้เกิดความเขา้ ใจตรงกนั หลักการสนทนากจิ ธุระทางโทรศพั ท์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื 1. หลกั ในการรับโทรศพั ท์ • เตรยี มความพรอ้ มในการรบั โทรศัพท์ • ฟังอยา่ งตัง้ ใจ • มีการตัดสนิ ใจท่ดี แี ละรวดเรว็ • พรอ้ มทจี่ ะให้คำแนะนำ • จบบทสนทนาดว้ ยความสภุ าพ 2. หลักในการโทรศพั ท์ • เตรียมความพรอ้ มสำหรับการโทรศัพท์ • สอื่ ความหมายใหเ้ ขา้ ใจและตรงประเดน็ • จบการสนทนาด้วยความสุภาพ การใช้ถอ้ ยคำภาษาในการสนทนากจิ ธุระทางโทรศัพท์ 1. ใช้ถอ้ ยคำทเ่ี ขา้ ใจง่าย ไดใ้ จความ 2. ออกเสียงให้ถูกตอ้ งและชัดเจน 3. ใช้ถ้อยคำทสี่ ุภาพ 4. เมอื ตอ่ โทรศัพทผ์ ิดหมายเลข หรอื พดู ผิด ควรกล่าวคำวา่ ขอโทษ

5. กล่าวคำว่า “สวัสด”ี ทกุ คร้งั ที่รบั โทรศัพท์และเมื่อจบบทสนทนา 6. กล่าวคำวา่ “ขอโทษ” ทกุ ครงั้ ทไ่ี ดร้ ับการชว่ ยเหลือ 7. ทา้ ยประโยคควรมหี างเสียง มารยาทในการในการสนทนากิจธรุ ะทางโทรศัพท์ ผู้รบั โทรศพั ท์ 1. กลา่ วคำว่าสวสั ดี แลว้ บอกหมายเลขโทรศัพทห์ รือสถานท่ี 2. พดู ด้วยถ้อยคำและนำ้ เสียงที่สุภาพ 3. เม่อื โทรศพั ท์เขา้ มาพดู เปน็ ระยะเวลานาน ควรตดั บทด้วยความสุภาพ 4. ใชน้ ้ำสยี งท่ีน่มุ นวล ไม่ดงั หรอื ค่อยเกนิ ไป 5. พูดให้ชดั ถ้อยชดั คำ ไมอ่ ้อมค้อม 6. ผรู้ ับโทรศพั ทร์ บั ฝากขอ้ ความเม่ือผูท้ ีถ่ กู ถามถงึ ไม่อยู่ 7.ไม่ควรนำขอ้ ความที่ฝากไวไ้ ปเปดิ เผยกบั ผ้อู ่ืน 8. ควรมกี ารจดบันทึก เม่ือมีการรบั ฝากขอ้ ความ 9. ไม่ควรพดู นานเกินไป เพราะอาจมผี ู้อื่นตดิ ตอ่ กจิ ธรุ ะเข้ามา 10. กล่าวคำวา่ สวสั ดหี รือขอบคณุ ทุกครัง้ ท่ีพดู จบ ผู้รบั โทรศัพท์ 1. กลา่ วคำว่าสวสั ดีแลว้ แจง้ จดุ ประสงค์วา่ ตอ้ งการติดตอ่ ใคร 2. พดู ดว้ ยถอ้ ยคำและน้ำเสยี งที่สุภาพ 3. ใชน้ ำ้ เสยี งทนี่ ่มุ นวล 4. พูดให้ชดั เจน ตรงไปตรงมา 5. รักษาอารมณ์ ถ้าผรู้ ับโทรศพั ทพ์ ดู อ้อมค้อมหรือไมม่ ีมารยาท

6. ขอโทษทุกครัง้ ที่พดู ผิดหรอื ตอ่ ผิดหมายเลข 7. ไม่ควรพดู โทรศัพท์นานเกนิ ไป ถา้ ผู้รับไม่ยอมจบบทสนทนา ควรตัดบทอย่าง สุภาพ 8. การสนทนากจิ ธุระทางโทรศัพทใ์ นที่ทำงาน ไมค่ วรพูดเรอ่ื งสว่ นตวั 9. กลา่ วคำว่าสวัสดีหรือขอบคุณทุกคร้ังที่พดู จบ บทที่ 5 การพูดในท่ีประชุม การนำเสนอผลงาน หมายถงึ การสื่อสารเพอื่ ถ่ายทอดขอ้ มูล ความรู้ ความคดิ เห็น หรอื ความต้องการเกยี่ วกับงานไปสผู่ ้รู บั สาร โดยใช้เทคนิคหรอื วธิ ีการตา่ ง ๆ เพือ่ ใหบ้ รรลุ ตามจุดมุง่ หมายของการนำเสนอผลงาน ความสำคัญของการนำเสนอผลงาน 1. เพือ่ ให้ผู้รับสารพิจารณาเร่ืองใดเร่อื งหน่ึง 2. เพ่ือให้ผรู้ ับสารไดร้ ับความรูจ้ ากขอ้ มูลทนี่ ำเสนอ 3. เพอ่ื ใหผ้ รู้ บั สารเกิดความเข้าใจทีถ่ ูกตอ้ งและตรงกนั 4. เพ่ือให้ผรู้ บั สารรบั ทราบความคิดเหน็ หรือความตอ้ งการจากการนำเสนอ ผลงาน ประเภทของการนำเสนอผลงาน แบง่ ออกอยา่ งกวา้ งได้ 2 แบบ คือ..... 1. การนำเสนอผลงานเฉพาะกลมุ่ 2. การนำเสนอผลงานทวั่ ไปในทีส่ าธารณะ แบง่ ตามลกั ษณะจดุ ประสงค์ของการนำเสนอ แบ่งออกได้ 4 ประเภท คือ.... 1. การนำเสนอผลงานเพอ่ื แจง้ ใหท้ ราบ 2. การนำเสนอผลงานเพ่ือความเห็นชอบ 3. การนำเสนอผลงานเพ่ือพิจารณา

4. การนำเสนอผลงานเพอื่ ตดั สนิ ใจหรอื อนุมตั ิ องค์ประกอบของการนำเสนองาน ผรู้ บั สาร หลักการนำเสนอผลงานท่ดี ี 1. มวี ตั ถุประสงคท์ ช่ี ัดเจน 2. มรี ปู แบบการนำเสนอทเี่ หมาะสม 3. เน้ือหาสาระดี 4. มีข้อเสนอทด่ี ี คุณสมบตั ิที่ดขี องผนู้ ำเสนองาน 1. มีบุคลกิ ภาพท่ดี ี 2. มภี าพลักษณ์ทดี่ ี 3. มคี วามช่างสงั เกต 4. มีน้ำเสียงทช่ี ัดเจน 5. มคี วามรู้อย่างถอ่ งแท้ 6. มีไหวพริบปฏิภาณทีด่ ี 7. มคี วามเช่อื มั่นในตนเอง 8. มจี ติ วทิ ยาในการโน้นน้าวใจ

9. มคี วามนา่ เช่อื ถอื และไว้วางใจ 10. มคี วามสามารถในการใช้โสตทศั นอปุ กรณ์ การเตรียมนำเสนอผลงาน การนำเสนอผลงานเปน็ การนำเสนอทีเ่ นน้ ผู้รบั สารเปน็ ศูนย์กลาง ควรใชเ้ วลาใน การวเิ คราะหผ์ รู้ บั สาร เพือ่ ให้สามารปรับเน้ือหาและรปู แบบการนำเสนอใหส้ อดคล้อง และมีประสทิ ธภิ าพสูงสุด การเตรียมการจงึ เปน็ ส่วนทสี่ ำคัญ เพราะจะทำให้มวี าม แมน่ ยำในเน้ือหาท่นี ำเสนอ ช่วยสรา้ งความม่ันใจและทำใหน้ ำเสนอเป็นไปอย่าง ธรรมชาติ ขั้นตอนการนำเสนอผลงานมีดงั น้ี 1. กำหนดวัตถปุ ระสงค์ เพ่ือเป็นแนวทางให้ผูน้ ำเสนอจดั เตรยี มเน้ือหาและ วธิ กี ารนำเสนอใหส้ อดคลอ้ งกับวัตถปุ ระสงค์ท่กี ำหนดไว้ 2. วิเคราะหผ์ ้รู บั สาร การวิเคราะหค์ วามตอ้ งการ ความสนใจ และความชอบ ของผู้รับสาร เพือ่ ให้สามรถออกแบบโครงสร้างและเนือ้ หาการนำเสนอท่ีเหมาะสม สอดคล้อง และสร้างความประทบั ใจให้แก่ผรู้ บั สาร 3. การเลือกรูปแบบการนำเสนอ พจิ ารณาความเหมาะสมว่าจะใชก้ ารนำเสนอ ผลงานรูปแบบใดจึงจะเหมาะสมกับวตั ถปุ ระสงค์และลกั ษณะ รวมถึงความต้องการของ ผู้รบั สาร 4. การรวบรวมข้อมูล คน้ หาข้อเท็จจริงในอดีตและปัจจบุ ัน ถ้ามหี ลกั ฐานอ้างอิง ควรเป็นข้อมูลท่นี า่ เชื่อถอื และตรวจสอบได้ ทส่ี ำคญั ผนู้ ำเสนอผลงานต้องทำความเขา้ ใจ ขอ้ มูลให้ถ่องแท้และนำเสนอด้วยความรอบคอบ 5. การเตรยี มเน้ือหา ตอ้ งมีความสมบูรณ์ ครบถว้ น ชดั เจน กะทัดรัด ได้ใจความ มลี ักษณะเฉพาะเจาะจง และตอ้ งจัดเนื้อหาให้เป็นหมวดหมู่ 6. การเตรียมโสตทัศนอปุ กรณ์ประกอบการนำเสนอ ตอ้ งมกี ารฝึกฝนและ เรียนรโู้ สตทัศนอุปกรณก์ ่อนท่ีจะนำเสนอผลงานจรงิ ถา้ ตอ้ งออกไปนำเสนอผลงานนอก สถานที่ ควรออกไปสำรวจก่อนล่วงหน้าวา่ สถานทน่ี น้ั เปน็ อยา่ งไร

7. การฝึกซ้อมการนำเสนอ เพ่ือใหเ้ กิดความเคยชนิ และความมน่ั ใจ ช่วยลด ความประหม่าหรอื ความกงั วลตา่ ง ๆ ก่อนการนำเสนอผลงานจรงิ 8. การปรับปรุงการแก้ไขการนำเสนอผลงาน การปรับปรงุ แกไ้ ขระหวา่ งการ ซ้อมเม่ือมขี ้อผิดพลาด รวมถึงหลงั จากการนำเสนอผ่านแลว้ กค็ วรมกี ารปรบั ปรงุ แก้ไข เพอ่ื ใหก้ ารนำเสนองานคร้งั ต่อไปดยี ิ่งข้ึน 9. การเตรียมรบั ข้อโต้แย้งและการตอบคำถาม อาจมกี ารคาดการณ์ล่วงหน้า เพอ่ื จะไดเ้ ตรียมเอกสารหรอื หลกั ฐานตา่ ง ๆไว้ชี้แจง และยงั ใช้เป็นแนวทางในการ ปรบั ปรุงแก้ไขการนำเสนอผลงานครง้ั ตอ่ ไปได้อีกด้วย หลักการตอบคำถามในการนำเสนองาน 1. จดั เวลาให้เหมาะสม 2. คาดคะเนคำถามไวล้ ว่ งหน้า 3. แสดงความยนิ ดีทีจ่ ะตอบคำถามทกุ คร้ัง 4. รวบรดั คำถามให้เข้าประเด็น 5. ตอบคำถามให้ตรงประเด็น การใชถ้ อ้ ยคำภาษาในการนำเสนอผลงาน 1. ใช้คำและสำนวนให้ตรงกบั ความหมาย 2. ใช้ถอ้ ยคำให้เหมาะสม 3. ใช้ถอ้ ยคำใหเ้ หมาะสมกบั กลุ่มผรู้ ับสาร 4. ใช้ถอ้ ยคำและประโยคส้นั ๆ ใหเ้ ขา้ ใจงา่ ย ไมค่ วรใชค้ ำศพั ท์ต่างประเทศ หาก จำเปน็ ตอ้ งใช้ ควรมกี ารอธิบายแกผ้ ้ฟู งั ดว้ ย มารยาทในการนำเสนอผลงาน 1. ไมพ่ ดู เร่ืองส่วนตวั 2. แต่งกายให้สภุ าพ เหมาะสม

3. ยมิ้ แย้มแจ่มใส ทำความเคารพผรู้ ับสารพอสมควร 4. ควรพูดให้เหมาะสมกบั เวลาทีก่ ำหนด 5. ใช้ภาษาเหมาะสมกับเน้อื เรอ่ื งและผูร้ ับสาร 6. พดู ตามแบบแผนของการพดู 7. ไม่แสดงกิรยิ าทไ่ี มเ่ หมาะสม 8. ควบคมุ อารมณ์ไดเ้ มือ่ เจอส่ิงที่ทำใหไ้ มพ่ อใจ การพดู เสนอความคดิ เห็นในทปี่ ระชมุ การพูดเสนอความคิดเหน็ ในท่ีประชุม หมายถงึ การท่ีผูเ้ ข้าประชมุ เปน็ ผ้สู ่งสาร โดยส่งสารดว้ ยการพูดเสนอความเหน็ เกย่ี วกบั เรอ่ื งทีก่ ำลงั ประชมุ เปน็ การใหข้ ้อมลู ข้อเท็จจรงิ และขอ้ คิดเห็นตา่ ง ๆ ความสำคัญของการพดู เสนอความคิดเหน็ ในทป่ี ระชุม 1. ร่วมกนั หาวธิ หี รือแนวทางในการบริหารงาน 2. ผูเ้ ข้ารว่ มประชมุ มีโอกาสเสนอความเห็นอยา่ งมีเหตผุ ล 3. ชว่ ยสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงาน 4. เป็นประโยชนใ์ นการตดิ ตามและประเมินผลการปฏิบตั ิงาน 5. ผู้เข้าประชมุ มีโอกาสได้ฟงั ความเห็นของผอู้ นื่ 6. เป็นเครอื่ งมอื ในการประสานงาน 7. เปดิ โอกาสใหม้ ีการรับผิดชอบงานร่วมกนั โครงสร้างของการพูดเสนอความเห็นในทป่ี ระชมุ 1. ท่ีมา คอื สว่ นของเร่ืองราวท่ที ำใหเ้ กิดการเสนอความเหน็ 2. ข้อสนบั สนุน คอื ข้อเทจ็ จรงิ หลักการ รวมทง้ั ความเห็นตา่ งๆ ท่ีผู้อ่นื นำเสนอ

3. ขอ้ สรปุ คือ สารที่สำคัญทีส่ ดุ ของความเห็น อาจเป็นข้อเสนอแนะ การวนิ ิจฉัย หรอื การประเมนิ คา่ ประเภทของการพดู เสนอความเหน็ ในท่ีประชมุ 1. การพดู เสนอความเหน็ เชงิ ข้อเท็จจรงิ สว่ นใหญเ่ ปน็ ความเหน็ ที่กล่าวถึงเร่ือง ทเี่ กิดขน้ึ แต่ยังไม่มีขอ้ สรุป จงึ เปน็ เพียงการสันนิษฐานเทา่ น้ัน 2. การพดู เสนอความเห็นเชงิ คณุ คา่ เป็นความเห็นที่ประเมินวา่ สง่ิ น้ันดีหรือไม่ อาจประเมินโดยตวั มันเองหรอื โดยเปรียบเทียบกับส่งิ ทอ่ี ยู่ในประเภทเดียวกัน 3. การพดู เสนอความเหน็ เชงิ นโยบาย ต้องชี้แจงใหช้ ดั เจนว่าส่งิ ทเ่ี สนอน้ันมี ขนั้ ตอนอย่างไร มีเปา้ หมายอะไร เปน็ ประโยชนอ์ ย่างไร และหากมีอุปสรรคจะแก้ไข อยา่ งไร หลกั การพดู นำเสนอในท่ีประชมุ 1. พดู ด้วยความจริงใจไมม่ อี คติ 2. พดู เสนอความเห็นอยา่ งสจุ รติ ใจ 3. พูดดว้ ยเสียงทสี่ ภุ าพ 4. พูดอย่างมีเหตุผล 5. พูดใหช้ ดั เจน แยกแยะหวั ข้อให้เห็นเด่นชัด บทที่ 6 การสัมภาษณ์งาน การสัมภาษณง์ าน หมายถึง กระบวนการคดั สรรบคุ คลเขา้ ทำงาน เพื่อจะได้ ทราบขอ้ มูลและคณุ สมบตั ิของผูส้ มคั รงานให้ได้มากที่สุด ไมว่ า่ จะเป็นวุฒิ ประสบการณ์ หรือความสามารถ แลว้ นำข้อมูลท่ีได้มาใช้พิจารณาคดั สรรบคุ คลเขา้ มาทำงานในองค์กร ให้เหมาะสมกบั ตำแหน่งงานทร่ี บั สมคั ร จุดมุ่งหมายของการสัมภาษณ์งาน

1. เพื่อพิจารณาคณุ สมบตั ิและความเหมาะสมกบั งานของผูส้ มัคร 2.ผูส้ ัมภาษณ์ไดท้ ดสอบระดบั ความรู้และความสามารถของผู้สมคั รงานหลาย ประการ 3. เพอ่ื ให้ขอ้ มลู แก่ผสู้ มัครงานและรับขอ้ มูลด้านอนื่ ๆ จากผู้สมคั รงาน ประเภทของการสมั ภาษณ์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื 1.การสมั ภาษณง์ านที่เป็นพิธีการ คือ การสัมภาษณท์ ี่เป็นทางการ เป็นการ สมั ภาษณ์งานในตำแหนง่ ที่สำคัญ 2. การสัมภาษณท์ ีไ่ มเ่ ปน็ พิธกี าร คือ การสัมภาษณท์ เี่ ป็นกนั เอง เป็นการ สมั ภาษณง์ านในตำแหน่งทั่วไป หลักการเตรียมตัวเพื่อสัมภาษณ์ 1. ศึกษาเรือ่ งราวขององคก์ รท่ีจะไปสัมภาษณ์งาน 2. เตรยี มการแนะนำตนเอง 3. ศึกษาหน้าท่ีและขอบเขตของงาน 4 .ศึกษาแนวทางประเด็นของคำถามและการตอบคำถามไว้ลว่ งหนา้ 5. เตรยี มเอกสารทีส่ ำคญั ต่าง ๆ ท้ังตัวจรงิ และสำเนาใหพ้ ร้อม 6. ตรวจสอบวันเวลา และสถานท่ี ๆตอ้ งไปสัมภาษณ์งาน 7. แตง่ กายให้ดดู ี สภุ าพ ถกู กาลเทศะ หลกั ปฏบิ ตั ใิ นขณะสมั ภาษณ์งาน 1. ทำความเคารพ รอใหผ้ ู้สัมภาษณ์เชญิ นั่งก่อนจึงคอ่ ยน่งั 2. ใชค้ ำแทนตนเองให้เหมาะสม และผสู้ ัมภาษณใ์ ห้เหมาะสม 3. ตอบคำถามดว้ ยความจรงิ ใจและตรงประเด็นมากท่ีสุด บทท่ี 7 การเขยี นโฆษณา

การเขยี นโฆษณาในงานอาชีพ ความหมายของการเขียนโฆษณาในงานอาชีพ หมายถงึ การเขยี นเพือ่ เผยแพรส่ งิ่ ที่ ต้องการสสู่ าธารณชนหรือกลมุ่ เป้าหมาย เพ่อื ให้ผ้บู ริโภคพิจารณาตัดสินใจเลือกซอ้ื สินคา้ หรอื ใชบ้ รกิ ารผ่านสือ่ มวลชน ความสำคญั ของการเขยี นโฆษณาในงานอาชีพ 1. เผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจเกยี่ วกับคุณภาพ วใี ช้ และการสง่ั ซ้ือสนิ ค้าและ บรกิ าร 2. ส่งเสรมิ สนบั สนนุ และสร้างความเข้าใจอนั ดใี นการใชส้ นิ ค้าหรือบรกิ าร 3. เพื่อให้ผู้ใชส้ ามารถจดจำสนิ ค้าและบริการให้นานทส่ี ดุ 4. กระตุ้นหรือโน้มน้าวใจใหเ้ กิดการตัดสินใจซือ้ สนิ ค้าหรือใช้บรกิ าร 5. แนะนำสินคา้ หรือบริการใหม่ๆ ให้เป็นทรี่ ู้จักอย่างแพร่หลาย 6. เพื่อสรา้ งความนยิ มในการใชส้ ินคา้ และบรกิ าร ประเภทของการเขียนโฆษณาในงานอาชีพ 1. การเขียนโฆษณาสินคา้ หรือบรกิ าร เพ่ือให้ข้อมูลทีเ่ ก่ยี วกบั ตวั สินคา้ หรือ บรกิ ารมากกวา่ เรอ่ื งอ่ืน ๆ 2. การเขยี นโฆษณาเพือ่ บกุ เบกิ เป็นการพยายามกระตุ้นใหก้ ลมุ่ เปา้ หมายเกิด ความตอ้ งการเบอื้ งตน้ 3. การเขยี นโฆษณาองคก์ ร เป็นการโฆษณารวมไปถงึ สังคมทกุ ๆ กลุม่ เพื่อ เสริมสร้างภาพลกั ษณ์ขององคก์ ร 4. การเขยี นโฆษณาเพ่อื การแขง่ ขนั จะมุ่งหวา่ นล้อมใหส้ ินคา้ และบรกิ ารนน้ั ๆ มีอิทธิพลต่อความต้องการ 5. การเขยี นโฆษณาเปรยี บเทยี บ เปน็ การโฆษณาในกรณีทสี่ ินค้ามคี ณุ ลกั ษณะ คล้ายกัน 2 ตราหรือมากกวา่ ทำใหเ้ หน็ การเปรียบเทียบกันตลอดเวลา

หลกั การเขียนโฆษณาในงานอาชพี 1. ใช้ข้อความท่นี า่ สนใจ เรา้ ใจผู้อ่าน ใช้ภาทีเ่ ขา้ ใจงา่ ย ความหมายชัดเจน 2. ไมใ่ ชภ้ าษาอวดอา้ งสรรพคณุ เกนิ ความจรงิ 3. ตงั้ เปา้ หมายของการโฆษณา โดยคำนึงถึงผลดที ผี่ ใู้ ช้บริการจะไดร้ ับ 4. บอกชอ่ื ผผู้ ลิต ชอื่ เสียง หลกั ฐานทท่ี ำใหผ้ ู้ซ้ือเชื่อมั่น 5. ใช้ถ้อยคำสัมผสั คล้องจอง เพื่อความสะดวกในการจดจำ 6. มีเทคนคิ ในการจัดรปู แบบและรูปทรงอย่างสวยงาม 7. บอกช่อื สินค้า วิธีใช้ และลักษณะเดน่ ของสินค้า 8. มีวามซื่อรง ซือ่ สตั ย์ ไมห่ ลอกลวงผู้บรโิ ภค 9. มศี ลิ ปะในการเลือกรูป เขียนลวดลาย และใหส้ ีสัน นอกจากนี้ ผเู้ ขยี นโฆษณาความมีความร้ใู นเรือ่ งตอ่ นี้ เพอ่ื ให้การเขยี นโฆษณามี ประสิทธผิ ลมากข้นึ 1. รู้จักสนิ ค้า 2. รูจ้ ักลูกค้า 3. รู้จักเลอื กส่อื โฆษณา 3.1 หนงั สือพิมพ์ 3.2 นิตยสาร 3.3 วทิ ยุ 3.4 โทรทัศน์ 3.5 ภาพยนตร์ 3.6 การโฆษณานอกสถานท่ี 3.7 การโฆษณาเคลอ่ื นท่ี

3.8 โฆษณาที่แหล่งจำหน่าย 3.9 วิธสี ง่ จดหมาย 3.10 อินเทอร์เนต็ 3.11 สอ่ื โฆษณาพเิ ศษอนื่ ๆ 4. รูจ้ กั ขน้ั ตอนการโฆษณา 4.1 ขั้นริเร่ิม เขยี นแนะนำให้ผู้บริโภครู้จักสินคา้ 4.2 ขนั้ แข่งขนั เน้นใหผ้ ้บู รโิ ภคเหน็ วา่ สินคา้ ของตนดกี วา่ สนิ ค้าอนื่ ๆ 4.3 ขน้ั รกั ษาตลาด เป็นขัน้ ท่ตี อ้ งการใหผ้ ้บู ริโภคซื้อสินค้าเป็นประจำ 5. รู้จักจติ วิทยา 5.1 ความต้องการขนั้ พ้นื ฐานของผ้บู ริโภค 5.2 ความตอ้ งการดา้ นอนื่ ๆ 6. รจู้ กั วธิ จี ูงใจ 6.1 การใหเ้ หตุผล 6.2 การเร้าอารมณ์ 6.3 การสร้างความเชอ่ื มัน่ 6.4 การเสนอแนะใหป้ ฏิบัติ การใชภ้ าษาในการเขียนโฆษณาในงานอาชพี 1. การเลือกสรรถอ้ ยคำ ต้องคำนึงถึงความหมายท้งั โดยตรงและโดยนัย เลอื กใช้ ใหเ้ หมาะสม 2. การสร้างประโยค ควรใชป้ ระโยคความเดยี วส้นั ๆ กะทัดรัด 3. การใช้ภาษาทม่ี ีโวหารหรอื ให้ภาพพจน์ ใหภ้ าพพจน์ในแง่บวก ไพเราะ และ ผู้บริโภคจำไดง้ ่าย

4. ใช้ภาษาท่ีสื่อความหมายตรงประเด็นและชดั เจน เพื่อแจง้ ใหผ้ บู้ รโิ ภคทราบ กอ่ นการตัดสนิ ใจซ้ือ จะต้องบอกชอ่ื แหลง่ ผลิต คณุ ภาพ และรายละเอยี ดอื่น ๆ ให้ ชดั เจน รูปแบบการเขียนโฆษณาในงานอาชีพ โดยท่วั ไปแบง่ ออกเปน็ 3 รปู แบบ ดงั นี้ 1. การเขียนโฆษณาอย่างยาว คือ การเขยี นโฆษณาท่ีมีโครงสร้างของสว่ นสำคญั ของข้อความโฆษณาทั้ง 6 ส่วน ดังนี้ 1.1 พาดหวั 1.2 ขยายพาดหัว 1.3 ข้อความอธบิ ายประโยชน์ 1.4 ข้อความพสิ ูจน์ 1.5 รายละเอียดของสินค้าหรือบรกิ าร 1.6 ข้อความลงท้ายโฆษณา 2. การเขยี นโฆษณาในรูปแบบคำขวัญ เป็นรูปแบบโฆษณาท่นี ิยมใชม้ ากทีส่ ุด เพราะสะดวก ประหยดั และจดจำง่าย มีวิธกี ารเขยี นดงั นี้ 2.1 เขยี นถงึ เรอื่ งใดเรื่องหนึง่ ชัดเจน 2.2 ใช้ถอ้ ยคำสำนวนส้ัน 2.3 ใชส้ มั ผสั คลอ้ งจอง ก่อใหเ้ กิดความไพเราะ 2.4 ใช้คำทมี่ ีความหมายกนิ ใจ กอ่ ใหเ้ กิดความรสู้ ึกคลอ้ ยตาม 3. การเขยี นโฆษณาในรูปแบบคำประพนั ธ์ มกั เขยี นเปน็ คำประพันธส์ ้ันๆ เช่น บท เพลง บทกลอน นยิ มใชก้ ับสื่อวิทยุ โทรทัศน์ นติ ยสาร วารสาร ฯลฯ นอกจากนี้ ยัง สามารถแบ่งออกได้ 8 ประเภท ดงั นี้ .... 3.1 การเขียนโฆษณาแบบพรรณนา 3.2 การเขียนโฆษณาแบบบรรยาย

3.3 การเขยี นโฆษณาแบบใหเ้ หตผุ ล 3.4 การเขยี นโฆษณาแบบภาพและบรรยายใต้ภาพ 3.5 การเขยี นโฆษณาแบบสนทนา 3.6 การเขยี นโฆษณาแบบบอกวิธีทำ 3.7 การเขยี นโฆษณาแบบมีพยาน 3.8 การเขยี นโฆษณาโดยใชก้ ลเม็ด มารยาทในการเขยี นโฆษณาในงานอาชีพ 1. เขียนโฆษณาดว้ ยความรับผิดชอบตอ่ สงั คม ยดึ ถอื ในหลักจริยธรรมและ วัฒนธรรม 2. ไมเ่ ขียนหมนิ่ ศาสนาหรือความเช่ือใด ๆ 3. ไมเ่ ขยี นโฆษณาท่ที ำใหผ้ ู้บรโิ ภคเกดิ ความเข้าใจทไี่ ม่ถูกตอ้ ง 4. ไม่เขียนโฆษณาเปรยี บเทียบสนิ ค้าหรอื บริการของผอู้ น่ื อย่างไมเ่ ป็นธรรม 5. ไมเ่ ขียนเลียนแบบคำขวัญหรือข้อความของผ้อู ื่น 6. ไมเ่ ขียนโดยใช้ศัพท์ สถิติ หรอื ผลการวจิ ัยในทางทไี่ มส่ มควร โดยทสี่ ินคา้ นั้นไม่ มคี ุณสมบัติตามทอ่ี ้างไว้ 7. ไมเ่ ขียนโดยอ้างองิ บุคคลหรือสถานที่ไม่มอี ยจู่ รงิ บทที่ 8 การเขียนเพอ่ื การประชาสัมพนั ธ์ การเขียนประชาสัมพนั ธ์ในงานอาชีพ การเขียนประชาสมั พันธใ์ นงานอาชพี หมายถงึ การเขยี นเผยแพรข่ อ้ มลู ข่าวสารเพื่อ สรา้ งความเขา้ ใจและความสัมพันธอ์ นั ดีระหวา่ งบคุ ลากรในองค์กรหรือระหวา่ งองค์กรกบั กลมุ่ ประชาชนทีเ่ กี่ยวขอ้ ง ความสำคัญของการเขียนประชาสมั พนั ธ์

1. ชว่ ยเผยแพร่ภาพลกั ษณ์ท่ีดีขององค์กร 2. ชว่ ยสร้างความสัมพนั ธ์อันดีระหวา่ งองค์กรกับประชาชน 3. ชว่ ยป้องกนั รักษาชือ่ เสียง และปรับปรุงขอ้ บกพร่องขององค์กร 4. ช่วยสร้างความเขา้ ใจทีถ่ ูกต้อง ทำให้เกิดความร่วมมอื กนั ภายในองคก์ รและ นอกองค์กร 5. ชว่ ยทำใหอ้ งคก์ ร สินค้า หรอื บรกิ ารเป็นทร่ี ู้จักของประชาชน เป็นส่งเสริม การตลาดทางอ้อม 6. ชว่ ยเผยแพร่ขา่ วสารเพื่อให้ประชาชนมีความรู้ ทันต่อเหตุการณแ์ ละสภาพ สังคม ประเภทของการเขียนประชาสมั พันธ์ในงานอาชพี 1. การเขยี นเอกสารเพอ่ื ประชาสัมพนั ธ์ภายใน หมายถึง เอกสารทอ่ี งค์กรจดั ทำ ขน้ึ เพอ่ื ใช้เผยแพรข่ า่ วสารภายในองค์กร เอกสารเหล่าน้ี ได้แก่ 1.1 วารสารภายใน 1.2 จดหมายข่าว 1.3 แผน่ พบั 1.4 แผน่ ปลิวและโปสเตอร์ 2. การเขยี นเอกสารเพอื่ ประชาสมั พนั ธภ์ ายนอก หมายถึง เอกสารท่อี งค์กร จัดทำขนึ้ เพอ่ื ใชเ้ ผยแพรข่ า่ วสารภายนอก อาจเป็นกลุม่ เป้าหมายโดยตรงหรือประชาชน มักเผยแพร่ผ่านสอ่ื มวลชนตา่ ง ๆ เอกสารเหลา่ นี้ ได้แก่ 2.1 ข่าวแจก 2.2 บทความ 2.3 สปอต์ 2.4 วารสารภายนอก

2.5 จุลสาร 2.6 รายงานประจำปี 2.7 สงิ่ พิมพผ์ นวก 2.8 เอกสารประกอบกจิ กรรมพิเศษทางการประชาสมั พันธ์ การแบง่ ประเภทของเอกสารเพอื่ การประชาสมั พันธ์ตามประเภทของส่ือทีเ่ ผยแพร่ อาจแบง่ เปน็ ประเภทใหญ่ๆ ได้ดงั นี้ 1. เอกสารเพื่อการประชาสัมพนั ธ์ทางสื่อสิง่ พมิ พ์ หมายถึง เอกสารท่อี งค์กร จดั ทำข้ึนเพ่อื เผยแพรผ่ า่ นทางหนังสอื พมิ พแ์ ละนติ ยาสาร 2. เอกสารเพอ่ื การประชาสัมพันธ์ทางวิทยกุ ระจายเสยี ง หมายถึง หมายถงึ เอกสารทอี่ งคก์ รจดั ทำขึน้ เพ่ือเผยแพรผ่ า่ นทางวิทยุกระจายเสยี ง 3. เอกสารเพ่ือการประชาสมั พนั ธ์ทางวิทยุโทรทศั น์ หมายถึง หมายถงึ เอกสาร ท่อี งคก์ รจัดทำขึน้ เพอ่ื เผยแพร่ผา่ นทางวทิ ยโุ ทรทศั น์ 4. เอกสารเพ่ือการประชาสมั พนั ธ์ทางอินเทอร์เนต็ หมายถึง เอกสารทีอ่ งค์กร จดั ทำขน้ึ เพ่อื เผยแพรผ่ ่านทางอนิ เทอร์เนต็ เปน็ ส่ือสมยั ใหมท่ ่นี ำมาใชเ้ พ่อื ให้เกิด ประโยชน์สงู สดุ หลกั การเขยี นประชาสมั พนั ธ์ในงานอาชีพ 1. วางแผนงานประชาสมั พนั ธว์ ่าเก่ียวกับอะไร ใชส้ ือ่ อะไร เพอ่ื กำหนดขอบเขต ขอ้ มูลใหเ้ หมาะสม 2. กำหนดประเดน็ สำคญั ของเร่อื งจะประชาสมั พันธ์ 3. ต้งั ประเดน็ พาดหวั ใหน้ ่าสนใจ และจดั สรรรายละเอยี ดในแตล่ ะย่อหนา้ ให้ เหมาะสม 4. จดั ลำดบั ความคดิ และประเดน็ สำคญั ใหอ้ ่านงา่ ย 5. ใช้ประโยคให้สอดคล้องกันต่อเนอ่ื งตั้งแตต่ ้นจนจบ

6. เขียนอธิบายเนื้อหาใหก้ ะทดั รดั และเหมาะสม 7. ตรวจสอบความถูกต้องกอ่ นก่อนที่จะสง่ ต้นฉบบั เพือ่ จดั พิมพ์ หลกั การเขยี นประชาสมั พนั ธใ์ นงานอาชีพท่ีดี คือ การรหู้ ลักการเขยี นทด่ี ี เชน่ การ เลอื กใชค้ ำ การผูกประโยค รวมถึงการร้หู ลกั ท่จี ะทำให้การประชาสัมพนั ธบ์ รรลุ วัตถปุ ระสงค์ หลักการเขยี นประชาสัมพันธ์ในงานอาชพี ต้องมีลักษณะพเิ ศษ คอื ต้องเป็น ข้อความทีอ่ ่านง่าย น่าอ่าน สื่อความหมายชดั เจน สิ่งที่ต้องพิจารณาประกอบการเขียนประชาสัมพันธ์ในงานอาชพี 1. กลมุ่ เป้าหมาย 2. วตั ถปุ ระสงค์ 2.1 เขียนบอกกลา่ วใหเ้ ขา้ ใจ 2.2 เขียนเพอื่ ป้องกันหรอื แก้ไขความเข้าใจทไ่ี ม่ถกู ตอ้ ง 2.3 เขียนเพ่อื สรา้ งจิตภาพทด่ี ี 3. สื่อท่ีใชเ่ ผยแพร่ การใช้ภาษาในการเขียนประชาสมั พันธใ์ นงานอาชีพ ควรมลี กั ษณะดงั นี้ 1. ในการใชภ้ าษาพูด ควรใชภ้ าษาท่ฟี งั แลว้ เข้าใจง่าย ชดั เจน สภุ าพ และสื่อ ความหมายไดต้ รงตามวัตถุประสงค์ 2. ในการใช้ภาษาเขียน ควรเลือกใชถ้ อ้ ยคำทมี่ ีความหมายตรงตามวตั ถปุ ระสงค์ กระชบั และเหมาะสมกับสอ่ื 3. ใช้ถอ้ ยคำส้นั ๆ กะทัดรัด ชดั เจน เขา้ ใจงา่ ย และได้ใจความสมบรู ณ์ 4. เรยี บเรียงขอ้ ความใหต้ ่อเน่อื งและเป็นเอกภาพ การประชาสัมพันธค์ วรคำนึงถึงการใชภ้ าษากบั ผูร้ บั สารประชาสัมพันธแ์ ละภาษาและ ลกั ษณะงานประชาสัมพนั ธด์ งั นี้

ภาษากบั ผู้รับสารประชาสัมพันธ์ การใชภ้ าษาตอ้ งคำนึงถงึ ความสอดคล้องและ ความเหมาะสมของระดบั การใชภ้ าษา รวมทงั้ สือ่ หรอื ชา่ งทางในการส่งสาร ตลอดจน วิธีการนำเสนอดว้ ย โดยท่ัวไปสามารถแบง่ ออกได้เป็น 2 กลุม่ ใหญ่ๆ คือ 1. การใช้ภาษากับผรู้ บสารภายในองคก์ ร 2. การใชภ้ าษากับผู้รบสารภายนอกองค์กร ภาษากับลกั ษณะงานประชาสัมพนั ธ์ ภาษาทใ่ี ชใ้ นส่ือมวลชนตา่ ง ๆ ทตี่ อ้ งพิจารณาเป็น พิเศษ ดังนี้ 1. ภาษาหนงั สอื พมิ พแ์ ละนิตยสาร ต้องคำนึงถงึ การสอื่ ความหมายใหอ้ ่านเขา้ ใจ ง่าย การใช้ภาษาจึงมีลกั ษณะกงึ่ ทางการเพอ่ื สรา้ งความน่าเชือ่ ถอื และสามารถเก็บ หลักฐานไว้อ้างองิ ได้ 2. ภาษาวิทยกุ ระจายเสียง เปน็ ส่ือทีมคี วามใกลช้ ิดกบั ผฟู้ งั มากกว่าสอื่ อนื่ ๆ การ ใชภ้ าษาตอ้ งเปน็ กันเอง มลี ักษณะเปน็ การพูดกบั เพือ่ นหรอื คนใกล้ชดิ 3. ภาษาวทิ ยโุ ทรทัศน์ มีคุณสมบตั ิไดเ้ ปรียบกว่าสอ่ื อน่ื ๆ ในด้านท่ีสามารถขยาย เสนอภาพประกอบการฟังได้ ฉะน้นั การใชภ้ าษาจงึ ไม่จำเป็นตอ้ งขยายความใหล้ ะเอียด การใช้ภาษายงั คงเปน็ ภาษาพูด เพราะเปน็ ภาษาเพอื่ การฟงั ไมใ่ ช่การอา่ น 4. ภาษาอนิ เทอร์เน็ต ขอ้ มูลขา่ วสารทางอนิ เทอรเ์ น็ตมลี กั ษณะเป็นสอ่ื ผสมผสาน ลักษณะการเขียนมคี วามคลา้ ยคลึงกบั ภาษาหนงั สอื พิมพ์และนิตยสาร คือต้องคำนึงถึง การส่ือความหมายให้อ่านเข้าใจง่าย โดยมเี น้ือหาและภาษาท่เี ปน็ เอกภาพ รูปแบบของการเขยี นประชาสัมพันธใ์ นงานอาชีพ แบง่ ตามลกั ษณะของสงิ่ ที่นำมาใช้ เขียนได้ 3 ลกั ษณะ ดงั นี้ ..... 1. การเขียนถึงตวั องคก์ รโดยตรง ได้แก่ นโยบายแผนหรือการดำเนินงานของ องค์กรท่ีเปน็ ประโยชน์ หรอื ส่งผลตอ่ กล่มุ เปา้ หมายโดยตรง 2. การเขยี นถึงกจิ กรรมที่จดั ขนึ้ เพ่อื การประชาสมั พนั ธ์ เนือ่ งจากเปน็ การเขยี น ถึง “กจิ กรรม” ทอี่ งคก์ รจดั ข้ึนเพ่ือสร้างชือ่ เสียง ปรับความเข้าใจใหถ้ ูกต้อง หรือ

เสริมสร้างความสมั พันธใ์ นองค์กร ดงั น้นั การเขียนในลักษณะนีจ้ ะคล้ายกบั การเขียนข่าว หรือใหข้ อ้ มลู การจัดกจิ กรรม 3. การเขียนถงึ เรอื่ งที่ไม่เกย่ี วขอ้ งกับหนว่ ยงานโดยตรง แตห่ วังผลด้านการ ประชาสมั พนั ธ์ เชน่ บทความสขุ ภาพด้วยความปารถนาดีจากองคก์ รของเรา การเขยี นประชาสัมพันธ์ในงานอาชีพำดับขั้นตอนในการออกแบบงานเขยี นโดยสรุป ทว่ั ไปดังน้.ี .. 1. ข้ันตอนการศึกษาโจทย์ ปัญหา คำสงั่ นโยบาย หรอื แผนงานที่ได้รับ 2. ขนั ตอนการกำหนดจดุ มุ่งหมายในการเขียน 3. ขนั้ ตอนการเลอื กองคป์ ระกอบในการเขียน องคป์ ระกอบทวั่ ไปในการเขยี นเพอื่ ประชาสัมพันธ์ 1. ความสัมพนั ธ์ระหว่างองค์กร 2. ผลประโยชนห์ รอื ความต้องการของกลุม่ เป้าหมาย 3. ข้อเทจ็ จรงิ 4. ความประทบั ใจหรอื ประสบการณ์ร่วมกันที่ดี 5. การส่อื สารสองทาง 6. อ่นื ๆ เชน่ บคุ คลที่มีชือ่ เสียง กลุม่ อ้างอิง เกณฑก์ ารพิจารณาเลอื กองคป์ ระกอบ 1. กลมุ่ เป้าหมายมลี ักษณะอยา่ งไร จงู ใจไดย้ ากง่ายแค่ไหน และองค์ประกอบใดท่ี เมอื่ นำมาเขียนแล้วจะสามารถจงู ใจได้ 2. ลกั ษณะประเด็นปญั หาเปน็ อยา่ งไร ควรเลือกใช้องค์ประกอบใดจึงจะเพยี งพอ ต่อการจงู ใจ 4. ขน้ั ตอนการออกแบบข้อความและการเขียนรา่ ง 4.1 สิง่ ทต่ี ้องพิจารณาในการเขียนเนอ้ื หา

• วฒั นธรรมและคา่ นยิ มของกลุ่มเปา้ หมาย • รายละเอยี ดท่ีกลมุ่ เป้าหมายคาดหวงั อยากรู้ 4.2 สิ่งที่ต้องพิจารณาในการเลอื กใช้คำและสำนวน • ระดบั ของผู้เขยี นเมอื เปรียบเทยี บกบั กลมุ่ เปา้ หมาย • ความสำคัญของเร่อื งท่ีเขียน • สื่อทจี่ ะใช้ 5. ขัน้ ตอนการตรวจทาน 5.1 การจัดระเบยี บเนือ้ หา 5.2 รายละเอียดของเน้ือหา 5.3 ความถกู ตอ้ งของเน้ือหา 5.4 สำนวนทใ่ี ช้ 5.5 ตัวสะกด 5.6 การแบ่งยอ่ หนา้ และวรรคตอน 5.7 อ่ืน ๆ เช่น เลขหน้า การเลอื กใช้คำ และความตอ่ เนอื่ ง องค์ประกอบของขอ้ ความประชาสัมพนั ธ์ มีดงั น้ี 1. พาดหัวเรือ่ ง เปน็ ส่วนทสี่ ำคัญทสี่ ดุ ของเรอื่ งท่จี ะประชาสมั พนั ธ์ ควรเขียนด้วย ข้อความสั้นๆ ที่สะดุดความสนใจของผูอ้ ่าน 2. วรรคนำ เปน็ การเกรน่ิ ขอ้ มูลเพอ่ื สรา้ งความสนใจของผูอ้ ่าน 3. ยอ่ หน้าเชือ่ มความ ทำหน้าที่เช่อื มความจากยอ่ หน้าหน่งึ ไปยังอกี ยอ่ หน้าหนงึ่ ซึง่ จะมีหรือไมม่ กี ็ได้ ขึ้นอย่กู บั ขอ้ มลู ขา่ วสารของการประชาสมั พันธ์ 4. เนอื้ หา เป็นสว่ นของรายละเอยี ดต่าง ๆ ที่ตอ้ งการประชาสัมพนั ธใ์ ห้ กลมุ่ เปา้ หมายรับทราบ

มารยาทในการเขียนประชาสัมพันธ์ในงานอาชีพ สงิ่ สำคัญท่ีควรยดึ ถอื คอื “ความโปรง่ ใส” กลา่ วคือ เขยี นโดยการใหข้ อ้ มูลทเ่ี ปน็ ข้อเทจ็ จรงิ และเขียนโดยปราศจากอคตกิ บั ฝ่ายใดฝ่ายหน่งึ ควรเขียนโดยยดึ ถือประโยชนทเ่ี กดิ ขนึ้ กับองคก์ รเปน็ สำคญั บทท่ี 9 จดหมายกิจธุระและสมคั รงาน ความหมายและความสำคัญของการเขยี นจดหมายกจิ ธรุ ะ การเขียนจดหมายกจิ ธรุ ะ หมายถงึ การเขียนจดหมายเพอ่ื ติดตอ่ กันระหวา่ งบุคคลกับ บุคคลหรือบคุ คลกบั องคก์ ร เพ่ืองานหรอื ธรุ ะบางประการ ความสำคัญของการเขียนจดหมายกจิ ธรุ ะ บุคคลทั่วไปยอ่ มมคี วามจำเปน็ ในการเขียนจดหมายกิจธรุ ะอยู่เสมอ ดว้ ยเหตุผลท่ี แตกตา่ งกนั ไป เช่น จดหมายลากจิ ลาป่วย ฯ ดังน้ัน จดหมายกจิ ธุระจงึ มคี วามสำคัญ เพอ่ื ใหก้ จิ ธรุ ะต่าง ๆ บรรลุวตั ถปุ ระสงค์ ประเภทของการเขียนจดหมายกจิ ธุระ ประเภทของการเขียนจดหมายกิจธุระ แบ่งได้ดงั นี.้ ... 1. จดหมายตืดตอ่ กิจธุรการงาน ได้แก่ จดหมายท่เี ขียนถงึ บคุ คล บริษัท ห้าง รา้ นองค์กร เพ่ือตดิ ตอ่ เกย่ี วกับงานนดั หมายปรกึ ษาหารือ ขอความช่วยเหลอื ขอ คำแนะนำ เช่น จดหมายเชิญ จดหมายสอบถาม จดหมายลากจิ ฯลฯ 2. จดหมายแสดงไมตรจี ติ ไดแ้ ก่ จดหมายที่เขยี นขึน้ ในโอกาสต่าง ๆ เชน่ แสดง ความยินดีกบั ความสำเรจ็ แสดงความเสียใจ ฯลฯ หลกั การเขยี นจดหมายกจิ ธุระ หลกั การเขียนจดหมายกจิ ธรุ ะ ได้แก่ 1. ใชค้ ำสั้นๆเขา้ ใจง่าย (กะทัดรัด) เพอ่ื ทจี่ ะได้ส่ือสารได้เข้าใจตรงกนั

2. เขียนใหช้ ดั เจนวา่ ต้องการอะไร หรือต้องการใหผ้ รู้ บั สารกระทำอยา่ งไร ไมค่ วร ใช้ถอ้ ยคำฟุม่ เฟอื ย ยดื ยาว หรอื อ้อมคอ้ ม วนไปวนมา 3. เขยี นให้สมบรู ณค์ วาม คือ เมอื่ ตอ้ งการส่ิงใด ควรบอกส่ิงทต่ี อ้ งการน้นั ให้ ครบถ้วน เพือ่ ผูอ้ ่านจะไดไ้ ม่ต้องกลบั มาถามใหม่ให้เสียเวลา 4. แสดงความจรงิ ใจ 5. ใช้คำสุภาพ ไม่ควรใชค้ ำหยาบ แม้จะเขียนถึงเพือ่ นสนิทก็ตาม 6. ระลกึ ถึงผอู้ า่ น ควรคิดเสมอว่า เมื่อเขยี นแล้วผไู้ ด้รับจดหมายจะรสู้ ึกเช่นไร ฉะน้ันควรยึดหลัดเอาใจเขามาใส่ใจเรา เพ่อื ข้อความทเี่ ขยี นจะได้ไม่กระทบจติ ใจใคร การใชภ้ าษาในการเขียนจดหมายกจิ ธุระ การใช้ภาษาในการเขยี นจดหมายกิจธรุ ะ ได้แก่ 1. สำนวนภาษาแบบแผน ควรใชเ้ ขียนจดหมายท่เี ปน็ ทางการ 2. สำนวนภาษากึ่งแบบแผน ควรใชเ้ ขยี นจดหมายท่ีเปน็ กันเอง 3. ไม่ควรใชภ้ าษาพดู ภาษาแสลงในจดหมาย 4. ควรใชส้ ำนวนภาษาตรงไปตรงมา ไม่กำกวม 5. ไมค่ วรใช้สำนวนเย่ินเย้อ 6. ไม่ควรใชส้ ำนวนท่ีขัดแยง้ กัน 7. เขียนตวั สะกดถกู ตอ้ ง รูปแบบการเขยี นจดหมายกิจธรุ ะ รูปแบบการเขียนจดหมายกิจธรุ ะ ไดแ้ ก.่ .... 1. ส่วนประกอบของจดหมาย ได้แก่..... • ทอี่ ยู่ของผู้เขียน • วนั เดอื น ปี ทเ่ี ขียนนยิ มใสต่ ัวเลขและชอ่ื เดือนเต็ม

• เรอ่ื ง เปน็ ขอ้ ความสั้นๆ สรุปเน้อื เรือ่ งในจดหมาย เพือ่ ใหผ้ ้อู ่าน ทราบวา่ จะติดตอ่ เกี่ยวกบั เร่ืองอะไร จดหมายส่วนตัวไม่จำเปน็ ต้อง มสี ว่ นน้ี • คำข้ึนตน้ นิยมใช้ “เรียน” เปน็ การทักทายกอ่ นเริม่ เนอ้ื เร่อื ง ถา้ เป็น จดหมายส่วนตัวใช้เอย่ ช่อื ผู้รับก็ได้ • เนอื้ เร่ือง ควรสั้น ได้ใจความ ชัดเจน และควรแบง่ เปน็ ยอ่ หน้าส้ันๆ จะนา่ อ่านกว่า • คำลงท้าย ควรเขียนใหเ้ หมาะสมกบั ระดบั ช้นั ของบุคคล แต่ โดยทวั่ ไปแล้วนยิ มใชค้ ำวา่ ขอแสดงความนับถือ และจดหมาย ส่วนตัวอาจลงทา้ ยวา่ ด้วยรักและคิดถงึ ด้วยความปรารถนาดี ฯลฯ • ลงนามหรือลายเซ็น ควรเซน็ ใหพ้ ออา่ นออก แตเ่ ขยี นนามเต็มไว้ใน วงเล็บ ถา้ เปน็ จดหมายส่วนตัว ไม่ตอ้ งลงนามเตม็ ในวงเล็บก็ได้ • ชอ่ื และตำแหนง่ เขยี นไวใ้ ตล้ ายเซ็น 2. การวางรูปแบบจดหมาย นยิ มใชห้ ลกั การพิมพ์ดีด แตถ่ ้าเปน็ การเขียนด้วย ลายมือ ควรฝึกหดั เว้นระยะใหเ้ หมาะสมและสวยงาม การเวน้ ระยะควรปฏิบัติดังน้ี • กั้นระยะหน้าหลงั ใหพ้ อเหมาะกับขนาดของกระดาษ • ชว่ งระหว่างท่ีอยู่ วนั ที่ เรื่อง คำข้ึนตน้ ขอ้ ความ คำลงทา้ ยควรเวน้ บรรทัดเพ่ือใหด้ นู ่าอ่าน 3. กระดาษเขยี นจดหมาย ควรใชก้ ระดาษปอนด์สขี าวทม่ี ีคุณภาพดี สว่ นจดหมายส่วนตวั อาจจะใชก้ ระดาษ ทีมสี ีสันลวดลายท่ีไม่สะดุดตามากจนอ่านตัวหนังสือไม่เห็น ขอ้ ควรระวังในการใช้ กระดาษคอื ถา้ ต้องฉกี ออกจากเล่ม ควรใชก้ รรไกรตัดริมท่เี วา้ แหว่งให้เรียบรอ้ ยเสียก่อน 4. ตวั อกั ษร จดหมายกจิ ธรุ ะควรพิมพ์ให้สวยงาม ถา้ เป็นจดหมายแสดงไมตรจี ิตควร เขียนด้วยลายมือตนเองท่ีอา่ นงา่ ย สะอาด แสดงความจริงใจต่อผู้รบั จดหมาย 5. ซอง

• ซองจดหมายราชการและธรุ กิจจะมีขนาด 9 ½ คูณ 4 ¼ น้วิ สว่ น จดหมายส่วนตวั ท่วั ไปมขี นาด 3 คูณ 5 นว้ิ • ช่ือทอี่ ยู่ของผ้รู บั ต้องบอกรายละเอยี ดของบา้ นเลขที่ ถนน ตำบล อำเภอ จงั หวัด และรหัสไปรษณยี ์ให้ครบถว้ น • การใสร่ หัสไปรษณยี ์ ควรใส่เปน็ เลขอาระบิก เพือ่ ความสะดวกใน การคดั เลือกจดหมายของเจา้ หนา้ ท่แี ละเพอื่ ใหจ้ ดหมายถึงมือผรู้ ับ ได้เรว็ ย่ิงขึน้ • ช่อื ท่ีอยขู่ องผสู้ ง่ จดหมาย เขียนหรือพิมพไ์ วม้ มุ บนดา้ นซ้ายของซอง • การจ่าหนา้ ซอง หากเป็นจดหมายท่แี สดงไมตรจี ิต การเขียนด้วย ลายมือจะแสดงความจรงิ ใจไดป้ ระการหนง่ึ 6. การพับจดหมาย กระดาษเขียนจดหมายขนาดยาวใหพ้ ับเป็น 4 ส่วน กระดาษสน้ั พับ 3 ส่วน ให้ พอเหมาะกับกระดาษซองจดหมาย โดยเหลอื ขอบดา้ นบนประมาณ ¼ นว้ิ เพ่อื ความ สะดวกในการคลจ่ี ดหมายอ่าน ขน้ั ตอนการเขียนจดหมายกจิ ธรุ ะ 1. จดหมายกจิ ธุระ ได้แก่ 1.1 จดหมายนัดหมายหรอื จดหมายเชญิ • อารัมภบท แจง้ จดุ ประสงคใ์ นการนัดหมายหรือการเชญิ • รายละเอยี ดของเรอ่ื งหรืองานนั้น ๆ • คำลงเอย เช่น หวงั วา่ คงใหเ้ กยี รติไปรว่ มงานตามวนั และเวลาดงั กล่าว 1.2 จดหมายลากจิ ลาปว่ ย • อารมั ภบท แจ้งสาเหตุของการลา • รายละเอยี ด (กำหนดวันลา) • คำลงเอย เชน่ จงึ เรยี นมาเพ่อื ขอทราบ

1.3 จดหมายสอบถาม • อารมั ภบท แจ้งว่าต้องการสอบถามเร่ืองอะไร • รายละเอียดท่จี ะสอบถาม • คำลงเอย เชน่ หวงั วา่ คงไดร้ ับคำตอบ 1.4 จดหมายขอความช่วยเหลือ • อารมั ภบท แจง้ จุดประสงค์ในการขอความช่วยเหลอื • รายละเอียดเกยี่ วกับการขอความชว่ ยเหลือ • คำลงเอย เชน่ จงึ ขอขอบพระคณุ มา ณ โอกาสนี้ 1.5 จดหมายขอบคณุ • อารัมภบท เทา้ ความถงึ เรือ่ งท่ีไดร้ บั ความช่วยเหลอื • กลา่ วถงึ ความสามารถและความเหาะสมกบั รางวัลของผู้รบั จดหมาย • คำลงเอย เช่น อยา่ เสียใจไปเลย คราวตอ่ ไปเธอต้องสมหวังแนน่ อน มารยาทในการเขยี นจดหมายกิจธรุ ะ 1. กระดาษและซองควรเปน็ สสี ุภาพ ไม่ควรใช้กระดาษและซองทมี่ ีสสี ันสง่ ไป แสดงความเสยี ใจ 2. ควรใช้หมกึ สีนำ้ เงินสำหรบั เขียนจดหมายเก่ยี วกบั งานมงคล และหมกึ ดำใช้ สำหรับแสดงความเสยี ใจในงานศพ ไมค่ วรใช้ปากกาสอี ื่นหรอื ดนิ สอเขยี นข้อความ 3. สะกดช่ือ – สกลุ ของผ้รู บั จดหมายใหถ้ กู ต้องทัง้ ยศและตำแหน่ง 4. ตดิ ตราไปรษณยี ์ให้ถกู ตอ้ งตามนำ้ หนกั จดหมาย 5. ใสร่ หัสไปรษณียใ์ ห้ถูกตอ้ ง เพือ่ ทเี่ จ้าหนา้ ท่จี ะได้คัดแยกจดหมายได้สะดวก 6. เขยี นจดหมายและจ่าหนา้ ซองด้วยลายมือที่อ่านงา่ ย สะอาด และสวยงาม 7. ถ้าตอ้ งการให้ผู้รบั ตอบ ควรส่งก่อนกำหนดเวลา เผอื่ วนั ท่ผี รู้ ับจะได้สง่ จดหมายตอบได้ดว้ ย

8. เม่อื ไดร้ ับจดหมายแลว้ ควรรบี ตอบกลบั ทนั ที จดหมายสมคั รงาน จดหมายสมัครงาน และ Resume นั้นเป็นเอกสารทีเ่ ราต้องใช้ หรอื ต้องเตรียมให้กับ บรษิ ัททเี่ ราสนใจเข้าไปสมัครงาน ซึ่งโดยปกติการสมัครงานจะมเี อกสารทีเ่ ราตอ้ งเขยี น กรอก หรือ พิมพ์อยู่ 3 ประเภท - จดหมายสมคั รงาน หรือจดหมายนำ (Cover Letter) - ประวตั ยิ ่อ (CV & Resume) - ใบสมคั รงาน (Application Form) ใบสมคั ร( Application Form) ใบสมัครนีเ้ ราได้มาจากนายจ้าง หรอื บริษทั ท่รี บั สมคั รนนั่ เอง จะเป็นแบบฟอรม์ โดยเว้นที่ว่างไว้ใหก้ รอก ข้อความทเี่ คา้ ตอ้ งการทราบ ซง่ึ เราควรจะตอบใหค้ รบถว้ น ตอ้ ง เขยี นดว้ ยลายมือตัวบรรจง ให้สามารถอา่ นออกได้ (ใครท่เี ขยี นหวัด ๆ หรือรู้ตัวว่าลายมอื ไมส่ วย ต้องพยายามเขียนให้บรรจงท่สี ดุ ) ควรกรอกด้วยปากกาดำหรือน้ำเงิน สำหรับ ภาษาองั กฤษถา้ เป็นตัวพมิ พใ์ หญ่ไดก้ ็จะยง่ิ ดี CV และ Resume CV และ Resume ควรจะ ประกอบ ไปด้วยส่วนหลกั ๆ 3 ส่วน ขอ้ มลู สว่ นตวั เป็นส่วนแรกทสี่ ำคญั ไม่นอ้ ยกวา่ สว่ นอื่น ๆ เพราะว่าเป็นด่านแรก ที่เจา้ นาย ( ในอนาคต ) สามารถรจู้ ักตวั ตนของเรา ว่าเป็นใคร บ้านอยไู่ หน จบจากทีใ่ ด คณะอะไร เรยี นเปน็ ยังไงบ้าง ท่ีสำคญั ตอ้ งอยา่ ลมื เปน็ อนั ขาด นั่นกค็ ือ เบอรท์ ีส่ ามารถติดต่อ เราได้ ทุกเมื่อ ไม่วา่ จะเปน็ เบอรม์ ือถือ เบอร์เพจ หรอื เบอร์บ้าน ประสบการณ์ทำงาน สว่ นน้เี ปน็ สว่ นสำคญั มาก เพราะสมัยน้ีคนทมี่ ี ประสบการณท์ ำงาน มักจะ ได้เปรียบกวา่ คนที่เพง่ิ จบ แลว้ ก็ยงั ไม่เคย ทำงานท่ีไหน มากอ่ นเลย ( แต่บางทีกไ็ มเ่ สมอ ไปนะ กร็ ู้ ๆ กันอยวู่ ่าเศรษฐกิจ บ้านเรามันเปน็ ยังไง คนที่เคยทำงานมาแลว้ มักจะเรียก

เงินเดอื นสงู ๆ ถ้ามากเกินไป กเ็ สียเปรยี บเห็น ๆ เลย ) แต่ประสบการณก์ ็เป็นเครอื่ ง พิสูจน์ตวั เราไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ไม่วา่ จะเป็นสง่ิ ท่แี สดงให้เห็นวา่ เราเป็นคนทรี่ กั ความก้าวหน้า หาสงิ่ ใหม่ ๆ ใหก้ บั ชีวิต เป็นคนทีไ่ มห่ ยุดนงิ่ และกย็ ังมีอกี หลายอยา่ งท่ีเปน็ ขอ้ ดีของคนที่ เคยทำงานมาก่อน ในการเขยี นสว่ นน้ใี หด้ ีจรงิ ๆ เราไมค่ วรเขียนยาวหรอื สั้นมาก จนเกนิ ไป เพราะเราเอง อาจจะงงเองก็ได้ แล้วคดิ ดสู ิวา่ คนอา่ นเคา้ จะงงกว่าเราขนาด ไหน และเราก็ไมค่ วรวจิ ารณ์การทำงานทบี่ ริษทั เก่าในแง่ลบ เพราะขนาดงานทีเ่ คยทำ มาแล้วต้ังหลายปยี ังวิจารณไ์ ดถ้ งึ แก่นขนาดนี้ เคา้ กค็ งเกรง ๆ เหมือนกันว่าจะมาวิจารณ์ บริษทั เคา้ เสยี ๆ หาย ๆ ข้อมูลสว่ นอ่ืนทเ่ี ก่ียวขอ้ ง น่ีก็สำคัญ ( สรุปแลว้ สำคัญทุกสว่ นแหละ) เพราะเป็นสว่ นทีบ่ อกว่า เรามีทักษะ พิเศษด้านไหนบา้ ง เช่น สามารถใช้คอมพิวเตอรไ์ ดเ้ ปน็ อย่างดี ในหลาย ๆ โปรแกรม หรือว่าพมิ พด์ ดี ได้เร็วอยา่ งหาตวั จบั ยาก หรือวา่ สามารถใช้อุปกรณ์ในสำนักงานได้ทุก ชนดิ ไมว่ ่าจะเปน็ FAX เคร่ืองถ่ายเอกสาร และอ่นื ๆ แตถ่ า้ จะใหป้ ระสบความสำเร็จใน การเขียน Resume จริง ๆ เราไม่ควรมองข้ามส่ิงเลก็ ๆ นอ้ ย ๆ อยา่ งเช่น ควรจะเขียน ดว้ ยตวั หนังสือท่เี ป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ย สะอาดสะอา้ น น่ามอง แล้วก็ควรระวังเรื่อง ตวั สะกดหรือเคร่อื งหมายตา่ ง ๆ ด้วย ( โดยเฉพาะ ภาษาองั กฤษ ถ้าไม่แน่ใจ ควรถามผู้รู้ ก่อนนะ ) เพราะความ ประทับใจแรกในการอ่าน Resume ของเรา เปน็ บอ่ เกิดแหง่ ความสำเร็จในอนาคตอันใกล้ การรับรองสำเนา สำเนาทเ่ี ราได้ให้ไว้ควรจะมกี ารเซน็ ต์รบั รองสำเนาถกู ต้อง โดยทรี่ ะบุวตั ถู ประสงคไ์ ว้ใหเ้ รยี บรอ้ ย อาทิ รบั รองสำเนาถูกตอ้ งเพื่อการสมคั รงานเทา่ นัน้ เปน็ ตน้ เพราะหลายต่อหลายครั้ง ทมี่ ีกรณีนำเอกสารเหล่านี้ ไปใชเ้ พ่ือวัตถุประสงค์อื่น โดยทีเ่ รา ไมท่ ราบลว่ งหนา้ เช่น ในกรณีทีน่ ำสำเนาบตั รประจำตัวประชาชนไปใช้ในการจด ทะเบยี นมอื ถอื ซง่ึ เคยเปน็ ข่าวครึกโครม หลายตอ่ หลายครัง้ ความสามารถพเิ ศษ สำหรับจดหมายรบั รอง ใบผา่ นงาน ใบประกาศเกยี รติคณุ บัตรวิชาชพี ตา่ ง ๆ

และ หนังสอื ชมเชย นนั้ ควรจะแนบไปในจดหมายเป็นอยา่ งย่งิ เพราะสำเนาเหล่านจ้ี ะ ให้ผ้สู ัมภาษณท์ ราบถึงความสามารถพิเศษเพิม่ เติมนอกเหนอื ไปจากที่เราเขยี นไว้ใน Resume (เปน็ การ เพ่ิมคะแนน ใหต้ นเอง อีกทางหนึ่ง) การแนบเอกสาร สว่ นใหญ่ เจ้าหน้าทีฝ่ า่ ยทรัพยากรบุคคลจะขอเอกสารเหล่านีใ้ นกรณีที่เรามี โอกาสจะได้เข้าร่วมงานกับบริษัทนน้ั ๆ โดยท่ีเราไม่จำเป็นจะต้องให้ไว้ลว่ งหนา้ (ไม่ต้อง แนบไปในครง้ั แรกท่ีส่ง ใบสมัครงาน เพราะบรษิ ัทส่วนใหญจ่ ะขอเอกสารเหล่านี้ เม่ือได้ พจิ ารณาเลอื กเราเข้าเป็นพนักงานแล้วเทา่ น้ัน) หากเราให้ไปก่อนแตย่ ังไม่ได้รบั การ คัดเลือก ทางบรษิ ทั กอ็ าจจะเกบ็ ไว้กอ่ นและทำลายท้งิ ในภายหลงั โดยมากเค้าอาจะเก็บ ไว้ 6 เดอื น - 1 ปี) จดหมายสมัครงาน หรือ จดหมายนำ ( Cover Letter) จดหมายสมคั รงาน เปน็ จดหมายทีเ่ ราเขยี นข้ึนเพ่อื การแนะนำตวั เองอยา่ งย่อ ๆ เพ่ือสง่ ไปสมัครงานกับบริษทั หา้ งรา้ นท่ีเราสนใจ ในจดหมายจะอธิบายวา่ เราสนใจ สมัครงาน ในตำแหนง่ ใด และเราเหมาะสมกับตำแหนง่ งานอย่างไรบา้ ง ซ่ึงจดหมาย สมัครงาน ทีด่ ีตอ้ งสัน้ กระชับ ได้ใจความ อ่านง่าย สะอาด และไมแ่ สดงประวตั สิ ่วนตวั มากนัก ประวตั ยิ อ่ ( CV & Resume) ประวัติย่อ หรือที่มักจะคุ้นเคยกับคำวา่ CV & Resume คำท้ังสองคำน้ีมที ีม่ า ดงั นี้ Resume อา่ นว่า เร-ซ-ู เม เปน็ ภาษาอเมรกิ ัน ท่ีมีรากศัพท์ มาจากภาษาฝรั่งเศส ดังนนั้ ถา้ จะเขียนให้ จรงิ ๆ ต้องเขียนว่า Re\"sume\" ส่วน CV ยอ่ มาจากคำวา่ Curriculum Vitae อ่านวา่ เคอ-รคิ -คิว-ลัม วี-เต้ หมายถึง บทสรปุ ยอ่ ของคำบรรยายหรือข้อเขียน ซึง่ จะเป็นคำทคี่ นอังกฤษใชเ้ รยี ก Resume หรอื บ้างครัง้ เราอาจจะพบคำวา่ Biodata ซึง่ มากจากคำเดิมวา่ Biographical Data ซึ่งก็คือประวัติย่อเหมอื นกัน แต่คำหลงั สดุ น่ไี มค่ ่อยเป็น ที่นิยมสักเท่าไหร่ ไม่วา่ เราจะ เรยี กวา่ อยา่ งไรกต็ าม ประวัติย่อก็คือ การบรรยายรายละเอยี ดเกยี่ วกบั ตวั เรา ใน เร่อื ง การศกึ ษา ประสบการณ์ทำงานท่ีผา่ นมา ความสำเร็จทผ่ี า่ นมา และความสนใจ

ส่วนตัว แต่จะไม่ได้บอกวา่ เราสนใจ สมคั รงานในตำแหน่งใด การเขยี น CV & Resume ที่ดเี ราต้องทำให้นา่ อา่ น สะดุดตา นำเสนอดา้ นทีข่ องตัวเราเอง หรือเขียน Resume ให้ ตรงกับความตอ้ งการของนายจา้ ง เอกสารเพือ่ ประกอบการสมคั รงาน เอกสารต่อไปนี้ เราควรจะ จดั เตรียม ทำสำเนา ไว้ใหเ้ รียบร้อย เผื่อว่า เจา้ หน้าที่ ฝ่ายทรพั ยากร บคุ คล อาจจะตอ้ งการ เพื่อประกอบการสมคั รงาน - สตู บิ ตั ร - สำเนาบตั รประชาชน - บตั รประกันสงั คม - สำเนาทะเบียนบ้าน - ประกาศนียบตั ร / ปรญิ ญา - ใบรับรองผลการศึกษา - รปู ถ่าย - บัตรประจำตัวผู้เสยี ภาษี (ถา้ มี) - สำเนาใบขบั ข่ี (ถ้าม)ี 10. ใบอนุญาตต่าง ๆ (ถา้ ม)ี - ใบผา่ นงาน (ถา้ ม)ี - บตั รวิชาชพี ต่าง ๆ (ถา้ ม)ี - เอกสารราชการทหาร (ถ้าม)ี - ทะเบียนสมรส (ถา้ มี) - ใบเปล่ยี นชอ่ื นามสกลุ (ถ้าม)ี - ทะเบยี นหย่า (ถ้าม)ี - ประกาศเกยี รติคุณ (ถา้ มี) - สูติบตั รบตุ ร (ถ้าม)ี - หนังสอื ชมเชย (ถ้าม)ี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook