45 การปกครองสมยั อยธุ ยา กรุงศรีอยุธยาปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์ทรง เป็ น พระประมุข ที่มีอานาจสู งสุ ดใน การปกครอง แผ่นดิน ทรงปกครองแผ่นดินด้วย ทศพิธราชธรรม พระองคท์ รง มอบหมายให้พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางปกครอง ดูแลเมือง ลูกหลวง หลานหลวง ต่างพระเนตรพระกรรณ ส่วนเมืองประเทศราชมีเจา้ นายใน ราชวงศ์เก่า ปกครองข้ึนตรงต่อเมืองราชธานี ศรีอยุธยา สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ (พ.ศ.๑๙๙๑-๒๐๓๑) ทรงปฏิรูปการปกครอง ลดทอนอานาจหัวเมือง ทรงแยกการบริหาร ราชการแผ่นดิน ออกเป็ น ๒ ฝ่ าย คือฝ่ ายทหารมีสมุหพระกลาโหม เป็นผรู้ ับผดิ ชอบ ฝ่ ายพลเรือนมีสมุหนายกเป็ นผรู้ ับผิดชอบ ในฝ่ ายพลเรือน น้ันยงั แบ่งออกเป็ น ๔ กรมหรือ จตุสดมภ์ คือ ส่ีเสาหลกั ได้แก่ กรมเวียงหรือ นครบาลทาหน้าท่ีปกครองดูแลบ้านเมือง กรมวงั หรือธรรมมาธิการณ์ ทาหน้าที่ดูแลกิจการ พระราชวงั กรมคลังหรือโกษาธิบดีทาหน้าที่ดูแลด้านการคา้ และการต่างประเทศ กรมนา หรือ เกษตราธิการทาหน้าที่ดูแลเร่ืองเกษตรกรรม ซ่ึ งรู ปแบบการปกครองน้ี ใช้สืบต่อมาตลอด สมยั อยุธยาการปกครองของกรุงศรีอยุธยาตลอดระยะเวลาแห่งการเป็ นราชธานีอนั ยาวนาน มีการ ปรับเปล่ียนรู ปแบบการปกครองแตกต่างกันแต่ละยุคแต่ละสมัย ซ่ึงสามารถแบ่งรู ปแบบ การปกครองไดเ้ ป็น 3 ช่วง คือ สมยั อยธุ ยาตอนตน้ สมยั อยธุ ยาตอนกลาง และสมยั อยธุ ยาตอนปลาย พระมหากษตั ริย์กรุงศรีอยธุ ยา มี 5 ราชวงศ์ คือ
46 รายพระนาม ลาดับ พระนาม พระราช เร่ิม สิ้นราชการ สวรรคต รวมปี สมภพ ครองราชย์ ครองราชย์ ราชวงศอ์ ทู่ อง (คร้ังท่ี 1) พ.ศ. 1855 พ.ศ. 1893 พ.ศ. 1912 20 ปี 1 สมเดจ็ พระรามาธิบดีที่ 1 พ.ศ. 1885 พ.ศ. 1912 ไมถ่ ึง 1 ปี พ.ศ. 1913 พ.ศ. 1913 พ.ศ. 1938 (พระเจา้ อทู่ อง) พ.ศ. 1853 พ.ศ. 1931 พ.ศ. 1931 18 ปี 2 สมเด็จพระราเมศวร พ.ศ. 1917 พ.ศ. 1938 พ.ศ. 1952 พ.ศ. 1931 7 วนั ราชวงศส์ ุพรรณภูมิ (คร้ังท่ี 1) พ.ศ. 1967 3 สมเดจ็ พระบรมราชาธิราชท่ี 1 พ.ศ. 1991 พ.ศ. 2031 (ขนุ หลวงพะงว่ั ) พ.ศ. 2034 พ.ศ. 2072 4 สมเด็จพระเจา้ ทองลนั พ.ศ. 2077 (เจา้ ทองจนั ทร์) ราชวงศอ์ ู่ทอง (คร้ังท่ี 2) พ.ศ. 1885 พ.ศ. 1938 7 ปี พ.ศ. 1899 15 ปี - สมเด็จพระราเมศวร พ.ศ. 1952 ไมป่ รากฏ 5 สมเดจ็ พระรามราชาธิราช พ.ศ. 1902 15 ปี พ.ศ. 1967 ราชวงศส์ ุพรรณภมู ิ (คร้ังท่ี 2) พ.ศ. 1929 พ.ศ. 1974 พ.ศ. 1991 24 ปี 6 สมเดจ็ พระอนิ ทราชา พ.ศ. 2005 พ.ศ. 2031 40 ปี (เจา้ นครอินทร์) พ.ศ. 2034 3 ปี พ.ศ. 2072 38 ปี 7 สมเดจ็ พระบรมราชาธิราชที่ 2 พ.ศ. 2076 4 ปี (เจา้ สามพระยา) พ.ศ. 2077 5 เดือน 12 ปี 8 สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ พ.ศ. 2089 9 สมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี 3 10 สมเดจ็ พระรามาธิบดีท่ี 2 พ.ศ. 2015 11 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 พ.ศ. 2040 (หน่อพทุ ธางกรู ) 12 พระรัษฎาธิราช พ.ศ. 2072 13 สมเดจ็ พระไชยราชาธิราช พ.ศ. 2045
47 ลาดบั พระนาม พระราช เริ่ม สิ้นราชการ สวรรคต รวมปี สมภพ ครองราชย์ ครองราชย์ 14 พระยอดฟ้า พ.ศ. 2091 2 ปี พ.ศ. 2078 พ.ศ. 2089 พ.ศ. 2091 42 วนั (พระแกว้ ฟ้า) (ไมไ่ ดร้ ับ พ.ศ. 2049 การยกยอ่ ง - ขนุ วรวงศาธิราช แตผ่ า่ นพระ ราชพิธีบรม 15 สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดิ พ.ศ. 2048 พ.ศ. 2091 พ.ศ. 2111 ราชาภิเษก) (พระเจา้ ชา้ งเผือก) 20 ปี 16 สมเด็จพระมหินทราธิราช พ.ศ. 2082 พ.ศ. 2111 7 สิงหาคม พ.ศ. 2112 1 ปี พ.ศ. 2133 21 ปี เสียกรุงคร้ังท่ี 1 15 ปี 25 เมษายน พ.ศ. 2148 ราชวงศส์ ุโขทยั 17 สมเดจ็ พระมหาธรรม พ.ศ. 2059 พ.ศ. 2112 ราชาธิราช (สมเด็จพระสรรเพชญท์ ี่ 1) 18 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พ.ศ. 2098 29 กรกฎาคม (สมเด็จพระสรรเพชญท์ ่ี 2) พ.ศ. 2133 19 สมเด็จพระเอกาทศรถ พ.ศ. 2104 25 เมษายนพ.ศ. พ.ศ. 2153 5 ปี (สมเดจ็ พระสรรเพชญท์ ี่ 3) 2148 20 พระศรีเสาวภาคย์ พ.ศ.2153 พ.ศ.2154 1ปี 2 เดือน (สมเดจ็ พระสรรเพชญท์ ี่ 4) 12 ธนั วาคม พ.ศ. 2171 17 ปี 21 สมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรม พ.ศ. 2125 พ.ศ. 2154 พ.ศ. 2173 1 ปี 8 เดือน (สมเด็จพระบรมราชาท่ี 1) สิ้นราชการพ.ศ. 2173 36 วนั 22 สมเดจ็ พระเชษฐาธิราช พ.ศ. 2156 พ.ศ. 2171 สวรรคต พ.ศ.2178 23 พระอาทิตยวงศ์ พ.ศ. 2161 พ.ศ. 2173
48 ลาดับ พระนาม พระราช เร่ิม สิ้นราชการ สวรรคต รวมปี สมภพ ครองราชย์ ครองราชย์ ราชวงศป์ ราสาททอง พ.ศ. 2143 พ.ศ. 2173 พ.ศ. 2199 25 ปี 24 สมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททอง (สมเด็จพระสรรเพชญท์ ี่ 5) 25 สมเดจ็ เจา้ ฟ้าไชย - พ.ศ. 2199 9 เดือน (สมเด็จพระสรรเพชญท์ ่ี 6) 26 สมเดจ็ พระศรีสุธรรมราชา - พ.ศ. 2199 พ.ศ. 2199 2 เดือน 17 พ.ศ. 2199 พ.ศ. 2231 วนั (พระสรรเพชญท์ ่ี 7) พ.ศ. 2231 พ.ศ. 2246 32 ปี พ.ศ. 2246 พ.ศ. 2251 15 ปี 27 สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ. 2175 พ.ศ. 2251 พ.ศ. 2275 (สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี 3) พ.ศ. 2275 พ.ศ. 2301 5 ปี ราชวงศบ์ า้ นพลูหลวง พ.ศ. 2175 24 ปี 26 ปี 28 สมเด็จพระเพทราชา 29 สมเด็จพระสรรเพชญท์ ่ี 8 (สมเด็จพระสุริเยนทราธิบดี) พ.ศ. 2204 (พระเจา้ เสือ) 30 สมเด็จพระสรรเพชญท์ ่ี 9 พ.ศ. 2221 (สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทา้ ยสระ) 31 สมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศ พ.ศ. 2223 32 สมเดจ็ พระเจา้ อทุ ุมพร พ.ศ. 2265 พ.ศ. 2301 พ.ศ. 2339 2 เดือน (ขนุ หลวงหาวดั ) 9 ปี 33 สมเดจ็ พระท่ีนงั่ สุริยาศนอ์ มั ริ พ.ศ. 2301 สิ้นครองราชย์ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 สวรรคต นทร์ พ.ศ. 2252 (พระเจา้ เอกทศั ) เสียกรุงคร้ังท่ี 2
49 3.4 อาณาจักรธนบุรี การสถาปนากรุงธนบุรีเป็ นราชธานี หลังจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสามารถกู้เอกราชคืนมาจากพม่าแล้ว สภาพ บา้ นเมืองของกรุงศรีอยธุ ยาทรุดโทรมมาก ไม่เหมาะสมท่ีจะใชเ้ ป็นเมืองหลวงอีกตอ่ ไป กรุงศรีอยธุ ยาถูกทาลายชารุดทรุดโทรมมาก ยากแก่การบูรณะใหด้ ีดงั เดิมได้ กรุงศรีอยธุ ยามีบริเวณกวา้ งขวางมาก เกินกวา่ กาลงั ของพระองคท์ ่ีมีอยู่ เพราะ ผูค้ นอาศยั อยู่ตามเมืองน้อย ส่วนมากหลบหนีพม่าไปอยู่ตามป่ า จึงยากแก่ การรักษาบา้ นเมืองไดส้ ะดวกและปลอดภยั ขา้ ศึกโดยเฉพาะพม่ารู้ลู่ทางภูมิประเทศและจุดอ่อนของกรุงศรีอยุธยาเป็ น อยา่ งดี ทาใหไ้ ทยเสียเปรียบในดา้ นการรบ ท่ีต้งั ของกรุงศรีอยธุ ยาเป็ นอนั ตรายท้งั ทางบกและทางน้า ขา้ ศึกสามารถโจมตี ไดส้ ะดวก กรุงศรีอยุธยาต้งั อยู่ห่างจากปากแม่น้ามากเกินไป ทาให้ไม่สะดวกในการ ติดตอ่ คา้ ขายกบั ต่างประเทศ สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราช จึงทรงตดั สินใจเลือกเอากรุงธนบุรีเป็นราชธานีดว้ ยสาเหตุ สาคญั ตอ่ ไปน้ี
50 กรุงธนบุรีเป็นเมืองขนาดเลก็ เหมาะสมกบั กาลงั ป้องกนั ท้งั ทางบกและทางน้า กรุงธนบุรีต้งั อยปู่ ากแม่น้าเจา้ พระยา สะดวกในการติดต่อคา้ ขายกบั ตา่ งประเทศ สะดวกในการควบคุมการลาเลียงอาวุธและเสบียงต่างๆ ไปตามหัวเมืองหรือ จากหวั เมืองเขา้ มาช่วย เม่ือเกิดศึกสงคราม ถา้ หากขา้ ศึกยกกาลงั มามากเกินกว่ากาลงั ของทางกรุงธนบุรีจะตา้ นทานได้ ก็สามารถยา้ ยไปต้งั มน่ั ท่ีจนั ทบุรีได้ โดยอาศยั ทางเรือไดอ้ ยา่ งปลอดภยั กรุ งธนบุรี มีป้ อมปราการอยู่ท้ังสองฟากแม่น้ า ท่ีสร้างไว้ต้ังแต่สมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราชหลงเหลืออยู่ สามารถใชใ้ นการป้องกนั ขา้ ศึกได้ บา้ งที่จะเขา้ มารุกรานโดยยกกาลงั มาทางเรือ คือ ป้อมวไิ ชยประสิทธ์ิ และป้อม วไิ ชเยนทร์ การกอบกู้อสิ รภาพ พระเจา้ ตากใชเ้ มืองจนั ทบุรีเป็ นแหล่งตระเตรียมการที่จะเขา้ มากอบกูก้ รุงศรีอยธุ ยาให้พน้ จากอานาจของพม่า ระหว่างฤดูฝน ไดต้ ่อเรือรวบรวมกาลงั ผูค้ นและอาวุธ พระเจา้ ตากพิจารณา วา่ ในระยะน้นั มีผูค้ นต้งั ตวั เป็ นใหญ่หลายชุมนุมดว้ ย ผูท้ ่ีจะเป็ นใหญ่ไดจ้ าเป็ นจะตอ้ งกาจดั อานาจ พม่าใหพ้ น้ จากราชธานีเสียก่อน ดงั น้นั เม่ือสิ้นฤดูฝนพระเจา้ ตากไดค้ วบคุมเรือรบ 100 ลา รวบรวม ไพร่พล ประมาณ 5,000 คน ยกกองทพั เรือออกจากเมืองจนั ทบุรีมาถึงปากแม่น้าเจา้ พระยาในเดือน 12 ตีเมืองธนบุรีและจบั ตวั นายทองอินประหารชีวิตแล้วข้ึนไปยงั ค่ายโพธ์ิสามตน้ สามารถขบั ไล่ พม่าออกไปจากกรุงศรีอยุธยาไดเ้ ป็ นผลสาเร็จ หลงั จากที่ไทยตกเป็ นเมืองข้ึนของพม่าเพียง 7 เดือน เท่าน้นั สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชสามารถกูเ้ อกราชและรวบรวมคนไทย ต้งั เป็ นอาณาจกั ร ไทยใหเ้ ป็นปึ กแผน่ ได้ เป็นเพราะ 1. พระปรีชาสามารถในการรบของพระองค์ 2. พระปรีชาสามารถในการผกู มดั น้าใจคน จูงใจผอู้ ่ืน ทรงมีความสุขมุ รอบคอบ และเด็ดเดี่ยว 3. ทหารของพระองคม์ ีความสามารถ มีระเบียบวินยั กลา้ หาญ มีความเป็ นน้าหน่ึงใจเดียวกนั ในอนั ท่ีจะสร้างความมนั่ คง และความปลอดภยั ให้ประเทศโดยอุทิศตวั เพ่ือประเทศชาติ อยา่ งแทจ้ ริง เมื่อต้งั กรุงธนบุรีเป็นราชธานี อาณาจกั รของสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช มีอาณาเขตเพียง กรุงธนบุรี หัวเมืองรายรอบและหวั เมืองชายทะเลตะวนั ออกเท่าน้ัน คร้ังเม่ือพระองคป์ ราบปราม ชุมนุมต่างๆเป็ นผลสาเร็จแลว้ อาณาจกั รของพระองคก์ ็กวา้ งขวางข้ึน การรวบรวมอาณาเขตภายใน ราชอาณาจกั รของพระองค์ ใชเ้ วลาเพียง 3 ปี เทา่ น้นั บา้ นเมืองกก็ ลบั สู่สภาพปกติอีกคร้ัง
51 การขยายอาณาเขต ด้านการปกครอง ดาเนินรอยตามแบบแผนของสมยั อยธุ ยาตอนปลาย โดยแบง่ การปกครองออกเป็น 1. การปกครองส่วนกลางหรือราชธานี อยใู่ นความรับผดิ ชอบของอคั รมหาเสนนาบดี ท้งั 2 ตาแหน่ง คือ สมุหกลาโหม ดูแลฝ่ ายทหาร และสมุหนายก ดูแลฝ่ ายพลเรือน กบั ตาแหน่ง เสนาบดีจตุสดมภอ์ ีก 4 ตาแหน่ง คือ กรมเวยี ง กรมวงั กรมคลงั กรมนา กรมท้งั 4 น้ี มีหนา้ ท่ี คือ กรมเวยี ง มีหนา้ ที่ปกครองทอ้ งที่ บงั คบั บญั ชาบา้ นเมือง และรักษาความ สงบเรียบร้อยของบา้ นเมือง กรมวงั มีหนา้ ที่เก่ียวกบั ราชสานกั และพิจารณาพพิ ากษาคดีความของ ราษฎร
52 กรมคลงั มีหนา้ ท่ีรับจ่ายและเกบ็ รักษาพระราชทรัพยท์ ี่ไดม้ าจากส่วยอากร บงั คบั บญั ชากรมทา่ ซ่ึงเกี่ยวขอ้ งกบั การติดตอ่ คา้ ขายกบั ต่างประเทศ และมี หนา้ ท่ีเก่ียวกบั พระคลงั สินคา้ การคา้ สาเภาของหลวง กรมนา มีหน้าที่ดูแลการทานา เก็บข้าวข้ึนฉางหลวง และพิจารณาคดี ความเก่ียวกบั เร่ืองโค กระบือและที่นา คาวา่ “กรม” ในท่ีน้ีหมายความ คลา้ ยกบั “กระทรวง”ในปัจจุบนั 2.การปกครองส่วนภูมภิ าค แบง่ ออกเป็น การปกครองหัวเมืองช้ันใน ท่ีอยรู่ ายรอบราชธานี เรียกวา่ เมืองช้ันจัตวา มีผปู้ กครองเรียกวา่ “ผรู้ ้ัง” ปฏิบตั ิตามคาสัง่ ของเสนาบดีจตุสดมภใ์ น ราชธานี การปกครองหัวเมืองภายในราชอาณาจักร เรียกวา่ หัวเมืองช้ันนอก หรือ เมืองพระยามหานคร เป็นเมืองท่ีอยนู่ อกเขตราชธานีออกไป แบ่งออกเป็ น เมืองช้นั เอก โท ตรี การปกครองหวั เมืองประเทศราช ที่อยหู่ ่างไกลออกไปถึงชายแดน มีอาณาเขตติดต่อกบั ประเทศอ่ืน ตอ้ งส่งเครื่องราชบรรณาการมาใหต้ าม กาหนด ไดแ้ ก่ กมั พชู า ลาว เชียงใหม่ และนครศรีธรรมราช ด้านกฎหมายและการศาล กฎหมายและวธิ ีพิจารณาคดีความในศาลสมยั ธนบุรี ใชต้ ามแบบสมยั อยธุ ยาเทา่ ท่ีมี หลกั ฐานปรากฏอยมู่ ีเพยี งฉบบั เดียว เก่ียวกบั การสักเลก คือ การลงทะเบียนชายฉกรรจเ์ พือ่ รับใชใ้ น ราชการ เรียกวา่ ไพร่หลวง การสักเลกในสมยั น้นั สาคญั มาก เพราะเป็นระยะเวลาของการป้องกนั และแผอ่ านาจ เพอื่ ใหป้ ระเทศชาติมน่ั คง ส่วนการศาลมกั ใชบ้ า้ นของเจา้ นาย บา้ นของตุลาการ บางคร้ัง สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชกท็ รงเป็นผพู้ พิ ากษาคดีเอง และทรงใชศ้ าลทหารและพระบรม ราชโองการเป็นกฎหมายใชใ้ นการตดั สินคดีความดว้ ย ด้านเศรษฐกจิ หลงั จากเสียกรุงศรีอยธุ ยาแก่พม่าแลว้ สภาพเศรษฐกิจของไทยตกต่ามากประชาชนยากจน อตั คดั ฝืดเคือง อาหารหายากและราคาแพง เน่ืองจากในขณะท่ีเกิดศึกสงครามผคู้ นต่างพากนั หนีเอา
53 ตวั รอด การทาไร่ทานาตอ้ งหยดุ ชะงกั ลง สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราชทรงแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ ในระยะที่ต้งั กรุงธนบุรีใหม่ๆ ดว้ ยการจ่ายพระราชทรัพยซ์ ้ือขา้ วจากพ่อคา้ ต่างประเทศในราคาสูง เพ่ือแจกจ่ายประชาชน และชกั ชวนให้ราษฎรกลบั มาต้งั ภูมิลาเนาอยู่ตามเมืองต่างๆ ทามาหากิน ดงั แต่ก่อน นอกจากน้นั สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช ยงั ส่งเสริมทางดา้ นการคา้ ขาย มีการส่งเรือ สาเภาไปคา้ ขายยงั ประเทศ อินเดียและประเทศใกลเ้ คียง สาหรับสิ่งของที่บรรทุกเรือสาเภาหลวงไป ขาย เช่น ดีบุก พริกไทย คร่ัง ข้ีผ้ึง ไม้หอม ฯลฯ และเมื่อขายสินค้าหมดแล้วก็จะซ้ือสินค้า ตา่ งประเทศท่ีตอ้ งการใชใ้ นประเทศ เช่น ผา้ ลายและถว้ ยชามมาขายใหแ้ ก่ประชาชนอีกต่อหน่ึง ซ่ึง การคา้ ขายน้ีเป็ นแบบเดียวกบั สมยั อยุธยา คือ อยู่ภายใตก้ ารดูแลของพระคลงั สินคา้ หรือกรมท่า มีการส่งเสริมใหร้ าษฎรทาการเพาะปลูก ทาใหเ้ ศรษฐกิจของประเทศค่อย ๆ ดีข้ึนตามลาดบั ด้านสังคม สงั คมไทยสมยั กรุงธนบุรีมีการควบคุมอยา่ งเขม้ งวด เพ่ือเตรียมพร้อมอยูเ่ สมอ เพราะมีการ ทาศึกกบั พม่าบ่อยคร้ัง มีการสักเลกบอกชื่อสังกดั มูลนายและเมืองไวท้ ี่ขอ้ มือไพร่หลวงทุกคน ซ่ึงมี หนา้ ท่ีรับใชร้ าชการปี ละ 6 เดือน โดยการมารับราชการ 1 เดือน แลว้ หยดุ ไปทามาหากินของตนอีก 1 เดือนสลบั กนั ไป เรียกวา่ “การเขา้ เดือน ออกเดือน” ไพร่หลวงอีกพวกหน่ึง เรียกวา่ “ไพร่ส่วย” คือ ไพร่หลวงท่ีส่งส่ิงของแทนการใชแ้ รงงานแก่ราชการ ซ่ึงเป็ นพวกที่รับใชแ้ ต่เฉพาะเจา้ นายที่เป็ นขนุ นาง ด้านการศึกษา ศูนยก์ ลางการศึกษาในสมยั ธนบุรีอยูท่ ่ีวดั เด็กผูช้ ายเม่ือมีอายุพอสมควร พ่อแม่มกั เอาไป ฝากกบั พระ เมื่อมีเวลาวา่ งพระก็จะสอนให้อ่านเขียน หนงั สือแบบเรียนที่ใช้คือหนงั สือจินดามณี เม่ืออ่านออกเขียนได้แล้ว ก็เรียนแต่งร้อยแก้ว โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ศึกษาศพั ท์ เขมร บาลี สันสกฤต วชิ าเลข เรียนมาตราไทย ชง่ั ตวง วดั มาตราเงินไทย คิดหนา้ ไม้ (วธิ ีการคานวณหาจานวน เน้ือไมเ้ ป็ นยก หรือเป็ นลูกบาศก์) การศึกษาด้านอาชีพ พ่อแม่มีอาชีพอะไรก็มกั ฝึ กให้ลูกหลาน มีอาชีพตามตนเอง โดยฝึ กฝนตกทอดกนั มาหลายช่ัวอายุคน เช่น วิชาช่างและแกะสลกั ช่างป้ัน ช่างถม แพทยแ์ ผนโบราณ ฯลฯ ส่วนสตรี ประเพณีโบราณไม่นิยมใหเ้ รียนหนงั สือ มีนอ้ ยคนที่อ่านออกเขียนได้ เดก็ ผหู้ ญิงส่วนมากจะถูกฝึกสอนใหด้ า้ นการเยบ็ ปักถกั ร้อย ทากบั ขา้ ว การจดั บา้ นเรือน และมารยาท ของกุลสตรี
54 ด้านศาสนา เม่ือคร้ังเสียกรุงศรีอยธุ ยาคร้ังที่ 2 สิ่งสาคญั ต่างๆ ในพระพุทธศาสนาถูกทาลายเสียหายมาก หลงั จากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงยา้ ยเมืองหลวงมายงั กรุงธนบุรี พระองค์ได้ฟ้ื นฟู ศาสนาข้ึนใหม่โดยชาระความบริสุทธ์ิของพระสงฆ์ พระสงฆ์รูปใดท่ีประพฤติไม่อยูใ่ นพระวินัย ก็ให้สึกออกไปเสีย พระสงฆ์รูปใดประพฤติอยู่ในพระวินัยทรงอาราธนาให้บวชเรียนต่อไป นอกจากน้ี พระองค์ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการสร้างพระอุโบสถ วิหาร เสนาสนะ กุฏิสงฆ์และวดั วาอารามต่าง ๆ เช่น วดั บางยี่เรือเหนือ (วดั ราชคฤห์) วดั บางย่ีเรือใต้ (วดั อินทาราม) วดั บางหวา้ ใหญ่ (วดั ระฆงั โฆษิตาราม) วดั แจ้ง (วดั อรุณราชวราราม) วดั หงส์ (วดั หงส์รัตนาราม) เป็นตน้ นอกจากน้ีเมื่อพระองค์ทราบวา่ พระไตรปิ ฎกมีอยู่ท่ีใด ก็ทรงให้นามาคดั ลอกเป็ นฉบบั หลวงไวท้ ี่กรุงธนบุรี แล้วส่งต้นฉบบั กลบั ไปเก็บไวท้ ี่เดิม ทรงให้ช่างจารพระไตรปิ ฎกท้ังจบ ที่สาคญั ท่ีสุดทรงใหอ้ ญั เชิญพระแกว้ มรกต มาประดิษฐานที่วดั อรุณราชวราราม ด้านศิลปะและวรรณกรรม สมยั กรุงธนบุรีดา้ นศิลปะมีไม่ค่อยมากนกั เพราะบา้ นเมืองอยใู่ นภาวะสงคราม ถึงกระน้นั พระองคก์ ็ทรงให้มีการละเล่น เพ่ือเป็ นการบารุงขวญั ประชาชน ให้หายจากความหวาดกลวั และลืม ความทุกข์ยาก มีขบวนแห่อญั เชิญและสมโภชพระแก้วมรกตเป็ นเวลา 7 วนั การประชันละคร ระหวา่ งละครผหู้ ญิงของเจา้ นครศรีธรรมราช และละครหลวง ผลงานทางด้านวรรณกรรมในสมัยน้ัน มีน้อยและไม่สู้สมบูรณ์นัก วรรณกรรมที่มี ชื่อเสียง ไดแ้ ก่ บทพระราชนิพนธ์เร่ือง รามเกยี รต์ิบางตอน หลวงสรวชิ ิต (หน) ประพนั ธ์ลิลิตเพชร มงกุฏและอิเหนาคาฉนั ท์ นายสวนมหาดเลก็ ประพนั ธ์โคลงยอพระเกียรติพระเจา้ กรุงธนบุรี การไป ติดต่อกบั จีนในปลายรัชสมยั ทาใหม้ ีวรรณกรรมเกิดข้ึนอีกเร่ืองหน่ึง คือ นิราศพระยามหานุภาพไป เมืองจีน หรือนิราศเมืองกวางตุง้ การติดต่อกบั ประเทศตะวนั ตก 1. ฮอลนั ดา ใน พ.ศ. 2313 ฮอลนั ดาจากเมืองปัตตาเวยี (จาการ์ตา) ซ่ึงเป็นสถานีการคา้ ของฮอลนั ดา และแขกเมืองตรังกานูไดเ้ ขา้ เฝ้าสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช เพ่ือถวายปื นคาบศิลา จานวน 2,200 กระบอก และถวายตน้ ไมเ้ งินตน้ ไมท้ องดว้ ย
55 2. องั กฤษ ใน พ.ศ.2319 กปั ตนั ฟรานซิส ไลท์ ไดน้ าปื นนกสับ จานวน 1,400 กระบอก และสิ่งของอ่ืนๆ เขา้ มาถวายเพอื่ เป็นการสร้างสัมพนั ธไมตรี 3. โปรตุเกส ใน พ.ศ. 2322 แขกมวั ร์จากเมืองสุรัต ซ่ึงเป็นเมืองข้ึนของโปรตุเกส นา สินคา้ เขา้ มาคา้ ขายในกรุงธนบุรี และไทยไดส้ ่งสาเภาหลวงไปคา้ ขายยงั ประเทศอินเดีย เหตุการณ์ตอนปลายสมยั ธนบุรี ในสมัยรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์ทรงตรากตราในการสู้รบ เพ่ือรักษาและขยายขอบเขตแผน่ ดินโดยมิไดว้ า่ งเวน้ จนสามารถขยายเป็ นอาณาจกั รใหญ่ในแหลม ทองน้ีได้ พระองคท์ รงเป็ นนกั รบ มิไดท้ รงมีโอกาสแมแ้ ต่จะเสวยสุขสงบในบ้นั ปลายพระชนมช์ ีพ เพราะได้เกิดกบฏพระยาสรรค์ข้ึนก่อน บ้านเมืองวุ่นวาย ดังที่กรมหลวงนรินทรเทวีบนั ทึกไว้ ในจดหมายเหตุความทรงจาของท่านวา่ “เมื่อต้นแผ่นดินเยน็ ด้วยพระบารมชี ุ่มพืน้ ช่ืนผลจนมแี ท่น ปลายแผ่นดินแสนร้อนรุมสุมรากโคนโค่นล้มถมแผ่นดิน ด้วยสิ้นพระบารมแี ต่เพยี งน้นั ” 3.5 อาณาจักรรัตนโกสินทร์ การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เม่ือคร้ังยงั ดารงพระยศเป็ น สมเด็จ เจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึกภายหลงั ท่ีไดท้ รงเลิกทพั กลบั จากกรุงกมั พูชาเพราะในกรุงธนบุรีเกิดการ จลาจลเมื่อถึงกรุงธนบุรีบรรดาขุนนางนอ้ ยใหญ่ท้งั หลายก็พากนั อ่อนนอ้ มยอมสวามิภกั ด์ิ เรียกร้อง ใหแ้ กไ้ ขวกิ ฤติการณ์ พร้อมกนั น้นั กพ็ ากนั อนั เชิญให้พระองคเ์ สด็จข้ึนครองราชยส์ มบตั ิเป็ นพระเจา้ แผ่นดินไทยสืบต่อไป เม่ือวนั ที่ 6 เมษายน พ.ศ.2325 รัชกาลท่ี 1 แห่งราชวงศ์จกั รี (นับเป็ นวนั เริ่มตน้ แห่งราชวงศจ์ กั รี ทางราชการจึงกาหนดใหว้ นั ที่ 6 เมษายน ของทุกปี เป็ นวนั จกั รี เพ่ือระลึก ถึงวนั แห่งการสถาปนาราชวงศจ์ กั รี)
56 ผงั เมืองกรุงเทพมหานครฯ https://kittayaporn29.wordpress.com ภายหลงั เมื่อเหตุการณ์เขา้ สู่ภาวะปกติแล้ว รัชกาลที่ 1 ทรงเห็นว่าก่อนจะประกอบพิธี ปราบดาภิเษกเป็ นกษตั ริย์เห็นว่าควรจะยา้ ยราชธานีไปอยู่ฟากตะวนั ออกของแม่น้าเจ้าพระยา เสี ยก่อน โดยบริ เวณที่ทรงเลือกท่ีจะสร้างพระราชวังน้ัน เคยเป็ นสถานีการค้าขายกับ ชาวต่างประเทศในแผน่ ดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีนามเดิมวา่ “บางกอก” ซ่ึงในขณะน้นั เป็ น ที่อยูอ่ าศยั ของชาวจีนเม่ือไดท้ รงชดเชยค่าเสียหายให้พอสมควรแลว้ ทรงให้ชาวจีนยา้ ยไปอยู่ตาบล สาเพ็ง แล้วโปรดเกล้าฯให้สร้างร้ัวไม้แทน กาแพงข้ึนและสร้างพลับพลาไม้ข้ึนช่ัวคราว ดว้ ยพระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงมีพระราชวนิ ิจฉยั วา่ กรุงธนบุรีไม่เหมาะ ที่จะเป็นราชธานีสืบไป ดว้ ยสาเหตุหลายประการ คือ 1. พระราชวงั ภายในกรุงธนบุรีคบั แคบไมส่ ามารถขยายเขตพระราชวงั ใหก้ วา้ งขวางออกไป ได้ เพราะมีวดั ขนาบ อยู่ 2 ดา้ น คือวดั แจง้ หรือวดั อรุณราชวรารามและวดั ทา้ ยตลาดหรือวดั โมลี โลกยาราม 2. กรุงธนบุรีแตเ่ ดิมน้นั มีอาณาเขตขา้ มมาถึงฝั่งตะวนั ออก ติดฟากจงั หวดั พระนครบดั น้ีดว้ ย มีแม่น้าเจา้ พระยาผา่ นกลาง มีลกั ษณะเป็นเมืองอกแตก แบบเมืองพิษณุโลก ซ่ึงพระองคป์ ระทบั สู่ พม่ามาแลว้ ทรงเห็นวา่ การที่มีแมน่ ้า อยกู่ ลางเมืองน้นั ไมส่ ะดวกแก่การต่อสู้ขา้ ศึก ยงิ่ แม่น้า เจา้ พระยา เป็นแม่น้ากวา้ งดว้ ยแลว้ ความไมส่ ะดวกน้นั ยอ่ มทวขี ้ึน หลายเท่า เพราะทาสะพานขา้ ม
57 ไม่ได้ แม่น้าลึก คลื่นมาก แมจ้ ะมีเรือขา้ มก็ขา้ มไม่สะดวก เวลามีขา้ ศึกมาลอ้ ม พระนคร จะส่งทหาร ถ่ายเทกนั ไปช่วยคนละฟากแม่น้าเป็นการยาก 3. ถา้ หากยา้ ยพระนครมาต้งั ฝ่ังตะวนั ออกฝั่งเดียว จะไดอ้ าศยั แม่น้าเจา้ พระยาเป็นคูพระนคร 2 ดา้ นเพราะที่ตรงน้ีเป็นแหลม ยนื่ ออกไป คงทาคูเมืองอีก 2 ดา้ นเท่าน้นั ยอ่ มเป็ นการสะดวกแก่ การป้องกนั พระนครมาก 4. ที่ต้งั พระราชวงั เดิม (กรมอู่ทหารเรือในปัจจุบนั ) เป็ นทอ้ งคุง้ น้าเซาะตลิ่งพงั ลงเร่ือย ไมเ่ หมาะแก่การจะสร้างพระราชวงั ใหเ้ ป็นการถาวรได้ 5. กรุงธนบุรีเป็ นเมืองที่มีการสร้างป้อมปราการเอาไวท้ ้งั สองฝ่ังแม่น้า โดยเอาแม่น้าผ่า กลาง (เรียกวา่ เมืองอกแตก) เหมือนเมืองพิษณุโลก เมื่อเวลาถูกขา้ ศึกมาต้งั ประชิดแต่การรักษาเมือง คนข้างในจะถ่ายเทกาลังเข้ารบพุ่งรักษาหน้าท่ีได้ไม่ทันท่วงทีเพราะต้องขา้ มแม่น้า แต่แม่น้า เจา้ พระยาท้งั กวา้ งและลึกจะทาสะพานขา้ มก็ไม่ได้ ทาให้ยากแก่การรักษาพระนครเวลาขา้ ศึกบุก เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้เสด็จข้ึนครองราชยแ์ ล้วใน วนั ที่ 21 เมษายน 2325 ได้ยา้ ยราชธานีจากกรุงธนบุรีมาอยูท่ างฝั่งตะวนั ออกของแม่น้าเจา้ พระยา และต้งั ช่ือเมืองแห่งใหม่น้ีว่า “กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตน์ ราชธานีบุรีรมยอ์ ุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตาลสถิต สักกะทตั ติยวิษณุกรรม ประสิทธ์ิ” หรือท่ีคนยคุ ปัจจุบนั นิยมเรียกวา่ “กรุงรัตนโกสินทร์” ดว้ ยทรงวนิ ิจฉยั วา่ บริเวณที่ต้งั ราช ธานีใหม่ มีความเหมาะสมหลายประการ ดงั น้ี 1.ทางฝ่ังกรุงเทพฯเป็นท่ีชยั ภูมิเหมาะสมเพราะเป็นหวั แหลมถา้ สร้างเมืองแต่เพียงฟากเดียว จะไดแ้ มน่ ้าใหญ่เป็นคูเมืองท้งั ดา้ นตะวนั ตกและดา้ นใต้ เพียงแตข่ ดุ คลองเป็นคูเมืองแต่ดา้ นเหนือ และดา้ นตะวนั ออกเท่าน้นั ถึงแมว้ า่ ขา้ ศึกจะเขา้ มาโจมตีก็พอตอ่ สู้ได้ 2.เน่ืองดว้ ยทางฝั่งตะวนั ออกน้ี พ้นื ที่นอกคูเมืองเดิมเป็ นพ้ืนท่ีลุ่มท่ีเกิดจาก การต้ืนเขินของ ทะเล ขา้ ศึกจะยกทพั มาทางน้ีคงทาไดย้ าก ฉะน้นั การป้องกนั พระนครจะไดม้ ุ่งป้องกนั ฝ่ังตะวนั ตก แตเ่ พียงดา้ นเดียว 3. ฝ่ังตะวนั ออกเป็ นพ้นื ที่ใหม่ สนั นิษฐานวา่ ชุมชนใหญใ่ นขณะน้นั คงจะมีแตช่ าวจีนท่ีเกาะ กลุ่มกนั อยจู่ ึงสามารถขยายออกไปไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวาง และขยายเมืองไดเ้ ร่ือย ๆ พระองคท์ รงสร้างพระบรมราชวงั ใหมต่ ามแบบอยา่ งการสร้างราชวงั เดิมในสมยั อยธุ ยา โดยประกอบดว้ ย วงั หลวง วงั หนา้ และวดั พระศรีศาสดารามหรือวดั พระแกว้ ซ่ึงเป็ นวดั ในพระบรม
58 ราชวงั เช่นเดียวกบั วดั พระศรีสรรเพชญใ์ นสมยั อยธุ ยา แลว้ ใหอ้ ญั เชิญพระแกว้ มรกตจากวดั อรุณ ราชวรารามมาประดิษฐานที่วดั น้ีและพระราชทานนามใหม่วา่ “พระพทุ ธมหามณีรัตนปฎิมากร” เป็นพระพุทธรูปคู่บา้ นคู่เมืองของประเทศไทยจนทุกวนั น้ี นอกจากน้นั ยงั มีทุ่งพระเมรุ (สนามหลวง) และสถานท่ีสาคญั อื่น ๆ โดยอาณาบริเวณต้งั แตร่ ิมฝ่ังแม่น้าเจา้ พระยาจนถึงคูเมืองเดิม ในสมยั ธนบุรี (ปัจจุบนั คือคลองหลอด) และพระองคย์ งั ทรงโปรดเกลา้ ฯ ใหข้ ดุ คลองเชื่อมในเขต พระนคร คือ คลองบางลาพู คลองโอ่งอ่าง และโปรดใหข้ ดุ คลองเช่ือมคูเมืองเก่ากบั คูเมืองใหม่ และสร้างกาแพงเมือง ประตูเมือง และป้อมปราการข้ึนตามแนวคลองรอบกรุง ท้งั ยงั โปรดใหส้ ร้าง ถนน สะพาน และสถานที่อื่นๆ อีกมากมายหลงั จากน้นั ในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2325 ขณะที่พระองค์ ทรงมีพระชนมายไุ ด้ 45 พรรษา ไดท้ รงประกอบพิธีปราบดาภิเษกข้ึนเป็ นปฐมกษตั ริยแ์ ห่งราชวงศ์ จกั รี ทรงพระนามวา่ “พระบาทสมเดจ็ พระบรมราชาธิราชรามาธิบดีฯ” แต่ในสมยั ปัจจุบนั ผคู้ นนิยม เรียกพระนามวา่ “พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” และทรงสถาปนา ตาแหน่งวงั หนา้ (กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล) และตาแหน่งวงั หลงั (กรมพระราชวงั บวรสถาน พมิ ุข) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงไดร้ ับอญั เชิญข้ึนครองราชยใ์ น วนั ที่ 6 เมษายน พ.ศ.2325 แต่ในขณะน้นั ยงั ไมไ่ ดส้ ร้างพระราชวงั ใหม่ จึงทรงประทบั ในพระราชวงั เดิมไปก่อน ต่อมาเม่ือก่อสร้างพระบรมมหาราชวงั และราชธานีแห่งใหม่ทางฝ่ังตะวนั ออก ของแม่น้าเจา้ พระยาเสร็จในปี พ.ศ.2328 ก็โปรดฯใหม้ ีการสมโภชน์พระนคร และกระทาพธิ ีปราบดาภิเษกข้ึนเป็นพระมหากษตั ริยอ์ ีกคร้ัง พระพุทธมหามณีรัตนปฎิมากร ทม่ี า http://suvarnabhumiairport.com/th/popular-destinations/
59 6.พระมหากษตั ริย์แห่งราชวงศ์จักรี กรุงรัตนโกสินทร์ สงบร่มเยน็ อยภู่ ายใตพ้ ระบรมโพธิสมภารของพระมหากษตั ริยแ์ ห่ง ราชวงศจ์ กั รีมานานกวา่ 230 ปี นบั ต้งั แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ทรงสถาปนาราชวงศแ์ ละข้ึนครองราชยเ์ ม่ือปี พ.ศ. 2325 จวบจนบดั น้ี มีพระมหากษตั ริย์ แห่งราชวงศจ์ กั รีแลว้ ท้งั สิ้น 10 รัชกาล รัชกาลท่ี 1 พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ข้ึนครองราชย์ พ.ศ. 2325 – พ.ศ. 2352) รัชกาลที่ 1 ทรงประสูติเมื่อวนั ที่ 20 มีนาคม พ.ศ.2279 พระราชบิดาทรงพระนาม ที่มา https://minnytawny.wordpress.com/ วา่ ออกอกั ษรสุนทรศาสตร์ พระราชมารดาทรงพระนามวา่ ดาวเรือง มีบุตรและ ธิดารวมท้งั หมด 5 คน - ดา้ นการเมืองการปกครอง สถาปนากรุงเทพมหานครเป็ นราชธานี ได้ ทรงชาระกฎหมาย เรียกวา่ กฎหมายตรา 3 ดวง เสียดินแดนเกาะหมาก (ปี นงั ) ใหก้ บั ประเทศองั กฤษเสียดินแดนมะริด ทวาย ตะนาวศรี ใหก้ บั พมา่ - ดา้ นเศรษฐกิจ การคา้ ขายกบั ต่างประเทศ ผลประโยชนข์ องประเทศ ไทยท่ีไดร้ ับ ขณะน้นั ไดจ้ ากภาษีอากร เช่น อากรสุรา อากรบ่อนเบ้ีย อากรนอนตลาด ภาษีค่าน้า เก็บตามเคร่ืองมือ - ดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม ฟ้ื นฟพู ระราชประเพณี เช่น พระราชพิธี บรมราชาภิเษก
60 รัชกาลท่ี 2 พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหล้านภาลยั ( ข้ึนครองราชย์ พ.ศ. 2352 – พ.ศ. 2367) ทรงประสูติเม่ือ 24 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2310 ตรงกบั วนั พธุ ข้ึน 7 ค่า เดือน 3 ปี กนุ รัชกาลท่ี 2 มีพระนามเดิมวา่ “ฉิม” พระองคท์ รงเป็ นพระบรมราชโอรสองคท์ ่ี 4 ในพระบาทสมเดจ็ ท่ีมา https://minnytawny.wordpress.com/ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและกรมสมเดจ็ พระอมรินทรามาตยพ์ ระบรมราชชนนี พนั ปี หลวง - ดา้ นการเมืองการปกครอง เจริญสมั พนั ธไมตรีกบั โปรตุเกส องั กฤษ และจีน เสียดินแดนบนั ทายมาศ (ฮาเตียน) ใหก้ บั ฝรั่งเศส - ดา้ นเศรษฐกิจ หา้ มคา้ ฝิ่น มีการต้งั โรงงานผลิตน้าตาลทราย มีการคา้ สาเภาหลวงไปท่ีเมืองท่าต่างๆของจีนและเมืองมาเก๊า - ดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม (ทรงพระปรีชาทางดา้ นวรรณกรรม ) ขยาย พระบรมมหาราชวงั ร้ือฟ้ื นประเพณีเก่า เช่นประเพณีวนั วสิ าขบูชา ฯลฯ การใชธ้ งชา้ ง พระราชนิพนธล์ ะครนอก ละครใน สงั คายนาบทสวดมนต์ สถาปนาพระสงั ฆราช - รัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (ข้ึนครองราชย์ พ.ศ. 2367 – พ.ศ. 2394) รัชกาลท่ี3 พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเป็ นพระมหากษตั ริยไ์ ทยองคท์ ่ี 3 แห่งราชวงศจ์ กั รี เป็ นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั และ ท่ีมา https://minnytawny.wordpress.com/ สมเดจ็ พระศรีสุราลยั ( เจา้ จอมมารดาเรียม ) ประสูติ ณ วนั จนั ทร์ เดือน 4 แรม 10 ค่า ปี มะแม ตรงกบั วนั ที่ 31 มีนาคม พทุ ธศกั ราช 2330 มีพระนามเดิมวา่ “พระองคช์ ายทบั ” - ดา้ นการเมืองการปกครอง เกิดสงครามระหวา่ งไทย-เวยี งจนั ทน์ สงครามกบั ญวนยกหมบู่ า้ นและตาบลเป็นเมอื ง เช่นหนองคาย ฯลฯ เจริญสมั พนั ธไมตรีกบั ตา่ งชาติ ราชทูตไปเมืองจีน สนธิสญั ญาเบอร์นีย์ เสียดินแดนแสนหวี เมืองพง เชียงตงุ ใหก้ บั พม่า เสียรัฐเปรคั ใหก้ บั องั กฤษ - ดา้ นเศรษฐกิจ (ทรงพระปรีชาทางดา้ นการคา้ ถูกขนานนามวา่ เจา้ สวั ) มีการ คา้ ขายเรือสาเภา มีความเจริญมงั่ คงั่ ขดุ คลองบางขนุ เทียน เพอ่ื พฒั นาดา้ น คมนาคม เกบ็ ภาษี อากรแบบใหม่ - ดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม สร้างและซ่อมพระบรมมหาราชวงั ปฏิสงั ขรณ์และสร้างพระอารามตา่ ง ๆ มิชชนั นารีเขา้ มาเผยแผศ่ าสนา คริสตน์ ิกายโปรแตสแตนท์ หมอบรัดเลยอ์ อกหนงั สือพิมพเ์ ป็นคร้ังแรก
61 รัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว ( ข้ึนครองราชย์ พ.ศ. 2393 - พ.ศ. 2411) พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เป็ นพระราชโอรส ในพระบาทสมเดจ็ พระ รัชกาลที่ 4 พทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั กบั สมเดจ็ พระศรีสุริเยนทรา บรมราชินี ประสูติเม่ือวนั พฤหสั บดีที่ 18 ที่มา https://minnytawny.wordpress.com/ ตุลาคม พ.ศ. 2347 ตรงกบั ปี ชวด มีพระนามเดิมวา่ เจา้ ฟ้ามหามาลา - ดา้ นการเมืองการปกครอง (ทรงปรีชาทางดา้ นภาษาและดารารศาสตร์) เสียดินแดนสิบ สองปันนา ใหก้ บั จีน เสียดินแดนเขมรใหแ้ ก่ฝรั่งเศส เสดจ็ ทอดพระเนตรสุริยปุ ราคาท่ี ตาบลหวา้ กอจงั หวดั ประจวบคีรีขนั ธ์ เซอร จอห์น เบาวร์ ิง( Sir John Bowring)เขา้ ทา สนธิสญั ญาทางพระราชไมตรีและการคา้ - ดา้ นเศรษฐกิจ สนธิสญั ญาเบาวร์ ิงมีผลใหเ้ ศรษฐกิจของประเทศไทย เปลี่ยนแปลงในการจดั เกบ็ ภาษีศุลกากร และเปิ ดใหม้ ีการคา้ เสรี พระราชทาน ท่ีดินใหช้ าวตา่ งชาติต้งั หา้ ง - ดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม พิธีบรรจุดวงชะตาพระนคร ส่งสมณะทูตไป ประเทศลงั กา สมโภชพระแกว้ มรกต รัชกาลท่ี 5 พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั (ข้ึนครองราชย์ พ.ศ. 2411 – พ.ศ. 2453) รัชกาลที่5 พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มีพระนามเดิมวา่ ” เจา้ ฟ้าจุฬาลงกรณ์ ที่มา https://minnytawny.wordpress.com/ ” เป็ นพระราชโอรสในพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รัชกาลที่ 4 กบั สมเดจ็ พระเทพ ศิรินทราบรมราชินี ( สมเด็จพระนางราเพยภมรภิรมย์ ) พระองคป์ ระสูติ เมื่อวนั ท่ี 20 กนั ยายน พ.ศ. 2396 ตรงกบั วนั องั คาร แรม 3 ค่า เดือน 10 - ดา้ นการเมืองการปกครอง เปลี่ยนจากกระทรวงเป็นกรม ประกาศต้งั กระทรวง 12 กระทรวง ภายหลงั ยบุ รวมเหลือ 10 กระทรวง เสียดินแดน 7 คร้ังเพ่อื รักษาแผน่ ดินส่วน ใหญ่ไว้ - ดา้ นเศรษฐกิจ จดั ด้งั ธนาคารแห่งแรก สร้างถนนตา่ ง ๆ สร้างสะพาน เริ่มเปิ ดการ เดินรถไฟช่วงแรก( เปลี่ยนแปลงระบบสาธารณูปโภคใหท้ นั สมยั ) - ดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม พ.ร.บ.เลิกทาส จดั ต้งั โรงเรียนหลวงสาหรับราษฎร ต้งั โรงพยาบาลแห่งแรก(โรงพยาบาลศิริราช) จดั เป็นกระทรวงเดิม มี 12 กระทรวง แกไ้ ขจนเหลือ 10 กระทรวง
62 รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ข้ึนครองราชย์ พ.ศ. 2453 – พ.ศ. 2468) รัชกาลท่ี6 พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชสมภพเม่ือ วนั เสาร์ท่ี 1 ที่มา https://minnytawny.wordpress.com/ มกราคม พ.ศ. 2421 พระองคท์ รงเป็ นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และสมเดจ็ พระนางเจา้ เสาวภาผอ่ งศรี ( สมเด็จพระศรีพชั รินทราบ รมราชเทวี ) เมื่อยงั ทรงพระเยาวท์ รงพระนามวา่ “สมเดจ็ เจา้ ฟ้ามหาวชิราวธุ ” - ดา้ นการเมืองการปกครอง ต้งั กองเสือป่ าฝึ กพลเรือนใหร้ ู้จกั วธิ ีรบ ไทยเขา้ ร่วมรบ ในสงครามโลกคร้ังที่ 1 - ดา้ นเศรษฐกิจ จดั ด้งั ธนาคารออมสิน โปรดเกลา้ ใหเ้ ลิกหวย ก.ข. - ดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม จดั ต้งั โรงเรียนมหาดเลก็ หลวงวชิราวธุ วทิ ยาลยั ประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั ินามสกลุ รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอย่หู ัว (ข้ึนครองราชย์ พ.ศ. 2468 – พ.ศ. 2477) รัชกาลท่ี 7 พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เป็ นโอรสองคท์ ่ี 76 ทรงเป็ น ที่มา https://minnytawny.wordpress.com/ พระโอรสองคเ์ ลก็ ของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ซ่ึงทรง ประสูติแด่สมเดจ็ พระศรีพชั รินทราบรมราชินีนารถ นบั วา่ เป็นพระราชโอรส องคเ์ ลก็ สุด ประสูติ เม่ือวนั ท่ี 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 ตรงกบั วนั พธุ แรม 14 ค่า เดือน 11 ปี มะเส็ง ทรงพระนามเดิมวา่ ” เจา้ ฟ้าชายประชาธิปกศกั ดิเดช กรมหลวงสุโขทยั ธรรมราชา ” - ดา้ นการเมืองการปกครอง ต้งั อภิรัฐมนตรีสภา เสนอโครงร่าง รัฐธรรมนูญ การปฏิวตั ิคณะราษฎร สงครามโลกคร้ังท่ี 1 - ดา้ นเศรษฐกิจ ตดั งบประมาณรายจ่ายของกระทรวง ทบวง กรมตา่ งๆ เปิ ดสะพานพระราม 6 - ดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม เปิ ดสถานีวทิ ยกุ ระจายเสียงทว่ั ไปสาหรับ ประชาชน ปฏิสงั ขรณ์วดั พระศรีรัตนศาสดารามในการฉลองพระนครครบ 150 ปี
63 รัชกาลท่ี 8 พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (ข้ึนครองราชย์ พ.ศ. 2472 – พ.ศ. 2489) พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหิดล มีพระนามเดิมวา่ พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ อานนั ทมหิดล ทรงพระราชสมภพ เม่ือวนั อาทิตยท์ ี่ 20 กนั ยายน พ.ศ. 2468 ตรงกบั วนั ข้ึน 3 ค่า เดือน 11 ปี ฉลู ณ เมืองไฮเดลแบร์ก ประเทศเยอรมนั นี - ดา้ นการเมืองการปกครอง พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบบั ใหม่ ประเทศไทยเขา้ สู่สงครามอินโดจีนในปี พ.ศ. 2483 - ดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม แกป้ ัญหาความขดั แยง้ ระหวา่ งชาวไทยและชาว ไทยเช้ือสายจีนที่สาเพง็ แสดงตนเป็นพทุ ธมามกะเม่ือเสดจ็ นิวตั ิพระนครคร้ังแรก รัชกาลที่ 8 ท่ีมา https://minnytawny.wordpress.com รัชกาลท่ี 9 พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั ภูมพิ ลอดุลยเดช (ข้ึนครองราชย์ พ.ศ. 2489 – 2559) รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู ิพลอดุลยเดชทรงสมภพ ที่มา https://minnytawny.wordpress.com/ เมื่อวนั ท่ี 5 ธนั วาคม พ.ศ. 2470 ณ เมืองเคมบริจดจม์ ลรัฐเมสสาชูเสท ประเทศสหรัฐอเมริกา ทรงเป็ นพระราชโอรสาธิราช องคท์ ่ี 3 ในสมเด็จ พระราชชนนีศรีสงั วาลย์ (สมเด็จพระศรีนครินทรทรา บรมราชชนนี ) - ดา้ นการเมืองการปกครอง เสียดินแดนเขาพระวหิ าร ใหก้ บั เขมร พระราชทานรัฐธรรมนูญจานวน 16 ฉบบั - ดา้ นเศรษฐกิจ ทรงมีพระอจั ฉริยภาพทางดา้ นเศรษฐกิจ คือ การวาง ปรัชญาเศรษฐกิจท่ียดึ คนเป็ นท่ีต้งั เพ่ือนาไปสู่กระบวนการขบั เคลื่อน เศรษฐกิจและสงั คมท่ีสร้างสรรคภ์ ายใตค้ วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคนกบั เทคโนโลยี คนกบั สงั คม และคนกบั ตนเอง (หลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง) - ดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม ทรงมีโครงการอนั เนื่องมาจากพระราชดาริ กวา่ 4,000 โครงการเพอ่ื ช่วยเหลือประชาชน ท้งั ในดา้ นการเกษตร การฟ้ื นฟู ทรัพยากรและส่ิงแวดลอ้ ม ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุข ดา้ นการศึกษา ดา้ นศาสนา ฯลฯ
64 รัชกาลที่ 10 สมเด็จพระเจ้าอย่หู ัวมหาวชิราลงกรณ์ บดนิ ทรเทพยวรางกูร (ทรงราชย์ พ.ศ. 2559 – ปัจจุบนั ) สมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั มหาวชิราลงกรณ์ บดินทรเทพยวรางกรู รัชกาลท่ี10 พระราชสมภพ เมื่อวนั ท่ี 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 เป็นพระมหากษตั ริยไ์ ทย ท่ีมา https://news.mthai.com/ รัชกาลที่ 10 แห่งราชวงศจ์ กั รี เสด็จข้นึ ทรงราชยเ์ ม่ือวนั ท่ี 13 ตลุ าคม พ.ศ. 2559 จนถึงปัจจุบนั เป็ นพระราชโอรสพระองคเ์ ดียวในพระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเดจ็ พระนางเจา้ สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ - ดา้ นการเมืองการปกครอง พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2560 ( ฉบบั ท่ี 20 ) ปัจจ-ัยทดา้ม่ี นีผเศลรตษ่อฐกาิจรสทถรงาสปานนาตอ่อาหณลากั จปักรรัชไญทายของเศรษฐกิจพอเพยี งของ สมเดจ็ พระชนก - ดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม ทรงปฏิบตั ิพระราชกรณียกิจต่างๆ นานปั การท้งั ในดา้ น การทหาร การบิน ดา้ นการศึกษา ดา้ นการแพทยแ์ ละ สาธารณสุข ดา้ นการเกษตร และดา้ นการตา่ งประเทศ เป็นตน้ การสถาปนาอาณาจกั รไทยท้งั กรุงสุโขทยั กรุงศรีอยธุ ยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ ลว้ นเกิดจากปัจจยั ที่แตกตา่ งกนั โดยปัจจยั หลกั ๆ ไดแ้ ก่ ปัจจยั ทางภูมิศาสตร์ ปัจจยั ทางการเมือง และประวตั ิศาสตร์ 1. กรุงสุโขทัย (พ.ศ. 1792 - 2006) ปัจจยั ท่ีมีผลต่อการสถาปนากรุงสุโขทยั ไดแ้ ก่ 1) ปัจจัยทางภูมศิ าสตร์ การเลือกท่ีต้งั เมืองหลวงในอดีตส่วนใหญ่มกั ใกลแ้ มน่ ้า แต่เมือง สุโขทยั ไมไ่ ดต้ ้งั อยรู่ ิมน้าเพราะแมน่ ้ายมอยหู่ ่างจากตวั เมืองสุโขทยั ไปประมาณ 13 กิโลเมตร การ เลือกต้งั เมืองหลวงที่สุโขทยั คงเป็นเพราะสุโขทยั เป็นเมืองสาคญั มาแตเ่ ดิม นอกจากน้ี การที่สุโขทยั ยงั ต้งั อยทู่ ่ามกลางเทือกเขาถนนธงชยั เทือกเขาตะนาวศรี และเทือกเขาเพชรบูรณ์ ทาใหอ้ ากาศไม่ ร้อนมากจนเกินไป และมีลมมรสุมพดั ผา่ น จึงทาใหม้ ีฝนตกชุก รวมท้งั มีทรัพยากรธรรมชาติอุดม สมบูรณ์
65 2) ปัจจัยทางการเมืองและประวตั ศิ าสตร์ ก่อนการสถาปนาอาณาจกั รสุโขทยั น้นั ในเขต สุโขทยั และศรีสชั นาลยั มีชุมชนที่มีผนู้ าไทยอยกู่ ่อนแลว้ เช่น พอ่ ขนุ ศรีนาวนาถุม เจา้ เมืองเชลียง พอ่ ขนุ ผาเมือง เจา้ เมืองราด โอรสของพอ่ ขนุ ศรีนาวนาถุม และพอ่ ขนุ บางกลางหาว เจา้ เมืองบางยาง (ต่อมาคือพอ่ ขุนศรีอินทราทิตย)์ ต่อมาเมื่อพ่อขนุ ศรีนาวนาถุมสิ้นพระชนมล์ ง ขอมสบาดโขลญลา พงซ่ึงอาจเป็นขุนนางเขมรไดเ้ ขา้ ยดึ เมืองศรีสชั นาลยั สุโขทยั พอ่ ขนุ ผาเมืองและพอ่ ขนุ บางกลาง หาวไดท้ รงช่วยกนั ต่อสู้ขบั ไล่ขอมสบาดโขลญลาพง และพอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตยส์ ถาปนาอาณาจกั ร สุโขทยั ข้ึนมา 2. กรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 1893 - 2310) ปัจจยั ท่ีมีผลตอ่ การสถาปนากรุงศรีอยธุ ยา ไดแ้ ก่ 1) ปัจจัยทางภูมศิ าสตร์ เนื่องจากต้งั อยบู่ ริเวณท่ีราบลุ่มกวา้ งใหญ่ มีแมน่ ้าลาคลองหนองบึง มากและมีความอุดมสมบูรณ์ ทาใหก้ ารเกษตรกรรมไดผ้ ลดี รวมท้งั มีแม่น้าสาคญั หลายสายไหลผา่ น คือ แม่น้าลพบุรีทางเหนือ แม่น้าป่ าสกั ทางตะวนั ออก แมน่ ้าเจา้ พระยาทางตะวนั ตกและทางใต้ กรุงศรีอยธุ ยาจึงติดต่อกบั หวั เมืองต่าง ๆ ไดส้ ะดวก รวมท้งั ต้งั อยไู่ ม่ไกลจากอ่าวไทย ทาใหก้ รุงศรี อยธุ ยาพฒั นาเป็นเมืองท่าที่สาคญั ของภูมิภาค มีการติดต่อคา้ ขายกบั ดินแดนต่าง ๆ ท้งั ท่ีอยใู่ กลเ้ คียง เช่น เขมร มอญ และดินแดนที่อยหู่ ่างไกล เช่น อินเดีย จีน อาหรับ และชาติตะวนั ตก ทาใหไ้ ดร้ ับ วฒั นธรรมตา่ งชาติมาผสมผสานกนั 2) ปัจจัยทางการเมืองและประวตั ศิ าสตร์ กรุงศรีอยธุ ยามีพฒั นาการมาจากอาณาจกั รละโว้ และสุพรรณบุรี เม่ือพระเจา้ อู่ทองมาต้งั เมืองที่กรุงศรีอยธุ ยาไดท้ รงสร้างวงั ที่บริเวณเวยี งเหลก็ ก่อน ตอ่ มาทรงเห็นวา่ บริเวณหนองโสนหรือบึงพระรามในปัจจุบนั มีความเหมาะสมมากกวา่ จึงทรงยา้ ย วงั ไปบริเวณหนองโสน จะเห็นไดว้ า่ การสถาปนากรุงศรีอยธุ ยาไดม้ ีการพจิ ารณาท้งั ในดา้ น ภูมิศาสตร์และมีพฒั นาการทางการเมืองการปกครองมาก่อน ทาใหก้ รุงศรีอยธุ ยามีความพร้อม ในการต้งั เป็ นอาณาจกั ร 3. กรุงธนบุรี (พ.ศ. 2310 - 2325) ปัจจยั ที่มีผลต่อการสถาปนากรุงธนบุรี ไดแ้ ก่ 1) ปัจจัยทางภูมศิ าสตร์ เม่ือสมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราชสถาปนาราชธานีแห่งใหมย่ งั เป็นช่วงที่บา้ นเมืองไมม่ น่ั คง การเลือกต้งั เมืองที่กรุงธนบุรีจึงคานึงถึงปัจจยั ทางดา้ นความมนั่ คงเป็น
66 หลกั กรุงธนบุรีอยใู่ นจุดยทุ ธศาสตร์ท่ีดี เพราะอยรู่ ิมแม่น้าเจา้ พระยาและอยไู่ ม่ไกลจากอา่ วไทย หากขา้ ศึกยกทพั มาแลว้ สู้ไมไ่ ดก้ ็สามารถหนีออกทางทะเลได้ 2) ปัจจัยทางการเมือง เมื่อกรุงศรีอยธุ ยาล่มสลาย สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชไดเ้ ป็นผนู้ า ในการขบั ไล่กองทพั พม่าและสถาปนาตนข้ึนเป็นกษตั ริย์ ต้งั ราชธานีใหมท่ ี่กรุงธนบุรี เพราะกรุงศรี อยธุ ยาเสียหายจนยากจะฟ้ื นคืนดงั เดิม 4. กรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2325 - ปัจจุบนั ) ปัจจยั ท่ีมีผลตอ่ การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ไดแ้ ก่ 1) ปัจจัยทางการเมือง ในช่วงปลายสมยั ธนบุรีเกิดความไมส่ งบข้ึนในบา้ นเมืองและ เกิดกบฏพระยาสรรค์ หลงั จากปราบกบฏพระยาสรรคแ์ ลว้ สมเดจ็ พระยามหากษตั ริยศ์ ึกไดส้ ถาปนา ราชวงศจ์ กั รีและกรุงรัตนโกสินทร์ พร้อมกบั สาเร็จโทษสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชตาม ธรรมเนียมการเมืองในอดีต 2) ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ กรุงรัตนโกสินทร์ถูกต้งั ข้ึนบนฝ่ังตะวนั ออกของแมน่ ้าเจา้ พระยา ตรงขา้ มกบั กรุงธนบุรี การยา้ ยเมืองหลวงมายงั ที่ใหมห่ รือฝั่งกรุงเทพ ฯ เพราะมีพ้นื ที่กวา้ งขวางกวา่ กรุงธนบุรีซ่ึงเหมาะแก่การขยายบา้ นเมืองต่อไปในอนาคต นอกจากน้ี กรุงเทพ ฯ ยงั มีท่ีต้งั ท่ีดีในการ ติดต่อคา้ ขายกบั ต่างชาติเพราะอยใู่ กลป้ ากอา่ วไทย
67 แบบฝึ กหดั บทที่ 3 เร่ือง การสถาปนาอาณาจกั รไทย คาชี้แจง ให้นักศึกษาตอบคาถามต่อไปนี้ 1.ใหน้ กั ศึกษายกตวั อยา่ งโครงการในพระราชดาริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จกั รีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลท่ี 9) มา 3 โครงการ ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. คาชี้แจง ให้นักศึกษาดูภาพทกี่ าหนดให้แล้วตอบคาถามในประเด็นทก่ี าหนด ภาพ อาณาจักร ผ้กู ่อต้งั ช่วงเวลา(พ.ศ.) ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ................................... ...................................
68 แบบฝึ กหัดท้าย บทที่ 3 การสถาปนาอาณาจักรไทย 1. คาชี้แจง ใหน้ กั ศึกษาอา่ นขอ้ ความ แลว้ นาตวั อกั ษร ก-ญ ไปเติมหนา้ ขอ้ ความ ขอ้ 1-10 ใหม้ ี ความสมั พนั ธ์กนั 1.…….จดั ระเบียบการปกครองแบบจตุสดมภ์ ก. เบ้ีย 2.…….ผปู้ ระดิษฐ์อกั ษรไทย ข. จีน 3.….…หลง่ั ทกั ษิโณทกเพอื่ ประกาศอิสรภาพ ค. พอ่ ปกครองลูก 4.…….ราชบุตรเขย ชาวมอญ ในพอ่ ขนุ รามคาแหง ง. สรีดภงส์ 5.........พระราชโอรสของพอ่ ขุนศรีนาวนาถุม จ. พระเจา้ ฟ้ารั่ว 6.….…เงินตราที่มีค่านอ้ ยที่สุดในสมยั สุโขทยั ทาจากหอย ฉ. พอ่ ขนุ ผาเมือง 7.........ฐานะของกษตั ริยเ์ ปลี่ยนจาก พอ่ ขนุ เป็ น พระยา (พญา) ช. พระเจา้ อู่ทอง 8.…….การปกครองในสมยั สุโขทยั ซ. พอ่ ขนุ รามคาแหง 9. ….…เป็ นเขื่อนท่ีสร้างข้ึนจากดินเพื่อการชลประทาน ฌ. รัชสมยั พระยาเลอไท 10...….แผอ่ ิทธิพลดา้ นศิลปะการทาเคร่ืองเคลือบ เครื่องสังคโลก ญ. สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช 2. คาชี้แจง เลือกคาตอบที่ถูกตอ้ งท่ีสุดเพียงคาตอบเดียว 1. ขอ้ ใดไม่ใช่แม่น้าสามสายที่รายรอบกรุงศรีอยธุ ยา 4. สมยั อยธุ ยามีราชวงศแ์ ละ ก. แมน่ ้าเจา้ พระยา พระมหากษตั ริยจ์ านวนเทา่ ใด ข. แมน่ ้าปราจีน ก. 7 ราชวงศ,์ 33 พระองค์ ค. แม่น้าป่ าสกั ข. 7 ราชวงศ,์ 34 พระองค์ ง. แม่น้าลพบุรี ค. 5 ราชวงศ,์ 33 พระองค์ 2. ขอ้ ใดเป็นเหตุผลที่เลือกกรุงศรีอยธุ ยาเป็นศูนยก์ ลาง 5. ง. 5 ราชวงศ,์ 34 พระองค์ ก. มีลกั ษณะเอ้ือประโยชนต์ ่อความมน่ั คงของอาณาจกั ร กษตั ริยพ์ ระองคใ์ ดเป็นผสู้ ถาปนากรุงศรี ข. มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะต่อการปลูกขา้ ว อยธุ ยา ค. เป็นศูนยก์ ลางในการติดต่อคมนาคม ก. สมเด็จพระสุริโยทยั ง. ถูกทุกขอ้ ข. สมเดจ็ พระรามาธิบดีท่ี1 ค. สมเด็จพระนเรศวรมหาราช 3. การปกครองของอาณาจกั รอยธุ ยาเป็นแบบใด ง. สมเดจ็ พระมหาธรรมราชา ก. ราชาธิปไตย 6. อาณาจกั รกรุงธนบุรีมีอายุรวมกี่ปี ข. เทวราชา ก. 15 ปี ค. ประชาธิปไตย ข. 20 ปี ง. สมบูรณาญาสิทธิราช ค. 25 ปี ง. 30 ปี
69 7. กรุงธนบุรีมีพระมหากษตั ริยก์ ี่พระองค์ 12.สถานที่ก่อสร้างพระบรมมหาราชวงั ในราชธานีแห่ง ก.1 ข. 2 ใหม่ เดิมเคยเป็ นท่ีอยอู่ าศยั ของชนชาติใดมาก่อน ค. 3 ง. 4 ก. ชนชาติจีน ข. ชนชาติมอญ 8. บุคคลใดเป็นผสู้ ถาปนากรุงธนบุรี ค. ชนชาติญวน ง. ชนชาติตะวนั ตก ก. สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ข. สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช 13.พระมหากษตั ริยข์ องไทยที่ไดร้ ับการถวายสมญั ญานาม ค. สมเด็จพระเจา้ อูท่ อง “มหาราช” ตอ่ ทา้ ยพระนาม คือรัชกาลใดบา้ ง ง. สมเดจ็ พระเจา้ อุทุมพร 9. รัฐบาลไดป้ ระกาศใหว้ นั ที่เท่าไรของทุกปี เป็น ’’ ก. รัชกาลท่ี 1 , รัชกาลท่ี 3 , รัชกาลที่ 5 วนั สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราช’’ ข. รัชกาลที่ 1 , รัชกาลท่ี 5 , รัชกาลท่ี 9 ก. 15 ตุลาคม ค. รัชกาลที่ 1 , รัชกาลที่ 5 , รัชกาลที่ 6 ข. 28 ตุลาคม ง. รัชกาลท่ี 1 , รัชกาลท่ี 4 , รัชกาลที่ 9 ค. 15 ธนั วาคม 14.พระพทุ ธรูปสาคญั ของกรุงรัตนโกสินทร์ที่ประดิษฐาน ง. 28 ธนั วาคม ในวดั พระแกว้ (วดั พระศรีรัตนศาสดาราม) คือองคใ์ ด 10. พระเจา้ ตากสินทรงแกป้ ัญหาการขาดแคลนขา้ ว ก. พระพุทธสิหิงค์ ดว้ ยวธิ ีใด ก. นาเขา้ จากจีน ข. พระพุทธชินราช ข. ขา้ ราชการช่วยเกณฑ์แรงงานปี ละ 2 คร้ัง ค. พระแกว้ มรกต (พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร) ค. นาสิ่งของหายากแลกขา้ วกบั ชาวต่างชาติ ง. พระศรีศากยมุนี ง. ถูกทุกขอ้ 15.ขอ้ ใด ไม่ใช่ เหตุผลในการยา้ ยราชธานีมาอยฝู่ ั่งบางกอก 11. ราชธานีใหม่ท่ีรัชกาลท่ี 1 โปรดใหส้ ร้างข้ึน ของรัชกาลท่ี 1 บริเวณใด ก.กรุงธนบุรีเป็ นเมืองอกแตก มีแม่น้าผา่ กลางป้องกนั ก. ทิศใตข้ องกรุงธนบุรี ขา้ ศึกยาก ข. ฝั่งตะวนั ออกของแม่น้าเจา้ พระยา ข.พระราชวงั เดิมในกรุงธนบุรีมีวดั ขนาบขา้ งทาใหข้ ยาย ค. ทิศเหนือของกรุงธนบุรี ไดย้ าก ง. ฝ่ังตะวนั ตกของแมน่ ้าเจา้ พระยา ค.ฝ่ังบางกอกมีพระราชวงั และป้อมปราการพร้อมอยแู่ ลว้ ไม่ตอ้ งสร้างใหม่ ง.ฝั่งบางกอกมีพ้ืนท่ีกวา้ งขวางสามารถขยายพระนครได้ เร่ือย ๆ
70
71 บทที่ 4 สัญลกั ษณ์ของชาตไิ ทย “ธงชาตแิ ละเพลงชาตไิ ทย เป็ นสัญลกั ษณ์ของความเป็ นไทย เราจงร่วมใจกนั ยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมใิ จในเอกราช และความเสียสละของบรรพบุรุษไทย” 3.1 ธงชาติไทย ประวตั ธิ งชาติไทย ประวตั ธิ งชาตไิ ทย สมยั โบราณ จนถึงปัจจุบนั สมัยโบราณ รูปภาพ ธงแดงเกล้ียง สาหรับใชเ้ ป็นที่หมายของเรือสยามโดยทวั่ ไป (ยงั ไมใ่ ช่ธงชาติสยาม) นบั ต้งั แตส่ มยั กรุงศรีอยธุ ยา ตามหลกั ฐานต่าง ๆ ปรากฏวา่ ต้งั แต่สมยั โบราณไทยเรายงั ไม่มีธงชาติโดยเฉพาะ เม่ือเวลา จัดกองทัพไปทาสงคราม จะใช้ธงสีต่าง ๆ ประจาทัพเป็ นเคร่ืองหมายทัพละสี ต่อมาเมื่อมี การเดินเรือค้าขายกับต่างประเทศทางตะวนั ตกในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้ใช้ธงสีแดงติดเป็ น เครื่องหมายว่าเป็ นเรือสินคา้ ของไทย จดหมายเหตุของชาวต่างประเทศกล่าววา่ ในรัชกาลสมเด็จ พระนารายณ์มหาราชมีเรือฝร่ังเศสแล่นเขา้ มาสู่ปากน้าเจา้ พระยา เม่ือถึงป้อมของไทย ไทยชกั ธง ฮอลนั ดาข้ึนรับเรือฝร่ังเศส เพราะไม่มีธงชาติของตนเอง แต่เรือฝรั่งเศสไม่ยอมสลุตรับธงฮอลนั ดา เพราะเคยเป็ นอริกนั มาก่อน และถือว่าไม่ใช่ธงชาติไทย ฝ่ ายไทยจึงแก้ไขโดยนา\"ธงแดง\" ข้ึนชัก แทนธงชาติ เรือฝร่ังเศสจึงยอมสลุตคานบั ต้งั แต่น้นั มาธงสีแดงจึงกลายเป็นธงชาติของไทยเรื่อยมา
72 สมยั กรุงรัตนโกสินทร์ รูปภาพ ธงเรือหลวงในรัชสมยั พระบามสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ไทยยงั คงใชธ้ งสีแดงเกล้ียงชกั เป็ นเครื่องหมายประจาเรือคา้ ขายกบั ต่างประเทศอยู่ ธงแดงน้ีใช้ชกั ข้ึนท้งั ในเรือหลวงและเรือราษฎร ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระราชดาริว่า เรือหลวงและเรือราษฎรควรมีเคร่ืองหมายให้เห็นท่ีต่างกนั จึงมีพระบรมราช โองการใหจ้ ดั ทารูปจกั รสีขาวติดไวก้ ลางธงแดงเป็ นเคร่ืองหมายใชเ้ ฉพาะเรือหลวง ส่วนเรือคา้ ขาย ของราษฎรทว่ั ไปยงั คงใชธ้ งแดงเกล้ียงอยู่ รัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลท่ี 2-รัชกาลที่ 3) รูปภาพ ธงเรือหลวงในรัชสมยั พระบามสมเดจ็ พระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลท่ี 2 ระหว่าง พ.ศ. 2360 - 2366 โปรดใหส้ ่งเรือกาป่ันหลวงไปคา้ ขายระหวา่ งกรุงเทพฯ สิงคโปร์ และมาเกา๊ ซ่ึงเป็นสถานีคา้ ขายของ องั กฤษ โดยโปรดให้ติดธงสีแดง แต่ ปรากฏวา่ ไปเหมือนกบั ธงเรือสินคา้ ของชาติมาลายูเจา้ เมือง สิงคโปร์จึงขอให้เรือไทยใช้ธงสีอื่นให้ต่างกันออกไป ในระยะน้ันประจวบกบั มีช้างเผือกมาสู่ พระบารมีพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั จึงมีพระบรมราชโองการให้ทารูปชา้ งเผือกไว้ กลางวงจกั ร
73 รัชกาลท่ี 4 รูปภาพ “ธงชา้ งเผอื ก” ธงชาติสยามในรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทาหนังสื อสัญญาเปิ ดการค้าขาย กบั ชาวตะวนั ตกในพ.ศ. 2398 มีเรือสินคา้ ของประเทศต่างๆ ในยุโรปและอเมริกาเดินทางเขา้ มา คา้ ขายมากข้ึน และมีสถานกงสุล ต้งั อยู่ในกรุงเทพฯ สถานที่เหล่าน้ันล้วนชกั ธงชาติของตนข้ึน เป็ นของตนข้ึนเป็ นสาคญั จึงจาเป็ นที่จะตอ้ งมีธงชาติที่แน่นอน จึงทรงพระราชดาริว่า ธงสีแดง ซ่ึงเรือสินคา้ ไทยใชอ้ ยูน่ ้นั ซ้ากบั ประเทศอ่ืน ยากแก่การสังเกตไม่สมควรใช้อีกต่อไป ควรจะใชธ้ ง อย่างเรือหลวงเป็ นธงชาติ แต่โปรดให้เอารูปจกั รออกเสียเพราะเป็ นเครื่องหมายเฉพาะพระเจา้ แผน่ ดินคงไวแ้ ต่รูปชา้ งเผอื กอยกู่ ลางธงแดง รูปภาพ ธงคา้ ขาย พ.ศ.2459
74 รัชกาลท่ี 6 ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจา้ อยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ออก ประกาศแกไ้ ขเพิม่ เติมพระราชบญั ญตั ิธง รัตนโกสินทรศก 129 เม่ือวนั ที่ 21 พฤศจิกายน 2459 แกไ้ ข ลกั ษณะธงชาติเป็ นธงพ้ืนแดง กลางเป็ นรูปช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่น หนั หน้าเขา้ เสา ประการน้ี เริ่มใหบ้ งั คบั ใช้ ต้งั แต่วนั ท่ี 1 มกราคม 2459 (ขณะน้นั ยงั นบั เดือนเมษายนเป็นเดือนเริ่มศกั ราชใหม่ ) สงครามโลกคร้ังที่ 1 (ธงไตรรงค์) ใน พ.ศ. 2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจา้ อยู่หัว ทรงนาประเทศไทยเขา้ ร่วม สงครามโลกคร้ังที่ 1 ทรงพระราชดาริว่า การประกาศสงครามนบั เป็ นความเจริญกา้ วหนา้ ข้นั หน่ึง ของประเทศ สมควรจะมีสิ่งเตือนใจ สาหรับวาระน้ีไวภ้ ายหนา้ ส่ิงน้นั ควรไดแ้ ก่ \"ธงชาติ\" ทรงเห็น วา่ ลกั ษณะท่ีแกไ้ ขใน พ.ศ. 2459 น้นั ยงั ไม่สง่างาม ทรงโปรดเกลา้ ฯ ให้เพ่ิมแถบน้าเงินแก่ข้ึนอีกสี หน่ึงเป็ นสามสี ตามลกั ษณะของธงนานาชาติท่ีใชก้ นั อยู่ เพื่อให้เป็ นเครื่องหมายวา่ ไทยเขา้ ร่วมกบั ฝ่ ายสัมพนั ธมิตร และอีกประการหน่ึงสีน้าเงินเป็ นสีประจา พระชนมวารเฉพาะพระองค์ จึงเป็ น สีท่ีควรประดับไว้ในธงชาติไทย ดังน้ันในปี 2460 จึงทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา พระราชบญั ญตั ิ ธง พระพทุ ธศกั ราช 2460 ออกประกาศเมื่อวนั ที่ 28 กนั ยายน พ.ศ. 2460 มีผลบงั คบั ภายหลงั วนั ออกประกาศในหนงั สือราชกิจจานุเบกษาแลว้ 30 วนั ลกั ษณะธงชาติมีดงั น้ี คือ
75 เป็ นธงรูปส่ีเหล่ียมรี ขนาดกวา้ ง 2 ส่วน ยาว 3 ส่วน มีแถบสีนาเงินแก่กวา้ ง 1 ใน 3 ของ ความกวา้ งของธงอยูก่ ลาง มีแถบสีขาวกวา้ ง 1 ใน 6 ของความกวา้ งของธงขา้ งละแถบ แลว้ มีแถบ แดงกวา้ งเท่ากบั แถบขาวประกอบขา้ งนอกอีกขา้ งละแถบ และพระราชทานนามว่า \"ธงไตรรงค์\" ส่วนธงรูปชา้ งกลางธงพ้นื แดงของเดิมน้นั ใหย้ กเลิก ความหมายของสีธงไตรรงค์ คือ สีแดง หมายถึง ชาติ และความสามคั คีของคนในชาติ สีขาว หมายถึง ศาสนา ซ่ึงเป็ นเครื่องอบรมสั่งสอนจิตใจให้ บริสุทธ์ิ สีน้าเงินหมายถึงพระมหากษตั ริยผ์ ทู้ รงเป็นประมุขของประเทศ รัชกาลที่ 7 จนถงึ ปัจจุบัน คร้ันถึงรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจา้ อยู่หัว ทรงโปรดเกลา้ ฯ ได้มี พระราชบนั ทึกพระราชทานไปยงั องคมนตรี เพ่ือให้เสนอความเห็นของคนหมู่มากว่า จะคงใช้ ธงไตรรงคด์ งั ท่ีใชอ้ ยเู่ ป็ นธงชาติต่อไป หรือจะกลบั ไปใชธ้ งชา้ งแทน หรือจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ลกั ษณะธงชาติ กบั วิธีใชธ้ งไตรรงคอ์ ยา่ งไร ปรากฏวา่ ความเห็นขององคมนตรีแตกต่างกระจายกนั มาก จึงมิไดก้ ราบบงั คมทูลขอ้ ช้ีขาด ดงั น้นั จึงทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้คงใชธ้ งไตรรงค์เป็ น ธงชาติต่อไปตามพระราชวินิจฉัยลงวนั ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2470 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระเจา้ อยูห่ วั อานนั ทมหิดล รัชกาลที่ 8 ไดม้ ีการปรับปรุงพระราชบญั ญตั ิธงซ่ึงยงั คงใชธ้ งไตรรงค์ เป็ นธงชาติเช่นเดิมแต่ ไดอ้ ธิบายลกั ษณะธงไวเ้ ขา้ ใจง่ายและชดั เจน ดงั น้ี ลกั ษณะเป็ นรูปสี่เหล่ียม มีขนาดกวา้ ง 6 ส่วน ยาว 9 ส่วน ดา้ นกวา้ ง 2 ใน 6 ส่วน ตรงกลางเป็ นสีขาบต่อจากแถบสีขาบ ออกไปสองขา้ ง ๆ ละ 1 ส่วนใน 6 ส่วนเป็นแถบสีขาว ต่อจากสีขาวออกไปท้งั 2 ขา้ งเป็ นแถบสีแดง นบั แต่น้นั มาไม่มีขอ้ ความใดๆ เปลี่ยนแปลงลกั ษณะของธงชาติอีก ธงไตรรงค์ จึงเป็ นธงชาติไทย สืบมาจนปัจจุบนั
76 ตารางแสดงพฒั นาการของธงชาตไิ ทย โดยสรุป ภาพธง ระยะเวลาการใช้ การบังคับใช้ธง ลกั ษณะ หมายเหตุ สมยั อยธุ ยา - พ.ศ. ใชเ้ ป็นธรรมเนียมสืบมาต้งั แต่ ธงสี่เหลี่ยมผนื ผา้ ไม่ระบุวา่ ใชค้ ร้ัง แดงเกล้ียง แรกเม่ือไร 2325(ธงเรือ สมยั สมเด็จพระนารายณ์ ธงส่ีเหล่ียมพ้นื ใชเ้ ฉพาะบนเรือ หลวง)-สมยั อยธุ ยา มหาราช แดงตรงกลางมี หลวง รูปวงจกั รสีขาว พ.ศ.2398 (ธงเรือ เอกชน) พระบรมราชโองการใน พ.ศ.2325-2360 พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอด ฟ้าจุฬาโลกมหาราช พ.ศ.2360-2398 พระบรมราชโองการใน ธงส่ีเหลี่ยมพ้นื ใชเ้ ฉพาะบนเรือ พ.ศ.2398-2459 พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศ แดงตรงกลางมี หลวง หลา้ นภาลยั รูปชา้ งเผอื กในวง จกั รสีขาว พระบรมราชโองการใน ธงสี่เหล่ียมพ้ืน ใชบ้ นแผน่ ดิน พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ แดงตรงกลางมี เป็นธงแรก เจา้ อยหู่ วั พระราชบญั ญตั ิวา่ รูปชา้ งเผอื กเปล่า ดว้ ยแบบอยา่ งธงสยาม หนั หนา้ เขา้ หาเสา ร.ศ.110 พระราชบญั ญตั ิธง ธง ร.ศ.116 พระราชบญั ญตั ิธง ร.ศ.118 พระราชบญั ญตั ิธง ร.ศ.129 พระราชบญั ญตั ิธง พ.ศ.2459-2460 พระราชบญั ญตั ิธง ร.ศ.129 (ธง ธงสี่เหล่ียมพ้นื สาหรับราชการ ราชการ) พระบรมราชโองการ แดงตรงกลางมี ประกาศเพ่ิมเติมและแกไ้ ข รูปชา้ งเผือก พระราชบญั ญตั ิธง ร.ศ.129 ทรงเคร่ืองยนื พ.ศ.2459 แท่นหนั หนา้ เขา้ หาเสาธง
77 ภาพธง ระยะเวลาการใช้ การบงั คบั ใช้ธง ลกั ษณะ หมายเหตุ พ.ศ.2459-2460 พระบรมราชโองการ ธงส่ีเหลี่ยมพ้ืนผา้ ยาว สาหรับสามญั ประกาศเพิม่ เติมและ 9 ส่วน กวา้ ง 6 ส่วน ชน แกไ้ ขพระราชบญั ญตั ิธง แบง่ ออกเป็นแถบสี ร.ศ.129 พ.ศ.2459 ในช่ือ แดงกวา้ งแถบละ 1 “ธงคา้ ขาย” ส่วน แถบสีขาวกวา้ ง แถบละ 1 ส่วน แถบสี แดงตรงกลางกวา้ ง 2 ส่วน พ.ศ.2460-ปัจจุบนั พระราชบญั ญตั ิแกไ้ ข ธงสี่เหล่ียมผนื ผา้ กวา้ ง ใชท้ วั่ ประเทศ พระราชบญั ญตั ิธงพระ 6 ส่วน ยาว 9 ส่วนแบง่ พุทธศกั ราช 2460 ออกเป็ นแถบสีแดง พระราชบญั ญตั ิธง พ.ศ. กวา้ งแถบละ 1 ส่วน 2479 พระราชบญั ญตั ิ แถบสีขาวกวา้ งแถบ พ.ศ.2522 ละ 1 ส่วนแถบสีน้า เงินขาบตรงกลางกวา้ ง 2 ส่วน 3.2 เพลงชาตไิ ทย ประวตั ิกาเนิดของเพลงชาตไิ ทย ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ได้มีการใช้เพลงสรรเสริ ญพระบารมี เป็ นเพลงถวาย ความเคารพองคพ์ ระมหากษตั ริยต์ ามธรรมเนียมสากล แมเ้ พลงดงั กล่าวไม่ใช่เพลงชาติของประเทศ สยามอยา่ งเป็นทางการกต็ าม แต่กถ็ ืออนุโลมวา่ เป็นเพลงชาติโดยพฤตินยั ตามหลกั ดงั กล่าว เม่ือเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ใน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรไดป้ ระกาศใช้เพลงชาติ มหาชยั ซ่ึงประพนั ธ์เน้ือร้องโดย เจา้ พระยาธรรมศกั ด์ิมนตรี (สนน่ั เทพหสั ดิน ณ อยธุ ยา) เป็ นเพลง ชาติอยู่ 7 วนั (ใชช้ ว่ั คราว ระหวา่ งรอพระเจนดุริยางคแ์ ต่งเพลงชาติใหม่) แต่ไม่ไดร้ ับความนิยมจาก ประชาชน ต่อมาจึงได้เปล่ียนมาเป็ นเพลงชาติฉบับท่ีแต่งทานองโดยพระเจนดุริ ยางค์ (ปิ ติ วาทยะกร) เป็นเพลงชาติอยา่ งเป็นทางการแทนเพลงสรรเสริญพระบารมี
78 พระเจนดุริยางค์ (ปิ ติ วาทยะกร) ผ้ปู ระพนั ธ์ทานองเพลงชาติ ท่ีมาของทานองเพลงชาติปัจจุบนั น้ัน จากบนั ทึกความทรงจา ของพระเจนดุริยางค์ ไดเ้ ล่าไวว้ า่ ราวปลายปี พ.ศ. 2474 เพื่อนนายทหาร เรือช้นั ผูใ้ หญ่คนหน่ึงของท่าน คือ หลวงนิเทศกลกิจ (กลาง โรจนเสนา) ไดข้ อให้ท่านแต่งเพลงสาหรับชาติข้ึนเพลงหน่ึง ในลกั ษณะของเพลงลา มาร์แซแยส ซ่ึงพระเจนดุริยางคไ์ ดบ้ อกปฏิเสธเพราะถือวา่ เพลงสรรเสริญ พระบารมีเป็นเพลงชาติอยแู่ ลว้ ท้งั การจะใหแ้ ตง่ เพลงน้ีกย็ งั ไมใ่ ช่คาส่ัง ของทางราชการดว้ ย แมภ้ ายหลงั หลวงนิเทศกลกิจจะมาติดต่อให้แต่งเพลงน้ีอีกหลายคร้ังก็ตาม พระเจนดุริยางคก์ ็หาทางบ่ายเบ่ียงมาตลอด เพราะท่านสงสัยวา่ การขอร้องให้แต่งเพลงน้ีเกี่ยวขอ้ ง กบั การเมือง ประกอบกบั ในเวลาน้นั ก็มีข่าวลือเร่ืองการปฏิวตั ิอยา่ งหนาหูดว้ ย หลงั การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในวนั ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ผ่านไปไดป้ ระมาณ 5 วนั แลว้ หลวงนิเทศกลกิจ ซ่ึงพระเจนดุริยางค์รู้ภายหลงั ว่าเป็ น 1 ในสมาชิกคณะราษฎรด้วย ไดก้ ลบั มาขอร้องให้ท่านช่วยแต่งเพลงชาติอีกคร้ัง โดยอา้ งวา่ เป็ นความตอ้ งการของคณะผูก้ ่อการ ท่านเห็นวา่ คราวน้ีหมดทางท่ีจะบ่ายเบ่ียง เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในเวลาน้นั อยูใ่ นระยะ หวั เล้ียวหัวต่อ จึงขอเวลาในการแต่งเพลงน้ี 7 วนั และแต่งสาเร็จในวนั จนั ทร์ท่ี 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 ซ่ึงเป็นวนั สุดทา้ ยที่ตนไดก้ าหนดนดั หมายวนั แตง่ เพลงชาติไว้ ขณะที่นงั่ บนรถรางสายบางขนุ พรหม-ท่าเตียน เพ่ือไปปฏิบตั ิราชการที่สวนมิสกวนั จากน้นั จึงไดเ้ รียบเรียงเสียงประสานสาหรับ ให้วงดุริยางค์ทหารเรือบรรเลง โดยได้เลือกใช้ทานองคลา้ ยคลึงกบั เพลงมาซูแร็กดอมบรอฟสกี แยกอ และมอบโนต้ เพลงน้ี ใหห้ ลวงนิเทศกลกิจนาไปบรรเลง ในการบรรเลงดนตรีประจาสัปดาห์ ที่พระที่นงั่ อนนั ตสมาคมในวนั พฤหสั บดีถดั มา พร้อมท้งั กาชบั วา่ ใหป้ ิ ดบงั ช่ือผแู้ ต่งเพลงเอาไวด้ ว้ ย อยา่ งไรก็ตาม หนงั สือพิมพศ์ รีกรุงก็ไดล้ งข่าวเร่ืองการประพนั ธ์เพลงชาติใหม่โดยเปิ ดเผย ว่า พระเจนดุริยางค์เป็ นผูแ้ ต่งทานองเพลงน้ี ทาให้พระเจนดุริยางค์ถูกเจา้ พระยาวรพงศ์พิพฒั น์ เสนาบดีกระทรวงวงั ตาหนิอย่างรุนแรง ในเรื่องน้ี แม้ภายหลังพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี จะไดช้ ้ีแจงวา่ ทา่ นและสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรเป็ นผคู้ ิดการแต่งเพลงน้ี และเพลงน้ี ก็ยงั ไม่ไดร้ ับรองวา่ เป็ นเพลงชาติเน่ืองจากยงั อยูใ่ นระหวา่ งการทดลองก็ตาม แต่พระเจนดุริยางคก์ ็ ได้รับคาสั่งปลดจากทางราชการให้รับเบ้ียบานาญ ฐานรับราชการครบ 30 ปี และหักเงินเดือน คร่ึงหน่ึงเป็ นบานาญ อีกคร่ึงที่เหลือเป็ นเงินเดือน โดยให้รับราชการต่อไปในอตั ราเงินเดือนใหม่น้ี ในเดือนตุลาคมปี เดียวกนั น้นั เอง
79 ขุนวจิ ิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพนั ธ์) ผปู้ ระพนั ธ์คาร้องเพลงชาติฉบบั แรกสุด ส่วนเน้ือร้องของเพลงชาติน้ัน คณะผูก้ ่อการได้ทาบทามให้ ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพนั ธ์) เป็ นผูป้ ระพนั ธ์ โดยคาร้องท่ีแต่ง ข้ึนน้นั มีความยาว 2 บท สันนิษฐานวา่ เสร็จอยา่ งชา้ ก่อนวนั ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2475 เนื่องจากมีการคนั พบโน้ตเพลงพร้อมเน้ือร้อง ซ่ึงตีพิมพโ์ ดย โรงพิมพศ์ รีกรุง ซ่ึงลงวนั ที่ตีพิมพใ์ นวนั ดงั กล่าวแมเ้ พลงน้ีจะเป็ นเพลงที่ ได้รับความนิยมจากประชาชนทว่ั ไปก็ตาม แต่เพลงน้ีก็ยงั ไม่ได้มีการ ประกาศอย่างเป็ นทางการว่าเป็ นเพลงชาติ และมีการจดจาต่อ ๆ กนั ไป เร่ือย ๆ โดยไม่มีใครรู้ท่ีมาชดั เจน ดงั ปรากฏวา่ มีการคดั ลอกเน้ือเพลงชาติ ของขุนวิจิตรมาตราส่งเขา้ ประกวดเน้ือเพลงชาติฉบบั ราชการ เมื่อ พ.ศ. 2476 โดยอา้ งวา่ ตนเองเป็นผแู้ ตง่ ดว้ ย เน้ือร้องท่ีขุนวิจิตรมาตราประพนั ธ์เริ่มแรกสุดแต่ไม่เป็ นทางการ และ เป็ นฉบบั ตอ้ งห้าม ก่อนท่ีจะมีการแกไ้ ขเม่ือมีการประกวดเน้ือเพลงชาติฉบบั ราชการ ใน พ.ศ. 2476 มีดงั น้ี (โปรดเทียบ กบั เน้ือร้องฉบบั ราชการ พ.ศ. 2477 ในหวั ขอ้ เพลงชาติไทยฉบบั พ.ศ. 2475 และ พ.ศ. 2477) แผน่ ดินสยามนามประเทืองวา่ เมืองทอง ไทยเขา้ ครองต้งั ประเทศเขตตแ์ ดนสง่า สืบชาติไทยดึกดาบรรพบ์ ุราณลงมา ร่วมรักษาเอกราษฎร์ชนชาติไทย บางสมยั ศตั รูจูม่ ารบ ไทยสมทบสวนทพั เขา้ ขบั ไล่ ตะลุยเลือดหมายมุง่ ผดุงผะไท สยามสมยั บุราณรอดตลอดมา อนั ดินแดนสยามคือวา่ เน้ือของเช้ือไทย น้ารินไหลคือวา่ เลือดของเช้ือขา้ เอกราษฎร์คือกระดูกที่เราบูชา เราจะสามคั คีร่วมมีใจ ยดึ อานาจกมุ สิทธ์ิอิสสระเสรี ใครย่ายเี ราจะไมล่ ะให้ เอาเลือดลา้ งใหส้ ิ้นแผน่ ดินของไทย สถาปนาสยามใหเ้ ทิดชยั ไชโย เพลงชาตสิ ยามฉบับราชการ พ.ศ. 2477 ฉนั ท์ ขาวไิ ล ผูป้ ระพนั ธ์เพลงชาติสยามฉบบั ราชการ บทท่ี 3 และบทที่ 4 ในปี พ.ศ. 2477 รัฐบาลไดจ้ ดั ประกวดเน้ือร้องเพลงชาติใหม่ โดยมีคณะกรรมการพิจารณาเพลงชาติเป็ นผดู้ าเนินการ ประกอบด้วย พระเจา้ วรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพนั ธ์ ทรงเป็นประธาน มีกรรมการท่านอ่ืนๆ ดงั น้ีคือ พระเร่ียมวริ ัชพากย,์ พระเจนดุริยางค์, หลวงชานาญ นิติเกษตร, จางวางทว่ั พาทยโกศล และนายมนตรี ตราโมท การประกวดเพลงชาติในคร้ังน้นั ได้ ดาเนินการประกวดเพลงชาติ 2 แบบ คือ เพลงชาติแบบไทย (ประพนั ธ์ข้ึนโดยดดั แปลงจากดนตรี ไทยเดิม) และเพลงชาติแบบสากล ซ่ึงผลการประกวดมีดงั น้ี
80 1. เพลงชาติแบบไทย คณะกรรมการพิจารณาเพลงชาติไดต้ ดั สินให้ผลงานเพลง \"มหานิมิตร\" ซ่ึงประพนั ธ์โดย จางวางทว่ั พาทยโกศล เป็ นผลงานชนะเลิศ เพลงมหานิมิตรน้ีจางวางทว่ั ไดป้ ระพนั ธ์ดดั แปลงมา จากเพลงหนา้ พาทยส์ าคญั ของไทยท่ีมีช่ือวา่ \"ตระนิมิตร\" ใหส้ ามารถบรรเลงเป็ นทางสากล ซ่ึงเพลง ตระนิมิตรน้ี เป็ นเพลงที่ถือวา่ เป็ นเพลงครู นกั ดนตรีจะใชบ้ รรเลงในพิธีสาคญั ต่าง ๆ เช่น งานไหว้ ครู บรรเลงเป็นการอญั เชิญครูบาอาจารย์ เทวดาท้งั หลายมาประชุมกนั เพ่ือความเป็ นสิริมงคล ดงั น้นั จึงมีความหมายอนั ควรแก่การเคารพนบั -ถือเป็นสิริมงคล เหมาะสมที่จะใชเ้ ป็นเพลงชาติไทยได้ รัฐบาลได้ทดลองบรรเลงออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงอยู่ระยะหน่ึง แต่ต่อมาเมื่อ คณะกรรมการพิจารณาเพลงชาติจะเสนอผลการประกวดให้คณะรัฐมนตรี ประกาศรับรองน้ ัน คณะกรรมการฯ ไดป้ ระชุมกนั และมีความเห็นว่า เพลงชาติมีลกั ษณะท่ีบ่งบอกถึงความศกั ด์ิสิทธ์ิ หากมีการใชอ้ ยู่ 2 เพลง จะทาใหค้ ลายความศกั ด์ิสิทธ์ิลง จึงไดต้ ดั สินใจไม่เสนอเพลงชาติแบบไทย ท่ีไดค้ ดั เลือกไวใ้ หค้ ณะรัฐมนตรีประกาศรับรองเป็นเพลงชาติในที่สุด 2. เพลงชาติแบบสากล โนต้ เพลงชาติสยามฉบบั ราชการ พ.ศ. 2477 คณะกรรมการพิจารณาเพลงชาติมีความเห็น ใหใ้ ชท้ านองเพลง ซ่ึงประพนั ธ์โดยพระเจนดุริยางคเ์ ป็ นทานองเพลงชาติแบบสากล สาหรับบทร้อง น้นั ไดค้ ดั เลือกบทร้องของขุนวิจิตรมาตราซ่ึงไดแ้ กไ้ ขเพิ่มเติมเป็ นบทร้องชนะเลิศ และไดเ้ พ่ิมบท ร้องของนายฉันท์ ขาวิไล ซ่ึงเป็ นบทร้องท่ีไดร้ ับรางวลั รองชนะเลิศเขา้ อีกชุดหน่ึง คณะรัฐมนตรี ไดป้ ระกาศรับรองใหเ้ ป็นบทร้องเพลงชาติฉบบั ราชการเมื่อวนั ท่ี 20 สิงหาคม พ.ศ. 2477 บทร้องท้งั ของขุนวิจิตรมาตราและนายฉนั ท์ ประพนั ธ์ในรูปฉนั ทลกั ษณ์แบบกลอนสุภาพ (กลอนแปด) ความยาว 4 บท แตล่ ะบทมี 4 วรรค ผลงานของแตล่ ะคนจึงมีความยาวของบทร้องเป็ น 16 วรรค เม่ือนามารวมกนั แลว้ จึงทาให้บทร้องเพลงชาติท้งั หมดมีความยาวถึง 32 วรรค ซ่ึงนบั ว่า ยาวมาก หากจะร้องเพลงชาติให้ครบท้งั ส่ีบทจะตอ้ งใชเ้ วลาร้องถึง 3 นาที 52 วินาที (เฉลี่ยแต่ละ ท่อนรวมดนตรีนาด้วยท้งั เพลงตกที่ท่อนละ 35 วินาที) ในสมยั น้นั คนไทยส่วนใหญ่จึงนิยมร้อง แต่เฉพาะบทร้องของขนุ วจิ ิตรมาตรา และต่อมาภายหลงั จึงไม่มีการขบั ร้อง คงเหลือแต่เพียงทานอง เพลงบรรเลงเทา่ น้นั
81 เพลงชาติสยามฉบบั สังเขป พ.ศ. 2478 ในปี พ.ศ. 2478 รัฐบาลของพระยาพหลพลพยุหเสนา ไดอ้ อกระเบียบการบรรเลงเพลง สรรเสริญพระบารมีและเพลงชาติ ลงวนั ที่ 4 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2478 (มีผลบงั คบั ใช้ในวนั ที่ 15 กุมภาพนั ธ์ ปี เดียวกนั ) ระเบียบดงั กล่าวน้ีไดม้ ีการกาหนดให้แบ่งการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระ บารมีและเพลงชาติออกเป็ น 2 แบบ คือ การบรรเลงแบบพิสดาร (บรรเลงตามความยาวปกติเต็ม เพลง) และการบรรเลงแบบสังเขป ในกรณีของเพลงชาติน้นั ไดก้ าหนดให้บรรเลงเพลงชาติฉบบั สงั เขปในการพธิ ีท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ประชาชน สโมสรสันนิบาต โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ในพิธีปกติ ส่วนการ บรรเลงแบบเตม็ เพลงน้นั ใหใ้ ชใ้ นงานพธิ ีใหญ่เทา่ น้นั ท่อนของเพลงชาติท่ีตดั มาใช้บรรเลงแบบสังเขปน้นั คือท่อนข้ึนตน้ (Introduction) ของ เพลงชาติ (เทียบกบั เน้ือร้องเพลงชาติฉบบั ปัจจุบนั ก็คือต้งั แต่ท่อน สละเลือดทุกหยาดเป็ นชาติพลี จนจบเพลง) ความยาวประมาณ 10 วนิ าที ไม่มีการขบั ร้องใดๆ ประกอบ เพลงชาติไทย พ.ศ. 2482 - ปัจจุบนั สาเนาประกาศสานกั นายกรัฐมนตรี วา่ ดว้ ยรัฐนิยม ฉบบั ที่ ๖ เรื่อง ทานองและเน้ือร้องเพลง ชาติ ลงวนั ท่ี ๑๐ ธันวาคม ๒๔๘๒ในปี พ.ศ. 2482 \"ประเทศสยาม\" ไดเ้ ปลี่ยนชื่อเป็ น \"ประเทศ ไทย\" รัฐบาลจึงไดจ้ ดั ประกวดเน้ือร้องเพลงชาติไทยใหม่เพ่ือให้สอดคลอ้ งกบั การเปล่ียนแปลงช่ือ ประเทศ โดยกาหนดเงื่อนไขยงั คงใชท้ านองของพระเจนดุริยางคอ์ ยูเ่ ช่นเดิม แต่กาหนดใหม้ ีเน้ือร้อง ความยาวเพียง 8 วรรคเท่าน้นั และปรากฏคาวา่ \"ไทย\" ซ่ึงเป็ นชื่อประเทศอยู่ในเพลงดว้ ย ผลการ ประกวดปรากฏว่าเน้ือร้องของพนั เอกหลวงสารานุประพนั ธ์ ซ่ึงส่งประกวดในนามกองทพั บก ไดร้ ับรางวลั ชนะเลิศ รัฐบาลไทยจึงไดป้ ระกาศรับรองให้ใชเ้ ป็ นเน้ือร้องเพลงชาติไทย โดยแกไ้ ขคา ร้องจากตน้ ฉบบั ที่ส่งประกวดเล็กน้อย เมื่อวนั ท่ี 10 ธันวาคม พ.ศ. 2482 และใช้เรื่อยมาจนถึง ปัจจุบนั เน้ือร้องของหลวงสารานุประพนั ธ์ ซ่ึงส่งประกวดในนามกองทพั บกไทยก่อนแกไ้ ขเป็ น ฉบบั ทางการมีดงั น้ี(สาหรับเน้ือร้องฉบบั ประกาศใชจ้ ริง ดูไดใ้ นหวั ขอ้ เน้ือเพลง) ประเทศไทยรวมเลือดเน้ือชาติเช้ือไทย เป็นประชารัฐไผทของไทยทุกส่วน อยดู่ ารงคงไวไ้ ดท้ ้งั มวล ดว้ ยไทยลว้ นหมายรักสามคั คี ไทยน้ีรักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด เอกราชจะไม่ใหใ้ ครข่มขี่ สละเลือดทุกหยาดเป็ นชาติพลี เถลิงประเทศชาติไทยทวมี ีชยั ชโย การประกวดเพลงชาติคร้ังน้ีไดป้ รากฏหลกั ฐานวา่ มีกวีและผูม้ ีชื่อเสียงในทางการประพนั ธ์ เพลงหลายท่าน เช่น เจา้ พระยาธรรมศกั ด์ิมนตรี แก้ว อจั ฉริยะกุล ชิต บุรทตั เป็ นตน้ ซ่ึงรวมถึง
82 ผปู้ ระพนั ธ์เน้ือเพลงชาติสองฉบบั แรก (ขนุ วจิ ิตรมาตรา และฉนั ท์ ขาวิไล) ไดส้ ่งเน้ือร้องของตนเอง เขา้ ประกวดด้วย แต่ปรากฏว่าไม่ผ่านการตดั สินคร้ังน้นั เฉพาะเน้ือร้องท่ีขุนวิจิตรมาตราแต่งใหม่ น้นั ปรากฏวา่ มีการใชค้ าวา่ \"ไทย\" ถึง 12 คร้ัง ฉบบั ปัจจุบัน ทานอง: พระเจนดุริยางค์ (ปิ ติ วาทยะกร) คาร้อง: พนั เอก หลวงสารานุประพนั ธ์ (นวล ปาจิณพยคั ฆ)์ ในนามกองทพั บก ประเทศไทยรวมเลือดเน้ือชาติเช้ือไทย เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน อยดู่ ารงคงไวไ้ ดท้ ้งั มวล ดว้ ยไทยลว้ นหมาย รักสามคั คี ไทยน้ีรักสงบ แต่ถึงรบไมข่ ลาด เอกราชจะไม่ใหใ้ ครข่มข่ี สละเลือดทุกหยาดเป็ นชาติพลี เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชยั ชโย ตามประกาศคณะการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทศั น์ และกิจการโทรคมนาคม แห่งชาติ เรื่อง หลกั เกณฑก์ ารจดั ทาผงั รายการสาหรับการใหบ้ ริการกระจายเสียงหรือโทรทศั น์ พ.ศ. 2556 กาหนดใหผ้ รู้ ับใบอนุญาตที่ใชค้ ล่ืนความถี่ใหบ้ ริการทวั่ ไปตอ้ งจดั ให้ออกอากาศเพลงชาติไทย ทุกวนั ในเวลา 08.00 น. และ 18.00 น. 3.3 ศาสนาทคี่ นไทยนับถือ ประวตั ิความเป็ นมาของศาสนาพุทธ พุทธศาสนาอุบตั ิข้ึนในขณะท่ีศาสนาด้งั เดิมคือศาสนาพราหมณ์กาลงั เจริญรุ่งเรือง ดงั น้นั เจา้ ชายสิทธตั ถะรวมท้งั พระราชบิดา พระราชมารดาและพระประยรู ญาติท้งั หลายต่างก็นบั ถือ ศาสนาพราหมณ์ท้งั น้นั และยงั มีศาสนาหน่ึงที่เกิดร่วมสมยั ของพุทธศาสนา คือ ศาสนาเชน แต่ใน พุทธประวตั ิไม่ค่อยกล่าวถึง เจา้ ชายสิทธตั ถะราชกมุ ารกรุงกบิลพสั ดุ์ ไดพ้ บความไม่เป็นแก่นสารของโลกและชีวติ จึงเสด็จออกผนวชแสวงหาโมกขธรรม ใช้เวลาทดลองพิสูจน์ตามลทั ธิต่างๆอยู่นานถึง 6 ปี แต่ใน ท่ีสุดก็ทรงเห็นวา่ มิใช่ทางพน้ ทุกข์ จึงทรงละเวน้ ทางเหล่าน้นั เสียกลบั มาใชก้ ารคน้ ควา้ ในทางของ พระองคเ์ อง และในท่ีสุดก็ไดต้ รัสรู้อริยสัจ 4 ในวนั เพญ็ เดือน 6 ก่อนพทุ ธศก 45 ปี
83 ศาสดา พระพุทธเจา้ ทรงถือกาเนิดจากพระเจา้ สุทโธทนะเจา้ กรุงกบิลพสั ดุ์ และพระนางเจา้ มายา โดยทรงประสู ติในวันศุกร์ เพ็ญเดือนวิสาขะ (เดือน 6 ราวเดือนพฤษภาคม) ปี จอ ก่อนพุทธศกั ราช 80 ปี เวลาสาย ใกลเ้ ท่ียง และประสูติท่ีสวนลุมพินีวนั พระเจา้ สุทโธทนะไดเ้ ชิญ พราหมณ์ มาฉนั โภชนาหาร พราหมณ์ไดถ้ วายคาพยากรณ์เป็ น 2 นยั คือ ถา้ พระกุมารทรงอยู่ครอง เพศฆราวาสจักได้เป็ นพระจักรพรรดิยิ่งใหญ่ในโลก และถ้าพระราชโอรสออกผนวชจกั ได้ เป็ นพระศาสดาเอกของโลก หลงั จากน้ันพราหมณ์ท้งั หลายได้ร่วมกันถวายพระนามพระกุมาร วา่ \"สิทธตั ถะ\" แปลวา่ ผตู้ อ้ งการความสาเร็จ เมื่อพระกุมารเจริญวยั มีพระชนมายุได้ 16 พรรษา ได้อภิเษกสมรสกับพระนาง ยโสธรา หลงั จากอภิเษกสมรสได้ 13 พรรษา พระนางยโสธราทรงพระครรภแ์ ละประสูติพระโอรส ทรงมีพระนามวา่ \"ราหุล\" เม่ือเจา้ ชายสิทธตั ถะมีพระชนมายไุ ด้ 29 พรรษา เจา้ ชายสิทธตั ถะเสด็จออกผนวชในคืนท่ีพระโอรสประสูติ ทรงแสวงหาโมกขธรรม โดยการศึกษาในสานกั ดาบส แต่ก็ไม่พบหนทางในการดบั ทุกข์ จึงออกจากสานกั ดาบส แลว้ จึงเร่ิม บาเพญ็ ทุกรกิริยา จนร่างกายซูบผอม กท็ รงเลิก เน่ืองจากไม่ใช่หนทางในการตรัสรู้ จึงทรงใชว้ ธิ ีการ บาเพญ็ เพียรทางจิต จนในวนั ข้ึน 15 ค่า เดือน 6 ก็ตรัสรู้ เป็ นองคพ์ ระพุทธเจา้ ภายหลงั ที่เสด็จออก ผนวช และทรงทาความพากเพยี รพยายามมาตลอดเวลา 6 ปี มีพระชนม์ 35 พรรษา หลงั จากตรัสรู้เป็นพระพทุ ธเจา้ แลว้ ไดท้ รงเผยแผศ่ าสนา โปรดประชาชน พระประยรู ญาติ แสดงธรรมโปรดพระสงฆ์ และทรงบาเพญ็ พุทธกิจตลอด 45 พรรษา พระพุทธองค์เสด็จดบั ขนั ธ์ ปรินิพพานเม่ือพระชนมายไุ ด้ 80 พรรษา คมั ภีร์ คมั ภีร์ศาสนาพุทธ เรียกวา่ \"พระไตรปิ ฎก\" แปลว่า 3 คมั ภีร์ คาวา่ ปิ ฎก แปลวา่ ตะกร้า หรือกระจาด ปิ ฎกท้งั 3 แบ่งออกไดเ้ ป็น 1. วินยั ปิ ฎก คมั ภีร์วา่ ดว้ ย วินยั คือศีลของพระภิกษุ ภิกษุณี มีรายละเอียดในการบญั ญตั ิ แต่ละคร้ังมาก นอกจากน้นั ยงั มีเรื่องเก่ียวกบั ขอ้ ประพฤติปฏิบตั ิ และวิธีดาเนินการในการบริหาร คณะสงฆโ์ ดยพิสดาร 2. สุตตนั ตปิ ฎก คมั ภีร์ว่าดว้ ยพระสูตร คือคาเทศนาส่ังสอนของพระพุทธเจา้ และสาวก มีเร่ืองราวประกอบมาก รวมท้งั รายละเอียดแห่งการท่ีจะทรงโตต้ อบกบั นกั บวชแห่งศาสนาอ่ืน และ ผูท้ ่ีมาซกั ถาม มีการกล่าวถึงภูมิประเทศ เหตุการณ์ บุคคล และวนั เวลา คือกล่าวถึงวา่ ใครทาอะไร ที่ไหน อยา่ งไร เม่ือไร ไวอ้ ย่างครบถว้ น พลอยทาให้ไดป้ ระโยชน์ในการศึกษาประวตั ิศาสตร์ของ ชาวอินเดียดว้ ย
84 3. อภิธรรมปิ ฎก คัมภีร์ว่าด้วย อภิธรรม กล่าวถึงธรรมะล้วนๆ ของพระพุทธองค์ ไมก่ ล่าวถึงเหตุการณ์และสิ่งท่ีมาเก่ียวขอ้ งเหมือนสุตตนั ตปิ ฎก หลกั ธรรม พุทธศาสนาเป็ นศาสนาท่ีมีหลกั ธรรมคาสอนมากมายและละเอียดทุกแง่ทุกมุม จึงขอสรุป หลกั ธรรม ไดด้ งั ต่อไปน้ี 1. โอวาทปาฏิโมกข์ มีใจความสาคญั ดงั น้ี 1. ใหเ้ วน้ จากความชวั่ ท้งั หมด 2. ใหส้ ร้างความดีสม่าเสมอ 3. ใหช้ าระจิตใหบ้ ริสุทธ์ิ 2. อริยสัจ 4 คือ ธรรมท่ีเป็นความจริงอนั ประเสริฐ 4 ประการ ดงั ต่อไปน้ี 1. ทุกข์ หมายถึง ความทุกขท์ ้งั สิ้น 2. สมุทยั เหตุใหเ้ กิดทุกข์ 3. นิโรธ ความดบั ทุกข์ 4. มรรค ทางใหถ้ ึงความดบั ทุกข์ 3. ปฏิจจสมุปบาท ปัจจยั แห่งกนั และกนั มี 12 องคป์ ระกอบ ดงั น้ี 1. อวชิ ชา เป็นปัจจยั ใหเ้ กิดสังขาร 2. สงั ขาร เป็นปัจจยั ใหเ้ กิดวญิ ญาณ 3. วญิ ญาณ เป็นปัจจยั ใหเ้ กิดนามรูป 4. นามรูป เป็นปัจจยั ใหเ้ กิดสฬายตนะ 5. สฬายตนะ เป็นปัจจยั ใหเ้ กิดผสั สะ 6. ผสั สะ เป็นปัจจยั ให้เกิดเวทนา 7. เวทนา เป็นปัจจยั ใหเ้ กิดตณั หา 8. ตณั หา เป็นปัจจยั ใหเ้ กิดอุปาทาน 9. อุปาทาน เป็นปัจจยั ใหเ้ กิดภพ 10. ภพ เป็นปัจจยั ใหเ้ กิดชาติ 11. ชาติ เป็นปัจจยั ใหเ้ กิดชรามรณะ โกสะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนสั อุปายาส 12. ชรามรณะ 4. นิพพาน เป็ นเป้าหมายสูงสุดของชาวพุทธ นิพพาน หมายถึง ความดบั สนิทแห่งกิเลส ถา้ กิเลสดบั สนิทในขณะมีชีวติ อยู่ เรียกวา่ สอุปาทิเสสนิพพาน แต่ท่านท่ีดบั กิเลสสิ้นลม เรียกวา่ อนุ ปาทิเสสนิพพาน
85 5. ไตรลกั ษณ์ แปลว่า ลกั ษณะ 3 หมายถึง กฎธรรมชาติของสรรพส่ิง กฎน้ีมีชื่อเรียกอีก อยา่ งหน่ึงวา่ \"สามญั ลกั ษณะ คือ เป็นลกั ษณะทวั่ ไป\" มีอยู่ 3 ประการ ดงั น้ี 1. อนิจจตา ความเป็นของไม่เท่ียง คือ ไม่คงท่ี ไมถ่ าวร ไม่แน่นอน ทุกส่ิงทุกอยา่ ง ท้งั ส่ิงมีชีวติ และไม่มีชีวติ เปล่ียนแปลงอยตู่ ลอดเวลา 2. ทุกขตา ความเป็นทุกข์ เพราะมีความเปลี่ยนแปลงจึงทนไดย้ าก ทาใหเ้ กิดทุกข์ 3. อนตั ตตา ความเป็นของไม่ใช่ตวั ตน คือบงั คบั ไมใ่ ห้ ไม่อยใู่ นอานาจ เป็นส่ิง สมมติ ไมใ่ ช่ของตนแทจ้ ริง นิกาย ในพระพุทธศาสนามีนิกายแบ่งยอ่ ยออกเป็ น 2 นิกายใหญ่ ซ่ึงเกิดจากการตีความพุทธ พจน์แตกต่างกนั ต้งั แตค่ ร้ังปฐมสงั คายนา คือ 1. นิกายเถรวาท หรื อหินยาน เป็ นนิกายด้ังเดิม ยึดถือหลักพระธรรมวินัยตามที่ พระมหากสั สปเถระ เป็ นตน้ ได้สังคายนาไวเ้ ม่ือพุทธปรินิพพานได้ 3 เดือน เจริญอยูท่ างตอนใต้ ของอินเดีย ไดแ้ พร่หลายไปยงั ประเทศแถบเอเชียใต้ เช่น ศรีลงั กา พม่า ไทย ลาว และเขมร เป็ นตน้ บางคร้ังเรียกนิกายฝ่ ายใต้ 2. มหายานหรืออาจาริยวาท เป็นนิกายที่แยกออกมาใหม่ ยดึ ถือหลกั ธรรมตามการตีความ ใหมแ่ ละการปฏิบตั ิของอาจารยข์ องตน เจริญอยตู่ อนเหนือของอินเดีย ไดแ้ พร่เขา้ ไปสู่ประเทศทิเบต จีน เกาหลี เวยี ดนาม และญ่ีป่ ุน เป็นตน้ บางคร้ังเรียกนิกายฝ่ ายเหนือ พธิ ีกรรม ในพระพุทธศาสนามีพิธีกรรมอาจแบ่งไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ 1. พิธีกรรมเกี่ยวกับงานมงคล เช่น เกี่ยวกบั การเกิด การโกนผมไฟ การบวช การแต่งงาน การข้ึนบา้ นใหม่ การทาบุญวนั เกิด และการทาบุญอนั เพื่อความเป็ นสิริมงคลอื่น ๆ ในเทศกาลตรุษต่างๆ เป็นตน้ 2. พิธีกรรมเกี่ยวกบั งานอวมงคล เช่น งานตายและงานเน่ืองดว้ ยผูต้ าย เป็ นต้น อาจแยกใหเ้ ห็นพิธีกรรมเหล่าน้ีไดด้ งั น้ี 1. พธิ ีปฏิญาณตนเป็นพทุ ธมามกะ 2. พธิ ีถืออุโบสถศีล 3. พธิ ีบรรพชา - อุปสมบท 4. พธิ ีทอดกฐิน 5. พธิ ีทอดผา้ ป่ า 6. พิธีวสิ าขบูชา พิธีทาบุญตกั บาตรพระสงฆ์ 7. พิธีอฏั ฐมีบูชา
86 8. พิธีอาสาฬหบูชา 9. พธิ ีเขา้ พรรษา - ออกพรรษา 10. ประเพณีเกี่ยวกบั การเกิด การตาย เป็นตน้ สัญลกั ษณ์ สัญลกั ษณ์ของพระพทุ ธศาสนามีหลายอยา่ ง แต่มีสญั ลกั ษณ์ที่เป็นที่รู้กนั โดยทว่ั ไป มีดงั น้ี 1.ธรรมจกั ร หมายถึง วงลอ้ แห่งพระธรรม ธรรมจกั รใชแ้ ทนหลกั ธรรม คือ มรรค 8 คือ อริยสัจข้อท่ี 4 ซ่ึงเป็ นธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ธรรมจกั รมี 8 กา ได้รับการรับรองให้เป็ น สัญลกั ษณ์แห่งพุทธศาสนาระดบั ชาติ และธงทางพุทธศาสนา 6 สี (ฉัพพรรณรังสี) ซ่ึงใช้อยู่ใน ประเทศศรีลงั กาในขณะน้ี ไดร้ ับการใหใ้ ชเ้ ป็นธงแห่งพุทธศาสนาระดบั ชาติ แต่พุทธศาสนิกชนชาว ไทย นิยมใชธ้ งธรรมจกั รพ้ืนสีเหลืองมากกวา่ 2.พระพุทธรูป พระพุทธรูปนิยมสร้างข้ึนในอิริยาบถต่างๆ ไวเ้ คารพบูชาแทนองคส์ มเด็จ พระสมั มาสัมพุทธเจา้ เป็ นเหมือนสิ่งแทนคลา้ ยอนุสาวรีย์ ทาใหผ้ ูพ้ บเห็นนอ้ มระลึกถึงพระคุณ คือ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระกรุณาธิคุณของพระพทุ ธองค์ 3.รอยพระพุทธบาท ในสมยั ที่ยงั ไม่มีการสร้างพระพุทธรูป ชาวพุทธนิยมสร้างรอย พระพุทธบาทซ่ึงแทนท้งั องคพ์ ระพทุ ธเจา้ และร่องรอยแห่งความดีท่ีพระพุทธเจา้ ทรงประทบั ไวเ้ ป็ น แบบอยา่ ง 4.ใบโพธ์ิหรือตน้ โพธ์ิ เป็ นตน้ ไมท้ ่ีพระพุทธเจา้ ทรงอาศยั ร่มเงาในระหว่างเวลาที่ทรง บาเพญ็ เพยี ร และไดต้ รัสรู้อริยสัจธรรม เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ศาสนาอสิ ลาม กลุ่มชาติพนั ธุ์ท่ีคนไทยเรียกกนั วา่ \"แขก\" คาดวา่ หมายถึงชาวมุสลิมโดยรวม ท้งั น้ีพ่อคา้ ชาว มุสลิมในคาบสมุทรเปอร์เซียที่เขา้ มาคา้ ขายในแหลมมลายู (อินโดนีเซียและมาเลเซีย) ไดน้ าศาสนา อิสลามเขา้ มาดว้ ย ภายหลงั คนพ้ืนเมืองจึงไดเ้ ปล่ียนมานบั ถือศาสนาอิสลาม ส่วนในประเทศไทยน้ี พบหลกั ฐานวา่ คนไทยไดต้ ิดต่อสัมผสั กบั ชาวมุสลิมต้งั แต่ยุคสมยั สุโขทยั และช่วงกรุงศรีอยุธยา เรื่อยมา โดยชาวมุสลิมบางคนน้ัน เป็ นถึงขุนนางในราชสานัก ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีชาวมุสลิมอพยพมาจากมลายแู ละเปลี่ยนสญั ชาติเป็นไทย นอกจากน้ียงั มีชาวมุสลิมอินเดีย ท่ีเขา้ มา ต้งั รกราก รวมถึงชาวมุสลิมยูนานท่ีหนีภยั จากการเบียดเบียนศาสนาหลงั การปฏิวตั ิคอมมิวนิสต์ ใน ประเทศจีน
87 ชาวมุสลิมเป็นประชากรขนาดใหญท่ ี่สุดเป็นอนั ดบั ท่ี 2 ในประเทศไทย ในบริเวณสี่จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ไดแ้ ก่ จงั หวดั ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล ตลอดจนบางส่วนของจงั หวดั สงขลาและชุมพร มีประชากรส่วนใหญ่เป็ นชาวมุสลิม ประกอบดว้ ยท้งั ผูท้ ่ีมีเช้ือสายไทยและมลายู คนส่วนใหญ่เช่ือกนั วา่ ประชากรชาวมุสลิมส่วนใหญข่ องประเทศอาศยั อยมู่ ากท่ีสุดบริเวณน้ี ประชากรมุสลิมของไทยมีความหลากหลายและมีวฒั นธรรมที่แตกต่างกนั โดยมีกลุ่มเช้ือ ชาติอพยพเข้ามาจากประเทศจีน ปากีสถาน กัมพูชา บังกลาเทศ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เช่นเดียวกบั ชาวไทย ขณะที่มุสลิมในประเทศไทยราวสองในสามมีเช้ือสายมลายู พธิ ีกรรมทางศาสนาอสิ ลาม ศาสนาอิสลาม เป็ นศาสนาท่ีไม่มีนกั บวชหรือนกั พรตในการประกอบพิธีกรรม แต่มุสลิม ทุกคน เป็ นท้งั ฆราวาสและนกั บวชอยูใ่ นตวั คนเดียวกนั และถือหลกั การของศาสนาเป็ นธรรมนูญ สูงสุดในการดารงชีวติ หลกั ปฏิบตั ิทางศาสนกิจท่ีสาคญั มี 5 ประการ มีดงั น้ี 1. การปฏิญาณตน ผูท้ ี่เป็ นมุสลิมจะตอ้ งยืนยนั ดว้ ยวาจาว่า “ไม่มีพระเจา้ อื่นใดนอกจาก อลั เลาะห์ และท่านศาสดา มูฮมั มดั เป็นศาสนทูตของพระองค”์ 2. การละหมาด (นมาซ) เป็ นการเคารพกราบไหวต้ ่อพระเจา้ ดว้ ยอิริยาบถต่าง ๆ ซ่ึงจะตอ้ ง ปฏิบตั ิทุกวนั วนั ละ5 เวลา คือ ก่อนฟ้าสาง บ่าย เยน็ หัวค่า และกลางคืน จะช่วยสกดั ก้นั ความคิด และการกระทาที่ไม่ดีงามต่าง ๆ อยา่ งเป็นระบบตอ่ เนื่องในรอบวนั 3. การถือศีลอด เป็ นการละเวน้ จากการกิน การด่ืม การเสพ การร่วมเพศ การนินทา ตลอดจนการประพฤติทิ่ผดิ บาปทุกอยา่ ง จะกระทาในเดือนรอมฎอนเป็ นเวลา 1 เดือน ท้งั น้ีเพ่ือเป็ น การชาระจิตใจใหบ้ ริสุทธ์ิ ฝึกความอดทนตอ่ การยว่ั ยวนของกิเลส 4. การจ่ายซะกาต หมายถึง การบริจาคทานใหแ้ ก่คนท่ีเหมาะสมตามศาสนบญั ญตั ิ 5. ประกอบพิธีฮัจญ์ หมายถึง การไปประกอบศาสนกิจ เมืองเมกกะ ประเทศ ซาอุดีอาระเบีย โดยผูท้ ่ีจะไปประกอบพิธีฮจั ญ์จะตอ้ งอยใู่ นสภาพท่ีพร้อม กล่าวคือ บรรลุนิติภาวะ มีสุขภาพดี มีทุนทรัพยเ์ พียงพอ และมีความรู้ความเขา้ ใจใน การทาฮจั ญ์ การประกอบพิธีละหมาดในศาสนาอิสลาม
88 ศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสตม์ ีประวตั ิศาสตร์ยาวนานในประเทศไทย ถูกนาเขา้ มาเผยแผโ่ ดยมิชชนั นารี ยโุ รปต้งั แตส่ มยั อาณาจกั รอยธุ ยา ประมาณคริสตท์ ศวรรษ 1550 (พ.ศ. 2093) ศาสนาคริสตม์ ีบทบาท สาคญั ในการพฒั นาประเทศใหท้ นั สมยั โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง ในสถาบนั สังคม การศึกษา สาธารณสุข และเทคโนโลยี ปัจจุบนั ประเทศไทย มีองค์กรคริสตจกั รที่กรมการศาสนารับรองอยู่ 5 องค์กร ได้แก่ สภาประมุขแห่งบาทหลวงโรมนั คาทอลิกแห่งประเทศไทย สภาคริสตจกั รในประเทศไทย สหกิจ คริ สเตียนแห่งประเทศไทย มูลนิธิคริ สตจักรคณะแบ๊บติสต์ และมูลนิธิคริสตจักรวันเสาร์ แ ห่ ง ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย ค ริ ส ต์ศ า ส นิ ก ช น ส่ ว น ใ ห ญ่ อ า ศัย อ ยู่ต า ม ภ า ค เ ห นื อ ภ า ค ก ล า ง ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ และทว่ั ทุกจงั หวดั ในประเทศไทย มีจานวนคริสตศ์ าสนิกชนรวมกนั ราว 820,000 คน (อันดับที่ 3 ในประเทศไทย) ศาสนสถานรวมกันราว 5,500 แห่งท่ัวประเทศ ประกอบดว้ ย 2 นิกาย ไดแ้ ก่ โปรเตสแตนต์ และโรมนั คาทอลิก ส่วนนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ ปกครองโดยมูลนิธิชาวคริสตศ์ าสนิกชนด้งั เดิมออร์โธด็อกซ์ในประเทศไทย พิธีแตง่ งานในโบสถ์ 3.4 สถาบันพระมหากษตั ริย์ ความหมาย พระมหากษตั ริย์ คือ ประมุขหรือผูป้ กครองสูงสุดของประเทศ จะเห็นไดว้ ่าประเทศไทย ต้งั แต่อดีตจนถึงปัจจุบนั มีพระมหากษตั ริยเ์ ป็ นประมุขปกครองประเทศ อนั เกิดจากแนวความคิด ท่ีวา่ แต่เดิมมนุษยย์ งั มีน้อยดารงชีพแบบเรียบง่ายอยูก่ บั ธรรมชาติ และเมื่อมนุษยข์ ยายพนั ธุ์มากข้ึน ธรรมชาติต่าง ๆ เริ่มหมดไป เกิดการแก่งแย่งกันทามาหากิน เกิดปัญหาสังคมข้ึน จึงต้องหา ทางแกไ้ ข คนในสังคมจึงคิดว่าตอ้ งพิจารณาคดั เลือกให้บุคคลที่เหมาะสมและมีความเฉลียวฉลาด ไดร้ ับการแต่งต้งั ให้เป็ นผูพ้ ิจารณาตดั สิน เม่ือเกิดกรณีปัญหาต่าง ๆ ซ่ึงตอ้ งปฏิบตั ิหนา้ ที่ดว้ ยความ บริสุทธ์ิยุติธรรม ทาให้คนในสังคมพอใจ และยินดี ประชาชนท้งั หลายจึงเปล่งอุทานว่า “ระชะ”
89 หรือ “รัชชะ” หรือราชา แปลว่า ผูเ้ ป็ นที่พอใจประชาชนยินดี ต่อมาเลยเรียกว่า พระราชา ดว้ ยเหตุ ที่วา่ การกระทาหนา้ ท่ีดงั กล่าวไม่มีเวลาไปประกอบอาชีพ ประชาชนท้งั หลายพากนั บริจาคยกที่ดิน ให้ จึงเป็ นผูม้ ีที่ดินมากข้ึนตามลาดบั คนท้งั หลายจึงเรียกว่า เขตตะ แปลว่า ผมู้ ีท่ีดินมาก และเขียน ในรูปภาษาสันสกฤตวา่ เกษตตะหรือเกษตร ในท่ีสุดเขียนเป็ นพระมหากษตั ริย์ แปลวา่ ผูท้ ี่มีที่ดิน มาก ดงั น้นั คาวา่ พระมหากษตั ริย์ ความหมายโดยรวม ก็คือ ผทู้ ี่ยึดครอง หวงแหนและขยายผืน แผน่ ดินไวใ้ หแ้ ก่ประชาชนหรืออาณาประชาราษฎร์ ที่พระองคท์ รงเสียสละเลือดเน้ือและชีวิตกอบกู้ เอกราชบา้ นเมืองไวใ้ หช้ นรุ่นหลงั อยา่ งเช่นประเทศไทยของเราน้ี ถา้ ไมม่ ีพระมหากษตั ริยท์ รงยึดถือ ครอบครองผนื แผน่ ดินไทยไว้ คนไทยทุกคนจะมีผนื แผน่ ดินไทยอยทู่ ุกวนั น้ีไดอ้ ยา่ งไร อน่ึง พระมหากษตั ริยใ์ นนานาอารยประเทศท่ีเป็ นประมุขของรัฐท่ีไดร้ ับตาแหน่งโดยการ สืบสันตติวงศน์ ้นั อาจจาแนกประเภทโดยอาศยั พระราชอานาจและพระราชสถานะเป็ น 3 ประการ คือ 1. พระมหากษัตริ ย์ในระบอบสมบูรณาญาสิ ทธิราชย์ (Absolute Monarchy) พระมหากษตั ริยท์ รงเป็ นประมุขของรัฐ มีพระราชอานาจและพระบรมเดชานุภาพเด็ดขาดและลน้ พน้ แต่พระองคเ์ ดียว และในอดีตประเทศไทยเคยใชอ้ ยกู่ ่อนการเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 2. พระมหากษัตริ ย์ในระบอบปรมิตาญาสิทธิราชย์ (Limited Monarchy) คือ พระมหากษตั ริยท์ รงมีพระราชอานาจทุกประการ เวน้ แต่จะถูกจากดั โดยบทบญั ญตั ิของรัฐธรรมนูญ เช่น ประเทศซาอุดิอาระเบีย เป็นตน้ 3. พระมหากษตั ริยภ์ ายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) คือในระบอบน้ี มีพระมหากษตั ริยเ์ ป็ นประมุข แต่ในการใชพ้ ระราชอานาจดา้ นการปกครองน้นั ถูกโอนมาเป็ นของ รัฐบาล พลเรือน และทหาร พระมหากษตั ริยจ์ ึงทรงใชพ้ ระราชอานาจผา่ นฝ่ ายนิติบญั ญตั ิ ฝ่ ายบริหาร และฝ่ าย ตุลาการ พระองค์มิไดใ้ ชพ้ ระราชอานาจ แต่มีองคก์ รหรือหน่วยงานรับผิดชอบต่าง ๆ กนั ไป เช่น ประเทศไทย องั กฤษ และญ่ีป่ ุนในปัจจุบนั เป็นตน้
90 พระมหากษตั ริย์ของไทย หากนบั ยอ้ นอดีตประวตั ิศาสตร์ไทยต้งั แต่สมยั โบราณ คาวา่ ”กษตั ริย”์ หรือนกั รบผูย้ ่งิ ใหญ่ ศึกษาได้จากในสมัยกรุ งสุ โขทัยมีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก จะมีความใกล้ชิด กบั ประชาชนมาก เช่นในสมยั ราชวงศพ์ ระร่วง กษตั ริยจ์ ะมีพระนามข้ึนตน้ ว่า “พ่อขุน” เรียกว่า พ่อขุนศรี อิ นทราทิตย์ พ่อขุนรามคาแหง ใ นสมัย ก รุ งศรี อยุธ ย าได้รั บคติ พราหมณ์ มาจากขอมเรียกวา่ เทวราชา หรือ สมมติเทพ หมายถึง พระมหากษตั ริยท์ รงเป็ นเทพมาอวตารเพื่อ ปกครองมวลมนุษย์ ทาให้ชนช้ันกษัตริย์มีสิทธิอานาจมากท่ีสุดในอาณาจักร และห่างเหิน จากชนช้นั ประชาชนมาก ในสมยั ราชวงศ์อู่ทอง จึงมีพระนามข้ึนตน้ วา่ “สมเด็จ” เรียกวา่ สมเด็จ พระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจา้ อู่ทอง) สมเด็จพระราเมศวร หรือในสมยั รัตนโกสินทร์ แห่งมหาจกั รี บรมราชวงศ์ เริ่มดว้ ยรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลปัจจุบนั คือรัชกาลท่ี 10 ซ่ึงเป็ นการยกยอ่ งเทิดทูลสถาบนั องคพ์ ระมหากษตั ริย์ จึงมีพระนามข้ึนตน้ วา่ พระบาทสมเด็จ เช่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รัชกาลท่ี 5) พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลท่ี 9 ) ดงั น้นั คาวา่ “พระมหากษตั ริยข์ องไทย” อาจมีคาเรียกท่ีแตกต่างกนั ตามประเพณีนิยม หรือ ธรรมเนียมที่เคยปฏิบตั ิสืบต่อกนั มา เช่นเรียกวา่ พระราชา เจา้ มหาชีวติ เจา้ ฟ้า เจา้ แผน่ ดิน พ่อเมือง พระเจา้ แผน่ ดิน พระเจา้ อยหู่ วั หรือในหลวง ฯลฯ และพระมหากษตั ริยเ์ ป็นไดด้ ว้ ยการสืบสันตติวงศ์ หรื อโดยการยึดอานาจจากพระมหากษัตริ ย์พระองค์เดิมแล้วปราบดาภิเษกตนเองข้ึน เป็ นพระมหากษตั ริย์ ท้งั น้ีในการสืบสันตติวงศ์ต่อกนั มาโดยเช้ือพระวงศ์ เรียกว่า พระราชวงศ์ เมื่อสิ้นสุดการสืบทอดโดยเช้ือพระวงศ์ ด้วยเหตุอื่นใดก็ตาม พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ จะเป็นตน้ พระราชวงศใ์ หมห่ รือเป็นผสู้ ถาปนาพระราชวงศ์ พระมหากษตั ริย์ไทยกบั รัฐธรรมนูญ ในอดีตพระมหากษตั ริยท์ รงเป็ นเจา้ ของชีวติ และเจา้ แผน่ ดิน กล่าวคือ ทรงพระบรมเดชานุ ภาพเป็ นลน้ พน้ โดยหลกั แลว้ จะโปรดเกลา้ ฯ ให้ผใู้ ดสิ้นชีวติ ก็ยอ่ มกระทาได้ และทรงเป็ นเจา้ ชีวิต ของท่ีดินตลอดทั่วราชอาณาจักร แต่เม่ือภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเม่ือ วนั ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ระบบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชยเ์ ป็ นระบอบ ประชาธิปไตยซ่ึงมีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็ นประมุข ทาให้พระราชสถานะของพระมหากษตั ริย์
91 ได้เปลี่ยนแปลงไปด้วยคือ ทรงเปล่ียนฐานะเป็ นพระมหากษตั ริย์ในระบอบประชาธิปไตยท่ีมี รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายแมบ่ ทในการใชพ้ ระราชอานาจท้งั ปวง พระราชสถานะและพระราชอานาจของพระมหากษัตริย์ รูปแบบของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ได้กาหนดไวใ้ นรัฐธรรมนูญไทย ทุกฉบับอันเป็ นกฎหมายแม่บทสู งสุ ดในการปกครองประเทศ จะต้องกล่าวถึงสถาบัน พระมหากษตั ริยไ์ วใ้ นรัฐธรรมนูญ เพราะรูปแบบประมุขของประเทศไทย คือ พระมหากษตั ริย์ ที่สื บเน่ืองกันมาอย่างยาวนาน ตามประเพณี การปกครองไทยในระบอบประชาธิปไตย อนั มีพระมหากษตั ริยเ์ ป็ นประมุข และตามรัฐธรรมนูญพระมหากษตั ริยจ์ ะมีพระราชสถานะและ ตาแหน่งหนา้ ท่ีต่าง ๆ มี 2 ประการ คือ 1. พระราชสถานะและพระราชอานาจของพระมหากษัตริย์ทบี่ ญั ญตั ไิ ว้ในรัฐธรรมนูญ เป็ นการกล่าวถึงพระมหากษัตริ ย์ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ เช่น พระมหากษตั ริยเ์ ป็ นองคพ์ ระประมุข หรือพระมหากษตั ริยเ์ ป็ นอคั รศาสนูปถมั ภก รวมท้งั ทรงดารง ตาแหน่งจอมทพั ไทย ดงั ปรากฏในพระราชบญั ญตั ิธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามช่วั คราว พุทธศกั ราช 2475 (พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ) หมวด 2 กษตั ริย์ มาตรา 3 กล่าววา่ “กษตั ริยเ์ ป็นประมุขสูงสุดของประเทศ พระราชบญั ญตั ิก็ดี คาวินิจฉยั ของ ศาลกด็ ี การอื่น ๆ ซ่ึงจะมีบางกฎหมายระบุไวโ้ ดยเฉพาะก็ดี จะตอ้ งกระทาในนามของกษตั ริย”์ และ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช 2560 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร(รัชกาลท่ี 10) หมวดท่ี 2 พระมหากษัตริ ย์ มาตรา 6 กล่าวว่า “องค์ พระมหากษตั ริยท์ รงดารงอยู่ในฐานะอนั เป็ นที่เคารพสักการะ ผูใ้ ดจะละเมิดมิได้ ผูใ้ ดจะกล่าวหา หรือฟ้องร้องพระมหากษตั ริยใ์ นทางใด ๆ มิได”้ 2. พระราชสถานะและพระราชอานาจของพระมหากษัตริย์ตามประเพณกี ารปกครอง ตามหลกั ทว่ั ไป พระมหากษตั ริยม์ ีพระราชอานาจนอกเหนือจากที่กล่าวขา้ งตน้ คือแต่เดิม พระมหากษตั ริย์ มีอานาจสิทธิขาดในทุก ๆ เรื่อง และทุก ๆ กรณีแต่ผเู้ ดียว ต่อมาเมื่อมีรัฐธรรมนูญ เป็ นลายลกั ษณ์อกั ษรจากดั พระราชอานาจของพระมหากษตั ริย์ ถ้ากรณีใดไม่มีบทบญั ญตั ิไวใ้ น รัฐธรรมนูญหรื อกฎหมายกาหนดขอบเขตหรื อเงื่อนไขของการใช้พระราชอานาจของ พระมหากษตั ริยไ์ ว้ พระมหากษตั ริยก์ ็จะยงั คงมีพระราชอานาจเช่นน้นั อยู่โดยผลของธรรมเนียม
92 ปฏิบตั ิ (Convention) ซ่ึงมีค่าบงั คบั เป็ นรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกนั เช่น พระราชอานาจในภาวะวกิ ฤต กล่าวคือ เมื่อเกิดวิกฤตร้ายแรงทางการเมืองถึงการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็ น เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หรือ 17-20 พฤษภาคม 2535 ก็ดี จะเห็นว่าพระมหากษตั ริยท์ รงเขา้ มา ระงบั เหตุร้อนให้สงบเย็นลงได้อย่างอศั จรรย์ เป็ นตน้ หรือกรณีพระราชอานาจในการยบั ย้งั ร่าง กฎหมาย[3] กรณีของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 โดยหลักแล้ว ร่างกฎหมายไม่ว่าจะร่างรัฐธรรมนูญแกไ้ ขเพ่ิมเติม ร่างพระราชบญั ญตั ิหรือร่างพระราชบญั ญตั ิ ประกอบรัฐธรรมนูญ เม่ือได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว นายกรัฐมนตรีต้องนาทูลเกล้า ทูลกระหม่อม ภายใน 20 วนั เพ่ือพระมหากษตั ริยท์ รงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อประกาศในราช กิจจานุเบกษาแลว้ บงั คบั ใชเ้ ป็นกฎหมายได้ และในกรณีท่ีพระมหากษตั ริยไ์ ม่ทรงเห็นชอบดว้ ยและ พระราชทานคืนมายงั รัฐสภา หรือเมื่อพน้ 90 วนั แลว้ มิไดพ้ ระราชทานคืนมา รัฐสภาจะตอ้ งปรึกษา ร่างรัฐธรรมนูญแกไ้ ขเพม่ิ เติม ถา้ รัฐสภามีมติยนื ยนั ตามเดิมดว้ ยคะแนนเสียงไมน่ อ้ ยกวา่ 2 ใน 3 ของ จานวนสมาชิกท้งั หมดเท่าท่ีมีอยู่ของท้งั สองสภาแล้ว นายกรัฐมนตรีตอ้ งนาร่างกฎหมายน้ันข้ึน ทูลเกลา้ ถวายอีกคร้ังหน่ึง เม่ือพระมหากษตั ริยม์ ิไดท้ รงลงพระปรมาภิไธยพระราชทานคืนมาภายใน 30 วนั นายกรัฐมนตรีตอ้ งนารัฐธรรมนูญแกไ้ ขเพ่ิมเติม หรือพระราชบญั ญตั ิ หรือพระราชบญั ญตั ิ ประกอบรัฐธรรมนูญน้ันประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บงั คบั เป็ นกฎหมายได้ เสมือนหน่ึงว่า พระมหากษัตริย์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว (มาตรา 94) เป็ นต้น พระมหากษตั ริย์ไทย ในพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั กบั ความภาคภูมิใจของคนไทยท้งั ประเทศเป็ นที่น่ายนิ ดีกบั คนไทย ท้งั ประเทศ เนื่องดว้ ยในวนั ท่ี 9 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ที่ผา่ นมา เป็ นวนั ครบ 60 ปี ของกษตั ริยไ์ ทย ในการครองราชยข์ องพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ ัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช โดยรัฐบาลใช้ช่ือวา่ “การจดั งานฉลองสิริราชสมบตั ิครบ 60 ปี ” ชื่อพระราชพิธี คือ “พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบตั ิครบ 60 ปี ” และมีช่ือพระราชพิธีภาษาองั กฤษคือ “The Sixtieth Anniversary Celebration of His Majesty’s Accession to the Throne” และประเทศที่มีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็ นประมุขจาก 30 ประเทศเสด็จพระราชดาเนินมาดว้ ยพระองคเ์ อง และ 12 ประเทศ ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ แต่งต้งั ผูแ้ ทนพระองค์ให้ปฏิบตั ิพระราชกรณียกิจแทน นบั เป็ นการชุมนุมของประมุขจากประเทศ ต่าง ๆ มากท่ีสุดในโลก จึงขอกล่าวได้ว่า “สาหรับประเทศไทยถือว่าเป็ นปี แห่งศุภวาระมงคล ท่ีพระองค์ทรงครองสิริราชสมบตั ิมา ณ บัดน้ี ถึงมหามงคลสมัยท่ีจะฉลองเฉลิมพระเกียรติ ในการครองสิริราชสมบตั ิครบ 60 ปี อนั ยาวนานที่สุดยงิ่ กวา่ พระมหากษตั ริยพ์ ระองคใ์ ดในพระราช พงศาวดารในสยามประเทศ”
93 พระราชพธิ ีฉลองสิริราชสมบตั ิครบ 60 ปี ของพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช(รัชกาลที่ 9) สมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (พระราชสมภพ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495) เป็นพระมหากษตั ริยไ์ ทย รัชกาลที่ 10 แห่งราชวงศจ์ กั รี เสด็จข้ึนทรงราชยเ์ ม่ือวนั ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 จนถึงปัจจุบนั เป็นพระราชโอรสพระองคเ์ ดียวในพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจา้ สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (รัชกาลที่ 10)
94 แบบฝึ กหัด บทท่ี 4 เรื่อง สัญลกั ษณ์ของชาตไิ ทย ตอนที่ 1 ให้นักศึกษาดูภาพทก่ี าหนดให้แล้วตอบคาถามในประเด็นทกี่ าหนด ภาพ คาอธบิ าย ความสาคญั ......................................... ......................................... ......................................... ......................................... .......................................... .......................................... .......................................... .......................................... ......................................... ......................................... ......................................... ......................................... .......................................... .......................................... .......................................... .......................................... ......................................... ......................................... ......................................... ......................................... .......................................... .......................................... ........................................... .......................................... ......................................... ......................................... ......................................... ......................................... .......................................... .......................................... .......................................... .......................................... ......................................... ......................................... ......................................... ......................................... .......................................... .......................................... .......................................... ..........................................
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109