โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 45 บทท่ี 5 โครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภทสิ่งประดษิ ฐ์ 1. บอกลกั ษณะสาคญั ของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ประเภทส่ิงประดิษฐไ์ ด้ 2. กาหนดตวั แปร ในการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ประเภทส่ิงประดิษฐไ์ ด้ 3. ทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ประเภทส่ิงประดิษฐ์ ตามที่กาหนดใหไ้ ด้
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 46 ลกั ษณะสาคญั ของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภทสิ่งประดษิ ฐ์ ลกั ษณะที่สาคญั ของโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทส่ิงประดิษฐ์ คือ ประยุกต์ ทฤษฎี หรือหลกั การทางวิทยาศาสตร์ เพ่ือ สร้าง ประดิษฐ์ หรือพฒั นาอุปกรณ์ เคร่ืองมือ เครื่องใช้ สาหรับประโยชน์การใชส้ อยต่าง ๆ มีการกาหนดตวั แปรท่ีตอ้ งศึกษาคลา้ ยกบั โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทการทดลอง แต่ผลของโครงงานประเภทน้ีจะไดอ้ ุปกรณ์ หรือส่ิงประดิษฐ์ และมีขอ้ มูลต่าง ๆ ประกอบดว้ ย ซ่ึงต่างจากโครงงานวิทยาศาสตร์ ประเภทการทดลองตรงที่ผลของโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทการทดลองจะมีเฉพาะ ขอ้ มูลเท่าน้ัน ในการกาหนดตวั แปรของโครงงานประเภทน้ีจะมีการกาหนดตวั แปร ท่ีจะศกึ ษา ซ่ึงส่วนใหญ่จะกาหนดตวั แปรท่ีศึกษาในดา้ นต่าง ๆ ดงั น้ี 1. ตวั แปรตน้ 2. ตวั แปรตาม 3. ตวั แปรท่ีตอ้ งควบคุม จะตอ้ งควบคุมสิ่งท่ีจะทาใหผ้ ลการวดั ตวั แปรตาม คลาดเคล่ือนจะควบคุมอะไรบา้ งข้ึนอยกู่ บั ชนิดของส่ิงประดิษฐ์ จะเห็นได้ว่า โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทสิ่ งประดิษฐ์จะมีการกาหนด และควบคุมตวั แปรเช่นเดียวกบั โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทการทดลอง ถา้ การทา สิ่งประดิษฐ์ข้ึนมาโดยไม่มีวิธีการทางวิทยาศาสตร์แล้วจะไม่จัดว่าเป็ นโครงงาน วิทยาศาสตร์ประเภทส่ิงประดิษฐ์ แต่จัดเป็ นงานประดิษฐ์ นอกจากน้ีโครงงาน- วทิ ยาศาสตร์ประเภทสิ่งประดิษฐอ์ าจจะมีลกั ษณะเป็นแบบจาลองกไ็ ด้ แต่ตอ้ งแสดง ให้ เห็นการทางานของแบบจาลองน้นั จริง ๆ ลกั ษณะเด่นของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภท ส่ิงประดิษฐ์นอกจากจะมีข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากการศึกษาทดลองข้ันต้น เพ่ือนามา ประกอบในการใช้งานได้จริง หรือแบบจาลองที่แสดงการทางาน แลว้ ยงั มองเห็น ประโยชน์ของการนาไปใชไ้ ดช้ ดั เจนจึงเป็ นโครงงานท่ีผูช้ มมกั ใหค้ วามสนใจเป็นอย่าง มาก
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 47 ผงั กราฟิ กลกั ษณะสาคญั ของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภทส่ิงประดษิ ฐ์ - ตวั แปรตน้ - ตวั แปรตาม - ตวั แปรควบคุม มีการกาหนดตวั แปรในการศกึ ษา ผลท่ีไดจ้ ากการทาโครงงาน โครงงานวทิ ยาศาสตร์ คุณภาพของชิ้นงาน คือ อุปกรณ์หรือส่ิงประดิษฐ์ ประเภทสิ่งประดษิ ฐ์ คือ การนาไปใชง้ าน แบบจาลองส่ิงประดิษฐ์
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 48 การกาหนดตวั แปรในการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ประเภทส่ิงประดษิ ฐ์ เนื่องจากโครงงานประเภทน้ีมีการกาหนดตวั แปรที่จะศึกษาคลา้ ยกบั โครงงาน- วิทยาศาสตร์ประเภทการทดลอง ซ่ึงมีท้ังตัวแปรต้น (ตัวแปรอิสระ) ตัวแปรตาม และตวั แปรที่ตอ้ งควบคุม ส่วนใหญ่จะกาหนดตวั แปรที่ศกึ ษาในดา้ นต่าง ๆ ดงั น้ี 1. ตวั แปรตน้ ส่วนมากจะศกึ ษาในดา้ น - รูปทรง หรือ โครงสร้าง - ชนิดของวสั ดุที่เหมาะสมในการทาส่ิงประดิษฐ์ 2. ตวั แปรตาม ส่วนมากจะวดั คุณภาพของสิ่งประดิษฐ์ ซ่ึงกาหนดเกณฑก์ ารวดั แตกต่างกนั ออกไปตามชนิดของสิ่งประดิษฐ์ 3. ตวั แปรที่ต้องควบคุม จะต้องควบคุมส่ิงที่จะทาให้ผลการวดั ตวั แปรตาม คลาดเคล่ือนจะควบคุมอะไรบา้ งข้ึนอยกู่ บั ชนิดของส่ิงประดิษฐ์ ดัง น้ ัน ก า ร ท า โ ค ร ง ง า น ป ร ะ เ ภ ท น้ ี จึ ง ต้อ ง น า วิ ธี ก า ร ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ ม า ใ ช้ ในการประดิษฐ์จึงจดั เป็ นโครงงานวิทยาศาสตร์ ถา้ ไม่มีวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ จดั เป็นงานประดิษฐ์ ตวั อยา่ งการกาหนดตวั แปร ตวั แปรตน้ : รูปทรงของเคร่ืองฟักไข่แบบต่าง ๆ ตวั แปรตาม : ความสะดวกของการใชง้ าน การประหยดั ไฟ ตวั แปรควบคุมขนาดของขดลวด : ไข่ที่ฟักตอ้ งเหมือนกนั , วสั ดุท่ีใชท้ าเคร่ืองฟักไข่, ระยะเวลาท่ีใชใ้ นการฟักไข่ ทราบหรือไม่ว่า ! ดร.อาจอง ชุมสาย ณอ ยธุ ยา นกั วทิ ยาศาสตร์ไทยท่ีมี ความสามารถในการคิดการลงจอดของยานอวกาศบนดาวองั คารไดส้ าเร็จ ในวยั เดก็ มีนิสยั เกเร ชอบอาละวาด และเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่ทุกอยา่ ง กส็ าเร็จไดจ้ ากการฝึ กสมาธิเป็นประจา....
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 49 ข้นั ตอนการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภทส่ิงประดษิ ฐ์ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภทส่ิงประดิษฐ์ เป็นการพฒั นาหรือประดิษฐเ์ คร่ืองมือ เครื่องใช้ อุปกรณ์ต่าง ๆ ใหใ้ ชง้ านไดต้ ามวตั ถุประสงคโ์ ดยอาศยั ความรู้ หรือ หลกั การทางวทิ ยาศาสตร์มาประยกุ ตใ์ ช้ อาจเป็นการประดิษฐส์ ิ่งใหม่ท่ียงั ไม่เคย มี มาก่อน หรือการปรับปรุงเคร่ืองมือ เครื่องใช้ อุปกรณ์ สิ่งประดิษฐท์ ่ีมีอยแู่ ลว้ ใหใ้ ชง้ านไดด้ ีมีประสิทธิภาพสูงข้ึน นอกจากน้นั อาจเป็นการเสนอหรือสร้างแบบจาลอง ทางความคิด เพอ่ื แกป้ ัญหาใดปัญหาหน่ึงกไ็ ด้ ข้นั ตอนในการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภทสิ่งประดิษฐ์ 1. ออกแบบสิ่งประดิษฐท์ ่ีคิดไว้ 2. นาหลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ท่ีใชใ้ นการประดิษฐม์ าประกอบคาอธิบาย เพอ่ื ใหส้ ่ิงประดิษฐน์ ่าเชื่อถือข้ึน 3. ทดลองประดิษฐส์ ิ่งประดิษฐ์ 4. ทดลองใชห้ รือทดสอบประสิทธิภาพเพ่อื แกไ้ ขขอ้ บกพร่องก่อนนาไปใชจ้ ริง 5. นาไปใชจ้ ริงตามที่กาหนดจุดมุ่งหมายไวเ้ พ่อื เปรียบเทียบประสิทธิภาพ ของการใชง้ าน
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 50 ตวั อย่างการออกแบบโครงงานสิ่งประดิษฐ์ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ เร่ือง เครื่องมือหยอดป๋ ุยอยา่ งง่าย จุดมุ่งหมาย ออกแบบเครื่องมือสาหรับหยอดป๋ ุยเพื่ออานวยความสะดวก หลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ทใ่ี ช้ในการออกแบบเคร่ืองมือ - การไหลของวสั ดุจากท่ีสูงลงสู่ที่ต่าตามแรงโนม้ ถ่วงของโลก - หลกั การของคาน กาหนดตวั แปร ตวั แปรตน้ รูปทรงของเคร่ืองมือหยอดป๋ ุยอยา่ งง่าย ตวั แปรตาม ประสิทธิภาพในการใชง้ าน (สะดวก และปลอดภยั ) ตวั แปรควบคุม ขนาดของเคร่ืองมือหยอดป๋ ุย, ปริมาณป๋ ุยท่ีใช้ วธิ ดี าเนินการ วสั ดุอุปกรณ์ - แกลลอนน้ามนั เก่าสาหรับใส่ป๋ ุย - ท่อ พี วี ซี - ไมส้ าหรับทาคาน - อุปกรณ์กกั และปล่อยป๋ ุย วธิ ีทา 1. เลือกแกลลอนน้ามนั เก่าท่ีมีมือจบั ดา้ นขา้ ง ใชม้ ีดเปิ ดช่องสาหรับ ใส่ป๋ ุยดา้ นบน ออกแบบการเปิ ดใหส้ ะดวกและสามารถปิ ดไม่ใหป้ ๋ ุย หกออกมาได้ 2. ต่อท่อ พี วี ซี ท่ีปากแกลลอนใหเ้ ป็นทางออกของป๋ ุยโดยใช้ สายพลาสติกที่มีขนาดเท่ากบั ท่อ พี วี ซี ยาวประมาณ 10 นิ้ว เป็นทางออกของป๋ ุย 3. ใชแ้ ผน่ โลหะเป็นท่ีกกั และปล่อยป๋ ุยตามปริมาณท่ีตอ้ งการ 4. 5. ตวั เชื่อมรัดดว้ ยแผน่ อลูมิเนียมใหแ้ น่น 6. ติดคานสปริง 4. นาสิ่งประดิษฐท์ ่ีไดม้ าทดสอบประสิทธิภาพการใชง้ าน
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 51 บทท่ี 6 โครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภททฤษฎี 1. บอกลกั ษณะสาคญั ของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ประเภททฤษฎีได้ 3. หาแนวทางในการนาคาอธิบาย สูตร สมการ กฎ และทฤษฎี เพอ่ื ใชใ้ นการทา โครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภททฤษฎีได้ 3. ฝึกทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ประเภททฤษฏีตามข้นั ตอนได้
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 52 ลกั ษณะสาคญั ของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภททฤษฎี โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททฤษฎี เป็ นการสร้างทฤษฎี หรือคาอธิบาย เป็นโครงงานท่ีเสนอแนวคิดใหม่ ๆ ในการอธิบายเรื่องใดเรื่องหน่ึงอยา่ งมีเหตุผล โดย ใชห้ ลกั การทางวิทยาศาสตร์ หรือทฤษฎีสนบั สนุนอา้ งอิง โครงงานประเภทน้ี ผูท้ า โครงงานจะตอ้ งมีพ้ืนฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็ นอย่างดี จะตอ้ งศึกษาคน้ ควา้ เร่ืองราวท่ีเกี่ยวขอ้ งอย่างมาก จึงจะสร้างคาอธิบายหรือทฤษฎีได้ และสามารถเสนอ โครงงานประเภทน้ีไดอ้ ยา่ งมีเหตุผลน่าเชื่อถือ ตวั อยา่ งโครงงานประเภทน้ี ไดแ้ ก่ โครงงานเรื่อง “ กาเนิดของทวปี และมหาสมุทร ” เป็นการสร้างแบบจาลอง ทฤษฎีอธิบายการเกิดทวปี และมหาสมุทรวา่ เกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร โดยอาศยั หลกั ฐาน ทางประวตั ิศาสตร์และทฤษฎีทางวทิ ยาศาสตร์มาอา้ งอิงซ่ึงเป็นแนวความคิดท่ีแตกต่าง ไปจากแนวความคิดเดิมที่เคยมีผเู้ สนอไวก้ ่อนแลว้ โครงงานเรื่อง “ คล่ืนการเดินของกงิ่ กือ ” ของโรงเรียนเตรียมอุดมศกึ ษา กรุงเทพมหานคร โครงงานเร่ือง “ การใช้สมการการวเิ คราะห์ถดถอย (Multiple regession) ในการประมาณพืน้ ทรี่ าบขนมปังพ่นด้วยสารละลายพาราเซตามอล ” ของโรงเรียน บดินทรเดชา โครงงานเร่ือง “ ผลติ แกส็ ชีวภาพจากมูลววั ” ของโรงเรียนบา้ นหว้ ยมุ่น นอกจากน้ียงั มีโครงงานประเภททฤษฎีของนกั วทิ ยาศาสตร์หลายท่าน เช่น - โครงงานประเภททฤษฎีของ ชาลส์ ดาร์วนิ - โครงงานประเภททฤษฎีของ เซอร์ ไอแซกนิวตนั - โครงงานประเภททฤษฎีของ อลั เบิร์ต ไอนส์ ไตน์ จะเห็นไดว้ า่ นกั วทิ ยาศาสตร์ท่ีสาคญั ของโลกใชว้ ธิ ีการศกึ ษาคน้ ควา้ หาขอ้ มูล
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 53 ไดจ้ นประสบความสาเร็จโดยการทาโครงงานจนสามารถนามาสรุปเป็นทฤษฎีที่ยอมรับ กนั ทว่ั โลก และที่สาคญั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็น พระมหากษตั ริยท์ ี่เป็นแบบอยา่ งของการทาโครงงาน (หรือโครงการ) เพื่อแกป้ ัญหาความ เดือดร้อนของราษฎรในทุกพ้นื ที่ โดยจดั ทาเป็นโครงการพระราชดาริต่าง ๆ มากมาย ทรง ใชพ้ ระราชวงั จิตรลดารโหฐาน กรุงเทพฯ เป็นหอ้ งทดลองโครงการต่าง ๆ ทางการเกษตร จนไดร้ ับการยกยอ่ งจากชาวต่างชาติวา่ เป็น กษตั ริย์เกษตร หรือ พระมหากษตั ริย์ นักพฒั นา ตัวอย่างโครงการตามพระราชดาริ - โครงการทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง เพือ่ แกป้ ัญหาวกิ ฤตเศรษฐกิจในปันจุบนั - โครงการทฤษฎีแกม้ ลิง เพอ่ื แกป้ ัญหาน้าท่วมกรุงเทพ - โครงการทฤษฎีแกลง้ ดิน เพอ่ื แกป้ ัญหาดินเปร้ียวบริเวณดินพรุในภาคใต้ จะเห็นไดว้ า่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ฯ ทรงใชว้ ธิ ีการแกป้ ัญหา ความเดือดร้อนยากจนของราษฎรดว้ ยวธิ ีการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ หรือ เรียกเป็น ราชาศพั ทว์ า่ “ โครงการพระราชดาริ ”
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 54 ผงั กราฟิ กลกั ษณะสาคญั ของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภททฤษฎี ผจู้ ดั ทาตอ้ งมีความรู้พ้นื ฐาน ทางวทิ ยาศาสตร์เป็นอยา่ งดี มีหลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ เสนอในรูปของ อธิบายหรือทฤษฎีสนบั สนุน ประเภททฤษฎี สูตรหรือสมการ ผจู้ ดั ทาตอ้ งเสนอแนวคิดใหม่ ๆ ในการอธิบายเรื่องใดเรื่องหน่ึง อยา่ งมีเหตุผล
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 55 แนวทางการนาคาอธิบาย สูตร สมการ กฎ และ ทฤษฎเี พื่อใช้ในการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ประเภททฤษฎี เน่ืองจากการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภททฤษฎี จะตอ้ งอธิบายถึงทฤษฎีเก่า ในแนวใหม่ หรือสร้างทฤษฎีใหม่เพื่อลม้ ลา้ งทฤษฎีเก่า หรือนาทฤษฎีเก่ามาปรับใชเ้ พ่ือ เป็นแนวทางการศึกษา ในเร่ืองท่ีตอ้ งการหาคาตอบ ดงั น้นั ผทู้ าโครงงานประเภทน้ีจะตอ้ ง มีความรู้ในเร่ืองน้นั ๆ อย่างลึกซ้ึง จึงมีผูท้ าโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทน้ี น้อยมาก ซ่ึงถา้ มีการจดั ทาส่วนใหญ่จะเป็นโครงงานทางคณิตศาสตร์ หรือ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ บริสุทธ์ิ หรือดาราศาสตร์ ถา้ ผูเ้ รียนสนใจจะทาโครงงานประเภทน้ี ควรเร่ิมจากการศึกษาคน้ ควา้ เกี่ยวกบั คาอธิบาย สูตร สมการ กฎ ทฤษฎี และจะตอ้ งทาความเขา้ ใจกบั ส่ิงที่เลือกมาเป็ น แนวทางศึกษาอย่างลึกซ้ึง เช่น คาอธิบายท่ีว่า “ วตั ถุเมื่อถูกความร้อนจะขยายตวั ” ซ่ึงหมายความว่า วตั ถุที่เป็ นของแข็งเมื่อถูกความร้อนจะเกิดการขยายตวั หรือมีขนาด แตกต่างไปจากเดิม จากคาอธิบายน้ีไดม้ ีการนาหลกั การมาใช้ในการสร้างทางรถไฟ สร้างถนน ก่อสร้างสะพาน เพื่อป้องกนั การขยายตวั กล่าวคือ ในการสร้างทางรถไฟ เมื่อต้องการเชื่อมทางรถไฟจะไม่ใช้เหล็กเส้นเดียวที่มีความยาวมาก ๆ ตลอดแนว แต่ตอ้ งใชเ้ หล็กวางเป็นช่วง ๆ เม่ือวางท่อนเหลก็ ต่อกนั จะตอ้ งเวน้ ระยะระหว่างท่อนไว้ พอประมาณเพ่ือป้องกนั การขยายตวั ของเหลก็ เมื่อไดร้ ับความร้อนจากดวงอาทิตย์ ซ่ึงถา้ วางชิดติดกนั จะมีผลทาใหท้ างรถไฟเกิดการโคง้ งอซ่ึงเป็นสาเหตุทาใหร้ ถไฟตกรางได้ ดงั น้นั การมีความรู้พ้ืนฐานทางวทิ ยาศาสตร์และทาความเขา้ ใจเก่ียวกบั คาอธิบาย สูตร สมการ กฎ และทฤษฎี จึงเป็ นหัวใจสาคญั ในการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ประเภทน้ี
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 56 ตวั อยา่ ง คาอธิบาย สูตร สมการ กฎ และทฤษฎี เพ่ือเป็นแนวทาง ในการจดั ทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภททฤษฎี โดยใชผ้ งั กราฟิ ก เสนอมโนทศั น์ (ผงั มโนทศั น)์ อาหาร + O2 พลงั งาน + CO2 การแผร่ ังสี หมายถึงการถ่ายเทความร้อน ที่ไม่ตอ้ งอาศยั ตวั กลางในการเคลื่อนที่ สมการ คาอธิบาย สูตร โครงงานวทิ ยาศาสตร์ กฎ ประเภททฤษฎี กฎขอ้ ท่ี 1 ของนิวตนั ความ ดนั อากาศ = แรงดนั อากาศ “ วตั ถุจะรักษาสภาพน่ิงหรือเคล่ือนที่ พ้นื ที่หนา้ ตดั สม่าเสมอในแนวตรง นอกจากจะมี แรงลพั ธ์ซ่ึงมีขนาดไม่เป็นศนู ย์ ทฤษฎี มากระทา ” หมายความวา่ “ วตั ถุที่อยนู่ ิ่งจะยงั คงอยใู่ นสภาพนิ่ง ส่วนวตั ถุที่เคลื่อนท่ีดว้ ยความเร็ว คงตวั กย็ งั คงเคล่ือนท่ีดว้ ยความเร็ว คงตวั ” สามารถเขียนสมการ การ เคลื่อนท่ีได้ ดงั น้ี F = 0 ทฤษฎีบิกแบง (Big-Bang Theory) “ สรรพส่ิงท้งั มวลในเอกภพท่ีปรากฏอยนู่ ้ีคร้ังหน่ึงเคยเป็นกลุ่มกอ้ น และอดั ตวั อยรู่ วมกนั แน่นดว้ ยพลงั งานมหาศาลถูกปล่อยออกมา แต่ความร้อน และพลงั ไดด้ ึงดูดทาใหส้ ารต่าง ๆ รวมตวั กนั เกิดเป็นดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ กระจุกดาว กาแลก็ ซี และพลงั ต่าง ๆ ”
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 57 ข้นั ตอนการฝึ กทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภททฤษฎี เน่ืองจากการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภทน้ี ยากเกินความสามารถ สาหรับผเู้ รียนในช่วงช้นั ตน้ ๆ จึงขอกล่าวเพียงข้นั ตอนการฝึ กทาแบบง่าย ๆ เพื่อ นาแนวทางไปประยกุ ตใ์ ชส้ าหรับการทาโครงงานคณิตศาสตร์ หรือโครงงาน กลุ่มสาระการเรียนรู้อ่ืน ๆ ในลาดบั ต่อไป ข้นั ตอนการฝึ กทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภททฤษฎมี แี นวปฏบิ ตั ิ ดังต่อไปนี้ 1. ผจู้ ดั ทาโครงงานต้งั กติกาหรือขอ้ ตกลงข้ึนดว้ ยตนเอง แลว้ นาเสนอ คาอธิบาย สูตร สมการ กฎ ทฤษฎี สาหรับหลกั การ แนวคิด หรือจินตนาการของตนเองตามที่ต้งั กติกาหรือจิตนาการของตนเองน้นั อาจใชก้ ติกาหรือขอ้ ตกลงเดิมมาอธิบายสิ่งต่าง ๆ หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในแนวใหม่ โดยแนวคิดหรือจินตนาการที่เสนอข้ึนอาจใหม่ยงั ไม่มีใคร คิดมาก่อน หรืออาจขดั แยง้ กบั ทฤษฎีเดิมกไ็ ด้ 2. ทาการศึกษาคน้ ควา้ เกี่ยวกบั คาอธิบาย สูตร สมการ กฎ ทฤษฎี ใหเ้ กิดความเขา้ ใจอยา่ งกวา้ งขวาง และลึกซ้ึง เพ่ือนาไปอธิบายหรือ สนบั สนุนเกี่ยวกบั กติกา หรือขอ้ ตกลงที่กาหนดไว้ 3. นามากาหนดชื่อเร่ือง (ต้งั ช่ือโครงงานฯ) ตวั อยา่ ง เช่น “ กาเนิดทวปี และมหาสมุทร ” ซ่ึงเป็นการสร้างแบบจาลองทฤษฎี “ การใชส้ มการ การวเิ คราะหถ์ ดถอย (Multiple regression) ในการประมาณพ้ืนท่ีราบ ขนมปังพ่นดว้ ยสารละลายพาราเซตามอล ” เป็นการนาสมการมาใช้ ในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู 4. วางแผนในการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 58 บทท่ี 7 การเขยี นรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 1. บอกความสาคญั ในการเขียนรายงาน โครงงานวทิ ยาศาสตร์ได้ 2. สามารถเขียนรายละเอียดส่วนประกอบ รายงานโครงงาน -วทิ ยาศาสตร์ท่ีเป็น ส่วนนาได้ 3. สามารถเขียนรายละเอียด ส่วนประกอบรายงานโครงงาน - วทิ ยาศาสตร์ส่วนที่เป็นเน้ือหา และส่วนอา้ งอิงได้
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 59 ความสาคญั ของการเขียนรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ การเขียนรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์มีความสาคญั คือ เป็นการเสนอผลงานจากการทาโครงงานที่เป็นเอกสาร ดงั น้นั ตอ้ งส่ือความหมายท่ีมีประสิทธิภาพเพ่อื ใหค้ นอ่ืน ๆ ไดเ้ ขา้ ใจ แนวความคิด วธิ ีดาเนินงาน การศกึ ษาคน้ ควา้ ขอ้ มูล ผลที่ได้ ตลอดจนขอ้ สรุปและขอ้ เสนอแนะต่าง ๆ ท่ีเก่ียวกบั โครงงาน น้นั จดั วา่ เป็นอีกหน่ึงข้นั ตอนท่ีสาคญั ในการทาโครงงาน วทิ ยาศาสตร์ มีส่วนประกอบ ดงั ต่อไปน้ีนะครับ..... การเขียนรายงานโครงงานตอ้ งประกอบดว้ ยหวั ขอ้ ต่อไปน้ี 1. ช่ือโครงงาน 2. ช่ือผจู้ ดั ทาโครงงาน 3. ช่ือที่ปรึกษาโครงงาน 4. บทคดั ยอ่ 5. กิตติกรรมประกาศ (คาขอบคุณ) 6. ท่ีมาและความสาคญั 7. จุดมุ่งหมายของการทาโครงงาน 8. สมมติฐานของการศึกษาคน้ ควา้ (ถา้ มี) 9. ขอบเขตของการทาโครงงาน 10. วธิ ีดาเนินการ 11. ผลการศึกษาคน้ ควา้ 12. สรุปผลและขอ้ เสนอแนะ 13. บรรณานุกรม / เอกสารอา้ งอิง
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 60 การเขยี นรายละเอยี ดส่วนประกอบของรายงานโครงงาน วทิ ยาศาสตร์ การเขยี นรายงานสามารถแบ่งส่วนสาคญั ได้ 3 ส่วน คือ ประกอบด้วย 1. ส่วนนา 2. ส่วนเนื้อหา 3. ส่วนอ้างองิ ในตอนน้ีจะนาเสนอในเรื่องของ “ ส่วนนา ” ซ่ึงมีรายละเอียด ดงั น้ี ส่วนนาของการเขียนรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ มีส่วนประกอบที่สาคญั ดงั น้ี 1. หน้าปก หนา้ ปก ประกอบดว้ ย 1.1 ชื่อโครงงาน เป็นส่ิงสาคญั ประการแรกเพราะชื่อโครงงานจะช่วย เช่ือมโยงความคิดไปสู่จุดมุ่งหมายของการทาโครงงาน ดงั น้นั ควรกาหนดช่ือใหช้ ดั เจน และดึงดูดความสนใจของผคู้ น เช่น เปรียบเทียบความเป็นกรด – เบสของยาสามญั - ประจาบา้ นโดยใชย้ นู ิเวอร์แซลอินดิเคเตอร์ สารวจพชื สมุนไพรในโรงเรียน โอ่งดิน - กรองน้า เป็นตน้ 1.2 ชื่อผู้ทาโครงงาน เป็นสิ่งท่ีควรมีเพอ่ื จะไดท้ ราบวา่ โครงงานน้ี มีใครเป็นผรู้ ับผดิ ชอบ 1.3 ช่ือทปี่ รึกษาโครงงาน เพื่อเป็นการยกยอ่ งและเผยแพร่รวมท้งั ขอบคุณ ท่ีไดใ้ หค้ าแนะนาในการทาโครงงาน
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 61 2. กติ ตกิ รรมประกาศ (คาขอบคุณ) ควรกล่าวขอบคุณบุคคลหรือหน่วยงานที่เก่ียวขอ้ งและช่วยใหโ้ ครงงานน้ีสาเร็จ ตวั อย่างการเขยี นกติ ติกรรมประกาศ เช่น โครงงานวทิ ยาศาสตร์ เรื่องน้ี สาเร็จลุล่วงไปดว้ ยความเรียบร้อยเพราะความ ร่วมมือของเพอ่ื นนกั เรียนช้นั ม. 2/1 โรงเรียนบา้ นหว้ ยมุ่น ผจู้ ดั ทาขอขอบคุณเพ่ือน นกั เรียนทุกคน นอกจากน้ียงั กราบขอบพระคุณผอู้ านวยการโรงเรียนบา้ นหว้ ยมุ่น และ คณะครูทุกท่าน ที่ใหค้ าปรึกษาและช้ีแนะแนวทางจนทาใหโ้ ครงงาน วทิ ยาศาสตร์เร่ืองน้ีสาเร็จไดด้ ว้ ยดี 3. บทคดั ย่อ เป็นการอธิบายท่ีมาและความสาคญั ของโครงงาน มกั เขียนดว้ ยความส้นั ๆ ไม่เกิน 300 - 350 คา โดยมีจุดมุ่งหมายใหผ้ อู้ ่านเน้ือเร่ืองโดยยอ่ ก่อนการอ่านผล การศึกษาท้งั ฉบบั บทคดั ย่อทดี่ คี วรประกอบด้วย - ปัญหาหรือจุดมุ่งหมายของการศึกษา - วธิ ีดาเนินการศึกษา - ผลการศึกษา ตัวอย่างการเขยี นบทคดั ย่อ เช่น โครงงานวิทยาศาสตร์ เร่ือง ของเล่นเชิงกลลูกข่างชาวม้งมีจุดมุ่งหมายเพ่ือ ออกแบบลูกข่างให้สามารถทรงตัวได้ดี และหมุนได้นาน โดยนาหลักการทาง วทิ ยาศาสตร์มาใช้ ในการประดิษฐล์ ูกข่าง คือ ความเฉื่อยของวตั ถุ ความสมดุลของวตั ถุ และจุดศูนยถ์ ่วงของวตั ถุ จากการออกแบบการประดิษฐ์ลูกข่างชาวมง้ พบว่าลูกข่างที่มี ขนาดเท่ากนั แต่มีน้าหนกั มากกว่าจะหมุนไดน้ านเพราะมีความเฉ่ือยมากกว่าลูกข่างที่มี
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 62 น้าหนกั เบาและจะทรงตวั ไดด้ ีเม่ือมีรูปทรงที่สมดุลกนั จุดศนู ยไ์ ม่ออกนอกฐานวตั ถุจึงไม่ ลม้ ดงั น้นั ในการประดิษฐล์ ูกข่างตอ้ งเลือกไมท้ ่ีมีน้าหนกั และสามารถทารูปทรง ของลูกข่างใหส้ มดุลกนั ลูกข่างจึงจะหมุนไดน้ านและทรงตวั ไดด้ ี 4. สารบัญ ประกอบดว้ ยหวั เรื่องหรือหวั เรื่องประจาบท และเลขหนา้ ที่หวั ขอ้ น้นั ปรากฏอยู่ ซ่ึงอาจมีสารบญั ตาราง และสารบญั ภาพดว้ ย เช่น สารบัญ หนา้ บทคดั ยอ่ ............................................................................................................. 1 กิตติกรรมประกาศ............................................................................................. 2 สารบญั ............................................................................................................... 3 สารบญั ตาราง..................................................................................................... 4 สารบญั ภาพ....................................................................................................... 5 บทที่ 1 บทนา .................................................................................................. 6 สารบัญตาราง ตารางที่ หนา้ 1.1.................................................................................................................... 20 1.2..................................................................................................................... 25 สารบัญภาพ ภาพท่ี หนา้ 2.1.................................................................................................................... 23 2.2………………………………………………………………………….... 25 โดยทว่ั ไปแลว้ ส่วนประกอบขา้ งตน้ มกั จะเขียนภายหลงั ที่ไดเ้ ขียนส่วนอ่ืน ๆ ของงานที่ศึกษาเรียบร้อยแลว้
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 63 การเขยี นรายละเอยี ดส่วนประกอบรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ส่ วนเนื้อหาและส่ วนอ้างองิ ส่วนเนื้อหา เป็นส่วนที่เก่ียวขอ้ งกบั การทาโครงงาน โดยตรง การเขียนรายงานแบ่งเน้ือหาเป็นบท ๆ โดยทวั่ ไปแบ่งเป็น 5 บท ดงั น้ี - บทท่ี 1 บทนา - บทที่ 2 ทฤษฎี และหลกั การ ท่ีเกี่ยวขอ้ ง - บทท่ี 3 วธิ ีดาเนินการศกึ ษา - บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล - บทท่ี 5 สรุปผลการศกึ ษา อภิปรายและขอ้ เสนอแนะ
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 64 บทท่ี 1 บทนา บทนา ประกอบด้วย 1. ทม่ี าและความสาคญั ของโครงงาน ผูท้ าโครงงานจาเป็ นตอ้ งศึกษาหลกั การทฤษฎีท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั เร่ืองท่ีสนใจและ ศึกษาหรือตอ้ งมีทฤษฎีแนวคิดสนบั สนุนเพราะความรู้เหล่าน้ีจะเป็ นแนวทางสาคญั ใน เรื่องต่อไป หลกั ในการเขียนที่มาและความสาคญั ประกอบดว้ ย 3 ส่วน ดงั น้ี - ส่วนที่ 1 คานา เป็นส่วนที่บรรยายถึงนโยบาย เกณฑส์ ภาพทว่ั ๆ ไปหรือ ปัญหาที่มีส่วนสนบั สนุนใหร้ ิเร่ิมทาโครงงาน - ส่วนที่ 2 เน้ือเรื่อง เป็ นส่วนที่อธิบายถึงรายละเอียด เชื่อมโยงให้เห็น ประโยชน์ของการทาโครงงานวิทยาศาสตร์โดยมี หลกั การ ทฤษฎีสนับสนุนเรื่องที่ ศึกษาหรือ การบรรยายตลอดจนผลกระทบถา้ ไม่ทาโครงงานเร่ืองน้ี - ส่วนที่ 3 ส่วนสรุป เป็นส่วนสรุปถึงความจาเป็นที่ตอ้ งดาเนินการตามส่วนท่ี 2 เพ่ือแกป้ ัญหา คิดคน้ ขอ้ ความรู้ใหม่คิดคน้ สิ่งประดิษฐใ์ หม่ใหเ้ ป็นไปตามเหตุผลส่วนท่ี 1 2. วตั ถุประสงค์ของการศึกษา วตั ถุประสงคข์ องการศกึ ษา คือการกาหนดจุดหมายปลายทางสิ่งท่ีตอ้ งการใหเ้ กิด จากการทาโครงงาน ดงั น้นั ในการเขียนตอ้ งเขียนให้ชดั เจน อ่านเขา้ ใจง่าย สอดคลอ้ ง กบั ช่ือโครงงานหากมีวตั ถุประสงคห์ ลายประเดน็ ควรระบุเป็นขอ้ ๆ 3. สมมติฐานของการศึกษา สมมติฐานของการศึกษา เป็ นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ผู้ทา โครงงาน ตอ้ งใหค้ วามสาคญั เพราะเป็นการกาหนดแนวทางในการออกแบบการ ทดลองไดช้ ดั เจนและรอบคอบ ซ่ึงสมมติฐานคือ การคาดคะเนคาตอบของปัญหาอยา่ งมี หลกั การและเหตุผล ตามหลกั การ ทฤษฎี รวมท้งั ผลการศึกษาของโครงงานที่ไดท้ า มาแลว้
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 65 4. ขอบเขตของการทาโครงงาน เพื่อใหไ้ ดผ้ ลการศึกษาท่ีน่าเชื่อถือซ่ึงไดแ้ ก่ การกาหนดประชากร กลุ่มตวั อยา่ งตลอดจนตวั แปรท่ีศึกษา - การกาหนดประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง ควรกาหนดกลุ่ม ตวั อยา่ งใหม้ ีขนาดเหมาะสมเป็นตวั แทนของประชากรที่สนใจ ศกึ ษา - ตวั แปรที่ศึกษา ส่วนมากมกั จะเป็นการศึกษาความสัมพนั ธ์ เชิงเหตุและผล หรือความสมั พนั ธ์ระหวา่ งตวั แปรต้งั แต่ 2 ตวั แปรข้ึนไป ใชก้ ารกาหนดตวั แปรเพอ่ื ออกแบบการทดลอง ตอ้ งสื่อความหมายใหเ้ ขา้ ใจตรงกนั ท้งั ผฟู้ ัง และผอู้ ่าน บทที่ 2 เอกสาร ทฤษฎี และหลกั การทสี่ าคญั เอกสาร ทฤษฎี และหลกั การท่ีสาคญั เป็นเอกสารท่ีช่วยใหเ้ ห็นภาพพจนข์ อง ปัญหาไดเ้ ด่นชดั ยง่ิ ข้ึน ในการเขียนควรเลือกเฉพาะท่ีสาคญั และมีความสัมพนั ธ์กบั ปัญหา ที่จะทาการศกึ ษาซ่ึงความรู้ท่ีศึกษาน้ีจะเป็นแนวทางสาคญั ในการ กาหนดสมมติฐาน ในการศึกษาต่อไป
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 66 บทที่ 3 วธิ ีดาเนินการศึกษา วธิ ีดาเนินการศึกษา หมายถึง วธิ ีการท่ีช่วยใหง้ านบรรลุตามวตั ถุประสงค์ ของการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ประกอบดว้ ย - วสั ดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ สารเคมีท่ีใชใ้ นการศกึ ษา - วธิ ีการศึกษา วธิ ีการทดลอง ข้นั ตอนการประดิษฐ์ วธิ ีการศึกษา วธิ ีการทดลอง ข้นั ตอนการประดิษฐ์ ในการเขียนตอ้ งเขียน เป็นข้นั ตอนเรียงตามลาดบั ก่อนหลงั ตลอดจนการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล และการบนั ทึก ขอ้ มูลอยา่ งเป็นระบบ เช่น วธิ ีการทดลอง 1. สารวจชนิด และปริมาณพชื ท่ีข้ึนบริเวณริมสระน้าโรงเรียน เพอื่ จะคดั เลือกพืช ท่ีเจริญเติบโตไดด้ ีในบริเวณริมสระน้ามาใชป้ ระโยชน์ 2. ทดลองศึกษาประสิทธิภาพในการนามาใชป้ ระโยชน์ โดยใชท้ าเชือกถกั เปล 3. ทดลองปลูกบอนและผกั ตบชวาบริเวณท่ีวา่ งเปล่าริมสระน้าขนาดเลก็ 4. ทดลองศึกษาประสิทธิภาพในการทาเชือกของ บอน และผกั ตบชวา ที่นามาใช้ ในการถกั ทอวสั ดุเคร่ืองใชต้ ่าง ๆ บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล (ผลการศึกษาคน้ ควา้ ) ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล หรือผลการศกึ ษาคน้ ควา้ เป็นการนาเสนอขอ้ มูล หรือ ผลการทดลองต่าง ๆ ที่เก็บรวบรวมไวแ้ ลว้ เสนอในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ตาราง กราฟ แผนภูมิของขอ้ มูลเพื่อสื่อหรือนาเสนอผลจากการดาเนินงานให้ผูอ้ ื่นไดท้ ราบถึง ผลการดาเนินงานตลอดจนแปรผลขอ้ มูลหรือเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลท่ีวเิ คราะหด์ ว้ ย
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 67 ตัวอย่างการนาเสนอข้อมูล ตารางบันทกึ ผลการทดลอง การทดลอง ผลการสังเกต (จากเคร่ืองวดั กระแสไฟฟ้าอย่างง่าย) 1. เม่ือเสียบแผน่ ทองแดงและแผน่ สังกะสี ลงบนผลมะนาว เขม็ เบน 2. เมื่อสลบั แผน่ ทองแดงและแผน่ สงั กะสี เขม็ เบนในทิศทางตรงขา้ มกนั 3. เมื่อเสียบแผน่ โลหะชนิดเดียวกนั ลงบนผลมะนาว เขม็ ไม่เบน 4. เมื่อเสียบแผน่ ทองแดงและแผน่ สงั กะสี ลงบนผลมะนาวคนละผล เขม็ ไม่เบน บทที่ 5 สรุปผลข้อมูลและข้อเสนอแนะ สรุปผลข้อมูลและข้อเสนอแนะ เป็ นการอธิบายผลสรุปท่ีได้จาก การทาโครงงาน ถา้ มีการต้งั สมมติฐานควรระบุดว้ ยว่าขอ้ มูลที่ไดส้ นบั สนุนหรือคดั คา้ น สมมติฐานท่ีต้งั ไว้ หรือยงั สรุปไม่ได้ ซ่ึงผลสรุปจะตอ้ งสอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงค์ท่ี ศึกษา โดยผูท้ าโครงงานอาจอภิปรายผลประกอบดว้ ย ต่อจากน้นั ควรเสนอแนะท้งั การ นาเสนอ ผลการศกึ ษาไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชนร์ วมท้งั เสนอแนะเพ่ือทาการศึกษาโครงงาน อื่น ๆ ท่ีเก่ียวขอ้ งท่ีศึกษาต่อไป ส่วนอ้างองิ เป็นส่วนที่เก่ียวขอ้ งกบั บรรณานุกรม หรือ เอกสารอา้ งอิง และภาคผนวก
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 68 บรรณานุกรม หรือเอกสารอา้ งอิง คือรายชื่อเอกสารท่ีนามาอา้ งอิงเพื่อประกอบ ในการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ เอกสารที่นามาอา้ งอิงควรบอกสิ่งต่อไปน้ีให้ ชดั เจนตามลาดบั - ชื่อผแู้ ต่ง ชื่อหนงั สือ คร้ังที่พมิ พ์ สถานท่ีพมิ พ์ สานกั พิมพ์ ปี ท่ีพิมพ์ - www. …………………วนั ที่สืบคน้ ขอ้ มูล ตวั อยา่ งการเขียนบรรณานุกรม เช่น พิมพพ์ นั ธ์ เดชะคุปต.์ การสอนคดิ ด้วยโครงงาน. พมิ พค์ ร้ังที่ 6. กรุงเทพฯ : โรงพิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , 2551. วลยั รัตน์ จนั ทรวงศ,์ และจารุรัตน์ เชาวเลิศ. โครงงานวทิ ยาศาสตร์. กรุงเทพฯ : พฒั นาวชิ าการจากดั , 2549. 1. ภาคผนวก จุดสาคญั ของการมีภาคผนวก คือ เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ มูลท่ีละเอียด เสนอแผนภาพ ภาพข้นั ตอนการศกึ ษา ตลอดจนผลการศึกษา ถา้ ภาคผนวก มีจานวนมากควรแยกเป็นตอน เช่น ภาคผนวก ก เสน้ ทางสารวจ ภาคผนวก ข ตารางการสารวจ ภาคผนวก ค ภาพการสารวจ Tip ปัญหาทพี่ บ ในการเขียนรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์สรุปได้ ดงั น้ี 1. เขียนบทคดั ยอ่ ไม่ครอบคลุม 2. เขียนจุดมุ่งหมายของโครงงานไม่สอดคลอ้ งกบั ชื่อเร่ือง 3. ระบุตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม ไม่ถูกตอ้ ง รวมท้งั ใชภ้ าษาฟ่ ุมเฟ่ื อย ไม่กะทดั รัด ชดั เจน 4. เขียนบทเอกสารยาวเกินไป เน่ืองจากรวบรวมเรื่องท่ีไม่เกี่ยวขอ้ งกบั โครงงานมากเกินไป การเขียนบรรณานุกรมหรือเอกสารอา้ งอิงไม่ถูกตอ้ ง
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 69 บทท่ี 8 การนาเสนอผลงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 1. อธิบายหลกั การ การนาเสนอ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ โดยการอธิบายดว้ ยคาพูดได้ 2. วางแผนสาหรับจดั แสดง แผงโครงงานวทิ ยาศาสตร์ได้ 3. เสนอวธิ ีการเผยแพร่ผลงาน โครงงานวทิ ยาศาสตร์ได้
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 70 การนาเสนอผลงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์โดยการอธิบาย ด้วยคาพูด ในการนาเสนอผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์เป็ นการแสดงผลผลิตของงาน ความคิดและความพยายามท้งั หมดของผูท้ าโครงงานซ่ึงเป็นอีกวิธีหน่ึงที่ทาใหผ้ ูอ้ ื่นรับรู้ และเขา้ ใจถึงผลงานน้นั ๆ ดงั น้นั การนาเสนอผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์จึงเป็ นการ รวบรวมผลงานต่าง ๆ ที่ทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ในเรื่องน้นั ๆ มาแสดงไวใ้ นท่ีเดียวกนั ซ่ึงจดั ทาได้ ในหลากหลายรูปแบบ เช่น การอธิบายดว้ ยคาพูด หรือ การนาเสนอผลงาน ปากเปล่า การจดั เป็นนิทรรศการโดยใชแ้ ผงจดั แสดงผลงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ (จะ นาเสนอในลาดบั ต่อไป) สาหรับการนาเสนอผลงานโดยการอธิ บายด้วยคา พูดหรื อการนาเสนอผลงาน ปากเปล่า ควรยดึ หลกั 3P ดงั น้ี 1) การวางแผน (Planning) นักนาเสนอโครงงานมืออาชีพ = 2) การเตรียมการ (Preparation) พร้อมวชิ าการ + จิตใจที่เบิกบาน + 3) การนาเสนอ (Presentation) มน่ั ใจ + มองโลกในแง่ดี + เอาใจเขามาใส่ใจเรา การวางแผน (Planning) การวางแผน ผนู้ าเสนอตอ้ งคานึงสิ่งต่อไปน้ี 1. รอบรู้เร่ืองที่จะนาเสนอ 2. รู้จกั วเิ คราะหผ์ ฟู้ ัง 3. มีจุดมุ่งหมายของการนาเสนอชดั เจน
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 71 การนาเสนอ (Presentation) การนาเสนอ ผนู้ าเสนอควรคานึงถึงส่ิงต่อไปน้ี 1. แนะนาตวั วา่ เป็นใครมาจากไหน 2. บอกความจาเป็นที่ตอ้ งนาเสนอ 3. บอกหวั ขอ้ ท่ีจะนาเสนอ 4. ดาเนินการนาเสนอ 3 ข้นั ตอน ข้ึนตน้ ควรใหต้ ื่นเตน้ เร้าความ สนใจ ตอนกลาง ควรใหก้ ลมกลืน ตอนสรุป ควรใหจ้ บั ใจ การเตรียมการ (Preparation) การเตรียมการ ควรเตรียมการดงั ต่อไปน้ี 1. เลือกเน้ือหา 2. เรียงลาดบั เน้ือหา 3. กาหนดเวลา 4. เสนอกิจกรรม 5. เตรียมอุปกรณ์ สื่อ เพอื่ ประกอบ การนาเสนอ 6. เขียนแผนการนาเสนอ ซ่ึงประกอบดว้ ย จุดประสงค์ การกาหนดเน้ือหา ข้นั ตอนนาเสนอ การดาเนินการ “ ความบกพร่องทเ่ี ป็ นผลร้ายอย่างยงิ่ คือ การไม่ยอมรับหรือไม่รู้ตวั ว่าตัวบกพร่อง” ทมี่ า:1000 คาคมควรคดิ โดย ธนากร
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 72 ข้อควรปฏบิ ตั ิ ในนาเสนอผลงานโดยการอธิบายดว้ ยคาพดู หรือการนาเสนอ ผลงานปากเปล่า ควรคานึงถึงส่ิงต่าง ๆ ต่อไปน้ี 1. ตอ้ งทาความเขา้ ใจกบั เรื่องที่จะอธิบายเป็นอยา่ งดี 2. คานึงถึงความเหมาะสมของภาษาท่ีใชก้ บั ระดบั ผฟู้ ังควรใหช้ ดั เจน และเขา้ ใจง่าย 3. ควรรายงานอยา่ งตรงไปตรงมา 4. พยายามหลีกเล่ียงการอ่านรายงาน แต่อาจจดหวั ขอ้ สาคญั ๆ ไว้ เพ่ือช่วยใหร้ ายงานเป็นไปตามข้นั ตอน 5. อยา่ ท่องจารายงาน เพราะทาใหด้ ูไม่เป็นธรรมชาติ 6. ขณะที่รายงาน ควรมองตรงไปยงั ผฟู้ ัง 7. เตรียมตวั ตอบคาถามท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั เร่ืองน้นั ๆ 8. ตอบคาถามอยา่ งตรงไปตรงมา 9. หากติดขดั ในการอธิบายควรยอมรับโดยดีอยา่ กลบเกลื่อนหรือหาทางเลี่ยง เป็นอยา่ งอื่น 10. ควรรายงานใหเ้ สร็จในระยะเวลาท่ีกาหนด 11. ควรใชส้ ่ือประเภทโสตทศั นูปกรณ์ประกอบการรายงานดว้ ย ขอ้ ควรคานึงในประเดน็ ต่าง ๆ ที่กล่าวมาจะคลา้ ยคลึงกนั ในการแสดงผลงาน ทุกประเภท แต่อาจแตกต่างกนั ในรายละเอียดปลีกยอ่ ยเพียงเลก็ นอ้ ย สิ่งสาคญั คือ พยายามใหก้ ารแสดงผลงานน้นั ดึงดูดความสนใจผชู้ ม มีความชดั เจน เขา้ ใจง่าย และมีความถูกตอ้ งในเน้ือหา
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 73 การนาเสนอผลงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ โดยการจดั แสดงแผงโครงงานวทิ ยาศาสตร์ เมื่อทาโครงงานวิทยาศาสตร์สาเร็จแลว้ ตอ้ งเตรียมเสนอผลงาน และจดั แสดงผล งานท้งั อธิบายปากเปล่าหรือการจดั แสดงแผงโครงงานวทิ ยาศาสตร์ซ่ึงควรจดั ทาให้ ครอบคลุมประเดน็ สาคญั ดงั ต่อไปน้ี ส่วน ก 1 1. ช่ือผทู้ าโครงงาน ส่วน ข 2. ช่ือท่ีปรึกษาโครงงาน ส่วน ก 2 3. ที่มาและความสาคญั 4. จุดมุ่งหมาย 5. สมมติฐาน 6. ตวั แปรท่ีเกี่ยวขอ้ ง 1. ช่ือโครงงาน 2. ชื่อโรงเรียน 3. วธิ ีการดาเนินงาน 4. สรุปผล 5. ขอ้ เสนอแนะ 6. ประโยชนท์ ี่ไดร้ ับ ควรเป็นประมวลภาพท้งั หมด
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 74 ตวั อย่างรูปแบบและขนาดแผงโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ส่วน ก 1 ส่วนปสร่วะนกอขบเพมิ่ เติม 60 ซ.ม. ส่วน ก 2 120 ซ.ม. 60 ซ.ม. รูปแบบ ขนาดแผงโครงงาน มีรูปแบบและขนาดตามความเหมะสม ควรทาดว้ ย วสั ดุ ที่มีความคงทนถาวร เช่น ไมอ้ ดั เป็นตน้ ในการจดั นิทรรศการแสดงแผงโครงงานควรคานึงถงึ สิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้ 1. ความปลอดภยั ของการจดั แสดง 2. ความเหมาะสมกบั เน้ือท่ี ที่จดั แสดง 3. คาอธิบายที่เขียนแสดงควรเน้นเฉพาะประเด็นท่ีสาคัญ และส่ิงท่ีน่าสนใจ โดยใชข้ อ้ ความท่ีกะทดั รัด ชดั เจน และเขา้ ใจง่าย 4. ดึงดูดความสนใจของผูเ้ ขา้ ชม โดยใช้รูปแบบการแสดงที่น่าสนใจและใช้สีท่ี สดใส เนน้ จุดสาคญั หรือวสั ดุต่างประเภทในการจดั แสดง 5. ใชต้ าราง และรูปภาพประกอบ โดยจดั วางอยา่ งเหมาะสม 6. สิ่งที่แสดงทุกอย่างตอ้ งถูกตอ้ ง ท้งั การอธิบายหลกั การ และขอ้ ความหรือคาท่ี เขียน 7. ในกรณีท่ีเป็ นสิ่งประดิษฐ์สิ่งน้ันควรอยู่ในสภาพพร้อมจะแสดงการทางานได้ อยา่ งสมบูรณ์
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 75 ตวั อย่าง การจดั แสดงแผงโครงงานวทิ ยาศาสตร์
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 76 การเผยแพร่ผลงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ การเผยแพร่ผลงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์เป็นการประชาสัมพนั ธ์ผลงานใหเ้ ป็นที่ รู้จกั อยา่ งกวา้ งขวางโดยวธิ ีการต่าง ๆ เช่น การเขา้ ร่วมการแข่งขนั ในระดบั ต่าง ๆ การเขา้ ร่วมการจดั นิทรรศการเนื่องในโอกาสต่าง ๆ หรือไดร้ ับการคดั เลือกลงในวารสารวชิ าการ ในการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ผูท้ าโครงงานนอกจากจะมีความรู้ในเร่ืองที่ สนใจแลว้ ยงั ตอ้ งรู้และปฏิบตั ิข้นั ตอนการแกป้ ัญหาดว้ ยวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ มีทกั ษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีทักษะในการปฏิบัติ การใช้อุปกรณ์เคร่ืองมือ วทิ ยาศาสตร์ ตลอดจนมีความอดทน พากเพียร กระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็น ซ่ึงเป็น ลกั ษณะของผูม้ ีเจตคติทางวิทยาศาสตร์ คุณสมบตั ิดงั กล่าวขา้ งตนจะช่วยนาทางใหผ้ ูท้ า โครงงาน ดาเนินการต้งั แต่การลงมือทาโครงงาน การเขียนรายงานโครงงาน การ นาเสนอผลงานโครงงานจนสามารถเผยแพร่ผลงานอยา่ งสมความภาคภูมิดว้ ยเทคนิคและ วธิ ีการที่เหมาะสม ก่อนนาผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์ออกเผยแพร่ ควรผ่านข้นั ตอนการพิจารณา ต่าง ๆ ตามลาดบั ดงั น้ี การพฒั นาผลงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ การเขยี นรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ การนาเสนอผลงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ การเผยแพร่ผลงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 77 การเผยแพร่ผลงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ สามารถทาไดห้ ลากหลายแนวทาง ไม่วา่ จะเป็น การเผยแพร่โดยการอธิบายดว้ ยคาพดู ประกอบกบั สาธิตข้นั ตอนการศึกษา ต่าง ๆ หรือจดั แสดงแผงโครงงานตามรูปแบบดงั กล่าวแลว้ การเผยแพร่ผลงานอีกวธิ ีหน่ึง ท่ีนิยมทา คือ การเผยแพร่โครงงานวทิ ยาศาสตร์โดยใชก้ ระดาษแผน่ เดียว หรือ เรียกวา่ “ แผน่ พบั ” ซ่ึงอาจกล่าวไดว้ า่ แผน่ พบั เป็นอีกหน่ึงแนวทางในการนาเสนอผลงาน โครงงานวทิ ยาศาสตร์อยา่ งง่ายกไ็ ด้ หลกั สาคญั ในการทาแผน่ พบั ควรมีรายละเอียดและส่วนประกอบครอบคลุม เช่นเดียวกบั แผงโครงงาน เพียงแต่ขนาดอกั ษรมีขนาดเลก็ ลง โดยแผน่ พบั อาจจะแบ่งเป็น 3 ส่วน หรือ 2 ส่วนกไ็ ดต้ ามความเหมาะสม เช่น ส่วนที่ 1 ส่วนที่ 2 ส่วนที่ 3 ช่ือโครงงาน...... วสั ดุ-อุปกรณ์........ สรุปผลการดาเนินการ ช่ือผจู้ ดั ทา........... ชื่อที่ปรึกษา....... วธิ ีดาเนินการ......... ขอ้ เสนอแนะ....... ท่ีมาและความสาคญั จุดมุ่งหมาย....... ผลการดาเนินการ....... ประโยชน์ท่ีไดร้ ับ..... สมมติฐาน........ ตวั แปรที่เกี่ยวขอ้ ง... ส่วนที่ 1 ส่วนที่ 2 ช่ือโครงงาน...... วสั ดุ-อุปกรณ์........ ช่ือผจู้ ดั ทา........... วธิ ีดาเนินการ......... ช่ือที่ปรึกษา.......ที่มาและ ผลการดาเนินการ....... ความสาคญั สรุปผลการดาเนินการ จุดมุ่งหมาย....... ขอ้ เสนอแนะ....... สมมติฐาน........ ประโยชนท์ ี่ไดร้ ับ..... ตวั แปรท่ีเก่ียวขอ้ ง...
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 78 การนาเสนอผลงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ การนาเสนอผลงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์สามารถสรุปเป็นผงั กราฟิ กเสนอมโนทศั น์ (ผงั มโนทศั น)์ ตามรูปแบบของ พิมพนั ธ์ เดชะคุปต,์ และคณะ (2551 : 33) ไดด้ งั น้ี โดยการอธบิ ายด้วยคาพูด แสดงแผงโครงงาน การนาเสนอผลงาน โครงงานวทิ ยาศาสตร์ นาเสนอด้วยแผ่นพบั ทราบหรือไม่ว่า ! อเลก็ ซานเดอร์ เฟลมิง เป็นตวั อยา่ งของการเรียนรู้ จากความลม้ เหลวในการทดลองเร่ืองบคั เตรี แต่ประสบความสาเร็จ ในเรื่องเช้ือราที่สามารถนามาทายาปฏิชีวนะได้ ดงั น้นั ถา้ ผเู้ รียนทาโครงงานแลว้ ประสบความลม้ เหลว ครูผสู้ อนตอ้ งใหก้ าลงั ใจและทา้ ทายใหผ้ เู้ รียนคิดทาโครงงานเรื่องต่อไป ซ่ึงอาจจะทดลองซ้า หรือนาผลของโครงงานท่ีลม้ เหลวมาวเิ คราะห์ หาสาเหตุ เพ่อื ปรับปรุงและพฒั นาเป็นโครงงานใหม่ ดว้ ยความเช่ือวา่ “ความล้มเหลวเป็ นครูทด่ี ีคนหน่ึง” ท่ีมา : บูรชยั ศริ ิมหาสาคร (2548)
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 79 บทท่ี 9 การประเมนิ ผลการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ โครงงานวิทยาศาสตร์เป็ นกิจกรรมการเรียนรู้ของผูเ้ รียนในทุกระดบั ช้นั และทาไดใ้ นทุก หน่วยการเรียนรู้ของสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ การทาโครงงานวิทยาศาสตร์เกิดข้ึนจากการท่ี ผูเ้ รียนสนใจหรือสงสัยในเรื่องใดเรื่องหน่ึง และตอ้ งการหาคาตอบด้วยตนเอง ปัญหาที่ใช้ทา โครงงานวิทยาศาสตร์อาจเป็ นปัญหาง่ายจนถึงยากหรือที่ซบั ซอ้ น กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ท่ี ผูเ้ รียนใช้ในการเสาะแสวงหาความรู้หรือแก้ปัญหาในการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ข้ึนอยู่กับ ลกั ษณะของปัญหาและการมองเห็นแนวทางแกป้ ัญหาของแต่ละคนการประเมินผลการทาโครงงาน วทิ ยาศาสตร์มีข้นั ตอนการวางแผน ประกอบดว้ ย กาหนดเป้าหมาย จุดประสงค์ และการกาหนด เกณฑ์การประเมิน เป้าหมายการประเมินการประเมินควรครอบคลุมด้านความรู้ความคิด กระบวนการเรียนรู้ และเจตคติ โดยกาหนดจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ให้สอดคลอ้ งกบั เป้าหมาย ดงั ตวั อยา่ งไปน้ี ตวั อย่าง เป้าหมายและจุดประสงค์ของการประเมนิ การทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ เป้าหมายของการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. ความรู้ความคิด 1.1 มีความเขา้ ใจในหลกั การ แนวคิดหลกั ทางวทิ ยาศาสตร์ 1.2 ใชศ้ พั ทเ์ ทคนิคทางวทิ ยาศาสตร์ไดถ้ ูกตอ้ ง 1.3 มีความรู้เกิดข้ึนใหมแ่ ละสร้างความรู้ดว้ ยตนเอง ฯลฯ
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 80 เป้าหมายของการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ 2. กระบวนการเรียนรู้ทเี่ กดิ จาก 2.1.1 สามารถกาหนดปัญหาละสมมติฐานท่ีสอดคลอ้ งกนั การทาโครงงาน 2.1.2 สามารถออกแบบการสารวจหรือทดลอง การเกบ็ 2.1 โครงงานประเภทสารวจ รวบรวมขอ้ มูลและการควบคุมตวั แปร และโครงงาน ประเภท 2.1.3 สามารถจดั กระทาและนาเสนอขอ้ มูลท่ีเขา้ ใจง่าย ทดลอง 2.1.4 สามารถแปลผลสอดคลอ้ งกบั ขอ้ มูลท่ีรวบรวมได้ 2.1.5 สามารถบนั ทึกการทางานอยา่ งมีเหตุผล ฯลฯ ……………………………………… ................................................................................................... ……… 2.2 โครงงานประเภท 2.2.1 สามารถเลือกวสั ดุที่นามาใชป้ ระดิษฐ์ สิ่งประดิษฐ์ 2.2.3 สามารถออกแบบตรงตามวตั ถุประสงค์ การใชป้ ระโยชน์ ความคงทน ความ ประณีตและน่าสนใจ ฯลฯ ……………………………………… …………………………………………………………………………... 2.3 โครงงานประเภททฤษฎี 2.3.1 สามารถเสนอแนวคิดหลกั ที่มีเหตุผล 2.3.2 สามารถอธิบายและสรุปแนวคิดหลกั บนพ้ืนฐานของขอ้ ตกลงเบ้ืองตน้ ฯลฯ 3. ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 3.1 มีความแปลกใหมท่ ่ีก่อใหเ้ กิดประโยชน์ 3.2 มีความแปลกใหม่ในการออกแบบ ฯลฯ 4. การเขยี นรายงานหรือการ 4.1 ความถูกตอ้ งของขอ้ มูล ศพั ทท์ างวทิ ยาศาสตร์ การเรียบ แสดงผลงาน เรียงขอ้ ความและรูปแบบการนาเสนอตารางแผนภูมิ กราฟ รูปภาพ 4.2 สื่อสารส่ิงท่ีเรียนรู้ไดอ้ ยา่ งชดั เจน เหมาะสม น่าสนใจ ฯลฯ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้เป็นแนวทางใหก้ าหนดเกณฑก์ ารประเมิน ส่วนการใหค้ ะแนนการทา โครงงานวทิ ยาศาสตร์ตอ้ งเป็นไปตามเกณฑก์ ารประเมิน โดยมี 2 แบบ ดงั น้ี
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 81 1. การให้คะแนนแบบภาพรวม เป็นการใหค้ ะแนนในลกั ษณะของการสรุปผลการเรียนรู้ใน ส่วนท่ีเป็ นประเด็นสาคญั โดยไม่พิจารณาถึงองค์ประกอบย่อย เกณฑ์รวมที่ใช้ประเมินการทา โครงงานวทิ ยาศาสตร์ในลกั ษณะมาตราส่วนประมาณค่า 4 ระดบั มีตวั อยา่ งดงั น้ี ตัวอย่าง เกณฑ์รวมทใี่ ช้ประเมินโครงงานวทิ ยาศาสตร์ รายการประเมนิ ระดบั คุณภาพ - ใชเ้ วลานานมากในการทาความเขา้ ใจปัญหา ตอ้ งอาศยั การแนะนาเกี่ยวกบั ตอ้ งปรับปรุง การวางแผนวธิ ีการทาโครงงาน มีความยากลาบากในการลงมือปฏิบตั ิ หรือ และเขียนรายงานท่ีสบั สนไม่ชดั เจน พอใช้ - มีหลกั ฐาน ร่องรอยที่แสดงถึงความเขา้ ใจปัญหา การวางแผน วธิ ีการทา หรือ 2 โครงงานถูกตอ้ งบางส่วน ลงมือปฏิบตั ิประสบความสาเร็จบางส่วน และ เขียนรายงานยงั ไมช่ ดั เจน ดี หรือ 3 - มีหลกั ฐาน ร่องรอยที่แสดงถึงความเขา้ ใจปัญหา การวางแผน วธิ ีการทา โครงงานไดถ้ ูกตอ้ ง ลงมือปฏิบตั ิจนเสร็จและประสบความสาเร็จ และ ดีมาก เขียนรายงานไดช้ ดั เจน หรือ 4 - มีการแสดงออกถึงความเขา้ ใจปัญหา การวางแผนวธิ ีการทาโครงงานโดย ออกแบบหรือคิดคน้ ข้ึนเอง ลงมือปฏิบตั ิจนทาโครงงานไดส้ าเร็จและ ประสบความสาเร็จ เขียนรายงานเป็ นลาดบั ไดช้ ดั เจนและครบถว้ น 2. การให้คะแนนแบบแยกองค์ประกอบย่อย การให้คะแนนแบบน้ีมีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือ ประเมินพฒั นาการเรียนรู้ของผูเ้ รียนในระหว่างการทากิจกรรม จึงให้คะแนนแยกออกเป็ น องค์ประกอบย่อยครอบคลุมทุกจุดประสงค์ โดยกาหนดรายการประเมินอย่างชัดเจน และถ้า ตอ้ งการให้ความสาคญั ของแต่ละองค์ประกอบไม่เท่ากนั การให้คะแนนก็เป็ นไปตามสัดส่วน คะแนนที่กาหนดได้ เกณฑย์ อ่ ยท่ีใชป้ ระเมินการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์แยกเป็ นองคป์ ระกอบยอ่ ย และประเมินผลในลกั ษณะมาตราส่วนประมาณคา่ 4 ระดบั ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 82 ตัวอย่าง เกณฑ์ย่อยทใี่ ช้ประเมนิ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ รายการประเมิน ระดับคุณภาพ 1 1. การกาหนดปัญหาและการต้งั สมมติฐาน - สมมติฐานไมส่ อดคลอ้ งกบั ปัญหา 2 - สมมติฐานสอดคลอ้ งกบั ปัญหาแตไ่ มแ่ สดงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งเหตุและผล - สมมติฐานสอดคลอ้ งกบั ปัญหา และแสดงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งเหตุและ 3 ผลแต่ยงั ไม่ชดั เจน 4 - สมมติฐานสอดคลอ้ งกบั ปัญหาและแสดงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งเหตุและ 1 ผลอยา่ งชดั เจน 2 2. ขอ้ มูลหรือขอ้ เทจ็ จริงประกอบการทาโครงงาน 3 - มีการศึกษาหาขอ้ มูลหรือขอ้ เทจ็ จริงท่ีไมเ่ ก่ียวขอ้ งกบั ปัญหา - มีการศึกษาคน้ หาขอ้ มูลหรือขอ้ เทจ็ จริงท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ปัญหาเพียง 4 บางส่วน 1 - มีการศึกษาคน้ หาขอ้ มูลหรือขอ้ เทจ็ จริงที่เก่ียวขอ้ งกบั ปัญหา แต่ยงั ไม่ 2 3 ครอบคลุม 4 - มีการศึกษาคน้ หาขอ้ มูลหรือขอ้ เทจ็ จริงที่เก่ียวขอ้ งกบั ปัญหาอยา่ งชดั เจน และครอบคลุม 3. การออกแบบการทดลอง - สอดคลอ้ งกบั สมมติฐานแตไ่ ม่มีการควบคุมตวั แปร - สอดคลอ้ งกบั สมมติฐานและควบคุมตวั แปรบางส่วน - สอดคลอ้ งกบั สมมติฐานและควบคุมตวั แปรไดค้ รบสมบูรณ์ - สอดคลอ้ งกบั สมมติฐาน ควบคุมตวั แปรถูกตอ้ งสมบูรณ์ และมีแนวทาง การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 4. อุปกรณ์และเคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการทดลอง 1 - เลือกใชอ้ ุปกรณ์ไมเ่ หมาะสม 2 - เลือกใชอ้ ุปกรณ์ไดถ้ ูกตอ้ งเป็นบางส่วน 3 - เลือกใชอ้ ุปกรณ์ไดถ้ ูกตอ้ งเป็นส่วนใหญ่ 4 - เลือกใชอ้ ุปกรณ์ไดถ้ ูกตอ้ งและเหมาะสม
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 83 รายการประเมิน ระดบั คุณภาพ 5. การดาเนินการทดลอง 1 - ดาเนินการทดลองไมถ่ ูกตอ้ ง 2 - ดาเนินการทดลองไดถ้ ูกตอ้ งเป็นบางส่วน 3 - ดาเนินการทดลองไดถ้ ูกตอ้ งเป็นส่วนใหญ่ 4 - ดาเนินการทดลองดุถูกตอ้ งครบสมบูรณ์ 6. การบนั ทึกขอ้ มูล 1 - บนั ทึกขอ้ มูลบางส่วนไมต่ รงจุดประสงคท์ ี่ตอ้ งการศึกษา 2 - บนั ทึกขอ้ มูลตรงจุดประสงคท์ ี่ตอ้ งการศึกษา 3 - บนั ทึกขอ้ มูลตรงจุดประสงคท์ ่ีตอ้ งการศึกษาและถูกตอ้ ง 4 - บนั ทึกขอ้ มูลตรงจุดประสงคท์ ี่ตอ้ งการศึกษาถูกตอ้ งและครบสมบูรณ์ 7. การจดั กระทาขอ้ มูล 1 - มีการจดั กระทาขอ้ มูลที่ไมถ่ ูกตอ้ งเป็นส่วนมาก 2 - มีการจดั กระทาขอ้ มูลถูกตอ้ ง แตไ่ มช่ ดั เจนเพียงพอ 3 - มีการจดั กระทาขอ้ มูลถูกตอ้ งชดั เจน แต่ยงั ไม่ครบสมบูรณ์ 4 - มีการจดั กระทาขอ้ มูลถูกตอ้ งชดั เจน ละเอียด ละครบสมบูรณ์ 8. การแปลความหมายขอ้ มูลและสรุปผลของขอ้ มูล 1 2 - แปลความหมายไมถ่ ูกตอ้ งบางส่วนและไมส่ รุปผล 3 - แปลความหมายถูกตอ้ งเป็นส่วนใหญ่ แตส่ รุปไม่สอดคลอ้ งกบั ขอ้ มูล 4 - แปลความหมายถูกตอ้ งแตส่ รุปผลไมส่ อดคลอ้ งกบั ขอ้ มูลบางส่วน - แปลความหมายถูกตอ้ งและสรุปผลสอดคลอ้ งกบั ขอ้ มูล 9. ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ 1 - โครงงานคลา้ ยคลึงกบั ส่ิงที่เคยทามาแลว้ 2 - โครงงานบางส่วนมีความแปลกใหมจ่ ากโครงงานที่มีผทู้ าแลว้ 3 4 - โครงงานแสดงใหเ้ ห็นถึงความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ - โครงงานแสดงใหเ้ ห็นถึงความคิดริเริ่มสร้างสรรคแ์ ละสามารถนาไป ประยกุ ตใ์ ชไ้ ด้
รายการประเมิน โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 84 10. การเขียนรายงานหรือการแสดงผลงาน ระดบั คุณภาพ - มีการนาเสนอไม่ชดั เจน ไมเ่ ป็นข้นั ตอน - มีการนาเสนอบางส่วนเป็นข้นั ตอน แตย่ งั ไม่ชดั เจน 1 - มีการนาเสนอเป็นข้นั ตอนแต่ยงั ไม่ชดั เจน 2 - มีการนาเสนอเป็นข้นั ตอนสมบูรณ์และชดั เจน 3 4 เกณฑ์การประเมินโครงงานวิทยาศาสตร์ท้งั เกณฑ์รวมหรือเกณฑ์ย่อยท่ีกาหนดข้ึนควร พิจารณาให้ครอบคลุมจุดประสงคก์ ารเรียนรู้และเป้าหมายการทาโครงงานวิทยาศาสตร์และตอ้ ง บนั ทึกผลการประเมินใหส้ อดคลอ้ งกบั เกณฑก์ ารประเมิน ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี ตวั อย่าง แบบบันทกึ ผลการประเมนิ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ รายการประเมนิ คะแนนทไี่ ด้ หมายเหตุ 1. การกาหนดปัญหาและการต้งั สมติฐาน 123 4 2. ขอ้ มูลหรือขอ้ เทจ็ จริงประกอบการทาโครงงาน 3. การออกแบบการทดลอง 4. อุปกรณ์และเครื่องมือท่ีใชใ้ นการทดลอง 5. การดาเนินการทดลอง 6. การบนั ทึกขอ้ มูล 7. การจดั กระทาขอ้ มูล 8. การแปลความหมายของขอ้ มูลและสรุปผล 9. ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 10 การเขียนรายงาน รวม การประเมินโครงงานวิทยาศาสตร์ทาไดโ้ ดยการสังเกต การสัมภาษณ์ และจากบนั ทึกการ ปฏิบตั ิงานหรือบนั ทึกพฤติกรรมของผูเ้ รียนเป็ นรายบุคคลหรือกลุ่มก็ได้ โดยการประเมินอย่าง
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 85 ต่อเน่ืองและสม่าเสมอจากผูป้ ระเมินหลายคน รวมท้งั การประเมินตนเองของผูเ้ รียนขอ้ สนเทศ เหล่าน้ีใชเ้ ป็ นส่วนหน่ึงในการตดั สินผลการเรียนรู้ของผเู้ รียนตามเป้าหมายของการจดั การเรียนการ สอนวทิ ยาศาสตร์ การประเมินผลการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ มีขอ้ ดีและขอ้ จากดั ดงั น้ี ข้อดี 1. เป็นการประเมินพฤติกรรมของผเู้ รียนดา้ นความคิดระดบั สูง ประกอบดว้ ยการคิด ริเริ่มสร้างสรรค์ คิดวเิ คราะห์ คิดแกป้ ัญหา และคิดตดั สินใจ 2. เป็ นการประเมินการทางานอย่างเป็ นระบบและมีข้นั ตอนการสร้างความรู้ด้วย ตนเองและการเรียนรู้ร่วมกนั รวมท้งั มีทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3. เป็นการประเมินที่มีเป้าหมายและเกณฑ์ โดยการประเมินจากผเู้ ก่ียวขอ้ งและผเู้ รียน 4. เป็ นการประเมินผลครอบคลุมพฤติกรรมทุกด้าน และส่งเสริมการเรียนรู้ด้วย กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ การแกป้ ัญหา การสารวจตรวจสอบ การส่ือสาร การนาความรู้ไป ใช้ รวมท้งั การเรียนรู้ตามสภาพความเป็นจริงในชีวติ และสงั คม ข้อจากดั 1. การประเมินผลการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ท่ีกระทาอย่างไม่ต่อเน่ือง โดย ประเมินเฉพาะผลผลิตจะไดผ้ ลการประเมินไม่ครอบคลุมตามเป้าหมาย 2. การทาโครงงานวิทยาศาสตร์ที่กาหนดปัญหาให้ศึกษาหรือการทาโครงงานเพ่ือ ประกวดแข่งขนั จะทาให้ผูเ้ รียนไม่มีโอกาสศึกษาในปัญหาที่ตนเองสนใจหรือสงสัยอย่างแทจ้ ริง ผลการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์จึงไดป้ ระโยชนไ์ ม่สมบูรณ์ตามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
Search
Read the Text Version
- 1 - 41
Pages: