แนวทางประเมนิ ความเสีย่ งภยั ดา้ นการแพทย์และสาธารณสขุ สานกั งานปลดั กระทรวงสาธารณสขุ กองสาธารณสุขฉกุ เฉิน
แนวทางประเมนิ ความเสย่ี งภยั ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสขุ กองสาธารณสุขฉกุ เฉนิ
แนวทางประเมินความเสี่ยงภัยด้านการแพทย์ และสาธารณสขุ ที่ปรึกษา ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขฉกุ เฉนิ รองผู้อำนวยการกองสาธารณสุขฉกุ เฉิน 1.นายแพทย์วิทูรย์ อนนั กุล 2.นายแพทย์ประกิจ สาระเทพ บรรณาธิการ คณะทำงานจดั ทำฐานขอ้ มลู สาธารณภัย ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสขุ คณะผจู้ ัดทำ 1.นายสุบรรณ สงิ ห์โต นกั วชิ าการสาธารณสขุ ปฏิบตั กิ าร 2.นายพงศพ์ ทั ธ์ ชัยชมุ พล นักวชิ าการสาธารณสขุ ปฏบิ ัตกิ าร 3.นางสาวธันยานาถ อปุ ปญั ญาคำ นักวชิ าการสาธารณสขุ ปฏบิ ตั ิการ 4.นางสาวณัฏฐน์ รี คำดี นกั วชิ าการสาธารณสขุ ปฏบิ ตั ิการ พิมพ์คร้ังที่ 1 สงิ หาคม พ.ศ. 2564 จดั พิมพ์โดย งานเฝ้าระวังระบบประเมนิ สถานการณ์ กองสาธารณสขุ ฉกุ เฉิน สำนักงานปลดั กระทรวงสาธารณสขุ ศูนย์ปฏบิ ตั กิ ารฉกุ เฉนิ ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุข อาคาร 5 ช้นั อาคาร 7 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสขุ ตำบลตลาดขวญั อำเภอเมืองนนทบุรี จงั หวดั นนทบุรี
แนวทางประเมินความเส่ียงภัยดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุข กองสาธารณสขุ ฉกุ เฉิน สารบัญ นิยามคําศพั ทส์ ําคญั ...............................................................................................................................................................................1 บทนำ ......................................................................................................................................................................................................... 3 สถานการณ์และผลกระทบของสาธารณภัยในปจั จบุ ัน................................................................................................................ 3 1.1 สถานการณ์โลก.......................................................................................................................................................................... 3 1.2 สถานการณ์สาธารณภัยในประเทศไทย..............................................................................................................................5 1.3 ปฏิทินการเกิดสาธารณภยั ในประเทศไทย........................................................................................................................... 7 บทที่ 2 .......................................................................................................................................................................................................8 การประเมินความเส่ยี ง .........................................................................................................................................................................8 2.1 แนวทางการประเมินความเสี่ยง.............................................................................................................................................8 2.2 วตั ถปุ ระสงคข์ องการประเมินความเสีย่ ง..........................................................................................................................10 2.3 กระบวนการประเมินความเสยี่ ง..........................................................................................................................................10 บทที่ 3 ..................................................................................................................................................................................................... 16 แนวการจัดการภาวะฉุกเฉนิ ทางสาธารณสขุ (Public Health Emergency Management: PHEM)................... 16 3.1 การจัดระดบั ความรนุ แรงของสาธารณภยั ...................................................................................................................... 18 3.2 กลยุทธ์และแนวทางทั่วไปในการจัดการความเส่ยี ง...................................................................................................... 20 บทที่ 4 ..................................................................................................................................................................................................... 21 การประเมนิ ความเสยี่ ง ดา้ นสาธารณภยั ...................................................................................................................................... 21 4.1 การเกบ็ ขอ้ มลู สาํ หรับการประเมนิ ความเสีย่ ง ..................................................................................................................22 บทท่ี 5 .....................................................................................................................................................................................................24 การประเมนิ ความเสย่ี ง ด้านโรคและภยั สุขภาพ...........................................................................................................................24 ภาคผนวก ..............................................................................................................................................................................................27 0
แนวทางประเมินความเสีย่ งภยั ด้านการแพทย์และสาธารณสขุ กองสาธารณสุขฉกุ เฉิน นิยามคําศพั ท์สาํ คญั ภัย (Hazard) หมายถงึ เหตกุ ารณ์ทเ่ี กดิ จากภยั ธรรมชาติหรอื การกระทําของมนุษย์ ทอ่ี าจนํามาซ่ึง ความ สญู เสียตอ่ ชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนทาํ ให้เกดิ ผลกระทบทางเศรษฐกจิ สังคม และส่ิงแวดลอ้ ม ภยั พิบัติ (Disaster) หมายถึง การหยุดชะงกั อย่างรุนแรงของการปฏิบตั ิหน้าท่ีของชุมชนหรือสังคม อันเป็น ผลมาจากการเกิดภัยทางธรรมชาติหรือเกิดจากมนษุ ย์ ซึ่งส่งผลตอ่ ชีวิต ทรัพย์สิน สังคม เศรษฐกจิ และสิ่งแวดล้อมอย่างกว้างขวาง เกินกว่าความสามารถของชุมชนหรือสังคมที่ได้รับผลกระทบ ดังกล่าวจะ รบั มอื ไดโ้ ดยใช้ทรพั ยากรท่มี อี ยู่ ความล่อแหลม หรือ สภาวะการเปิดรับต่อความเสี่ยง (Exposure) หมายถึง การที่ผู้คน อาคารบ้านเรือน ทรัพย์สิน ระบบ หรือองค์ประกอบใด ๆ มีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย และอาจได้รับความ เสียหาย ความเปราะบาง (Vulnerability) หมายถึง ปัจจัยหรือสภาวะใด ๆ ที่ทําให้สังคมและชุมชนขาด ความ สามารถในการป้องกันตวั เอง ทําให้ไม่สามารถรบั มือกับภัยพบิ ตั ิ หรอื ไมส่ ามารถฟื้นฟไู ดอ้ ยา่ ง รวดเร็ว จากความเสียหายอันเกิดจากภัย ปัจจัยเหล่านี้มีอยู่ในชุมชนหรือสังคมมานานก่อนเกิด ภัยพิบัติ และเป็น ปจั จยั ท่ที าํ ใหผ้ ลกระทบจากภยั มีความรุนแรงมากขึน้ ศักยภาพ (Capacity) หมายถึง สภาวการณ์ ความชํานาญ หรือทรัพยากรต่าง ๆ ที่อยู่ในความ ครอบครอง ของประชาชน ชุมชนหรือสังคมหนึ่ง ๆ ซึ่งมีคุณลักษณะเชิงบวก สามารถพัฒนาเคลื่อนย้าย และ เข้าถึง เพื่อนํามาใช้เพิ่มขีดความสามารถ (capability) ของสังคม และชุมชนในการบริหารจัดการ ความเส่ียงจากภยั พิบัติ ช่วยใหค้ าดการณ์ภัยท่ีจะเกิดขึ้นและรับมือกบั ความเสยี่ งจากภัยพบิ ตั ไิ ดด้ ขี ึ้น ความเสี่ยงจากภัยพิบัติ (Disaster Risk) หมายถึง โอกาสหรือความเป็นไปได้ (Likelihood) ในการได้รับ ผลกระทบทางลบจากการเกิดภัยพิบัติ โดยผลกระทบสามารถเกิดขึ้นกับชีวิต ทรัพย์สิน สังคม เศรษฐกิจ และส่ิงแวดล้อม ในระดับบคุ คล ชุมชน สังคม หรือประเทศ การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) หมายถึง กระบวนการกําหนดลักษณะ ขนาด หรือขอบเขต ของความเสี่ยงโดยการวิเคราะห์ภัยที่เกิดขึ้น รวมทั้งประเมินสภาวะการเปิดรับต่อความเสี่ยง ความ เปราะบาง ศักยภาพ ในการรับมือของชุมชนที่อาจเป็นอันตราย และคาดการณ์ผลกระทบต่อชีวิต ทรพั ย์สิน การดํารงชีวิตและส่ิงแวดล้อม เปน็ การวิเคราะห์ความนา่ จะเป็นในการเกิดผลกระทบจากภัยในพ้ืนท่ี หนง่ึ ๆ มีประโยชน์ในการวางแผนเพอื่ จัดการความเส่ยี งอยา่ งเป็นระบบ การระบุความเสี่ยง (Risk Identification) การระบุความเสี่ยง หรือ การประเมินภัย (hazard assessment) หมายถึง เป็นการระบุชนิด ของภัยที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ ตลอดจนลักษณะและ พฤติกรรมทางธรรมชาตขิ องภัยนนั้ ๆ 1
แนวทางประเมินความเสย่ี งภัยด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสุข กองสาธารณสขุ ฉุกเฉนิ การวิเคราะห์ความเส่ียง (Risk Analysis) หมายถึง เปน็ กระบวนการเพ่ือทําความเข้าใจในระดับ ของความเสี่ยง หรือ ผลกระทบทางลบท่ีเกิดจากภยั การวเิ คราะห์ความเสี่ยงเป็นขั้นตอนตอ่ เนื่องมาจากการ ระบุความเสี่ยง โดยเป็นการนําผลของการประเมินภัย ความล่อแหลม ความเปราะบาง และศักยภาพ มาประมวลรวมกนั เพ่อื ประมาณระดับความเสยี หาย ความสญู เสยี หรอื ผลกระทบจากสถานการณ์ การประเมินผลความเสี่ยง (Risk Evaluation) หมายถึง ผลที่ได้จากการประเมินความเสี่ยง มักอยู่ในรูปแบบรายงาน และ/หรือการนําเสนอ การเปรียบเทียบระดับความเสี่ยงตามพื้นที่ เพื่อพิจารณา ระดบั ของความเสีย่ งทีย่ อมรบั ได้ ทั้งนี้ ในการตดั สินใจวา่ จะเลือกใช้มาตรการใดในการจัดการความเส่ียงตาม ผลการประเมินความเสี่ยง ได้แก่ การวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ และทฏษฎีต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างสมเหตสุ มผล การลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ (Disaster Risk Reduction: DRR) หมายถึง แนวคิดและวิธี ปฏิบัติในการ ลดโอกาสที่จะได้รับผลกระทบทางลบจากภัยพิบัติ ผ่านความพยายามอย่างเป็นระบบ ที่จะวิเคราะห์ และบริหารจัดการปจั จัยท่ีเป็นสาเหตุและผลกระทบของภัยพิบตั ิ เพื่อดําเนินนโยบาย มาตรการ หรอื กจิ กรรมต่าง ๆ ในการลดความล่อแหลม ลดปัจจัยทที่ าํ ให้เกดิ ความเปราะบาง และเพ่มิ ศักยภาพในการ จัดการปัญหา มีเป้าหมายในการลดความเสี่ยงที่มีอยู่ในชุมชนและสังคมในปัจจุบัน และป้องกันความเสี่ยง ที่อาจเกดิ ขน้ึ ในอนาคต ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข (Public Health Emergency) ถือเป็น “สาธารณภัย” ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต สร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชน และเกิดผลกระทบกับส่ิงแวดล้อม “ภาวะฉกุ เฉินทางสาธารณสขุ ” จงึ หมายถงึ เหตกุ ารณก์ ารเกิดโรคและภัยคกุ คามสขุ ภาพ “การจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข” (Public Health Emergency Management: PHEM) คือ กระบวนการและขั้นตอนต่างๆ ของการจัดการเหตุการณ์ การเกิดโรคและภัยคุกคามสุขภาพ อย่างรวดเรว็ และเป็นระบบ ครอบคลุมทกุ ระยะต้งั แต่ การดําเนนิ การป้องกัน และลดผลกระทบ (Prevention & Mitigation) การเตรียม ความพร้อมรองรับภาวะฉุกเฉิน (Preparedness) การตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน (Response) และการฟ้ืนฟูหลงั เกิดภาวะฉกุ เฉนิ (Recovery) 2
แนวทางประเมนิ ความเสี่ยงภัยด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสุข กองสาธารณสขุ ฉุกเฉิน บทนำ สถานการณแ์ ละผลกระทบของสาธารณภัยในปัจจุบนั 1.1 สถานการณโ์ ลก ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรวดเร็วทำให้เห็นชัดว่าแนวโน้มสาธารณภัย ที่ผ่านมามีความรุนแรงมากขึ้น และถือเป็นภัยร้ายแรงทีจ่ ะคกุ คามตอ่ ชีวิตและทรัพยส์ ินของประชาชน และ ของประเทศ สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมคิดเป็นมูลค่ามหาศาล จากฐานข้อมูลภัยพิบัติของโลก (Emergency Events Database; EM-DAT) ได้มีการบันทึกจำนวนสาธารณ ภัยที่เกิดขึ้นในปี 2562 จำนวน 396 ครั้ง โดยมีผู้เสียชีวิต 11,755 คน และมีผู้ที่ได้รับผลกระทบจำนวน จำนวนถึง 95 ล้านคน โดยคิดเป็นมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 103 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ทวีปเอเชียได้รับผลกระทบสูงสุดคิดเป็นร้อยละ 40 ของเหตุการณ์ภัยพิบัติทั้งหมด มีผู้เสียชีวิตคิดเป็นร้อย ละ 45 และมีผู้ได้รับผลกระทบคิดเป็นร้อยละ 74 ของผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมด โดยประเทศอินเดียได้รับ ผลกระทบหนักที่สุด และมีผู้เสียชีวิตเกือบร้อยละ 20 และมีผู้ได้รับผลกระทบคิดเป็นร้อยละ 24.5 ของ จำนวนผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมด ภัยพิบัติที่ทำให้เกิดความสูญเสียมากที่สุดในปีรอบปี 2562 คืออุทกภัย มีผู้เสียชีวิต ตามมาด้วยภัยจากความร้อน มีสาเหตุหลักมาจากคลื่นความร้อนในยุโรป และวาตภัย ส่งผล กระทบต่อผู้คนจำนวนมากที่สุดคิดเป็น 35% ของผู้ได้รบั ผลกระทบท้ังหมด ตามด้วยน้ำท่วม 33% และภัย แล้ง 31% เมื่อเทียบจำนวนสาธารณภัยที่เกิดขึ้นในปี 2552-2561 ในปี 2562 มีภัยพิบัติมากขึ้น มีจำนวน ผู้เสียชีวิต น้อยลงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยรายปี จำนวน 45,212 คน และมีจำนวนผู้ได้รับผลกระทบน้อยลง เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยรายปี จำนวน 184.7 ล้านคน สามารถลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจได้ 176 พันล้าน ดอลลาร์ เนื่องจากไม่มีเหตุการณ์ภัยพิบัติขนาดใหญ่เหมือนที่ผ่านมา เช่น แผ่นดินไหวในเฮติปี 2010 (มีผู้เสียชีวิต 222,500 ราย) ภัยแล้งปี 2558/2559 ในอินเดีย (มีผู้ได้รับผลกระทบ 330 ล้านคน) แผน่ ดินไหวและสึนามิในญี่ปนุ่ เมื่อปี 2554 (มลู คา่ ความเสียหาย 210 พันล้านดอลลาร์) เหตุการณส์ าธารณภยั ทีส่ ำคัญที่เกิดขึน้ ในปี 2562 คอื คลื่นความร้อนในชว่ งฤดรู ้อนที่ส่งผลกระทบ ต่อยุโรปโดยเฉพาะประเทศฝรั่งเศส เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ เป็นเหตุการณ์ส่งผลกระทบมากที่สุด ในปี 2562 มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 2,500 คน องค์การบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) จดั อนั ดบั ใหป้ ี 2562 เป็นปีทีอ่ บอุ่นทีส่ ุดเปน็ อันดบั สองในประวัติการณ์ และเปน็ คร้ังแรกทีป่ ระเทศเบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ มีอุณหภูมิมากกว่า 40 ° C เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศแอลเบเนีย ในเดือน พฤศจิกายน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 51 คน เหตุการณ์ปะทุของภูเขาไฟ คือการปะทุของเกาะไวท์ ในประเทศนิวซีแลนด์ในเดือนธันวาคม เหตุการณ์นี้ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ปีนี้ยังมีไฟป่า 3
แนวทางประเมินความเส่ียงภยั ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ กองสาธารณสขุ ฉุกเฉิน ขนาดใหญ่ทั่วโลก มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจทั้งหมดน่าจะสูงถึง 30 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยเหตกุ ารณไ์ ฟป่าที่สำคัญ ได้แก่ แคลิฟอรเ์ นีย / สหรฐั อเมริกา (Kincade, Saddle ridge และ Sandalwood เกิดไฟไหม้ตุลาคม) ซึ่งมีรายงานผลกระทบต่อมนุษย์เล็กน้อย แต่มีความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เหตุการณ์ไฟป่าในหลายประเทศ ของอเมริกาใต้ เหตุการณ์ไฟป่าอมาโซเนีย เหตุการณ์ไฟป่าออสเตรเลีย (กันยายน 2019 ถึงกุมภาพันธ์ 2020) เป็นเหตุการณ์ไฟป่าที่ยาวนาน มีผู้เสียชีวิต 32 คน มีความเสียหายกว่า 6 ล้านเฮกตาร์ คร่าชีวิตเกือบสัตว์กว่า 500 ล้านตัว ทำลาย บ้านเรือนหลายพันหลงั และบงั คับให้ผู้คนหลายแสนต้องอพยพ ทีม่ า The Emergency Events Database: Natural Disasters in 2019, โดย ฐานข้อมูลภัยพิบัติของโลก (Emergency Events Database; EM-DAT), 2019 4
แนวทางประเมนิ ความเส่ียงภยั ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุข กองสาธารณสขุ ฉกุ เฉิน 1.2 สถานการณส์ าธารณภัยในประเทศไทย จากข้อมูลโดยกรมอุตุนิยมวิทยาพบว่ามีภัยทางธรรมชาติมากมายหลายประเภท เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ในประเทศไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เช่น พายุหมุนเขตร้อน พายุฝน ฟ้าคะนองหรือพายุฤดูร้อน คลื่นพายุ ซัดฝั่ง ดินโคลนถล่ม อุทกภัย ภัยแล้ง ไฟป่าและ หมอกควัน แผ่นดินไหว และคลื่นสึนามิ โดยมีเหตุการณ์ สาธารณภยั ที่สร้างผลกระทบ ขนาดใหญ่กับประเทศหลายครั้ง เชน่ เหตกุ ารณค์ ลืน่ สึนามิ ที่ซัดถล่มชายฝ่ัง อันดามนั ของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2547 ท้ังยังมีสาธารณภยั ที่มีแนวโน้มในการเกิดข้ึน และมีความรุนแรง มากขึ้น เช่น การเกิดอุทกภัยขนาดใหญ่อย่างมหาอุทกภัย ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ปี พ.ศ. 2554 และ เหตุการณ์อุทกภัยในเขตภาคตะวันออก ในปี พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา รวมทั้งการเกิดอุทกภัยซ้ำซาก ในภาคใต้ของประเทศ สถิตภิ ยั พิบัติแตล่ ะประเภทในรอบ 20 ปี ของประเทศไทย พบว่า ภยั พิบัติทีส่ รา้ งความเสียหายมาก ที่สุด คือ ภัยจากน้ำท่วม โดยเฉพาะมหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2554 แต่ภัยพิบัติที่คร่าชีวิตคนและ มีผู้บาดเจ็บมากที่สุด คือ ภัยจากถนน หรือภัยจากการคมนาคมและขนส่ง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต ที่สําคัญในลําดับต้นๆ ของประชากรในประเทศ ไม่นับรวมความสูญเสียด้านอื่นๆ เช่น ความเสียหาย ต่อครอบครัวและสังคม การสูญเสียค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ การสูญเสียแรงงานของชาติ และเกิด ผลกระทบด้านจิตใจและเศรษฐกิจของครอบครัว ฯลฯ ซึ่งร้อยละ 90 ของภัยนี้ เกิดจากการใช้รถใช้ถนน อย่างประมาท การทําผิดกฎจราจร และการเมาสุรา ขณะเดียวกันในพื้นที่ภาคเหนือมีปัญหาไฟป่าที่สร้าง ปัญหาหมอกควนั ซึง่ เกิดข้ึน ในชว่ งฤดแู ล้งเป็นประจาํ ทกุ ปี และนบั จากปี 2550 กท็ วีความรนุ แรงมากยิ่งขึ้น จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ที่จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดมากกว่า คนไทยในภูมิภาคอื่นๆ ถึงเกือบ 7 เท่า เหตุการณ์สาธารณภัยที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและ ทรัพย์สินของประชาชนเป็นจํานวนมาก มีดงั ตอ่ ไปนี้ • อุทกภัย เป็นสาธารณภยั ทีก่ อ่ ให้เกิดความเสียหายตอ่ ประเทศมากที่สุด ในช่วงปี พ.ศ. 2545–2554 เกิดอุทกภัย 9 ครั้งต่อปี ในปี พ.ศ. 2546 เกิดอุทกภัยสูงสุดถึง 17 ครั้ง อุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2554 ทำให้เกิดความเสียหายมากทีส่ ุด สง่ ผลกระทบ 65 จงั หวดั และกรงุ เทพมหานคร ได้รับผลกระทบ มากกว่า 13 ล้านครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 813 คน มูลค่าความสูญเสีย 1.44 ล้านล้านบาทเป็นสาธารณภัยที่ก่อให้เกิด ความเสียหาย • วาตภัย ในช่วงปี พ.ศ. 2545 - 2554 เกิดวาตภัย เฉลี่ย 2,067 ครั้งต่อปี มีผู้เสียชีวิต 326 คน มูลค่าความเสียหาย 2,080 ล้านบาท วาตภัยเกิดขึ้นสูงสุดในปี พ.ศ. 2547 จำนวน 3,834 ครั้ง ปัจจุบัน วาตภัยมีแนวโน้มทีจ่ ะเกิดมากขึ้น • แผ่นดินไหว ประเทศไทยไม่มีแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตามยังมีรอยเลื่อนใกล้จังหวัด กาญจนบุรีที่อาจทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้ คือ รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ แผ่นดินไหวในประเทศไทยรู้สึกได้ 5
แนวทางประเมนิ ความเส่ยี งภยั ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุข กองสาธารณสขุ ฉุกเฉนิ ประมาณปีละ 5–6 ครั้ง มักเกิดขึ้นที่ภาคตะวันตกและภาคเหนือ ปี พ.ศ. 2550 เกิดแผ่นดินไหวที่ส่ง ผลกระทบถึงประเทศไทย ห่างจากจังหวัดเชียงรายไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณ 120 กิโลเมตร มีความลึกประมาณ 17.6 กิโลเมตร เปน็ สาเหตุให้ยอดเจดีย์ของพระธาตุจอมกิตตหิ กั • ดินโคลนถล่ม มักเกิดพร้อมหรือหลังจากเกิดน้ำป่าไหลหลากหรือ เกิดพายุที่ทำให้มีฝนตกหนัก ต่อเนื่อง ดินโคลนถล่มเกิดขึ้นบ่อยครั้งและมีความรุนแรงมากขึ้น ปี พ.ศ. 2544 เกิดดินโคลนถล่มที่จังหวัด แพร่ ประชาชนได้รับความเดือดร้อน 1,651 ครวั เรือน จำนวน 7,870 คน มีผู้เสียชวี ิต 36 คน ได้รับบาดเจ็บ 58 คน สูญหาย 4 คน ปี พ.ศ. 2549 เกิดดินโคลนถล่ม 5 จังหวัด (อตุ รดิตถ์ สุโขทยั แพร่ ลำปาง และน่าน) ในบริเวณเขตภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทยมีผู้เสียชีวิต 87 คน (อุตรดิตถ์ 75 คน สุโขทัย 7 คน และ แพร่ 5 คน) บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 697 หลัง เสียหายบางส่วน 2,970 หลัง ประชาชนได้รับความ เดือดร้อน 352,016 คน 108,762 ครัวเรือน อพยพ 10,601 คน สูญหาย 29 คน (อุตรดิตถ์ 28 คน สุโขทยั 1 คน) โดยสาเหตหุ ลักเกิดจากพฤติกรรมมนุษยท์ ีต่ ดั ไม้ ทำลายปา่ และทำลายหนา้ ดิน • สึนามิ ประเทศไทยประสบภัยคลื่นสึนามิที่ รุนแรงเมื่อปี พ.ศ. 2547 มี 6 จังหวัด ได้รับผลกระทบ มีผู้เสียชีวิต 5,395 คน บาดเจ็บ 8,457 คน สูญหายกว่า 2,187 คน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวตลอด ชายฝงั่ ทะเลอนั ดามันได้รบั ความสญู เสียกว่า 30,000 ล้านบาท • โรคระบาด (Infectious disease) ในประเทศไทยทีส่ ำคัญๆ ปี พ.ศ. โรคระบาด 2547 ไข้เลือดออก 2552 โรคไข้หวดั ใหญ่สายพันธใ์ุ หม่ 2009 (H1N1) 2551 โรคไข้ปวดข้อยงุ ลาย 2555 โรคไข้เลือดออก 2556 โรคติดต่อทางทางเดินหายใจ (MERS - CoV) 2557 โรคติดเชอื้ ไวรัสอีโบลา 2562-ปจั จุบนั โรคติดเชือ้ ไวรัสโคโรนาสายพันธใ์ุ หม่ 2019 (COVID – 19) 6
แนวทางประเมินความเสีย่ งภยั ด้านการแพทย์และสาธารณสุข กองสาธารณสุขฉุกเฉิน 1.3 ปฏิทินการเกิดสาธารณภยั ในประเทศไทย เดือน/ภาค เหนือ ตะวันออก กลาง ตะวันออก ฝ่ังตะวันออก ใต้ มกราคม เฉียงเหนอื ฝนแล้ง ฝัง่ ตะวนั ตก กุมภาพันธ์ ไฟปา่ อุทกภยั /ฝนแล้ง มนี าคม พายุฤดูรอ้ น/ไฟปา่ ไฟปา่ /ฝนแล้ง ฝนแล้ง ฝนแล้ง พายุหมุนเขต ฝนแล้ง เมษายน พายฤุ ดูรอ้ น/ไฟปา่ ฝนแล้ง ร้อน ฝนแล้ง พฤษภาคม ฝนแล้ง พายุฤดูรอ้ น อทุ กภัย อุทกภยั มถิ ุนายน พายุฤดูรอ้ น/ไฟปา่ ฝนแล้ง ฝนแล้ง อุทกภยั ฝนแล้ง กรกฎาคม พายุฤดรู อ้ น/ไฟปา่ อุทกภัย อุทกภยั พายฤุ ดูรอ้ น/ฝน อุทกภัย สิงหาคม พายุฤดรู อ้ น อทุ กภยั แล้ง อทุ กภัย ฝนแล้ง พายฤุ ดูรอ้ น อุทกภัย กันยายน อทุ กภัย อุทกภยั อุทกภยั ฝนทิง้ ชว่ ง พายฤุ ดรู อ้ น ตุลาคม พายุหมุนเขตร้อน อุทกภยั อทุ กภัย พายฝุ นฟ้าคะนอง อทุ กภัย อทุ กภัย อุทกภยั พฤศจิกายน อุทกภัย ฝนทิง้ ช่วง ฝนทงิ้ ชว่ ง ฝนทิง้ ชว่ ง ฝนทงิ้ ชว่ ง อทุ กภัย ธันวาคม พายหุ มุนเขตร้อน พายหุ มนุ เขตร้อน อุทกภยั พายหุ มุนเขตร้อน พายุฝนฟ้าคะนอง พายุฝนฟ้า ฝนทิง้ ช่วง พายหุ มุนเขตร้อน อทุ กภยั อุทกภยั ฝนทิง้ ชว่ ง คะนอง อทุ กภัย คลื่นพายซุ ัด ฝนทงิ้ ช่วง พายุหมนุ เขตร้อน พายฝุ นฟ้าคะนอง พายุหมุนเขตร้อน พายหุ มุนเขตร้อน อุทกภยั ฝั่ง อทุ กภยั อุทกภัย พายุฝนฟ้า แผ่นดินถลม่ พายหุ มุนเขตร้อน พายฝุ นฟ้า คะนอง พายหุ มุนเขตร้อน อทุ กภัย พายุฝนฟ้าคะนอง คะนอง อทุ กภัย คลื่นพายซุ ดั พายุหมุนเขตร้อน พายุหมนุ เขตร้อน ฝ่งั แผน่ ดินถลม่ พายฝุ นฟ้าคะนอง พายุหมุนเขตร้อน อทุ กภัย อทุ กภยั อุทกภัย พายฝุ นฟ้า พายุฝนฟ้า อุทกภัย คะนอง คะนอง พายุฝนฟ้าคะนอง พายหุ มุนเขตร้อน อทุ กภัย พายุหมุนเขตร้อน พายฝุ นฟ้า อุทกภยั คะนอง พายฝุ นฟ้า คะนอง 7
แนวทางประเมนิ ความเส่ยี งภยั ดา้ นการแพทย์และสาธารณสุข กองสาธารณสขุ ฉุกเฉิน บทท่ี 2 การประเมินความเสย่ี ง การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) หมายถึง กระบวนการกำหนดลักษณะ ขนาด หรอื ขอบเขต ของความเสี่ยงโดยการวิเคราะห์ภัยที่เกิดขึน้ รวมทั้งประเมนิ สภาวะการเปิดรับต่อความ เสี่ยง ความเปราะบาง ศักยภาพ ในการรับมือของชุมชนที่อาจเป็นอันตราย และคาดการณ์ผลกระทบต่อ ชีวติ ทรัพยส์ ิน การดำ รงชีวติ และสิง่ แวดล้อม เป็นการวิเคราะห์ความน่าจะเป็นในการเกิดผลกระทบจากภัย ในพืน้ ที่หนง่ึ ๆ มีประโยชนใ์ นการวางแผนเพือ่ จัดการความเสีย่ งอยา่ งเปน็ ระบบ 2.1 แนวทางการประเมินความเสยี่ ง การประเมินความเสี่ยง เป็นกระบวนการที่มีลําดับขั้นตอนชดั เจนเป็นระบบ และโปร่งใส เป็นข้อมูล พื้นฐานสําคัญสําหรับการวางแผนพัฒนาและตัดสินใจที่มีการคํานึงถึง ความเสี่ยง สามารถนําไปปฏิบัติได้ ในหลายระดับ เช่น ระดับภูมิภาค ระดับชาติ ระดับท้องถิ่น และ ระดับชุมชน โดยท่ัวไปแล้วการประเมิน ความเสี่ยงจะช่วยในการตอบคาํ ถามตา่ ง ๆ ตอ่ ไปนี้ • อาจเกิดภยั อะไรขึน้ ในพื้นที่ • มีความเปน็ ไปได้มากน้อยเพียงใด • ผลทีอ่ าจตามมามีอะไรบ้าง • มีสง่ิ ใดทีอ่ าจช่วยบรรเทาผลรา้ ยของความเสีย่ งนน้ั หรอื ไม่ • ความเสี่ยงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้หรือไม่ และจําเป็นต้องการมีจัดการเพิ่มเติมหรือไม่แสดง ความสมั พันธ์โดยสูตร ดังน้ี ความเส่ียง = f (ภยั x ความล่อแหลม x ความเปราะบาง) World Bank (2014) ได้ให้นิยามองค์ประกอบทงั้ สามในฟงั กช์ น่ั ดงั น้ี ภัย หมายถึง ความเป็นไปได้ในการเกิดและความรุนแรงของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่อาจ ส่งผลร้ายแรง เชน่ แรงสนั่ สะเทือนของพืน้ ดินซึ่งเกิดจากแผ่นดินไหว หรอื ความเร็วลม อันเนื่องมาจากพายุ ไซโคลนเขตร้อน ความล่อแหลม หมายถึง ที่ตั้ง คุณลักษณะ และจํานวนมูลค่าของทรัพย์สินซึ่งมีความสําคัญ ในพนื้ ที่ที่ศึกษา เช่น คน อาคาร โรงงาน พืน้ ทีเ่ กษตร และโครงสรา้ งพ้ืนฐานซึง่ มี ความล่อแหลมต่อภยั 8
แนวทางประเมินความเสยี่ งภยั ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุข กองสาธารณสขุ ฉุกเฉนิ ความเปราะบาง หมายถึง ระดับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สินเมื่อมีความล่อแหลมต่อ แรงกระทําจากภัย ซึ่งแตกตา่ งกันไปตามตําแหน่งทางภูมิศาสตร์ เชน่ ความเปราะบางของ อาคารแห่งหนึ่ง ต่อแผน่ ดินไหวจะเพิม่ ขึน้ ตามความรุนแรงของแรงสั่นสะเทือนจากพืน้ ดิน หมายเหตุ สมการความเส่ยี งบางครงั้ จัดให้ “ศกั ยภาพ” หรอื C เป็นตวั แปรโดด แสดงดว้ ยสูตรว่า ความเสีย่ ง = f (ภยั x ความล่อแหลม x ความเปราะบาง) / ศักยภาพ ทม่ี า กรมป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั , 2557 องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (International Organization for Standardization: ISO) ได้จดั ทาํ ISO 31000 วา่ ดว้ ยการบริหารจัดการความเสีย่ ง ให้เป็น มาตรฐานสากลในเรือ่ งของหลักการ กรอบการดําเนินงาน และกระบวนการในการบริหารจัดการความเสี่ยง กรอบการประเมนิ ความเส่ียงตามมาตรฐาน ISO 31000 ทีม่ า ISO ,2009 9
แนวทางประเมนิ ความเสี่ยงภยั ดา้ นการแพทย์และสาธารณสขุ กองสาธารณสุขฉุกเฉิน 2.2 วตั ถปุ ระสงคข์ องการประเมินความเสย่ี ง การประเมนิ ผลความเสีย่ งเปน็ กระบวนการเปรียบเทียบผลการวิเคราะห์ความเสีย่ งกับเกณฑ์ความ เสี่ยงเพื่อหาว่าความเสี่ยงหรือขนาดของความเสี่ยงนั้นเป็นที่ยอมรับได้หรือไม่ และควรจัดการอย่างไร มีประโยชน์มากในการจัดทําข้อแนะนําในการจัดการความเสี่ยง ช่วยให้พิจารณาได้ว่า มีความเสี่ยงใดที่ จําเป็นต้องดําเนินการแก้ไขบ้าง และควรต้องเรียงลําดับความสําคัญในการจัดการ ความเสี่ยงประการใด ก่อน นอกจากนี้ ยังเป็นข้อมูลพื้นฐานที่สําคัญในการวางมาตรการบริหาร จัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ อื่น ๆ 2.3 กระบวนการประเมนิ ความเสย่ี ง ประกอบด้วยขั้นตอนหลกั 3 ขนั้ ตอน คือ 1. การระบคุ วามเสีย่ ง (Risk Identification) • การระบลุ กั ษณะของภัย (Hazard Characterization) • การวเิ คราะห์ความถีข่ องการเกิดภัย (Frequency Analysis) 2. การวเิ คราะหค์ วามเสย่ี ง (Risk Analysis) • การระบอุ งค์ประกอบทีม่ ีความเสย่ี ง (Elements at Risk Identification) • การประเมินความเปราะบาง (Vulnerability Assessment) • การวเิ คราะห์ผลกระทบ (Consequence Analysis) 3. การประเมินผลความเสีย่ ง (Risk Evaluation) ข้นั ตอนสาํ คัญในการวางแผนเพ่ือลดความเสยี่ งจากภัยพิบตั ิ ที่มา: จาก ADPC, 2014a(พ.ศ. 2557) ขั้นตอนท่ี 1 การระบคุ วามเสีย่ ง (Risk Identification) การระบคุ วามเสีย่ ง หรอื การประเมินภัย (hazard assessment) เป็นการระบุชนิด ของภัยที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ ตลอดจนลักษณะและพฤติกรรมทาง ธรรมชาติของภัยน้ัน ๆ การระบคุ วามเสีย่ งสามารถแบง่ ออกเป็น 5 ข้ันตอน ดงั น้ี 10
แนวทางประเมินความเสีย่ งภยั ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ กองสาธารณสขุ ฉกุ เฉิน • การวิเคราะห์สถานการณ์ เริ่มจากการทบทวนข้อมูล และวิเคราะห์ผลการ ประเมินความเสีย่ งทีเ่ คยเกิดขึ้นในพื้นที่ ประกอบกับข้อมูลต่าง ๆ เช่น สถานพยาบาลที่เคยได้รับผลกระทบ ข้อมูลทางระบาดวิทยา ข้อมูลปริมาณน้ำฝน ข้อมูลทางธรณีวิทยา • การประเมินภัย คือ การระบุลักษณะของภัย รวมถึงแหล่งกําเนิด ความรุนแรง และ ความน่าจะเป็นในการเกิดภัยธรรมชาติหลักที่มีอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่ต้องการศึกษา เช่น การประมาณ ขอบเขตของพื้นที่อุทกภัยและระดับความลึกของน้ำที่จุดต่าง ๆ การประมาณแรงสั่นสะเทือนจาก แผ่นดินไหว เปน็ ต้น • การประเมินความล่อแหลม คือ การระบุจํานวน สถานที่ตั้ง และรายละเอียด สาํ คญั ด้านประชากร ทรพั ยส์ ิน และองค์ประกอบที่มคี วามเสี่ยง ที่อยู่ในขอบเขตบริเวณที่ ล่อแหลมต่อการ เกิดภัย เช่น กลุ่มประชากรตามอายุ ประเภทอาคารบ้านเรือน สถานที่ สําคัญ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน และสาธารณปู โภคพนื้ ฐาน เช่น ถนน ระบบประปา ระบบการจา่ ยไฟฟ้า • การประเมินความเปราะบาง คือ การวิเคราะห์ความเสี่ยงจากภัยที่อาจเกิดขึ้น และผลกระทบที่อาจเกิดกับประชากรและทรัพย์สิน ในบริเวณที่มีความล่อแหลม เช่น การศึกษาเชิง วิศวกรรมเพื่อวิเคราะห์ระดับความเสียหาย ของอาคารแต่ละประเภท (คอนกรีตเสริมเหล็ก ไม้) ต่อแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว หรือการศึกษาสภาพทางสังคมของกลุ่มประชากรซึ่งมีการตอบสนองต่อ เหตกุ ารณภ์ ยั แตกต่างกนั • การประเมินศักยภาพ วิเคราะห์ศักยภาพ ทรัพยากร ทักษะ ความสามารถของ บุคลากร ในการรับมือผลกระทบจากภัยที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ ในบางกรณีข้ันตอนนี้อาจทําควบคู่ไปกับการ ประเมินความเปราะบาง ขั้นตอนที่ 2 การวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Analysis) เป็นกระบวนการเพื่อทําความเข้าใจใน ระดับของความเสี่ยง หรือ ผลกระทบทางลบที่เกิดจากภัย การวิเคราะห์ความเสี่ยงเป็นขั้นตอนต่อ เนื่องมาจากการระบุความเสี่ยง โดยเป็นการนําผลของการประเมินภัย ความล่อแหลม ความเปราะบาง และศักยภาพ มาประมวลรวมกันเพื่อประมาณระดับความเสียหาย ความสูญเสีย หรือผลกระทบจาก สถานการณ์ เชน่ ความเสียหายตอ่ ทรัพยส์ ิน การสูญเสียชีวติ โดยพิจารณาจากการประเมินโอกาสที่จะเกิด ความเสี่ยง (Likelihood) และผลกระทบ หรอื ผลกระทบทีต่ ามมา (Impact หรอื Consequence) ต่อการบรรลุ วัตถุประสงค์หรอื เป้าหมายของสว่ นงานหรอื หนว่ ยงานภายในสว่ นงาน ความสัมพนั ธโ์ ดยสตู ร ดงั น้ี ความเสยี่ ง (Risk Analysis) = [ระดับโอกาสทจ่ี ะเกดิ (Likelihood) x ระดับของผลกระทบท่ี ตามมา (Impact หรือ Consequence)] 11
แนวทางประเมินความเสยี่ งภัยด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ กองสาธารณสขุ ฉุกเฉิน 1) แนวทางและวิธีการในการวเิ คราะห์ความเสี่ยง การวิเคราะห์ความเสี่ยง สามารถทําได้ทั้งการวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงเดี่ยว หรือการวิเคราะห์ ความเสีย่ งจากภัยหลากหลายประเภท กลา่ วคือ • การวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงเดี่ยว (single-risk analysis) ประเมินค่าความเสี่ยงจาก ภัยเพียงชนิดเดียวโดยไม่คํานึงถึงภัยหรือสถานการณ์ความเสี่ยงอื่น เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอน ระบุ ความเสี่ยงเรียบร้อยแล้ว จงึ ประมวลผล ประมาณค่า และจดั ทําแผนที่ความเสี่ยงจาก ภัยชนิดนน้ั เพียงอยา่ งเดียว • การวิเคราะห์ความเสี่ยงจากภัยหลากหลายประเภท (multi-risk approach) ประกอบด้วย การวิเคราะห์ความเสี่ยงของภัยหลายประเภทและความเปราะบางในหลาย มิติ ความท้าทาย ในการประเมินความเสี่ยงจากภัยหลากหลายประเภท คือการคํานึง ถึงผลที่จะตามมาทั้งหมดของภัย เช่น ผลกระทบต่อเนื่อง (knock-on effects) ผลกระทบ แบบโดมิโน (domino effects) และผลกระทบแบบลูกโซ่ (cascading effects) รวมทั้ง ผลกระทบ ที่อาจเกิดขึ้นโดยทางตรงและทางออ้ มอ่นื ๆ ไปพร้อมกัน การวิเคราะห์ความเสี่ยงจึงเป็นเครื่องมือสําคัญ ประกอบการตัดสินใจถึงความจําเป็น ในการ ป้องกันและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ช่วยลดความเสียหาย การซ่อมสร้างการฟื้นฟู และช่วยทดแทน การแก้ไขปัญหาปลายเหตุหลังจากเกิดภัยพิบัติได้ ข้อมูลที่ได้จากกระบวนการวิเคราะห์ความเสี่ยง ประกอบด้วย: • โอกาสที่จะเกิดความเสี่ยง(Likelihood) หมายถึง ความถี่หรือโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ ความเสีย่ ง • ผลกระทบ หรือผลกระทบที่ตามมา (Impact หรือ Consequence) หมายถึง การ ประเมิน ผลกระทบหรือการประมาณค่าความเสียหายหรือความสูญเสีย ขนาดความ รุนแรงของความเสียหายทีจ่ ะเกิดข้ึน • เมตรกิ ซ์ความเสี่ยง (risk matrix) เป็นผลการวิเคราะหค์ วามเสี่ยงแบบไมซ่ ับซ้อน โดยใช้ การประมาณการณ์ความเป็นไปได้ในการเกิดของเหตุการณ์ความเสี่ยงและผลกระทบที่ อาจเกิดในเชงิ คุณภาพ • แผนที่ความเสี่ยงเฉพาะภาคส่วนและแผนที่ความเสี่ยงแบบรวม (sector-specific risk maps and composite risk maps) เชน่ แผนที่ความเสี่ยงของสถานพยาบาล แผนที่ ความเสี่ยงบ้านเรือน แผนทีค่ วามเสี่ยงของสาธารณูปโภค 12
แนวทางประเมินความเสี่ยงภัยดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุข กองสาธารณสุขฉกุ เฉนิ ขั้นตอนที่ 3 การประเมินผลความเสี่ยง (Risk Evaluation) ผลที่ได้จากการประเมินความเสี่ยง มักอยู่ในรูปแบบรายงาน และ/หรือการนําเสนอ การเปรียบเทียบระดับความเสี่ยงตามพื้นที่ เพื่อพิจารณา ระดับของความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ทั้งนี้ ในการตัดสินใจว่าจะเลือกใช้มาตรการใดในการจัดการความเสี่ยง ตามผลการประเมินความเสี่ยง ได้แก่ การวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ และทฏษฎีต่ำที่สุดเท่าที่ จะเป็นไปได้อยา่ งสมเหตสุ มผล โดยมีแนวทางการประเมินผลความเสี่ยง ดังน้ี 1) การจดั ลําดบั ความสาํ คัญความเสี่ยง ตารางแสดง การจัดลาํ ดบั ความสําคัญความเสีย่ ง ระดบั ความเสยี่ ง ระดับความสําคญั ความเสี่ยงต่ำ ความเสี่ยงในระดับที่ไม่รุนแรง และส่งผลกระทบน้อย สามารถ (Low) ยอมรับความเสีย่ งได้ โดยการตดิ ตามและเฝ้าระวังความเส่ียงเป็น ระยะๆ ไม่ตอ้ งจัดทำแผนตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน ความเสี่ยงปานกลาง ความเสย่ี งรนุ แรงไมม่ ากนัก สามารถยอมรับได้ ต้องมกี ารติดตาม (Moderate) อย่างใกล้ชิด เพื่อควบคุมความเสี่ยงหรืออาจมีมาตรการป้องกัน โดยเฉพาะ แต่ไม่ต้องจัดทำแผนตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน ความเสี่ยงสงู ความเสี่ยงอยู่ในระดับที่รุนแรงและอาจก่อผลกระทบรุนแรงได้ (High) ไม่สามารถยอมรับได้ ต้องมีการติดตามความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด เพื่อควบคุมความเสี่ยงหรืออาจมีมาตรการป้องกันโดยเฉพาะเพ่ือ ความเสี่ยงสูงมาก ควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่สมารถยอมรับได้ และจัดทำ (Very High) แผนตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน ความเสี่ยงอยู่ในระดับสูงมาก ไม่สามารถยอมรับได้อาจมี ผลกระทบที่ร้ายแรงมาก จําเป็นต้องหาทางยับยั้ง วางแผน และ ดาํ เนินการจดั การความเส่ียงในทันที หรอื ดว่ นท่ีสดุ เท่าท่ีจะเป็นไป ได้ เพื่อให้ระดับความเสี่ยงสามารถยอมรับได้ โดยมีการประเมิน ซ้ำ และจดั ทำแผนตอบโตภ้ าวะฉุกเฉนิ 2) เกณฑ์ความเสีย่ ง เกณฑ์ความเสี่ยงเปน็ สิง่ ที่ใช้อ้างอิงในการประเมินความสําคัญของความเสี่ยง เป็นเกณฑ์ที่กําหนด ขึน้ ว่าจะยอมรับหรอื จัดการความเสีย่ งที่มีหรอื ไม่ พร้อมทั้งเสนอทางเลือกในการเตรียมความพร้อม ป้องกัน หรือลดผลกระทบ โดยเกณฑ์ความเสี่ยงมีได้หลายรูปแบบซึ่งอาจมีความแตกต่างได้ตามบริบทของแต่ละ ท้องที่ 13
แนวทางประเมินความเส่ยี งภัยด้านการแพทย์และสาธารณสขุ กองสาธารณสุขฉกุ เฉิน ตวั อย่างการกำหนดเกณฑ์การประเมิน • ระดบั โอกาสในการเกิดเหตุการณต์ า่ งๆ (Likelihood) ในเชิงปริมาณ ระดับ โอกาสท่จี ะเกิด คำอธิบาย 1 น้อยมาก 5 ปีต่อครั้ง 2 น้อย 2 - 3 ปีตอ่ คร้ัง 3 ปานกลาง 1 ปีต่อครั้ง 4 สูง 1-6 เดือนต่อครง้ั แต่ไมเ่ กิน 5 ครั้ง 5 สูงมาก 1 เดือนตอ่ ครง้ั หรอื มากกวา่ • ระดบั โอกาสในการเกิดเหตกุ ารณ์ตา่ งๆ (Likelihood) ในเชิงคณุ ภาพ ระดบั โอกาสทจ่ี ะเกิด คำอธิบาย 1 น้อยมาก ไม่มีโอกาสเกิด 2 น้อย อาจมโี อกาสเกิดแตน่ านๆ ครั้ง 3 ปานกลาง มีโอกาสเกิดบางคร้ัง 4 สูง มีโอกาสในการเกิดค่อนข้างสูงหรอื บอ่ ยๆ 5 สูงมาก มีโอกาสในการเกิดเกือบทกุ คร้ัง • ระดบั ความรุนแรงของผลกระทบของความเสีย่ ง (Impact) เชงิ คณุ ภาพ ระดับ ผลกระทบ คำอธิบาย 1 แทบไมม่ ี มีการสูญเสียทรัพย์สินเลก็ น้อย ไมม่ ีการบาดเจ็บรุนแรง 2 เลก็ น้อย การสญู เสียทรพั ย์สินพอสมควร มีการบาดเจบ็ เลก็ น้อย 3 ปานกลาง มีการสญู เสียทรัพย์สินมาก มีการบาดเจบ็ สาหัส 4 ร้ายแรง มีการสูญเสียทรพั ยส์ ินอยา่ งมหันต์ การบาดเจบ็ สาหสั 5 วิกฤต มีการสูญเสียทรพั ยส์ ินอยา่ งมหันต์ มีการบาดเจบ็ ถึงชีวติ 14
แนวทางประเมินความเส่ียงภัยด้านการแพทย์และสาธารณสขุ กองสาธารณสุขฉกุ เฉนิ • ระดับความเสี่ยง (Risk Level) หมายถึง สถานะของความเสี่ยงที่ได้จากการประเมินโอกาส และผลกระทบของแต่ละปัจจัยเสี่ยง กำหนดเกณฑ์ไว้ 4 ระดับ คือ สูงมาก สูง ปานกลาง และน้อย ดังตารางแสดงระดับความเสี่ยงต่อไปนี้ ตารางแสดง ระดับคะแนนความเสี่ยง โอกาสหรอื ความถี่ แทบไม่มี ระดับความรุนแรงของผลกระทบ วิกฤต ในการเกิดภัย (1) เลก็ น้อย ปานกลาง ร้ายแรง (5) (2) (3) (4) มีโอกาสเกิดนอ้ ยมาก (1) 1 2 3 45 มีโอกาสเกิดนอ้ ย (2) 2 4 6 8 10 มีโอกาสเกิดปานกลาง (3) 3 6 9 12 15 มีโอกาสเกิดสูง (4) 4 8 12 16 20 มีโอกาสเกิดสูงมาก (5) 5 10 15 20 25 ทมี่ า ADPC,2011 15
แนวทางประเมนิ ความเส่ียงภยั ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ กองสาธารณสขุ ฉกุ เฉนิ บทที่ 3 แนวการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสขุ (Public Health Emergency Management: PHEM) ที่มา การจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ระบบ บัญชาการเหตุการณ์และศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข กรมควบคุมโรค : Public Health Emergency Management, incidence Command System and Emergency Operations Center, Department of Disease Control (PHEM, ICS & EOC) “การจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข” (Public Health Emergency Management: PHEM) คือ กระบวนการและขั้นตอนต่างๆ ของการจัดการเหตุการณ์ การเกิดโรคและภัยคุกคามสุขภาพ อย่างรวดเร็วและเป็นระบบ ครอบคลุมทุกระยะตั้งแต่ การดําเนินการป้องกัน และลดผลกระทบ (Prevention & Mitigation) การเตรียม ความพร้อมรองรับภาวะฉุกเฉิน (Preparedness) การตอบโต้ภาวะ ฉุกเฉิน (Response) และการฟนื้ ฟูหลังเกิดภาวะฉกุ เฉิน (Recovery) ซึ่งทั้ง 4 ระยะ มีรายละเอียดดังนี้ ระยะท่ี 1 การดําเนินการปอ้ งกันและลดผลกระทบ (Prevention and Mitigation) เป็นระยะที่ต้องดาํ เนนิ กิจกรรมต่างๆ ทีช่ ว่ ยลดโอกาสการเกิดเหตุการณ์ และลด ผลกระทบของโรค และภัยสุขภาพทีเ่ ป็นภาวะฉกุ เฉิน หรอื ทําให้เหตุการณ์นั้นส่งผลกระทบ น้อยลง ซึ่งรวมถึงการจัดวางระบบ 16
แนวทางประเมินความเสีย่ งภัยด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ กองสาธารณสุขฉกุ เฉิน การจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขให้มีสมรรถนะ และมีขีดความสามารถ เพื่อเตรียมการเผชิญสา ธารณภยั ต่าง ๆ ได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ เป็นการลดความรุนแรงและลดความสญู เสียจากภาวะฉุกเฉินทาง สาธารณสุข ระยะท่ี 2 การเตรยี มความพร้อมรองรับภาวะฉุกเฉิน (Preparedness) เป็นระยะที่ต้องเตรียมความพร้อมและแนวทางปฏิบัติในการรับมือกับภาวะฉุกเฉิน ที่จะเกิดขึ้นใน ทุกด้านกอ่ นเกิดเหตุการณภ์ าวะฉุกเฉินทางสาธารณสขุ ได้แก่ - การเตรียมศูนย์ปฏิบตั ิการตอบโต้ภาวะฉกุ เฉิน และระบบบัญชาการเหตุการณ์ (EOC & ICS) - การจัดทําแผนตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสขุ และการซ้อมแผนดังกลา่ ว (PHE Planning & Exercise) - การฝกึ อบรมและพฒั นาบคุ ลากรเพือ่ รองรับการตอบโต้ภาวะฉกุ เฉินทางสาธารณสุข (PHER Training) - การจดั การและเตรียมข้อมูลที่เกีย่ วข้องกบั การตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข (Information Management) - การจัดเตรยี มเครอ่ื งมอื อปุ กรณ์ ยา วัคซีน และเวชภัณฑ์ และระบบการขนสง่ ต่าง ๆ ทีเ่ กีย่ วข้อง กบั การตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข (PHE Logistic) - การเตรียมระบบเฝา้ ระวงั เหตกุ ารณ์ ภาวะฉกุ เฉินทางสาธารณสุข (PHE Surveillance) - การเตรียมระบบประสานการทาํ งานร่วมกบั เครือข่าย (PHE Networking) ระยะท่ี 3 การตอบโต้ภาวะฉกุ เฉิน (Response) เมื่อเกิดภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดําเนินการ ตามแผนจัดการภาวะ ฉุกเฉินทางสาธารณสุข มีการเปิดศนู ย์ปฏิบตั ิการตอบโต้ภาวะฉกุ เฉิน เพือ่ บญั ชาการเหตุการณ์ ดําเนินการ ติดตามเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์อย่าง ต่อเนื่อง ส่งทีมเข้าพื้นที่เพื่อให้การช่วยเหลือและบรรเทา ความสญู เสียตอ่ สุขภาพของ ผปู้ ระสบเหตุ และดาํ เนนิ การป้องกัน ควบคุมโรคระบาด หรอื ผลแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจ เกิดขึ้นหลังการเกิดภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสขุ และสื่อสารความเสีย่ งอย่างเหมาะสม ซึ่งในการ ดาํ เนนิ การจะระดมทรพั ยากรทีเ่ ตรยี มพร้อมไว้เพือ่ ตอบโต้ภาวะฉกุ เฉินรว่ มกับ หน่วยงานที่เกีย่ วข้อง ระยะท่ี 4 การฟื้นฟูหลังเกิดภาวะฉกุ เฉิน (Recovery) เป็นระยะที่ความเสียหายและความสูญเสียจากเหตุการณ์ภาวะฉุกเฉินทาง สาธารณสุขได้รับการ แก้ไขและบรรเทาแล้ว มีการฟื้นฟูให้พื้นที่กลับสู่ภาวะปกติ ซึ่ง หลังจากดําเนินการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินแล้ว ผรู้ บั ผิดชอบเหตกุ ารณ์ภาวะฉกุ เฉินต้อง เตรียมการหลงั ฟืน้ ฟู ได้แก่ - เตรียมปิดตัวสถานที่พกั พิงชั่วคราวในพื้นที่เตรียมเปิดระบบใหบ้ ริการสุขภาพของพื้นที่ในภาวะปกติ - ประชาชนในพื้นที่เริ่มใช้ชีวติ ในภาวะปกติ - ทีมตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขเตรียมถ่ายโอนภารกิจให้หน่วยงานที่ปกติ และเตรียม ถอนตวั ออกจากพนื้ ที่ 17
แนวทางประเมินความเสยี่ งภยั ดา้ นการแพทย์และสาธารณสุข กองสาธารณสุขฉุกเฉิน 3.1 การจัดระดับความรนุ แรงของสาธารณภยั 3.1.1 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั ได้แบ่งความรุนแรงของสาธารณภยั เปน็ 4 ระดบั ระดบั ความรุนแรง แปลผล 1 สาธารณภัยทีเ่ กิดขึน้ ท่วั ไปหรอื มีขนาดเลก็ ท้องถิ่นสามารถจดั การได้โดยตนเอง 2 สาธารณภัยขนาดกลางซึ่งเกิดขีดความสามารถ ของท้องถิ่น ต้องอาศัยการ ชว่ ยเหลอื จากท้องถิ่นข้างเคียงและหนว่ ยงานที่เกีย่ วข้องในจังหวดั 3 สาธารณภัยขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบรุนแรง กว้างขวาง หรือสาธารณภัยที่ จําเปน็ ต้องอาศยั ผเู้ ชย่ี วชาญหรืออุปกรณ์พิเศษ 4 สาธารณภัยขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบร้ายแรงอย่างยิ่ง เป็นสาธารณภัยขนาด ใหญ่มากเป็นพิเศษ ที่มีผลกระทบร้ายแรงอย่างยิ่ง ต่อชีวิตทรัพย์สินและขวัญ กาํ ลงั ใจของประชาชนท้ังประเทศ ความรุนแรงระดับ 1 หมายถึง สาธารณภยั ทีเ่ กิดขึ้นทวั่ ไปหรือมีขนาดเลก็ ท้องถิน่ สามารถจัดการ ได้โดยตนเอง ในกรณีน้ใี ห้ผู้อํานวยการท้องถิ่นผู้อาํ นวยการอําเภอ สามารถควบคมุ สถานการณ์และจัดการ ระงบั ภยั ได้ ความรุนแรงระดับ 2 หมายถึง สาธารณภัยขนาดกลางซึ่งเกิดขีดความสามารถ ของท้องถิ่น ต้อง อาศัยการชว่ ยเหลอื จากท้องถิ่นข้างเคียงและหนว่ ยงานที่เกีย่ วข้องในจังหวัด ในกรณีน้ผี ู้อํานวยการในระดับ 1 ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ผู้อํานวยการ จังหวัด และ/หรือผู้อํานวยการกรุงเทพมหานครเข้า ควบคมุ สถานการณ์ ความรุนแรงระดับ 3 หมายถึง สาธารณภัยขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบรุนแรง กว้างขวาง หรือสา ธารณภยั ทีจ่ ําเป็นต้องอาศยั ผเู้ ชี่ยวชาญหรืออุปกรณ์พิเศษ เป็นสาธารณภัยขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่เสียหายเป็น บริเวณกว้างขวางหรือสถานการณ์ของ สาธารณภัยที่เกิดขึ้น จําเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญหรืออุปกรณ์ พิเศษต้องระดมความช่วยเหลือจากทุกส่วนราชการ ภาคเอกชนและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ผู้อํานวยการ จังหวัดไม่สามารถควบคุมและระงับสาธารณภัยได้ ต้องอาศัยความร่วมมือ จากหน่วยงาน ภายนอกพื้นที่ ในกรณีน้ใี ห้ผู้อํานวยการกลาง และ/หรือผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทา สาธารณภัยแห่งชาติ หรือผู้ได้รับ มอบหมายเปน็ ผู้บัญชาการเหตุการณ์เขา้ ควบคุม สถานการณ์ ความรุนแรงระดับ 4 หมายถึง สาธารณภัยขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบร้ายแรง อย่างยิ่ง เป็นสา ธารณภัยขนาดใหญ่มากเป็นพิเศษ ที่มีผลกระทบร้ายแรงอย่างยิ่ง ต่อชีวิตทรัพย์สินและขวัญกําลังใจของ ประชาชนทั้งประเทศ หรือเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน ผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรือผู้ได้รับมอบหมาย) ไม่สามารถที่จะควบคุมสถานการณ์และระงับ ภยั ได้ นายก รฐั มนตรหี รอื รองนายกรฐั มนตรีทีน่ ายกรฐั มนตรีมอบหมาย จะเปน็ ผู้บัญชาการเหตุการณ์ เข้า ควบคมุ สถานการณ์ 18
แนวทางประเมินความเสยี่ งภัยดา้ นการแพทย์และสาธารณสขุ กองสาธารณสุขฉุกเฉิน 3.1.2 กองสาธารณสุขฉุกเฉิน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้แบ่งความรุนแรงของ โรคและภัยสขุ ภาพเปน็ 3 ระดับ ดงั น้ี ระดบั ความรุนแรง แปลผล 1 โรคและภัยสุขภาพที่เป็นสาธารณภัยขนาดเล็ก สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด รว่ มกบั สถานพยาบาลในจงั หวัดสามารถจดั การได้โดยตนเอง 2 โรคและภัยสุขภาพที่เป็นสาธารณภัยขนาดกลาง ต้องอาศัยการสนับสนุนความ ช่วยเหลือจากหน่วยงานหลายส่วนราชการภายจังหวัดตนเอง หรือจังหวัด ใกล้เคียง 3 โรคและภัยสุขภาพที่เป็นสาธารณภัยขนาดใหญ่ มีผลกระทบรุนแรงกว้างขวาง หรือจําเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญหรืออุปกรณ์พิเศษ ต้องระดมความช่วยเหลือ จากทุกสว่ นราชการ ภาคเอกชน และผเู้ ช่ยี วชาญเฉพาะด้าน ในระดบั ประเทศ ความรุนแรงระดับ 1 เกิดโรคและภัยสุขภาพที่เป็นสาธารณภัยขนาดเล็ก สํานักงานสาธารณสุข จังหวัดร่วมกับสถานพยาบาลในจังหวัดนั้น สามารถควบคุม ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขได้เอง โดย ดาํ เนนิ การตามแผนปฏิบัติการฯ ระดบั จังหวัด ความรุนแรงระดับ 2 เกิดโรคและภัยสุขภาพที่เป็นสาธารณภัยขนาดกลาง ต้องอาศัยการ สนับสนุนความช่วยเหลือจากหน่วยงานหลายส่วนราชการภายจังหวัดตนเอง หรือจังหวัดใกล้เคียงอื่นๆ ใน ระดับเขต ซึ่งสํานักงานสาธารณสุขจังหวดั นั้น ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์และจัดการภาวะฉุกเฉินทาง สาธารณสุขได้เอง ต้องให้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขระดับเขตเข้าควบคุมสถานการณ์ และ ระดม ทรัพยากรจากจังหวัดใกล้เคียงภายในเขตเข้าร่วมจัดการระงับภยั สุขภาพนั้น ซึ่งใช้ แผนปฏิบัติการฯ ระดบั กระทรวงเพือ่ ดําเนินการในพืน้ ทีร่ ะดับเขต ความรุนแรงระดับ 3 เกิดโรคและภัยสุขภาพที่เป็นสาธารณภัยขนาดใหญ่ มีผลกระทบรุนแรง กว้างขวาง หรือจําเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญหรืออุปกรณ์พิเศษ ต้องระดมความช่วยเหลือ จากทุกส่วน ราชการ ภาคเอกชน และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ในระดับประเทศ ร่วมกันควบคุมสถานการณ์และจัดการ ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข โดยดําเนินการตามแผนปฏิบตั ิการ ระดบั กระทรวง 19
แนวทางประเมนิ ความเสี่ยงภยั ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสุข กองสาธารณสขุ ฉุกเฉนิ 3.2 กลยทุ ธ์และแนวทางท่วั ไปในการจัดการความเสีย่ ง มี 4 ประการ ได้แก่ 3.2.1 การกําจัดความเสีย่ ง (การป้องกันหรือหลีกเลี่ยง) หมายถึง การทําให้ความเสี่ยงหมดไป โดยสิ้นเชิง อาจหมายถึงการย้ายสถานที่ต้ังของอาคารบ้านเรือนที่อย่ใู นพื้นทีเ่ สีย่ งให้ไป อยู่ในพืน้ ที่ปลอดภัย หรอื อาจหมายถึงการลงทนุ เชิงโครงสร้างขนาดใหญ่ในการป้องกันผลกระทบ เช่น การสรา้ งกําแพงกันคลื่น ยักษส์ ึนามิทีม่ คี วามสงู และแข็งแรงเพียงพอ 3.2.2 การแกไ้ ขปัญหาความเปราะบางและความลอ่ แหลม (การลดผลกระทบ) สําหรับความ เสี่ยงบางประเภท เราอาจไม่สามารถกาํ จดั ให้หมดไปได้โดยสิน้ เชงิ แตส่ ามารถ ลดทอนผลกระทบในทางลบ ให้ลดลงได้ เช่น การให้ความสําคัญกับมาตรฐานการก่อสร้าง สิ่งปลูกสร้างให้มีความคงทนแข็งแรงและ สามารถต้านทานภัยที่มีความรนุ แรงได้ดี 3.2.3 การเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ เป็นความรู้และศักยภาพที่รัฐบาล หน่วยงาน และประชาชนท่ัวไปควรใหค้ วามสําคัญในการพัฒนาให้ดีขึน้ โดยมาตรการและกิจกรรม เตรียมความพร้อม โดยทั่วไป ครอบคลุมการจัดทําระบบการเตือนภัยล่วงหน้าสําหรับ ภัยประเภทต่าง ๆ แบบครบวงจร การวางแผนเฉพาะกิจฉุกเฉินการจัดหาและจัดเตรียม อุปกรณ์และสิ่งของสํารองจ่าย การพัฒนากลไกใน การประสานงานและการเตรียมการ ระดับองค์กร การวางแผนอพยพ การให้ข้อมูลแก่สาธารณชน การ ซ้อมรับมอื ในสถานการณ์จาํ ลอง และการซ้อมรับมือเหตฉุ กุ เฉิน เปน็ ต้น 3.2.4 การจัดสรรผู้รับความเสี่ยงใหม่ (การถ่ายโอนหรือแบ่งปันความเสี่ยง) หมายถึง กระบวนการทําสัญญาหรือข้อตกลงเพื่อให้มีผู้รับผลกระทบจากความเสี่ยงแทนวิธีการนี้ แสดงให้เห็นว่า ความเสี่ยงยงั คงเดิม แต่มกี ารจดั การให้มบี ุคคลอืน่ มารับช่วงหรอื แบ่งเบา ผลกระทบทีอ่ าจเกิดขึ้นจากความ เสี่ยง โดยมากอยใู่ นรปู ของการทาํ ประกนั ภัย 20
แนวทางประเมนิ ความเสีย่ งภยั ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ กองสาธารณสขุ ฉกุ เฉิน บทท่ี 4 การประเมนิ ความเสย่ี ง ดา้ นสาธารณภยั ภยั พิบตั ิ หมายถึง สาธารณภยั อนั ได้แก่ อคั คีภยั วาตภยั อทุ กภัย ภัยแล้ง ภาวะฝนแลง้ ฝนทิ้งช่วง ภัยจากลกู เหบ็ ภยั อันเกิดจากไฟปา่ ภัยทีเ่ กิดจากโรคหรอื การระบาดของแมลงหรอื ศัตรูพืชทุกชนิด อากาศ หนาวจัดผิดปกติ ภัยสงคราม และภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของผู้ก่อการร้าย กองกำลังจากนอก ประเทศ ตลอดจนภัยอื่น ๆ ไม่ว่าเกิดจากธรรมชาติ หรือมีบุคคลหรือสัตว์ท าให้เกิดขึ้น ซึ่งก่อให้เกิด อันตรายแก่ชีวติ รา่ งกายของประชาชน หรอื ก่อใหเ้ กิดความเสียหายแก่ทรัพยส์ ินของประชาชน สาธารณภัย (Disaster) หมายถึง อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ภัยแล้ง โรคระบาดในมนุษย์ โรคระบาดสัตว์ โรคระบาดสัตว์น้ำ การระบาดของศัตรูพืช ตลอดจนภัยอื่น ๆ อันมีผลกระทบต่อ สาธารณชน ไมว่ า่ เกิดจากธรรมชาติ มีผู้ทำให้เกิดขนึ้ อุบัติเหตุ หรอื เหตอุ ่นื ใด ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต รา่ งกายของประชาชน หรอื ความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชน หรอื ของรัฐ และให้หมายความรวมถึง ภัยทางอากาศ และการกอ่ วินาศกรรมด้วย แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2553 - 2557 ได้กําหนดขอบเขตของ สาธารณภยั ไว้ 2 ดา้ น ดงั น้ี 1. ดา้ นสาธารณภัย ประกอบด้วย ภยั 14 ประเภท คือ - อทุ กภยั และดินโคลนถล่ม - ภยั จากพายุหมุนเขตร้อน - ภยั จากอัคคีภัย - ภยั จากสารเคมีและวตั ถุอันตราย - ภัยจากการคมนาคมและการขนสง่ - ภยั แล้ง - ภยั จากอากาศหนาว - ภัยจากไฟปา่ และหมอกควัน - ภัยจากแผ่นดนิ ไหวและอาคารถลม่ - ภยั จากคลื่นสนึ ามิ - ภัยจากโรคระบาดในมนษุ ย์ - ภัยจากโรคแมลง สัตว์ ศตั รูพชื ระบาด - ภัยจากโรคระบาดสัตวแ์ ละสตั ว์นำ้ - ภยั จากเทคโนโลยีสารสนเทศ 21
แนวทางประเมินความเส่ยี งภยั ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสุข กองสาธารณสุขฉกุ เฉิน 2. ดา้ นความม่ันคง ประกอบด้วย 4 ประเภท คือ - ภัยจากการกอ่ วินาศกรรม - ภยั จากท่นุ ระเบิดกบั ระเบิด - ภยั ทางอากาศ - ภัยจากการชุมนมุ ประท้วงและกอ่ การจลาจล 4.1 การเกบ็ ขอ้ มลู สาํ หรับการประเมนิ ความเส่ยี ง การประเมินความเสี่ยงเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ข้อมูลจํานวนมาก หลากหลายประเภทและ รูปแบบ ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การประเมินความเสี่ยงในประเทศไทยทั้งในระดับชาติ และระดับ จงั หวดั จะต้องใช้ข้อมูลจากหลายแหลง่ โดยส่วนมากมาจากแหล่งข้อมลู ทุติยภูมิเชน่ รายงาน ผลการศึกษา สิ่งพิมพ์ รวมไปถึงเอกสารจากหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น หน่วยงานรัฐบาล ท้องถิ่น หน่วยงาน ระหว่างประเทศที่มีความเกี่ยวข้องกับการเหตุการณ์ภัยพิบัติ ทําให้มีความท้าทาย ในเรื่องความน่าเชื่อถือ ของขอ้ มูล ความถกู ต้องในการบันทึกข้อมูลรูปแบบของข้อมูลทีเ่ ข้ากนั ได้ ขอบเขตและความละเอียดของช้ัน ข้อมูล และอื่น ๆ ดังนนั้ จงึ จาํ เปน็ ต้องกําหนดแหล่งขอ้ มูลให้ ชดั เจนและอาจต้องมีการปรับปรุงและปรับแก้ ข้อมูลที่สามารถรวบรวมได้ใหม้ ีความสอดคล้องกนั ก่อนที่จะเริ่มประมวลข้อมลู ขอ้ มูลสําหรับการประเมินความเสี่ยงจําเปน็ ต้องใชข้ อ้ มูลดงั ต่อไปน้ี - ขนาด/ ความรุนแรง/ ความรา้ ยแรงของภยั - ความถีใ่ นการเกิดภยั / การเกิดภยั ในอดีต - ชว่ งการเกิด (ตามฤดูกาล/ เป็นระยะ/ ไมม่ ีชว่ งเวลาทีแ่ นน่ อน) - ระยะเวลา - ขอบเขตพื้นที่ - ความเรว็ ในการเกิด (อยา่ งฉับพลนั หรอื อย่างช้า ๆ) - พืน้ ที่การกระจายตวั ผลของการประเมินภัยมักอยู่ในรูปของแผนที่ภัย (Hazard Map) ซึ่งแสดงถึงการกระจายตัวของ ความรุนแรงหรอื ความเข้มข้นของภยั (Hazard intensity) ในพืน้ ที่ศึกษา 22
แนวทางประเมินความเสยี่ งภยั ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ กองสาธารณสุขฉุกเฉนิ ตัวอยา่ งขอ้ มลู ทีจ่ ำเป็นในการประเมนิ ความเสย่ี งด้านสาธารณภัย จากโครงการประเมินความเสี่ยงในจังหวัดเชียงราย ภายใต้โครงการบูรณาการการปรบั ตวั ต่อการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติในการวางแผนพัฒนา ในประเทศไทย (Mainstreaming Climate Change Adaptation and Disaster Reduction in Development Planning in Thailand: MADRID) ในระหว่างปี พ.ศ. 2558 - 2559 1. การระบุและรวบรวมขอ้ มูลที่เกีย่ วขอ้ ง เช่น - ข้อมลู ภัยในอดีต ขนาด ประเภท ความรนุ แรง พืน้ ทีท่ ี่เกิดภัย ฯลฯ - ขอ้ มลู ด้านอตุ นุ ิยมวิทยา อณุ หภูมิ สภาพอากาศ ฯลฯ - ข้อมูลด้านน้ำ ระดับน้ำ การจัดเก็บน้ำ ปริมาณน้ำฝน น้ำท่า น้ำทะเล ลักษณธทาง กายภาพของพืน้ ทีโ่ ครงข่ายแมน่ ้ำ พืน้ ทีร่ บั น้ำ ขอบเขตลุ่มน้ำ ฯลฯ - ข้อมูลด้านธรณี ความชื้นของดิน ลักษณธทางกายภาพของดิน ระดับความต่ำสูงของ พืน้ ดิน ฯลฯ - ข้อมูลอืน่ ๆที่เกีย่ วข้อง 2. การรวบรวมขอ้ มลู ทีเ่ กี่ยวข้องกับความลอ่ แหลมและเปราะบาง เช่น - ขอ้ มูลความเสียหายและผลกระทบในอดีต - ข้อมูลจำนวนและสถานท่ตี ง้ั สถานพยาบาล ส่วนราชการ อาคารบ้านเรือน ฯลฯ - ขอ้ มูลประชากร จำนวนประชาชน กล่มุ เสี่ยง เพศ อายุ ฯลฯ - ขอ้ มูลโครงสร้างพื้นฐาน ระบบน้ำอุปโภค บริโภค เส้นทางคมนาคม ฯลฯ จากตัวอย่างข้อมูลแสดงให้เห็นว่าการประเมินความเสี่ยงในแต่ละครั้งต้องใช้ข้อมูลจํานวนมาก จากหลากหลายหนว่ ยงาน 23
แนวทางประเมนิ ความเสยี่ งภัยดา้ นการแพทย์และสาธารณสุข กองสาธารณสุขฉกุ เฉนิ บทที่ 5 การประเมนิ ความเส่ยี ง ดา้ นโรคและภัยสขุ ภาพ ภาวะฉกุ เฉินทางสาธารณสุข (Public Health Emergency) ถือเป็น “สาธารณภัย” ที่ก่อให้เกิด อันตรายต่อชีวิต สร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชน และเกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม “ภาวะ ฉุกเฉินทางสาธารณสุข” จงึ หมายถึง เหตุการณก์ ารเกิดโรคและภัยคกุ คามสขุ ภาพ ซึ่งมีลกั ษณะเข้าได้กับเกณฑอ์ ย่างนอ้ ย 2 ใน 4 ประการ • ทำให้เกิดผลกระทบทางสขุ ภาพอย่างรนุ แรง • เปน็ เหตกุ ารณ์ทีผ่ ิดปกติหรอื ไมเ่ คยพบมากอ่ น • มีโอกาสที่จะแพรไ่ ปสพู่ ืน้ ที่อื่น • ต้องจำกัดการเคลือ่ นที่ของผู้คนหรือสนิ ค้า ท่มี า การจดั การภาวะฉกุ เฉินทางสาธารณสขุ ระบบบัญชาการเหตุการณแ์ ละศนู ย์ปฏบิ ตั กิ ารภาวะฉกุ เฉนิ ทางสาธารณสุข กรมควบคุมโรค 24
แนวทางประเมินความเส่ียงภัยดา้ นการแพทย์และสาธารณสขุ กองสาธารณสุขฉกุ เฉิน สถานการณก์ ารเกิดโรคและภยั สุขภาพ 5 ประเภท ได้แก่ 1. โรคติดติดตอ่ เปน็ เหตุการณ์การแพร่ระบาดอย่างผดิ ปกติของโรคติดต่อเฉียบพลนั เช่น ไข้หวัด ใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ ไข้วัดนก โรคซาร์ส โรคชิคุกุนยา โรคติดเชื้อไวรัสซิกา หรือแม้แต่โรคที่เกิดขึ้นตาม ฤดูกาลและโรค ประจําถิ่นที่มกี ารแพร่ระบาดอยา่ งผดิ ปกติ เชน่ ไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ท้ังนี้ รวมถึงโรคที่ประกาศ ไว้ในกฎอนามัยระหว่างประเทศ (IHR) ให้เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่าง ประเทศ เปน็ ต้น 2. เหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บและอุบัติภัย เป็นเหตุการณ์ภัยสุขภาพที่ส่งผลให้เกิดการ บาดเจ็บ และเสียชีวิตได้ เช่น อุบัติเหตุจากการขนส่งและโดยสาร (เครื่องบินตก อุบัติเหตุทางรถยนต์ช่วง เทศกาลที่มี ผู้โดยสารจํานวนมาก รถบรรทุกสารเคมีและวัตถุอันตรายประสบอุบัติเหตุ) การจลาจล สงคราม และอุบัติเหตุ จากการปฏิบตั ิงานของบุคลากรทางการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ เปน็ ต้น 3. โรคและภัยสุขภาพที่มากับภัยธรรมชาติ เมื่อเกิดภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ลมพายุ ดินโคลน ถล่ม หรอื สึนามิ ผปู้ ระสบภัยจะเผชิญกบั โรคระบาดและภัยสุขภาพ ได้แก่ โรคฉีหนู อจุ จาระร่วง อาหารเป็นพิษ ไฟฟ้าชอ็ ต/ไฟฟ้าดูด การบาดเจ็บจากการฟงั ของสิ่งก่อสร้าง การเสียชีวติ จากการจมน้ำ เปน็ ต้น 4. ภัยสุขภาพที่เกิดจากสารเคมี เป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลถึงการบาดเจ็บและการเสียชีวิตของ บคุ คลทีเ่ กิด จากการมสี ารเคมีทีเ่ ปน็ อันตรายต่อสุขภาพปนเปือ้ นออกมาในสิ่งแวดล้อม ซึง่ อาจเกิดจากการ กระทําของมนุษย์ ด้วยกัน ได้แก่ การรั่วไหลออกจากโรงงานอุตสาหกรรม การก่อการร้ายด้วยอาวุธ ชีวภาพ/อาวุธเคมี การเกิด สงคราม เป็นต้น หรือเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น การปนเปื้อนของสารหนใู น ธรรมชาติในพืน้ ที่จงั หวัด นครศรธี รรมราช เป็นต้น 5. ภัยสุขภาพที่เกิดจากกัมมันตภาพรังสีและนิวเคลียร์ เป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลถึงการบาดเจ็บ และการ เสียชีวิตของบุคคลจํานวนมาก ซึ่งเกิดจากรั่วไหลของกัมมันตรังสี และนิวเคลียร์ 5 กลุ่มโรคและ ภัย ได้แก่ ภัยจาก โรคติดเชื้อ ภัยจากสารเคมี ภัยจากรังสี ภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และภัยจาก อุบตั ิเหตุและการบาดเจบ็ ตวั อย่างขอ้ มูลทจ่ี ำเปน็ ในการประเมนิ ความเส่ียงด้านโรคและภัยสุขภาพ การประเมินภัยคุกคาม (Hazard Assessment) - หาสาเหตุทีเ่ ปน็ สาเหตุของเหตุการณ์ เชือ้ โรค, สารเคมี, ปจั จัยทางกายภาพ, กัมมนั ตรงั สี ฯลฯ - ทบทวนข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภัยคุกคามนั้นๆ กลุ่มประชากรที่เจ็บป่วย อาการและธรรมชาติ ของโรค (ในคน หรือ ในสัตว์) ระยะเวลาและความเร็วในการแพร่กระจาย ลักษณะพื้นท่ี ท่ีเกดิ เหตกุ ารณ์ 25
แนวทางประเมินความเสย่ี งภัยดา้ นการแพทย์และสาธารณสุข กองสาธารณสขุ ฉุกเฉนิ - จัดอันดับความเป็นไปได้ของสาเหตุ หากคาดว่ามีหลายสาเหตุการประเมินการสัมผัส (Exposures assessment) - จำนวนคนหรือกลุ่มทคี่ าดว่าจะสมั ผัสภัยคุกคาม - จำนวนคนทส่ี ัมผัสท่ไี วรบั ตอ่ การเกิดโรค (เชน่ ไม่มภี ูมติ า้ นทาน) การประเมนิ บรบิ ททางสงั คมและสง่ิ แวดลอ้ ม (Context Assessment) - สังคม ผลของการแยกตัวหรือกักตัว, การเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต, การยอมรับของ สังคมต่อมาตรการ, สงั คมรังเกยี จ, ผลกระทบตอ่ สภาพจิตใจ - ปัจจัยทางเทคนิค การป่วย/ตาย/พิการ , ประสิทธิภาพ/ผลข้างเคียง/ความทันเวลาของ มาตรการ - เศรษฐกิจ ค่าใช้จ่ายโดยตรงของการหน่วยงาน/ผู้เจ็บป่วยและครอบครัว , ค่าใช้จ่าย ทางอ้อม (การสญู เสียรายได)้ ผลกระทบทางการค้า การท่องเที่ยว ข้อมลู ทจ่ี ำเปน็ ตอ่ การประเมนิ - วธิ กี ารถา่ ยทอดโรค : การสมั ผสั สตั ว์ส่คู น โรคนำโดยแมลง - ระยะฟกั ตวั ของโรค ระยะกอ่ โรค - ระยะเวลาและปริมาณการสัมผัส : สารเคมี เชอื้ โรค Reproductive number: ผู้ปว่ ย 1 ราย จะแพร่ เชื้อใหค้ น ป่วยได้ เฉลี่ย กีร่ ายในระยะเวลา การแพรเ่ ชื้อของโรคความครอบคลุมของวคั ซีน ประสทิ ธผิ ลของวัคซีน 26
แนวทางประเมินความเส่ยี งภยั ด้านการแพทย์และสาธารณสขุ กองสาธารณสุขฉกุ เฉิน ภาคผนวก 27
แนวทางประเมนิ ความเสยี่ งภัยดา้ นการแพทย์และสาธารณสุข กองสาธารณสขุ ฉุกเฉนิ ตัวอย่างการประเมนิ ความเสยี่ ง พืน้ ทีเ่ สีย่ งอทุ กภยั กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประเมินระดับความรนุ แรงของพ้ืนทีเ่ สี่ยง 1) โอกาสในการเกิดภัย ลักษณะพื้นที่ ประวัติการเกิดภัยที่ผ่านมา ยอ้ นหลัง 10 ปี ปริมาณน้ำฝนสูงสดุ ย้อนหลงั 3 ปี 2) การประเมินความเสียหาย ด้านชีวิตและทรัพย์สิน ด้าน การเกษตร ด้านโครงสร้างพ้นื ฐานที่ได้รับความเสียหาย 3) การบริหารจัดการในพื้นที่ ระยะเวลาประสบปัญหาอุทกภัย การกู้ภัยและการเตือนภัย บุคลากรผ่านการอบรมอปพร., มิสเตอร์ เตอื นภัย เกณฑก์ ารวิเคราะหฐ์ านข้อมลู จังหวดั เสี่ยง: อุทกภัย ร้อยละของตำบลเสยี่ ง ระดบั ความเสี่ยงของจังหวัด ร้อยละ 100- 80 ระดบั เสี่ยงสงู ร้อยละ 79 - 60 ร้อยละ 59 - 40 ระดบั เสีย่ งปานกลาง ร้อยละ 39 - 0 ระดบั เสีย่ งต่ำ ไมม่ ีความเสี่ยง ตารางแสดงจงั หวัดเสีย่ งอุทก แยกรายจงั หวดั การคำนวณ : ร้อยละพ้ืนทเ่ี ส่ยี งแตล่ ะจังหวดั = (จำนวนตำบลเส่ยี งในจังหวัด/จำนวนตำบลทัง้ หมดในจังหวดั ) X 100 รปู แสดง แผนที่พนื้ ทีจ่ งั หวดั เสี่ยงอทุ กภัย ข้อมูล ณ พ.ศ. 2563 จากการประเมินจังหวัดเสี่ยงอุทกภัยพบ จังหวัดเสี่ยงสูง 21จังหวัด คิดเป็นร้อยละ เสี่ยงปานกลาง 22 27.63 จงั หวัด คิดเปน็ ร้อยละ 28.95 เสีย่ งต่ำ 14 จงั หวดั คิดเปน็ ร้อยละ 18.42 ไมม่ คี วามเสีย่ ง 19 จังหวัด คิดเป็นร้อยละ 25.00 รายละเอยี ดดงั น้ี 28
แนวทางประเมนิ ความเสย่ี งภยั ดา้ นการแพทย์และสาธารณสขุ กองสาธารณสุขฉุกเฉนิ สถานบริการเสี่ยงอุทกภยั กองสาธารณสุขฉุกเฉนิ สำนกั งานปลดั กระทรวงสาธารณสขุ ประเมนิ ระดับความรนุ แรงของสถานพยาบาล ในสงั กดั กระทรวงสาธารณสุข 1) โอกาสในการเกิดภัย ลักษณะที่ตั้งของสถานบริการ ประวัติการเกดิ อุทกภยั ที่ผา่ นมายอ้ นหลัง ปี 10 2) การประเมนิ ความเสยี หายดา้ นชวี ิตและทรพั ยส์ นิ สง่ ผล กระทบต่อบุคลากร (บ้านพัก, รถยนต์, ทรัพย์สิน ฯลฯ) ผลกระทบตอ่ ผูป้ ่วยท่ีเกี่ยวข้อง (ผูป้ ว่ ยใน และผปู้ ว่ ยนอก) ผลกระทบต่อโครงสร้างพนื้ ฐานสถานบริการ 3) การบริหารจัดการในพื้นที่ ระยะเวลาประสบปัญหา อทุ กภัย มรี ะบบการแจง้ เตอื นภยั และแผนปฏบิ ัติการตอบ โต้ภาวะฉุกเฉิน (Incident Action Plan : IAP) บุคลากร ผ่านฝึกซ้อมแผนเตรียมความพร้อมตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ ปีละ ครง้ั 1 เกณฑ์การวเิ คราะหฐ์ านข้อมูลสถานบริการเส่ียง แตล่ ะจังหวัด : อุทกภยั รอ้ ยละของสถานบรกิ ารเส่ียง ระดับความเส่ียง ร้อยละ 80 - 100 ระดับเส่ยี งสงู รปู แสดง แผนที่สถานบรกิ ารเสี่ยงอุทกภยั รอ้ ยละ 60 - 79 ระดับเส่ยี งปานกลาง ขอ้ มูล ณ พ.ศ. 2563 รอ้ ยละ 26 - 59 ระดบั เส่ียงตำ่ ร้อยละ 0 - 25 ระดับเฝ้าระวงั จาการวิเคราะห์ พบว่า เสี่ยงสูง 11 จังหวัด คิด การคำนวณ : รอ้ ยละสถานบริการเส่ียงแตล่ ะจงั หวัด เปน็ รอ้ ยละ 14.47 เสย่ี งปานกลาง 8 จังหวดั คิดเป็นร้อย ละ 10.53 เส่ียงตำ่ 24 จังหวัด คิดเป็นร้อยละ 31.58 เฝ้า = (จำนวนสถานบรกิ ารเสย่ี งในจงั หวดั /จำนวนสถานบริการทงั้ หมด ระวัง 33 จังหวดั คดิ เป็นร้อยละ 43.42 ในจังหวดั ) X 100 จากการวิเคราะห์สถานบรกิ ารทัง้ หมด 11,624 แหง่ มสี ถานบริการเส่ียง 4,688 แห่ง คิดเปน็ ร้อยละ 40.33 โดยแยก เป็น สสจ./สสอ. 377 แหง่ คิดเป็นร้อยละ 39.52 รพ.ศ./รพท. 77 แหง่ คดิ เป็นร้อยละ 64.71 รพช. 469 แห่ง คดิ เป็นรอ้ ยละ 60.13 รพ.สต. 3,765 แหง่ คดิ เปน็ ร้อยละ 38.53 29
แนวทางประเมนิ ความเส่ียงภยั ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุข กองสาธารณสุขฉกุ เฉนิ แนวทางการประเมนิ ความเสย่ี งแผ่นดนิ ไหว การประเมินภัยพิบัติแผ่นดินไหว ( Seismic Hazard Analysis) คือ การประเมินระดับแรงสั่นสะเทือนของพ้นื ดิน ในแต่ละพื้นที่ที่มีโอกาสเกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ในอนาคตใน รปู แบบของอตั ราเร่งสงู ที่สดุ บนพืน้ ดนิ โดยพิจารณาจาก 1) ตำแหน่ง รูปร่างและพฤติกรรมของแหล่งกำเนิด แผน่ ดินไหว 2) ลกั ษณะการลดทอนแรงส่นั สะเทือนแผ่นดินไหว 3) การตอบสนองแรงสน่ั สะเทือนแผ่นดินไหวในพ้ืนที่ กรมทรัพยากรธรณี ได้แบ่งเขตจังหวัดเสี่ยงแผ่นดินไหว ของประเทศไทยเป็น 4 เขต ตามสภาพความเสี่ยงภัย และ ความเสียหายหากเกิดแผ่นดินไหวในพ้ืนที่ ดังน้ี เขต 0 : ไม่มีความเสี่ยง จำนวน 16 จังหวัด ได้แก่ มุกดาหาร กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ขอนแก่น ชยั ภูมิ นครราชสมี า สระแก้ว จนั ทบุรี และตราด ทมี่ า กรมทรัพยากรธรณี ขอ้ มูล ณ พ.ศ. 2548 เขต 1 : มีความเสี่ยงน้อยแต่อาจมีความเสียหายบ้าง จำนวน 29 จงั หวัด ได้แก่ สกลนคร อุดรธานี หนองบวั ลำภู นครพนม หนองคาย บึงกาฬ เลย เพชรบูรณ์ พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท สุพรรณบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง สระบรุ ี พระนครศรีอยธุ ยา นครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เขต 2ก : มีความเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายในระดับน้อยถึงปานกลาง จำนวน 28 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ สุโขทัย กำแพงเพชร อุทัยธานี กาญจนบุรี ราชบุรี นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี กระบี่ พังงา ภเู ก็ต ตรัง และสตูล เขต 2ข : มีความเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายในระดับปานกลาง จำนวน 3 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย แมฮ่ ่องสอน และตาก 30
แนวทางประเมินความเสีย่ งภยั ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุข กองสาธารณสขุ ฉกุ เฉิน แนวทางการประเมินความเส่ียงภัยแล้ง ในการวเิ คราะหพ์ ้ืนที่เสี่ยงภัยแล้ง ปัจจัยที่นํามาใชใ้ นการวเิ คราะห์ เพอ่ื ประเมนิ ระดบั ของพ้ืนที่เสีย่ งภัยแล้ง มดี ังน้ี 1) ปจั จัยที่เกย่ี วข้องกบั ลักษณะทางธรรมชาติ - ประวตั กิ ารเกิดภัยแล้งย้อนหลงั - ปริมาณน้ำฝนต่อปี เป็นปัจจัยและตัวแปรหลักที่ สําคญั ท่สี ุดทีก่ ่อให้เกิดสภาวะความแหง้ แลง้ เพราะถ้ามีฝนน้ำ ผิดปกติหรือปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย (Average Rainfall) มีค่าต่ำ กว่าปกติ (Normal) หรือฝนทิ้งช่วง สาเหตุเหล่านี้ก็ก่อให้เกิด สภาวะความแห้งแล้ง ดังนั้นการวิเคราะห์สภาวะฝนแล้ง ณ พื้นที่ใดๆ ก็สามารถ ทําให้ทราบถึงสภาวะความแห้งแล้งของ พ้ืนที่น้ันๆ - ปริมาณน้ำบาดาล จะพิจารณาจากอัตราการให้ นำ้ (Yield) และคุณภาพของนำ้ - ชั้นข้อมูลดิน ที่ใช้กลุ่มดินซึ่งพิจารณาจาก คุณสมบัติการระบายน้ำของกลุ่มดินเป็นเกณฑ์ ซึ่งถ้าดิน มี การระบายน้ำดี นั้นหมายความว่าดินไม่สามารถที่จะกักเก็บ น้ำไว้ได้ ทําให้ดินมีความชื้นน้อยไม่พอเพียง ต่อการ เจรญิ เตบิ โตของพชื - ความลาดชันของพื้นที่ (Slope) พื้นที่ที่มีความลาด ชันสูงและอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ต้นน้ำ งา่ ยต่อการไหลของนำ้ แผนที่พนื้ ทแี่ ลง้ ซำ้ ซากในพนื้ ที่ทำการเกษตร 2) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับลักษณะทางกายภาพที่มนุษย์ พ.ศ. 2557 – 2561 สรา้ งขึน้ ท่ีมา กรมพัฒนาที่ดิน - ระยะหา่ งจากคลองชลประทาน - ลกั ษณะการใชป้ ระโยชนจ์ ากดิน เกณฑก์ ารวเิ คราะหฐ์ านข้อมลู สถานบริการเสีย่ ง ระดบั ความเสีย่ ง แปลผล ระดับเสี่ยงสูง เกิดมากกวา่ 6 ครงั้ / 10 ปี ระดับเสีย่ งปานกลาง เกิด 4-5 ครงั้ / 10 ปี ระดบั เสีย่ งต่ำ เกิด 2-3 ครง้ั / 10 ปี ระดับเฝ้าระวัง เกิดนอ้ ยกวา่ 1 ครง้ั / 10 ปี 31
แนวทางประเมินความเสีย่ งภัยดา้ นการแพทย์และสาธารณสขุ กองสาธารณสุขฉุกเฉนิ การประเมินความเสีย่ งจากภยั หมอกควันและฝุน่ ละอองขนาดเล็ก สถานการณ์ฝุ่นละอองเกินมาตรฐานในช่วงต้นปีของทุกปี ทั้งพื้นที่เขตเมืองในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พ้ืนทีห่ มอกควนั 9 จังหวดั ภาคเหนอื ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื และภาคใตข้ องประเทศไทยจากสาเหตุต่าง ๆ ท้ังการเผาใน ทีโ่ ลง่ การคมนาคม อตุ สาหกรรม และหมอกควนั ข้ามแดน ซึง่ สถานการณ์ดงั กล่าว ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ในทกุ กลุ่มทงั้ ในระยะส้ันและระยะยาว ซึง่ การสมั ผสั เรอื้ รงั จะมีความเสี่ยงในการทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจ โรคหวั ใจและ หลอดเลือด รวมทั้งมะเร็งปอด โดยเฉพาะในประชาชนกลุ่มเสี่ยง ทั้งเด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เชน่ โรคระบบทางเดินหายใจ หอบหดื เปน็ ต้น แหล่งกำเนินหมอกควนั และฝนุ่ ละอองขนาดเล็ก 1) การคมนาคมและขนส่ง จากสถิติกรมการ ขนส่งทางบก รายงานสถิตจิ ำ นวนรถจดทะเบียนใหม่ ในแต่ละปี แนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2561 มี จำนวนรถจดทะเบียนใหม่ 3.09 ล้านคัน และ ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2562 มีจำ นวนรถจดทะเบียนใหม่ 0.54 ล้านคัน จากสถิตริ ถจดทะเบียนพบวา่ จำนวนรถ ที่จดทะเบียนสะสมทั่วประเทศ ณ กุมภาพันธ์ 2562 มี 39.72 ล้านคัน เป็นรถดีเซล 10.93 ล้านคัน โดยใน กรุงเทพมหานคร มี 10.33 ล้านคัน และเป็นรถดีเซล 2.7 ล้านคนั ซึ่งปริมาณการจำหน่ายนำ้ มันดีเซลในปี 2561 ทั่วประเทศ จำนวน 23.09 พันล้านลิตร แบ่งเป็นในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 7.09 พันล้านลิตร ซึ่งเพ่มิ ขนึ้ จากปี 2560 ซึ่งปริมาณ การจำหน่าย น้ำมันดีเซลทั่วประเทศ จำนวน 22.68 พันล้านลิตร แบ่งเป็นในกรุงเทพมหานครและ ปริมณฑล จำนวน 6.86 พนั ล้านลิตร ทม่ี า http://fire.gistda.or.th 2) การเผาในที่โล่ง จากข้อมูลสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ที่ได้มี การติดตามตรวจสอบสถานการณ์ไฟป่าในพื้นที่ประเทศไทยจากดาวเทียม TERRA และ AQUA ระบบ MODIS ระหว่าง วันที่ 1 มกราคม - 31 พฤษภาคม 2561 พบว่า มีจุดความร้อนสะสม (Hotspot) จำนวน 14,565 จุด โดยส่วนใหญ่ เกิดจุด ความร้อนสะสมในพ้ืนทีภ่ าคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 5,085 จุด และพบสูงสดุ ในเดอื นมนี าคม โดยเม่อื วิเคราะห์แยก ตามการใช้ประโยชน์ที่ดิน พบจุดความร้อนสะสมสูงสุดในพื้นที่เกษตร ร้อยละ 50 รองลงมาเป็นพื้นที่ สปก. ร้อยละ 19 32
แนวทางประเมินความเสีย่ งภยั ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ กองสาธารณสขุ ฉกุ เฉนิ พื้นที่ชุมชน ร้อยละ 11 พื้นที่ป่าสงวนแหง่ ชาติร้อยละ 10 พื้นที่ป่าอนุรักษ์ร้อยละ 8 และพื้นที่ริมทางหลวง (50 เมตร) ร้อย ละ 2 ตามลำดับ 3) ภาคอุตสาหกรรม จากข้อมูลกรมโรงงานอตุ สาหกรรม ซึ่งรายงานสถิติสะสมของโรงงานอุตสาหกรรม ในปี 2560 มีจำ นวน 139,446 แห่ง โดยเป็นโรงงานจำพวกที่ 3 เป็นโรงงานขนาดใหญ่ ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องได้รับอนญุ าต ประกอบกจิ การก่อนถึงจะประกอบกจิ การได้จำนวน 78,798 โรง 4) การก่อสร้าง มที ้ังกิจกรรมทีก่ อ่ ให้เกิดฝ่นุ ละอองโดยตรง เช่น ฝนุ่ ทีเ่ กิดจากกิจกรรมการกอ่ สร้าง ฝุ่นจาก การ ทำงานของเครื่องจักร ฝุ่นจากการขนส่งวัสดุก่อสร้าง ฝุ่นจากการเปิดหน้าดิน ฝุ่นที่เกิดจากการเข้า-ออกพื้นที่ โครงการ ก่อสร้างและในทางอ้อม โดยการก่อสร้างซึ่งทำให้พื้นผิวจราจรลดลง ทำให้การจราจรติดขัด ส่งผลให้ การระบายมลพิษ จากยานพาหนะสงู ขึน้ 5) หมอกควันข้ามแดน เนื่องจากมลพิษทางอากาศสามารถแพร่กระจายไปได้ในระยะไกล ทำให้ในช่วงต้นปี ระหว่างเดือนมกราคม - เมษายน ที่ประเทศไทยเกิดปัญหาสถานการณห์ มอกควนั ในพ้นื ที่ภาคเหนอื 9 จังหวดั และพ้ืนที่ต ต่างๆ ทั่วประเทศ ส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากหมอกควันข้ามแดน จากข้อมลู สำนกั งานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิ สารสนเทศ (องค์การมหาชน) ที่ได้มีการติดตามตรวจสอบสถานการณ์จุดความร้อน (Hotspot) ในพื้นที่ประเทศไทยและ ประเทศ ในอนภุ มู ภิ าคแมโ่ ขง รปู แสดง จำนวนจุดความรอ้ นสะสมในประเทศอนุภมู ิภาคแมโ่ ขง ระหวา่ ง 1 มกราคม - 31 พฤษภาคม ปัจจัยในการประเมนิ ความเสีย่ งจากภยั หมอกควันและฝุน่ ละอองขนาดเลก็ การประเมินความเสี่ยงจากภัยหมอกควันและฝนุ่ ละอองขนาดเลก็ โดยมีองคป์ ระกอบปัจจัยทีต่ ้องคำนึงถึงในการ ประเมินความเสี่ยงประกอบด้วย ดงั น้ี 33
แนวทางประเมินความเส่ยี งภยั ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ กองสาธารณสุขฉกุ เฉิน ปจั จยั ความเสี่ยงจากแหล่งกำเนิดและสิ่งแวดล้อม 1) จำนวนรถยนต์ 2) จำนวนโรงงานอุตสาหกรรม 3) จำนวนพืน้ ที่การเกษตร 4) ปริมาณ PM 2.5 ในบรรยากาศ 5) จดุ ความร้อน (Hotspot) 6) สภาพทางอุตุนิยมวทิ ยา (ความกดอากาศ ความเรว็ ลม การยกตัวของอากาศ และอณุ หภมู )ิ ปัจจัยความเสี่ยงตอ่ สุขภาพ 1) จำนวนกลมุ่ เสีย่ ง (กลมุ่ เด็กเล็ก กล่มุ ผู้สูงอายุ และกลุม่ ผู้ทีม่ ีโรคประจำตวั ) 2) อตั ราการเจบ็ ปว่ ยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ ระบบหวั ใจ และหลอดเลอื ด การเฝ้าระวังประเมินความเสี่ยงผลกระทบต่อสุขภาพ หมายถึง ระบบที่ดำเนินอย่างต่อเนื่องในการจัดเก็บ วิเคราะห์ และแปลผลข้อมูลความเชื่อมโยงระหวา่ งสิง่ แวดล้อมและสุขภาพ เพื่อใช้ในการวางแผน ดำเนินการ ประเมินผล โครงการ และนำผลที่ได้ไปเผยแพร่ให้แกผ่ ู้ทีม่ ีส่วนเกีย่ วข้องได้ใช้ประโยชน์ต่อไปในการเฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพจาก PM2.5 ตัวชี้วัดที่ใช้หลัก คือ ดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index ; AQI) และ PM2.5 ในบรรยากาศ โดยทั่วไปเฉลี่ย 24 ชั่วโมง เป็นดัชนีที่บ่งชี้ความเสี่ยง ต่อสุขภาพ สำหรับประเทศไทยแบ่งระดับ AQI เป็น 5 ระดับ ซึ่งแต่ละระดับจะใช้สีเป็น สัญลกั ษณ์เปรียบเทียบระดบั ของผลกระทบตอ่ สขุ ภาพอนามัย ตารางแสดง ค่าความเข้มข้นของสารมลพษิ ทางอากาศที่เทียบเท่ากบั ค่าดชั นีคณุ ภาพอากาศ AQI PM2.5 PM10 O3 CO NO2 SO2 หมายมาย (มคก./ลบ ม) (มคก./ลบ ม) (ppb) (ppm) (ppb) (ppb) คุณภาพ เฉลีย่ 24 ชัว่ โมงตอ่ เนือ่ ง เฉลี่ย 24 ชัว่ โมงตอ่ เนือ่ ง เฉลี่ย 1 ชวั่ โมง 0-25 0-25 0-50 0-35 0-4.4 0-60 0-100 อากาศดีมาก 26-50 26-37 51-80 36-50 4.5-6.4 61-106 101-200 อากาศดี 51-100 38-50 81-120 51-70 6.5-9.0 107-340 301-400 อากาศดี ปานกลาง 101-200 51-90 121-180 71-120 9.1-30.0 171-340 301-400 เริ่มมีผลกระทบ 201 ขนึ้ ไป 91 ขนึ้ ไป 181 ขนึ้ ไป 121 ขนึ้ ไป 30.1 ขนึ้ ไป 341 ขนึ้ ไป 401 ขึน้ ไป ตอ่ สุขภาพ มีผลกระทบ ตอ่ สขุ ภาพ ในการเฝ้าระวงั ผลกระทบตอ่ สุขภาพจาก PM2.5 ได้ใชค้ า่ PM2.5 ในบรรยากาศโดยท่วั ไป โดยใชค้ ่าเฉลี่ยในเวลา 24 ชว่ั โมง ทีม่ ีหน่วยเป็นไมโครกรมั ต่อลกู บาศกเ์ มตร (มคก./ลบ.ม.) เป็นดชั นชี ้วี ดั ระดบั ความเสีย่ งต่อสขุ ภาพจาก PM2.5 ซึ่งแต่ ละระดับจะใช้สีเป็นสัญลกั ษณเ์ ปรียบเทียบระดับของผลกระทบต่อสุขภาพ โดยแต่ละระดบั มีแนวทางในการปฏิบัติสำหรบั ประชาชนกลมุ่ ต่าง ๆ 34
แนวทางประเมินความเสีย่ งภยั ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสุข กองสาธารณสขุ ฉกุ เฉนิ ตาราง แสดงคา่ เฝา้ ระวงั ผลกระทบต่อสุขภาพจากฝนุ่ ละอองขนาดไม่เกนิ 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในบรรยากาศ ระดับ PM2.5 (มคก./ลบ.ม.) ระดับ 0 – 25 ดีมาก 26 – 37 ดี 38 – 50 ปานกลาง 51 – 90 เริ่มมีผลกระทบต่อสขุ ภาพ 91 ขน้ึ ไป มผี ลกระทบตอ่ สุขภาพ หมายเหตุ กรณปี ริมาณค่าตรวจวดั PM2.5 เป็นจดุ ทศนิยม ถ้าจดุ ทศนยิ มเท่ากับหรือนอ้ ยกวา่ 0.4 ให้ปดั ตวั เลขลง และถ้า จุดทศนยิ มเทา่ กับหรือมากกวา่ 0.5 ให้ปดั ตวั เลขขนึ้ ทั้งนี้ คำแนะนำในการปฏบิ ตั ติ นสำหรับประชาชนเพอ่ื ป้องกันผลกระทบตอ่ สุขภาพจากฝนุ่ ละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในบรรยากาศ ตารางแสดงคำแนะนำในการปฏิบตั ิตนสำหรบั ประชาชนเพอื่ ปอ้ งกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝนุ่ ละอองขนาดไม่ เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในบรรยากาศ ระดับ PM2.5 คำแนะนำในการปฏบิ ัติตนสำหรับประชาชน เฉลีย่ 24 ชม. (มคก./ลบ.ม.) ระดบั ประชาชนท่วั ไป เด็กเลก็ หญิงตง้ั ครรภ์ ผู้สงู อายุ และผทู้ ีม่ ีโรค ประจำตวั 0 - 25 ดีมาก - ทำกิจกรรมกลางแจ้งและท่องเที่ยวได้ - ทำกิจกรรมกลางแจ้งและท่องเทีย่ วได้ตามปกติ 26 - 37 ตามปกติ ดี - ทำกิจกรรมกลางแจ้งและท่องเที่ยวได้ - ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมหรือออกกำลัง ตามปกติ กายกลางแจ้ง เชน่ ปน่ั จักรยาน วิง่ - เฝ้าระวังสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น หากมีอาการ ผิดปกติ เช่น ไอบ่อย หายใจลำบาก หายใจถี่ หายใจไม่ออก หายใจมีเสียงวี้ด แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก ใจสั่น คลื่นไส้ เมื่อยล้าผิดปกติ หรือวิงเวียนศีรษะ ให้รีบไปพบแพทย์ 38 - 50 ปานกลาง - ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมหรือออก - ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมนอกบ้านหรือ กำลังกายกลางแจ้ง เช่น ป่นั จักรยาน/วง่ิ ออกกำลังกายกลางแจ้ง เช่น ปั่นจักรยาน วิ่ง ถ้าจำเป็นต้องออกนอกบ้านให้สวมหน้ากาก - เฝ้าระวังสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น หากมีอาการ ป้องกนั PM2.5 ผิดปกติ เชน่ ไอบอ่ ย หายใจลำบาก หายใจถี่ หายใจไมอ่ อก หายใจ มีเสียงวีด้ แน่นหน้าอก - ผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรเฝ้าระวงั อาการผิดปกติ เจ็บหน้าอก ใจสั่น คลื่นไส้ เมื่อยล้าผิดปกติ หากมีอาการผิดปกติ เช่น ไอบ่อย หายใจ หรือวิงเวียนศีรษะ ให้รีบไปพบแพทย์ ลำบาก หายใจถี่ หายใจไม่ออก หายใจมีเสียง วี้ด แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก ใจสั่น คลื่นไส้ เมื่อยล้าผิดปกติ หรือวิงเวียนศีรษะ ให้รีบไปพบ แพทย์ 35
แนวทางประเมนิ ความเสี่ยงภยั ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ กองสาธารณสขุ ฉุกเฉิน ระดบั PM2.5 คำแนะนำในการปฏบิ ัติตนสำหรับประชาชน เฉลีย่ 24 ชม. (มคก./ลบ.ม.) ระดบั ประชาชนท่วั ไป เด็กเล็ก หญิงต้งั ครรภ์ ผู้สงู อายุ และผทู้ ีม่ ีโรค ประจำตัว 51 - 90 เริ่มมี ผลกระทบ - ควรลดหรือจำกดั การทำกิจกรรมนอกบ้าน - ลดเวลาการทำกิจกรรมนอกบ้าน และออก ต่อสขุ ภาพ และออกกำลังกายกลางแจ้ง หากจำเป็นต้อง กำลังกายกลางแจ้ง ถ้าจำเป็นต้องออกนอก ออกนอกบ้านให้สวมหน้ากากป้องกัน PM2.5 บ้านให้สวมหน้ากากป้องกนั PM2.5 และเปลี่ยนมาออกกำลังกายในที่ที่ไม่มีฝุ่น - หากมีอาการผิดปกติ เช่น ไอบ่อย หายใจ ละออง ลำบาก หายใจถี่ หายใจไม่ออก หายใจ มีเสียง - เฝ้าระวังหรือสังเกตอาการผิดปกติ หากมี วี้ด แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก ใจสั่น คลื่นไส้ อาการผิดปกติ เช่น ไอบ่อย หายใจลำบาก เมื่อยล้าผิดปกติ หรือวิงเวียนศีรษะ ให้รีบไปพบ หายใจถี่ หายใจไม่ออก หายใจมีเสียงวี้ด แพทย์ แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก ใจสั่น คลื่นไส้ - ผู้ทีม่ ีโรคประจำตัว ควรเตรยี มยาและอุปกรณ์ที่ เมื่อยล้าผิดปกติ หรือวิงเวียนศีรษะ ให้รีบไป จำเป็น พบแพทย์ 91 ขึน้ ไป มีผลกระทบ - ลดหรืองด การทำกิจกรรมนอกบ้าน หาก - งดออกนอกบ้าน และออกกำลังกายกลางแจ้ง ตอ่ สขุ ภาพ จำเป็น ต้องสวมหน้ากากป้องกนั PM2.5 - อยู่ในอาคาร ถ้าต้องออกนอกบ้านให้สวม - งดการออกกำลังกายกลางแจ้งให้เปลี่ยนมา หน้ากากป้องกัน PM2.5 ทกุ คร้ัง ออกกำลังกายในที่ที่ไมม่ ีฝ่นุ ละออง - หากมีอาการผิดปกติ เช่น ไอบ่อย หายใจ - หากมีอาการผิดปกติ เช่น ไอบ่อย หายใจ ลำบาก หายใจถี่ หายใจไม่ออก หายใจมีเสียง ลำบาก หายใจถี่ หายใจไม่ออก หายใจมี วี้ด แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก ใจสั่น คลื่นไส้ เสียงวี้ด แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก ใจส่ัน เมื่อยล้าผิดปกติ หรือวิงเวียนศีรษะ ให้รีบไปพบ คลื่นไส้ เมื่อยล้าผิดปกติ หรือวิงเวียนศีรษะ แพทย์ ให้รีบไปพบแพทย์ - ผู้ทีม่ ีโรคประจำตวั ควรเตรยี มยาและอุปกรณ์ที่ จำเปน็ อยา่ งน้อย 5 วัน แหล่งข้อมลู : ประกาศกรมอนามัย เรื่อง ค่าเฝ้าระวงั ผลกระทบตอ่ สขุ ภาพจากฝุ่นละอองขนาดเล็กในบรรยากาศ 36
แนวทางประเมนิ ความเส่ยี งภัยด้านการแพทย์และสาธารณสขุ กองสาธารณสขุ ฉกุ เฉนิ การประเมินความเสี่ยงจากภัยร้อน ปัญหาจากความร้อน เป็นปัญหาเร่งด่วนที่สำคัญของหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย เนื่องจากมีแนวโน้ม ความรุนแรงเพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง สาเหตุหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นกอ่ ให้เกิดการเจ็บปว่ ยและเสียชีวิตจากความร้อนทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ตะคริวแดด เพลียแดด โรคลมร้อน กลุ่มโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ โรคไต และผลกระทบต่อ สุขภาพจิต เปน็ ต้น โดยกลมุ่ เสี่ยงสำคญั ท่ไี ด้รบั ผลกระทบจากสภาพอากาศทีร่ ้อนจดั ได้แก่ เดก็ ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว หญิงต้ังครรภ์ ผู้ทีท่ ำงานกลางแจ้ง (เชน่ เกษตรกร คนงานก่อสร้าง ตำรวจจราจรเป็นต้น) ผู้ที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง และ นกั ทอ่ งเทีย่ ว 1.1 สถานการณด์ ้านความรอ้ น จากข้อมูลกรมอุตุนิยมวิทยา ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2559 – 2563) ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อน ช่วงเดือน มีนาคม - พฤษภาคม โดยพบว่า พ.ศ.2559 มีอุณหภูมิสูงสุด (Maximum Temperature) ในเดือนเมษายน (ที่จังหวัด แม่ฮ่องสอน วันที่ 28 เมษายน 2559) มีอุณหภูมิสูงสุด 44.6 องศาเซลเซียส (°C) ซึ่งเป็นอุณหภูมิสูงสุดที่เคยมีการ ตรวจวดั ของประเทศไทย สำหรบั แนวโนม้ สถานการณค์ วามร้อนในช่วง 5 ปี พบอุณหภมู ิสงู สดุ มแี นวโนม้ ลดลงและเพ่ิมขึ้น ใน พ.ศ.2562 โดยมีอุณหภูมิสูงสุดที่ 44.2 °C (ที่จังหวัดลำปาง วันที่ 18 เมษายน 2562) รองลงมา คือ พ.ศ.2563 มีอุณหภูมิสูงสุดที่ 43.5 °C (จังหวัดตาก วันที่ 21 เมษายน 2563) ทั้งนี้ พ.ศ.2560 มีอุณหภูมิสูงสุดที่ 42 °C (ที่จังหวัด แมฮ่ อ่ งสอน วนั ที่ 8 และ 11 เมษายน 2562) และ พ.ศ.2561 มอี ุณหภูมสิ ูงสดุ ที่ 41.6 °C (ทีจ่ ังหวัดลำปาง วนั ที่ 11 เมษายน 2562) ตามลำดบั (ดงั ภาพที่ 1) 46 43.8 44.6 44.5 44.2 43 42.9 43.5 43 44 41.6 41.4 42 42.2 42 40 40 40.3 40 38 36 ีมนาคม เมษายน พฤษภาคม มีนาคม เมษายน พฤษภาคม ีมนาคม เมษายน พฤษภาคม ีมนาคม เมษายน พฤษภาคม ีมนาคม เมษายน พฤษภาคม ปี 2559 ปี 2560 ปี 2561 ปี 2562 ปี 2563 ภาพที่ 1 อณุ หภมู สิ ูงสุดในช่วงเดือนมนี าคม - พฤษภาคม ในรอบ 5 ปที ีผ่ ่านมา (พ.ศ.2559 – 2563) ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา, 2564 กรมอนามัยได้พัฒนาค่าเฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพจากความร้อน เพื่อเฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพและ สื่อสารเตือนภัยสุขภาพแก่ประชาชนและกลุ่มเสี่ยงในช่วงฤดูร้อน ซึ่งค่าเฝ้าระวังแบ่งเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ระดับเฝ้าระวัง (35.0–38.0 °C), ระดับเตือนภัย (38.1–40.0 °C), ระดับอันตราย (40.1–43.0 °C) และระดับอันตรายมาก (เท่ากับหรือ มากกวา่ 43.1 °C) จากการเฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพจากความร้อน ปี 2564 เมื่อนำอุณหภูมิสูงสุดมาเทียบกับค่าเฝ้าระวัง ผลกระทบต่อสุขภาพจากความร้อน ใน 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า พ.ศ.2559 เกือบทุกจังหวัดอยู่ในระดับอันตราย และระดับ 37
แนวทางประเมินความเสีย่ งภัยด้านการแพทย์และสาธารณสุข กองสาธารณสขุ ฉกุ เฉิน อันตรายมาก โดยเฉพาะในเดือนเมษายน ในขณะที่ พ.ศ.2560 – 2563 พบว่าพื้นที่จังหวัดส่วนใหญ่อยู่ในระดับอันตราย โดยเฉพาะภาคเหนอื กลาง ตะวันออก ตะวนั ตก และตะวนั ออกเฉียงเหนอื นอกจากนี้ ยังพบวา่ ในเดอื นมนี าคม มีจังหวัดที่ มีอุณหภูมิสูงสุดอยูใ่ นระดับอนั ตรายมาก จำนวนหลายพื้นที่มากขึ้น ตั้งแต่ พ.ศ.2561 – 2563 ซึ่งแสดงให้เห็นวา่ ประเทศ ไทยมีแนวโน้มเข้าสู่ฤดูร้อนเร็วขึ้น โดยมีระดับอุณหภูมิสูงสุดเพิ่มขึ้นทั้งระดับความรุนแรง เชิงเวลาและเชิงพื้นที่ที่พบ อุณหภมู สิ งู สุดเพ่มิ ในหลายจงั หวดั ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพมากขึน้ โดยเฉพาะในเดอื นเมษายน ตง้ั แต่ พ.ศ.2562 – 2563 พบจังหวดั มอี ุณหภมู สิ งู สุดอยใู่ นระดับอันตรายมากเพม่ิ มากขึน้ (ดงั ภาพที่ 2) พ.ศ.2559 พ.ศ.2560 พ.ศ.2561 พ.ศ.2562 พ.ศ.2563 มีนาคม เมษายน พฤษภาคม หมายเหตุ เฝ้าระวัง (35 – 38 °C) เตอื นภยั (38.1 – 40 °C) อันตราย (40.1 – 43°C) อันตรายมาก (มากกว่า 43°C ขนึ้ ไป) ภาพที่ 2 อณุ หภูมสิ ูงสุดของแตล่ ะจังหวดั ระหวา่ งเดือนมนี าคม – พฤษภาคม เมือ่ เทียบกบั ค่าเฝา้ ระวงั ผลกระทบ ต่อสขุ ภาพจากความร้อน 1.2 กลไกการเกิดผลกระทบตอ่ สุขภาพจากความรอ้ น มนุษยเ์ ปน็ ส่งิ มีชวี ิตเลอื ดอนุ่ โดยอณุ หภูมิของร่างกายจะไม่เปลีย่ นไปตามอณุ หภูมิของสิ่งแวดล้อม แต่ร่างกายจะ รักษาอุณหภูมิ (thermoregulation) ให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม ให้ใกล้เคียงกับอุณหภูมิภายในของร่างกาย (internal body temperature) ที่ 37 องศาเซลเซียส จึงจะทำให้กลไกการทำงานต่าง ๆ ของร่างกายเป็นไปได้อย่างปกติ ดังนั้นหากมนุษย์ 38
แนวทางประเมนิ ความเส่ียงภัยด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสุข กองสาธารณสุขฉกุ เฉนิ ตอ้ งอย่ใู นสง่ิ แวดลอ้ มที่มีอณุ หภูมิสูงหรือตำเกินไปกว่าท่ีรา่ งกายจะปรบั ตวั ได้จะสง่ ผลให้เกิดความผิดปกตติ ามมา เกิดโรค หรือทำให้โรคเดิมที่มีอยู่แล้วทรุดลง และอาจเสียชีวิตได้ในที่สุด กลไกการทำงานของร่างกายเพื่อลดอุณหภูมิดังกล่าว ได้แก่ การเพ่มิ อตั ราการเตน้ ของหัวใจเพ่อื เพ่ิมปริมาณการไหลเวียนโลหิตไปยังผิวหนงั เพม่ิ ปริมาณเลือดในการบีบตัวของ หวั ใจและเพม่ิ อตั ราการหายใจ รวมท้ังการขยายตวั ของเส้นเลอื ดทีผ่ ิวหนังเพ่ือการระบายความร้อนออกไปในขณะเดียวกัน รา่ งกายจะขับเหงอ่ื ออกมาเพ่อื ให้เกิดการระเหยของเหง่อื และดึงความร้อนออกไป โดยกลไกการตอบสนองของร่างกายต่อ ความร้อน มี 4 กลไก 1) การแผ่ความร้อน (Radiation) คือ การถ่ายเทความร้อนจากภายในร่างกายสู่ภายนอกหรือจากสิง่ แวดล้อม ภายนอกสู่ร่างกาย โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง ในการเคลื่อนที่ เช่น การแผ่รังสีจากดวงอาทิตย์มายังคนทำงานในขณะท า งานอยู่กลางแสงแดด เป็นต้น ร่างกายใช้วิธีนี้ในการระบายความร้อนออกจากร่างกายได้ถึงร้อยละ 60 ของความร้อนที่ สามารถถา่ ยเททั้งหมด แต่ถ้าอุณหภูมิในสิ่งแวดลอ้ มมากกว่า 35 องศาเซลเซียส ร่างกายจะไมส่ ามารถใชก้ ารระบายความ ร้อนวธิ ีนีไ้ ด้เลย 2) การพาความร้อน (Convection) คือ กระบวนการถ่ายเทความร้อนโดยอาศัยตัวกลางที่เคลื่อนที่ได้ คือ อากาศ น้ำ เช่น ใช้วิธีระบายความร้อนด้วยลมพัดผ่าน หรือการใช้พัด เป็นต้น วิธีนี้ระบายความร้อนออกจากร่างกายได้ ประมาณรอ้ ยละ 10 ของความร้อนทีส่ ามารถถ่ายเททั้งหมด 3) การนำความร้อน (Conduction) คือ กระบวนการถา่ ยเทความร้อนจากร่างกาย ผ่านตัวกลางที่เป็นของแขง็ หรือวัตถทุ ีเ่ ย็นกว่า โดยวตั ถตุ ัวกลางไม่ได้เคลื่อนที่ เชน่ น้ำแข็ง วธิ ีนีถ้ า่ ยเทความร้อนได้ประมาณรอ้ ยละ 2 ของความร้อนที่ สามารถถา่ ยเทท้ังหมด 4) การระเหยของเหงือ่ (Evaporation) กระบวนการระบายความร้อนโดยการระเหยของนำ้ ในที่น้หี มายถึงการ สร้างเหงื่อเพื่อช่วยลดอุณหภูมิของร่างกาย การลดความร้อนด้วยวิธีนี้เป็นการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายระหว่างออก กำลงั กายและเปน็ กลไกการควบคุมอณุ หภูมวิ ิธีแรกๆ เม่อื อุณหภมู ิของร่างกายสูงขึ้น วธิ ีนเี้ ป็นวิธีที่ร่างกายใช้ระบายความ ร้อนออกประมาณร้อยละ 30 ของความร้อนที่สามารถถ่ายเททั้งหมด และการสูญเสียเกลือแร่ไปกับเหงื่ออาจสูงได้ถึง 2 ลิตรตอ่ ช่ัวโมง (Porth & Kunnert, 2002) ซึง่ การระเหยของเหง่อื นจี้ ะได้ผลนอ้ ยลงเม่อื ความชื้นสมั พัทธ์ (Relative humidity) ในบรรยากาศสงู กวา่ ร้อยละ 80 เน่อื งจากความชนื้ ในบรรยากาศเกือบถึงจดุ อ่มิ ตัว และเม่อื ความชืน้ สัมพทั ธถ์ ึงร้อยละ 100 เหง่อื จะไม่ระเหย ทำให้กลไกการการระบายความร้อนโดยการขบั เหงอ่ื ไมไ่ ด้ผล 1.3 การเจบ็ ปว่ ยดว้ ยโรคทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั ความร้อน แนวโน้มอัตราป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกบั ความร้อนระหวา่ ง พ.ศ.2559 – 2563 พบว่ามี อัตราป่วยสูงสุดปี พ.ศ. 2559 ที่ 4.12 ต่อแสนประชากร ซึ่งเป็นปีทีพ่ บว่ามีอุณหภูมิสูงสุดอีกด้วย สำหรับแนวโน้มอัตราป่วยในช่วงปี 2560-2563 พบว่าเพิ่มขึ้นจาก 0.17 เป็น 0.28 ต่อแสนประชากร ซึ่งกลุ่มอาชีพที่พบอัตราป่วยมากที่สุด คือ กลุ่มเกษตรกร รับจ้าง ทหารเกณฑ์ ในขณะทีอ่ ตั ราตายมแี นวโนม้ เพ่มิ ข้ึนจาก พ.ศ.2560 – 2561 จากอตั ราตาย 0.04 เปน็ 0.27 ต่อแสนประชากร ภาพที่ 3 อัตราป่วยและอตั ราตายดว้ ยโรคทีเ่ ก่ยี วขอ้ งจากความรอ้ น (อตั ราตายต่อแสนประชากร) ที่มา: กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดลอ้ ม, 2564 39
แนวทางประเมนิ ความเสีย่ งภัยด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสุข กองสาธารณสขุ ฉุกเฉนิ 1.3 การเฝา้ ระวังสถานการณค์ วามร้อน การเฝ้าระวังสถานการณ์ความร้อน เป็นการติดตามการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโดยเน้นที่อุณหภูมิสูงสุด (Maximum Temperature) ในช่วงที่มีอากาศร้อน ตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึง พฤษภาคม โดยเฉพาะเดือนเมษายนของทกุ ปี ซึ่ง เปน็ ชว่ งทีม่ ีอากาศร้อนที่สุด และอาจสง่ ผลกระทบตอ่ สุขภาพ ดังนน้ั เจ้าหนา้ ท่สี าธารณสขุ ควรดำเนนิ งาน ดงั น้ี 1) ติดตามคา่ พยากรณอ์ ณุ หภมู ิสงู สุดลว่ งหนา้ 1 วนั จากเว็บไซตก์ รมอตุ นุ ิยมวทิ ยา 2) รวบรวมและวิเคราะหข์ ้อมูล เพื่อดูว่าอุณหภูมิสูงสุดมีระดับความเสี่ยงต่อสุขภาพอยู่ในระดบั ใด โดยใช้เกณฑ์ คา่ เฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพจากระดับอุณหภูมสิ งู สดุ ตามประกาศกรมอนามยั 3) สื่อสารเตอื นภยั ประชาชนให้ตระหนกั ถึงผลกระทบต่อสุขภาพที่อาจเกิดข้ึนจากความรอ้ น โดยเฉพาะกลุม่ เสี่ยง ควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ตารางแสดง คา่ เฝ้าระวังผลกระทบต่อสขุ ภาพจากระดับอณุ หภูมสิ ูงสดุ และแนวทางการส่อื สารเตอื นภัย คำแนะนำการปฏิบัตติ นสำหรบั ประชาชน อณุ หภมู ิสูงสุด ระดับ แนวทางการ ประชาชนกลมุ่ เสยี่ ง (ได้แก่ เดก็ เลก็ ผู้สงู อายุ ผู้มีโรค (องศาเซลเซียส) ความเสีย่ ง สือ่ สารความเสีย่ ง ประชาชนทว่ั ไป ประจำตวั หญงิ ตั้งครรภ์ ผทู้ ำงาน กลางแจ้ง ผู้ออกกาลงั กายกลางแจ้ง นักทอ่ งเที่ยว เป็นตน้ ) 35.0 - 38.0 ระดับ เฝ้าระวงั ในภาวะ 1) ติดตามขา่ วสารหรือการเตือน 1) ติดตามขา่ วสารหรือการเตือนภัยจาก เฝ้าระวงั ปกติ ภยั จากกรมอุตนุ ิยมวิทยา หรือ กรมอุตนุ ิยมวิทยาหรือหน่วยงาน (สีเขียว) หน่วยงานราชการอยู่เสมอ ราชการอยู่เสมอ 2) ดืม่ น้ำสะอาดบ่อย ๆ ในระหวา่ งวนั โดยไม่ต้องรอให้กระหาย 3) ลดกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงเวลา 11.00 – 15.00 น. 38.1 – 40.0 ระดับ สื่อสารแจ้งเตือน 1) ติดตามข่าวสารหรือการเตือน 1) ติดตามขา่ วสารหรือการเตือนภยั จาก เตอื นภยั ประชาชนในพ้นื ที่ ภยั จากกรมอุตุนิยมวิทยา หรือ กรมอตุ ุนิยมวิทยา หรือจาก (สีเหลือง) ผา่ นชอ่ งทาง จากหนว่ ยงานราชการอยเู่ สมอ หนว่ ยงานราชการอยเู่ สมอ การสื่อสารต่าง ๆ 2) ดืม่ น้ำสะอาดบอ่ ย ๆ ใน 2) ดื่มน้ำสะอาดบอ่ ย ๆ ในระหว่างวนั เชน่ ไลน์และ ระหวา่ งวันโดยไม่ต้องรอให้ โดยไม่ต้องรอให้กระหาย เว็บไซตข์ อง กระหาย 3) ลดกิจกรรมกลางแจ้ง ในช่วงเวลา หนว่ ยงาน 3) ลดกิจกรรมกลางแจ้งใน 11.00 – 15.00 น. จัดทำข่าว ชว่ งเวลา 11.00 – 15.00 น. 4) หลีกเลี่ยงการดืม่ เครือ่ งดื่มที่มี ประชาสัมพนั ธ์ วิทยุ 4) หลีกเลีย่ งการดื่มเครือ่ งดื่มทีม่ ี ส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ ชมุ ชน เสียงตาม สว่ นผสมของแอลกอฮอล์ ชา และเครือ่ งดืม่ ทีม่ ปี รมิ าณน้ำตาลสูง สาย กาแฟ และเครือ่ งดื่มทีม่ ี 5) สวมเสื้อผ้าสีออ่ น หลวม มีนำ้ หนัก แผน่ พับและ ปรมิ าณน้ำตาลสูง เบา และระบายอากาศได้ดี โปสเตอร์ 5) สวมเสื้อผ้าสีออ่ น หลวม 6) กรณีตอ้ งออกไปกลางแจง้ ควร มีน้ำหนกั เบา และระบาย ป้องกันตนเองจากแสงแดด โดยสวม อากาศได้ดี หมวกปกี กว้าง ใสแ่ วน่ กันแดด และ 40
แนวทางประเมินความเสยี่ งภยั ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสุข กองสาธารณสขุ ฉกุ เฉิน คำแนะนำการปฏิบตั ติ นสำหรับประชาชน ประชาชนกลุ่มเสยี่ ง อุณหภมู ิสูงสดุ ระดับ แนวทางการ (ได้แก่ เด็กเลก็ ผู้สูงอายุ ผู้มีโรค (องศาเซลเซียส) ความเสี่ยง สือ่ สารความเสีย่ ง ประชาชนท่ัวไป ประจำตวั หญงิ ตั้งครรภ์ ผทู้ ำงาน 40.1 – 43.0 ระดับ ควรแจ้งเตือน อนั ตราย ประชาชนและ กลางแจ้ง ผู้ออกกาลังกายกลางแจ้ง (สีสม้ ) ประสานการ ดำเนินงาน นกั ทอ่ งเทีย่ ว เป็นตน้ ) กบั หนว่ ยงานที่ เกี่ยวข้อง 6) กรณีตอ้ งออกไปกลางแจง้ ทำครีมกนั แดดทมี่ ีค่า SPF ต้ังแต่ 15 เพือ่ เตรยี มการ รองรับและป้องกนั ควรป้องกันตนเองจาก ขึน้ ไป ผลกระทบต่อ สขุ ภาพประชาชน แสงแดด โดยสวมหมวกปกี 7) สังเกตอาการของตนเอง หากมี วนั ละ 2 ครั้ง ผา่ นชอ่ งทางตา่ ง ๆ กว้าง ใสแ่ ว่นกนั แดด และทำ อาการทีเ่ กี่ยวข้องกบั ความรอ้ น เช่น ครีมกนั แดดที่มคี ่า SPF ตงั้ แต่ หน้ามืด เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ 15 ขึน้ ไป คลืน่ ไส้ และหายใจเรว็ ให้รีบแจ้ง บุคคลใกล้ชิดทนั ที เพือ่ ปฐมพยาบาล เบอื้ งต้น พาไปพักในทีเ่ ย็น มีอากาศ ถ่ายเทสะดวก หรือในอาคารทีม่ ี เครือ่ งปรับอากาศ 8) ควรมีหมายเลขโทรศพั ท์ของ สถานพยาบาลทีใ่ กลท้ ีส่ ุดเพือ่ สง่ ต่อ ผู้ปว่ ยฉกุ เฉิน หรือติดตอ่ สายด่วน 1669 1) ติดตามขา่ วสารหรือการเตือน 1) ติดตามข่าวสารหรือการเตือนภยั จาก ภัยจากกรมอุตุนิยมวิทยา หรือ กรมอตุ ุนิยมวิทยา หรือจาก จากหนว่ ยงานราชการอยา่ ง หนว่ ยงานราชการอย่างใกล้ชิด ใกล้ชิด 2) ดื่มน้ำสะอาดบ่อย ๆ ในระหว่างวนั 2) ดื่มน้ำสะอาดบอ่ ย ๆ ใน โดยไม่ต้องรอให้กระหาย ระหว่างวันโดยไม่ต้องรอให้ 3) งดกิจกรรมกลางแจ้ง ในช่วงเวลา กระหาย 11.00 – 15.00 น. ควรอยู่ในบ้านพกั 3) ลดกิจกรรมกลางแจ้งใน อาคารหรือสถานที่ทมี่ ี ชว่ งเวลา 11.00 – 15.00 น. เครือ่ งปรบั อากาศ 4) หลีกเลี่ยงการดื่มเครือ่ งดื่มทีม่ ี 4) หลีกเลีย่ งการดืม่ เครื่องดืม่ ทีม่ ี สว่ นผสมของแอลกอฮอล์ ชา สว่ นผสมของแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ กาแฟ และเครือ่ งดืม่ ที่มี หรือเครือ่ งดื่มทมี่ ีปรมิ าณ น้ำตาลสงู ปรมิ าณน้ำตาลสงู 5) สวมเสื้อผ้าสีอ่อน หลวม มีนำ้ หนัก 5) สวมเสื้อผ้าสีอ่อน หลวม เบา และระบายอากาศได้ดี มีน้ำหนักเบา และระบาย 6) กรณีตอ้ งออกไปกลางแจง้ ควร อากาศได้ดี ป้องกันตนเองจากแสงแดด โดยสวม 6) กรณีต้องออกไปกลางแจง้ หมวกปกี กว้าง ใส่แวน่ กันแดด และ ควรป้องกันตนเองจาก ทำครีมกนั แดดทมี่ ีค่า SPF ตั้งแต่ 15 แสงแดด โดยสวมหมวกปกี ขึน้ ไป 41
แนวทางประเมินความเส่ียงภัยดา้ นการแพทย์และสาธารณสุข กองสาธารณสขุ ฉกุ เฉนิ คำแนะนำการปฏิบัตติ นสำหรบั ประชาชน ประชาชนกลมุ่ เสยี่ ง อณุ หภมู ิสูงสุด ระดับ แนวทางการ (ได้แก่ เด็กเลก็ ผู้สูงอายุ ผู้มีโรค (องศาเซลเซียส) ความเสี่ยง สื่อสารความเสีย่ ง ประชาชนท่ัวไป ประจำตวั หญงิ ต้ังครรภ์ ผทู้ ำงาน เทา่ กบั หรือ ระดบั ควรแจ้งเตือน มากกว่า 43.1 อนั ตราย ประชาชนอย่างน้อย กลางแจ้ง ผู้ออกกาลังกายกลางแจ้ง มาก วันละ 3 คร้ัง ผา่ น (สีแดง) ชอ่ งทาง social นักทอ่ งเที่ยว เปน็ ตน้ ) media ต่าง ๆ และ ประสานหนว่ ยงาน กว้าง ใสแ่ ว่นกันแดด และทำ 7) สังเกตอาการของตนเอง หากมี ทีเ่ กี่ยวข้อง โดยเฉพาะ ครีมกนั แดด ทีม่ คี า่ SPF ตง้ั แต่ อาการทีเ่ กี่ยวข้องกบั ความรอ้ น เช่น หนว่ ยงานที่ดแู ล กลุ่มเสี่ยง 15 ขนึ้ ไป หน้ามืด เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ 7) สงั เกตอาการของตนเอง และ คลืน่ ไส้ และหายใจเรว็ ให้รีบแจ้ง ดูแลกลมุ่ เสี่ยงอย่างใกล้ชิด บุคคลใกล้ชิดทันที เพือ่ ปฐมพยาบาล หากมีอาการทีเ่ กี่ยวข้องกบั เบือ้ งต้น พาไปพกั ในที่เยน็ มีอากาศ ความร้อน เชน่ หน้ามืด เวียน ถา่ ยเทสะดวก หรือในอาคารที่มี ศีรษะ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ และ เครื่องปรับอากาศ หายใจเร็ว ให้รีบแจ้งบคุ คล 8) ควรมีหมายเลขโทรศพั ท์ของ ใกล้ชิดทนั ที เพอ่ื ปฐมพยาบาล สถานพยาบาลที่ใกลท้ ีส่ ดุ เพื่อสง่ ต่อ เบือ้ งต้น พาไปพกั ในทีเ่ ย็น มี ผู้ปว่ ยฉกุ เฉิน หรือติดตอ่ สายดว่ น อากาศถา่ ยเทสะดวก หรือใน 1669 อาคารที่มีเครือ่ งปรับอากาศ 9) ผู้ทีท่ ำงานกลางแจ้ง ควรหลกี เลีย่ ง 8) ควรมีหมายเลขโทรศพั ท์ของ การทำงานในช่วง 11.00 – 15.00 น. สถานพยาบาลทีใ่ กลท้ ีส่ ดุ เพื่อ และควรทำงานเป็นกลุ่ม สง่ ต่อผู้ปว่ ยฉกุ เฉิน หรือติดต่อ 10) นกั ทอ่ งเทีย่ ว ควรหลีกเลีย่ งการการ สายด่วน 1669 ทำกิจกรรมกลางแจง้ ในชว่ ง 11.00 – 15.00 น. 1) ติดตามขา่ วสารหรือการเตือนภยั จากกรมอุตนุ ิยมวิทยาหรือจากหนว่ ยงาน ราชการอย่างใกล้ชิด 2) ดืม่ น้ำสะอาด 2 - 4 แก้วตอ่ ชว่ั โมง หากอ่อนเพลียหรือปัสสาวะน้อยหรือมี สีเหลืองเข้ม ใหด้ ื่มน้ำเพื่อป้องกันการขาดน้ำ 3) งดทำกิจกรรมกลางแจง้ โดยเด็ดขาด ควรอยใู่ นบ้านพัก อาคารหรือ สถานทีท่ ีม่ เี ครื่องปรับอากาศ 4) หลีกเลีย่ งการดื่มเครือ่ งดืม่ ที่มสี ว่ นผสมของแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ และ เครื่องดื่มทมี่ ีปรมิ าณน้ำตาลสงู 5) สวมเสื้อผ้าสีอ่อน หลวม มีนำ้ หนักเบา และระบายอากาศได้ดี 6) กรณีตอ้ งออกไปกลางแจง้ ต้องปอ้ งกันตนเองจากแสงแดด โดยสวม หมวกปกี กว้าง ใสแ่ วน่ กันแดด และทำครีมกนั แดดที่มคี า่ SPF ต้ังแต่ 15 ขนึ้ ไป 7) สังเกตอาการของตนเอง หากมีอาการที่เกีย่ วข้องกบั ความรอ้ น เช่น หนา้ มืด เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ คลืน่ ไส้ หายใจเรว็ ให้รีบแจ้งบุคคลใกล้ชิดทันที เพือ่ ปฐมพยาบาลเบอื้ งต้น พาไปพกั ในที่เย็น มีอากาศถา่ ยเทสะดวก หรือ 42
แนวทางประเมนิ ความเส่ียงภัยดา้ นการแพทย์และสาธารณสขุ กองสาธารณสุขฉุกเฉนิ คำแนะนำการปฏิบัตติ นสำหรับประชาชน ประชาชนกลมุ่ เสยี่ ง อณุ หภมู ิสงู สดุ ระดับ แนวทางการ (ได้แก่ เดก็ เล็ก ผู้สูงอายุ ผู้มีโรค (องศาเซลเซียส) ความเสีย่ ง สื่อสารความเสี่ยง ประชาชนทว่ั ไป ประจำตัว หญงิ ต้ังครรภ์ ผทู้ ำงาน กลางแจ้ง ผู้ออกกาลงั กายกลางแจ้ง นกั ทอ่ งเที่ยว เปน็ ตน้ ) ในอาคารทีม่ ีเครือ่ งปรบั อากาศ หากอาการยงั ไมด่ ีขึน้ ควรรีบไปพบแพทย์ ทันที 8) ควรมีหมายเลขโทรศพั ทข์ องสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สดุ เพื่อสง่ ต่อผู้ป่วย ฉุกเฉิน หรือติดตอ่ สายด่วน 1669 9) ผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง ควรหลกี เลี่ยงการทำงานในช่วง 11.00 – 15.00 น. และควรทำงานเป็นกลมุ่ 10) นักทอ่ งเที่ยว ควรหลีกเลีย่ งการการทำกิจกรรมกลางแจ้ง ในชว่ ง 11.00 – 15.00 น. 43
แนวทางประเมินความเสย่ี งภัยด้านการแพทย์และสาธารณสุข กองสาธารณสุขฉกุ เฉนิ แหลง่ ขอ้ มูลสาํ หรบั การประเมินความเส่ียง ALL Hazards ภัย ช่องทางนำเข้า หนว่ ยงาน Biological ภยั จากโรคระบาดในมนษุ ย์ https://ddc.moph.go.th กรมควบคมุ โรค Disaster ภัยจากโรค แมลง สัตวศ์ ตั รพู ืช https://ddc.moph.go.th/doe/ กองระบาดวิทยา ระบาด https://datastudio.google.com/u/0/reporting/974 ภัยจากโรคระบาดสตั ว์และ 82bef-acb2-4cdb-a3c6- กรมสขุ ภาพจิต สัตว์น้ำ 184a830161d1/page/FkgUB อทุ กภัย https://ddc.moph.go.th/dvb/ กองโรคติดต่อนำโดยแมลง ดินโคลนถลม่ https://ddc.moph.go.th/dcd/ กองโรคติดตอ่ ท่ัวไป วาตภัย https://www1.rid.go.th/index.php/th/ อคั คีภัย https://www.tmd.go.th/ กรมชลประทาน ภัยหนาว http://ndwc.disaster.go.th/in.ndwc-9.283/ กรมอุตนุ ิยมวิทยา ภยั จากแผน่ ดินไหว ศนู ยเ์ ตือนภัยพิบัติแห่งชาติ อาคารถล่ม http://division.dwr.go.th/brdh/index.php/th/ สำนกั วิจัย พฒั นาและอุทก ภยั จากคลื่นสึนามิ วิทยา http://www.nirapai.com/1784/index.php/th/ กรมทรัพยากรน้ำ ศูนยน์ ิรภัย http://mekhala.dwr.go.th/weblinks.php ศูนย์ป้องกันวิกฤติน้ำ กรมทรัพยากรน้ำ http://division.dwr.go.th/brdh/index.php/th/ สำนกั วิจัย พัฒนาและอุทก วิทยา http://www.dmr.go.th/index_.php กรมทรัพยากรน้ำ http://www.nirapai.com/1784/index.php/th/ กรมทรัพยากรธรณี https://www.facebook.com/PraramCommand ศนู ยน์ ิรภัย http://ndwc.disaster.go.th/in.ndwc-9.283/ ศูนยว์ ิทยพุ ระราม http://www.nirapai.com/1784/index.php/th/ ศูนยเ์ ตือนภยั พิบัติแหง่ ชาติ ศูนย์นิรภัย http://hia.anamai.moph.go.th/ กองประเมินผลกระทบต่อ https://earthquake.tmd.go.th/ สุขภาพ กรมอนามยั http://ndwc.disaster.go.th/in.ndwc-9.283/ กองเฝ้าระวงั แผน่ ดินไหว http://www.nirapai.com/1784/index.php/th/ ศนู ยเ์ ตือนภัยพิบตั ิแห่งชาติ https://earthquake.tmd.go.th/ ศนู ยน์ ิรภยั http://www.dmr.go.th/index_.php กองเฝ้าระวงั แผ่นดินไหว http://ndwc.disaster.go.th/in.ndwc-9.283/ กรมทรพั ยากรธรณี ศูนยเ์ ตือนภัยพิบัติแหง่ ชาติ 44
แนวทางประเมนิ ความเสีย่ งภยั ด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสุข กองสาธารณสุขฉุกเฉิน ALL Hazards ภยั ชอ่ งทางนำเขา้ หนว่ ยงาน Chemical/ ภัยจากสารเคมแี ละ Radiation วตั ถุอันตราย https://www.pcd.go.th/ กรมควบคมุ มลพิษ Environment สารเคมี กองโรคจากการประกอบ นิคมอุตสาหกรรม http://envocc.ddc.moph.go.th/ อาชีพ Human และสิ่งแวดล้อม กรมควบคมุ ภยั แล้ง/ภยั ร้อน https://www.oap.go.th/ โรค สำนกั งานปรมาณูเพ่อื สนั ติ บอ่ ขยะ http://www.dpim.go.th/ กรมอตุ สาหกรรมพื้นฐาน และการเหมืองแร่ ภัยจากไฟปา่ https://www.diw.go.th/hawk/default.php กรมโรงงานอุตสาหกรรม และหมอกควนั PM 2.5 https://www.gistda.or.th/main/ Gisda http://ndwc.disaster.go.th/in.ndwc-9.283/ ศนู ย์เตือนภยั พิบัติแหง่ ชาติ ภัยจากเทคโนโลยสี ารสนเทศ http://dashboard.anamai.moph.go.th/dashboard สำนกั อนามยั สิ่งแวดล้อม ภยั จากการก่อวนิ าศกรรม/ก่อ /heat?year=2021 กรมอนามัย การร้าย ศนู ย์ป้องกันวิกฤติน้ำ ภัยจากทนุ่ ระเบิด http://mekhala.dwr.go.th/weblinks.php กรมทรพั ยากรน้ำ กบั ระเบิด สำนักอนามัยสิง่ แวดล้อม ภยั ทางอากาศ http://env.anamai.moph.go.th/main.php?filena กรมอนามยั ภัยจากการชมุ นุมประท้วงกอ่ me=home2016 กรมควบคมุ มลพิษ การจราจล http://www.pcd.go.th/ http://hia.anamai.moph.go.th/ กองประเมินผลกระทบต่อ https://www.facebook.com/คนรกั อนามัย-ใส่ใจ สขุ ภาพ กรมอนามัย อากาศ-PM-25-105093407542676/ สำนกั สิง่ แวดล้อม www.bangkok.go.th กรุงเทพมหานคร http://www.pcd.go.th/ กรมควบคมุ มลพิษ https://www.facebook.com/airpollution.CAPM/ เพจเฟสบุค๊ ศนู ยป์ ้องกนั แก้ไขปญั หามลพิษทาง กระทรวงดิจิทลั เพื่อเศรษฐกิจ อากาศ (ศกพ.) และสังคม www.mdes.go.th http://www.nirapai.com/1784/index.php/th/ ศูนยน์ ิรภัย http://hdothailand.blogspot.com/ ปฏิบตั ิการทุ่นระเบิดเพือ่ มนุษยธรรมในประเทศไทย https://aadc.rta.mi.th/web/ หนว่ ยบญั ชาการป้องกนั ภยั https://www.facebook.com/KringsakTao160760 ทางอากาศกองทัพบก / War and Technology Club http://www.nirapai.com/1784/index.php/th/ Thailand ศูนย์นิรภยั 45
แนวทางประเมนิ ความเส่ียงภยั ด้านการแพทย์และสาธารณสขุ กองสาธารณสขุ ฉุกเฉนิ ALL Hazards ภัย ช่องทางนำเขา้ หนว่ ยงาน RTI ภยั จากการคมนาคมและขนสง่ http://www.rvp-eclaim.com/index.html ระบบสินไหม บริษทั กลาง อน่ื ๆ คุ้มครองผู้ประสบภยั จากรถ อุบตั ิเหตุรถพยาบาล http://www.rvp.co.th/main.php บรษิ ทั กลางคุ้มครอง ศูนย์เฝ้าระวังความปลอดภัย ผู้ประสบภัยจากรถ จำกดั ด้านผลิตภณั ฑส์ ขุ ภาพ http://122.155.1.141/in.roadsafety-5.196/ ศูนยอ์ ำนวยการ เฝ้าระวงั วิกฤตสขุ ภาพจิต ความปลอดภัยทางถนน รายงานการดำเนินงานวกิ ฤต https://ddc.moph.go.th/dip/ กองป้องกนั การบาดเจ็บ สขุ ภาพจิต Mental Health กรมควบคมุ โรค Crisis Assessment and www.niems.go.th/ สถาบันการแพทยฉ์ ุกเฉิน Treatment Team : MCATT แห่งชาติ Centre for Research on the http://ae.moph.go.th/isonline/ IS Online Epidemiology of Disasters - http://164.115.28.179/AEINFO/NewsPublishInde กองสาธารณสขุ ฉกุ เฉนิ CRED x.aspx สำนักงานคณะกรรมการอาหร https://www.dmh.go.th/main.asp และยา (อย.) กรมสุขภาพจิต http://www.mhso.dmh.go.th/page/details.php? กรมสุขภาพจิต category_id=34 School of Public Health https://www.emdat.be/ Université catholique de Louvain 46
Search