ขอ มลู เชงิ ประจักษเ ก่ยี วกบั การปฏิบัติท่เี ปนเลศิ สาํ หรับนักวชิ าชพี ดา นสุขภาพ สัญญาณชพี Vital Signsแหลง ขอ มูล (Information source) The Joanna Briggs Institute. Best Practice: Evidence Based Practice Information Sheets for Health Professionals.3 (3) 1999, p1-6.กติ ติกรรมประกาศ (Acknowledgement) เอกสารขอมลู การปฏบิ ัตทิ ี่ดที ีส่ ุดนี้ตงั้ อยูบนฐานของการทบทวนงานวิจัยอยางเปนระบบท่เี ก่ยี วกบัสญั ญาณชพี สามารถคน หาเอกสารอา งอิงตนฉบับที่เอกสารนีใ้ ชไดจากรายงานการทบทวนงานวิจยั อยา งเปนระบบทตี่ พี มิ พโดยสถาบนั โจแอนนาบรกิ สเอกสารน้ีประกอบดวยหัวขอ เรอื่ งตอ ไปน้ี(This Practice Information Sheet Covers the Following Concepts ) 1. สญั ญาณชพี : ประเดน็ ท่ัวไป 2. สญั ญาณชพี : อตั ราการหายใจ 3. สญั ญาณชีพ: อตั ราชีพจร 4. สญั ญาณชีพ: ความดันโลหิต 5. สญั ญาณชีพ: อุณหภูมิแปลโดย รองศาสตราจารย ดร. วลิ าวณั ย พเิ ชยี รเสถยี รTranslated by Associate Professor Dr. Wilawan Picheansathian
2ระดบั ของหลกั ฐานขอ มลู (Levels of Evidence)รายงานวจิ ยั ทั้งหมดถูกแบงระดับตามความถูกตอ งของหลกั ฐานขอมลู ดังนี้ ระดบั 1. หลักฐานขอ มลู ไดม าจากการทบทวนงานวิจยั ท่ีเปนงานวิจยั เชงิ ทดลองท่มี กี ารสุม ตวั อยา งและมกี ารควบคุมทงั้ หมด ระดบั 2. หลกั ฐานขอ มูลไดม าจากงานวิจัยทีเ่ ปนการวจิ ยั เชิงทดลองท่มี กี ารสมุ ตัวอยางและ มกี ารควบคุมอยางนอ ย 1 รายงาน ระดบั 3.1 หลกั ฐานขอ มลู ไดมาจากงานวิจัยท่เี ปน การวิจัยเชงิ ทดลองทม่ี ีการควบคุมแตไม ไดสมุ ตวั อยาง ระดบั 3.2 หลกั ฐานขอมลู ไดจ ากงานวิจัยเชิงวเิ คราะหแบบไปขา งหนาหรือแบบยอ นหลงั ที่ มกี ารศกึ ษาจากหลายสถาบันหรือหลายกลมุ ระดบั 3.3 หลักฐานขอ มูลไดจ ากงานวจิ ยั ท่มี กี ารเก็บขอ มลู ระยะยาวทงั้ ท่มี ีและไมม ีการจัด กระทาํ รวมทัง้ งานวจิ ยั เชงิ ทดลองทไ่ี มม กี ารควบคมุ ระดบั 4 หลกั ฐานขอ มลู ท่ีไดจ ากการแสดงความคิดเหน็ ของผูมอี ํานาจทางคลนิ ิก การวิจยั เชงิ พรรณนา หรอื รายงานหรือการประชุมของผูเชีย่ วชาญบทนํา (Introduction) การสังเกตผูปวยเปนสิ่งที่สําคญั อยางหนึ่งในการพยาบาลเนื่องจากเปนการประเมินการเปล่ียนแปลงของผปู ว ยและเปน การตรวจไดถ งึ เหตกุ ารณท ่ไี มดีหรือการฟน ตัวเล่อื นชาออกไป การสังเกตผปู ว ยหรอืสญั ญาณชพี ประกอบดว ยความดันโลหติ อณุ หภมู ิ อัตราชีพจรและหายใจ การทบทวนงานวจิ ยั อยางเปนระบบ นเี้ นนทปี่ ระเดน็ เรื่อง วัตถปุ ระสงคของการวัดชพี จร ความถขี่ องการวดั สง่ิ ทค่ี วรสังเกตขณะวดัสญั ญาณชพี แตละอยา ง เอกสารขอมลู การปฏิบตั ิทีด่ ที ีส่ ุดนีเ้ ปนการสรุปหลกั ฐานขอ มลู ที่ดีที่สุดในปจ จุบนั เกี่ยวกบั หัวขอเรอ่ื งดงั กลา ว การสังเกตหมายถึง การสังเกตผูปว ยโดยทั่วไปดวยการวัดสัญญาณชีพซ่ึงประกอบดวยอณุ หภมู ิ ชีพจร การหายใจและความดนั โลหิตประเดน็ ท่วั ไปของสญั ญาณชพี (Vital Signs: General Issues) สญั ญาณชีพกบั การสงั เกต (Vital Signs versus Observations) การวดั อณุ หภมู ิ ชพี จร อตั ราการเตนของหวั ใจและความดันโลหติ ใชท ั้งในความหมายของคาํ วาสญั ญาณชีพหรอื การสังเกต คาํ วา สัญญาณชีพหมายถงึ การวัดการทาํ หนาทีท่ างสรีรวิทยาท่ีสําคัญตอชีวิตหรอื วิกฤติ ขณะท่คี าํ วา การสงั เกต หมายถึง การวดั เนอ่ื งจากไมมีการใหค วามหมายท่ีชดั เจนในวรรณกรรมทเ่ี กย่ี วขอ ง กลมุ ผเู ชี่ยวชาญใหคําแนะนําในการทําการทบทวนงานวิจยั อยางเปน ระบบน้ีโตแยงวา การสังเกตเปน คาํ ทเ่ี หมาะสมกวา เพราะสะทอนถึงการปฏบิ ตั ทิ างคลินิกไดด กี วา จากการท่กี ารสังเกตผปู ว ยนน้ั ไมไดจาํ กดั เพยี งตวั วัด 4 ตัวเทานนั้ แตรวมถงึ การวดั อื่นท่ีบงช้ถี งึ สภาวะของผปู วยทางคลนิ ิกดวย
3 สญั ญาณชีพควรประกอบดวยอะไรบาง (What Constitutes Vital Signs) โดยปกตแิ ลว คําวา “สญั ญาณชพี ” ใชใ นการบงชถ้ี งึ การวดั คาอณุ หภมู ิ อตั ราการหายใจ อตั ราชพี จรและความดนั โลหติ อยางไรก็ตามจากเอกสารท่เี ก่ียวของไดใหขอ เสนอแนะวา ตัววดั นส้ี ามารถแทนดวยการวดั อน่ื ๆทม่ี ีประโยชน เชน ภาวะโภชนาการ ภาวะการสบู บหุ รี่ การวดั สไปโรมิเตอร การวดั คา ทางกระดกูและการวดั เพาส ออ กซิมติ รี้ อยา งไรก็ตามมีเพยี งการวดั เพาส ออ กซมิ ติ รี้ และการพจิ ารณาภาวะการสูบบหุ รี่เทา นน้ั ทน่ี าํ ไปสกู ารเปลี่ยนแปลงการปฏิบัตทิ างคลนิ กิ ผลการวจิ ยั แสดงใหเหน็ วา ในบางสถานการณเพาส ออกซมิ ติ รี้มีประโยชนในการตรวจหาการเปลยี่ นแปลงของการทาํ หนาที่ของสรีรวทิ ยาในรางกาย ท่บี างครั้งอาจประเมนิ พลาดไป เปนเหตุใหม ีการลดจาํ นวนการตรวจสอบและเปลีย่ นแผนการจดั การกบั ผปู วย ดว ยเหตุน้จี งึ มขี อเสนอแนะใหใชเ พาส ออกซิมิตรี้ในการประเมินรวมกับการวัดคา 4 คา นั้นดวย แนวคิดในการใช “ภาวะการสบู บหุ รี่ “ เปน สัญญาณชพี ดว ยน้ัน จะใชใ นการประเมนิ เม่อื แรกรบั ผูปว ยและมแี นวโนม ท่ีบคุ ลากรสุขภาพจะเพม่ิ การใหก ารปรึกษาและแนะนาํ แกผ ูป ว ยในการเลิกบหุ ร่ี แมว า ตัววดั นไ้ี มเ ขา กับแนวคิดของการวัดสัญญาณชีพกต็ าม แตย ังมคี วามสําคัญในการประเมินในชว งแรกของการรับผูป ว ย วธิ กี ารวดั สญั ญาณชีพอืน่ เชน ภาวะโภชนาการและการวดั คาทางกระดูก มีขอ มูลทีแ่ สดงวา มอี ทิ ธิพลตอ การจดั การผูป วยเชนกนั สวนตัววัดอ่นื ๆทอ่ี ยใู นกรอบของการสังเกตผปู วยอยรู ะหวา งการศกึ ษา ในบางสถานการณการวัดท่ีสังเกตไดจากตัวผูปวยอาจจะใชในการประเมินความเปล่ียนแปลงและสภาวะทางคลนิ กิ ของผปู วย ซ่ึงอยูร ะหวา งการศึกษาเชน กนั ขอจํากัด (Limitations) ผลการวจิ ยั จากงานวิจยั จาํ นวนนอ ย แสดงใหเ ห็นวา สญั ญาณชีพมีขอ จาํ กดั ในการตรวจพบการเปลยี่ นแปลงที่สาํ คญั ทางสรีรวิทยา ตวั อยางเชน ไมสามารถตรวจวัดไดถ ึงการสญู เสยี เลอื ดจํานวนมาก การตรวจวัดถึงการเจ็บปวยที่รุนแรงของทารกและการตรวจวดั ความไมเพยี งพอของปรมิ าตรพลาสมาในผปู วยที่ไดร บั อุบัตเิ หตแุ ผลไหม งานวจิ ยั 1 รายงานท่ศี กึ ษายอ นหลงั กบั ผูป ว ยทม่ี ีบาดเจ็บอยา งรนุ แรงบริเวณหนา อกและชอ งทอ ง พบวามีคาสญั ญาณชีพปกติและคงท่โี ดยท่ีไมไ ดบงบอกถึงการมีเลือดออกเลย การวจิ ัยเหลาน้ีเสนอแนะวาประโยชนของสัญญาณชีพอาจจะมีมากกวาการเปนแคตัวชี้วัดถึงความตองการการวินิจฉัยท่ีเหมาะสมมากกวาน้ี ดังนัน้ ส่ิงท่ีสําคัญคอื ตัววดั คา จากสัญญาณชีพที่ปกติไมไ ดยืนยนั ถงึ ภาวะทางสรีรวิทยาท่คี งท่ี ความถข่ี องการวดั สัญญาณชีพ (Frequency of Vital Signs) ขอ มลู เกย่ี วกบั ความถ่ีในการวดั สญั ญาณชีพมอี ยจู าํ กัดและสวนใหญเ ปนการสํารวจจากพยาบาล รายงานทางคลินกิ และการแสดงความคดิ เห็นของผูเชี่ยวชาญ การสาํ รวจจากพยาบาลพบวา มีจาํ นวนมากที่วัดสัญญาณชีพในผูปวยท้ังๆที่พยาบาลเหลานั้นเช่ือวาไมจําเปนตองทําและกลายเปนสิ่งที่ทําเปนประจําที่ไมสมั พนั ธกับความตอ งการของผปู ว ย
4 งานวจิ ัย 2 รายงานประเมนิ ถงึ ผลกระทบของการลดความถีข่ องการสงั เกตหลงั การผาตดั แตท้ัง 2รายงานเปลย่ี นแปลงความถีเ่ พียงเลก็ นอ ยเทา นั้น รายงานหนง่ึ อธิบายถึงการเปล่ียนการวัดสัญญาณชพี จาก 15และ 30 นาทรี ะหวางการใหเ ลอื ด เปน แคต อนเริ่มให ที่ 15 นาทีและเม่อื ใหหมดแลว สวนเวลาอนื่ ใชก ารสงั เกตจากสิ่งท่ีมองเห็นในการประเมนิ สภาวะของผูปว ย สรปุ วา ไมมวี ิธกี ารทป่ี ลอดภัย อยางไรก็ตาม จุดแขง็ของหลักฐานขอ มลู นี้มจี ํากดั และไมส ามารถนาํ ไปสูการเปลีย่ นแปลงการปฏบิ ัตไิ ด การทบทวนงานวิจยัอยา งเปน ระบบในเร่ือง การวัดสญั ญาณชพี สรปุ ไดว า มีการประเมินถงึ ความถที่ เี่ หมาะสมในการวดั สญั ญาณชพี นอยมากสญั ญาณชีพ: อัตราการหายใจ (Vital Signs: Respiratory Rate) งานวจิ ยั เกย่ี วกบั การวดั อตั ราการหายใจมีจาํ นวนจาํ กัดและงานวิจัยเหลานเี้ นนบางประเดน็ เชนความไมถ กู ตองในการวัดและการใชอัตราการหายใจเปน ตัวช้ีวัดถงึ การทาํ หนาท่ีทผ่ี ดิ ปกติของการหายใจการวดั อตั ราการหายใจทีไ่ มถกู ตองพบไดใ นเอกสารทเี่ กย่ี วขอ ง งานวิจัยหนึ่งเปรยี บเทยี บอัตราการหายใจจากการนบั ในเวลา 15 วินาที กับ นบั เต็มนาที พบวา วดั ไดค า แตกตางกนั การวัดอัตราการหายใจในเดก็ อายุตาํ่ กวา 5 ป ในเวลา 30 – 60 นาที พบวา การวดั ในเวลา 60 นาทีมีความแตกตางกนั นอ ยทส่ี ดุ รายงานวจิ ยั อีกรายงานพบวา อัตราการหายใจท่เี ร็วของทารก ที่นบั โดยใช หูฟง จะไดค า ท่มี ากกวาการวัดดวยวธิ สี ังเกตโดยไมใ ชหูฟง คา อตั ราการหายใจทใี่ ชเ ปนตัวช้ีวดั ถงึ การทาํ หนาทท่ี ีผ่ ดิ ปกตขิ องการหายใจไดมกี ารศึกษา แตผลการวจิ ัยพบวา มคี ณุ คาท่จี าํ กดั งานวจิ ยั หนง่ึ พบวา ผปุ ว ยทีม่ าหองฉุกเฉินเพยี ง 33 % ทม่ี ีคา ความดันออกซิเจนในเลอื ดตาํ่ กวา 90% มอี ัตราการหายใจเพม่ิ ขึ้น การประเมนิ อตั ราการหายใจพบวา ไมม ปี ระโยชนในการคน หาความเจบ็ ปว ยทีร่ ุนแรงในทารกอายุตา่ํ กวา 6 เดอื น ประมาณครึง่ หน่งึ ของทารกมีอัตราการหายใจมากกวา 50 ครง้ั ตอ นาที จึงเกดิ คําถามในการใช “จุดตดั ” ท่ี 50 ครง้ั ตอนาทเี ปน ตัวชี้วดั ถึงความเจ็บปว ยทรี่ นุ แรงของทางเดนิ หายใจ นอกจากนยี้ ังมีรายงานวา ปจ จัยในเรอ่ื ง การรองไห การนอน การกระวนกระวายและอายเุ ปน สงิ่ ทมี่ ีผลตอคาอตั ราการหายใจ จากผลการวิจัยเหลา นแ้ี สดงใหเหน็ วา มีขอจํากดั ในการใชค า อัตราการหายใจเปนตวั ชวี้ ดั ถึงความเจบ็ ปวยที่รนุ แรงสญั ญาณชพี : อัตราชีพจร (Vital Signs: Pulse Rate) รายงานวจิ ยั เกย่ี วกบั การวัดอัตราชพี จรมีอยูนอ ย ดูเหมือนวา เมอื่ คาํ นงึ ถงึ อตั ราการเตน ของหัวใจ จะตอ งประเมนิ จงั หวะการเตนของหวั ใจดว ยไมใชเ ฉพาะวัดอตั ราเทาน้นั บทบาทของ “จังหวะการเตน ของชีพจร” เชน สมาํ่ เสมอ หรอื ไมสม่ําเสมอ เตน แรง หรอื เตน ชา ไมไดถกู นับรวมอยใู นการวัดสญั ญาณชีพหรือการสงั เกตผปู ว ย ความสําคัญของบทบาทของการวัดอตั ราชพี จรคงจะไดร ับการพิจารณาเม่ือมีเครือ่ งมอื ในการวัดทีด่ ีกวานี้ การวดั อตั ราชพี จรในขณะทีเ่ กิดการเตน ของหัวใจทผี่ ิดปกตแิ บบ เอเตรยี ล ฟบบลิ เลชน่ั ถูกประเมนิและผลมขี อ เสนอแนะวา อัตราชีพจร ที่วัดจาก ยอดหวั ใจโดยใชห ูฟงเปน เวลา 60 วินาทีเปนอตั ราทีม่ คี วามถกูตอ งมากทส่ี ดุ การวจิ ยั น้ี พยาบาล 85 % คาดคะเนอตั ราชีพจรไดตํ่ากวา รายงานวจิ ัยอีกรายงานเสนอแนะวา
5ควรใชเ วลาวัด 30 วินาที จึงจะไดผลตรงและมปี ระสิทธิภาพมากที่สดุ ในการวดั อัตราชพี จร การใชเพยี ง15วนิ าทจี ะใหค าทถี่ กู ตอ งนอยทส่ี ุด งานวิจยั ฉบบั ท่ี 3 พบวา ไมมีประโยชนท ี่จะใชเ วลามากกวา 60 นาที ผวู จิ ัยเหลา น้ไี ดสรปุ วา การนับอตั ราชีพจรอาจจะยากกวา ที่คดิ งานวจิ ยั หนงึ่ ประเมนิ อัตราชีพจรจากยอดหัวใจโดยใชหฟู ง ในทารก ผลการวิจัยเสนอแนะวา ระยะเวลาไมใ ชป จจยั ท่ีสาํ คัญท่ีทําใหเกิดความผดิ พลาด เนื่องจากยงั มปี จจยั เกีย่ วกบั อาการของทารกท่ีมอี ิทธิพลตออตั ราชพี จร ผลการวจิ ยั ไดแสดงใหเ หน็ ถงึ ความถูกตองของการวดั อัตราชีพจรวาข้ึนกบั ระยะเวลาท่วี ัด แตค วามสาํ คญั ทางคลนิ ิกยังไมชัดเจน ผลท่ีแตกตางจากงานวิจยั สรุปไดว า ระยะเวลาท่ใี ชในการวดั อัตราชพี จรมขี อจาํ กดัสญั ญาณชพี : ความดนั โลหติ (Vital Signs: Blood Pressure) การวจิ ยั ทศี่ กึ ษาถงึ การวดั ความดนั โลหิต ดว ยเครื่องวดั สเฟกโมมาโนมิเตอร เนนในหลายประเด็นเชน ความถกู ตองของการวดั ความดนั โลหิตโดยออม การคลาํ เทียบกบั การฟง ขนาดของผา พัน ตําแหนงของแขนระหวา งการวดั และเทคนิคของบุคลการทางการแพทย การวดั โดยตรงและโดยออ ม (Direct versus Indirect) การศกึ ษาหลายรายงานที่เปรียบเทียบการวดั ความดนั โลหิตโดยตรง(วดั ภายในหลอดเลือดแดง) กับการวดั โดยออม (ใชว ิธกี ารฟง ) ผลการวจิ ยั พบวา มคี วามแตกตางกันในคา ความดนั ซีสโตลกิ เลก็ นอย โดยมีความแตกตา ง 3 มม.ปรอท ใน 2 รายงาน ถงึ 12 มม.ปรอท ใน 1 รายงาน ความแตกตางของความดันไดแอสโตลกิ มมี ากกวา และขึน้ กบั จดุ ทว่ี ัด ถาหากใชระยะที่ 5 ในเสยี งของโครอทคอฟ (จดุ ทเ่ี สยี งหายไป) วธิ ีการทง้ัสองจะใหค า ใกลเ คยี งกัน แตถ า ใชระยะที่ 4 ในเสียงของโครอทคอฟ (จุดที่เสียงลดลง) พบวา การวดั โดยออม(ใชว ธิ กี ารฟง ) จะใหค า ที่สงู กวาการวดั โดยตรง (ในหลอดเลอื ด) อยา งมนี ัยสาํ คัญทางสถติ ิ (ตารางท่ี 1 ) การวจิ ยั ในเดก็ รายงานวา การวัดทัง้ วิธีการฟงหรอื คลาํ ใหค า ความดนั ซสี โตลิกสูงกวาความเปน จรงิ ใหดตู ารางท่ี2 ถงึ ขอเสนอแนะในทางปฏบิ ตั กิ ารวดั ความดนั โลหติตารางที่ 1 การคลาํ หรอื การฟง (Palpation versus Auscultation)เสียงของโครอทคอฟ การเปรียบเทียบการวัดคาความดันโลหิตซีสโตลิกทว่ี ัดโดยการ(Korotkoff’s sounds)การวดั ความดันโลหิตโดยการ ฟง และการคลาํ มีคา แตกตางกนั ประมาณ 8 มม.ปรอท การคลาํ มีขอฟง ข้ึนกับเสียงทเี่ กดิ จากผล จาํ กดั ในการวัดความดันโลหิตซีสโตลกิ โดยมีงานวจิ ัยหนง่ึ รายงานวา คาความดันไดแอสโตลิกท่ีวัดโดยการคลําหลอดเลือดแดงเบเคียลมีของการเปลย่ี นแปลงใน ่ ความเที่ยงตรงดใี นการวดั ระยะ 4 ของเสียงโครอทคอฟ อยา งไรก็ตามคณุ คา ของการวดั ดวยเทคนิคน้ีในทางปฏบิ ัติทางคลินกิ และความถูกตองของมนั เมื่อใชโดยบคุ ลากรทางสุขภาพยงั ไมไ ดมีการศกึ ษา
6 ขนาดของผา พัน (Cuff Size) ความยาวและความกวางของผาพันที่ใชวัดความดันโลหิตอาจเปน แหลงของความผดิ พลาดได งานวจิ ยั สว นใหญ เนนที่ความกวา งของผา พนั มาตรฐานขนาดความกวา งประมาณ 12 เซนติเมตร โดยมที ง้ั ท่ีใหญก วา และเลก็ กวา ใหดวย ผลการวิจัยพบวา การใชผาพนั ทแ่ี คบไปจะทาํ ใหไดค า ความดนั โลหิตทส่ี งู เกินและถา ผา พนั กวา งไปจะทําใหค า ความดนั โลหติ ตา่ํ เกนิ ผา พันทย่ี าวไปพบวามผี ลตอ คา ทว่ี ัดไดเ พียงเล็กนอ ย สาํ หรบั ผปู ว ยทอ่ี วน แนะนาํ ใหใ ชผ าพันท่มี ขี นาดใหญ (กวาง 15 เซนติเมตร) หากเสน รอบแขนเทากบั 33-35 เซนติเมตร และใชผา พันขา (กวาง 18 เซนตเิ มตร) กรณที ม่ี เี สนรอบแขนมากกวา 41 เซนติเมตรอยา งไรกต็ ามมรี ายงานถงึ ความยงุ ยากของการเอาผาพันท่ใี ชกบั การวดั ท่ีขามาใชกับแขนขนาดใหญ ความกวา งของผาพนั มคี วามสาํ คญั ในการวัดความดนั โลหติ ในทารก ซงึ่ มขี อเสนอแนะใหใ ชผ า พันขนาด 50%ของเสน รอบวงแขน ทา ของแขนและรา งกาย (Arm and Body Position) เม่ือเปรียบเทียบการวัดความดันโลหิตในทาน่ังโดยใหแขนอยใู นระดับขนานกับพืน้ หรอื วางไวแ นบตวั พบวา คา ความดันโลหิตซีสโตลกิ โดยเฉล่ียตางกนั 11 มม.ปรอท และคา ความดนั ไดแอสโตลกิ ตา งกัน 12มม. ปรอท เมอื่ วางแขนในระดบั สูงกวาหรือต่าํ กวา ระดับหัวใจ คาความดนั โลหติ จะเปลี่ยนไปประมาณ 20มม.ปรอท จากผลน้ีจงึ มขี อ เสนอแนะวา การวัดความดันโลหติ ควรอยใู นทา น่งั แขนวางแนวขนานกับพน้ืระดบั เดียวกบั หัวใจ การใชหูฟง แบบระฆังหรือแบบไดอะแฟรม (Bell versus Diaphragm) ความถูกตองในการวัดคาความดันโลหิตดวยหูฟงแบบระฆังกับแบบไดอะแฟรมมีในรายงานวิจัยโดยมผี ลการวจิ ัยหน่งึ พบวา การใชห ฟู ง แบบระฆงั ทําใหค า ที่วดั ไดส ูงกวาการใชแบบไดอะแฟรม ผลการวจิ ัยนไ้ี ดร บั การสนบั สนนุ จากงานวจิ ัยอื่น ซง่ึ ผวู จิ ยั แนะนําใหใชหฟู งแบบระฆังในการวดั ความดนั โลหิต เทคนิคของบุคลากรสุขภาพ (Health Care Workers Technique) เทคนิคท่ีใชโดยบุคลากรสุขภาพในการวัดคาความดันโลหิตพบวามีความแตกตางจากท่ีกําหนดไวจากการยดึ แนวปฏิบตั ิของสมาคมโรคหัวใจของสหรฐั อเมรกิ า ในการวจิ ัยหนึง่ พบวา นักศกึ ษาพยาบาล 57%ไมไ ดท าํ ตามแนวปฏบิ ตั ทิ กี่ าํ หนด เชน การวางผา พัน การประมาณคา ความดันซีสโตลิกโดยการคลาํ การคาํ นวณคา ความดันที่เหมาะสมในการบบี ผาพนั และตาํ แหนงของการวางหฟู ง งานวจิ ัยอกี รายงานในบคุ ลากรสขุ ภาพ 172 คน พบวา พยาบาลและแพทยประเมินคาความดันโลหิตดว ยวธิ กี ารท่ีไมถกู ตองและไมเหมาะสม มเี พียง นักเวชปฏบิ ัติทัว่ ไป 3% และพยาบาล 2% เทาน้นั ทท่ี ําไดอยางนา เชอื่ ถอื งานวจิ ัย 2 รายงานประเมนิ ถึงผลของการอบรมเรื่องการวดั ความดนั โลหิต พบวา ทําใหมีการยอมรับในความแตกตา งของคา ท่ีอา นไดม ากขึน้ และลดความแตกตา งในเทคนคิ การวดั ท่ใี ชลงอยางมีนยั สาํ คัญทางสถิติ ขอ จาํ กัด (Limitations)
7 การวิจัยเชงิ พรรณนาเก่ียวกับการวดั ความดันโลหิตในผปู วยภาวะวิกฤติท่เี คยเกดิ ภาวะหัวใจหยดุ เตนพบวา มขี อ จาํ กัดในการวัด จากผูป ว ยที่ทาํ การวดั 15 คน มีเพยี ง 5 คนทม่ี ีคา ความดันในหลอดเลอื ดแดงที่เพยี งพอ แตไ มส ามารถอา นไดจากการวดั ดวยการพนั ผา ผปู วย 4 คนมีคาความดันท่วี ัดดวยการพนั ผา ท่ใี กลเคยี งกบั คา ปกติ แตกลบั มกี ารสง ออกของเลอื ดออกจากหวั ใจไมเ พยี งพอ การวจิ ยั น้ีเสนอแนะวา การวัดความดนั โลหติ ทางออมนั้นไมสามารถใชส ะทอนถึงสภาวะของการไหลเวยี นโลหติ ทีถ่ ูกตองในผปู ว ยภาวะวกิ ฤติ ตารางที่ 2 ขอ เสนอแนะเร่อื งเทคนคิ การวดั ความดันโลหิต (Recommended Blood Pressure Measurement Technique ) ตามขอมลู หลกั ฐานที่ตพี มิ พ สรุปขอเสนอแนะมีดงั ตอไปนี้ - ผปู ว ยควรอยใู นทา น่งั และพักกอน 5 นาที วางแขนสูงระดบั หวั ใจ - ใชข นาดผาพนั ท่ีพอเหมาะ ถุงยางในควรพันรอบแขนหรืออยางนอยพันรอบ80% - ผปู ว ยไมค วรสูบบุหรี่หรือกนิ คาเฟอีนภายใน 30 นาทีกอนการวดั ควรวัดดวยเครอ่ื ง สเฟกโม มาโนมิเตอร ท่ีไดรบั การทดสอบดว ยอะเนอรอยด มาโนมเิ ตอร หรอื เครื่องมืออเี ลค็ โทนิก - บนั ทึกทง้ั คา ความดนั ซีสโตลิกและไดแอสโตลิก - โครอทคอฟ ระยะ 5 (เสยี งหายไป)ใชเ ปนคา ความดันไดแอสโตลิก - ใหว ดั 2 ครง้ั หรือมากกวา หา งกัน 2 นาที แลวใชคาเฉลยี่ หรอื วดั มากกวานห้ี ากวัดไดค าท่ี แตกตางกนั มากกวา 5 มม.ปรอทสญั ญาณชพี : อุณหภมู ิ (Vital Signs: Temperature) การวิจัยที่พบมากท่ีสุดจากการสืบคนเปนการวิจัยในเร่ืองเกี่ยวกับการวัดอุณหภูมิในหลายประเด็นการศกึ ษาเหลานี้เนน ในเรอื่ งของวิธีการและตาํ แหนงที่วดั (ตารางที่ 3) เนอ่ื งจากมงี านวจิ ยั ทเ่ี กีย่ วขอ งจํานวนมาก การเปรียบเทยี บความแตกตางของวิธีการวดั จะสรปุ โดยการแยกทบทวน การสรปุ ถึงการปฏบิ ตั เิ ปน งานวจิ ยั ทเี่ นน ในเร่ืองการวดั ทางปาก ทวารหนัก รกั แรและหู ขอ คดิ ทวั่ ไป (General Issues) ความสนใจสวนใหญม ุงเนนทีก่ ารวดั อยา งถูกตอ ง มี 1 รายงานทป่ี ระเมินวธิ ีการสมั ผัสเพ่ือคัดกรองการเกดิ ไขแ ละพบวา แมวา แมและนักศกึ ษาแพทยจะคาดคะเนถึงอุบตั ิการณข องการเกิดไขจากการใชวธิ ีการสมั ผสั สงู เกินไป แตค นเหลา น้ไี มคอยพลาดในเร่ืองการเกดิ ไขในเดก็ ผลการวิจัยน้ีจึงเปน ความทาทายตองานวจิ ยั ในปจ จุบนั ถึงความแมนยําของการวัด หากวา การใชว ิธงี า ยๆอยา งการสัมผสั เปน วิธที ีแ่ มนยาํ พอ มี
8การศกึ ษาถงึ การใชอณุ หภูมิเปน เกณฑในการจาํ หนา ยผูปวยในแผนกผาตดั แตผ ลการวจิ ัยสรปุ วา ไมม ีประโยชนท จ่ี ะใชเปน เกณฑถ งึ ความพรอมในการจําหนาย การวดั อุณหภูมทิ างปาก (Oral Temperatures) งานวจิ ยั ประเมนิ วิธีการวัดจากสวนตางๆในชองปาก พบวา วางไดท ้ังดา นซายและขวาในบรเิ วณใตลน้ิ ซง่ึ จะไดค าอุณหภูมิที่สูงสดุ การประเมินผลกระทบของการไดรับออกซิเจนตอการวัดอุณหภูมิทางปากมีรายงานผลท่ีแตกตางกัน อยา งไรกต็ ามไมมีงานวิจัยใดทรี่ ายงานถงึ ผลทางคลินกิ นอกจากน้คี วามแตกตางในอัตราการใหออกซิเจน จาก 2 ลติ ร ถึง 6 ลิตร ตอนาที การทาํ ใหแ กสท่ีหายใจเขาอนุ หรือเยน็ พบวาไมม ผี ลตออุณหภูมิท่ีวดั ไดท างปาก งานวจิ ัย 2 รายงานพบวา อัตราการหายใจทีเ่ รว็ มผี ลเลก็ นอ ยตออณุ หภมู ทิ างปาก แตผ ลน้แี ตกตา งจากงานวจิ ยั อ่นื ท่พี บวา ทง้ั ความเรว็ และความลกึ ของการหายใจ ท้ังอยางเดยี วและทง้ั สองอยางรว มกันไมม ผี ลตออณุ หภูมทิ วี่ ดั ไดทางปาก งานวจิ ยั หลายรายงานพบวา การดื่มนํา้ รอนหรือเยน็ มีผลอยา งมีนัยสาํ คัญตอ คาอณุ หภมู ิทวี่ ดั ทางปากและมขี อ แนะนําวา ควรรอหลงั การดื่มแลว นาน 15- 20 นาทีเพื่อใหแ นใจในความถูกตอ ง สวนการสูบบหุ รี่ไมม ผี ลทาํ ใหอณุ หภูมิทีว่ ดั ทางปากเปลี่ยนแปลง นกั วจิ ยั หลายคนไดประเมนิ ถงึ เวลาทใี่ ชเทอรโ มมิเตอรป รอทวัดอุณหภูมิในการวัดทางปาก งานวจิ ยั1 รายงานพบวา ในผูใหญท ่ีมสี ขุ ภาพสมบรู ณ ใชเวลา 2 นาที ทําใหค า ทว่ี ดั ได 27% มีความผดิ พลาดไป 0.3 Oซ. การวจิ ัยทปี่ ระเมนิ โดยการสอดเทอรโมมิเตอรทงั้ ในผูทีม่ แี ละไมม ีไข พบวา ใหใชเวลา 6 นาที ขณะทีมีงานวจิ ยั อน่ื แนะนาํ ใหใ ชเวลา 7 นาที เพอ่ื ใหไ ดคาทถ่ี กู ตอง อยางไรกต็ าม การสํารวจกบั พยาบาล แสดงใหเหน็ วา สว นใหญใชเ ทอรโมมิเตอรปรอทวัดทางปากดว ยเวลานอ ยกวา 3 นาที การวดั อณุ หภมู ทิ างรกั แร (Axillary Temperature) รายงานวจิ ยั เกย่ี วกบั การวัดอณุ หภมู ทิ างรกั แรมีจาํ กัด งานวิจยั หนง่ึ ไดประเมินการวัดทางรักแรในผูสงู อายเุ พศหญงิ และพบวา มคี วามแตกตางกันอยา งมากในแตละคน ขณะทคี่ าเฉลยี่ อณุ หภูมทิ ีว่ ดั ไดท างรักแรประมาณ 37O ซ. แตค วามแตกตางของคา อณุ หภมู ทิ ่ีวัดไดทางรกั แร ทาํ ใหย ากทจ่ี ะระบถุ ึงคา ปกติของอณุ หภมู ทิ างรกั แร งานวจิ ยั อีกรายงานประเมนิ ถึงผลของการใหสารนาํ้ ทางหลอดเลอื ดดาํ ทางแขนของทารกพบวามผี ลตอ ความถูกตอ งของคา อุณหภมู ิทางรกั แรเล็กนอย การวัดทางหู (Tympanic Temperature) รายงานวิจัยท่ีศึกษาถึงการวัดอุณหภูมิทางหูมีทั้งที่ศึกษาถึงอิทธิพลของการติดเช้ือและข้ีหูตอความถกู ตอ งของคาท่วี ดั ได รวมทงั้ เทคนิคการวดั งานวจิ ัยทป่ี ระเมินถงึ ผลกระทบของการติดเชือ้ ของหูชน้ั กลางตอ การวัดอุณหภมู ทิ างหู มีขอเสนอแนะวา มผี ลกระทบบางเล็กนอ ย สว นงานวจิ ัยอื่น รายงานถงึ ความแตกตา งอยา งมีนัยสําคญั ทางสถิตขิ องการวัดอณุ หภมู ิหูของคนท่มี ีการติดเชือ้ ของหูชน้ั กลาง โดยมีความแตกตาง
9ประมาณ 0.1 O ซ. และมคี วามสําคญั ทางคลนิ ิกเลก็ นอ ย การมขี ี้หูมีผลตอ อุณหภูมิท่ีวดั ไดและผลก็แตกตางกนั จงึ เสนอแนะวา คาอณุ หภูมิทีว่ ัดไดจากหูที่มขี ี้หจู ะไดค าที่ตํ่ากวาคา ทไี่ ดจากหทู ไี่ มม ขี ห้ี ู มากกวา 0.3 O ซ. งานวจิ ยั ทป่ี ระเมนิ เทคนิคการวัดเสนอแนะวา ควรดงึ ใบหูขณะวดั ดว ย เพือ่ ใหร ูหสู วนนอกตรง ถาหากไมด งึ ใบหจู ะทาํ ใหอินฟาเรดเทอรโมมเิ ตอรสองไปถึงเพียงบางสว นของเยือ่ แกวหเู ทา นน้ั ในผูใหญใหด ึงใบหขู น้ึ และไปขางหลัง สวนทารกใหดงึ ใบหูไปขางหลัง การประเมนิ ผลกระทบของอุณหภมู ิส่ิงแวดลอ มตอการวัดอุณหภมู หิ ู สรุปไดว า อุณหภมู ทิ ร่ี อนจะมีทาํ ใหค า ที่อานไดเปล่ียนไปอยางมนี ยั สําคญั ทางสถติ ิ สว นอุณหภมู เิ ย็นจะมผี ลเล็กนอ ย การวเิ คราะหความคมุ คา คมุ ทุนของเทคนิคการวัดอุณหภมู ิท่แี ตกตา งกนั น้ัน พบวา การวัดดวยอนิฟาเรดมคี วามคุมคา แมว า จะมรี าคาแพงกวา สงิ่ ที่ประหยดั ไดคือ การทวี่ ัดไดเ รว็ และประหยัดคา แรงงานคน การวัดอุณหภูมิทางทวารหนัก (Rectal Temperature) หลายการศึกษาเปรียบเทียบความแตกตางของวิธีการวัดอุณหภูมิและมักจะใชการวัดทางทวารหนักเปน มาตรฐานในการเปรียบเทียบ อยางไรกต็ ามการวจิ ยั เหลา นีน้ ํามาสรุปแยกกนั ในการทบทวนงานวจิ ยั อยางเปน ระบบ สงิ่ ทีม่ ีการรายงานมากท่สี ุดคอื การวดั ทางทวารหนักทาํ ใหท วารหนักทะลไุ ดซง่ึ เปน ความเส่ียงที่พบไดบ อ ยในทารกแรกเกิดและเด็กเล็ก สง่ิ ที่มีการรายงานถึงภาวะแทรกซอนอีกอยางหนงึ่ คือ ชอ งทองอกั เสบทเี่ ปน ผลมาจากทวารหนักทะลุ และมเี ด็กอายุ 2 ป 1 รายทีเ่ กดิ Intra-spinal migration จากเทอรโ มมเิ ตอรแตกระหวา งการวัดอณุ หภมู ิทางทวารหนกั การทบทวนรายงานของโรงพยาบาล 10 ป พบเดก็ 16 รายทเ่ี ขา รบั การรกั ษาในหอผูปวยศลั ยกรรมมกี ารแตกหรอื การคา งของเทอรโ มมิเตอรท ่ีวัดทางทวารหนกั เพอื่ แกไ ขปญ หาดงั กลา วจึงมีขอ เสนอแนะใหเ ปลี่ยนมาใชการวัดทางรักแรแ ทน และจากการใชเทอรโ มมิเตอรแ บบอนิ ฟาเรด ทาํ ใหภาวะแทรกซอ นดังกลาวลดลง
10 ตารางท่ี 3 การวัดอณุ หภูมิ (Temperature Measurement)บรเิ วณทใี่ ชในการวัดอณุ หภมู ิ อปุ กรณท ีใ่ ชว ัดอณุ หภูมิปาก เทอรโมมเิ ตอรปรอทรกั แร เทอรโ มมเิ ตอรอเี ลค็ โทรนคิ สเยอ่ื แกวหู สายสวนหลอดเลอื แดงเพาโมนารี่ทวารหนัก ทอ หลอดลมคอทม่ี ีตัววดั อุณหภมู ิผิงหนงั สายสวนปสสาวะทม่ี ตี วั วัดอณุ หภมู ิหลอดเลือดแดงเพาโมนาร่ี แผนเทอรโมมิเตอรแ บบลขิ วดิ คิสตัลจมกู เทอรโ มมิเตอรแบบใชคร้ังเดียวทง้ิขาหนบี เทอรโ มมเิ ตอรแ บบอนิ ฟาเรดหลอดอาหาร (เยอื่ แกวหู)หลอดลมกระเพาะปสสาวะปสสาวะ ขอ เสนอแนะในการปฏบิ ัติ (Implications for Practice)รายงานวจิ ยั ท่ีทําการศึกษาในประเด็นเฉพาะของการสงั เกตผูปวยมหี ลายรายงาน เชน ความถูกตองของการวดั แตม รี ายงานท่เี ก่ยี วกับประเด็นของประสิทธภิ าพและประสทิ ธผิ ลของวิธีการวดั การเปลย่ี นแปลงของผูปว ยนอ ย อยา งไรก็ตาม ยังตองการการศกึ ษาในเรอ่ื งบทบาทของการสงั เกตผปู วยโดยใชตัวช้วี ัดสัญญาณชีพทใ่ี ชกันอยู เพ่ือใหเกิดความเช่อื ม่ันในเรือ่ งตอ ไปนี้ 1. การสงั เกตนน้ั เพียงพอท่จี ะบอกไดถ งึ สภาวะของผปู ว ยหรอื ไม 2. เทคโนโลยีท่ีมีอยสู ามารถท่ีจะนาํ มาใชท ดแทนวธิ ีการสังเกตทมี่ ีประสทิ ธิภาพนอ ยไดหรอื ไม 3. การสงั เกตที่ไมเพยี งพอทเ่ี กิดจากนสิ ัยมากกวา ความตองการนีส้ ามารถลดลงไดหรือไมประเดน็ อื่นๆท่ีมผี ลกระทบตอการปฏบิ ัตแิ ละนาํ มาพิจารณาในการทบทวนงานวิจยั อยางเปน ระบบ 1. คาํ วา “การสังเกต” ใชแ ทนคําวา “สญั ญาณชีพ” ซ่งึ ใหค วามหมายท่สี ะทอนถึงสง่ิ ทใี่ ชป ระเมนิ ผูปว ยไดก วา งกวา 2. ไมค วรทางทวารหนกั เปนวิธแี รกในการวัดอุณหภมู ิ 3. ตวั ชว้ี ดั สัญญาณชีพไมไดรบั รองถึงสภาวะทางสรรี วิทยาปกติ
11 4. โปรแกรมการใหค วามรูม ีประสทิ ธิภาพในการเพิม่ ประสิทธิภาพการวดั ความดนั โลหติ ของบคุ ลากรสุขภาพ 5. ปจ จยั หลายอยา งมผี ลตอ ความถกู ตอ งในการวดั สัญญาณชีพนอย แตอ าจมผี ลรวมกนั ไดแ ละองคกรควรสงเสริมใหม ีวธิ กี ารมาตรฐานในการวัดทกุ เรอ่ื ง ขอเสนอแนะ (Recommendations)เนอ่ื งจากขาดหลักฐานขอ มูลที่เกี่ยวกับการสงั เกตผปู ว ยขอ เสนอแนะนี้จึงไดจากกลุม ผูเ ชี่ยวชาญ จึงจัดอยใู นความนา เช่ือถอื ระดับ 4 - การสงั เกตทเี่ ฉพาะเจาะจงในผปู ว ย ทงั้ ความถ่ีและระยะเวลาควรข้ึนกบั การประเมนิ ทางคลนิ ิกมากกวาทําตามสง่ิ ทก่ี าํ หนดไว - การสงั เกตผูปวยควรทําบอยเทา ทจ่ี ะสามารถบงบอกสภาวะทางคลินกิ ของผปู ว ยได - นกั เวชปฏบิ ตั ใิ หมค วามทดสอบความเที่ยงตรงของตัวเองกับผทู ี่เช่ยี วชาญมากกวา - สญั ญาณชพี จรไมค วรใชในลกั ษณะของการบง ชถี้ งึ ความบอ ยในการตรวจเยย่ี มผูปวยของพยาบาล - เมอ่ื วดั สญั ญาณชพี จรหรอื ตรวจผปู วยควรทําตามสภาวะของผูปวย ซง่ึ เปน รูปแบบของการสงั เกตผูป วย - บคุ ลากรสุขภาพควรไดร บั การอบรมเกยี่ วกบั มาตรฐานการสงั เกตผูป วยท่ใี ชใ นสถาบนั และควรตระหนกั ถึงความเส่ียงและขอ จํากัดของการปฏิบัติน้ี - เพาส ออกซมิ ิต้ี (Pulse oximetry)ควรพจิ ารณาคา ของสญั ญาณชพี ดวยเม่ือการประเมินและการวัดน้เี ปนเรอ่ื งที่สาํ คญัประเด็นอนื่ ทส่ี ําคัญทีเ่ สนอโดยกลุมผูเชยี่ วชาญ - ในทางคลนิ ิกควรพจิ ารณาถึงบคุ คลทรี่ ับผิดชอบในการพจิ ารณาเรอ่ื งความถี่และธรรมชาติของการสงั เกตผูปวย - แนวโนม ของการสงั เกตจะมีความสาํ คญั มากกวาการวัดเพียงอยา งเดยี ว - สงิ่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการไดขอมลู ทไี่ ดจ ากการวัดมีความสาํ คญั เชนเดียวกับความถูกตองของการวดั
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: