Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 Journal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) 1 คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ ปีท่ี 18 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – เมษายน) 2563
2 มนุษยสงั คมสาร (มสส.) ปที ี่ 18 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 มนษุ ยสงั คมสาร (มสส.) ปที ่ี 18 ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 IคSณSNะ2ม67น3ษุ-02ย4ศ3าสตร์และสงั คมศาสตร์ ช่ือเดิม วารสารวิชาการ รมยสาร / ISSN 1686-0101 เจา้ ของ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บรุ ีรัมย์ ทป่ี รึกษากองบรรณาธิการ อธิการบดีมหาวทิ ยาลัยราชภัฏบุรีรมั ย์ รศ.มาลิณี จุโฑปะมา กองบรรณาธกิ าร ศ.ดร.ประยงค์ แสนบรุ าณ มหาวิทยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขตอีสาน ศ.ดร.บญุ ทัน ดอกไธสง มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ศ.ดร.วชั ระ งามจติ รเจริญ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รศ.ดร.ประสาท เนืองเฉลมิ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม รศ.ดร.ชลวทิ ย์ เจยี รจิตต์ มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ รศ.ดร.อญั ชลี วรรณรักษ์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยสี รุ นารี รศ.ดร.สงิ หนาท น้อมเนียน มหาวิทยาลยั มหดิ ล รศ.ดร.สารภี วรรณตรง มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สุรนิ ทร์ รศ.ดร.ศภุ กรณ์ ภ่เู จรญิ ศลิ ป์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ รศ.ดร.โกวทิ ย์ พิมพวง มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ ผศ.ดร.นวมินทร์ ประชานนั ท ์ มหาวิทยาลัยราชภฏั บุรีรัมย์ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.หล่ี เหรินเหลยี ง สถาบันบณั ฑติ พฒั นบรหิ ารศาสตร์ Prof. Dr. R. Michael Smith Niagara University, U.S.A.
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 Journal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) 3 มนษุ ยสงั คมสาร (มสส.) ปที ่ี 18 ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสISังSคNม26ศ7า3ส-02ต4ร3์ Prof. Ni Ni Hlaing Mandalay University of Distance Education, Myanmar Prof. Dr. Ted Yu-Chung Liu National Pingtung University, Republic of China (Taiwan) Assoc. Prof. Dr.Irom Gambhir Singh Manipur University, India ผทู้ รงคุณวุฒิพจิ ารณากล่นั กรองบทความประจำ� ฉบับ รศ.ดร.กตัญญู แกว้ หานาม มหาวทิ ยาลัยกาฬสนิ ธ์ุ รศ.ดร.สัญญา เคณาภมู ิ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั มหาสารคาม รศ.ดร.เอกฉทั จารเุ มธชี น วิทยาลยั สงฆ์บรุ ีรัมย์ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย รศ.ดร.ประสาท เนืองเฉลมิ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม รศ.ดร.ทวิ ตั ถ์ มณโี ชติ มหาวิทยาลัยราชภฏั พระนคร รศ.ดร.สมมาตร์ ผลเกดิ ผ้เู ชย่ี วชาญด้านประวัติศาสตร์ รศ.ดร.ประกาศติ สิทธ์ธิ ติ ิกลุ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผศ.ดร.กานดาภร เจรญิ กิตบวร จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั ผศ.ดร.นษิ ฐา หร่นุ เกษม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั พระนคร ผศ.ดร.มณฑล จันทรแ์ จ่มใส มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั พระนคร ผศ.ดร.สุทศั น์ วศก์ ระบาก มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั มหาสารคาม ผศ.ดร.ปฏพิ ันธ์ อุทยานกุ ูล มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเชยี งราย ผศ.ดร.ภศิ ักด์ิ กัลยาณมิตร มหาวทิ ยาลัยราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์
4 มนษุ ยสงั คมสาร (มสส.) ปีท่ี 18 ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 มนษุ ยสงั คมสาร (มสส.) ปที ่ี 18 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 IคSณSNะ2ม67น3ุษ-02ย4ศ3าสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ ผศ.ดร.เอมอร แสนภวู า มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ศรีสะเกษ ผศ.ดร.ชลดา พงศ์พัฒนโยธนิ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏบ้านสมเดจ็ เจา้ พระยา ผศ.ดร.ชนิ วตั ร ประยูรรัตน ์ มหาวิทยาลยั ศรีปทมุ วทิ ยาเขตชลบุรี รศ.มาลิณี จโุ ฑปะมา มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏบุรีรมั ย์ รศ.ดร.ศริ าณี จุโฑปะมา มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บรุ รี ัมย์ รศ.ดร.ปรีชา ปาโนรมั ย ์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั บรุ รี มั ย์ รศ.สมบัติ ประจญศานต ์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั บุรรี มั ย์ ผศ.ดร.สุรยิ า รักการศลิ ป ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรรี ัมย์ ผศ.ดร.กิง่ แก้ว ปะติตังโข มหาวทิ ยาลัยราชภัฏบุรีรมั ย์ ผศ.ดร.นริ ันดร์ กุลฑานันฑ์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏบุรีรัมย์ ดร.สุธกี ติ ิ์ ฝอดสูงเนนิ มหาวิทยาลัยราชภัฏบรุ ีรัมย์ ดร.สมศักด์ิ พนั ธ์ศิริ มหาวิทยาลยั ราชภฏั บุรีรัมย์ บรรณาธกิ าร คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ผศ.ดร.อคั รพนท์ เน้ือไมห้ อม มหาวทิ ยาลัยราชภัฏบรุ รี มั ย์ คณะมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ รองบรรณาธกิ าร มหาวทิ ยาลัยราชภัฏบรุ รี มั ย์ ผศ.ดร.คัมภรี ภาพ อินทะนู คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั บรุ ีรมั ย์ ดร.สุธกี ติ ์ิ ฝอดสงู เนนิ
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 Journal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) 5 มนุษยสงั คมสาร (มสส.) ปที ่ี 18 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสISังSคNม26ศ7า3ส-02ต4ร3์ อาจารย์ภรู ิสา วัชเรนทร์วงศ์ คณะมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏบุรีรมั ย ์ ตรวจสอบภาษาองั กฤษ Mr. David Frank Dittmar เตรียมต้นฉบับและจัดทำ� รปู เล่ม นางสาวจรลั รัตน์ อุ่นรมั ย์ ประชาสมั พนั ธ์ นายสุรพงค์ กันถดั กำ� หนดการพมิ พ์เผยแพร่ ปลี ะ 3 ฉบับ (ม.ค.-เม.ย. / พ.ค.-ส.ค. / ก.ย.-ธ.ค.)
&Jou6SronมcaนilุษaยolสงัfSคมHcสiาueร nm(มcสaสen.)sit(iJeHs USOC) ปที ี่ 18 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 Vol. 18 No. 2 (January-April) 2020 IFSaScNu2l6ty73o-0f24H3umanities and Social Sciences Former Name: Rommayasan/ISSN 1686-0101 Publisher Faculty of Humanities and Social Sciences Buriram Rajabhat University Editorial Advisor President of Buriram Rajabhat Assoc. Prof. Malinee Chutopama University Editorial Board Prof. Dr. Prayong Saenburan Mahamakut Buddhist University Isan Campus Prof. Dr. Bunthan Dokthaisong Mahachulalongkornrajavidyalaya University Prof. Dr. Watchara Ngamjitcharoen Thammasat University Assoc. Prof. Dr. Prasart Nuangchalerm Mahasarakham University Assoc. Prof. Dr. Cholvit Jeanrajit Srinakharinwirot University Assoc. Prof. Dr. Anchalee Wannaruk Suranaree University of Technology Assoc. Prof. Dr. Singhanat Nomniam Mahidol University Assoc. Prof. Dr. Saraphi Wantrong Surindra Rajabhat University Assoc. Prof. Dr. Supakorn Phoocharoensil Thammasat University Assoc. Prof. Dr. Kowit Pimpuang Kasetsart University Asst. Prof. Dr. Nawamin Prachanant Buriram Rajabhat University
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 Journal of&HumSanoitcieisa&JloSSouccirainleSacnilecnoceefss H((JJHuHUmSOUCa)SnOi7tiCes) Vol. 18 No. 2 (January-April) 2020 Faculty of Humanities and SocISiaSlNS2c6i7e3n-0c2e4s3 Asst. Prof. Dr. Li Renliang National Institute of Development Administration Prof. Dr. R. Michael Smith Niagara University, U.S.A. Prof. Ni Ni Hlaing Mandalay University of Distance Education, Myanmar Prof. Dr. Ted Yu-Chung Liu National Pingtung University, Republic of China (Taiwan) Assoc. Prof. Dr. Irom Gambhir Singh Manipur University, India Peer Reviewers of the Issue Assoc. Prof. Dr. Kathanyoo Kaewhanam Kalasin University Assoc. Prof. Dr. Sanya Kenaphoom Rajabhat Mahasarakham University Assoc. Prof. Dr. Ekkachat Jarumetheechon Buriram Buddhist College Mahachulalongkornrajvidyalaya University Assoc. Prof. Dr. Prasart Nuangchalerm Mahasarakham University Assoc. Prof. Dr. Thiwat Manichot Phranakhon Rajabhat University Assoc. Prof. Dr. Sommat Phonkoet Specialist in History Assoc. Prof. Dr. Pragasit Sitthitikul Thammasat University Asst. Prof. Dr. Kandaporn Jaroenkitboworn Chulalongkorn University Asst. Prof. Dr. Nitta Roonkaseam Phranakhon Rajabhat University Asst. Prof. Dr. Monton Janjamsai Phranakhon Rajabhat University Asst. Prof. Dr. Suthat Wongkrabakthawon Rajabhat Maha sarakham University
&Jou8SronมcaนilุษaยolสงัfSคมHcสiาueร nm(มcสaสen.)sit(iJeHs USOC) ปีที่ 18 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 Vol. 18 No. 2 (January-April) 2020 FISaScNu2l6ty73o-0f24H3umanities and Social Sciences Asst. Prof. Dr. Patipan Utayanugol Chiang Rai Rajabhat University Asst. Prof. Dr. Pisak Kalyanamithra Valaya Alongkorn Rajabhat University under the Royal Patronage Asst. Prof. Dr. Emon Saenphuwa Sisaket Rajabhat University Asst. Prof. Dr. Chollada Pongpattanayothin Bansomdejchaopraya Rajabhat University Asst. Prof. Dr. Chinnawat Prayoonrat Sripatum University Choburi Campus Assoc. Prof. Malinee Chutopama Buriram Rajabhat University Assoc. Prof. Dr. Siranee Chutopama Buriram Rajabhat University Assoc. Prof. Dr. Preecha Panoram Buriram Rajabhat University Assoc. Prof. Sombat Prajonsant Buriram Rajabhat University Asst. Prof. Dr. Suriya Rakarnsin Buriram Rajabhat University Asst. Prof. Dr. Kingkaew Patitungkho Buriram Rajabhat University Asst. Prof. Dr. Niran Kulthanan Buriram Rajabhat University Dr. Sutheekit Fordsungnern Buriram Rajabhat University Dr. Somsak Pansiri Buriram Rajabhat University Editor in Chief Asst. Prof. Dr. Akkarapon Nuemaihom Faculty of Humanities and Social Sciences, Buriram Rajabhat University Deputy Editors Asst. Prof. Dr. Khampheeraphab Intanoo Faculty of Humanities and Social Sciences, Buriram Rajabhat University
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 Journal of&HumSanoitcieisa&JloSSouccirainleSacnilecnoceefss H((JJHuHUmSOUCa)SnOi9tiCes) Vol. 18 No. 2 (January-April) 2020 Faculty of Humanities and SocISiaSlNS2c6i7e3n-0c2e4s3 Dr. Sutheekit Fodsungnern Faculty of Humanities and Social Sciences, Buriram Rajabhat University Ms. Purisa Watcharenwong Faculty of Humanities and Social Sciences, Buriram Rajabhat University English Editor Mr. David Frank Dittmar Manuscript Preparation and Journal Design Miss Jaralrat Oonram Public Relations Mr. Surapong Kuntud Periodicity Three issues per year (January-April, May-October, September-December)
10 มนุษยสังคมสาร (มสส.) ปีท่ี 18 ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 มนษุ ยสังคมสาร (มสส.) ปคISทีณSี่N1มปะ8ี2นทมฉ6ุี่ษ7นบ13ับย8ุษ-0ทส2ยฉ่ีัง41ศบ3ค(ามบัมสกทสรตาี่าร1ครม์แ((มล–มกะเมสสรษสาางั ค.ยค)นมม)–2ศเ5มา6สษ3 ตายรน์ ) 2563 ISSN 2673-0243 มนุษยสงั คมสารเป็ นวารสารวชิ าการของคณะมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บุรีรัมย์ มีกาหนดการพมิ พเ์ ผยแพร่ปี ละ 3 ฉบบั คือ เดือนมกราคม– เมษายน เดือนพฤษภาคม–สิงหาคม และเดือนกนั ยายน–ธนั วาคม มีวตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื เผยแพร่นวตั กรรมและองคค์ วามรู้ใหมๆ่ ที่ไดจ้ ากงานวจิ ยั และงานวชิ าการเก่ียวกบั ภาษา ภาษาศาสตร์ วรรณคดี ปรัชญาและศาสนา ชาติพนั ธุ์ บรรณารักษแ์ ละ สารสนเทศศาสตร์ ดนตรีและนาฏศิลป์ ศิลปกรรม ประเพณีและวฒั นธรรม การท่องเที่ยว ประวตั ิศาสตร์ โบราณคดี มานุษยวทิ ยา นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สงั คมวทิ ยา จิตวทิ ยา การศึกษา และ เทคโนโลยี และนวตั กรรมการเรียนรู้ บทความทุกเร่ืองในวารสารเลม่ น้ีไดผ้ า่ นการพจิ ารณาจากผทู้ รงคุณวฒุ ิใน สาขาท่ีเกี่ยวขอ้ งอยา่ งนอ้ ยสองท่าน โดยผทู้ รงคุณวฒุ ิท่ีพชิ ญพจิ ารณ์บทความไม่ทราบ ชื่อผนู้ ิพนธบ์ ทความน้นั (Double-blind peer review) ท้งั น้ี เพื่อใหบ้ ทความมีคุณภาพ และไดม้ าตรฐานทางวชิ าการ บทความที่ส่งมาเพือ่ ขอรับการตีพมิ พใ์ นมนุษยสงั คมสาร จะตอ้ งไมเ่ คยตีพมิ พห์ รืออยรู่ ะหวา่ งการพจิ ารณาจากผทู้ รงคุณวฒุ ิเพ่ือตีพิมพใ์ นวารสาร อื่น ผนู้ ิพนธบ์ ทความจะตอ้ งปฏิบตั ิตามระบบการอา้ งอิงเอกสารและหลกั เกณฑ์ การเขียนบทความวชิ าการและบทความวจิ ยั เพือ่ ตีพมิ พใ์ นมนุษยสงั คมสารอยา่ ง เคร่งครัด ทศั นะและความคิดเห็นท่ีปรากฏในบทความในมนุษยสงั คมสารถือเป็นความรับผดิ ชอบ ของผนู้ ิพนธ์บทความน้นั และกองบรรณาธิการจะไม่รับผิดชอบในเน้ือหาหรือความถูกตอ้ ง ของบทความท่ีส่งมาเผยแพร่ทุกเร่ือง
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 Journal of Humanities & Social Sciences H((JJHuHUmSOUCa)SnO1it1iCes) & SociaJloSucrineanlcoefsJournal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) JoVuronl.a1l 8ofNHou.m1a(Jnaintiueasr&y-ASporciila)l2S0c2i0ences (JHUSVOolC. 1)8 No. 2 VoIlS.S1N8 2N6o7.31-0(2Ja4n3uary-April) 20F20aculty of Humanities and (January-April) 2020 SocISiaSlNS2c6i7e3n-0c2e4s3 ISSN 2673J-0ou2r4n3al of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) is the academic hjejiocUFaAaLakoonolrnnifnoasnpguuenddowlejhejaAaUokafciFLtaiphrrkHnoocohwvwnnolrnnnfisoTSla,lspneuugereeiq:dnduoaaowlleePheetaaiphrrrkHeutllLcmhrwvwpdnncelsshToSrsl,delaeeoeieqei:ahtur.oaaellae,PheegtaleAderfilneullLnymirnpdtceLJAelsmeorsTtpdegiateorfo.yoeiaihvtor.chlai,utrgthtleAlduoelbfilnbusnayrisiolneToteLAbameeTabete,g,nrirtorf.myaivgnolachgshanitFrtrThtluPotialbrbasay-drrisolrceeeoTaataeubaerDeue,eiy,nrif&ma,algnnacagshacaattFrjaiTbPtatrLehaoudoey-ndreanlrceecitalurDueeecioyloudnlifiif&oia,dhnacSdattccatnsjaeibnrrddtyiLehHoudeneanslcfocmsnogoLliAeecrloudn.liiuoiaodhnIcoatuunSdottcmesnembnhrrddntyifdilfmisfaommsonogLtMaefaeisAedrmihu.iaurnHIocoltanuctrnrosmeamnebnhcisind.iolrfriiasdcnm(utMrataipsefaesSmnedImihruiDnrsHoiltdmctrnrjstusesicCcnetaisiogs.oarsriteaeiosdcb(ouirtnipseSmraneututIreDmnnaiasulIritnimjdstunsemsicCcrnilacroniaodgsbasststaeonmabicioitn&ctunnratuucttiphelnailariuhaLIlriniideednmyroorndliceorenoiadlSbaeissts-enimacSivantdcsssturnntbtnhiphc,lclrrihaLtec.iadoe,eyrooaoladdataoei(TetlSareitsi-ToceeEihtvannvndmsssianrtbdhJoic,cirnrotcerh.caod,ettadHdaeloaeataui(TeltucpnarotieToeEnlhytisnmvnmbiaenreSprdUlJoi.snnoeiSr,hycodeetat,edHdseoesubetiluocapnoS,ercneeicyMemitmcberySewrptrmmUl.shniPnmOri,icyiea,eeaseoscb,eatiouihhSrp,ireeneicnrCMemtitlclcyHewtmmsihnehseePnmOcrdiialasvSia)vcs,eeaaoeiuihcar,puiernrtCisitlcwrtilcHessthesisnehsSeeteetdaiyialsovhSih)ouwvecsreeaoo(wiocna,ueiptieosaJrbclwrntirsnhecsd)SaretyeetHevvharyikmochheouwinerresowisd,onieoyesPeipnfe:oUarbe'onrincA,ds)earlsyevvhebtrJkwmacvoeoeainS,trrinisd,arieoyyresnPenenafg:tnre'oBfeoOcinA,edlsddntcoebtydJbwraavohtoaiu,truinlCsearcroyr,teynnfeagnauRraBfemrocrneroadnPddnltc)eoyfiddrraehtteeiutlrurolyosescharso,otiirvfaaaaluRamsnryrryeepn-lireoanPnlmsiefidorgAhegcaeesetculrtrotyopsdasjoigrihvaahatdalwebonyporytepn-elutiRvynmseiowyoahgAhlugcramnescAuebtpie,dlaigeiahtdarwcer,onbollpoteuAtjRrnbyvsti,coawyahEaeflagthrcmnAeb'paaeie,tMoslanibwenyacteir,onolllde,eiAjhlorthbsti,td.a,dEaelfgahenthaceaFi'npnobaetMosonEbwenryyarmrteitiie,teowihlootnnthhntdicd,-drplihenaFaindinAnptoeebcaesiuoEeucriyrrityni,violtowtonnctnhJnbuaidcce-rpigiilndoaeAptoeecensrslgieuouiiiotynisu,volftdwusncgiJtwbuaceitgoreilhoaseyhonrlsgaeonerinitoetisu,efrtdwurisgaitw,dhtaesorrehlsyhanerinte,ertria,dhaesrl for the publication of academic and research articles set by the journal. The views and opinions expressed in the articles are the responsibility of the authors, and the Theedviiteowrisalanbdoaorpdinisionnost erexspproesnsseibdlienftohrethaerticcolensteanrtes tohrearcecsuproancsyiboifliatynyofarthtieclaeust.hors, and the editorial board is not responsible for the contents or accuracy of any articles.
12 มนุษยสังคมสาร (มสส.) ปีท่ี 18 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม – เมษายน) 2563
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 บทบรรณาธิการJournal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) 13 ปที ่ี 18 ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 บทบรรณาธิกคาณระมนุษยศาสตรแ์ ละสISงัSคNม26ศ7า3ส-02ต4ร3์ “มนุษยสงั คมสาร” ฉบบั น้ีเป็นปี ท่ี 18 ฉบบั ที่ 1 ประจาปี พ.ศ. 2563 ซ่ึงยงั คงยดึ มน่ั ในหลกั การเผยแพร่ผลงานวชิ าการที่มีคุณภาพและเป็ นไปตาม มาตรฐานสากลเหมือนเดิม ถึงแมว้ า่ ผลการประเมินคุณภาพวารสารวชิ าการรอบท่ี 4 (พ.ศ. 2563-2567) โดยศูนยด์ ชั นีการอา้ งอิงวารสารไทย (ศูนย์ TCI) จะปรับ “มนุษยสงั คมสาร” และวารสารอ่ืนๆ อีกราว 200 กวา่ ปก ใหอ้ ยใู่ นวารสารกลุ่มท่ี 2 กต็ าม แตท่ างกองบรรณาธิการกจ็ ะยงั คงเดินหนา้ เผยแพร่ผลงานวจิ ยั ใหไ้ ดค้ ุณภาพ ตามเกณฑ์ พร้อมปฏิบตั ิตามคาแนะนาและขอ้ เสนอแนะของศูนย์ TCI เพือ่ ให้ “มนุษยสงั คมสาร” มีความพร้อมในการเขา้ รบั การประเมินคุณภาพวารสารวชิ าการใน รอบตอ่ ไป “มนุษยสงั คมสาร” ฉบบั น้ีไดต้ ีพมิ พเ์ ผยแพร่ผลงานวจิ ยั จานวน 13 บทความ ท่ีอยกู่ รอบเน้ือหาดา้ นมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์คือเป็ นบทความดา้ นศิลปกรรม จานวน 2 บทความ ดา้ นรัฐประศาสนศาสตร์ จานวน 4 บทความ ดา้ นเศรษฐศาสตร์ จานวน 2 บทความ ดา้ นวรรณคดี จานวน 1 บทความ ดา้ นภาษา จานวน 1 บทความ และดา้ นเทคโนโลยแี ละนวตั กรรมการเรียนรู้ จานวน 3 บทความ และบทความท้งั หมด กไ็ ดเ้ ขา้ สู่กระบวนการพิชญพจิ ารณ์โดยผทู้ รงคุณวฒุ ิซ่ึงมีองคค์ วามรู้และเช่ียวชาญ เกี่ยวกบั เน้ือหาของบทความ จานวน 2 ท่าน ดงั น้นั จึงทาใหท้ ามน่ั ใจไดว้ า่ ทุกบทความ มีคุณภาพและสามารถนาไปอา้ งอิงทางวชิ าการได้ ในส่วนภาพปกของวารสารฉบบั น้ี ไดน้ ามาจากบทความชื่อ “ฐานขอ้ มลู สถาปัตยกรรมพ้นื ถ่ินจงั หวดั บุรีรัมย”์ ท่ีสะทอ้ นถึง สถาปัตยกรรมอนั เป็นเอกลกั ษณแ์ ละโดดเด่นของจงั หวดั บุรีรัมย์
14 มนุษยสงั คมสาร (มสส.) ปที ี่ 18 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 กองบรรณาธิการ ขอขอบพระคุณผทู้ รงคุณวฒุ ิและผเู้ ชี่ยวชาญทุกทา่ นท่ีได้ กรุณาพิชญพจิ ารณ์บทความใหม้ ีคุณภาพตามมาตรฐานวชิ าการ และขอเรียนเชิญชวน นกั วจิ ยั นกั วชิ าการ และนกั ศึกษาระดบั บณั ฑิตศึกษาไดร้ ่วมส่งผลงานวจิ ยั หรือผลงาน วชิ าการเพือ่ ไปตีพิมพเ์ ผยแพร่ใน “มนุษยสงั คมสาร” ซ่ึงทางกองบรรณาธิการวารสารมี ความยนิ ดียง่ิ ที่จะส่งต่อองคค์ วามรู้ที่คน้ พบจากทุกบทความไปสู่สงั คมในวงกวา้ งต่อไป ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.อคั รพนท์ เน้ือไมห้ อม บรรณาธิการ
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 สารบัญJournal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) 15 ปที ี่ 18 ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 คณะมนุษยศาสตร์และสISังSคNม26ศ7า3ส-02ต4ร3์ หนา้ ฐานขอ้ มลู สถาปัตยกรรมพื้นถิน่ จังหวัดบรุ รี มั ย์ 1 The Vernacular Architecture Database in Buriram Province 25 สมบัติ ประจญศานต์ / วสิ าข์ แฝงเวียง / ปยิ ชนม์ สงั ขศ์ กั ดา Sombat Prajonsant / Visar Fengveang / Piyachon Sangsakda 51 การออกแบบภาพส่ือทางทศั น์ในพ้ืนที่จีโอพาร์คโคราช สะท้อนพลวัตภูมิศาสตร์บรรพกาล Information Graphic Design of Khorat Geopark as the Reflection of Paleogeography Demonstration จริ ายุฑ ประเสริฐศรี / สชุ าติ เถาทอง / อติเทพ แจด้ นาลาว Jirayut Prasertsri / Suchart Taothong / Atithep Chaetnalao การศึกษาความตอ้ งการจำ� เป็นในการเสริมสร้างภาวะผนู้ �ำการเปลยี่ นแปลง ของผบู้ รหิ ารระดบั ตน้ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั A Needs Assessment Study for Transformational Leadership Enhancement of the First-Line Administrators in Rajabhat University ภวัต มสิ ดีย์ / พชรวิทย์ จันทรศ์ ริ สิ ิร / โกวัฒน์ เทศบุตร Pawat Misdee / Pacharawit Chansirisira / Kowat Tesaputa The Strengthening Guideline of the Youth’s Democratic Citizenship 69 of the Youth in Surin Province Poorit Poomipratate / Trichada Sukkasem / Sarapee Wantrong
สารบญั16 มนุษยสงั คมสาร (มสส.) ปที ่ี 18 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 ปีท่ี 18 ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 หนา้ IคSณSNะ2ม67น3ษุ-02ย4ศ3าสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ แนวทางการบรหิ ารจดั การแบบมีส่วนร่วมเพ่อื การพฒั นาศรษฐกจิ ชมุ ชนอย่าง 91 ยั่งยืนของกลมุ่ เพาะเหด็ บา้ นโพธ์ิชัย ต�ำบลโพธ์ิชัย อ�ำเภอวาปีปทุม จังหวดั มหาสารคาม Participatory Management Approaches for Sustainable Community Economy Development of Baan Pho Chai Mushroom Growing Group, Pho Chai Sub-district, Wapi Pathum District, Maha Sarakham Province สพุ ตั รา รักการศิลป์ / ผกามาศ บุตรสาลี / เอมอร แสวงวโรตม์ / แก้วมณี อุทริ ัมย์ /อดุ มพงษ์ เกศศรพี งษ์ศา / อัญญา มธรุ เมธา Supatra Rakarnsin / Pakamat Butsalee / Em-on Sawaengwarot / Kaewmanee Utiram / Udompong Ketsripongsa / Anya Mathuramaytha การบรหิ ารกิจการบ้านเมืองทด่ี ีและผลสมั ฤทธ์ติ ามหน้าที่ 111 ของกำ� นันผใู้ หญบ่ ้านในจังหวดั สกลนคร 127 Good Governance and Functional Achievement of Village and Sub-district Headmen in Sakon Nakhon Province ชาติชยั อุดมกจิ มงคล Chardchai Udomkijmongkol นโยบายการจดั การห่วงโซอ่ ปุ ทานข้าวหอมมะลิ ทงุ่ กลุ ารอ้ งไห้ Policy on Supply Chain Management of ThungkularonghaiJasmine Rice ธนพฒั น์ จงมีสุข / สัญญา เคณาภูมิ / เสาวลักษณ์ โกศลกติ ตอิ ัมพร Thanapat Jongmeesuk / Sanya Kenaphoom / Saovalak Kosonkittiamporn
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 สารบญัJournal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) 17 ปที ี่ 18 ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสISังSคNม26ศ7า3ส-02ต4ร3์ หน้า อนาคตภาพการบริหารองคก์ ารธรุ กจิ สนิ เช่ือเชา่ ซอ้ื รถยนต์ 147 พ.ศ. 2562 - 2572 ในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ Scenario of Auto Leasing Business Management in Northeastern Thailand from 2019 to 2029 ปรญิ พมิ พก์ ลดั / ประภาพร บุญปลอด / วสันต์ กากแก้ว Prin Pimklad / Prapaporn Boonplord / Vasanchai Kakkeaw โครงสรา้ งของชื่อละครโทรทศั นไ์ ทย 165 The Syntactic Structure of Thai TV Drama Titles กิตมิ า อนิ ทรมั พรรย์ Kitima Indrambarya Semantic Change of the Word /khraj2/ ‘to love, to like’ in Thai 191 Arpond Iamsa-ard / Methawee Yuttapongtada / Kowit Pimpuang 215 การเผยแพร่ความรู้ดา้ นการพฒั นาคุณภาพชีวติ แก่ผ้สู งู อายุ โดยใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ Knowledge Dissemination to Improve the Quality of Life for the Elderly by Using Information Technology ทพิ วลั ย์ แสนคำ� / สกรณ์ บษุ บง / ณัฐพล แสนค�ำ Thippawan Saenkham / Zagon Bussabong / Nuttapol Saenkham
สารบญั18 มนุษยสงั คมสาร (มสส.) ปีท่ี 18 ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 ปที ่ี 18 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 หนา้ คISณSNะ2ม67น3ุษ-02ย4ศ3าสตร์และสงั คมศาสตร์ An Investigation of EFL Students’ Perspectives on Using Digital Storytelling 231 to Enhance Self-Directed Learning: A Case Study of EFL Thai Learners Sutthinee Ponhan / Darinthorn Inthapthim/ Phanintra Teeranon The Study of Self-Directed Learning among Generation Z: 247 A Case Study at Naresuan University International College จตุรพร จนั ทรางศุ Jaturaporn Juntarangsu
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 Journal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) 1 ฐานข้อมูลสถาปัตยกรรมพืน้ ถ่นิ จังหวดั บุรีรัมย์ The Vernacular Architecture Database in Buriram Province สมบัติ ประจญศานต์1 / วสิ าข์ แฝงเวยี ง2 / ปิ ยชนม์ สังข์ศักดา3 Sombat Prajonsant / Visar Fengveang / Piyachon Sangsakda 1,2,3 อาจารยป์ ระจาสาขาวิชาเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม คณะเทคโนโลยอี ุตสาหกรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บุรีรัมย์ บทคดั ย่อ Received: October 25, 2019 Revised: April 21, 2020 Accepted: April 25, 2020 การวจิ ยั คร้ังน้ีมีวตั ถุประสงคเ์ พอ่ื สารวจสถาปัตยกรรมพ้ืนถิ่นที่มีคุณคา่ ใน ชุมชนทอ้ งถ่ิน จานวน 169 ชุมชน ในจงั หวดั บุรีรัมย์ และจดั ทาฐานขอ้ มลู สถาปัตยกรรมพ้ืนถ่ิน วธิ ีการดาเนินการวจิ ยั ไดท้ าการสารวจภาคสนามประกอบ การสมั ภาษณ์เจา้ ของอาคารหรือผดู้ ูแลอาคารแลว้ นามาจดั ทาฐานขอ้ มูลและ ประมวลผล ผลการสารวจไดข้ อ้ มูลสถาปัตยกรรมพ้ืนถ่ิน และภาพถ่ายจานวน 532 หลงั ท่ีต้งั อยใู่ น 21 อาเภอ นามาจดั ทาเป็ นฐานขอ้ มูลชื่อ Buriram Vernacular Architecture Database: Buriram VAD โดยเขา้ ถึงออนไลนท์ ่ี http://cul.bru.ac.th/vad/ ขอ้ เสนอแนะสาหรับการวจิ ยั คือ ควรมีการดาเนินการวจิ ยั อยา่ งต่อเนื่องเพอื่ เพม่ิ จานวน ขอ้ มูล ติดตามสภาพของอาคารในฐานขอ้ มูลใหเ้ ป็ นปัจจุบนั และสานกั ศิลปะและ วฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บุรีรัมย์ ควรสนบั สนนั ผใู้ ชป้ ระโยชนจ์ ากงานวจิ ยั ให้ พฒั นาฐานขอ้ มูลใหเ้ ป็นรูปธรรม และควรประชาสมั พนั ธฐ์ านขอ้ มลู น้ีสู่กลมุ่ นกั วชิ าการและนกั ท่องเท่ียวตลอดถึงผสู้ นใจทวั่ ไป คาสาคญั : ฐานขอ้ มูล, สถาปัตยกรรม, พ้นื ถิ่น, บุรีรัมย์
2 มนษุ ยสงั คมสาร (มสส.) ปีที่ 18 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 Abstract The research objectives were to survey the Vernacular architectures in 169 communities in Buriram province and to develop the vernacular architectural database. The research methodology has conducted by field survey and interview with the building owner or the building administrator. These were used to bring to create database and processing. The results from the survey showed data of 532 buildings in 21 sub-districts and photos, then the Buriram Vernacular Architecture Database: Buriram VAD was developed and can be accessed online at http://cul.bru. ac.th/vad/. The suggestions for further research is that the research must be conducted continuously for increasing data and following up on the update database of the buildings. The Arts and Cultural Center of Buriram Rajabhat University should support research users in developing the concrete database. Moreover, the obtained database should publicized to academics, tourists, and general interested people. Keywords: database, architecture, vernacular, Buriram บทนา จงั หวดั บุรีรัมยเ์ ป็ นจงั หวดั ในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือตอนลา่ ง หรือเขตอีสาน ใต้ ในอดีตจากหลกั ฐานทางโบราณคดี และภาพถา่ ยทางอากาศชุมชนโบราณท่ีมี ลกั ษณะคูน้าคนั ดินรูปวงกลม หรือวงรีลอ้ มรอบ จานวน 143 แห่ง จากท่ีพบในภาค อีสานจานวนท้งั สิ้น 715 แห่ง (The Conservation of Local Environment and Arts in Buriram Province, 1990: 57) รวมถึงสถาปัตยกรรมปราสาทขอมที่พบในขณะน้ีมี จานวน 69 แห่ง (Pholkerd, 2008: 68) ที่ต้งั กระจายตวั ในพ้นื ที่ รวมถึงการพบเตาเผา เคร่ืองเคลือบท่ีบา้ นกรวดท่ีส่งไปจาหน่ายยงั แหลง่ โบราณคดีท่ีร่วมสมยั กนั เช่น เมือง
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 Journal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) 3 สุโขทยั เมืองลพบุรี เมืองสิงห์ จงั หวดั กาญจนบุรี เป็นตน้ (Tanapatpornchai, 2008: 56) จากหลกั ฐานดงั กลา่ วแสดงใหเ้ ห็นถึงการเขา้ อยอู่ าศยั อยา่ งตอ่ เนื่อง ต้งั แต่สมยั สาริด ตอนปลายเป็ นตน้ มา หรือประมาณ 3,000 ปี มาแลว้ จนเป็นท่ีต้งั อาณาจกั รอนั ยง่ิ ใหญ่ รุ่งเรืองมาต้งั แตส่ มยั ทวารวดี (พทุ ธศตวรรษที่ 12-16) โดยอา้ งถึงผลการศึกษาของทิวา ศุภจรรยา และคณะ ซ่ึงระบุท่ีต้งั ของชุมชนโบราณในยคุ ทวารวดีที่มีลกั ษณะคูน้าคนั ดิน รูปวงกลมหรือวงรีลอ้ มรอบ ซ่ึงปัจจุบนั อยใู่ นพ้นื ที่จงั หวดั บุรีรัมย์ จานวน 143 ชุมชน (Worrakamwichail, 1998: 27-35) หลงั พทุ ธศตวรรษที่ 18 เริ่มเส่ือมอานาจลง เมือง บุรีรัมยไ์ ม่ปรากฏในเอกสารประวตั ิศาสตร์สมยั อยธุ ยาและธนบุรี มีปรากฏเฉพาะชื่อ เมืองอ่ืน ซ่ึงปัจจบุ นั เป็ นอาเภอในจงั หวดั บุรีรัมย์ ไดแ้ ก่ เมืองนางรอง เมืองพทุ ไธสง และเมืองตลุง (อาเภอประโคนชยั ) ตอ่ มาไดม้ ีการตราพระราชบญั ญตั ิระเบียบบริหาร แห่งราชอาณาจกั รสยาม พ.ศ. 2476 ข้นึ ไดย้ บุ มณฑลนครราชสีมาจดั ระเบียบบริหาร ราชการส่วนภมู ิภาคออกเป็ นจงั หวดั และอาเภอเมืองบุรีรัมย์ จึงมีฐานะเป็นจงั หวดั บุรีรัมย์ จากการท่ีมีอตั ราการเพมิ่ ข้ึนของประชากรทาใหม้ ีการขยายตวั ของชุมชน ซ่ึงใน ปัจจุบนั จงั หวดั บุรีรัมยแ์ บ่งการปกครองเป็ น 23 อาเภอ 188 ตาบล 2,546 หมบู่ า้ น มี การจบั จองที่ดินทากินโดยอพยพ เคล่ือนยา้ ย และต้งั ถ่ินฐานเป็นชุมชนข้ึนใหม่ซอ้ นทบั เมืองโบราณ (Worrakamwichail, 1998: 5) และสร้างเรือนท่ีพกั อาศยั และอาคารอ่ืน เป็ นงานสถาปัตยกรรมพ้นื ถ่ิน สถาปัตยกรรมพ้ืนถ่ินเป็นสิ่งก่อสร้าง หมายรวมถึงสภาพแวดลอ้ มทาง กายภาพที่มนุษยส์ ร้างข้ึน ในแต่ละทอ้ งถิ่นที่มีลกั ษณะแตกต่างกนั เพือ่ สนอง ความตอ้ งการ เง่ือนไข ปัจจยั ของชุมชนน้นั จนกลายเป็นรูปแบบเฉพาะทอ้ งถ่ินที่ สอดคลอ้ งกบั สภาพแวดลอ้ ม สงั คมและวฒั นธรรม สงั่ สมเป็ นแบบแผนภมู ิปัญญาที่ส่ือ ความหมายแสดงเอกลกั ษณ์ ซ่ึงสถาปัตยกรรมพ้นื ถิ่น ไดแ้ ก่ อาคารพกั อาศยั อาคาร สาหรับประกอบอาชีพ อาคารทางศาสนาหรือศาสนคาร และอาคารสาธารณะอ่ืนใน ชุมชน โดยมีจุดสาคญั คือการมุ่งเนน้ ประโยชนใ์ ชส้ อยมากกวา่ ความงาม เน่ืองจาก
4 มนษุ ยสังคมสาร (มสส.) ปีท่ี 18 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 สถาปัตยกรรมพ้ืนถิ่นเป็นผลิตผลทางวฒั นธรรมที่ชนแต่ละถ่ินฐานสร้างข้ึนเพอื่ เอาชนะ ธรรมชาติ และอยกู่ บั ธรรมชาติ ทาใหก้ ารศึกษาสถาปัตยกรรมพ้นื ถิน่ ไม่สามารถศึกษา ท่ีตวั สถาปัตยกรรมพ้นื ถิ่นอยา่ งเดียว แตต่ อ้ งศึกษาบริบทแวดลอ้ มสถาปัตยกรรมท้งั ดา้ นประวตั ิศาสตร์การต้งั ถ่ินฐาน ภมู ิศาสตร์ สงั คมวฒั นธรรม ชาติพนั ธุ์ เพอื่ สร้าง ความเขา้ ใจถึงการก่อรูป และความเปลี่ยนแปลงของสถาปัตยกรรมพ้ืนถิ่นน้นั ดงั น้นั การศึกษาสถานภาพการศึกษาสถาปัตยกรรมพ้นื ถิ่นจึงจาเป็ นตอ้ งมกี ารศึกษาบริบท แวดลอ้ มสถาปัตยกรรมดว้ ย แต่จากการศึกษาผลงานวชิ าการดา้ นสถาปัตยกรรมพ้ืนถิ่น ในจงั หวดั บุรีรัมยท์ ่ีมีการเผยแพร่ต้งั แต่ พ.ศ. 2533-2561 จานวน 20 รายการ ประกอบดว้ ย หนงั สือวชิ าการ รายงานการวจิ ยั บทความ รายงานสืบเนื่องจาก การประชุม และวทิ ยานิพนธ์ ซ่ึงยงั มีจานวนจากดั ส่วนใหญ่เป็ นนกั วชิ าการในพ้นื ท่ี โดยมีเน้ือหาสาระในประเดน็ 3 ประเดน็ หลกั คือ การก่อรูปของสถาปัตยกรรมพ้นื ถ่ิน การอนุรักษ์ และเทคโนโลยอี าคาร (Prajonsant, Feangviang & Sungsakda, 2018: 576) พบการศึกษาเชิงสารวจที่สาคญั ของ The Conservation of Local Environment and Arts in Buriram Province (1990: 1-55) ท่ีทาการศึกษาสถาปัตยกรรมทอ้ งถ่ินจงั หวดั บุรีรัมยใ์ นประเดน็ ท่ีต้งั และลกั ษณะทางสถาปัตยกรรมโดยสงั เขป ประกอบการ บนั ทึกภาพถ่าย แบ่งเป็นบา้ นพกั อาศยั จานวน 7 หลงั และศาสนคาร จานวน 12 หลงั ใน 8 อาเภอ การสารวจดงั กลา่ วอาจมีขอ้ จากดั ทาใหก้ ารสารวจไม่ครอบคลุมพ้นื ที่ท้งั 23 อาเภอของจงั หวดั บุรีรัมย์ จึงเป็ นความจาเป็ นเร่งด่วนท่ีตอ้ งสารวจภาคสนามเพอ่ื ให้ สามารถระบุไดว้ า่ สถาปัตยกรรมพ้ืนถ่ินท่ีมีคุณคา่ ยงั คงดารงอยใู่ นพ้นื ที่ชุมชนใดใน จงั หวดั บุรีรัมย์ การจดั ทาฐานขอ้ มูลสถาปัตยกรรมพ้นื ถ่ินจึงเป็ นประโยชน์ตอ่ การศึกษา สถาปัตยกรรมซ่ึงเป็ นผลิตผลทางวฒั นธรรมที่สร้างความภาคภมู ิใจใหก้ บั คนในชุมชน อาจเอ้ือประโยชนต์ ่อการเป็ นทรัพยากรท่องเที่ยวในชุมชนตอ่ ไป
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 Journal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) 5 วตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั 1. เพ่อื สารวจสถาปัตยกรรมพ้นื ถ่ินที่มีคุณค่าในชุมชนของจงั หวดั บุรีรัมย์ 2. เพื่อจดั ทาฐานขอ้ มูลสถาปัตยกรรมพ้นื ถ่ิน วธิ ีดำเนินกำรวจิ ยั 1. งานวจิ ยั น้ีมีขอบเขตระยะเวลาการวจิ ยั ต้งั แต่เดือนตลุ าคม พ.ศ. 2560 ถึง เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2561รวมเป็นเวลา 9 เดือน ในการสารวจภาคสนามเพอ่ื คน้ หา สถาปัตยกรรมพ้ืนถ่ินท่ีมคี ุณค่า และศึกษาประวตั ิความเป็นมาของอาคาร ประกอบดว้ ย ประวตั ิการสร้าง ประวตั ิการบูรณะ การใชส้ อยในอดีต การใชส้ อยในปัจจบุ นั สภาพ ของอาคาร ความชารุดเสียหายของอาคารโดยการสมั ภาษณ์จากเจา้ ของ หรือผดู้ ูแล อาคาร จึงขอบเขตการศึกษาดา้ นพ้ืนท่ีศึกษาจากจานวน 143 ชุมชนในทาเนียบชุมชน โบราณในจงั หวดั บุรีรัมย์ ตามการศึกษาของทิวา ศุภจรรยา (cited in Worrakamwichail, 1998: 27-35) ซ่ึงเป็ นเมืองโบราณในสมยั ทวารวดี ซ่ึงเกิดการต้งั ถิ่นฐานซอ้ นทบั หลายยคุ สมยั จนกระทง่ั ปัจจุบนั โดยต้งั สมมตุ ิฐานวา่ ชุมชนโบราณ เหลา่ น้นั มผี คู้ นการต้งั ถิ่นฐานในปัจจุบนั และมีสถาปัตยกรรมพ้ืนถิ่นดารงอยู่ รวมกบั รายชื่อของสถาปัตยกรรมพ้นื ถ่ินในจงั หวดั บุรีรัมยท์ ี่ปรากฏจาก เอกสาร หนงั สือ วชิ าการ รายงานการวจิ ยั บทความ รายงานสืบเน่ืองจากการประชุม และวทิ ยานิพนธท์ ี่มี การเผยแพร่ต้งั แต่ พ.ศ. 2533-2561 จานวน 20 รายการ ซ่ึงมีที่ต้งั ในจานวน 26 ชุมชน ทาใหข้ อบเขตของการสารวจจานวนท้งั สิ้น 169 ชุมชน จากน้นั ไดช้ ้ีแจงเกณฑข์ อง สถาปัตยกรรมพ้นื ถิ่นที่มีคุณค่า ใหก้ บั ผนู้ าชุมชน หรือผอู้ าวโุ สของชุมชนเพ่ือใหร้ ะบุ เป้าหมายอาคาร จากน้นั คณะผวู้ จิ ยั เดินทางไปยงั ท่ีต้งั ของสถาปัตยกรรมพ้ืนถิ่นเพื่อ พจิ ารณาลกั ษณะทางสถาปัตยกรรมของอาคาร โดยอา้ งองิ เกณฑข์ องคณะกรรมการ ดาเนินโครงการจดั ทาทะเบียนอาคารควรคา่ แก่การอนุรักษข์ อง Association of Siamese Architects under Royal Patronage (2004) เป็นแนวทางในการคดั กรอง
6 มนษุ ยสังคมสาร (มสส.) ปีที่ 18 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 และระบุอาคารเป้าหมาย เน่ืองจากเป็ นเกณฑไ์ ดร้ บั การยอมรับในองคก์ รวชิ าชีพ สถาปัตยกรรม และมีขอ้ กาหนดในการคดั กรองอาคารไวอ้ ยา่ งชดั เจน เกณฑด์ งั กล่าว ครอบคลุมอาคารทุกลกั ษณะและคุณสมบตั ิ ดงั น้ี 1) อาคารท่ีมีอายตุ ้งั แต่ 50 ปี ข้ึนไป 2) อาคารท่ีมีคุณคา่ ทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม 3) อาคารที่มคี ุณค่าทางประวตั ศิ าสตร์หรือโบราณคดีหรือสงั คมโดยรวม 4) อาคารท่ีมีความเสี่ยงตอ่ การเสื่อมสภาพ ท้งั ปัจจยั ทางธรรมชาติหรือโดย มนุษย์ แตก่ ารวจิ ยั คร้ังน้ี ไมศ่ ึกษาโบราณสถาน ปราสาทขอม ศาสนสถานขอม คูน้า คนั ดิน เมืองโบราณ เตาเผาโบราณ ฯลฯ เนื่องจากกรมศิลปากรไดจ้ ดั ทาทาเนียบไวแ้ ลว้ ซ่ึงก่อนเขา้ สารวจอาคารจะตอ้ งไดร้ ับคายนิ ยอมจากเจา้ ของอาคารจึงเร่ิมการสารวจ และสมั ภาษณ์ 2. สารวจลกั ษณะทางกายภาพของอาคาร โดยใชแ้ บบสารวจประกอบการวดั ขนาดอาคารโดยสงั เขปพร้อมการบนั ทึกภาพอาคาร 3. จดั ทาฐานขอ้ มลู สถาปัตยกรรมพ้ืนถ่ินท่ีมีคุณคา่ ในจงั หวดั บุรีรัมยพ์ ฒั นา ดว้ ยภาษา HTML, PHP, CSS, SQL และ JAVAScript ร่วมกบั คลงั โปรแกรม jQuery บน Boostrap ตวั ฐานขอ้ มูลใชต้ วั จดั การฐานขอ้ มูล MySQL และตวั โปรแกรมสาเร็จรูป ที่ใชเ้ ขียนเวบ็ เพจ คือ Visual Studio Code ใหส้ ามารถเผยแพร่ออนไลน์ไดท้ ้งั เครื่อง คอมพวิ เตอร์ และสมาร์ทโฟน เพอื่ ความสะดวกในการเขา้ ถึงฐานขอ้ มูล ผลการวจิ ยั จากการศึกษาทาเนียบรายช่ือเมืองโบราณยคุ ทวารวดีในจงั หวดั บุรีรัมย์ พบวา่ มีจานวน 143 ชุมชน กระจายตวั ใน 21 อาเภอในปัจจุบนั ของจงั หวดั บุรีรัมย์ ยกเวน้ อาเภอโนนสุวรรณ ซ่ึงเป็ นอาเภอที่แยกจากอาเภอหนองก่ี และอาเภอโนนดินแดง
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 Journal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) 7 ซ่ึงเป็ นอาเภอท่ีแยกจากปะคา ไมพ่ บวา่ เป็ นเมืองโบราณ ดงั ตารางท่ี 1 เรียงลาดบั จาก ท่ีต้งั อาเภอจากตอนบนของจงั หวดั ไปหาตอนลา่ งของจงั หวดั ซ่ึงผวู้ จิ ยั ใชช้ ุมชนโบราณ 143 ชุมชนตามพกิ ดั ที่ต้งั เป็ นขอบเขตในการสารวจสถาปัตยกรรมพ้ืนถิ่นในการวจิ ยั คร้ังน้ี ตารางท่ี 1 จานวนชุมชนโบราณในจังหวดั บรุ ีรัมย์จาแนกตามแต่ละอาเภอในปัจจุบนั ท่ี ชื่ออาเภอ จานวน ที่ ชื่ออาเภอ จานวน (ชุมชน) (ชุมชน) 1 นาโพธ์ิ 3 12 หนองหงส์ 10 2 บา้ นใหม่ไชยพจน์ 2 13 ชานิ 3 3 พทุ ไธสง 9 14 หนองกี่ 2 4 คูเมือง 11 15 นางรอง 9 5 แคนดง 8 16 เฉลิมพระเกียรติ 2 6 บา้ นด่าน 5 17 ประโคนชยั 17 7 สตึก 10 18 พลบั พลาชยั 2 8 ลาปลายมาศ 20 19 โนนสุวรรณ - 9 เมืองบุรีรัมย์ 16 20 ปะคา 1 10 ห้วยราช 4 21 โนนดินแดง - 11 กระสงั 7 22 ละหานทราย 1 23 บา้ นกรวด 1 รวม 143 ในการสารวจสถาปัตยกรรมพ้นื ถ่ินท่ีมีคุณค่าในชุมชนทอ้ งถิ่นจงั หวดั บุรีรัมย์ สามารถรายงานผลการสารวจ พบวา่ ใน 143 ชุมชนโบราณสมยั ทวารวดีในพ้นื ที่จงั หวดั บุรีรัมย์ ตามพกิ ดั ที่ต้งั ดงั เอกสารน้นั ดงั น้ี 1. มีการต้งั ถ่ินเป็นหมบู่ า้ น จานวน 138 ชุมชน คิดเป็ น ร้อยละ 97
8 มนษุ ยสังคมสาร (มสส.) ปที ่ี 18 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 2.ไม่พบหมู่บา้ นตามทาเนียบรายช่ือ หรือพิกดั ที่ต้งั (Worrakamwichail, 1998: 27-35) โดยใชก้ ารคน้ หาตามพิกดั กเู กิ้ล แมป็ (Google Map) จานวน 5 ชุมชน คิด เป็ นร้อยละ 3 คือ 2.1 บา้ นหนองเมือง ตาบลบา้ นแพ อาเภอคูเมือง 2.2 บา้ นดอนเมืองแร้ง ตาบลบา้ นจาน อาเภอพทุ ไธสง จากการสอบถาม ชุมชนระบุวา่ เป็ นป่ าชา้ แต่การคน้ หาพบสภาพเป็ นทุ่งนา 2.3 บา้ นหนองกนั ดง ตาบลแคนดง อาเภอแคนดง แต่การคน้ หาพบสภาพ เป็ นทุ่งนา 2.4 อยใู่ กลบ้ า้ นฝ้าย ตาบลไทยสามคั คี อาเภอหนองหงส์ แตก่ ารคน้ หาพบ สภาพเป็ นทุ่งนา 2.5 ไมม่ ีช่ือ ตาบลนาโพธ์ิ อาเภอนาโพธ์ิ แต่การคน้ หาพบสภาพเป็นทุ่งนา จากการสารวจ 143 ชุมชนโบราณสมยั ทวารวดีในพ้ืนที่จงั หวดั บุรีรัมย์ รวม กบั รายชื่อของสถาปัตยกรรมพ้นื ถิ่นในจงั หวดั บุรีรัมยท์ ี่ปรากฏจากเอกสารฯ ที่มี การเผยแพร่ต้งั แต่ พ.ศ. 2533-2561 จานวน 20 รายการ ซ่ึงมีที่ต้งั ในจานวน 26 ชุมชน ทาใหข้ อบเขตของการสารวจจานวนท้งั สิ้น 169 ชุมชน ไดข้ อ้ มูลสถาปัตยกรรมพ้ืนถ่ิน จานวน 532 หลงั ใน 21 อาเภอ ตามทาเนียบรายช่ือในฐานขอ้ มูล แสดงเป็ นภาพแผนท่ี จงั หวดั บุรีรัมยแ์ สดงจานวนสถาปัตยกรรมพ้ืนถ่ินท่ีพบในแตล่ ะอาเภอ ดงั ภาพที่ 1 และ รายละเอียดดงั ตารางท่ี 2
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 Journal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) 9 N 3/1/- 8/-/- 21/6/- หมายเหตุ -/-/- 36/3/- 11/-/- ตวั เลขตวั ที่ 1 หมายถึง จานวนเรือน 13/3/- 35/4/1 ตวั เลขตวั ท่ี 2 หมายถึง จานวนศาสนคาร 49/2/7 99/3/5 ตวั เลขตวั ที่ 3 หมายถึง จานวนอาคาร สาธารณะ อื่น ๆ 7/-/- 3/1/- 7/-/- 2/1/- 30/6/- 90/2/1 -/-/- 3/1/- 12/1/- 1/-/- -/-/- 2/-/- ภาพที่ 1: แผนท่ีจงั หวดั บุรีรัมยแ์ สดงจานวนสถาปัตยกรรมพ้นื ถิ่น
10 มนษุ ยสังคมสาร (มสส.) ปีท่ี 18 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 ตารางที่ 2 จานวนสถาปัตยกรรมพืน้ ถิ่นในจังหวดั บุรีรัมย์จาแนกตามแต่ละอาเภอใปัจจุบัน ที่ ช่ืออาเภอ จานวน จานวน จานวนอาคาร รวมจานวน เรือน ศาสนคาร สาธารณะ (หลงั ) (หลงั ) (หลงั ) (หลงั ) 1 นาโพธ์ิ 31 - 4 2 บา้ นใหม่ไชยพจน์ 8 - - 8 3 พทุ ไธสง 21 6 - 27 4 คูเมือง 13 3 - 16 5 แคนดง -- - - 6 บา้ นด่าน 11 - - 11 7 สตึก 36 3 - 39 8 ลาปลายมาศ 49 2 7 58 9 เมืองบุรีรัมย์ 99 3 5 107 10 หว้ ยราช 47 1 4 52 11 กระสงั 35 4 1 40 12 หนองหงส์ 7 - - 7 13 ชานิ 7 - - 7 14 หนองกี่ 31 - 4 15 นางรอง 30 6 - 36 16 เฉลิมพระเกียรติ 3 1 - 4 17 ประโคนชยั 90 2 1 93 18 พลบั พลาชยั 2 1 - 3 19 โนนสุวรรณ - - - - 20 ปะคา 12 1 - 13 21 โนนดินแดง - - - - 22 ละหานทราย 2 - - 2 23 บา้ นกรวด 1- - 1 รวม 479 35 18 532
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 Journal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) 11 จากตารางที่ 2 ในการสารวจภาคสนามไมพ่ บสถาปัตยกรรมพ้นื ถ่ินตามเกณฑ์ ท่ีอาเภอแคนดง และอาเภอโนนสุวรรณ อาเภอที่พบมากที่สุด คือ อาเภอเมืองบุรีรัมย์ ประโคนชยั ลาปลายมาศ นางรอง และพทุ ไธสง ตามลาดบั ซ่ึงในการศึกษาคร้ังน้ีได้ ขอ้ สรุปผลการวจิ ยั ท่ีสาคญั ดงั น้ี 1. เมืองเก่าที่มคี วามสาคญั ทางประวตั ิศาสตร์ต้งั แต่ช่วงสมยั รัตนโกสินทร์ พบ ความหนาแน่นของสถาปัตยกรรมพ้ืนถ่ิน จากฐานขอ้ มูลสามารถลาดบั ไดแ้ ก่ เมือง นางรอง เมืองตลงุ (อาเภอประโคนชยั ) เมืองพทุ ไธสง นอกจากน้ี มีหอ้ งแถวไมใ้ นเมือง ท่ีเจริญเติบโต เนื่องจากเสน้ ทางรถไฟสายกรุงเทพฯ-อุบลราชธานี เช่น เมืองลาปลาย มาศ บา้ นแสลงพนั (อาเภอลาปลายมาศ) บา้ นกระสงั (อาเภอกระสงั ) ส่วนบา้ นเรือนพ้นื ถ่ินยงั คงอยหู่ นาแน่นที่บา้ นสนวน (อาเภอหว้ ยราช) บา้ นสวายจีก (อาเภอเมือง) บา้ น ปังกู (อาเภอประโคนชยั ) ซ่ึงเป็ นชุมชนรอบนอกของเมืองใหญซ่ ่ึงในปัจจบุ นั ยงั มีสภาพ เป็ นเมืองชนบท เป็นตน้ 2. เมืองที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมีแนวโนม้ ต่อการคงอยขู่ อง สถาปัตยกรรมพ้ืนถิ่น เช่น เมืองบุรีรัมย์ แต่เดิมมีตึกดิน จานวน 8 แห่ง ในปัจจุบนั คงเหลือ จานวน 2 แห่ง และอาคารหอ้ งแถวไมร้ ิมถนนสุนทรเทพ หรือตลาด 30 หอ้ ง ในปัจจบุ นั เจา้ ของอาคารมีการร้ือถอน และสร้างอาคารดว้ ยรูปแบบใหม่ 3.โครงการพฒั นาขนาดใหญข่ องภาครัฐมีผลต่อกระทบต่อการเปล่ียนแปลง ของเมืองและการคงอยขู่ องสถาปัตยกรรมพ้นื ถ่ิน ไดแ้ ก่ เสน้ ทางรถไฟสายกรุงเทพฯ- อบุ ลราชธานี ท่ีเปิ ดการเดินรถท่ีสถานีบุรีรัมย์ เมื่อปี พ.ศ. 2468 ส่งผลต่อการเกิดเมือง ตามเสน้ ทางรถไฟ เช่น ลาปลายมาศ แสลงพนั (อาเภอลาปลายมาศ) หว้ ยราช (อาเภอ หว้ ยราช) กระสงั (อาเภอกระสงั ) ทาใหเ้ กิดการขนส่ง การคา้ เกิดยา่ นการคา้ ตลาด หอ้ งแถวไม้ แต่เมื่อมีโครงการพฒั นาเสน้ ทางคมนาคมทางบกที่เช่ือมโยงเมืองสู่เมือง พ้ืนที่ตลาดตามเสน้ ทางรถไฟจึงไม่เป็ นท่ีนิยม โดยเฉพาะเมืองท่ีใกลก้ บั เมืองใหญ่ เช่น แสลงพนั (อาเภอลาปลายมาศ) หว้ ยราช (อาเภอหว้ ยราช) ทาใหห้ อ้ งแถวส่วนใหญ่
12 มนุษยสังคมสาร (มสส.) ปที ่ี 18 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 ปิ ดร้าง ไม่ไดใ้ ชป้ ระโยชน์ หรือโครงการรถไฟทางคจู่ ิระ-อุบลราชธานี ตามแผน งบประมาณปี พ.ศ. 2560 (Korat Star up, 2016) ยอ่ มส่งผลกระทบตอ่ การคงอยอู่ าคาร สถานีรถไฟ บา้ นพกั พนกั งานการรถไฟ หรืออาคารพ้นื ถิ่นท่ีอยใู่ นพ้ืนที่ของโครงการ ตลอดเสน้ ทางรถไฟ 4. การอนุรักษส์ ถาปัตยกรรมพ้ืนถ่ินตอ้ งอาศยั ระบบและกลไกบริหารจดั การ โดยไม่ปลอ่ ยเป็ นภาระของเจา้ ของอาคารแต่ฝ่ ายเดียว เช่น เรือนพ้ืนถิ่นท่ีมีคุณคา่ บาง หลงั อยใู่ นความครอบครองของเจา้ ของบา้ นที่เป็นผมู้ ีรายไดน้ อ้ ย หรือผสู้ ูงอายทุ ี่ถึงแม้ จะตระหนกั ถึงคุณค่าของอาคาร แตไ่ ม่สามารถดาเนินการดูแลรักษา ซ่อมแซมใหค้ ง สภาพ ยงั ตอ้ งการความช่วยเหลือจากภาครัฐ หรืออาคารบางหลงั มีศกั ยภาพทาง การพฒั นาใหเ้ ป็ นแหลง่ ท่องเที่ยวได้ แต่เจา้ ของอาคารเป็ นผมู้ ีฐานะ และปิ ดอาคารไว้ ไมไ่ ดท้ าประโยชน์ เชน่ หอ้ งแถวไมต้ ลาดหว้ ยราช เป็ นตน้ 5. สถาปัตยกรรมพ้นื ถ่ิน ประเภทศาสนคาร ไดแ้ ก่ อโุ บสถ วหิ าร หอระฆงั กาลงั จะหมดไป จากการสารวจพบการอนุรักษอ์ าคาร เช่น อุโบสถวดั ท่าเรียบ อาเภอ นาโพธ์ิ อโุ บสถวดั บรมคงคา อาเภอพทุ ไธสง อุโบสถวดั หลกั ศิลา อาเภอบา้ นใหม่ ไชยพจน์ อุโบสถวดั หนองบวั เจา้ ป่ า ซ่ึงท้งั หมดไดร้ ับคาแนะนาตามหลกั วชิ าการจาก เจา้ หนา้ ที่กรมศิลปากร แตพ่ บอโุ บสถอีกจานวนมากท่ีชุมชนซ่อมแซม เสริมแต่งจน ทาลายความแท้ เช่น อโุ บสถวดั สมศรี อาเภอนาโพธ์ิ อโุ บสถวดั บา้ นตูมนอ้ ย อาเภอ คูเมือง หรือปลอ่ ยใหอ้ าคารเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา เช่น อโุ บสถวดั สระแก อาเภอ พทุ ไธสง อโุ บสถวดั โพธ์ิยอ้ ย อาเภอปะคา อโุ บสถวดั เข่ือนคงคา อาเภอลาปลายมาศ เป็ นตน้ 6. ชุมชนท่ีมีเรือนพ้นื ถ่นิ หนาแน่น และเป็ นอาคารมีคุณค่าทางสถาปัตยกรรม ไดแ้ ก่ บา้ นสนวนใน-บา้ นสนวนนอก อาเภอหว้ ยราช บา้ นสวายจีก อาเภอเมือง บา้ น ปังกู อาเภอประโคนชยั ส่วนอโุ บสถพ้นื ถิ่นมีหนาแน่นท่ีอาเภอนางรอง อาเภอประ โคนชยั อาเภอพทุ ไธสง-บา้ นใหมไ่ ชยพจน์-นาโพธ์ิ มีศกั ยภาพในการพฒั นาใหเ้ ป็ น
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 Journal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) 13 แหล่งท่องเที่ยวเชิงวฒั นธรรม ซ่ึงการพฒั นาสถาปัตยกรรมพ้ืนถิ่นใหเ้ ป็ นแหล่ง ท่องเท่ียว นอกเหนือจากคุณค่าของสถาปัตยกรรมแลว้ ยงั ตอ้ งอาศยั ปัจจยั เก้ือหนุนอ่ืน เช่น กิจกรรมการท่องเท่ียว สิ่งอานวยความสะดวก ทาเลท่ีต้งั การเขา้ ถึง การเช่ือมโยง กบั แหลง่ ทอ่ งเท่ียวหลกั บริการเก้ือหนุน และทศั นคตขิ องเจา้ บา้ น เป็ นตน้ จึงตอ้ งอาศยั การมีส่วนร่วมในการทางานของชุมชนก่อน การประสานความร่วมมือระหวา่ งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควชิ าการ ซ่ึงสามารถใชก้ รณีศึกษาจากบา้ นสนวนนอก อาเภอหว้ ยราช จงั หวดั บุรีรัมย์ ขอ้ มลู อาคารท้งั หมด จานวน 532 หลงั ไดร้ วบรวม จดั ทาเป็ นฐานขอ้ มูลช่ือ “Buriram Vernacular Architecture Database” หรือ Buriram VAD พฒั นาดว้ ยภาษา HTML , PHP , CSS , SQLและ JAVAScript ร่วมกบั คลงั โปรแกรม jQuery บน Boostrap ตวั ฐานขอ้ มลู ใชต้ วั จดั การฐานขอ้ มูล MySQL และตวั โปรแกรมสาเร็จรูปที่ใช้ เขียนเวบ็ เพจ คือ Visual Studio Code การเขา้ ถึงสามารถเขา้ ถึงออนไลน์ไดท้ ้งั เครื่อง คอมพิวเตอร์ และสมาร์ทโฟนท่ี http://cul.bru.ac.th/vad/ โดยสามารถเขา้ เวบ็ ไซตข์ อง สานกั ศิลปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บุรีรัมย์ ซ่ึงเป็ นผใู้ ชป้ ระโยชนจ์ าก งานวจิ ยั คร้ังน้ี เพอ่ื ใหฐ้ านขอ้ มูลมีหน่วยงานผรู้ บั ผดิ ชอบอยา่ งเป็ นทางการ ในการทา หนา้ ที่พฒั นาระบบฐานขอ้ มูล ปรบั ปรุง เพ่มิ เติมใหเ้ ป็ นปัจจุบนั และสามารถโตต้ อบ ส่ือสารกบั ผใู้ ชใ้ นการแจง้ ขอ้ ความ และภาพสถาปัตยกรรมพ้ืนถิ่นใหเ้ จา้ หนา้ ที่ดูแลเวบ็ เพจดาเนินการต่อไปไดอ้ ยา่ งต่อเน่ือง การเขา้ สู่ฐานขอ้ มูล สามารถดาเนินการตามข้นั ตอน ดงั น้ี ข้นั ตอนท่ี 1 เขา้ สู่ระบบอินเทอร์เนต เขา้ ถึงไดจ้ าก http://cul.bru.ac.th แลว้ เลือกเมนู VAD จะเป็ นการเขา้ สู่ฐานขอ้ มูล ดงั ภาพที่ 2 ข้นั ตอนที่ 2 การคน้ หาขอ้ มูลอาคาร สามารถเลือกจากเง่ือนไข อายขุ องอาคาร ประเภทของอาคาร ที่ต้งั อาเภอ ดงั ภาพท่ี 3 ข้นั ตอนท่ี 3 ระบบจะรายงานขอ้ มลู รายอาคาร ดงั ภาพที่ 4
14 มนุษยสงั คมสาร (มสส.) ปีท่ี 18 ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 ข้นั ตอนที่ 4 หากตอ้ งการติดต่อเพอื่ แจง้ ขอ้ ความ หรือส่งรูปภาพท่ีเก่ียวขอ้ ง กบั สถาปัตยกรรมพ้ืนถิ่นจงั หวดั บุรีรัมย์ ใหท้ าการติดต่อกบั เจา้ หนา้ ท่ีดูแลเวบ็ เพจ ภาพที่ 2: การเขา้ สู่ฐานขอ้ มูล ภาพที่ 3: การค้นหาข้อมลู อาคารแบบกาหนดเงื่อนไข ภาพที่ 3: การคน้ หาขอ้ มลู อาคารแบบกาหนดเงื่อนไข
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 Journal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) 15 ภาพที่ 4: รายงานขอ้ มลู รายอาคาร อภิปรายผล จากการศึกษาวจิ ยั พบประเดน็ ที่นามาอภิปรายผล ดงั น้ี 1.ชุมชนเมืองเก่าที่มคี วามสาคญั ทางประวตั ิศาสตร์ พบความหนาแน่นของ สถาปัตยกรรมพ้ืนถิ่นเนื่องจากเป็นเมืองที่มีความสาคญั เป็นศูนยก์ ลางดา้ นการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจหรือสงั คม จึงมีการต้งั ถิ่นฐานเป็ นชุมชนที่มีขนาดใหญ่ สถาปัตยกรรมพ้นื ถิ่นจึงเป็นผลิตผลของเมืองเก่าสอดคลอ้ งกบั Aumwilai (2013 cited in Seniwongse Na Ayudhya & Kerdsiri, 2016: 79) ที่ระบุถงึ ภมู ิทศั นว์ ฒั นธรรมของ เมืองเก่าพบขอ้ มลู ในภาพรวมท่ีสาคญั ของชุมชนท้งั ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ สภาพเศรษฐกิจ และสงั คม 2.ชุมชนท่ีมีการเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกิจมีแนวโนม้ ตอ่ การไม่คงอยขู่ อง สถาปัตยกรรมพ้ืนถ่ิน เนื่องจากมีความตอ้ งการในการใชป้ ระโยชน์ที่ดินเพอื่ หวงั ผล ดา้ นเศรษฐกิจ ทาใหม้ ีการร้ือถอนสถาปัตยกรรมพ้นื ถ่ินเพ่ือสร้างอาคารท่ีสนอง
16 มนษุ ยสงั คมสาร (มสส.) ปที ่ี 18 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 ความตอ้ งการและรสนิยมสงั คมเมือง สอดคลอ้ งกบั Aumwilai (2013 cited in Seniwongse Na Ayudhya & Kerdsiri, 2016: 79) ที่ระบุสภาพความเปล่ียนแปลงที่เกิด ข้ึนกบั ชุมชนเมืองเก่าโดยมีปัจจยั หลกั ท่ีทาใหช้ ุมชนตอ้ งเกิดความเปล่ียนแปลงต่อ ภูมิทศั น์วฒั นธรรมในพ้ืนท่ีคือปัจจยั ของการละทิ้งอาคารบา้ นเรือนแถวใหเ้ ป็นอาคาร ร้างก่อใหเ้ กิดความซบเซาของยา่ นการคา้ เก่า รวมถึงปัจจยั ของการรุกล้าเพอื่ สร้างท่ีพกั อาศยั นอกจากน้ีปัจจยั ดา้ นเศรษฐกิจยงั เป็ นตวั กระตุน้ ร่วมกบั ปัจจยั ดา้ นสงั คมทาให้ เจา้ ของอาคารไมไ่ ดอ้ นุรักษส์ ถาปัตยกรรมพ้นื ถ่ินไวส้ อดคลอ้ งกบั Srisuro (2004: 14- 15) ที่กล่าววา่ ลกั ษณะเฮือนอีสาน ท้งั เฮือนเกย เฮือนแฝด และเฮือนโขง่ ในปัจจุบนั ถูก ร้ือถอน และเปลี่ยนแปลงใหมจ่ นเกือบหาดูไม่ไดแ้ ลว้ เนื่องจากคา่ นิยมของชาวบา้ นได้ เปล่ียนไปตามสงั คมใหม่ วถิ ีชีวติ แบบใหม่ 3.โครงการพฒั นาขนาดใหญข่ องภาครัฐมีผลต่อกระทบตอ่ การเปล่ยี นแปลง ของชุมชนเมือง และการคงอยขู่ องสถาปัตยกรรมพ้ืนถ่ิน ไดแ้ ก่ เสน้ ทางรถไฟสาย กรุงเทพฯ-อบุ ลราชธานี ที่เปิ ดการเดินรถท่ีสถานีบุรีรัมย์ เม่ือปี พ.ศ. 2468 ส่งผลตอ่ การเกิดเมืองตามเสน้ ทางรถไฟ เช่น ลาปลายมาศ แสลงพนั (อาเภอลาปลายมาศ) หว้ ยราช (อาเภอหว้ ยราช) กระสัง (อาเภอกระสงั ) ทาใหเ้ กิดการขนส่ง การคา้ เกิด ตลาดที่มีหอ้ งแถวไม้ สอดคลอ้ งกบั Walliphodom (1994: 51,53) กล่าวถึง สิ่งหน่ึงท่ีทา ใหร้ ูปแบบของบา้ นเรือนในภาคอีสานเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากมายคือการพฒั นา ทอ้ งถิ่นตามแผนพฒั นาทางเศรษฐกิจของประเทศต้งั แตส่ มยั รัฐบาลจอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ เป็ นตน้ มาทาใหม้ ีการเปล่ียนแปลงทางกายภาพของชุมชน การจดั ใหม้ ีถนน ภายในหม่บู า้ นลกั ษณะตาราง โดยสนบั สนุนใหม้ ีการสร้างร้ัวบา้ นเรือนมากข้ึน และ การสร้างบา้ นเรือนใหม้ ีขนาดใหญเ่ พื่อใหค้ นในครอบครัวอยรู่ วมกนั ไดห้ ลายคน โดย ไม่คานึงถึงรูปแบบเรือนวา่ จะสวยงามเป็ นระเบียบมากนอ้ ยเพยี งใด มกั หนั มาสร้าง เรือนที่มหี ลงั คาหนา้ จวั่ ทรงต่าทาใหห้ ลงั คาลาดต่าลงมาเพอ่ื ปกคลมุ พ้ืนที่ของเรือนได้ กวา้ งกวา่ เดิม และใชส้ งั กะสีหรือกระเบ้ืองมงุ หลงั คาเพื่อปกคลุมพ้ืนท่ีใหไ้ ดม้ าก ไม่ใช้
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 Journal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) 17 ฝาปะกนหรือฝาสายบวั เพยี งแต่ใชแ้ ผน่ กระดานไมม้ าตีแปะกนั ไว้ บางแห่งไมม่ ี หนา้ ตา่ ง การแพร่หลายของเรือนที่มีหนา้ จว่ั ทรงต่าเกิดมาจากการเปล่ียนแปลงของ เรือนลาวท่ีพบทางหนองคายและกาฬสินธุ์แลว้ แพร่หลายทว่ั ไปในภาคอีสาน สะทอ้ น ใหเ้ ห็นถึงการแพร่กระจายอยา่ งแทรกซึมของกลมุ่ ไทยลาวที่รุกหรือเคล่ือนยา้ ยลงไป ทางอีสานกลางและอีสานใตร้ วมท้งั ท่ีอืน่ ๆ อีกท้งั ยงั เป็นรูปแบบบา้ นเรือนท่ีเหมาะสม กบั สภาพสงั คมเศรษฐกิจของคนในอีสานท้งั ภาคท่ีไมต่ อ้ งการรูปแบบที่มีระเบียบแบบ แผนจนเกินไปแต่ตอ้ งการส่ิงที่เรียบง่ายและอยรู่ ่วมกนั แบบง่าย ๆ ปลกู บา้ นง่าย ๆ โดย ช่วยเหลือกนั เพยี งใหม้ ีท่ีอยอู่ าศยั และมีที่ทากินเท่าน้นั โดยลกั ษณะหลงั คาจว่ั ทรงต่า ได้ เขา้ มาแทนที่เอกลกั ษณ์ด้งั เดิมในชุมชนชนบทเกือบทุกภูมิภาค และส่ิงท่ีเป็ นปัจจยั ให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงวสั ดุของเรือนพ้นื ถิ่นคือการสร้างรถไฟ และ Teerasatwat (2015: 20, 37) ที่กล่าววา่ รถไฟมีอิทธิพลท่ีเห็นไดอ้ ยา่ งชดั เจน ประการแรกคือการใชส้ งั กะสี มุงหลงั คาเรือน ซ่ึงปรากฏวา่ ตอนน้ีบา้ นมุงหลงั คาดว้ ยสงั กะสีมากมาย เมื่อก่อน บา้ นเรือนมงุ ดว้ ยจากหรือแฝกเท่าน้นั เช่นเดียวกบั การศึกษาเรือนพ้นื ถิ่นที่หมู่ 2 ตาบล ปังกู อาเภอประโคนชยั จงั หวดั บุรีรัมย์ สร้างเรือนราวปี พ.ศ. 2451 ตอ่ มาราวปี พ.ศ. 2547 มีการเปลี่ยนวสั ดุมงุ หลงั คาจากมุงหญา้ คาเป็ นสงั กะสี และเปลี่ยนวสั ดุผนงั จาก ฝาปรือเป็ นแผน่ ไม้ เปล่ียนพ้นื ท่ีใชส้ อยใตถ้ นุ จากเล้ียงสตั วเ์ ป็นครัว หอ้ งนอน และ ดู ทีวเี ปล่ียนตาแหน่งบนั ไดไปอยใู่ นเรือน ราวปี พ.ศ. 2540 ก่อผนงั ช้นั ล่าง ติดต้งั ประตู หนา้ ต่าง สร้างหอ้ งน้า เทพ้ืน ค.ส.ล.ตอ่ หลงั คากนั สาดยนื่ มาในส่วนของหนา้ บา้ น (Ponthongmark, 2018: 151) ส่งผลตอ่ ลกั ษณะทางสถาปัตยกรรมดงั ภาพที่ 5
18 มนุษยสังคมสาร (มสส.) ปที ี่ 18 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 ภาพท่ี 5: เรือนที่บา้ นหมู่ 2 ตาบลปังกู อาเภอประโคนชยั จงั หวดั บุรีรัมย์ อายเุ รือน มากกวา่ 110 ปี ที่มา: Ponthongmark (2018: 152) 3.การอนุรักษส์ ถาปัตยกรรมพ้นื ถน่ิ ตอ้ งอาศยั ระบบและกลไกบริหารจดั การ โดยไมป่ ล่อยเป็ นภาระของเจา้ ของอาคารแต่ฝ่ ายเดียว เนื่องดว้ ยสถาปัตยกรรมพ้นื ถิ่น ถือเป็ นมรดกทางวฒั นธรรมที่สาคญั เป็ นรากเหงา้ ท่ีสร้างความภาคภูมิในอตั ลกั ษณ์ ของทอ้ งถิ่นของชุมชนในปัจจุบนั และสาหรับอนาคตของคนรุ่นตอ่ ไป แต่สภาพ ปัจจุบนั จากการสารวจ พบวา่ สถาปัตยกรรมพ้ืนถ่ิน โดยเฉพาะประเภทศาสนคาร กาลงั
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 Journal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) 19 จะหมดไปสอดคลอ้ งกบั Srisuro (2004: 9) ท่ีกล่าวถึงมูลเหตุการทาลายอโุ บสถพ้ืนถิ่น เอกลกั ษณ์อีสานอยา่ งรวดเร็ว โดยมีสาเหตหุ ลกั คือผดู้ ูแลรักษาไม่เขา้ ใจในคุณคา่ และ เอกลกั ษณ์ของสถาปัตยกรรมอีสาน จึงเห็นการลอกเลียนแบบดีกวา่ การรักษา เอกลกั ษณ์ซ่ึงเป็ นภมู ปิ ัญญา แตด่ ้งั เดิมจากบรรพบุรุษ จึงถือวา่ เป็ นการทาลาย ลกั ษณะเฉพาะของทอ้ งถ่ินท่ีเป็ นมรดกทางวฒั นธรรม ข้อเสนอแนะ ขอ้ เสนอแนะสาหรับการนาผลการวจิ ยั ไปใชป้ ระโยชน์ 1.โครงการไดท้ าการสารวจ 169 ชุมชน จากจานวน 2,546 หมบู่ า้ น ในจงั หวดั บุรีรัมย์ จึงควรดาเนินการสารวจ ติดตามสถาปัตยกรรมพ้นื ถิ่นในพ้นื ท่ีเพมิ่ เติมเพือ่ นา ขอ้ มลู มาบรรจุในฐานขอ้ มูลอยา่ งตอ่ เน่ือง ควบคูก่ บั โครงการ หรือกิจกรรมที่สร้าง ความตระหนกั รวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนตอ่ การอนุรักษส์ ถาปัตยกรรมพ้นื ถิ่น 2. ควรดาเนินการดูแลระบบฐานขอ้ มลู อยา่ งตอ่ เน่ืองและเป็ นปัจจบุ นั โดย อาศยั การสารวจภาคสนามเป็ นระยะๆ และมีการประชาสมั พนั ธ์ เผยแพร่ใหห้ ลากหลาย ช่องทาง เพอ่ื ความสะดวกในการเขา้ ถึง 3. ควรมีโครงการ หรือกิจกรรมท่ียกยอ่ งใหร้ างวลั อาคารอนุรักษด์ ีเด่นใน ระดบั จงั หวดั 4. ควรพฒั นาขอ้ มลู ทางวชิ าการในฐานขอ้ มลู ไปสู่ขอ้ มลู เชิงการตลาดเพอื่ ส่ือสารกบั นกั ท่องเท่ียว ผา่ น Facebook หรือ e-book และพฒั นาสู่ขอ้ มลู ภาษาองั กฤษ ต่อไป 5. ควรนาฐานขอ้ มูล บรรจุไวบ้ นฐานขอ้ มลู ของจงั หวดั บุรีรัมย์ สมาคม ท่องเที่ยวจงั หวดั บุรีรัมย์ และสานกั งานท่องเที่ยวและกีฬาจงั หวดั บุรีรัมย์ เพอื่ ใหก้ ลมุ่ ผใู้ ชป้ ระโยชนส์ ามารถเขา้ ถึงไดเ้ พม่ิ ข้ึน
20 มนษุ ยสังคมสาร (มสส.) ปที ี่ 18 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 6. แสวงหากลไกสนบั สนุนใหเ้ จา้ ของอาคารดูแลรักษาสภาพอาคารใหค้ งอยู่ โดยการมีส่วนร่วมกบั ชุมชน และหน่วยงานภาครัฐ ขอ้ เสนอแนะสาหรับงานวจิ ยั ในอนาคตสามารถศึกษาในประเด็นดงั ต่อไปน้ี 1. กลไกและการสร้างเครือขา่ ยเจา้ ของอาคารสถาปัตยกรรมพ้ืนถ่ินท่ีมีคุณค่า 2. การศึกษาสถาปัตยกรรมพ้นื ถิ่นในแนวลึก ตามประเดน็ ท่ีผวู้ จิ ยั สนใจ เช่น 2.1 การวเิ คราะห์พฤติกรรมของกลมุ่ ชนที่เกิดจากคติความเช่ือ วถิ ีชีวติ ท่ี มีความสมั พนั ธห์ รือมีผลต่อกิจกรรมท่ีเกิดข้ึนภายในอาคาร การวเิ คราะห์ความสมั พนั ธ์ ของกิจกรรมท่ีเกิดข้ึนในแตล่ ะพ้นื ท่ีใชส้ อยตามมิติของเวลาและฤดูกาล การวเิ คราะห์ หาขนาดและความสมั พนั ธ์ของพ้นื ท่ีใชส้ อยแต่ละประเภทของอาคาร 2.2 การวเิ คราะห์ระบบโครงสร้างและวสั ดุก่อสร้างที่มากาหนด เทคนิค วธิ ีการก่อสร้างที่ทาใหอ้ าคารเกิดความมน่ั คงแขง็ แรง 2.3 การวเิ คราะห์การจดั วางพ้ืนที่ใชส้ อยกบั สภาพแวดลอ้ มทางภมู ิศาสตร์ ภมู ิอากาศ และทิศทางของแดดลมฝน การบงั แสงแดด การเปิ ดรบั แสงแดด การเปิ ดรบั ลม ระบบการระบายอากาศภายในอาคาร วธิ ีเลี่ยง และป้องกนั การสาดของฝน วธิ ี การป้องกนั ลมพายุ วธิ ีการอยรู่ ่วมกบั ภาวะภยั ธรรมชาติ เช่น อุทกภยั การวเิ คราะห์ พลวตั ของสถาปัตยกรรมพ้ืนถ่ินท่ีแปร เปล่ียนตามความเปล่ียนแปลงของนิเวศ วฒั นธรรม 2.4 การวจิ ยั ประเมินค่าของอาคาร ไดแ้ ก่ 2.4.1 คุณคา่ ดา้ นความสมั พนั ธ์ของพ้นื ที่ใชส้ อย และการแกป้ ัญหา ดา้ นประโยชนใ์ ชส้ อย 2.4.2 คุณคา่ ดา้ นการก่อสร้าง การใชโ้ ครงสร้าง วสั ดุ และเทคนิค การก่อสร้าง 2.4.3 คุณคา่ ทางความงาม ไดแ้ ก่
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 Journal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) 21 2.4.3.1 ความเป็ นมวล (Mass) สดั ส่วนของรูปทรง จงั หวะของ การเจาะช่องท่ีสมั พนั ธ์กบั ผนงั ทึบ ความสมั พนั ธ์ของเสน้ สายรูปทรงในตวั อาคาร ผล ของแสงเงาท่ีมีตอ่ รูปทรงของอาคารวธิ ีการจดั องคป์ ระกอบของมวลที่เป็นรูปทรง การจดั องคป์ ระกอบของรูปดา้ นใหเ้ กิดความงาม 2.4.3.2 ความสมั พนั ธ์ของระนาบกบั พ้นื ที่ การเลื่อนไหลของท่ี วา่ ง (Flowing of Space) ภายในอาคาร ระเบียบของการตกแตง่ แตล่ ะระนาบ ความงาม ขององคป์ ระกอบพ้ืนท่ี (Composition of Plan)ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งที่วา่ งภายใน อาคารกบั ท่ีวา่ งภายนอกและสภาพแวดลอ้ มใหเ้ กิดความงาม 2.4.3.3 ความสมั พนั ธข์ องพ้ืนท่ีผวิ วสั ดุที่ใชก้ บั อาคาร เทคนิค วธิ ีการเก็บรายละเอียดในแต่ละส่วนของอาคาร (Finished) และศึกษาส่วนตกแตง่ อาคาร (Architectural Decoration) ใหม้ ีคุณค่า References Association of Siamese Architects under Royal Patronage. (2004). Building conservation award. Retrieved on 27 September 2017 from http://asa.or.th. [in Thai] Aumwilai, J. (2013). The cultural landscape of the old town Lopburi, Theses courses and regional planning graduate mueangomha graduate of Chulalongkorn University. [in Thai] Korat Star Up. (2016). Connecting South East! Nakhon Ratchasima - Ubon budget of 3.5 billion baht a 1-meter Double-track railway JIRA - Ubon began in 2560. Retrieved on 20 June 2016 from http://www.koratstartup.com/jira-ubon- double-track. [in Thai]
22 มนษุ ยสงั คมสาร (มสส.) ปที ี่ 18 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 Prajonsant, Feangviang & Sungsakda. (2018). Status of academic works studying vernacular architecture in Buriram province. Report of a National Conference on industrial technology 4 times, pp. 576-583. [in Thai] Pholkerd, S. (2008). The History and archaeology of Buriram. History of Buriram Province, pp. 58-101. [in Thai] Ponthongmark, S. (2018). Dynamic vernacular architecture Thai Khmer. Buriram: Buriram Rajabhat University. [in Thai] Seniwongse Na Ayudhya, K. & Kerdsiri, K. (2016). Local row house in historical landscape area, Taladlang, Rama Road. Lopburi province. Academic Journal, Faculty of Architecture Khon Kaen University. 15(1). pp. 77-98. [in Thai] Srisuro, W. (2004). The Crisis of vernacular architecture of Isan: Northeast Region. ISAN Studies Journal, 2 (October-December). pp. 9-15. [in Thai] Suppajanya, Th. (1984). Registration for research projects, the location of ancient communities in the nation. Bangkok: Chulalongkorn University. [in Thai] Tanapatpornchai, M. (2008). Archaeological history of Buriram Province: History of Buriram Province. pp. 38-56. [in Thai] Teerasatwat, S. (2015). Impact of railways in lower northeastern region (A.D.1900- 1960). The Culture and Economy of Isan: Northeast Region, Bangkok: Checkpoint Charlie to the printer. [in Thai] The conservation of local environment and arts in Buriram Province. (1990). Vernacular architecture in Buriram Province, Buriram: Rawat print. [in Thai] Walliphodom, S. (1994). Thai houses, Thai Home. Bangkok: PR The National Housing Authority.
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 Journal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) 23 Worrakamwichail, S. (1998). The ancient community in Buriram province. Buriram: Environmental Policy and Planning Office Ministry of Science, Technology and Environment. [in Thai] Authors Associate Professor Sombat Prajonsant Tel.: 063-9691955 E-mail: [email protected] Mr. Visar Fengveang Tel.: 080-4867453 E-mail: [email protected] Mr. Piyachon Sangsukda Tel.: 089-7214403 E-mail: [email protected] Architectural Technology Program, Faculty of Industrial Technology Buriram Rajabhat University 439 Jira Rd., Muang District, Buriram Province 31000
24 มนุษยสังคมสาร (มสส.) ปีท่ี 18 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม – เมษายน) 2563
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 Journal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) 25 การออกแบบภาพสื่อทางทศั น์ในพืน้ ทจ่ี ีโอพาร์คโคราช ทศั น์ในพืน้ ทจี่ ีโอพาร์คโคราช สะท้อนพลวตั ภูมศิ าสตร์บรรพกาล มศิ าสตร์บรรพกาล Information Graphic Design of Khorat Geopark Design of Khorat GeopAarskthe Reflection of Paleogeography Demonstration ogeography Demonstration จริ ายฑุ ประเสริฐศรี1 / สุชาติ เถาทอง2 / อตเิ ทพ แจ้ดนาลาว3 ติ เถาทอง2 / อตเิ ทพ แจ้ดนาJลirาaวy3ut Prasertsri / Suchart Taothong / Atithep Chaetnalao Taothong / At1iนthิสeิตpปCริญhญaeาเtอnกalหaลoกั สูตรปรัชญาดุษฎีบณั ฑิต สาขาวชิ าทศั นศิลป์ และการออกแบบ สาขาวิชาทศั นศิลปPค์ แhณล.Dะะศก. ิลSารtปuอกdอeรกnรtแม,บVศบาisสuตaรl ์Aมrหtsาวanทิ dยDาลeยัsiบgูรnพPาrogram, Faculty of Fine and Applied Arts, Burapha Faculty of Fine aU2ศnndาiสvAตeprรspาiltจiyeาdรยAเ์ rกtีsย,รBติคurุณapทha่ีปรึกษาหลกั สาขาวชิ าทศั นศิลป์ และการออกแบบ คณะศิลปกรรมศาสตร์ ทศั นศิลป์ และการPมอrอหoกาfeวแsิทบsoยบrาลคEยัณmบeะรูrศiพtิลuาปs,กMรรaมinศAาสdvตiรs์er, Visual Arts and Design Program, Faculty of Fine and Applied and Design Progra3Amทrี่ป,tsFร,aึกBcษuurาltaรyp่วhoมaf สFUiาnnขievาeaวrnชิ sdiาtกAyาpรpอliอeกdแบบ คณะมณั ฑนศิลป์ มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร นศิลป์ มหาวทิ ยาลCยั oศ-ิลAปdvากisรer Design Program, Faculty of Decorative Arts, Silpakorn University tive Arts, Silpakorn University Received: March 27, 2020 Revised: April 17, 2020 Received: March 27, 2020 Accepted: April 28, 2020 บทคดั ย่อRevised: April 17, 2020 Accepted: April 28, 2020 การวจิ ยั น้ีมีวตั ถปุ ระสงคเ์ พื่อ 1) สงั เคราะห์ขอ้ มูลภูมศิ าสตร์บรรพกาลใน ) สงั เคราะห์ขอ้ พม้ืนูลภทูม่ีจีโิศอาสพตารร์ค์บโรครรพากชาลแใลนะ 2) ออกแบบภาพส่ือทางทศั นท์ ่ีเหมาะสมกบั กล่มุ เป้าหมาย าพสื่อทางทศั น์ทให่ีเหส้ มาามะาสรมถกรับบั กรู้แลลมุ่ ะเปเข้าา้หใมจพาย้นื ที่จีโอพาร์คโคราชไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ โดยผวู้ จิ ยั โคราชไดอ้ ยา่ งมรีปวรบะรสวิทมธทิภฤาษพฎโีภดมู ยิศผาวู้ สจิ ตยั ร์บรรพกาลนามาเป็ นกรอบในสงั เคราะห์ขอ้ มลู ร่วมกบั ป็ นกรอบในสงั ผเคเู้ ชร่ียาวะชหา์ขญอ้ มจลูานร่ววมนก5บั คน และศึกษาความคิดเห็นกลมุ่ ตวั อยา่ งท่ีมีตอ่ รูปแบบภาพส่ือ คิดเห็นกลมุ่ ตวั อยา่ งท่ีมีตอ่ รูปแบบภาพส่ือ
26 มนษุ ยสังคมสาร (มสส.) ปีท่ี 18 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 ทางทศั น์ จานวน 170 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ คือ แบบสมั ภาษณ์ และแบบสอบถาม การวจิ ยั แบ่งเป็ น 3 ระยะ 1) สงั เคราะห์ขอ้ มลู 2) หารูปแบบท่ีเหมาะสม 3) ผลการออกแบบ สรุปผลการวจิ ยั พบวา่ ระยะท่ี 1) แผน่ ดินโคราชเกิดข้ึนในช่วงเวลา 6 ยคุ 2) ชา้ งกอม โพทีเรียม เป็ นตวั การ์ตนู ดาเนินเรื่องที่เหมาะสมมากท่ีสุด (4.40) แบบลดทอน 3 ส่วน เป็ นสดั ส่วนท่ีเหมาะสมมากท่ีสุด (4.32) เคร่ืองแตง่ กายไทยโคราชเหมาะสมมากที่สุด (4.38) รู้หรือไม่ เป็ นประโยคที่เหมาะสมมากท่ีสุด (4.17) และรูปแบบที่เหมาะสมมี ความสอดคลอ้ งกบั ทฤษฏีการออกแบบกราฟิ กขอ้ มูลของอลั เบร์โต ไคโร และ 3) สามารถจดั วางภาพส่ือทางทศั น์ใหม้ ีขนาดเท่ากบั A4 สาหรับนาไปใชท้ าความเขา้ ใจใน ระยะเวลาอนั ส้นั ได้ คาสาคญั : ภาพส่ือทางทศั น์, ภมู ิศาสตร์บรรพกาล, จีโอพาร์คโคราช Abstract The purposes of research were to 1) synthesize the paleogeography of Khorat Geopark area, and to 2) develop suitable information graphic design for the target group to be able to effectively recognize and understand Khorat Geopark area. The researchers had collected concept and theory of paleogeography, used as a framework for synthesizing the content with five experts and studying the opinions of the target group of 170 people. The tools used were interview and questionnaire. The procedure of research can be divided into three phases: 1) synthesize the content of information, 2) find suitable format, and 3) the result of the design. The result of the research revealed that Phase 1, it was found that Khorat Geopark occurred in the 6th period of the geologic time. Phase 2, gomphotherium was the most suitable cartoon character with the highest score (4.40). The proportion of three parts was the most suitable character with the highest score (4.32). Thai Khorat costumes were the most
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 Journal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) 27 suitable with the highest score (4.38). “Did you know…?” was a sentence that best attracted the interest with the highest score (4.17). Information graphic design was consistent with the graphic design theory of Alberto Caiaro. Phase 3, information graphic could be arranged into the size of A4 as the learning material that was easy to understand. Keywords: information graphic, paleogeography, Khorat Geopark บทนา ท่ีราบสูงโคราช เป็ นพ้ืนที่ท่ีมีความสาคญั อยา่ งยง่ิ ตอ่ การศึกษาสภาพ ธรรมชาติและภมู ิศาสตร์บรรพกาล ซ่ึงจดั วา่ เป็ นดินแดนแห่ง 3 มงกฏุ หรือ UNESCO Triple Crown คือ มีรูปแบบการอนุรักษพ์ ้ืนที่ตามเกณฑข์ ององคก์ ารยเู นสโกครบท้งั 3 รูปแบบ (1) แหลง่ มรดกโลกป่ าดงพญาเยน็ -เขาใหญ่ เป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ (World Heritage Natural) (2) พ้ืนท่ีสงวนชีวมณฑลสะแกราช เป็ นเขตพ้ืนท่ีสงวนชีว มณฑล (Biosphere Reserves) (3) จีโอพาร์คโคราช (Khorat Geopark) เป็ นอทุ ยานธรณี (Geopark) โดยทางจงั หวดั นครราชสีมา มีนโยบายขบั เคล่ือนจีโอพาร์คโคราชไปยงั หน่วยงานท่ีเก่ียวขอ้ งและส่งเสริมใหช้ ุมชนทอ้ งถิน่ ไดเ้ ขา้ มามีส่วนร่วมในการจดั กิจกรรมต่าง ๆ ตามแนวทางของยเู นสโก (Jintasakul, 2018) นอกจากน้ีจีโอพาร์ค โคราชยงั มีพนั ธกิจเก่ียวขอ้ งกบั การศึกษา ซ่ึงไดร้ ่วมมือกบั โรงเรียนในเครือข่ายพ้ืนที่ ร่วมกนั จดั ทาหลกั สูตรทอ้ งถ่ินข้ึน โดย Payakmarerng (Interview, 2019 January 23) ไดก้ ล่าวถึงการบรรจุรายวชิ าจีโอพาร์คโคราชเขา้ ไปสอนในโรงเรียน เพอ่ื เป็นการสร้าง รากฐานความรู้ความเขา้ ใจใหก้ บั เยาวชน อนั จะนาไปสู่การอนุรักษแ์ หลง่ ทรัยพากร ธรณีในพ้ืนที่จีโอพาร์คโคราชไดอ้ ยา่ งยง่ั ยนื แตท่ ้งั น้ียงั มีปัญหาการถ่ายทอดความรู้ ภูมิศาสตร์บรรพกาลที่มีเน้ือหาคอ่ นขา้ งซบั ซอ้ น และครูผสู้ อนยงั ขาดแคลนส่ือโดยตอ้ ง
28 มนุษยสังคมสาร (มสส.) ปีท่ี 18 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 เสาะหาส่ืออ่ืนท่ีมีเน้ือหาใกลเ้ คียงมาใชใ้ นการสอนแทน ทาใหน้ กั เรียนอาจไมไ่ ดร้ ับ ความรู้ตรงกบั เน้ือหาสาระในพ้นื ท่ีจีโอพาร์คโคราชไดด้ ีเท่าท่ีควร ขณะเดียวกนั การเผยแพร่ขอ้ มลู ความรู้ในยคุ เทคโนโลยสี ารสนเทศมี บทบาทช่วยเสริมสร้างคุณภาพการเรียนไดเ้ ป็ นอยา่ งดี แต่อยา่ งไรก็ตามดวงตาของ มนุษยก์ ็ยงั คงทาหนา้ ที่สาคญั ในการนาส่งขอ้ มลู ไปยงั สมองเพ่อื ทาการวเิ คราะห์ โดยหากขอ้ มลู น้นั มีความซบั ซอ้ นและมีปริมาณมากเกินไป กอ็ าจจะส่งผลใหเ้ กิด ความเครียดในระบบของความจาของมนุษยไ์ ด้ (Meeusah, 2013) ดงั น้นั ผวู้ จิ ยั จึงมี ความมงุ่ หมายท่ีจะสงั เคราะห์ขอ้ มลู ภูมิศาสตร์บรรพกาลในพ้นื ท่ีจีโอพาร์ค ใหม้ ี ความกระชบั ดว้ ยกระบวนการแบ่งประเภท วเิ คราะห์ และแปลงขอ้ มูลใหเ้ ป็ นภาพ เพ่ือใชส้ ื่อความหมายแทนขอ้ มลู ดิบตามหลกั การการออกแบบกราฟิ กขอ้ มลู ของ Cairo (2013) ผสานเขา้ กบั หลกั การเล่าเร่ืองเพ่ือใหก้ ารออกแบบภาพส่ือทางทศั น์มี ความชดั เจนน่าใจ ท้งั น้ีเพื่อช่วยใหก้ ลมุ่ เป้าหมายสามารถนาไปใชเ้ รียนรู้และทา ความเขา้ ใจเน้ือหาไดภ้ ายในระยะเวลาอนั ส้นั วตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั 1. สงั เคราะหข์ อ้ มูลภมู ิศาสตร์บรรพกาลในพ้ืนท่ีจีโอพาร์คโคราช 2. ออกแบบภาพส่ือทางทศั น์ที่เหมาะสมกบั กล่มุ เป้าหมายใหส้ ามารถรับรู้ และเขา้ ใจพ้นื ที่จีโอพาร์คโคราชไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ขอบเขตของการวจิ ยั 1. ดา้ นเน้ือหา ศึกษาเอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวกบั ความเป็นมาของการอนุรักษพ์ ้นื ท่ี จีโอพาร์คโคราช ทฤษฎีภมู ิศาสตร์บรรพกาล ทฤษฎีการออกแบบภาพส่ือทางทศั น์ และ ทฤษฎีการเลา่ เร่ือง
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 Journal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) 29 2. พ้ืนท่ีการวจิ ยั จีโอพาร์คโคราช หรืออุทยานธรณีโคราช มีขนาดพ้ืนท่ีประมาณ 3,243 ตารางกิโลเมตรของพ้นื ท่ีในจงั หวดั นครราชสีมา ครอบคลุม 5 อาเภอ ไดแ้ ก่ อาเภอสีคิว้ อาเภอสูงเนิน อาเภอขามทะเลสอ อาเภอเมืองนครรราชสีมา และอาเภอเฉลิมพระเกียรติ 3. ระยะเวลาการวจิ ยั ตารางที่ 1 เดือน ขอบเขตระยะเวลาการวิจัย ม.ค. ก.พ. ม.ี ค. เม.ย. พ.ค. ม.ิ ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. กจิ กรรม 1 การศึกษาเอกสารงานวิจยั 2 การติดต่อหน่วยงานท่ีเกี่ยวขอ้ ง 3 สร้างเคร่ืองมอื ที่ใชใ้ นการวิจยั 4 ทดสอบและแกไ้ ขเคร่ืองมอื 5 การสมั ภาษณ์ผเู้ ชี่ยวชาญ 6 สอบถามความคิดเห็นกล่มุ ตวั อยา่ ง 7 ประมวลผลขอ้ มลู 8 วิเคราะห์และแปลผลขอ้ มูล 9 การสร้างเคา้ โครงภาพร่าง 10 การจดั องคป์ ระกอบภาพสมบูรณ์ 11 การสรุปผลและเขียนรายงาน การดาเนนิ การวจิ ยั การวจิ ยั คร้ังน้ีเป็ นการวจิ ยั แบบผสมผสาน (Mixed method research) ซ่ึง อาศยั กระบวนการวจิ ยั เชิงคุณภาพ วจิ ยั เชิงปริมาณ และวจิ ยั เชิงการออกแบบ โดยแบ่ง วธิ ีการดาเนินการวจิ ยั ออกเป็ น 3 ระยะ ดงั น้ี ระยะท่ี 1 การสังเคราะห์ข้อมูล ผวู้ จิ ยั รวบรวมขอ้ มูลจากเอกสารและงานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ งกบั ภูมิศาสตร์บรรพ กาลในพ้ืนที่จีโอพาร์คโคราช โดยทาการสงั เคราะห์ขอ้ มลู ที่สาคญั ประกอบดว้ ย สภาพ
30 มนุษยสังคมสาร (มสส.) ปีท่ี 18 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 ภมู ิศาสตร์ สิ่งมีชีวติ ในยคุ ดึกดาบรรพ์ และลาดบั อายยุ คุ ธรณีกาล นามาใชเ้ ป็ นกรอบใน การสร้างแบบสมั ภาษณ์ก่ึงโครงสร้าง เพอื่ นาไปสมั ภาษณ์ความคิดเห็นของผเู้ ช่ียวชาญ ดา้ นภูมิศาสตร์บรรพกาล จานวน 5 ท่าน โดยหลงั จากการสมั ภาษณ์ผเู้ ช่ียวชาญ ผวู้ จิ ยั นาขอ้ มูลที่ไดจ้ ากแบบ สมั ภาษณ์ก่ึงโครงสร้างท้งั หมดมาวเิ คราะห์ โดยใชห้ ลกั เกณฑพ์ ิจารณาขอ้ มูล ความคิดเห็นของผเู้ ชี่ยวชาญท่ีเกิดความซ้าไปในทิศทางเดียวกนั ซ่ึงไดค้ า่ เฉล่ียร้อยละ 80 ข้นึ ไป นามาสรุปลงตารางบนั ทึกผลการวจิ ยั ระยะท่ี 1 ดงั ตารางท่ี 2 ตารางที่ 2 ลาดบั ยุคธรณกี าล (ล้านปี ก่อน) ผลการวิจัยระยะที่ 1 การสังเคราะห์ข้อมูล ูจแรส ิซก 163 - 145 145 -100 ีนโอ ีจน 23 - 2.6 ควอเทอ ์ร 2.6 - รายละเอยี ด 100 - 66 นา ีร ัปจ ุจบัน ภูมศิ าสตร์บรรพกาล 66 - 23 ค ีรเท เ ีซยส (คต้ีรเน)ท เ ีซยส (พปาลีลา ีจย)น 1 สภาพพ้ืนดินอุดมสมบูรณ์ 2 สภาพพ้ืนดินแหง้ แลง้ 3 พบซากดึกดาบรรพ์ 4 ไม่พบซากดึกดาบรรพ์ 5 แผน่ ทวีปชนกนั 6 มีแม่น้าไหลผา่ น 7 ป่ าสนฉตั ร 8 ร่องน้าเคม็ 9 หินพุพงั 10 เกิดเทือกเขาเควตา้ 11 อุกกาบาตชนโลก
Vol. 18 No. 1 (May-August) 2020 Journal of Humanities & Social Sciences (JHUSOC) 31 ตารางที่ 2 (ต่อ) ลาดับยุคธรณกี าล (ล้านปี ก่อน) รายละเอยี ด ูจแรส ิซก 163 - 145 145 -100 ีนโอ ีจน 23 - 2.6 ควอเทอ ์ร 2.6 - ภูมิศาสตร์บรรพกาล 100 - 66 นา ีร ัปจ ุจบัน 66 - 23 ค ีรเท เ ีซยส (คต้ีรเน)ท เ ีซยส (พปาลีลา ีจย)น 12 สตั วง์ วง 13 สตั วเ์ ล้ือยคลาน 14 ฉลามน้าจืด 15 ไดโนเสาร์ 16 อิโกนวั ดอนต์ 17 ไฮยนี า 18 กวาง 19 แรด 20 ตะโขง 21 จระเข้ 22 เตา่ 23 มนุษยย์ คุ หิน จากตารางท่ี 2 แสดงการสงั เคราะห์ขอ้ มูล โดยสามารถจาแนกขอ้ มลู สภาพ ภูมิศาสตร์และส่ิงมีชีวติ ดึกดาบรรพไ์ ด้ 23 รายการ จากลาดบั ยคุ ธรณีกาลท้งั หมด 6 ยคุ สมยั ซ่ึงพบการเปล่ียนแปลงสภาพภูมิศาสตร์ในพ้นื ที่จีโอพาร์คโคราชเก่าแก่ที่สุดในยคุ จูแรสซิกประมาณ 163-145 ลา้ นปี ก่อน นอกจากน้ีผวู้ จิ ยั ยงั ไดท้ าการสรุปขอ้ มลู ท้งั หมดอีกคร้ัง โดยจดั รายการ ตา่ ง ๆ ลงแผนผงั เพ่ือใหง้ ่ายต่อการทาความเขา้ ใจและมองเห็นภาพรวมของขอ้ มูล ท้งั หมด ก่อนการนาไปใชอ้ อกแบบภาพส่ือทางทศั น์ ดงั ภาพท่ี 1
32 มนุษยสงั คมสาร (มสส.) ปีท่ี 18 ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน) 2563 ภาพที่ 1: แผนผงั สรุปเน้ือหาประกอบภาพสื่อทางทศั น์ ระยะที่ 2 หารูปแบบทเี่ หมาะสมสาหรับการออกแบบภาพส่ือทางทศั น์ หลงั จากผวู้ จิ ยั ไดผ้ ลการสงั เคราะห์ขอ้ มลู แลว้ จึงนาขอ้ มลู ที่ไดม้ าออกแบบ เคร่ืองมือแบบสอบถามความคิดเห็นของกลมุ่ ตวั อยา่ ง โดยผสานเขา้ กบั หลกั การ ออกแบบกราฟิ กขอ้ มลู ของอลั เบร์โต ไคโร สาหรับใชเ้ ป็ นแนวทางในการออกแบบ ภาพสื่อทางทศั น์ต่อไป 1. ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง ประชากร คือ นกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ในพ้นื ท่ีจีโอ พาร์คโคราช กลุม่ ตวั อยา่ ง คือ นกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียน ท่าชา้ งราษฎร์บารุง บา้ นหนองมว่ ง ตาบลชา้ งทอง อาเภอเฉลิมพระเกียรติ จงั หวดั นครราชสีมา จานวน 170 คน โดยใชว้ ธิ ีการสุ่มตวั อยา่ งแบบแบ่งช้นั (Stratified
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318