ก คำนำ ดว้ ยสำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำมัธยมศึกษำนครสวรรค์จัดทำโครงกำรขับเคลื่อนโครงกำรเสริมสร้ำง คุณธรรม จริยธรรม และธรรมำภิบำลในสถำนศึกษำ “ป้องกันกำรทุจริต” (โครงกำรโรงเรียนสุจริต) สำนักงำน เขตพื้นท่ีกำรศึกษำมัธยมศึกษำนครสวรรค์ จึงเชิญชวนครูและบุคลำกรในสถำนศึกษำ ส่งผลงำนเข้ำร่วม ประกวดแข่งขันกิจกรรมกำรเรียนรู้ ภำยใต้โครงกำรเสริมสร้ำงคุณธรรม จริยธรรม และธรรมำภิบำลใน สถำนศึกษำ “ป้องกนั กำรทจุ รติ ” (โครงกำรโรงเรยี นสุจริต) ประจำปีงบประมำณ 2564 ขึ้น เอกสำรแบบรำยงำนกิจกรรม 1 โรงเรียน 1 นวัตกรรมเล่มนี้ ข้ำพเจ้ำได้รวบรวมข้ึน เพ่ือประกอบกำร ประกวดแข่งขันกิจกรรมกำรเรียนรู้ ภำยใต้โครงกำรเสริมสร้ำงคุณธรรม จริยธรรม และธรรมำภิบำลใน สถำนศึกษำ “ป้องกันกำรทจุ ริต” (โครงกำรโรงเรยี นสุจริต) ประจำปีงบประมำณ 2564 ในกำรรวบรวมเอกสำร แบบรำยงำนกิจกรรม 1 โรงเรียน 1 นวัตกรรมเล่มนี้ ข้ำพเจ้ำขอขอบพระคุณ ดร.ชรินรัตน์ แผงดี ผู้อำนวยกำร โรงเรียนบรรพตพิสัยพิทยำคม รองผู้อำนวยกำรโรงเรียนบรรพตพิสัยพิทยำคม หัวหน้ำกลุ่มสำระกำรเรียนรู้ คณิตศำสตร์ ตลอดจนคณะครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำ และขอบใจนักเรียนทุกคน ที่สนับสนุนและให้ กำลังใจตลอดมำ ข้ำพเจ้ำขอกรำบขอบพระคุณสำนักงำนเขตพ้ืนท่ีกำรศึกษำมัธยมศึกษำนครสวรรค์ และผู้ท่ีมีส่วนร่วม ทุกท่ำน ที่ไดอ้ ำนวยกำรควำมสะดวก และได้จัดใหม้ โี ครงกำรเสริมสรำ้ งคุณธรรม จรยิ ธรรม และธรรมำภบิ ำลใน สถำนศึกษำ “ป้องกันกำรทุจรติ ” (โครงกำรโรงเรยี นสุจรติ ) ประจำปีงบประมำณ 2564 ในคร้ังน้ี อนวุ ตั ร พลู เอ่ียม
สำรบญั ข คำนำ หน้ำ สำรบญั ก กิจกรรม 1 โรงเรยี น 1 นวัตกรรม ข 1. ประเภทผลงำน 1 โรงเรียน 1 นวตั กรรมตอ่ ตำ้ นทุจริต 1 2. ควำมสำคญั ของผลงำน / นวตั กรรมถอดบทเรียน 1 3. วตั ถุประสงค์ 1 4. กระบวนกำรพัฒนำผลงำน 1 โรงเรยี น 1 นวัตกรรมตอ่ ต้ำนทุจรติ 4 5. ขอ้ เสนอแนะและแนวทำงกำรพัฒนำอย่ำงต่อเน่ือง 4 6. จุดเด่น หรอื ลกั ษณะพิเศษของผลงำนนวัตกรรม 18 7. บรรณำนกุ รม 19 20
กจิ กรรมการแลกเปลี่ยนเรยี นรู้ การนาเสนอผลงานและการประกวดแขง่ ขนั กจิ กรรมการเรียนรู้ ภายใต้โครงการเสริมสรา้ งคุณธรรม จริยธรรมและธรรมาภิบาลในสถานศึกษา (โครงการโรงเรียนสุจรติ ) สานกั งานเขตพ้นื ทกี่ ารศกึ ษามัธยมศึกษานครสวรรค์ กิจกรรม 1 โรงเรยี น 1 นวัตกรรม ช่อื ผลงาน การจัดการเรียนรทู้ างคณติ ศาสตรท์ ี่สง่ เสรมิ คณุ ลักษณะโรงเรียนสจุ ริต เจา้ ของผลงาน นายอนุวัตร พลู เอี่ยม ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการพเิ ศษ โรงเรยี น บรรพตพิสยั พิทยาคม สหวทิ ยาเขต ทุง่ หินเทนิ สงั กดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศกึ ษามัธยมศึกษานครสวรรค์ โทรศพั ท์ 056-279259 โทรสาร 056-279075 มอื ถือ 090-4601468 E-Mail : [email protected] ผลงานสอดคล้องกับคุณลักษณะโรงเรียนสจุ ริต (เลือกไดม้ ากกว่า 1 ประการ) ทักษะกระบวนการคดิ มวี ินยั ซือ่ สัตย์ สุจรติ อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง จิตสาธารณะ รายละเอยี ดผลงาน 1. ประเภทผลงาน 1 โรงเรียน 1 นวัตกรรมต่อต้านทุจริต (เลอื กได้เพียง 1 ด้านเท่านั้น) การจดั การเรยี นรู้ สือ่ และเทคโนโลยเี พ่อื การเรียนรู้ การบริหารและการจัดการสถานศึกษา การสง่ เสริมและพฒั นาผูเ้ รียนใหเ้ ตม็ ศักยภาพ การวัดและประเมินผล อนื่ ๆ 2.ความสาคัญของผลงาน / นวัตกรรมถอดบทเรยี น คณิตศาสตร์มีบทบาทสาคัญย่ิงต่อการพัฒนาความคิดมนุษย์ ทาให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์ คิด อย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างถ่ีถ้วน รอบคอบ ช่วยให้ คาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ แก้ปัญหา และนาไปใช้ในชีวิตประจาวันได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม นอกจากนี้ คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและศาสตร์อ่ืน ๆ คณิตศาสตร์จึงมี ประโยชน์ต่อการดาเนินชีวิต ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551 : 54) คณิตศาสตร์มีบทบาทสาคัญในวงการธุรกิจ อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีนั้นต้อง อาศัยหลักการทางคณิตศาสตร์ทั้งส้ิน ซ่ึงรวมถึงการดารงชีวิตประจาวันของเราจาเป็นต้อง เก่ยี วขอ้ ง กับคณิตศาสตร์อยู่ตลอดเวลา (นนั ทพิ า กงวิไล, 2544 : 72 )
2 จากความสาคัญดังท่ีกล่าวมา จะเห็นได้ว่าวิชาคณิตศาสตร์เป็นศาสตร์ที่มีความสาคัญ ศาสตร์หนึ่ง ซึ่ง การศึกษาคณิตศาสตร์สาหรบั หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 เป็นการศึกษาเพ่อื ปวง ชนท่ีเปิดโอกาสให้เยาวชนทุกคนได้เรียนรู้คณิตศาสตร์อย่างต่อเน่ืองและ ตลอดชีวิตตามศักยภาพ ซ่ึงเม่ือผู้เรียน จบการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐานแล้ว ผูเ้ รียนจะมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาสาระคณิตศาสตร์ มที ักษะกระบวนการทาง คณิตศาสตร์ มีเจตคติท่ีดตี ่อวชิ าคณิตศาสตร์ และสามารถนาความรู้ทางคณติ ศาสตรไ์ ปเปน็ เคร่ืองมอื ในการเรยี นรู้ สง่ิ ตา่ ง ๆ ตลอดจนสามารถนาไปใช้ในชีวิตประจาวนั ได้อยา่ งมคี วามสุข (สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และ เทคโนโลยี, 2546 : 2) ดังนั้นคณิตศาสตร์จึงมีความสาคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีความ สมบรู ณ์และมคี ุณภาพชวี ติ ทด่ี ียง่ิ ขึ้น จากรายงานผลการประเมินคุณภาพการศึกษาระดบั ชาติ ดา้ นผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนวชิ าคณติ ศาสตร์ โรงเรียนบรรพตพิสัยพิทยาคม สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 ปีการศึกษา 2562 พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีคะแนนต่ากวา่ รอ้ ยละ 50 จานวน 114 คน จากนักเรียนท้ังหมด 116 คน คิดเป็น ร้อยละ 98.28 ของนักเรียนทั้งหมด และยังมีคะแนนเฉล่ียต่ากว่าคะแนนเฉลี่ยระดับเขตพ้ืนที่การศึกษา (สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42, 2562 ) จากสรุปผลการเรียนการสอนของผู้วิจัยในรายวิชา คณิตศาสตร์ ระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 4 รหสั วิชา ค31102 ภาคเรียนที่ 2/2562 พบวา่ นักเรียนที่มีคะแนนต่ากว่า ร้อยละ 70 มีจานวน 111 คน จากนักเรียนท้ังหมด 159 คน คิดเป็นร้อยละ 69.81 โดยมีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 61.00 ซึง่ เป็นคา่ เฉล่ียทตี่ ่ากว่าเกณฑ์มาตรฐานของกล่มุ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตรท์ ่ีกาหนดไวค้ ือร้อยละ 70 จะ เหน็ ได้ว่า ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณติ ศาสตรอ์ ยู่ในเกณฑท์ ตี่ ่า (งานทะเบียนวดั ผลและประเมนิ ผล, โรงเรียน บรรพตพสิ ยั พทิ ยาคม, 2562, น. 7) การแก้ไขปัญหาการจัดกระบวนการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ นับว่าเป็นสิ่งท่ี สาคัญสาหรบั ครผู ู้สอนท่ีจะตอ้ งเขา้ ใจ พฒั นารปู แบบการสอนเพื่อให้ผู้เรยี นได้เรียนรวู้ ิชาคณติ ศาสตรไ์ ด้บรรลตุ าม วัตถุประสงค์ของหลักสูตร ซ่ึงหลักการสอนคณิตศาสตร์คือให้นักเรียนได้เข้าใจพ้ืนฐานในคณิตศาสตร์ รู้จักใช้ ความคิดริเริ่ม รู้เหตุผล และรู้ถึงโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ การเรียนรู้ควรเชื่อมโยงกับส่ิงที่เป็นรูปธรรมให้มาก ท่ีสุด เน้นการฝกึ ฝนใหเ้ กดิ ทักษะ การสังเกต การคิดตามลาดบั เหตุผล แสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดอยา่ งมีระบบ ระเบียบ ง่าย กะทัดรัด สื่อความหมายได้ มีความละเอียดถี่ถ้วน มีความมั่นใจ แม่นยาและรวดเร็ว(ชมนาค เช้อื สุวรรณทว.ี 2542 : 7) ควรเริม่ สอนจากส่ิงที่เป็นรูปธรรมไปหานามธรรม สอนจากเรือ่ งท่ีง่ายก่อนสอนเร่ืองที่ ยาก สอนตรงตามเน้ือหาที่ต้องการสอน คิดไปตามลาดับขั้นอย่างมีเหตุผล สอนด้วยหลักจิตวิทยา สร้างแรงจูงใจ เสริมกาลังใจกับนักเรียน (สิริพร ทิพย์คง. 2545 : 110 - 111) ซึ่งครูต้องศึกษาจิตวิทยาการสอนที่จะทาให้ ผูเ้ รียนพฒั นาไปสจู่ ุดประสงค์ ในการสอนแต่ละครั้งครูต้องตระหนักว่า สอนอะไร สอนอย่างไร ผู้เรยี นสาเรจ็ บรรลุ ตามจดุ มุ่งหมายหรือไม่อยา่ งไร ตอ้ งยึดหลักใช้กลวิธีหลาย ๆ อย่างไร ในการดาเนินการสอนให้ผู้เรียนเกิดมโนคติ (Concept) ด้วยตนเอง (วรินทรา วัชรสิงห์. 2537 : 3 - 12) ในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งสอดคล้องกับ สุรชัย โกศิยะกุล (2553 : 33) ที่กล่าวว่าหากครูผู้สอนนานวัตกรรมทางการศึกษามาใช้ก็จะทาให้นักเรียนเกิด การเรียนรู้ได้เร็วขึ้น นักเรียนเข้าใจบทเรียนเป็นรูปธรรม บทเรียนน่าสนใจ เกิดบรรยากาศการเรียนรู้อย่าง สนุกสนาน นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง นวัตกรรมการเรียนรู้มีหลายประเภทด้วยกัน เช่น ชุดการสอน เอกสารประกอบการสอน บทเรยี นสาเร็จรูป แบบฝึก ชดุ ฝกึ บทเรยี นโปรแกรม คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็นต้น การเรียนคณิตศาสตร์น้ันนอกจากการเรียนให้เข้าใจแล้ว จะต้องให้เกิดทักษะด้วยจึงจะเกิดประโยชน์ การฝึกทักษะคณิตศาสตร์เป็นประจาช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ และนาไปสู่ความสาเร็จในการเรียน คณิตศาสตร์ (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 2547 : 21) ดงั น้ัน การจัดกิจกรรมการเรียน การสอนเพ่ือให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในคณิตศาสตร์จาเป็นต้องอาศัยสื่อหรือนวัตกรรมท่ีน่าสนใจ และ
3 การสอนโดยใชแ้ บบฝึกทักษะเปน็ การสอนท่ีสนกุ อีกวิธหี นงึ่ กลา่ วคอื เป็นการให้นกั เรียนได้ทาแบบฝึกมาก ๆ เป็น ส่งิ ท่ีจะชว่ ยใหน้ ักเรยี นมพี ัฒนาการทางการเรียนรใู้ นเน้อื หาวชิ าได้ดีขน้ึ เพราะนักเรยี นมโี อกาสนาความรู้ ที่เรียนมาแล้ว และฝกึ ให้เกิดความเข้าใจยิ่งขึ้น ซง่ึ แบบฝึกทักษะเป็นสื่อการเรียนประเภทหนึ่งที่เป็นสว่ นเพิ่มเติม หรอื เสรมิ สาหรับให้นกั เรียนฝกึ ปฏิบตั ิเพ่อื ใหเ้ กิดความรู้ ความเขา้ ใจ และมีทกั ษะเพิ่มขึน้ การให้นักเรยี นไดท้ าแบบ ฝกึ มาก ๆ ชว่ ยให้มพี ฒั นาการทางดา้ นเน้อื หาวิชาไดด้ ขี นึ้ (วมิ ลรัตน์ สุนทรโรจน์. 2545 : 113) ดว้ ยเหตุผลดังกล่าวนวัตกรรมที่จะสามารถแก้ปัญหาหรือทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการฝึกน่ันคือ การใช้แบบฝกึ ทกั ษะ เพราะแบบฝกึ ทักษะได้แบ่งเนือ้ หาออกเป็นหน่วยย่อย โดยการเรยี งลาดับเน้ือหาจากงา่ ยไป หายาก มีตัวอย่างและแบบฝึกทักษะท่ีมีความยากง่ายเหมาะสมกับวัยของนักเรียนในแต่ละระดับช้ัน ครูผู้สอน จาเป็นต้องกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจให้กับนักเรียนได้ฝึกปฏิบัติด้วยตัวของผู้เรียนเอง (วรสุดา บุญยไวโรจน์. 2540 : 36) การเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะมีผลต่อความสามารถในการเรียนรู้ของนักเรียนสูงข้ึน และเป็นวิธี สอนท่ีนามาใชใ้ นการแก้ปัญหาการเรียนการสอนคณติ ศาสตร์ได้ผลดี ซ่ึง กีรติ สายสิงห์ (2551 : บทคัดย่อ) ได้ทา การวิจัยเร่ือง การพัฒนาชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกาลัง สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัยพบวา่ ชุดฝึกทักษะคณติ ศาสตร์ เรื่องเลขยกกาลัง สาหรับนักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 ท่ีผวู้ ิจยั สร้าง ขึน้ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.63/80.27 ซึ่งสงู กว่าเกณฑ์ท่ีต้ังไว้ และคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นคณิตศาสตร์ เรอ่ื งเลขยกกาลงั ของนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ทไี่ ด้รับการสอนโดยใชช้ ดุ ฝกึ ทักษะหลังเรียนสูงกวา่ ก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 ซึ่งสอดคล้องกับ กัณฐัศว์ ชัยเศรษฐศิริ (2558 : บทคัดย่อ) ได้ทาการวิจัย เรื่อง การสร้างและพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ รายวิชาคณิตศาสตร์เพ่ิมเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ความน่าจะเป็น ผลการวิจัยพบว่า การสร้างและพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ รายวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 เรื่อง ความน่าจะเป็น มีประสิทธภิ าพโดยภาพรวม เท่ากบั 83.97 / 81.89 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์ มาตรฐาน ท่ีกาหนดไว้ 80/80 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนท่ีเรียนด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ วิชา คณิตศาสตร์เพิม่ เตมิ ระดับช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 5 เรื่อง ความนา่ จะเปน็ หลังเรยี นสูงกวา่ ก่อนเรยี นอย่างมนี ัยสาคัญ ทางสถติ ิทร่ี ะดับ .05 และความพึงพอใจในการเรยี นของนักเรียนวชิ าคณิตศาสตรเ์ พ่ิมเติม ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 5 เร่ือง ความน่าจะเป็น ที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด จึงสรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะจึงเป็นส่ิงจาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะช่วยเพ่ิมพูนทักษะให้แก่นักเรียน ช่วยให้นักเรียนมีพัฒนาการทาง คณติ ศาสตรด์ ขี ้ึน นวัตกรรมอย่างหนึ่งที่นามาจัดกิจกรรมที่สนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ได้แก่ การเรียนรู้โดย กระบวนการทางานร่วมกันซึ่งเป็นการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative learning) วิธีนี้เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ เรียนเป็นกลุ่มมากข้ึน เป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ได้เรียนรู้จากกันและกัน ได้แลกเปลี่ยน ข้อมูลความรู้ความคิดและประสบการณ์แก่กันและกันมากที่สุดเท่าท่ีจะทาได้ (ทิศนา แขมมณี, 2524, น. 2) ซึ่ง จะส่งผลให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตร์และเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์สูงขึ้นสอดคล้องกับ (สมศักด์ิ ขจรเจริญกุล, 2538, น. 19) ที่กล่าวว่า การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมทาให้นักเรียนรู้จักวิธีการเรียนรู้แบบ กลุ่มย่อยได้ร่วมคิดร่วมทา ร่วมแก้ปัญหาในกิจกรรมจนสาเร็จและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ให้นักเรียนมี ปฏสิ ัมพนั ธ์ในกลมุ่ วิธีการเรียนแบบรว่ มมือวธิ ีหนึ่งที่สามารถจะช่วยแก้ปัญหาท่ีการเรียนการสอนนั้นได้คือ การเรียนแบบ กลุ่มช่วยเรียนรายบุคคล (Team assisted individualization หรือ TAI ) เพราะเป็นการ เรยี นที่เน้นให้นักเรียน ได้ทางานร่วมกันเป็นกลุ่มมีความรับผิดชอบต่อกลุ่มร่วมกัน และเปิดโอกาส ให้นักเรียนท่ีมีความสามารถทางการ เรียนที่ต่างกันได้ช่วยเหลือซ่ึงกันและกันในการเรียนโดยเฉพาะนักเรียนท่ีมีความสามารถทางการเรียนอยู่ใน ระดับสูงได้ช่วยเหลือนักเรียนท่ีมีระดับ ความสามารถทางการเรียนในระดับต่ากว่า ซ่ึงใช้ภาษาในระดับของ นักเรียนเองทาใหน้ ักเรียนเกิดความเข้าใจในเนอ้ื หาที่เรียนง่ายข้ึน และเป็นการลดบทบาทของครูลงมาเป็นเพยี งผู้
4 เตรียมการเรียนการสอนเป็นผู้ให้คาแนะนาในการเรียน และเป็นผู้จัดบรรยากาศให้เอ้ืออานวยต่อการเรียน จาก การศึกษางานวิจัย การสอนคณิตศาสตร์โดยใช้วิธีสอนแบบกลุ่มช่วยเรียน-รายบุคคล ทาให้ผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนสูงข้ึน ดังงานวิจัยของ กนกศรี วิลาวัลย์ (2553) ได้ทาการวิจัยเรื่อง “ การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบ กลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน ชั้นมัธยมศึกษา-ปีท่ี 1 ” พบว่า นักเรียนท่เี รียนรู้แบบกลมุ่ รว่ มมือเทคนคิ TAI มีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรยี น และทา ให้เจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ดังงานวิจัยของ ฐิติพจน์ โพธิ์ช่ืน (2551) ทาวิจัยเรื่อง “ ผลการสอนโดยใชก้ ารเรียนแบบร่วมมือแบบกลุม่ ช่วยเรียนรายบคุ คลท่มี ีต่อผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นและเจตคติต่อ วชิ าคณติ ศาสตร์ ของนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 6 ” ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ที่ได้รับ การสอนโดยใช้การเรียนแบบร่วมมือแบบกลุ่มช่วยเรียนรายบุคคลมีเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน อย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ิทร่ี ะดบั .05 ดงั น้ัน ผู้รายงานจงึ มีความสนใจที่จะพัฒนาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนกั เรียนใหส้ ูงข้ึน ด้วยการสร้างและพัฒนาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เร่ือง ระบบจานวนจริง โดยใช้การจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือแบบกลุ่มช่วยเรียนรายบุคคล สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนบรรพตพิสัย - พิทยาคม ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และใช้แบบฝึกทักษะเพื่อส่งเสริมและพัฒนา ความสามารถในการคิดคานวณและมที ักษะทางคณิตศาสตร์ของนกั เรียนให้ดีขึ้น มีเจตคติที่ดีตอ่ วิชาคณิตศาสตร์ สามารถนาความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในการเรียนในระดับท่ีสูงขึ้น พัฒนา ตนเอง และประเทศชาติต่อไป 3. วัตถุประสงค์ 1. เพ่ือพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เร่ือง ระบบจานวนจริง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ แบบกลุ่มช่วยเรียนรายบคุ คล สาหรบั นกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 ใหม้ ปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพ่ือเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรยี นและหลังเรียนของนักเรียนท่เี รยี นดว้ ยแบบฝึกทักษะ คณิตศาสตร์ เร่ือง ระบบจานวนจริง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบกลุ่มช่วยเรียนรายบุคคล สาหรับ นกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4 3. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เร่ือง ระบบ จานวนจริง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบกลุ่มช่วยเรียนรายบุคคล สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีท่ี 4 4. กระบวนการพฒั นาผลงาน 1 โรงเรยี น 1 นวัตกรรมต่อตา้ นทุจรติ 4.1 สภาพปญั หาก่อนการพัฒนา จากรายงานผลการประเมินคุณภาพการศึกษาระดบั ชาติ ดา้ นผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนวชิ าคณติ ศาสตร์ โรงเรยี นบรรพตพิสัยพิทยาคม สังกัดสานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 ปีการศึกษา 2562 พบว่า นกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 มคี ะแนนตา่ กว่ารอ้ ยละ 50 จานวน 114 คน จากนักเรียนท้ังหมด 116 คน คดิ เป็น ร้อยละ 98.28 ของนักเรียนท้ังหมด และยังมีคะแนนเฉลี่ยต่ากว่าคะแนนเฉลี่ยระดับเขตพ้ืนที่การศึกษา (สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42, 2562 ) จากสรุปผลการเรียนการสอนของผู้วิจัยในรายวิชา คณติ ศาสตร์ ระดับชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 4 รหัสวชิ า ค31102 ภาคเรียนที่ 2/2562 พบว่านกั เรยี นท่ีมีคะแนนต่ากว่า ร้อยละ 70 มีจานวน 111 คน จากนักเรียนท้ังหมด 159 คน คิดเป็นร้อยละ 69.81 โดยมีคะแนนเฉล่ียร้อยละ 61.00 ซึง่ เป็นคา่ เฉล่ียที่ต่ากว่าเกณฑ์มาตรฐานของกล่มุ สาระการเรียนรู้คณติ ศาสตร์ท่ีกาหนดไวค้ อื ร้อยละ 70 จะ เห็นได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณติ ศาสตร์อยู่ในเกณฑ์ทีต่ ่า (งานทะเบยี นวัดผลและประเมินผล, โรงเรียน บรรพตพสิ ยั พิทยาคม, 2562, น. 7)
5 นวัตกรรมอย่างหน่ึงที่นามาจัดกิจกรรมที่สนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ได้แก่ การเรียนรู้โดย กระบวนการทางานร่วมกันซึ่งเป็นการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative learning) วิธีน้ีเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ เรียนเป็นกลุ่มมากขึ้น เป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ได้เรียนรู้จากกันและกัน ได้แลกเปล่ียน ข้อมูลความรู้ความคิดและประสบการณ์แก่กันและกันมากท่ีสุดเท่าที่จะทาได้ (ทิศนา แขมมณี, 2524, น. 2) ซ่ึง จะส่งผลให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์สูงขึ้นสอดคล้องกับ (สมศักดิ์ ขจรเจริญกุล, 2538, น. 19) ท่ีกล่าวว่า การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมทาให้นักเรียนรู้จักวิธีการเรียนรู้แบบ กลุ่มย่อยได้ร่วมคิดร่วมทา ร่วมแก้ปัญหาในกิจกรรมจนสาเร็จและช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพการเรียนรู้ให้นักเรียนมี ปฏสิ มั พันธ์ในกลุ่ม วิธีการเรียนแบบรว่ มมือวธิ ีหน่ึงท่ีสามารถจะช่วยแก้ปัญหาท่ีการเรียนการสอนน้ันได้คือ การเรียนแบบ กลุ่มช่วยเรียนรายบคุ คล (Team assisted individualization หรือ TAI ) เพราะเป็นการ เรียนที่เน้นให้นักเรียน ได้ทางานร่วมกันเปน็ กลุ่มมีความรับผิดชอบต่อกลุ่มร่วมกัน และเปิดโอกาส ให้นักเรียนท่ีมีความสามารถทางการ เรียนที่ต่างกันได้ช่วยเหลือซ่ึงกันและกันในการเรียนโดยเฉพาะนักเรียนที่มีความสาม ารถทางการเรียนอยู่ใน ระดับสูงได้ช่วยเหลือนักเรียนท่ีมีระดับ ความสามารถทางการเรียนในระดับต่ากว่า ซ่ึงใช้ภาษาในระดับของ นกั เรียนเองทาให้นักเรียนเกิดความเข้าใจในเนอื้ หาทเี่ รียนง่ายข้ึน และเป็นการลดบทบาทของครูลงมาเป็นเพียงผู้ เตรียมการเรียนการสอนเป็นผู้ให้คาแนะนาในการเรียน และเป็นผู้จัดบรรยากาศให้เอื้ออานวยต่อการเรียน จาก การศึกษางานวิจัย การสอนคณิตศาสตร์โดยใช้วิธีสอนแบบกลุ่มช่วยเรียน-รายบุคคล ทาให้ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนสูงข้ึน ดังงานวิจัยของ กนกศรี วิลาวัลย์ (2553) ได้ทาการวิจัยเรื่อง “ การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบ กลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เร่ือง ทศนิยมและเศษส่วน ช้ันมัธยมศึกษา-ปีท่ี 1 ” พบว่า นกั เรียนทีเ่ รียนรู้แบบกลมุ่ ร่วมมือเทคนคิ TAI มีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรยี นสูงกว่าก่อนเรยี น และทา ให้เจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ดังงานวิจัยของ ฐิติพจน์ โพธ์ิช่ืน (2551) ทาวิจัยเรื่อง “ ผลการสอนโดยใช้การเรียนแบบร่วมมือแบบกลุ่มชว่ ยเรยี นรายบุคคลที่มตี อ่ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นและเจตคตติ ่อ วชิ าคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 ” ผลการวิจัยพบว่า นักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับ การสอนโดยใช้การเรียนแบบร่วมมือแบบกลุ่มช่วยเรียนรายบุคคลมีเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติทีร่ ะดับ .05 ดงั นัน้ ผู้รายงานจงึ มีความสนใจท่ีจะพัฒนาผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นวิชาคณิตศาสตร์ของนกั เรยี นให้สูงขึ้น ด้วยการสร้างและพัฒนาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เร่ือง ระบบจานวนจริง โดยใช้การจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือแบบกลุ่มช่วยเรียนรายบุคคล สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบรรพตพิสัย - พิทยาคม ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และใช้แบบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมและพัฒนา ความสามารถในการคิดคานวณและมีทักษะทางคณิตศาสตร์ของนกั เรียนใหด้ ีข้ึน มีเจตคติท่ีดีต่อวิชาคณติ ศาสตร์ สามารถนาความรู้และประสบการณ์ท่ีได้รับไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในการเรียนในระดับที่สูงขึ้น พัฒนา ตนเอง และประเทศชาตติ ่อไป 4.2 การออกแบบนวัตกรรมเพื่อการพัฒนา กรอบแนวคดิ ของการศกึ ษา การสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบกลุ่มช่วยเรียน รายบุคคล เป็นการสอนที่สนุกอีกวิธีหน่ึง กล่าวคือ เป็นการให้นักเรียนได้ทาแบบฝึกมาก ๆ เป็นส่ิงที่จะช่วยให้ นักเรียนมีพัฒนาการทางการเรียนรใู้ นเนื้อหาวชิ าได้ดีข้ึน เพราะนักเรียนมโี อกาสนาความรู้ทเ่ี รียนมาแล้ว และฝึก ให้เกิดความเข้าใจย่ิงขึ้น ซึ่งแบบฝึกทักษะเป็นสื่อการเรียนประเภทหน่ึงท่ีเป็นส่วนเพ่ิมเติมหรือเสริมสาหรับให้ นักเรยี นฝกึ ปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้ ความเขา้ ใจ และมีทกั ษะเพม่ิ ขึ้นการให้นกั เรียนไดท้ าแบบฝึกมาก ๆ ชว่ ยให้มี พัฒนาการทางด้านเน้ือหาวิชาได้ดีขนึ้
6 ทฤษฎีการเรียนแบบร่วมมอื เปน็ ทฤษฎีท่ีมุ่งเน้นให้ครูและนักเรยี นท้ังช้ันร่วมมือกัน แลกเปลี่ยนทัศนะ ความคิด การเรียนแบบรว่ มมือเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนทเี่ ปิดโอกาส ให้นกั เรยี นไดเ้ รียนรู้ร่วมกนั เป็น กลุ่มเล็ก ๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความรู้ ความสามารถ แตกต่างกัน ทางานร่วมกันเพ่ือเป้าหมาย ของกลุ่ม โดยสมาชิกมคี วามรบั ผดิ ชอบรว่ มกนั ทั้งในส่วนตัวและส่วนรวม และได้รบั รางวัลร่วมกัน เม่อื กลุ่มทางาน สาเร็จตามเป้าหมาย ช่วยลดความเห็นแก่ตัวและการแข่งขันในหมู่นักเรียนได้เป็นอย่างดี แต่ข้อสาคัญก็คือสิ่งที่ นักเรียนจะกระทาร่วมกนั น้ัน ควรมีพ้ืนฐานอยู่บนความสนใจและความอยากรู้อยากเห็นของนกั เรียน ตลอดจนมี ความหมายแกน่ กั เรียนดว้ ย จากการศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี เกี่ยวกับการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ พบว่า นวัตกรรมท่ีจะ สามารถแก้ปัญหาหรือทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการฝึกนั่นคือ การใช้แบบฝึกทักษะ เพราะแบบฝึกทักษะ ได้แบ่งเน้ือหาออกเป็นหน่วยย่อย โดยการเรียงลาดับเน้ือหาจากง่ายไปหายาก มตี ัวอย่างและแบบฝึกทักษะท่ีมี ความยากงา่ ยเหมาะสมกับวัยของนักเรียนในแตล่ ะระดับช้นั ครูผู้สอนจาเป็นต้องกระตนุ้ และสรา้ งแรงจงู ใจให้กับ นกั เรยี นได้ฝึกปฏบิ ัตดิ ้วยตัวของผูเ้ รียนเอง อกี ทง้ั แบบฝกึ ทักษะเปน็ สอื่ ท่ีชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นได้เรยี นรดู้ ้วยตนเอง ยังช่วย ให้ผู้เรียนได้ทราบความก้าวของตนเองหลังจากได้ฝึกทาแบบฝึกทักษะทันที ผู้เรียนได้ฝึกทักษะในหลาย ๆ รปู แบบ นอกจากน้ียังช่วยลดภาระของครูผู้สอนไดอ้ ีกด้วย (วรสุดา บุญยไวโรจน์. 2540 : 36) และช่วยในเรื่อง ความแตกต่างระหว่างบุคคล เน่ืองจากเด็กมีความสามารถในการใช้ภาษาแตกต่างกัน การให้เด็กทาแบบฝึกที่ เหมาะสมกับความสามารถจะทาให้ประสบความสาเร็จในดา้ นจิตใจมากข้ึน ดังนั้นแบบฝกึ จึงไม่ใช่สมุดฝึกแต่เป็น แหล่งประสบการณ์และเป็นเครื่องมือท่ีมีค่าของครูท่ีจะสนองต่อความต้องการเป็นรายบุคคลในช้ันเรียน (นิยา วิชัยดิษฐ์. 2538 : 36) นอกจากนี้ แบบฝึกทักษะเป็นเคร่ืองมือจาเป็นต่อการฝึกทักษะ พัฒนาความสามารถใน การแก้โจทย์ปญั หาทางคณิตศาสตร์ของนกั เรียน และการฝกึ แต่ละทักษะน้นั ควรมหี ลายแบบเพ่ือนักเรียนจะไดไ้ ม่ เบื่อ และนอกจากน้ีแบบฝึกทักษะยังมีประโยชน์สาหรับครูในการสอน ทาให้ทราบพัฒนาการทางทักษะนั้น ๆ ของเด็ก และเห็นข้อบกพร่องในการเรียน เพื่อจะได้แก้ไขปรับปรุงได้ทนั ท่วงที ช่วยทาให้ผู้เรียนประสบผลสาเร็จ ในการเรียนได้ดี (พรพรหม อัตตวัฒนากุล. 2547 : 23) นอกจากน้ีการสอนโดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ แบบกลุ่มช่วยเรียนรายบุคคล พบว่า กิจกรรมการเรียนการสอนทาให้นักเรียนได้ทากิจกรรมด้วยตนเองตาม ความสามารถ ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีโอกาสทางานร่วมกันเป็นกลุ่มยอ่ ย มีการช่วยเหลือแลกเปล่ียนประสบการณ์ และแลกเปลยี่ นความเห็นซึ่งกันและกันทาใหผ้ เู้ รยี นเกิดการเรียนรู้ (ไพรวัลย์ ปินทะนา, 2547, น. 27) และผเู้ รยี น ทีม่ ีความสามารถต่าหรือเรียนไม่เก่งมีโอกาสแสดงความคดิ เห็น ทากิจกรรมและประสบผลสาเร็จในการเรียน ย่ิง ไปกว่านั้นยังสง่ เสริมด้านพุทธิพิสัย ทาให้ผเู้ รียนรูจ้ ักใช้เหตุผลและรู้จักใช้ความคิดอย่างรอบคอบ (Johnson and Johnson, 1987, pp. 24 - 28; อ้างถึงใน อรรถพล บุญกลิ่น, 2551, น. 25 - 26) นอกจากน้ี ยังช่วยเสริมสร้าง แรงจูงใจซึ่งเกิดจากการช่วยเหลือกันของกลุ่มเพื่อน (วันทนีย์ บุญสุวรรณ์, 2540, น. 7) นอกจากนี้ยังช่วย เสริมสร้างบรรยากาศในการเรียนให้ดีข้ึน ช่วยลดความตึงเครียด เกิดความสนุกสนาน และสามารถสร้างความ ภูมิใจในการเรยี นได้ (ไพรวัลย์ ปินทะนา, 2547, น. 27) ย่ิงไปกว่านั้นยังทาให้ผเู้ รียนรู้สกึ เห็นคุณค่าในตนเองและ รูส้ ึกว่าได้รับการยอมรับ (Johnson and Johnson, 1987, pp. 24 - 28 ; อ้างถึงใน อรรถพล บุญกล่ิน, 2551, น. 25 - 26) ผู้วิจัยจึงได้นาการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบกลุ่ม ชว่ ยเรียนรายบุคคลมาใช้ในการเรยี นการสอนโดยกาหนดเป็นกรอบแนวคดิ ของการศึกษา ดังแสดงในภาพท่ี 1.1
7 แนวคดิ /ทฤษฎี ตวั แปรอสิ ระ ตวั แปรตาม 1. ผูเ้ รยี นไดฝ้ ึกทกั ษะในหลาย ๆ รปู แบบ การจดั กิจกรรมการเรยี นการ ผลสมั ฤทธ์ิทาง 2. ช่วยในเรอื่ งความแตกตา่ งระหว่าง สอนโดยใชแ้ บบฝึกทักษะ การเรียน บุคคล คณิตศาสตร์โดยใช้การเรยี น 3. พฒั นาความสามารถในการแกโ้ จทย์ แบบร่วมมอื แบบกลุ่มชว่ ยเรยี น วิชาคณิตศาสตร์ ปัญหาทางคณติ ศาสตร์ รายบุคคล มีขน้ั ตอนการสอน 4. ผู้เรยี นได้ทราบความก้าวของตนเอง ความพงึ พอใจ หลงั จากไดฝ้ ึกทาแบบฝึกทักษะทันที ดงั นี้ ของนักเรียนทม่ี ี 5. นกั เรียนได้ทากจิ กรรมด้วยตนเองตาม 1. ทบทวนความรเู้ ดิม/พื้นฐาน ตอ่ แบบฝกึ ทักษะ ความสามารถ คณิตศาสตร์ 6. นกั เรยี นไดม้ ีโอกาสทางานรว่ ม กนั เปน็ 2. นาเสนอเนือ้ หาใหม่ กลมุ่ ยอ่ ย มีการช่วยเหลอื แลกเปล่ยี น 3. ทากจิ กรรม ประสบการณ์ และแลกเปล่ียนความเห็น ซ่งึ กันและกัน 4.วดั และประเมนิ ผลย่อย 7. นักเรยี นทีม่ คี วามสามารถต่าหรือเรียน 5.วดั และประเมนิ ผลรวม ไม่เก่งมีโอกาสแสดงความคดิ เห็น และทา กิจกรรม 6. หาคะแนนเฉลยี่ ของกล่มุ 8. เสริมสรา้ งบรรยากาศในการเรยี นใหด้ ี ขน้ึ ชว่ ยลดความตรึงเครยี ด เกิดความ สนุกสนาน ภาพที่ 1.1 แสดงกรอบแนวคดิ ของการศกึ ษา 4.3 ขั้นตอนการดาเนนิ งานพัฒนา 1) เคร่อื งมอื ท่ีใช้ในการศึกษา 1. แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบจานวนจริง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบกลุ่ม ช่วยเรยี นรายบคุ คล สาหรบั นักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 4 จานวน 4 เลม่ ได้แก่ เลม่ ท่ี 1 จานวนจริงและสมบัติของจานวนจรงิ เล่มท่ี 2 การแกส้ มการพหุนามตวั แปรเดยี วและสมบัติของการไมเ่ ท่ากัน เล่มที่ 3 ชว่ งและการแก้อสมการ เลม่ ท่ี 4 ค่าสัมบรู ณ์ และการแก้สมการและอสมการในรูปค่าสัมบูรณ์
8 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นกอ่ นเรยี นและหลังเรียน กลุ่มสาระการเรยี นรคู้ ณิตศาสตร์ เรอ่ื ง ระบบจานวนจริง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เป็นข้อสอบแบบปรนัย ชนดิ เลอื กตอบ 4 ตวั เลอื ก จานวน 30 ขอ้ 3. แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบจานวนจริง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบกลุ่มช่วยเรียนรายบุคคล สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ แบบสอบถามแบบมาตราประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดบั จานวน 15 ขอ้
9 2) ลักษณะของเคร่ืองมือทผี่ ู้รายงานสรา้ งขนึ้ มีดังน้ี 1. ลกั ษณะของแบบฝึกทกั ษะคณติ ศาสตร์ เรือ่ ง ระบบจานวนจริง โดยใช้การจดั การเรยี นรู้ แบบรว่ มมือแบบกลุ่มช่วยเรียนรายบคุ คล สาหรบั นกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 4 1.1 เนอ้ื หา เน้ือหาที่ใช้ในการศึกษา คือ เรื่อง ระบบจานวนจริง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ตาม หลักสูตรโรงเรียนบรรพตพิสัยพิทยาคม ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนบรรพตพิสัยพิทยาคม จังหวัดนครสวรรค์ ประกอบด้วยเนอ้ื หา 4 เลม่ ดังนี้ เล่มท่ี 1 จานวนจริงและสมบัติของจานวนจริง เลม่ ท่ี 2 การแกส้ มการพหนุ ามตวั แปรเดยี วและสมบตั ิของการไมเ่ ท่ากัน เล่มที่ 3 ชว่ งและการแก้อสมการ เลม่ ท่ี 4 คา่ สมั บรู ณ์ และการแกส้ มการและอสมการในรปู ค่าสัมบูรณ์ 1.2 สว่ นประกอบของแบบฝึกทักษะคณติ ศาสตร์ ส่วนประกอบของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบจานวนจริง โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือแบบกลุ่มช่วยเรียนรายบุคคล สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ผู้รายงานแบ่งแบบฝึกทักษะออก ตามเนื้อหา 4 เร่ือง แต่ละเรื่องจัดทาเป็นรูปเล่ม เร่ืองละ 1 เล่ม แยกจากกัน ในแต่ละเล่มของแบบฝึกทักษะ ประกอบด้วย คาช้ีแจงสาหรบั ครู คาช้ีแจงสาหรับนักเรียน ผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ แบบทดสอบก่อน เรียน เนื้อหา/ใบความรู้ /ตัวอย่าง แบบฝกึ ทักษะ แบบทดสอบหลังเรียน และเฉลยของแต่ละแบบฝึกทักษะอยู่ใน ภาคผนวกทา้ ยเลม่ ของแบบฝกึ ซ่ึงนกั เรียนเป็นผู้ตรวจสอบความถกู ต้องของคาตอบ และบนั ทกึ คะแนนลงในแบบ บนั ทกึ คะแนนท้ายเลม่ ของแบบฝึกทกั ษะคณติ ศาสตร์ 2. ลักษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น ลักษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง ระบบจานวน จริง ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ผู้รายงานสร้างข้ึน จานวน 1 ฉบับ เป็นข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple Choice Test) 4 ตวั เลือก จานวน 30 ข้อ 3. ลักษณะของแบบประเมนิ ความพงึ พอใจ ลักษณะของแบบประเมนิ ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 ปีการศกึ ษา 2563 ที่มี ต่อแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบจานวนจริง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบกลุ่มช่วยเรียน รายบุคคล สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Ratting Scale) 5 ระดับ จานวน 1 ฉบับ มีรายการประเมินจานวน 15 ข้อ ซึ่งมีเกณฑ์การพิจารณาดังน้ี (บุญชม ศรีสะอาด. 2545 : 102) ระดบั 5 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจอยใู่ นระดับมากท่สี ุด ระดบั 4 หมายถงึ มีความพึงพอใจอย่ใู นระดับมาก ระดับ 3 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดบั ปานกลาง ระดบั 2 หมายถึง มคี วามพึงพอใจอยู่ในระดบั น้อย ระดบั 1 หมายถงึ มีความพึงพอใจอย่ใู นระดับน้อยทีส่ ดุ 4.3 การสร้างและการหาประสทิ ธิภาพของเครื่องมือ ผ้ศู กึ ษาไดด้ าเนินการสร้างเคร่ืองมือทีใ่ ชใ้ นการศึกษา ดงั น้ี 1. แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เร่ือง ระบบจานวนจริง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบกลุ่มช่วย เรยี นรายบคุ คล สาหรับนกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 4 ไดด้ าเนนิ การสรา้ งตามลาดับขนั้ ตอน ดังนี้
10 1.1 ศึกษาวิเคราะห์หลักสูตรโรงเรยี นบรรพตพิสัยพทิ ยาคม ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560 ตาม หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 กลมุ่ สาระการเรียนรู้คณติ ศาสตร์ วเิ คราะหม์ าตรฐาน การเรียนรู้คณิตศาสตร์ กาหนดผลการเรียนรแู้ ละกาหนดจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ศึกษาคู่มอื ครูกลุม่ สาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 สาระสาคัญ สาระการเรียนรู้ และจุดประสงค์การเรียนรู้ จากแบบเรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) แล้วกาหนดเน้ือหาสาระ เป็นเน้ือหาสาระยอ่ ย แบ่งเปน็ รายชั่วโมง และกาหนดจานวนแผนการจัดการเรียนรู้ ตามเนื้อหาสาระย่อย 1.2 ศึกษาเอกสารท่ีเก่ียวข้องกับหลักการสร้างแบบฝึกทักษะ ลักษณะและรูปแบบของแบบฝึก ทักษะ เพื่อเลือกรูปแบบ วิธีการท่ีเหมาะสมโดยได้ปรับปรุงวิธีการสร้างแบบฝึกทักษะ ให้สอดคล้องกับเนื้อหาสาระ กลมุ่ สาระการเรียนรูค้ ณิตศาสตร์ เรอ่ื ง ระบบจานวนจรงิ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 1.3 พิจารณาสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหาสาระ กาหนดรูปแบบให้สอดคล้องกับการสร้างแบบฝึกทักษะ การกาหนดแบบฝึกทักษะ เป็นการนาเอาเน้ือหามา จาแนกเป็นเลม่ จานวน 4 เล่ม ใชเ้ วลาในการสอนเนอ้ื หา ท้ังหมด 18 ชัว่ โมง ดงั ตารางท่ี 1 ตารางที่ 1 แสดงการแบ่งเนื้อหา และจานวนช่ัวโมงในการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เร่ือง ระบบจานวนจริง โดยใช้การจัดการเรียนรแู้ บบร่วมมือแบบกลุ่มช่วยเรียนรายบุคคล สาหรับนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 4 เล่มท่ี เร่อื ง จานวนชั่วโมง - การทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนก่อนเรียน 1 1 จานวนจริงและสมบัติของจานวนจรงิ 4 2 การแก้สมการพหนุ ามตัวแปรเดยี วและสมบัตขิ องการไม่ 4 เทา่ กัน 3 ชว่ งและการแก้อสมการ 4 4 ค่าสัมบูรณ์ และการแก้สมการและอสมการในรปู ค่า 4 สมั บูรณ์ - การทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน 1 รวม 18 1.4 ศึกษาการจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งใชร้ ูปแบบของสถานศกึ ษา เพอ่ื นามาประกอบการ จดั การเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เร่ือง ระบบจานวนจริง ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ที่ผู้ศึกษาพัฒนาข้ึน จานวน 11 แผน มีลักษณะเป็นความเรียงมีองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ คือ แผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ ชั้น หนว่ ยที่ เวลาทั้งหนว่ ย เรอ่ื ง เวลาต่อ 1 แผน ผู้สอน สอนวันที่ ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ สาระการเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้(การเรียนแบบ รว่ มมือแบบกลุม่ ช่วยเรียนรายบุคคล มี 6 ขั้นตอน คือ 1) ทบทวนความรู้เดิม/พ้ืนฐาน 2) นาเสนอเน้ือหาใหม่ 3) ทากิจกรรม 4) วัดและประเมินผลย่อย 5) วัดและประเมินผลรวม 6) หาคะแนนเฉล่ียของกลุ่ม) สื่อการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ (วิธีวัด, เครื่องมือวัด, เกณฑ์การประเมิน) ความเห็นของผู้บริหารโรงเรียน บันทึกผลการเรียนรู้ ปัญหาและสาเหตุ แนวทางแก้ไข และภาคผนวก 1.5 วิเคราะห์ความสอดคล้องและความสัมพันธ์ของแบบฝึกทักษะกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เร่ือง ระบบจานวนจรงิ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โดยแบ่งออกเป็น 4 เล่ม จานวน 24 แบบฝึกและแผนการจัดการเรียนรู้ จานวน 11 แผน ดังตารางที่ 2
11 ตารางที่ 2 แสดงกาหนดการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เร่ือง ระบบจานวนจริง โดยใช้การจดั การ เรยี นร้แู บบรว่ มมือแบบกลมุ่ ชว่ ยเรียนรายบุคคล สาหรบั นักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 4 เวลา 18 ช่วั โมง แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี สาระการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ เวลา 1. การทดสอบวัด - - 1 ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น 2 ก่อนเรียน -จานวนจรงิ 1.นักเรียนสามารถบอกความเกี่ยวขอ้ ง 2 2. จานวนจริง ของเซตของจานวนจรงิ ได้ (แบบฝกึ เล่ม 1) -สมบัตขิ องระบบ 2.นกั เรยี นสามารถระบุชนดิ ของจานวน 3 จานวนจริง ที่กาหนดให้ได้ 3. สมบัติของระบบ 1.นักเรียนสามารถบอกสมบัติการบวก 1 จานวนจริง -สมการพหุนามตวั แปร และการคูณในระบบจานวนจริงจาก (แบบฝกึ เลม่ 1) เดยี ว ข้อความที่กาหนดใหไ้ ด้ -ทฤษฎีบทเศษเหลอื 2.นกั เรียนสามารถนาสมบัตขิ อง 4.การแก้สมการพหุนาม จานวนจรงิ ไปใชไ้ ด้ ตัวแปรเดยี ว -สมบตั ิของการไม่ 1. นักเรียนสามารถใช้ทฤษฎีบทเศษ (แบบฝกึ เล่ม 2) เท่ากัน เหลือ หาเศษจากการหารพหุนาม ดว้ ย พหนุ ามท่ีกาหนดให้ได้ 5.สมบัตขิ องการไม่เท่ากัน 2. นกั เรียนสามารถแก้สมการตัวแปร (แบบฝึกเลม่ 2) เดียวท่ีมดี กี รีไมเ่ กินสี่ได้ 1. นักเรยี นสามารถนาสมบัติของการ ไมเ่ ทา่ กันไปใช้แก้ปัญหาได้ 6.ชว่ งของจานวนจริง -ช่วงของจานวนจริง 1.นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเร่ืองชว่ ง 2 (แบบฝึกเลม่ 3) ของจานวนจริง และนาความรู้ไปใชไ้ ด้ อย่างถูกต้อง 7.การแก้อสมการ(แบบ -การแก้อสมการเชิง 2.นักเรียนสามารถแก้อสมการตวั แปร 2 ฝกึ เลม่ 3) เส้นตัวแปรเดียว เดยี วได้ 1 8.ค่าสมั บรู ณ์ -คา่ สมั บูรณ์ 1. เพอ่ื ใหน้ ักเรียนมคี วามรคู้ วามเข้าใจ 1 (แบบฝกึ เลม่ 4) เก่ยี วกับคา่ สมั บรู ณ์ 2. นกั เรียนสามารถนาสมบตั ิตา่ งๆ 9. การแก้สมการในรูปค่า -การแก้สมการคา่ เก่ยี วกับคา่ สมั บูรณ์ และการ ดาเนินการไปใช้ได้ สมั บรู ณ์ สัมบรู ณ์ 1. นกั เรียนสามารถแกส้ มการในรปู ค่า สัมบูรณไ์ ด้ (แบบฝึกเล่ม 4)
ตารางท่ี 2 (ตอ่ ) 12 แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ สาระการเรียนรู้ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ เวลา 1. นกั เรยี นสามารถแกอ้ สมการในรูป 2 10. การแก้อสมการในรปู -การแก้อสมการในรปู ค่าสมั บรู ณ์ได้ 1 ค่าสมั บูรณ์ คา่ สัมบูรณ์ - 18 (แบบฝึกเลม่ 4) 11. การทดสอบวดั - ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น หลังเรยี น รวม 1.6 ออกแบบและพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เร่ือง ระบบจานวนจริง โดยใช้การจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือแบบกลุ่มช่วยเรียนรายบุคคล สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้สัมพันธ์และสอดคล้อง กับเนื้อหาและผลการเรียนรู้ 1.7 นาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เร่ือง ระบบจานวนจริง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ แบบกลุ่มช่วยเรียนรายบุคคล สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ท่ีสร้างขึ้น ให้ผู้เชี่ยวชาญจานวน 5 ท่าน ได้แก่ 1. ดร.ชรินรัตน์ แผงดี ผู้อานวยการโรงเรียนบรรพตพิสัยพิทยาคม วิทยฐานะ ผู้อานวยการ ชานาญการพิเศษ สานกั งานเขตพนื้ ท่ีการศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 42 ผู้เชี่ยวชาญด้านหลักสูตร 2. ผศ.ดร.สุธาทิพย์ งามนิล อาจารย์ประจาหลักสูตรการจัดการหลักสูตรและการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ผ้เู ช่ยี วชาญดา้ นสื่อและนวัตกรรม 3. นายสุชาติ ศิริชู ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ (คณิตศาสตร์) โรงเรียน บรรพตพิสัยพิทยาคม สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนคณิตศาสตร์ 4. นายประสงค์ สายหยุด ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ (คณิตศาสตร์) โรงเรยี นสตรีนครสวรรค์ สานักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 42 ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนคณติ ศาสตร์ 5. ผศ.ดร.สาธร ทรัพย์รวงทอง อาจารย์ประจาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ - นครสวรรค์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดผลและประเมนิ ผล ตรวจสอบความถูกตอ้ งดา้ นผลการเรียนรู้และจดุ ประสงค์การเรียนรู้ของแบบฝึกทกั ษะ คาชี้แจง ตัวอย่างภาพประกอบ เนื้อหาของแบบฝึกทักษะ การเฉลยแบบฝึกทักษะ ความถูกต้องของตัวอักษร ตัวเลข โดยใช้แบบประเมินคุณภาพของแบบฝึกทักษะชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) ของลิเคอร์ท (Likert) 5 ระดับ มีเกณฑใ์ นการพจิ ารณาดงั น้ี (บุญชม ศรีสะอาด. 2545 : 99 - 100) 5 หมายถงึ เหมาะสมมากที่สุด 4 หมายถึง เหมาะสมมาก 3 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง 2 หมายถึง เหมาะสมน้อย 1 หมายถงึ เหมาะสมน้อยทีส่ ุด 1.8 วิเคราะห์ผลการประเมินแบบฝึกทกั ษะ โดยนาความคิดเห็นของผู้เช่ียวชาญมาหาค่าเฉลยี่ และ สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน โดยใช้เกณฑก์ ารประเมนิ ดังน้ี (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2545 : 99 - 100)
13 ช่วงคะแนน 4.51 – 5.00 หมายถึง เหมาะสมมากทีส่ ดุ ชว่ งคะแนน 3.51 – 4.50 หมายถึง เหมาะสมมาก ช่วงคะแนน 2.51 – 3.50 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง ชว่ งคะแนน 1.51 – 2.50 หมายถึง เหมาะสมน้อย ชว่ งคะแนน 1.00 – 1.50 หมายถงึ เหมาะสมน้อยทสี่ ุด คา่ เฉลี่ยความคิดเหน็ ของผเู้ ชย่ี วชาญ มีค่าตั้งแต่ 3.51 ขนึ้ ไป และมีความเบ่ยี งเบนมาตรฐานไม่เกนิ 1.00 ถือวา่ แบบฝกึ ทกั ษะนั้นมีความเหมาะสม ผลการประเมนิ ของผ้เู ช่ียวชาญ แสดงดังตารางท่ี 3 ตารางท่ี 3 แสดงผลการประเมินคุณภาพของแบบฝกึ ทักษะคณิตศาสตร์ เร่ือง ระบบจานวนจริง โดยใช้การ จัดการเรียนรูแ้ บบร่วมมือแบบกลมุ่ ชว่ ยเรียนรายบุคคล สาหรบั นักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 โดยผเู้ ชี่ยวชาญจานวน 5 ท่าน แบบฝกึ ทกั ษะ X S.D ผลการประเมิน เล่มที่ 1 จานวนจริงและสมบัติของจานวนจริง 4.64 0.05 เหมาะสมมากทสี่ ดุ เล่มท่ี 2 การแกส้ มการพหุนามตวั แปรเดยี วและ 4.58 0.10 เหมาะสมมากทส่ี ุด สมบตั ิของการไม่เท่ากนั เล่มท่ี 3 ชว่ งและการแก้อสมการ 4.60 0.06 เหมาะสมมากทีส่ ดุ เล่มที่ 4 คา่ สัมบรู ณ์ และการแก้สมการและอสมการ 4.51 0.10 เหมาะสมมากที่สดุ ในรูปคา่ สมั บูรณ์ เฉล่ีย 4.58 0.08 เหมาะสมมากทส่ี ุด จากตารางท่ี 3 พบว่า แบบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ เรือ่ ง ระบบจานวนจริง โดยใช้การจัดการเรยี นรู้ แบบรว่ มมือแบบกลุ่มช่วยเรียนรายบคุ คล สาหรับนกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 4 ท่ผี ูศ้ กึ ษาได้สร้างข้ึน ผ้เู ชยี่ วชาญมี ความคดิ เหน็ สอดคลอ้ งกนั ว่า มีความเหมาะสมมากที่สดุ 1.9 นาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เร่ือง ระบบจานวนจริง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ แบบกลุ่มช่วยเรียนรายบุคคล สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้เช่ียวชาญและ ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปทดลองใช้ (Try Out) กับนักเรียนท่ีไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง เพื่อหาประสิทธิภาพตามเกณฑ์ จานวน 3 คร้ัง ดังน้ี ทดลองคร้ังท่ี 1 ทดลองแบบเด่ียว (1:1) โดยทดลองกับนักเรียน 3 คน คือ นักเรียนท่ีเรียนอ่อน 1 คน นักเรียนที่เรียนปานกลาง 1 คน และนักเรียนท่ีเรียนเก่ง 1 คน ซ่ึงเป็นนักเรียน ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ภาค เรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนบรรพตพิสัยพิทยาคม สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 โดย ให้นักเรียนอ่านคาแนะนาการใช้แบบฝึกทักษะ ผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ ศึกษาเน้ือหาสาระ ใบความรู้ ตัวอย่าง อ่านคาช้ีแจงหรือคาส่ังของแบบฝึกทักษะ ลงมือทาแบบฝึกทักษะ ตรวจแบบฝึกทักษะด้วยตนเองจากเฉลยแบบ ฝึกทักษะ และทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียน โดยผู้ศึกษาเป็นผู้ช้ีแนะ หรือแนะนา หาก นักเรียนไม่เข้าใจในรูปแบบการเรียนรู้ หรือการให้คะแนนจากการตรวจแบบฝึกทักษะ ผู้ศึกษาจะอธิบายเพ่ิมเติม ผู้ ศกึ ษาตรวจทานและบันทึกคะแนนไว้ แล้วนาคะแนนมาวิเคราะห์หาประสิทธิภาพโดยใช้เกณฑ์ 80/80 ได้ประสิทธิภาพ ของแบบฝึกทักษะ E1/E2 = 72.48/71.11 ส่วนข้อเสนอแนะของนักเรียน คือแบบฝึกทักษะไม่ค่อยมีภาพประกอบ คาช้ีแจงในแบบฝึกทักษะไม่ชัดเจน แบบฝึกทักษะบางข้อพิมพ์โจทย์ไม่ถูกต้อง แบบฝึกทักษะบางชุดมีมากเกินไปไม่ เหมาะสมกับเวลา และช่องใส่คาตอบบางแบบฝึกเล็กเกินไปเขียนไม่พอ ผู้ศึกษานาข้อมูลท่ีได้รับ จากการทดลองใน คร้ังน้ีไปปรับปรุงแก้ไขโดยเพิ่มภาพประกอบเพ่ือให้เกิดความน่าสนใจ ปรับคาช้ีแจงในแบบฝึกทักษะให้ชัดเจน ตรวจสอบและแก้ไขโจทยท์ ่ีไม่ถกู ต้อง ขยายขนาดช่องคาตอบของ แบบฝกึ ทกั ษะให้กว้างขนึ้
14 ทดลองครั้งที่ 2 ทดลองแบบกลมุ่ (1:10) โดยใช้นักเรยี นจานวน 9 คน คือนักเรียนท่ีเรียนออ่ น 3 คน เรียนปานกลาง 3 คน และเรียนเก่ง 3 คน ซึ่งเป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศกึ ษา 2562 โรงเรียนบรรพตพิสัยพทิ ยาคม สานักงานเขตพน้ื ที่การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 42 โดยให้นักเรียน อ่านคาแนะนาการใช้แบบฝึกทักษะ ผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ ศึกษาเนื้อหาสาระ ตัวอย่าง ใบความรู้ อ่านคาช้ีแจง หรือคาส่ังของ แบบฝึกทักษะ ลงมือทาแบบฝึกทักษะ ตรวจแบบฝึกทักษะด้วยตนเองจากเฉลยแบบฝึก ทักษะ และทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นหลังเรียน โดยผู้ศึกษาเป็นผู้ช้ีแนะหรือแนะนา หากแบบฝึกทักษะใด นักเรียนไม่เข้าใจในรูปแบบการเรียนรู้ หรือการให้คะแนนจากการตรวจแบบฝึกทักษะ ผู้ศึกษาจะอธิบายเพ่ิมเติม ผู้ ศึกษาตรวจทานและบันทึกคะแนนไว้ นาผลคะแนนที่บันทึกไว้มาวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ E1/E2 โดยใช้เกณฑ์ 80/80 ได้ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ E1/E2 = 78.54/75.19 และนาข้อมูลจากการสังเกต พฤติกรรมการเรียนของนักเรียน การสอบถามนักเรียนในขณะปฏิบัติกิจกรรม ดังน้ี แบบฝึกทักษะบางแบบฝึกมี รูปแบบการทาไม่เหมือนตัวอย่าง จานวนแบบฝึกทักษะมีมากไม่เหมาะสมกับเวลาที่ใช้ในการทา แบบฝึกทักษะบาง แบบฝึกทักษะสีสัน ยังไม่สวยงาม บางตัวอย่างในแบบฝึกทักษะยังมีพิมพ์ผิด ซ่ึงผู้ศึกษานามาเป็นข้อมูลในการ ปรบั ปรงุ แบบฝกึ ทักษะต่อไป ทดลองคร้ังท่ี 3 ทดลองแบบภาคสนาม (1:100) ได้ดาเนินการทดลองกับนักเรียนช้ัน มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2562 โรงเรียนบรรพตพสิ ัยพิทยาคม สานักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษา มัธยมศึกษา เขต 42 จานวน 30 คน โดยให้นักเรียนอ่านคาแนะนาการใช้แบบฝึกทักษะ ผลการเรียนรู้ จุดประสงค์ การเรียนรู้ ศึกษาเนื้อหาสาระ ตัวอย่าง ใบความรู้ อา่ นคาชี้แจงหรอื คาส่งั ในแบบฝกึ ทักษะ ลงมือทาแบบฝึกทักษะ ตรวจแบบฝึกทักษะด้วยตนเอง จากเฉลยแบบฝึกทกั ษะ และทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนหลังเรยี น โดยผู้ศึกษาเป็นผู้ชี้แนะ หรือแนะนา หากแบบฝึกทักษะใดนักเรียนไม่เข้าใจในรูปแบบการทา หรือการให้คะแนนจาก การตรวจแบบฝึกทักษะ ผู้ศึกษาจะอธิบายเพ่ิมเติม ผู้ศึกษาตรวจทานและบันทึกคะแนนไว้ แล้วนาคะแนนมา วิเคราะหห์ าประสิทธิภาพโดยใชเ้ กณฑ์ 80/80 ได้ประสทิ ธภิ าพของแบบฝึกทักษะ E1/E2 = 87.01/81.22 1.10 นาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เร่ือง ระบบจานวนจริง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ แบบกลุ่มช่วยเรียนรายบุคคล สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ท่ีหาประสิทธิภาพแล้วมาจัดทาเป็นฉบับ สมบูรณ์นาไปทดลองกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนบรรพตพิสัยพิทยาคม สานักงานเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 จานวน 38 คน ตอ่ ไป 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เร่อื ง ระบบจานวนจรงิ ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 4 ได้ดาเนนิ การสร้างตามข้ันตอน ดงั นี้ 2.1 ศกึ ษาหลกั สูตรโรงเรยี นบรรพตพิสัยพทิ ยาคม ฉบบั ปรับปรุง พทุ ธศกั ราช 2560 ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์ 2.2. ศึกษาเอกสารท่ีเกี่ยวข้องกับการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตร์ เพอื่ เปน็ แนวทางการสร้างแบบทดสอบ 2.3 สร้างตารางวิเคราะห์ข้อสอบเพื่อกาหนดเน้ือหา/จุดประสงค์การเรียนรู้ จานวนข้อสอบ พฤติกรรมทใี่ ช้วัดในแตล่ ะเนื้อหา เพื่อสรา้ งแบบทดสอบ 2.4 สร้างแบบทดสอบแบบปรนัย ชนิด 4 ตัวเลือก กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เร่ือง ระบบ จานวนจรงิ ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 4 จานวน 40 ขอ้ ไปใหผ้ ูเ้ ชยี่ วชาญจานวน 5 ท่าน ตรวจสอบความตรงด้านเนอ้ื หา (Content validity) โดยประเมินความสอดคล้องระหว่างข้อสอบ กับจุดประสงค์การเรียนรู้โดยใช้เกณฑ์การ พจิ ารณา ดังนี้ +1 หมายถึง แนใ่ จวา่ ข้อคาถามนนั้ มีความเหมาะสมสอดคลอ้ งกับจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 0 หมายถงึ ไม่แน่ใจวา่ ข้อคาถามน้ันมีความเหมาะสมสอดคลอ้ งกับจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
15 -1 หมายถงึ แนใ่ จว่าขอ้ คาถามนัน้ ไมม่ ีความเหมาะสมสอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.5 นาผลการประเมินของผู้เช่ียวชาญทั้ง 5 ท่าน มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบ กับจุดประสงค์การเรียนรู้ (Item of Objective Congruence : IOC) โดยใช้สูตรของโรวิเนลลี่และแฮมเบิลตัน (Rowwinelli and Hambleton) (บัญญัติ ชานาญกิจ และนวลศรี ชานาญกิจ. 2550 : 61) คัดเลือกข้อสอบที่มี คา่ IOC ต้ังแต่ 0.50 ข้นึ ไปไว้ใช้ เนื่องจากแบบทดสอบมีความตรงเชิงเนอื้ หา จากการนาข้อมลู มาทาการวิเคราะห์ ค่า IOC พบว่า มคี า่ IOC อยู่ระหว่าง 0.60 - 1.00 ซึง่ ถือวา่ ขอ้ สอบมีความตรงเชิงเนอ้ื หา 2.6 เลือกแบบทดสอบท่ผี ่านการประเมนิ จากผ้เู ช่ียวชาญ มาจัดพมิ พเ์ พ่ือนาไปตรวจสอบคุณภาพ โดยทดลองใช้กับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนบรรพตพิสัยพิทยาคม จานวน 30 คน ท่ีไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง และผ่านการเรียนมาแล้ว ผู้ศกึ ษานากระดาษคาตอบมาตรวจให้คะแนน โดย ตอบถูกให้ 1 คะแนน ตอบผิด ไม่ตอบ หรือตอบมากกว่า 1 ตัวเลือกให้ 0 คะแนน นาผลการสอบมาวิเคราะห์หา ค่าความยากง่าย (p) และค่าอานาจจาแนก (r) เป็นรายข้อ โดยใช้เทคนิค 50 % และคัดเลือกข้อสอบที่มีค่าความ ยากง่าย (p) ระหว่าง 0.20 - 0.80 และ มีค่าอานาจจาแนก (r) ตั้งแต่ 0.20 ข้ึนไป พบว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบจานวนจริง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีข้อสอบที่อยู่ในเกณฑ์ ดังกล่าวจานวน 30 ข้อ คือ มีค่าความยากง่าย (p) ต้ังแต่ 0.40 - 0.77 และมีค่าอานาจจาแนก (r) ต้ังแต่ 0.33 - 0.80 แล้วจดั พิมพ์เปน็ แบบทดสอบฉบับใหม่ 2.7 นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เร่ือง ระบบ จานวนจริง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่จัดพิมพ์ข้ึนใหม่ไปทดลองกับนักเรียนมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2562 โรงเรียนบรรพตพิสัยพิทยาคม สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 จานวน 32 คน แล้วนามาหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ โดยใช้สูตร KR – 20 ของคูเดอร์ - ริชาร์ดสัน (Kuder – Richardsson) (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2545 : 88 - 89) พบว่า มีคา่ ความเชื่อมน่ั เทา่ กบั 0.81 2.8 นาแบบทดสอบท่ีผ่านการตรวจสอบคุณภาพจัดพิมพ์เป็นฉบับจริงแล้วนาไปใช้ในการทดลอง กับกลุ่มตวั อยา่ งต่อไป 3. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบจานวนจริง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบกลุ่มช่วยเรียนรายบุคคล สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 ได้ ดาเนนิ การสร้างตามขัน้ ตอน ดงั นี้ 3.1 ศึกษาเอกสารท่ีเกย่ี วข้องเกีย่ วกับวธิ กี ารสรา้ งแบบสอบถามความพงึ พอใจ 3.2 สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบ จานวนจริง โดยใช้การจัดการเรยี นรู้แบบร่วมมือแบบกลุ่มช่วยเรียนรายบุคคล สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 4 โดยมีลักษณะของข้อคาถามแบบลิเคอร์ทสเกล (Likert Scale) ซ่งึ มเี กณฑ์การใหค้ ะแนน ดงั นี้ (บญุ ชม ศรีสะอาด. 2545 : 100) 5 หมายถึง มีความพงึ พอใจมากทสี่ ดุ 4 หมายถงึ มีความพึงพอใจมาก 3 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจปานกลาง 2 หมายถงึ มีความพึงพอใจนอ้ ย 1 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อยทสี่ ดุ 3.3 นาแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรยี นที่มตี อ่ แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เร่ือง ระบบจานวน จริง โดยใชก้ ารจัดการเรยี นรู้แบบรว่ มมือแบบกล่มุ ช่วยเรยี นรายบุคคล สาหรบั นักเรียนชนั้ มัธยมศึกษา ปที ี่ 4 ไป ให้ผู้เชี่ยวชาญ จานวน 5 ท่าน ตรวจสอบความเท่ียงตรงด้านเน้ือหา (Content validity) โดยประเมินความ สอดคลอ้ งระหวา่ งข้อคาถามกับเน้ือหา ซงึ่ มเี กณฑ์การประเมนิ ดงั น้ี
16 +1 หมายถึง แน่ใจวา่ ขอ้ คาถามวัดเน้ือหานั้น 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อคาถามวดั เน้ือหาน้นั -1 หมายถึง แนใ่ จวา่ ข้อคาถามไม่ได้วดั เนื้อหาน้นั นาผลการประเมินจากผู้เช่ียวชาญ คานวณหาค่า IOC และคัดเลือกข้อคาถามที่มีค่า IOC ต้ังแต่ 0.50 ข้ึนไป พบว่ามีคา่ IOC อยใู่ นเกณฑ์ จานวน 15 ขอ้ คือมีค่า IOC ตง้ั แต่ 0.80 - 1.00 แล้วจดั พิมพ์แบบสอบถามฉบับ ใหม่ 3.4 นาแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เร่ือง ระบบ จานวนจริง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมอื แบบกลมุ่ ช่วยเรียนรายบุคคล สาหรับนักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษา ปี ที่ 4 ไปทดลองใช้กับนักเรียน ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบรรพตพิสัยพิทยาคม ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2562 จานวน 30 คน ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างซ่ึงเปน็ นักเรียนท่ผี ่านการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะมาแลว้ แลว้ นามา หาค่าความเช่ือมน่ั โดยใชส้ ัมประสิทธิ์แอลฟา ( - Coefficient) ของ ครอนบาค (Cronbach) พบว่า มีคา่ ความ เชือ่ ม่ันเท่ากบั 0.83 3.5 จัดทาแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบ จานวนจริง โดยใชก้ ารจดั การเรยี นร้แู บบร่วมมือแบบกลุ่มช่วยเรียนรายบุคคล สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 4 ฉบับสมบรู ณไ์ ว้ใช้กบั นักเรียนทเ่ี ปน็ กลมุ่ ตวั อย่างต่อไป 4.4 ผลงานท่ีเกดิ ขึ้นจากการดาเนนิ งาน 1. แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เร่ือง ระบบจานวนจริง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบกลุ่ม ช่วยเรียนรายบุคคล สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 87.37/82.54 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ทก่ี าหนดไว้ ซ่งึ เป็นไปตามสมมตฐิ านขอ้ 1 ดงั แสดงในตารางท่ี 4 ตารางท่ี 4 แสดงค่าเฉลี่ยรอ้ ยละของการทากิจกรรมระหว่างเรียนและแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน หลงั เรยี นของกลุ่มตัวอย่าง คะแนน คะแนนทดสอบ ช่ือเรอ่ื ง จานวน แบบฝึกทักษะ วดั ผลสมั ฤทธิ์ นักเรยี น ระหว่างเรยี น ทางการเรยี น (E1) หลังเรยี น (E2) เลม่ ที่ 1 เร่ือง จานวนจรงิ และสมบตั ขิ อง 38 3,202 จานวนจรงิ เล่มที่ 2 เรื่อง การแกส้ มการพหนุ ามตวั แปร 38 1,975 941 เดียวและสมบัติของการไมเ่ ท่ากนั เลม่ ที่ 3 เร่อื ง ช่วงและการแก้อสมการ 38 1,979 เลม่ ท่ี 4 เรือ่ ง คา่ สัมบูรณ์ และการแก้สมการ 38 1,975 และอสมการในรูปค่าสมั บูรณ์ ประสทิ ธิภาพ 38 E1 = 87.37 E2 = 82.54 2. นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนจากการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึก ทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบจานวนจริง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบกลุ่มช่วยเรียนรายบุคคล สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเปน็ ไปตามสมมตฐิ านข้อ 2 ดังแสดงในตารางท่ี 5
17 ตารางที่ 5 แสดงคา่ เฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติที (t - test) และระดบั นยั สาคญั ทางสถิตขิ องกา เปรียบเทียบคะแนนการทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรยี น การทดสอบ N X S.D. D D2 t กอ่ นเรยี น 38 10.47 2.13 หลงั เรียน 543 7,979 36.15** 38 24.76 1.51 ** มนี ยั สาคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ .05 (t.05(37) = 1.684) 3. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ท่ีมีต่อแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบ จานวนจริง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมอื แบบกล่มุ ชว่ ยเรียนรายบุคคล สาหรับนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษา ปี ท่ี 4 โดยรวมอยใู่ นระดับมากทส่ี ดุ ซงึ่ เปน็ ไปตามสมมตฐิ านข้อ 3 ดังแสดงในตารางท่ี 6 ตารางท่ี 6 แสดงการศกึ ษาความพงึ พอใจของนักเรียนท่ีมตี ่อแบบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ เรอื่ ง ระบบจานวนจรงิ โดยใช้การจดั การเรยี นรแู้ บบรว่ มมือแบบกล่มุ ชว่ ยเรยี นรายบุคคล สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 4 รายการ ความพงึ พอใจ แปลคา่ 1. คาแนะนาการใชแ้ บบฝกึ ทักษะอ่านแลว้ เข้าใจง่าย มากที่สุด X S.D. 4.85 0.37 2. เน้อื หาแต่ละเร่ืองอ่านแล้วเข้าใจง่าย 4.73 0.45 มากทส่ี ดุ 3. ตวั อย่างอธิบายได้ชัดเจน เข้าใจง่าย 4.62 0.50 มากท่ีสุด 4. แบบฝึกทักษะมีความสอดคล้องกับเน้อื หาและตวั อย่าง 4.27 0.72 มาก 5. การจัดแบ่งเนอื้ หาในแต่ละเรื่องมคี วามเหมาะสม 4.12 0.71 มาก 6. แบบฝึกทักษะมีความหลากหลาย มคี วามท้าทาย 4.58 0.50 มากทส่ี ดุ 7. เฉลยมคี วามชดั เจน ถกู ต้อง เข้าใจง่าย ตรวจด้วยตนเองได้ 4.58 0.58 มากทส่ี ุด 8. เกณฑก์ ารให้คะแนนอธบิ ายได้ชัดเจน 4.35 0.75 มาก 9. ขนาดของตวั อกั ษรมีความเหมาะสม อา่ นแลว้ สบายตา 4.73 0.45 มากทีส่ ุด 10. ภาพประกอบแบบฝึกทกั ษะมีความสวยงาม 4.69 0.47 มากที่สดุ 11. การจัดทาเน้อื หา ตัวอยา่ ง แบบฝึกทกั ษะ มคี วามเหมาะสม 4.65 0.40 มากทส่ี ุด ในแตล่ ะหน้ากระดาษ 12. เกดิ ความสนุกสนานเม่ือเรยี นคณิตศาสตร์โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ 4.77 0.43 มากทส่ี ดุ 13. มีโอกาสได้แลกเปลยี่ นความคิดกบั เพ่ือน ๆ และครู 4.62 0.57 มากท่ีสุด 14. อยากเรียนคณิตศาสตรโ์ ดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะในเนือ้ หาอื่น ๆ ด้วย 4.65 0.63 มากทสี่ ดุ 15. นาวธิ ีการเรยี นรู้ไปปรบั ใชใ้ นวชิ าอน่ื ๆ ได้ 4.62 0.50 มากท่ีสดุ รวม 4.59 0.16 มากทีส่ ุด 4.5 สรุปสิ่งที่เรยี นร้แู ละการปรับปรุงใหด้ ขี นึ้ แนวทางการนานวตั กรรมไปใช้ 1) ครูผสู้ อนควรศกึ ษาหาความรู้ ทาความเขา้ ใจเกย่ี วกับการใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะในการจดั การเรยี นรู้ 2) ขณะที่นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมการทาแบบฝึกทักษะ ครูผู้สอนควรให้การสนับสนุนคาแนะนา ช่วยเหลืออย่างใกลช้ ิด และใหก้ ารเสรมิ แรง เพื่อสรา้ งความมั่นใจให้นกั เรียนมีเจตคตทิ ่ีดีต่อวิชาคณิตศาสตร์
18 3) ขณะท่ีนกั เรียนเรียนร้ดู ้วยแบบฝกึ ทักษะ ครูต้องเน้นยา้ เรอ่ื งความซ่ือสัตย์ใหน้ ักเรียนทา แบบ ฝึกทักษะด้วยตวั เอง แนวทางการพัฒนาตอ่ ยอด 1) ควรศึกษาการสร้างแบบฝึกทักษะในเน้ือหาอ่ืนๆ ที่หลากหลายไปทดลองกับนักเรียนในระดับชั้น ตา่ ง ๆ เชน่ ตรรกศาสตร์เบอื้ งตน้ ความนา่ จะเป็น เป็นตน้ 2) ควรศึกษาค้นคว้าการจัดทาแบบฝึกทักษะร่วมกับวิธีการสอนอื่น เพื่อพัฒนารูปแบบการ ทาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ให้หลากหลาย และควรปรับปรุงแบบฝึกทักษะ สื่อ ใบงาน และใบความรู้ใน เน้ือหาอื่นเพ่ือใช้พัฒนาการเรียนการสอนต่อไป 4.6 การขยายผลและเผยแพรผ่ ลการพัฒนา 1. ไ ด้เป็น ตัว แท น สานัก งา น เข ตพื้น ที่ก าร ศึกษ ามัธ ย ม ศึกษ าน คร ส ว ร ร ค์ เ พื่อรับร างวัล ท ร งคุณค่า สพฐ. OBEC AWARDS ประจาปีการศึกษา 2563 ประเภทผู้ครูสอนยอดเยี่ยม ระดับมัธยมศึกษาตอน ปลายกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีการเรียนการสอน ระดับภาคเหนือ จังหวัดน่าน 2. ได้เผยแพร่นวัตกรรมให้กับเพื่อนครูตามโรงเรียนต่าง ๆ ในสานักงานเขต พื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษนครสวรรค์ 3. ได้ส่งผลงานเข้าแข่งขันในการประกวดผลงานวิจัย ของสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 42 ในปีงบประมาณ 2563 4. ได้ส่งผลงานเข้าแข่งขันในการประกวดผลงานวิจัย และนวัตกรรมการสอน ของสานักงานเขต พ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 ในปีงบประมาณ 2564 5. ได้เผยแพร่นวัตกรรมที่สร้างขึ้นพร้อมผลการดาเนินงานให้กับ คณะครูโรงเรียนรัฐราษฏร์- อนุสรณ์ สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 ที่เข้ามาศึกษาดูงานในภาคเรียนที่ 1/2563 6. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 การประกวดผลงานนวัตกรรม เรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะ คณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบจานวนจริง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบกลุ่มช่วยเรียนรายบุคคล สาหรับ นกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 4 จดั โดยสานกั งานเขตพ้นื ที่การศกึ ษามัธยมศกึ ษานครสวรรค์ ประจาปี 2564 7. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 การประกวดผลงานวิจัย เร่ือง ผลการสอนโดยใช้การเรียนรู้แบบ ร่วมมือแบบกลุ่มช่วยเรยี นรายบุคคล ท่ีมีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 จดั โดยสานักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษามัธยมศึกษานครสวรรค์ ประจาปี 2564 8. ผลงานวิจัย ระดับดีเด่น การประกวดผลงานวิจัย โครงการส่งเสริมการวิจัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพ การศกึ ษา สร้างองคค์ วามรู้ และนวัตกรรมในการจัดการศกึ ษา สพม.42 ประจาปงี บประมาณ 2563 5. ข้อเสนอแนะและแนวทางการพฒั นาอยา่ งต่อเนอื่ ง 5.1 ขอ้ เสนอแนะ 1) การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ควรคานึงและพิจารณาถึงความรู้พื้นฐาน ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน เพื่อจะได้ทราบว่าเน้ือหาในเร่ืองใดที่จะสามารถนาความรู้พ้ืนฐานของนักเรียนมา ใชไ้ ดเ้ ลย หรอื เนอื้ หาเร่อื งใดทจ่ี ะต้องกล่าวทบทวนก่อน 2) ครูผู้สอนต้องเน้นย้าว่าความสาเร็จของกลุ่มข้ึนอยู่กับคะแนนเฉลี่ยจากคะแนนของทุกคนใน กลุ่ม เพื่อกระตนุ้ ให้เด็กเก่งอยากชว่ ยเหลือ เด็กปานกลางและอ่อน ซึง่ นกั เรยี นจะเกิดปฏสิ ัมพนั ธ์ที่ดีต่อกัน
19 3) ครผู ู้สอนตอ้ งเนน้ ยา้ เรอ่ื งการอา่ นคาชแ้ี จงทม่ี ีในแตล่ ะเอกสารการเรียนการสอนเพอ่ื ความเข้าใจ ทถ่ี กู ต้องก่อนลงมือทากิจกรรม 4) ครูผู้สอนต้องชี้แจงให้นักเรียนเข้าใจถงึ บทบาทหน้าที่ของตนเองโดยเฉพาะหัวหน้า กลุ่มในการ ทากิจกรรม และให้มคี วามรบั ผิดชอบ ความซอ่ื สัตยต์ อ่ ตนเองโดยไม่ตอ้ งลอกเฉลยหรอื ลอกเพอ่ื น 5.2 แนวทางการพัฒนาอยา่ งตอ่ เน่ือง 1) ควรนาการสอนโดยใช้การเรียนแบบร่วมมือแบบกลุ่มช่วยเรียนรายบุคคลไปใช้ในวิชา คณิตศาสตร์ในเรอื่ ง เลขยกกาลงั ในช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 เรอื่ งฟังก์ชนั เอกซ์โพเนนเชียลและฟังก์ชนั ลอการทิ ึม ใน ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 เป็นตน้ 2) ควรมีการศึกษาผลการสอนโดยใช้การเรียนแบบร่วมมือแบบกลุ่มช่วยเรียนรายบุคคลท่ีมีผลต่อ ตัวแปรอื่น ๆ เชน่ ความคงทนในการเรยี นรู้ ความสามารถในการแกป้ ญั หาในวชิ าคณติ ศาสตร์ เป็นตน้ 6. จุดเด่น หรือลักษณะพิเศษของผลงานนวัตกรรม 6.1 เป็นนวัตกรรมที่ส่งเสริมด้านความซื่อสัตย์ สุจริต เน่ืองด้วยกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียน สลับกันตรวจใบงานภายในกล่มุ ตวั เอง 6.2 เปน็ นวตั กรรมทีส่ ่งเสริมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการกลุ่มในการทางานเปน็ อย่างดี 6.3 เป็นนวัตกรรมท่ีเสริมสร้างความมีวินัย โดยได้จากกระบวนการทางานกลุ่ม และการช่วยเหลือกัน เรยี นรู้ภายในกล่มุ จนกลุม่ ประสบความสาเรจ็ 6.4 เป็นนวัตกรรมทีส่ ง่ เสรมิ กระบวนการคิด เนื่องดว้ ยเปน็ แบบฝึกทักษะคณติ ศาสตร์ 6.5 เป็นเครื่องมือวัดความก้าวหน้าและประเมินตนเองของนักเรียนได้ หลังจากท่ีเรียนจบบทเรียนใน แตล่ ะครงั้ ครูสามารถมองเหน็ จดุ เดน่ จดุ บกพร่องของนกั เรยี นได้อย่างชดั เจน 6.6 ชว่ ยให้เกิดการยอมรับในกลุ่ม โดยนกั เรยี นเก่งจะยอมรับนักเรียนอ่อนมากขึ้นและนกั เรียนอ่อนจะ เหน็ คณุ ค่าของนกั เรียนเก่ง 6.7 สนองความสามารถและความแตกต่างระหว่างบคุ คลได้เป็นอยา่ งดี กล่าวคอื นักเรยี นที่เรียนช้าจะ ได้มีเวลาศึกษาและฝึกฝนในเรื่องที่ไม่เข้าใจมากขน้ึ และนกั เรียนท่ีเรียนเร็ว ใช้เวลาศึกษานอ้ ย จะมีเวลาสามารถ ไปทากจิ กรรมอ่นื ไดเ้ ช่น ชว่ ยเหลือเพอ่ื นในกลุ่มที่เรียนออ่ น
20 7. บรรณานกุ รม กนกศรี วิลาวลั ย.์ (2553). การพัฒนากิจกรรมการเรยี นร้แู บบกล่มุ ร่วมมือเทคนคิ TAI กลุม่ สาระการเรยี นรู้ คณิตศาสตร์ เรือ่ ง ทศนิยมและเศษสว่ น ช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 1. วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบณั ฑติ . มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, มหาสารคาม. กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2551). ตวั ชวี้ ัดและสาระการเรียนร้แู กนกลางกลุ่มสาระการเรียนรคู้ ณติ ศาสตร์ตาม หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ : ชมุ นมุ สหกรณ์แห่ง ประเทศ ไทย จากัด. กัณฐศั ว์ ชัยเศรษฐศริ ิ. (2558). รายงานการสรา้ งและพัฒนาแบบฝกึ ทกั ษะคณิตศาสตร์ รายวิชาคณิตศาสตร์ เพม่ิ เตมิ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 เรื่อง ความน่าจะเปน็ . โรงเรยี นนางรอง : บุรีรมั ย.์ กีรติ สายสงิ ห.์ (2551). การพัฒนาชุดฝึกทักษะคณติ ศาสตร์ เร่ืองเลขยกกาลัง สาหรับนักเรยี น ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 1. วทิ ยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบณั ฑิต มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อบุ ลราชธานี. ชมนาค เชื้อสุวรรณทว.ี (2542). การสอนคณติ ศาสตร์. กรุงเทพฯ : ภาควิชาหลกั สูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ ประสานมิตร. ฐิตพิ จน์ โพธิช์ ่ืน. (2551). ผลการสอนโดยใช้การเรยี นแบบรว่ มมอื แบบกลุ่มช่วยเรียนรายบคุ คลทมี่ ตี ่อ ทางการเรยี นและเจตคตติ อ่ วิชาคณิตศาสตร์ ของนกั เรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 6. วิทยานิพนธป์ รญิ ญามหาบัณฑิต. มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์, นครสวรรค.์ ทิศนา แขมมณี. (2524). คู่มือการจัดกจิ กรรมกลุม่ สัมพันธ์. กรงุ เทพฯ, จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . นันทพิ า กงวิไล. (2544, กรกฎาคม). การศึกษาความก้าวหนา้ ทางการเรยี นวิชาคณติ ศาสตรข์ อง นักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรียนวฒั นาวิทยาลัย กรงุ เทพมหานครโดยใช้แบบฝึกคณติ คดิ เร็ว. วารสารวิชาการ, 7 : 71 – 79. บญั ญัติ ชานาญกจิ และ นวลศรี ชานาญกิจ. (2550). ระเบียบวธิ ีวจิ ัย. นครสวรรค์ : มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค.์ บุญชม ศรสี ะอาด. (2545). การวจิ ัยเบอื้ งต้น. พิมพ์ครัง้ ท่ี 7. กรงุ เทพฯ : สวุ รี ยิ าสาส์น. โรงเรยี นบรรพตพิสยั พิทยาคม. (2562). รายงานผลการเรียนกล่มุ สาระการเรยี นร้คู ณติ ศาสตร.์ นครสวรรค์ : งานทะเบยี นวดั ผลและประเมินผล. โรงเรยี นบรรพตพิสยั พทิ ยาคม. วรสดุ า บุญยไวโรจน.์ (2540). คณติ ศาสตร์ในโรงเรยี นมัธยมศึกษา. กรงุ เทพมหานคร : คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ประสานมิตร. วรนิ ทรา วชั รสิงห.์ (2537). หลกั และเทคนคิ การสร้างแบบฝึกหดั คณติ ศาสตร์. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วมิ ลรัตน์ สนุ ทรโรจน.์ (2545). เอกสารประกอบการเรยี นการสอนวชิ าพัฒนาการเรยี นการสอน. มหาสารคาม : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม. สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี (2546). คู่มอื วัดผลประเมนิ ผลคณิตศาสตร์. กรงุ เทพฯ : สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. . (2547). คมู่ ือครสู าระการเรยี นรพู้ ื้นฐานคณิตศาสตร์ กลุ่มสาระการเรยี นรู้คณติ ศาสตร์ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4. พมิ พ์ครั้งที่ 4. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พค์ รุ ุสภาลาดพรา้ ว.
21 สมศักด์ิ ขจรเจริญกลุ . (2538, เมษายน - มถิ ุนายน). รว่ มคิดระบบทาร่วมใจในการรวมกลมุ่ คณติ ศาสตร์. สารพฒั นาหลักสตู ร, 14. 19 – 21. สานักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 42. (2562). ผลการทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ระดบั ชาติ (O – NET). นครสวรรค์ : สานกั งานเขตพนื้ ที่การศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 42 สิริพร ทพิ ย์คง. (2545). หลกั สตู รการสอนคณติ ศาสตร์. กรุงเทพฯ : พฒั นาคณุ ภาพวิชาการ.
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: