วฒั นธรรม ประเพณี ธรรมเนยี ม
วัฒนธรรม คอื สิ่งตา่ งๆทค่ี นทัว่ ไปในสังคมปฏบิ ัติ สบื ตอ่ กนั มา แต่ไม่ไดย้ ึดถืออย่างเคร่งครดัในทุกรายละเอียด ดงั น้นั จงึ เปน็ ส่ิงที่เปล่ียนแปลงไดไ้ ปตามกาลเวลาประเพณี คอื ส่งิ ดีงาม ความถูกต้องท่ีเรายดึ ถอื ปฏบิ ตั ิกันต่อมาจากอดีตสู่ปจั จบุ นัธรรมเนียม คือสงิ่ ทย่ี ดึ ถือปฏบิ ัติกันในกลุ่มเฉพาะ อาจเป็นไดท้ ั้งส่ิงที่ดงี ามหรอื ไมจ่ าเป็นต้องเป็นสิ่งทีด่ งี าม หรือถกู ต้องในสายตากลมุ่ อ่นื หากแตส่ ่ิงนัน้ ได้รับการยอมรับกนั ในหมู่คนที่มีสว่ นร่วมในกล่มุ นนั้
มนษุ ยก์ บั วัฒนธรรม วัฒนธรรมเป็นเคร่ืองกาหนดวถิ ีการดาเนนิ ชีวติ ของมนุษย์ การท่มี นษุ ยอ์ ยรู่ ว่ มกันคบหาสมาคม ประกอบอาชพี ร่วมกนั ลว้ นเปน็ ผลมาจากวัฒนธรรม วฒั นธรรมเปน็ เครอ่ื งกลอ่ มเกลาจิตใจมนุษย์ ก่อใหเ้ กิดการอยู่รว่ มกันอยา่ งสงบสขุ สงั คมและวฒั นธรรมจงึ จาเปน็ ของคูก่ นั โดยมนุษย์เป็นผสู้ รา้ งวัฒนธรรม และวัฒนธรรมเปน็ สง่ิ สรา้ งความเจรญิ ให้แกส่ งั คมของมนุษย์
ความหมายของมนุษย์ มนุษย์ เปน็ สัตว์สังคมทม่ี ลี ักษณะพิเศษท่เี จริญกว่าสัตว์ทั้งหลาย รู้จกั ใช้เหตุผล มีจติ ใจสงู อยู่รวมกันเป็นกลมุ่ เพอื่ สนองความต้องการข้ันพืน้ ฐาน ต้องการความรัก ความอบอนุ่ การยอมรับ เกียรติยศ ความสาเร็จด้วยการสรา้ งสรรค์ ส่งั สมประสบการณ์ เอาชนะธรรมชาตแิ ละพฒั นาตนเอง เร่มิ จากการพึ่งพาอาศัยกัน มนษุ ย์มสี ตปิ ญั ญาจากการเรยี นรู้ ระยะเวลาท่ไี ม่สามารถพึง่ พาตนเองได้ดังน้ันยาวนานกว่าสัตว์อื่น เพราะต้ังแต่เปน็ทารก เปน็ เด็ก ต้องไดร้ ับการเลย้ี งดจู ากพ่อแม่ ทาใหเ้ กิดการเรียนรสู้ ังคมใหม้ ชี วี ิตรอด มีการสือ่ สารถา่ ยทอดประดิษฐค์ ิดค้น เพือ่ สนองความต้องการของมนษุ ยด์ ว้ ยกันเอง มีกิจกรรมร่วมกันเพอ่ื ใหส้ งั คมพัฒนา มคี วามเจริญก้าวหน้าตอ่ ไปตามลาดบั การทม่ี นุษยเ์ ป็นสตั ว์สังคม จึงทาให้สามารถพัฒนาตนเองได้ดีกวา่ สตั ว์อืน่ นอกจากนีม้ นุษยย์ งั มีลักษณะพิเศษ กว่าสัตว์อนื่ ๆ ดังน้ี 1. มนษุ ยม์ รี า่ งกายต้งั ฉากกับพืน้ โลกผิดจากสัตวอ์ ื่น 2. มีมนั สมองมากวา่ จึงเฉลยี วฉลาดกวา่ สัตว์อื่น 3. มนี ยั น์ตาอยู่ด้านหน้า สามารถมองเห็นได้รอบ 4. มเี พศสมั พันธ์ไม่จากดั ฤดกู าล สามารถสรา้ งสมาชิกใหม่ใหส้ ังคมได้เม่ือมนุษย์ต้องการ 5. มีมือท่สี มารถหยิบจบั สิง่ ของไดถ้ นัดกวา่ สัตวอ์ ่ืน 6. มวี ัฒนธรรม คณุ ธรรม และจริยธรรม
ความหมายของวฒั นธรรมเป็นดังนี้ วัฒนธรรม เป็นสง่ิ ที่มนษุ ย์สรา้ งขนึ้ และเปน็ ลกั ษณะเฉพาะของแตล่ ะสงั คมในการดาเนนิ ชวี ติของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งทแ่ี สดงออกถงึ ความเจรญิ งอกงาม ความเปน็ ระเบยี บเรียบรอ้ ย ความกลมเกลียวความกา้ วหน้าคนสว่ นใหญย่ อมรับวา่ เปน็ สงิ่ ดีงาม โดยสร้างเปน็ กฎเกณฑแ์ บบแผน เพื่อนาไปปฏบิ ตั ิใหเ้ ปน็ ไปตามรปู แบบเดยี วกัน ถอื เป็น \"มรดกแห่งสังคม\" เพราะวฒั นธรรมเป็นสงิ่ ท่มี นุษย์ไดร้ ับมาจากบรรพบุรษุ หรือถา่ ยทอดใหแ้ ก่อนุชนรุ่นหลงั จนเป็นวิถีของสังคม
ลกั ษณะของวฒั นธรรม วัฒนธรรมมลี กั ษณะสาคัญซึ่งอาจแยกกลา่ วได้ ดังนี้ 1. วัฒนธรรมเป็นพฤติกรรมที่เกดิ จากากรเรียนรู้ (Learned Behavior) วฒั นธรรมไม่ใชส่ ิ่งทตี่ ดิ ตัวมนษุ ย์มาแต่กาเนดิ และไมใ่ ชส่ ง่ิ ทอี่ าจถา่ ยทอดทางพันธุกรรมได้ เช่นกรยิ าทา่ ทาง การพูด การเขยี น การแต่งกาย มารยาทตา่ ง ฯลฯ พฤติกรรมเหลา่ น้ตี อ้ งอาศยั การเรยี นรู้เท่านนั้จึงจะทาได้ การทม่ี นุษยส์ ามารถเรียนรู้วฒั นธรรมได้ กเ็ พราะมนุษยส์ ามารถติดต่อทาความเข้าใจกนัโดยใช้สญั ลักษณท์ ี่สาคัญท่ีสุดคอื ภาษา ทั้งภาษาพูดและภาษาเขยี นแต่ถา้ มนษุ ย์ถกู แยกออกจากเพื่อนมนุษย์อ่นื และไมไ่ ด้รบั การสง่ั สอนกไ็ ม่อาจทาสงิ่ ตา่ ง ๆ ได้ ดงั นั้น การทีเ่ ดก็ ขาดลกั ษณะของความเปน็มนุษยท์ ส่ี มบรูณ์ ก็เพราะวา่ ไมไ่ ด้เรียนรู้วัฒนธรรม วฒั นธรรมจงึ เป็นพฤติกรรมทต่ี ้องเรียนรู้
2. วัฒนธรรมเป็นวิถีชวี ิต (Way of Life) ในทางสังคมศาสตร์ กลา่ ว วฒั นธรรมเปน็ วถิ ชี ีวิตของมนษุ ยใ์ นสงั คม เพราะวัฒนธรรมเป็นส่งิกาหนดพฤติกรรมของมนษุ ยต์ ง้ั แตเ่ กิดจนตาย เปน็ แบบแผนการดาเนินชวี ิต เป็นตวั กาหนดรูปแบบท่ีจดจาสบื ต่อกันมา ทั้งด้านครอบครวั เศรษฐกจิ การปกครอง การกิน การเขียน การทางาน ลว้ นเปน็ เร่อื งของวฒั นธรรมทเ่ี ป็นวถิ ีชีวติ ของมนษุ ย์ทัง้ สน้ิ ซ่ึงเป็นแบบแผนกันไปในแต่ละชาติ เช่น วัฒนธรรมไทย วฒั นธรรมจนี หรอื วัฒนธรรมตะวนั ตกเปน็ ตน วฒั นธรรมการแต่งงานแตล่ ะชาติ
3. วัฒนธรรมเป็นมรดกทางสังคม (Social Heritage) วัฒนธรรมของมนษุ ย์น้ันสามารถถ่ายทอดสืบสารตอ่ กนั ได้ วิง่ เกดิ จากการเรียนรูส้ ิ่งที่มีอยูแ่ ลว้ เช่นภาษาพูด ภาษาเขยี น หรือสัญลักษณต์ า่ ง ๆ ชว่ ยให้มนษุ ยส์ อ่ื สารและเขา้ ใจกนั ได้ ศิลาจารกึ
4. วฒั นธรรมเป็นลกั ษณะท่เี หนืออนิ ทรยี ์ (The Superorganic) หมายถงึ วฒั นธรรมทม่ี กี ารเปลย่ี นแปลงไป เป็นสง่ิ ไมค่ งทน่ี น้ั คอื การเปลย่ี นแปลงท่ีไมเ่ ก่ยี วพนั กบักระบวนการทางพนั ธุกรรม หรอื ไม่เกย่ี วขอ้ ง กบั ร่างกายนนั่ เอง มนุษยช์ าตทิ งั้ มวล สามารถไดร้ บั ประโยชน์จากสง่ิ ประดษิ ฐใ์ หม่ๆใหเ้หมาะสมกบั สถานการณ์ สภาพแวดลอ้ มทส่ี ะดวกรวดเรว็ ข้นึ ผลท่ี ตามมาคอื มกี ารสรา้ งทา่ อากาศยาน ถนนหนทาง เป็นตน้ ซง่ึ สง่ิ เหลา่ น้ผี ลต่อสงั คมใน ดา้ นอน่ื ๆมากมาย จะเหน็ ไดว้ า่ ลกั ษณะของวฒั นธรรมทก่ี ลา่ วมาน้ี เป็นสง่ิ ทต่ี อ้ งเรยี นรู้ จากแบบแผนการดาเนนิ ชวี ติ ซง่ึสงั คมแรกทเ่ี ป็นสงั คมแห่งการเรยี นรูค้ อื ครอบครวั วฒั นธรรมใดทส่ี งั คมยอมรบั ว่าดกี จ็ ะถา่ ยทอดสู่คนร่นุ หลงักลายเป็นมรดกทางวฒั นธรรม นอกจากน้ี วฒั นธรรมยงั มลี กั ษณะเป็นการ แสดงออกในรูปของความคิดการปฏบิ ตั โิ ดยสมาชกิ รบั รูร้ ่วมกนั และประพฤติ ปฏบิ ตั ใิ หเ้หมาะสมกบั สงั คมของตน อย่างไรกต็ ามวฒั นธรรมมใิ ช่เป็นของผูใ้ ดโดยเฉพาะ แต่เป็นของส่วนรวมจากการทม่ี นุษยอ์ ยู่ร่วมกนั สรา้ งรูปแบบในการดาเนนิ ชวี ติร่วมกนั ในสงั คม ดงั นน้ั วฒั นธรรมจงึ เป็นสง่ิ ทส่ี งั คมยอมรบั และถอื ปฏบิ ตั ริ ่วมกนั ไม่ใชเ้ป็นของสมาชกิ ในสงั คมคนใดคนหน่ึงทย่ี อมรบั และถอื ปฏบิ ตั เิ ทา่ นนั้
อทุ ยานประวัตศิ าสตรส์ ุโขทยั อทุ ยานประวตั ศิ าสตร์พระนครครี ี อทุ ยานประวตั ศิ าสตรพ์ นมรุ้ง
วตั นธรรมวตั ถุ วตั นธรรมท่ไี ม่ใชว้ ตั ถุ สถาบนั ทางสงั คม: ครอบครวั เศรษกจิ การศึกษา การเมอื งบา้ น รถยนต์ เส้อื ผา้ เครอ่ื งจกั รกล การปกครอง ศาสนา สุขภาพ สุขภาพอนามยั เป็นตน้ตูเ้ ยน็ พดั ลมโตะ๊ เกา้ อ้วี ทิ ยเุ ป็ นตน้ วฒั นธรรมประเภทการควบคุมทางสงั คม : ศาสนา ความเชอ่ื ค่านยิ มอดุ มการณป์ ระเพณีกฎหมาย ศิลปะ : จติ รกรรม ประตมิ ากรรม สถาปตั ยกรรม หตั ถกรรมนาฎศิลป์ ดนตรกี ารละคร ภาษา : ภาษาพดู ภาษาเขยี น กิรยิ า ทา่ ทาง พธิ กี รรม
หน้าท่ีของวัฒนธรรม วฒั นธรรมมหี นา้ ทด่ี งั ต่อไปน้ี 1. วฒั นธรรมเป็นตวั กาหนดรูปแบบของสถาบนั ซง่ึ ลกั ษณะแตกต่างกนั ไปในแต่ละสงั คม เช่นวฒั นธรรม ศาสนาอสิ ลาม อนุญาตใหช้ าย(ทม่ี คี วามสามารถเล้ยี งดูและให้ ความยุตธิ รรมแก่ภรรยา) มีภรรยาได ้มากกว่า 1 คน โดยไมเ่ กนิ 4 คน แต่หา้ มสมสู่ระหวา่ งเพศเดยี วกนั อย่างเดด็ ขาด ในขณะท่ศี าสนาอน่ือนุญาตใหช้ ายมภี รรยาไดเ้พยี ง 1 คน แต่ไม่มบี ญั ญตั หิ า้ มความสมั พนั ธร์ ะหว่างเพศเดยี วกนั ฉะนน้ัรูปแบบของสถาบนั ครอบครวั จงึ อาจแตกต่างไป ปจั จยั ทท่ี าใหส้ งั คมต่างๆ มวี ฒั นธรรมทแ่ี ตกต่างกนั
สงั คมหน่งึ จะตอ้ งมวี ฒั นธรรมหรอื วถิ กี ารดาเนินชวี ติ เป็นลกั ษณะเฉพาะของสงั คมนน้ั วฒั นธรรมจงึ เป็นเอกลกั ษณข์ องชาติ สาเหตทุ ท่ี าใหส้ งั คมมวี ฒั นธรรมทแ่ี ตกต่างกนั มดี งั น้ี 1. ความคดิ เหน็ และการมองเหน็ โลกทแ่ี ตกต่างกนั ไป มนุษยท์ กุ แหง่ ในโลกตอ้ งมรี ะเบยี บกฎเกณฑ์ความเชอ่ื ศาสนา การปกครอง เศรษฐกจิ แมน้ แต่การอบรมเล้ยี งดูเดก็ ตลอดจนการคบคา้ สมาคม แต่รูปแบบของสง่ิ เหลา่ น้จี ะแตกต่างกนั ไปตามความคดิ เหน็ และคานิยมของแต่ละสงั คม
2. สภาพแวดลอ้ มทางภมู ศิ าสตรท์ ต่ี ่างกนั - มนุษยท์ อ่ี ยู่ในเขตหนาวก็ตอ้ งพบปญั หาต่างกนั กบั มนุษยท์ อ่ี ยู่ในเขตรอ้ น - มนุษยท์ อ่ี ยู่บนภเู ขาย่อมมปี ญั หาต่างจากมนุษยท์ อ่ี ยู่ในทล่ี ุม่ - มนุษยท์ อ่ี ยู่ในสภาพแวดลอ้ มคลา้ ยกนั อาจมองโลกต่างกนั หรอื ความแตกต่างของเหตกุ ารณ์ ในประวตั ศิ าสตรท์ ผ่ี ่านมา - มนุษยท์ เ่ี กดิ ในสง่ิ แวดลอ้ มใดกม็ กั จะคุน้ เคยกบั วฒั นธรรมของตน อาจกลา่ วโดยสรปุ ไดว้ ่า วฒั นธรรมเป็นสง่ิ ทม่ี นุษยส์ รา้ งข้นึ มลี กั ษณะเฉพาะและเปลย่ี นแปลงไดจ้ ากภายใตใ้ นสงั คมหรอื กระจายมาจากสงั คมอน่ื จงึ ควรระลกึ เสมอว่าวฒั นธรรมใหมใ่ ชว้ ่าจะดที กุ อย่าง ของเก่าก็ไมใ่ ช่ดที งั้ หมด จงึ ควรรูจ้ กั การเลอื กสง่ิ ใหมท่ ด่ี แี ละเกบ็ ของเก่าทด่ี ไี วเ้ช่นกนั
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: