Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สื่อศิลปะ

สื่อศิลปะ

Published by s_ec0833, 2020-05-07 23:34:36

Description: สื่อศิลปะ

Search

Read the Text Version

~ 49 ~ เคร่ืองบำบัดควำมเครียด สร้ำงสมำธิ กล่อมเกลำจิตใจให้สุขุม เยือกเย็น อำรมณ์ดี โดยท่ีไม่ต้องเสียเวลำ หรือ เสยี เงินซือหำแต่อย่ำงใดดนตรมี คี ณุ คำ่ ตอ่ มนุษย์มำกมำย ดังเช่น เสำวนีย์ สังฆโสภณ กล่ำวว่ำจำกงำนวิจัยของ ต่ำงประเทศ ทำให้เรำทรำบว่ำ ดนตรีมีผลต่อกำรทำงำนของระบบประสำทอัตโนมัติ ระบบกล้ำมเนือ และ สภำพจิตใจ ทำให้สมองหล่ังสำรแห่งควำมสุข เพื่อบรรเทำอำกำรเจ็บปวด ทำให้เกิดสติ ควำมรู้สึกนึกคิดที่ดี และนำมำใช้ไดผ้ ลในเร่อื งกำรคลำยควำมเครียด ลดควำมวิตกกังวล ลดควำมกลัว บรรเทำอำกำรเจ็บปวด เพ่ิม กำลัง และกำรเคลื่อนไหวของร่ำงกำย โดยนิยมใช้ในงำนฟ้ืนฟูสุขภำพคนท่ัวไป พัฒนำคุณภำพชีวิต ฟื้นฟู สมรรถภำพคนพอกำร ผู้ป่วยโรคจิต และเด็กมีควำมต้องกำรเป็นพิเศษ เป็นต้นดนตรีเป็นศิลปะท่ีอำศัยเสียง เพ่อื ถำ่ ยทอดอำรมณ์ไปสผู่ ฟู้ งั เป็นศลิ ปะท่ีงำ่ ยตอ่ กำรสมั ผสั ก่อให้เกิดควำมสุข ควำมปติ ิพอใจแกม่ นษุ ยไ์ ด้ กล่ำวว่ำ ดนตรเี ป็นภำษำสำกล เพรำะเป็นส่ือควำมรู้สึกของชนทุกชำติได้ ดังนัน คนที่โชคดีมีประสำท รบั ฟงั เป็นปกติ ก็สำมำรถหำควำมสุขจำกกำรฟังดนตรีได้ เม่ือเรำได้ฟังเพลงที่มีจังหวะ และทำนองที่รำบเรียบ น่มุ นวล จะทำให้เกดิ ควำมร้สู ึกผอ่ นคลำยควำมตึงเครียด ด้วยเหตนุ ี เม่ือเรำไดฟ้ งั ดนตรี ทเี่ ลือกสรรแล้ว จะช่วย ทำให้เรำมีสุขภำพจิตที่ดี อันมีผลดีต่อสุขภำพร่ำ กำยด้วย ดนตรีจึงเปรียบเสมือน ยำรักษำโรค กำรที่มี เสียงดนตรีรอบบำ้ น เปรียบเสมอื นมีอำหำรและวติ ำมนิ ทช่ี ่วยทำใหค้ นเรำมสี ขุ ภำพแขง็ แรง คุณประโยชน์ของดนตรีที่มีต่อมนุษย์ ซ่ึงส่วนใหญ่มักจะกล่ำวถึงดนตรีมีผลต่อสภำวะทำงร่ำงกำย แต่ ควำมเปน็ จรงิ แล้ว ดนตรเี ปน็ เรอ่ื งของ “จติ ” แล้วส่งผลดีมำสู่ “กำย” ดังนันจึงไม่แปลกอะไร ท่ีเรำมักจะได้ยิน ว่ำ ดนตรีช่วยกล่อมเกลำจิตใจ ทำให้คนอำรมณ์ดี ไม่เครียด คลำยปวด ฯลฯ เพรำะดนตรีเป็นสื่อสุนทรียะ ที่ ถ่ำยทอดโดยใชเ้ สยี งดนตรีเป็นสอ่ื สดุ ท้ำยของกำรบรรยำยเรื่อง “สุนทรียศำสตร์ ทำงดนตรี” จึงสรุปเป็นข้อคิด จำกกำรศกึ ษำมนเร่ืองของควำมงำมในเสียงดนตรี ผู้เสพ ควรเลือกว่ำจะเสพเพียงแค่ “เป็นผู้เสพ” หรือจะเป็น “ผู้ได้รับประโยชน์จำกกำรเสพ” เพรำะดนตรีนันงำมโดยใช้เสียงเป็นสื่อ แต่ขันตอนสำคัญในกำรถ่ำยทอดคือ นักดนตรีถ่ำยทอดโดยใช้ “จิต” ผู้ฟังรับส่ือโดยใช้ “จิต” เป็นตัวรับรู้รับสัมผัสอำรมณ์ต่ำง ๆ ผลจำกกำรรับ สมั ผสั ดว้ ยจิตนัน เพลงทส่ี งบ รำบเรยี บ จิตกจ็ ะวำ่ ง (สญู ญตำ) ทำใหจ้ ิตขณะนันปรำศจำก “กิเลส” ผู้ฟังจึงรู้สึก สบำยใจ คลำยควำมวิตกกังวล คลำยควำมเศร้ำ คลำยควำมเจ็บปวด ผู้ฟังเกิดสมำธิ จึงเป็นผลให้สมองทำงำน ได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ ใบงาน เรอ่ื ง คุณคา่ ของดนตรกี ับการด้ารงชวี ติ คา้ สง่ั ให้ผู้เรียนทำกำรศกึ ษำ คน้ คว้ำเพ่มิ เติมในเรื่องต่อไปนี 1. เครื่องดนตรีไทย แบ่งออกเป็นกี่ประเภท และมีประเภทอะไรบำ้ ง พร้อมทงั ยกตวั อยำ่ งประกอบ อย่ำงน้อยประเภท ละ3 ชนดิ 2. จงอธิบำย ควำมแตกตำ่ งระหวำ่ งเครอื่ งดนตรีไทย และเครื่องดนตรสี ำกล มำพอเข้ำใจ

~ 50 ~ 3. วงดนตรีสำกลแบง่ ออกเป็นก่ีประเภท และมปี ระเภทใดบ้ำง

~ 51 ~ บนั ทึกหลกั การพบกลุม่ คร้งั ที่ ………….. วนั ท่ี……. เดือน ……………. พ.ศ………….. กิจกรรมการเรยี นรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………… สง่ิ ท่ไี ดร้ ับจากการเรยี นรู้ ……………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………

~ 52 ~ บนั ทึกหลังการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ กจิ กรรมการเรียนรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……… สภาพปัญหาท่ีพบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……… วิธกี ารแก้ปญั หา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……… ข้อเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………… ลงชือ่ …………………………………….ผบู้ ันทกึ หลงั การสอน (………………..………………) ต้าแหนง่ ………………………………… ลงชือ่ ….................................................ผูอ้ า้ นวยการสถานศึกษา

~5

53 ~

~ 54 ~ ใบความรู้ เรอื่ ง ดนตรสี ากลประเภทตา่ งๆ ประวตั ิ ภมู ปิ ัญญาทางดนตรสี ากล องคป์ ระกอบของดนตรีสากล ดนตรไี มว่ ำ่ จะเป็นของชำติใด ภำษำใด ลว้ นมีพืนฐำนมำจำกส่วนต่ำงๆ เหล่ำนีทังสิน ควำมแตกต่ำงใน รำยละเอียดของแต่ละส่วนแต่ละวัฒนธรรมนัน เป็นสิ่งท่ีเกิดขึนจริง แต่กำรที่จะแตกต่ำงกันอย่ำงไรนัน กรอบ วัฒนธรรมของแต่ละสังคมจะเป็นปัจจัยที่กำหนดในตรงตำมรสนิยมของแต่ละวัฒนธรรมจนเป็นผลให้สำมำรถ แยกแยะดนตรขี องชำตหิ น่งึ แตกต่ำงจำกดนตรีของอกี ชำติหนงึ่ อย่ำงไร องค์ประกอบของดนตรีสากล ประกอบดว้ ย 1. เสยี ง (Tone) คีตกวีผู้สร้ำงสรรค์ดนตรี เป็นผู้ใช้เสียงในกำรสร้ำงสรรค์ผลิตงำนศิลปะเพ่ือรับใช้สังคม ผู้สร้ำงสรรค์ ดนตรีสำมำรถสร้ำงเสียงท่ีหลำกหลำยโดยอำศัยวิธีกำรผลิตเสียงเป็นปัจจัยกำหนด เช่น กำรดีด กำรสี กำรตี กำรเป่ำ เสียงเกิดจำกกำรส่ันสะเทือนของอำกำศที่เป็นไปอย่ำงสม่ำเสมอ ส่วนเสียงอึกทึกหรือเสียงรบกวน (Noise) เกดิ จำกกำรสั่นสะเทือนของอำกำศท่ีไม่สม่ำเสมอ ลักษณะควำมแตกต่ำงของเสียงขึนอยู่กบคุณสมบัติ สำคัญ 4 ประกำร คอื ระดับเสียง ควำมยำวของเสียง ควำมเขม้ ของเสียง และคุณภำพของเสยี ง 1.1 ระดับเสียง (Pitch) หมำยถึง ระดับควำมสูง-ต่ำของเสียง ซ่ึงเกิดกำรจำนวนควำมถ่ีของ กำรส่ันสะเทือน กล่ำวคือ ถ้ำเสียงที่มีควำมถี่สูง ลักษณะกำรสั่นสะเทือนเร็ว จะส่งผลให้มีระดับเสียงสูง แต่ถ้ำ หำกเสยี งมคี วำมถ่ตี ำ่ ลักษณะกำรสนั่ สะเทือนช้ำจะสง่ ผลให้มรี ะดับเสียงต่ำ 1.2 ความส้ัน-ยาวของเสียง (Duration) หมำยถึง คุณสมบัติที่เก่ียวกับควำมยำว-สันของ เสียง ซ่ึงเป็นคุณสมบัติท่ีสำคัญอย่ำงยิ่งของกำรกำหนดลีลำ จังหวะ ในดนตรีตะวันตก กำรกำหนดควำมสัน- ยำวของเสียง สำมำรถแสดงให้เห็นได้จำกลักษณะของตัวโน้ต เช่น โน้ตตัวกลม ตัวขำว และตัวดำ เป็นต้น สำหรับในดนตรีไทยนัน แต่เดิมมิได้ใช้ระบบกำรบันทักโน้ตเป็นหลัก แต่ย่ำงไรก็ตำม กำรสร้ำงควำมยำว-สัน ของเสียงอำจสังเกตได้จำกลีลำกำรกรอระนำดเอก ฆ้องวง ในกรณีของซออำจแสดงออกมำในลักษณะของกำร ลำกคนั ชักยำวๆ 1.3 ความเข้มของเสียง (Intensity) ควำมเข้มของสียงเก่ียวข้องกับนำหนักของควำมหนัก เบำของเสียง ควำมเข้มของเสยี งจะเปน็ คณุ สมบตั ิท่ีก่อประโยชนใ์ นกำรเกือหนุนเสยี งใหม้ ีลีลำจังหวะทส่ี มบูรณ์ 1.4 คุณภาพของเสียง (Quality) เกิดจำกคุณภำพของแหล่งกำเนิดเสียงที่แตกต่ำงกัน ปจั จัยทที่ ำใหค้ ุณภำพของเสยี งเกดิ ควำมแตกต่ำงกนั นนั เกดิ จำกหลำยสำเหตุ เชน่ วิธีกำรผลิตเสียง รูปทรงของ แหล่งกำเนิดเสียง และวัสดุที่ใช้ทำแหล่งกำเนิดเสียง ปัจจัยเหล่ำนีก่อให้เกิดลักษณะคุณภำพของเสียง ซึ่งเป็น หลักสำคญั ใหผ้ ฟู้ งั สำมำรถแยกแยะสีสันของสียง (Tone Color) ระหว่ำงเคร่ืองดนตรีเครื่องหน่ึงกับเครื่องหนึ่ง ไดอ้ ยำ่ งชดั เจน 2. พ้ืนฐานจังหวะ (Element of Time)

~ 55 ~ จังหวะเป็นศลิ ปะของกำรจดั ระเบียบเสียง ทีเ่ ก่ียวข้องกับควำมช้ำเร็ว ควำมหนักเบำและควำมสัน-ยำว องค์ประกอบเหล่ำนี หำกนำมำร้อยเรียง ปะติดปะต่อเข้ำด้วยกันตำมหลักวิชำกำรเชิงดนตรีแล้ว สำมำรถที่จะ สร้ำงสรรค์ให้เกิดลีลำจังหวะอันหลำกหลำย ในเชิงจิตวิทยำ อิทธิพลของจังหวะท่ีมีผลต่อผู้ฟังจะปรำกฏพบใน ลกั ษณะของกำรตอบสนองเชิงกำยภำพ เชน่ ฟงั เพลงแล้วแสดงอำกำรกระดิกนิว ปรบมือรว่ มไปด้วย 3. ท้านอง (Melody) ทำนองเป็นกำรจัดระเบียบของเสียงท่ีเก่ียวข้องกับควำมสูง-ต่ำ ควำมสัน-ยำว และควำมดัง-เบำ คุณสมบัติเหล่ำนีเมื่อนำมำปฏิบัติอย่ำงต่อเน่ืองบนพืนฐำนของควำมช้ำ-เร็ว จะเป็นองค์ประกอบของดนตรีที่ ผ้ฟู งั สำมำรถทำควำมเขำ้ ใจได้งำ่ ยท่สี ุด ในเชิงจิตวิทยำ ทำนองจะกระตุ้นผู้ฟังในส่วนของสติปัญญำ ทำนองจะมีส่วนสำคัญในกำรสร้ำงควำม ประทบั ใจ จดจำ และแยกแยะควำมแตกตำ่ งระหวำ่ งเพลงหน่ึงกับอีกเพลงหนง่ึ 4. พ้ืนผวิ ของเสยี ง (Texture) “พืนผิว” เป็นคำท่ีใช้อยู่ท่ัวไปในวิชำกำรด้ำนวิจิตรศิลป์ หมำยถึง ลักษณะพืนผิวของส่ิงต่ำงๆ เช่น พืนผิวของวสั ดุทม่ี ีลกั ษณะขรขุ ระ หรอื เกลียงเกลำ ซง่ึ อำจจะทำจำกวัสดทุ ่ีตำ่ งกัน ในเชงิ ดนตรนี ัน “พืนผวิ ” หมำยถึง ลักษณะหรือรูปแบบของเสียงทงั ทีป่ ระสำนสมั พันธแ์ ละไม่ประสำน สัมพนั ธ์ โดยอำจจะเป็นกำรนำเสียงมำบรรเลงซ้อนกนั หรอื พรอ้ มกนั ซึ่งอำจพบทังในแนวตังและแนวนอน ตำม กระบวนกำรประพันธ์เพลง ผลรวมของเสียงหรือแนวทังหมดเหล่ำนัน จัดเป็นพืนผิวตำมนัยของดนตรีทังสิน ลักษณะรปู แบบพนื ผวิ ของเสียงมีอยหู่ ลำยรปู แบบ ดงั นี 4.1 Monophonic Texture เป็นลักษณะพืนผิวของเสียงที่มีแนวทำนองเดียว ไม่มีเสียง ประสำน พืนผิวเสียงในลักษณะนีถือเป็นรูปแบบกำรใช้แนวเสียงของดนตรีในยุคแรกๆ ของดนตรีในทุก วัฒนธรรม 4.2 Polyphonic Texture เป็นลักษณะพืนผิวของเสียงท่ีประกอบด้วยแนวทำนองตังแต่ สองแนวทำนองขึนไป โดยแต่ละแนวมีควำมเด่นและเป็นอิสระจำกกัน ในขณะท่ีทุกแนวสำมำรถประสำน กลมกลืนไปด้วยกนั ลกั ษณะแนวเสยี งประสำนในรูปของ Polyphonic Texture มีวิวัฒนำกำรมำจำกเพลงชำนท์ (Chant) ซึ่งมพี นื ผิวเสยี งในลกั ษณะของเพลงทำนองเดียว (Monophonic Texture) ภำยหลังได้มีกำรเพิ่มแนว ขบั ร้องเข้ำไปอีกหนึ่งแนว แนวทเี่ พิ่มเข้ำไปใหมน่ จี ะใช้ระยะขันคู่ 4 และคู่ 5 และดำเนินไปในทำงเดียวกับเพลง ชำนท์เดิม กำรดำเนินทำนองในลักษณะนีเรียกว่ำ “ออร์กำนุ่ม” (Orgonum) นับได้ว่ำเป็นยุคเร่ิมต้นของกำร ประสำนเสียงแบบ Polyphonic Texture หลังจำกคริสต์ศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมำ แนวทำนองประเภทนีได้มี กำรพัฒนำกำ้ วหนำ้ ไปมำก ซ่งึ เป็นระยะเวลำทกี่ ำรสอดทำนอง (Counterpoint) ได้เข้ำไปมีบทบำทเพ่ิมมำกขึน ในกำรตกแตง่ พืนผิวของแนวทำนองแบบ Polyphonic Texture 4.3 Homophonic Texture เป็นลักษณะพืนผิวของเสียง ที่ประสำนด้วยแนวทำนองแนว เดียว โดยมี กล่มุ เสียง (Chords) ทำหน้ำท่สี นบั สนุนในคีตนิพนธ์ประเภทนี แนวทำนองมักจะเคล่ือนท่ีในระดับ เสียงสูงที่สุดในบรรดำกลุ่มเสียงด้วยกัน ในบำงโอกำสแนวทำนองอำจจะเคล่ือนที่ในระดับเสียงต่ำได้เช่นกัน

~ 56 ~ ถึงแม้ว่ำคีตนิพนธ์ประเภทนีจะมีแนวทำนองท่ีเด่นเพียงทำนองเดียวก็ตำม แต่กลุ่มเสียง (Chords) ท่ีทำหน้ำที่ สนับสนุนนัน มีควำมสำคัญที่ไม่น้อยไปกว่ำแนวทำนอง กำรเคล่ือนท่ีของแนวทำนองจะเคล่ือนไปในแนวนอน ในขณะทก่ี ล่มุ เสียงสนับสนุนจะเคลอ่ื นไปในแนวตัง 4.4 Heterophonic Texture เป็นรูปแบบของแนวเสียงที่มีทำนองหลำยทำนอง แต่ละ แนวมีควำมสำคัญเท่ำกันทุกแนว คำว่ำ Heteros เป็นภำษำกรีก หมำยถึงแตกต่ำงหลำกหลำย ลักษณะกำร ผสมผสำนของแนวทำนองในลกั ษณะนี เปน็ รูปแบบกำรประสำนเสียง 5. สสี นั ของเสียง (Tone Color) “สีสันของเสียง” หมำยถึง คุณลักษณะของเสียงท่ีกำเนิดจำกแหล่งเสียงท่ีแตกต่ำงกัน แหล่งกำเนิด เสยี งดงั กล่ำว เป็นไดท้ ังท่เี ปน็ เสียงรอ้ งของมนษุ ยแ์ ละเครื่องดนตรีชนิดต่ำงๆ ควำมแตกต่ำงของเสียงร้องมนุษย์ ไม่ว่ำจะเป็นระหว่ำงเพศชำยกับเพศหญิง หรือระหว่ำงเพศเดียวกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีพืนฐำนของกำรแตกต่ำง ทำงด้ำนสรีระ เช่น หลอดเสยี งและกล่องเสียง เปน็ ต้น ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเคร่ืองดนตรีนัน ควำมหลำกหลำยด้ำนสีสันของเสียง ประกอบด้วยปัจจัยท่ี แตกต่ำงกนั หลำยประกำร เชน่ วิธกี ำรบรรเลง วสั ดุท่ีใชท้ ำเครือ่ งดนตรี รวมทังรูปทรง และขนำด ปัจจัยเหล่ำนี ล้วนสง่ ผลโดยตรงต่อสีสนั ของเสยี งเคร่อื งดนตรี ทำใหเ้ กิดคุณลกั ษณะของเสยี งที่แตกต่ำงกนั ออกไป 5.1 วิธีการบรรเลง อำศัยวิธีดีด สี ตี และเป่ำ วิธีกำรผลิตเสียงดังกล่ำวล้วนเป็นปัจจัยให้ เครอ่ื งดนตรีมคี ณุ ลักษณะของเสียงทีต่ ำ่ งกัน 5.2 วัสดุท่ีใช้ท้าเคร่ืองดนตรี วัสดุท่ีใช้ทำเครื่องดนตรีของแต่ละวัฒนธรรมจะแตกต่ำงกันไป ตำมสภำพแวดล้อมของสงั คมและยุคสมัย วัสดุท่ใี ช้ทำเคร่ืองดนตรีท่ีแตกต่ำงกัน นับเป็นปัจจัยที่สำคัญประกำร หนึ่ง ท่ีส่งผลให้เกิดควำมแตกต่ำงในด้ำนสีสันของเสียง 5.3 ขนาดและรูปทรง ลักษณะของเคร่ืองดนตรีที่มีรูปทรงและขนำดที่แตกต่ำงกัน จะเป็น ปจั จัยท่ีสง่ ผลใหเ้ กิดควำมแตกต่ำงกนั ในดำ้ นสสี ันของเสียงในลกั ษณะทม่ี ีควำมสมั พันธก์ นั 6. คีตลักษณ์ (Forms) คตี ลักษณห์ รอื รปู แบบของเพลง เปรยี บเสมอื นกรอบท่หี ลอมรวมเอำจังหวะ ทำนอง พนื ผิว และสสี ัน ของเสยี งใหเ้ คลื่อนทไ่ี ปในทศิ ทำงเดียวกนั เพลงทมี่ ีขนำดสัน-ยำว วนกลบั ไปมำ ล้วนเปน็ สำระสำคัญของคีต ลกั ษณ์ทังสิน ดนตรีมีธรรมชำตทิ แ่ี ตกตำ่ งไปจำกศลิ ปะแขนงอน่ื ๆ ซึ่งพอจะสรปุ ไดด้ ังนี 1. ดนตรเี ปน็ สือ่ ทำงอำรมณ์ที่สัมผัสได้ด้วยหู กล่ำวคือ หูนับเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำให้คนเรำสำมำรถ สมั ผสั กับดนตรไี ด้ ผู้ทหี่ ูหนวกยอ่ มไมส่ ำมำรถทรำบได้วำ่ เสียงดนตรีนนั เป็นอยำ่ งไร 2. ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม กล่ำวคือ กลุ่มชนต่ำง ๆ จะมีวัฒนธรรมของตนเอง และ วฒั นธรรมนีเองทีท่ ำให้คนในกลมุ่ ชนนนั มีควำมพอใจและซำบซึงในดนตรีลกั ษณะหนง่ึ ซ่ึงอำจแตกต่ำงไปจำกคน ในอีกวัฒนธรรมหนึ่ง ตัวอย่ำงเช่น คนไทยเรำซึ่งเคยชินกับดนตรีไทยและดนตรีสำกล เมื่อไปฟังดนตรีพืนเมือง ของอินเดียก็อำจไม่รู้สึกซำบซึงแต่อย่ำงใด แม้จะมีคนอินเดียคอยบอกเรำว่ำดนตรีของเขำไพเรำะเพรำะพริง มำกก็ตำม เปน็ ตน้

~ 57 ~ 3. ดนตรีเป็นเรื่องของสุนทรียศำสตร์ว่ำด้วยควำมไพเรำะ ควำมไพเรำะของดนตรีเป็นเร่ืองท่ีทุกคน สำมำรถซำบซงึ ได้และเกดิ ขนึ เมื่อใดกไ็ ด้ กบั ทุกคน ทกุ ระดับ ทุกชนชนั ตำมประสบกำรณ์ของแตล่ ะบุคคล 4. ดนตรีเป็นเรื่องของกำรแสดงออกทำงอำรมณ์ เสียงดนตรีจะออกมำอย่ำงไรนันขึนอยู่กับเจ้ำของ อำรมณ์ที่จะช่วยถ่ำยทอดออกมำเป็นเสียง ดังนันเสียงของดนตรีอำจกล่ำวได้ว่ำอยู่ที่อำรมณ์ของผู้ประพันธ์ เพลงท่ีจะใส่อำรมณ์ลงไปในเพลงตำมทีตนต้องกำร ผู้บรรเลงเพลงก็ถ่ำยทอดอำรมณ์จำกบทประพันธ์ลงบน เคร่ืองดนตรี ผลท่ีกระทบต่อผู้ท่ีฟังก็คือ เสียงดนตรีท่ีประกอบขึนด้วยอำรมณ์ของผู้ประพันธ์ผสมกับ ควำมสำมำรถของนกั ดนตรที ีจ่ ะถ่ำยทอดได้ถงึ อำรมณห์ รอมีควำมไพเรำะมำกน้อยเพียงใด 5. ดนตรีเป็นทังระบบวิชำควำมรู้และศิลปะในขณะเดียวกัน กล่ำวคือ ควำมรู้เก่ียวกับดนตรีนัน เป็น เรอ่ื งเกย่ี วกบั เสยี งและกำรจดั ระบบเสียงใหเ้ ปน็ ท่วงทำนองและจงั หวะ ซงึ่ คนเรำยอ่ มจะศึกษำเรียนรู้ “ควำมรู้ท่ี เก่ียวกับดนตรี” นีก็ได้ โดยกำรท่อง จำ อ่ำน ฟัง รวมทังกำรลอกเลียนจำกคนอ่ืนหรือกำรคิดหำเหตุผลเอำเอง ได้ แต่ผู้ท่ีได้เรียนรู้จะมี “ควำมรู้เก่ียวกับดนตรี” ก็อำจไม่สำมำรถเข้ำถึงควำมไพเรำะหรือซำบซึงในดนตรีได้ เสมอไป เพรำะกำรเข้ำถึงดนตรีเป็นเรื่องของศิลปะ เพียงแต่ผู้ท่ีมีควำมรู้เกี่ยวกับดนตรีนันจะสำมำรถเข้ำถึง ควำมไพเรำะของดนตรีได้ง่ำยขนึ ประวัติภมู ิปญั ญาทางดนตรีสากล ดนตรีสำกลมีกำรพัฒนำมำยำวนำน และเกือบทังหมดเป็นกำรพัฒนำจำกฝ่ังทวีปยุโรป จะมีกำร พฒั นำในยุคหลังๆทด่ี นตรสี ำกลมีกำรพฒั นำสงู ในฝัง่ ทวีปอเมรกิ ำเหนอื ดนตรีสำกล สำมำรถแบง่ กำรพัฒนำออกเป็นช่วงยคุ ดงั นี 1. ดนตรีคลาสสิกยุโรปยุคกลาง (Medieval European Music พ.ศ. 1019 - พ.ศ. 1943) ดนตรีคลำสสิกยุโรปยุคกลำง หรือ ดนตรียุคกลำง เป็นดนตรีท่ีถือว่ำเป็นจุดกำเนิดของดนตรีคลำสสิก เร่ิมต้น เม่ือประมำณปี พ.ศ. 1019 (ค.ศ. 476) ซึ่งเป็นปีล่มสลำยของจักรวรรดิโรมัน ดนตรีในยุคนีมีจุดประสงค์หลัก เพือ่ ประกอบพิธกี รรมทเี่ กีย่ วข้องกับศำสนำ และคำดกนั ว่ำมีต้นกำเนิดมำจำกดนตรใี นยุคกรีกโบรำณ รปู แบบของดนตรีคลำสสิกยโุ รปยุคกลำ 2. ดนตรียุคเรเนสซองส์ (Renaissance Music พ.ศ. 1943 - พ.ศ. 2143) นับเริ่มกำรนับเมื่อ ประมำณปี พ.ศ. 1943 (ค.ศ. 1400) เมอ่ื เร่มิ มีกำรเปลี่ยนแปลงศิลปะ และฟ้ืนฟูศิลปะโบรำณยุคโรมันและกรีก แต่ดนตรยี งั คงเนน้ หนักไปทำงศำสนำ เพียงแตเ่ รม่ิ มีกำรใช้เคร่อื งดนตรีทหี่ ลำกหลำยขนึ

~ 58 ~ ดนตรียุคเรเนสซองส์ 3. ดนตรียุคบาโรค (Baroque Music พ.ศ. 2143 - พ.ศ. 2293) ยุคนีเร่ิมขึนเมื่อมีกำรกำเนิด อุปรำกรในประเทศฝร่ังเศสเมื่อปี พ.ศ. 2143 (ค.ศ. 1600) และ สินสุดลงเมื่อ โยฮันน์ เซบำสเทียน บำค เสียชีวิตลงในปี พ.ศ. 2293 (ค.ศ. 1750) แต่บำงครังก็นับว่ำสินสุดลงในปี พ.ศ. 2273 (ค.ศ. 1730) เร่ิมมีกำร เล่นดนตรีเพ่ือกำรฟังมำกขึนในหมู่ชนชันสูง นิยมกำรเล่นเคร่ืองดนตรีประเภทออร์แกนมำกขึน แต่ก็ยังคง เน้นหนกั ไปทำงศำสนำ นักดนตรีที่มีช่อื เสียงในยคุ นี เช่น บำค วิวลั ดิ เปน็ ตน้ ดนตรียคุ บำโรค 4. ดนตรียุคคลาสสิค (Classical Period Music พ.ศ. 2293 - พ.ศ. 2363) เป็นยุคที่มีกำร เปลี่ยนแปลงมำกที่สุด มีกฏเกณฑ์ แบบแผน รูปแบบและหลักในกำรเล่นดนตรีอย่ำงชัดเจน ศุนย์กลำงของ ดนตรียุคนีคือประเทศออสเตรีย โดยเฉพำะท่ีกรุงเวียนนำ และเมืองมำนไฮม์(Mannheim) นักดนตรีที่มี ช่อื เสียงในยุคนี เชน่ โมซำรท์ เป็นตน้ ดนตรยี ุคคลำสสิค 5. ดนตรียุคโรแมนติค (Romantic Music พ.ศ. 2363 - พ.ศ. 2443) เป็นยุคท่ีมีเริ่มมีกำรแทรก ของอำรมณ์ในเพลง มีกำรเปล่ียนอำรมณ์ ควำมดังควำมเบำ และจังหวะ ซ่ึงต่ำงจำกยุคก่อนๆซ่ึงยังไม่มีกำรใส่ อำรมณใ์ นทำนอง นักดนตรีท่ีมชี อื่ เสียงในยุคนี เชน่ เบโธเฟน ชเู บริ ต์ โชแปง ไชคอฟสกี เปน็ ต้น

~ 59 ~ ลดุ วกิ ฟำน เบโธเฟน่ 6. ดนตรียุคศตวรรษท่ี 20 (20th Century Calssical Music พ.ศ. 2443 - พ.ศ. 2543) นัก ดนตรีเร่ิมแสวงหำแนวดนตรีท่ีไม่ขึนกับแนวดนตรีในยุคก่อนๆ จังหวะในแต่ละห้องเริ่มแปลกไปกว่ำเดิม ไม่มี โน้ตสำคัญเกดิ ขนึ (Atonal) ระยะห่ำงระหวำ่ งเสียงกับเสยี งเร่มิ ลดนอ้ ยลง ไรท้ ว่ งทำนองเพลง นักดนตรีบำงกลุ่ม หันไปยึดดนตรีแนวเดิม ซึ่งเรียกว่ำ แบบนีโอคลำสสิก (Neoclassic) นักดนตรีที่มีช่ือเสียงในยุคนี เช่น อิกอร์ เฟโตโรวชิ สตรำวินสกเี ป็นตน้ อิกอร์ เฟโดโรวชิ สตรำวินสกี 7. ดนตรยี ุคปัจจุบนั (ชว่ งทศวรรษหลังของคริสตศ์ ตวรรษท่ี 20 - ปัจจุบนั ) ยคุ ของดนตรีป็อป (pop music) - ยคุ 50 เพลงรอ็ กแอนด์โรลล์ได้รบั ควำมนยิ ม มศี ลิ ปนิ ทไี่ ดร้ บั ควำมนิยมอย่ำงเอลวสิ เพรสลีย์ - ยุค 60 เปน็ ยุคของทนี ไอดอลอยำ่ งวง เดอะ บที เทิลส์, เดอะ บชี บอยส์, คลิฟ ริชำร์ด, โรลลิ่ง สโตน , แซนดี ชอว์ เป็นต้น - ยุค 70 เป็นยุคของดนตรีดิสโก้ มีศิลปินอย่ำง แอบบ้ำ, บีจีส์ และยังมีดนตรีประเภทคันทรีที่ได้รับ ควำมนิยมอย่ำง เดอะ อเี กลิ ส์ หรือดนตรีป็อปที่ได้รับอิทธิพลจำกร็อกอย่ำง เดอะ คำร์เพ็นเทอร์ส, ร็อด สจ๊วต, แครี ไซม่อน, แฌร์ เปน็ ตน้

~ 60 ~ - ยคุ 80 มีศิลปนิ ป็อปทีไ่ ด้รับควำมนิยมอย่ำง ไมเคิล แจ็คสัน, มำดอนน่ำ, ทิฟฟำนี, เจเน็ท แจ็คสัน, ฟิล คอลลนิ ส์, แวม ลักษณะดนตรีจะมีกำรใส่ดนตรีสังเครำะห์เข้ำไป เพลงในยุคนีส่วนใหญ่จะเป็นเพลงเต้นรำ และยังมอี ทิ ธิพลถึงทำงดำ้ นแฟชัน่ ด้วย วงดนตรี เดอะ อเี กิลส์ - ยคุ 90 เริ่มไดอ้ ิทธพิ ลจำกเพลงแนวอำร์แอนด์บี เช่น มำรำยห์ แครี, เดสทินี ไชลด์, บอยซ์ ทู เม็น, เอ็น โวค, ทีแอลซี ในยุคนียังมีวงบอยแบนด์ที่ได้รับควำมนิยมอย่ำง นิว คิดส์ ออน เดอะบล็อก, เทค แดท, แบค็ สตรีท บอยส์ - ยุค 2000 มีศิลปินที่ประสบควำมสำเร็จอย่ำง บริทย์นี สเปียร์, คริสติน่ำ อำกีเลร่ำ, บียอนเซ่, แบล็ค อำยด์ พีส์, จัสติน ทิมเบอร์เลค ส่วนเทรนป็อปอ่ืนเช่นแนว ป็อป-พังค์ อย่ำงวง ซิมเป้ิล แพลน, เอฟริล ลำวีน รวมถึงกำรเกิดรำยกำรสุดฮิต อเมริกัน ไอดอลที่สร้ำงศิลปินอย่ำง เคลล่ี คลำร์กสัน และ เคลย์ ไอเคน แนวเพลงป็ อปและอำร์แอนด์บีเริ่มรวมกัน มีลักษณะเพลงป็อปท่ีเพิ่มควำมเป็นอำร์แอนด์บีมำกขึนอย่ำง เนลลี เฟอร์ตำโด, รฮิ ำนนำ, จสั ติน ทิมเบอรเ์ ลค เป็นต้น

~ 61 ~ ใบงาน เรื่อง ดนตรีสากลประเภทตา่ งๆ ประวัติ ภมู ปิ ัญญาทางดนตรีสากล คา้ สงั่ ให้ผู้เรียนจดั ทำรำยงำน เร่อื งดนตรีสำกลประเภทตำ่ งๆ และประวัติภูมปิ ญั ญำทำงดนตรสี ำกล โดยกำหนดกรอบโครงรำ่ งรำยงำน ดงั นี 1. ส่วนประกอบของรำยงำน 1.1 ปก 1.2 คำนำ 1.3 สำรบญั 1.4 เนือ เรื่องดนตรีสำกลประเภทต่ำงๆ และประวัติภูมิปัญญำทำงดนตรีสำกล พร้อม ภำพประกอบ 1.5 ขอ้ คดิ เห็น/ขอ้ เสนอแนะ 1.6 เอกสำรอำ้ งอิง 2. จัดส่งรำยงำนสง่ ตำมทก่ี ำหนด

~ 62 ~ บนั ทึกหลกั การพบกลุ่ม ครัง้ ที่ ………….. วนั ท่ี……. เดือน ……………. พ.ศ………….. กจิ กรรมการเรียนรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………… สิ่งท่ีไดร้ บั จากการเรยี นรู้ ……………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………

~ 63 ~ บันทกึ หลังการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ กจิ กรรมการเรียนรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……… สภาพปัญหาท่ีพบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……… วิธกี ารแก้ปญั หา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……… ข้อเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………… ลงชอ่ื …………………………………….ผบู้ นั ทึกหลังการสอน (………………..………………) ต้าแหนง่ ……………………………………… ลงช่อื ….................................................ผอู้ า้ นวยการสถานศึกษา

~6

64 ~

~ 65 ~ ใบความรู้ เรือ่ ง นาฏศลิ ป์ สุนทรยี ะทางนาฏศลิ ป์ ประวัตินาฏศลิ ปไ์ ทย นำฏศิลป์ เป็นศลิ ปะแหง่ กำรละคร ฟ้อนรำ และดนตรี อนั มีคณุ สมบตั ติ ำมคัมภีร์นำฏะหรอื นำฏ ยะ กำหนดวำ่ ต้องประกอบไปดว้ ย ศลิ ปะ 3 ประกำร คือ กำรฟ้อนรำ กำรดนตรี และกำรขบั ร้อง รวมเข้ำด้วยกัน ซ่งึ ทงั 3 ส่งิ นีเป็นอุปนสิ ัยของคนมำแตด่ ึกดำบรรพ์ นำฏศลิ ป์ไทยมที มี่ ำและเกดิ ขึนจำก สำเหตุตำมแนวคิดตำ่ ง ๆ เชน่ เกิดจำกควำมรู้สึกกระทบกระเทือนทำงอำรมณ์ ไมว่ ่ำจะอำรมณ์แหง่ ควำมสขุ หรือควำมทุกข์แล้วสะท้อนออกมำเป็นทำ่ ทำง แบบธรรมชำติและประดิษฐข์ ึนเป็นทำ่ ทำงลลี ำกำร ฟอ้ นรำ หรอื เกดิ จำกลทั ธิควำมเชอ่ื ในกำรนบั ถือส่ิงศักดส์ิ ทิ ธ์ิ เทพเจ้ำ โดยแสดงควำมเคำรพบูชำดว้ ยกำร เต้นรำ ขับรอ้ ง ฟอ้ นรำให้เกิดควำมพึงพอใจ เป็นตน้ นอกจำกนี นำฏศลิ ปไ์ ทย ยงั ไดร้ บั อิทธิพลแบบแผนตำมแนวคดิ จำกต่ำงชำตเิ ข้ำมำผสมผสำน ดว้ ย เช่น วัฒนธรรมอินเดยี เกี่ยวกบั วฒั นกรรมทเี่ ปน็ เรอื่ งของเทพเจำ้ และตำนำนกำรฟอ้ นรำ โดยผ่ำนเขำ้ สู่ ประเทศไทย ทังทำงตรงและทำงอ้อม คือ ผ่ำนชนชำตชิ วำและเขมร กอ่ นทีจ่ ะนำมำปรบั ปรงุ ให้เป็นรปู แบบ ตำมเอกลักษณ์ของไทย เช่น ตวั อย่ำงของเทวรปู ศิวะปำงนำฏรำช ที่สรำ้ งเป็นท่ำกำรรำ่ ยรำของ พระ อิศวร ซึ่งมที งั หมด 108 ทำ่ หรอื 108 กรณะ โดยทรงฟ้อนรำครังแรกในโลก ณ ตำบลจิทรัมพ รมั เมอื งมัทรำส อนิ เดียใต้ ปัจจุบนั อยู่ในรัฐทมิฬนำดู นบั เปน็ คัมภรี ส์ ำหรับกำรฟอ้ นรำ แต่งโดยพระภรต มนุ ี เรยี กว่ำ คมั ภรี ภ์ รตนำฏยศำสตร์ ถอื เป็นอทิ ธพิ ลสำคัญต่อแบบแผนกำรสืบสำน และกำรถำ่ ยทอด นำฏศิลป์ของไทยจนเกิดขนึ เป็นเอกลกั ษณ์ของตนเองทมี่ ีรูปแบบ แบบแผนกำรเรียน กำร ฝึกหดั จำรีต ขนบธรรมเนยี ม มำจนถึงปจั จุบนั อยำ่ งไรก็ตำม บรรดำผเู้ ชีย่ วชำญทีศ่ กึ ษำทำงดำ้ นนำฏศลิ ป์ไทยไดส้ ันนษิ ฐำนวำ่ อำรยธรรมทำงศิลปะ ด้ำนนำฎศิลป์ของอนิ เดียนีไดเ้ ผยแพร่เขำ้ มำสู่ประเทศไทจยตงั แตส่ มยั กรุงศรอี ยุทธยำตำมประวตั กิ ำรสร้ำง เทวำลัยศิวะนำฎรำชที่สร้ำงขึนในปี พ.ศ. 1800 ซ่ึงเป็นระทีไ่ ทยเริ่มก่อตงั กรุงสโุ ขทัย ดังนันที่รำไทยท่ี ดัดแปลงมำจำกอินเดียในครงั แรกจึงเปน็ ควำมคิดของนักปรำชญใ์ นสมยั กรุงศรีอยุทธยำ และมีกำร แก้ไข ปรับปรุงหรือประดิษฐ์ขึนใหมใ่ นสมยั กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ จนนำมำสู่กำรประดิษฐ์ขึนใหมใ่ นสมัยกรุง รตั นโกสนิ ทร์จนนำมำสู่กำรประดิษฐท์ ำ่ ทำงร่ำยรำและละครไทยมำจนถึงปจั จบุ ัน

~ 66 ~ ประเภทของนาฎศิลป์ไทย นำฎศลิ ป์ คือ กำรร่ำยรำท่มี นุษยไ์ ด้ปรุงแตง่ จำกลีลำตำมธรรมชำติให้สวยสดงดงำม โดยมี ดนตรเี ป็นองค์ประกอบในกำรร่ำยรำ นำฎศิลป์ของไทย แบง่ ออกตำมลักษณะของรูปแบบกำรแสดงเป็นประเภทใหญ่ ๆ 4 ประเภท คอื 1. โขน เปน็ กำรแสดงนำฎศิลปช์ นั สูงของไทยที่มเี อกลักษณ์ คอื ผแู้ สดงจะตอ้ งสวมหัวที่ เรียกว่ำ หวั โขน และใช้ลีลำท่ำทำงกำรแสดงดว้ ยกำรเต้นไปตำมบทพำกย์ กำรเจรจำของผ้พู ำกย์และตำม ทำนองเพลงหน้ำพำทยท์ ี่บรรเลงดว้ ยวงป่พี ำทย์ เรื่องทีน่ ิยมนำมำแสดง คือ พระรำชนิพนธ์บทละครเร่ือง รำมเกยี รต์ิ แตง่ กำรเลียนแบบเครื่องทรงของพระมหำกษัตรยิ ท์ เี่ ป็นเครือ่ งตน้ เรียกวำ่ กำรแตง่ กำยแบบ “ยนื่ เครอื่ ง” มีจำรีตขันตอนกำรแสดงทเ่ี ป็นแบบแผน นยิ มจดั แสดงเฉพำะพิธีสำคัญได้แก่ งำนพระรำชพิธีต่ำง ๆ 2. ละคร เปน็ ศิลปะกำรรำ่ ยรำทีเ่ ล่นเปน็ เร่ืองรำว มีพฒั นำกำรมำจำกกำรเล่ำนิทำน ละครมี เอกลักษณ์ในกำรแสดงและกำรดำเนนิ เรอื่ งดว้ ยกระบวนลีลำท่ำรำ เขำ้ บทร้อง ทำนองเพลงและเพลงหนำ้ พำทยท์ บ่ี รรเลงด้วยวงปพี่ ำทย์มีแบบแผนกำรเล่นที่เปน็ ทังของชำวบ้ำนและของหลวงท่เี รียกวำ่ ละครโนรำ ชำตรี ละครนอก ละครใน เร่อื งทน่ี ิยมนำมำแสดงคือ พระสุธน สงั ขท์ อง คำวี อิเหนำ อณุ รทุ นอกจำกนี ยงั มลี ะครทีป่ รับปรุงขึนใหมอ่ ีกหลำยชนิด กำรแตง่ กำยของละครจะเลียนแบบเครื่องทรงของ พระมหำกษัตรยิ ์ เรยี กว่ำ กำรแตง่ กำรแบยืนเคร่ือง นิยมเลน่ ในงำนพธิ สี ำคัญและงำนพระรำชพธิ ีของ พระมหำกษัตรยิ ์ 3. ระ และ ระบา้ เปน็ ศิลปะแหง่ กำรรำ่ ยรำประกอบเพลงดนตรีและบทขบั ร้อง โดยไม่เลน่ เปน็ เรอื่ งรำว ในทน่ี ีหมำยถึงรำและระบำที่มลี ักษณะเปน็ กำรแสดงแบบมำตรฐำน ซง่ึ มคี วำมหมำยที่จะอธบิ ำยได้ พอสังเขป ดงั นี 3.1 รา้ หมำยถึง ศลิ ปะแหง่ กำรรำยรำท่มี ผี ู้แสดง ตงั แต่ 1-2 คน เชน่ กำรรำเด่ียว กำรรำ คู่ กำรรำอำวธุ เป็นตน้ มีลักษณะกำรแต่งกำรตำมรูปแบบของกำรแสดง ไม่เลน่ เป็นเรอ่ื งรำวอำจมบี ทขับรอ้ ง ประกอบกำรรำเข้ำกับทำนองเพลงดนตรี มกี ระบวนทำ่ รำ โดยเฉพำะกำรรำคจู่ ะตำ่ งกบั ระบำ เนอื่ งจำกท่ำรำ จะมีควำมเช่ือมโยงสอดคล้องต่อเนือ่ งกนั และเปน็ บทเฉพำะสำหรบั ผ้แู สดงนนั ๆ เชน่ รำเพลงช้ำเพลง เร็ว รำแม่บท รำเมขลำ –รำมสูร เป็นต้น 3.2 ระบ้า หมำยถึง ศลิ ปะแห่งกำรร่ำยรำที่มีผเู้ ล่นตังแต่ 2 คนขนึ ไป มลี กั ษณะกำรแตง่ กำร คลำ้ ยคลึงกนั กระบวนท่ำรำยรำคลำ้ คลึงกนั ไม่เลน่ เป็นเร่ืองรำว อำจมบี ทขบั ร้องประกอบกำรรำเขำ้ ทำนอง เพลงดนตรี ซ่ึงระบำแบบมำตรฐำนมักบรรเลงด้วยวงปีพ่ ำทย์ กำรแต่งกำรนยิ มแต่งกำยยืนเครือ่ งพระนำง- หรอื แตง่ แบบนำงในรำชสำนัก เชน่ ระบำสบ่ี ท ระบำกฤดำภนิ หิ ำร ระบำฉิ่งเปน็ ตน้ 4. การแสดงพื้นเมือง เป็นศลิ ปะแห่งกำรรำ่ ยรำท่ีมีทังรำ ระบำ หรอื กำรละเล่นท่ีเป็นเอกลักษณ์ของ กล่มุ ชนตำมวัฒนธรรมในแตล่ ะภมู ภิ ำค ซึ่งสำมำรถแบง่ ออกเปน็ ภูมิภำคได้ 4 ภำค ดงั นี 4.1 กำรแสดงพืนเมอื งภำคเหนือ เปน็ ศิลปะกำรรำ และกำรละเล่น หรอื ท่นี ยิ มเรียกกนั ทั่วไป ว่ำ “ฟอ้ น” กำรฟ้อนเป็นวฒั นธรรมของชำวล้ำนนำ และกล่มุ ชนเผำ่ ตำ่ ง ๆ เช่น ชำวไต ชำวลือ ชำว

~ 67 ~ ยอง ชำวเขิน เป็นต้น ลกั ษณะของกำรฟ้อน แบ่งเป็น 2 แบบ คอื แบบดังเดิม และแบบท่ปี รับปรุงขนึ ใหม่ แต่ยงั คงมีกำรรักษำเอกลกั ษณท์ ำงกำรแสดงไว้คือ มลี ีลำทำ่ รำทแี่ ช่มชำ้ ออ่ นช้อยมีกำรแต่งกำยตำม วัฒนธรรมทอ้ งถิน่ ทสี่ วยงำมประกอบกบั กำรบรรเลงและขับร้องดว้ ยวงดนตรีพนื บำ้ น เช่น วงสะลอ้ ซอ ซึง วงปู เจ่ วงกลองแอว เปน็ ตน้ โอกำสท่แี สดงมกั เล่นกันในงำนประเพณีหรือต้นรับแขกบำ้ นแขกเมอื ง ได้แก่ ฟอ้ นเลบ็ ฟอ้ นเทียน ฟ้อนครวั ทำน ฟ้อนสำวไหม และฟอ้ นเจิง 4.2 กำรแสดงพืนเมอื งภำคกลำง เปน็ ศลิ ปะกำรร่ำยรำและกำรละเล่นของชนชำวพนื บำ้ นภำค กลำง ซง่ึ ส่วนใหญม่ ีอำชพี เก่ียวกับเกษตรกรรม ศิลปะกำรแสดงจึงมคี วำมสอดคล้องกับวถิ ีชีวติ และเพ่ือควำม บันเทิงสนุกสนำน เป็นกำรพักผ่อนหยอ่ นใจจำกกำรทำงำน หรือเม่อื เสรจ็ จำกเทศกำรฤดูเก็บเกบ็ เก่ียว เชน่ กำรเลน่ เพลงเกยี่ วขำ้ ว เต้นกำรำเคียว รำโทนหรอื รำวง รำเถิดเทอง รำกลองยำว เป็นต้น มี กำรแต่งกำยตำมวฒั นธรรมของท้องถนิ่ และใช้เคร่ืองดนตรีพืนบ้ำน เช่น กลองยำว กลองโทน ฉง่ิ ฉำบ กรับ และโหมง่ 4.3 กำรแสดงพืนเมอื งภำคอีสำน เปน็ ศิลปะกำรรำและกำรเล่นของชำวพืนบ้ำนภำคอสี ำน หรอื ภำคตะวนออกเฉยี งเหนือของไทย แบง่ ไดเ้ ปน็ 2 กลุ่มวัฒนธรรมใหญ่ ๆ คือ กลุม่ อสี ำนเหนือ มีวัฒนธรรม ไทยลำวซ่ึงมักเรยี กกำรละเล่นวำ่ “เซงิ ฟอ้ น และหมอลำ” เชน่ เซงิ บังไฟ เซงิ สวิง ฟอ้ นภไู ท ลำกลอน เกยี ว ลำเต้ย ซึ่งใชเ้ คร่ืองดนตรีพนื บำ้ นประกอบ ได้แก่ แคน พณิ ซอ กลองยำว อสี ำน ฉ่ิง ฉำบ ฆ้อง และ กรับ ภำยหลงั เพ่มิ เตมิ โปงลำงและโหวดเข้ำมำดว้ ย สว่ นกลุม่ อีสำนใต้ได้รับอิทธิพลไทยเขมร มีกำรละเลน่ ท่ี เรียกวำ่ เรือม หรือ เร็อม เชน่ เรือมลดู อนั เร หรอื รำกระทบสำก รำกระเนบ็ ติงตอ็ ง หรอื ระบำต๊ักแตน ตำ ข้ำว รำอำไย หรือรำตดั หรอื เพลงอีแซวแบบภำคกลำงวงดนตรี ทใ่ี ช้บรรเลง คือ วงมโหรอี ีสำนใต้ มีเคร่ือง ดนตรี คอื ซอด้วง ซอดว้ ง ซอครวั เอก กลองกนั ตรึม พิณ ระนำด เอกไม้ ปส่ี ไล กลองรำมะนำและ เครอ่ื งประกอบจังหวะ กำรแตง่ กำยประกอบกำรแสดงเปน็ ไปตำมวฒั นธรรมของพนื บำ้ น ลักษณะทำ่ รำและ ท่วงทำนองดนตรีในกำรแสดงค่อนข้ำงกระชับ รวดเร็ว และสนุกสนำน 4.4 กำรแสดงพืนเมืองภำคใต้ เปน็ ศิลปะกำรรำและกำรละเลน่ ของชำวพืนบำ้ นภำคใตอ้ ำจแบง่ ตำมกลุม่ วฒั นธรรมไ 2 กลมุ่ คอื วฒั นธรรมไทยพทุ ธ ได้แก่ กำรแสดงโนรำ หนงั ตะลุง เพลงบอก เพลง นำ และวัฒนธรรมไทยมสุ ลิม ไดแ้ ก่ รองเง็ง ซำแปง มะโย่ง (กำรแสดงละคร) ลิเกฮูลู (คล้ำยลเิ กภำค กลำง) และซลิ ะ มเี คร่ืองดนตรีประกอบทีส่ ำคญั เชน่ กลองโนรำ กลองโพน กลองปืด โทน ทับ กรบั พวง โหมง่ ปกี่ ำหลอ ปไ่ี หน รำมะนำ ไวโอลิน อัคคอร์เดียน ภำยหลังได้มีระบำทป่ี รับปรงุ จำกกจิ กรรมใน วถิ ชี วี ิต ศิลปำต่ำงๆ เขน่ ระบำร่อนแต่ กำรดี ยำง ปำเตต๊ะ เปน็ ตน้ กลบั ดำ้ นบน ดนตรเี พลงและการขบั รอ้ งเพลงไทยส้าหรับประกอบการแสดง ดนตรีเพลง และกำรขับรอ้ งเพลงไทยสำหรับประกอบกำรแสดง สำมำรถแบ่งได้เปน็ 2 กลมุ่ คอื ดนตรีทใ่ี ช้ประกอบกำรแสดงนำฎศลิ ป์ไทย และเพลงไทยสำหรบประกอบกำรแสดงนำฎศิลป์ไทย และเพลงไทยสำหรบั ประกอบกำรแสดงนำฎศลิ ป์ไทย 1.ดนตรที ่ีใช้ประกอบการแสดงนาฎศลิ ป์ไทย ประกอบด้วย

~ 68 ~ 1.1 ดนตรปี ระกอบกำรแสดงโขน-ละคร วงดนตรีทีใ่ ช้ประกอบกำรแสดงโขนและละครของไทย คือ วงปี่พำทย์ ซึ่งมีขนำดของวงเปน็ แบบ วงประเภทใดนันขึนอยูก่ ับลกั ษณะของกำรแสดงนันๆ ดว้ ย เชน่ กำรแสดงโขนนงั่ รำวใช้วงปี่พำทย์ เคร่ือง ห้ำ 2 วง กำรแสดงละครในอำจใชว้ งปพี่ ำทย์เคร่ืองคู่ หรือกำรแสดงละครดึกดำบรรพต์ ้องใช้วงปี่ พำทย์ดึกดำบรรพ์ เป็นต้น 1.2 ดนตรปี ระกอบกำรแสดงรำและระบำมำตรฐำน กำรแสดงรำและระบำทเี่ ป็นชุดกำรแสดงทีเ่ รียกว่ำ รำมำตรฐำนและระบำมำตรฐำนนนั เคร่อื ง ดนตรีที่ใชป้ ระกอบกำรแสดง จะใชว้ งปีพ่ ำทยบ์ รรเลง อำมีกำรนำเครื่องดนตรบี ำงชนิดเขำ้ มำประกอบตำม ลกั ษณะควมจำเปน็ ของกำรแสดง เช่น ระบำกฤดำภินหิ ำร อำจนำเคร่ืองดนตรี ขมิ หรือซอ ดว้ ง มำ้ ล่อ กลองต้อก และกลองแต๋ว มำบรรเลงในช่วงท้ำยของกำรรำทเี่ ปน็ เพลงเชิดจนี ก็ได้ 1.3 ดนตรปี ระกอบกำรแสดงพนื เมือง ดนตรที ่ีใช้ประกอบกำรแสดงพนื เมืองภำคตำ่ งๆ ของไทยจะเป็นวง ดนตรพี นื บ้ำน ซง่ึ นับเป็นเอกลกั ษณ์ท่ีมคี ุณค่ำของแต่ละภูมิภำค ไดแ้ ก่ 1. ดนตรีพนื บ้ำนภำคเหนือ มีเครือ่ งดนตรี เข่น พิณเป๊ียะ ซงึ สะลอ้ ป่แี น ป่กี ลำง ปก่ี ้อย ปี่ ตดั ปเ่ี ล็ก ป้ำดไม้ (ระนำดไม)้ ปำดเหล็ก (ระนำดดอกเหล็ก) ป้ำดฆ้อง (ฆ้องวงใหญ่) ฆ้องหยุ้ ฆ้องเหม่ง กลองหลวง กลองแดว กลองปเู จ่ กลองปจู ำ กลองสะบัดไชย กลองมองเชิง กลองเต่งทิง กลองม่ำนและ กลองตะโลด้ โปด เม่ือนำมำรวมเป็นวง จะไดว้ งตำ่ งๆ คือ วงสะลอ้ ซอ ซงึ วงปเู จ่ วงกลองแอว วงกลอง มำ่ น วงป่จี ุม วงเตง่ ทงิ วงกลองปูจำและวงกลองสะบดั ไชย 2. ดนตรีพนื เมืองภำคกลำง เปน็ เครอื่ งดนตรีประเภทเดียวกบั วงดนตรีหลกั ของไทยคือ วงปที่ ำทย์ และเครื่องสำย ซงึ่ ลกั ษณะในกำรนำมำใช้อำจนำมำเป็นบำงส่วนหรอื บำงประเภท เช่น กลองตะโพน และ เครื่องประกอบจงั หวะนำมำใชใ้ นกำรเล่นเพลงอีแซว เพลงเกย่ี วข้ำว กลอง รำมะนำใชเ้ ลน่ เพลงรำตัด กลอง ยำวใชเ้ ล่นรำเถิดเทงิ กลองโทนใชเ้ ล่นรำวงและรำโทน ส่วนเครื่องเดนิ ทำนองก็นยิ ำใช้ระนำด ซอ หรือ ปี่ เปน็ ตน้ 3. ดนตรีพืนเมอื งภำคอีสำน มีเครอ่ื งดนตรที ีส่ ำคญั ไดแ้ ก่ พิณ อำจเรยี กตำ่ งกนั ไปตำ ท้องถิน่ เชน่ ซงุ หมำกจับป่ี หมำกตับเต่ง และหมำกต๊ดโต่ง ซอ โปงลำง แคน โหวด กลองยำว อสี ำน กลองกันตรมึ ซอกันตรึม ซอดว้ ง ซอตรวั เอก ป่อิ อ้ ปี่เตรียง ปส่ี ไล เมื่อนำมำประสมวงแลว้ จะได้ วงดนตรพี นื เมือง คอื วงโปงลำง วงแคน วงมโหรีอีสำนใต้ วงทุ่มโหมง่ และวงเจรียงเมริน 4. ดนตรีพนื เมอื งภำคใต้ มเี ครอื่ งดนตรีท่ีสำคัญ ได้แก่ กลองโนรำ (กลองชำตรีหรอื กลอง ตุก๊ ) กลองโพน กลองปืด กลองทับ โทน รำมะนำ โหมง่ (ฆอ้ งคู่) ปกี ำหลอ ปไ่ี หน กรบั พวงภำคใต้ (แกระ) และนำเครอื่ งดนตรีสำกลเข้ำมำผสม ได้แก่ ไวโอลนิ กตี ำร์ เบนโจ อคั คอรเ์ ดียน ลูกแซก็ ส่วน กำรประสมวงนนั เปน็ กำรประสมวงตำมประเภทของกำรแสดงแตล่ ะชนิด 2. เพลงไทยสา้ หรับประกอบการแสดงนาฎศิลปไ์ ทย 2.1 เพลงไทยประกอบกำรแสดงโขน ละคร รำ และระบำมำตรฐำน เพลงไทยทใ่ี ช้บรรเลงและขับร้องประกอบกำรแสดงนำฎศิลปไ์ ทย โขน ละคร รำ และระบำทีเ่ ป็น

~ 69 ~ มำตรฐำนนนั แบ่งไดเ้ ปน็ 2 ประเภทดงั นี 1. เพลงหน้ำพำทย์ ไดแ้ ก่ เพลงทีใ่ ช้บรรเลงหรือขับร้องประกอบอำกปั กิรยิ ำของตัว โขน ละคร เชน่ กำรเดินทำง ยกทพั ส้รู ับ แปลงกำย และเพลงหนำ้ พำทย์ทใี่ ชใ้ นกำรรำและ ระบำ เช่น รัว โคมเวยี น ชำนำญ ตระบองกัน เปน็ ตน้ 2. เพลงขบั ร้องรับส่ง คือ เพลงไทยทนี่ ำมำบรรจุไว้ในบทโขน-ละคร อำจนำมำจำกเพลงตับ เพลง เถำ หรือเพลงเกรด็ เพอื่ บรรเลงขบั รอ้ งประกอบกำรรำบทหรอื ใช้บทของตวั โขน ละคร หรือเปน็ บทขบั ้องใน เพลงสำหรบั กำรรำและระบำ เชน่ เพลงช้ำป่ี เพลงขึนพลับพลำ เพลงนกกระจอกทอง เพลงลมพดั ชำย เขำ เพลงเวสสกุ รรม เพลงแขกตะเข่งิ เพลงแขกเจ้ำเซน็ เป็นต้น 2.2 เพลงไทยประกอบกำรแสดงพืนเมือง เพลงไทยท่ีใชป้ ระกอบกำรแสดงนำศิลป์พนื เมอื ง เป็นบทเพลง พนื บำ้ นท่ใี ช้บรรเลงแลละขับร้องประกอบกำรแสดงนำฎศิลปพ์ ืนเมือง โดยแบ่งออกตำมภูมิภำคไดด้ งั นี 1. เพลงบรรเลงและขบั ร้องประกอบนำฎศลิ ปพ์ ืนเมืองภำคเหนือ เพลงบรรเลงประกอบกำรฟ้อน เลบ็ ไดแ้ ก่ เพลงแหย่งหลวง ฟอ้ นเทยี น เพลงลำวเสี่ยงเทียน ฟ้อนสำวไหม ได้แก่ เพลงปรำสำทไหวและ เพลงลำวสมเด็จ ระบำซอ ไดแ้ ก่ ทำนองซอย๊ิและซอจ๊อยเชยี งแสน บรรเลง เพลงลำวจ้อย ต้อยตลงิ่ และ ลำวกระแช เปน็ ต้น 2. เพลงบรรเลงและขบั ร้อง แระกอบนำฎศิลป์พืนเมืองภำคกลำง เพลงบรรเลงประกอบกำรเลน่ เตน้ กำรำเคียว ได้แก่ เพลงระบำชำวนำ เป็นตน้ 3. เพลงบรรเลงและขบั ร้องประกอบนำฎศิลป์พืนเมืองภำคใต้ เพลงบรรเลงประกอบกำรแสดงลิเก ป่ำ นิยมใช้เพลงประกอบกำรแสดงเซิงโป่งลำง บรรเลงเพลงลำยโป่งลำง เซงิ ภูไท บรรเลงลำยลำภไู ทย เป็น ตน้ 4. เพลงบรรเลงและขบั ร้องประกอบนำฎศลิ ป์พืนเมืองภำคใต้ เพลงบรรเลงประกอบกำรแสดงลเิ ก ป่ำ นิยมใชเ้ พลงตะลุม่ โปง เพลงสร้อยสน เพลงดอกดิน กำรแสดงชุดรองเงง็ บรรเลงเพลงลำฆูดูวอ เพลง มะอีนงั ลำมำ เพลงลำนงั เปน็ ต้น สนุ ทรยี ภาพทางดนตรี – นาฏศิลป์ สุนทรยี ภำพทำงควำมงำมของนำฎศิลป์นนั ประกอบด้วยคณุ ลักษณะท่ดี ี 5 ประกำรคือ ตัวละครสวยงำม ทำ่ รำสวยงำม ขับร้องเพรำะ ดนตรีที่ใช้ในกำรบรรเลงประกอบกำรแสดงเพรำะ บทกลอนเพรำะ และรปู แบบสื่อ ควำมหมำยโดยเฉพำะท่ำทำงที่เลียนแบบธรรมชำติ เมอื่ มนุษย์ตอ้ งกำรสือ่ ควำมหมำยใหเ้ ขำ้ ใจ ทเ่ี รยี กวำ่ \"ภำษำ ทำ่ \" เชน่ กวักมือเข้ำ หมำยถงึ เรียกให้มำหำ โบกมือออก เรียกวำ่ ให้ออกไป เปน็ ต้น ท่ำทำงทเี่ ลียนแบบ ธรรมชำตินีอำจ จำแนกออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. ทำ่ ทำงทใ่ี ช้แทนคำพูด เชน่ ปฏิเสธ เรียก ไป มำ ฯลฯ 2. ทำ่ แสดงกริ ิยำอำกำรหรืออริ ยิ ำบถ เช่น ยนื เดิน นงั่ นอน ฯลฯ 3. ทำ่ ทแ่ี สดงอำรมณภ์ ำยใน เชน่ รัก โกรธ ดีใจ เสยี ใจ ฯลฯ ในกำรรำ่ ยรำท่ำต่ำงๆดงั ท่ีกล่ำวมำนี ได้นำมำประกอบบทรอ้ ง เพลงและดนตรี เพื่อต้องกำรให้เกดิ ควำม สวยงำมและสงำ่ งำมของ ลีลำ ทำ่ รำ โดยอำศยั ควำมงำม ทำงศลิ ปะเข้ำช่วย วธิ กี ำรใช้ท่ำทำงประกอบบทรอ้ ง

~ 70 ~ บทพำทย์ และเพลงประกอบดนตรนี ีทำงนำฎศลิ ป์ เรียกวำ่ กำรตบี ทหรอื กำรรำบท หรือจะเรยี กวำ่ \"ภำษำ นำฎศิลป์\" กไ็ ด้ สนุ ทรยี ภาพของการแสดงนาฏศิลป์ สนุ ทรยี ภำพ หมำยถึง ควำมงำมในธรรมชำติ หรอื ในงำนศลิ ปะที่แต่ละคนสำมำรถเข้ำใจและรู้สึกได้ ดงั นัน สุนทรียภำพของกำรแสดงนำฏศิลปจ์ ึงเป็นควำมเข้ำใจและรสู้ กึ ถึงควำมงำมของกำรแสดงนำฏศิลป์นัน ๆ กำรศกึ ษำด้ำนสุนทรยี ภำพของกำรแสดงนำฏศิลป์ไทยเปน็ กำรศึกษำและพจิ ำรณำควำมงำมหรือสนุทรี ยะ มี 3 ดำ้ น คอื 1. สนุ ทรยี ะทำงวรรณกรรม เป็นสนุ ทรยี ะดำ้ นควำมงำมทำงตัวอักษร หรืองำนประพันธ์ ได้แก่ ประเภทรอ้ ยกรอง เชน่ กำรแต่งคำประพนั ธ์ สุนทรียะประเภทร้อยกรองนจี ะมศี ิลปะในกำรใช้ถ้อยคำท่ี กอ่ ใหเ้ กิดกำรโนม้ นำ้ วควำมรู้สกึ ในแง่ของคติสอนใจตำ่ ง ๆ เช่น สุภำษิต คำพงั เพย 2. สุนทรียะทำงดนตรี – ขบั รอ้ ง เป็นสุนทรียะดำ้ นกำรรับฟงั และขบั รอ้ ง เช่น ขับร้อง เพลง ประกอบกำรแสดงนำฏศลิ ป์ 3. สุนทรยี ะทำงด้ำนทำ่ รำสุนทรียะทงั 3 ดำ้ น ของกำรแสดงจึงมีควำมสำคัญต่อกำรแสดง เช่น ผู้ แสดง กำรฟ้อนรำ จะมลี ีลำ ที่อ่อนชอ้ ย สวยงำมจะตอ้ งอำศยั ผบู้ รรเลงดนตรี ผขู้ ับร้องประกอบในกำรแสดง และมีผูช้ มผูฟ้ งั จงึ ทำให้เกดิ สุนทรียภำพทำงทำ่ รำได้อย่ำงกลมกลืนต่อเนื่อง และสอดคล้องกันได้ดี จนเกิดเป็นควำมงำมทำงนำฏศิลป์ท่ที ำ ใหผ้ ชู้ มเกิดควำมรสู้ กึ เข้ำใจและซำบซงึ ได้ สุนทรยี ภาพทางดนตรี – นาฏศลิ ป์ สุนทรียภำพทำงควำมงำมของนำฏศิลป์นนั ประกอบดว้ ยคณุ ลกั ษณะทด่ี ี 5 ประกำรคอื ตัวละครสวยงำม ทำ่ รำ สวยงำม ขบั รอ้ งเพรำะ ดนตรีทีใ่ ชใ้ นกำรบรรเลงประกอบกำรแสดงเพรำะ บทกลอนเพรำะ และรปู แบบส่ือ ควำมหมำยโดยเฉพำะท่ำทำงทเ่ี ลียนแบบธรรมชำติ เม่ือมนุษย์ตอ้ งกำรสือ่ ควำมหมำยให้เข้ำใจ ทเ่ี รยี กวำ่ \"ภำษำ ทำ่ \" เชน่ กวกั มือเข้ำ หมำยถงึ เรยี กใหม้ ำหำ โบกมือออก เรยี กว่ำ ให้ออกไป เป็นตน้ ท่ำทำงท่เี ลยี นแบบ ธรรมชำตนิ อี ำจ จำแนกออกเปน็ 3 ประเภท คอื 1. ทำ่ ทำงท่ีใชแ้ ทนคำพูด เชน่ ปฏเิ สธ เรียก ไป มำ ฯลฯ 2. ทำ่ แสดงกิริยำอำกำรหรอื อิริยำบถ เช่น ยนื เดนิ นง่ั นอน ฯลฯ 3. ทำ่ ท่แี สดงอำรมณ์ภำยใน เชน่ รัก โกรธ ดใี จ เสยี ใจ ฯลฯ ในกำรร่ำยรำท่ำต่ำงๆดงั ที่กลำ่ วมำนี ไดน้ ำมำประกอบบทร้อง เพลงและดนตรี เพ่อื ต้องกำรให้เกิด ควำมสวยงำมและสง่ำงำมของ ลลี ำ ท่ำรำ โดยอำศัยควำมงำม ทำงศิลปะเข้ำชว่ ย วิธกี ำรใช้ทำ่ ทำงประกอบบท ร้อง บทพำทย์ และเพลงประกอบดนตรนี ีทำงนำฏศิลป์ เรียกวำ่ กำรตบี ทหรือกำรรำบท หรอื จะเรียกวำ่ \"ภำษำ นำฏศิลป์\" กไ็ ด้ วตั ถุประสงค์ในการเรียนดนตรี - นาฏศิลป์ ผเู้ รียนจะมีจติ ใจงดงำม มีสุนทรยี ภำพ รกั ควำมสวยงำม ควำมเปน็ ระเบยี บ รบั รูอ้ ยำ่ งพินจิ พเิ ครำะห์ เหน็ คุณคำ่ ควำมสำคญั ของศิลปวัฒนธรรมอนั เปน็ มรดกทำงภมู ิปญั ญำของคนในชำติ สำมำรถค้นพบศกั ยภำพควำมสนใจ

~ 71 ~ ของตนเองอันเปน็ พืนฐำนในกำรศกึ ษำต่อหรือประกอบอำชีพทำงศิลปะ มีจินตนำกำร ควำมคดิ สร้ำงสรรค์ มี ควำมเช่อื มนั่ พฒั นำตนเองได้และแสดงออกอย่ำงสร้ำงสรรค์ มสี มำธใิ นกำรทำงำน มีระเบียบวินัย ควำม รับผดิ ชอบ สำมำรถทำงำนร่วมกับผอู้ น่ื ได้อยำ่ งมีควำมสขุ แนวทางการประยุกต์ใชค้ วามรู้ทางดนตรี - นาฏศิลป์ ดนตรี - นาฏศลิ ปก์ บั ชีวติ ประจ้าวัน พระบำทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลำ้ เจำ้ อยูห่ ัว ได้ทรงพระรำชนิพนธ์ไวใ้ นบทละครพูดสลบั ลำ เร่อื ง หนำมยอกเอำหนำมบ่ง ศลิ ปะนันไม่วำ่ แขนงใด ยอ่ มมคี วำมสำคญั ทังนนั ผทู้ ี่ขำดกำรศกึ ษำจะไม่ทรำบว่ำศลิ ปะ สำคัญฯตอ่ มนษุ ยเ์ พียงใด กวแี ละปรำชญ์ผู้ยิง่ ใหญ่ของโลกหลำยคน เห็นคณุ ค่ำของศลิ ปะอย่ำงย่ิง และเกิด ควำมบนั ดำลใจจนต้องแสดงออกมำทำงดนตรีและกำรแสดงท่ำทำง \"เช็คสเปียร์\" กวเี อกชำวองั กฤษ ไดก้ ลำ่ วถงึ ศลิ ปะกำรดนตรีและพระบำทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้ำเจำ้ อยู่หวั ทรงแปลเปน็ ไทยว่ำดงั นี \"ชนใดไม่มดี นตรีกำล ในสนั ดำลเปน็ คนชอบกลนัก อีกใครฟงั ดนตรีไมเ่ ห็นเพรำะ เขำนันเหมำะคดิ กกบฏอัปลกั ษณ์ หรอื อบุ ำยมงุ่ ร้ำยฉมงั นกั มโนหนักมืดมวั เหมือนรำตรี และดวงใจย่อมดำสกปรก รำวนรกชนเช่นกล่ำวมำน\"่ี ศิลปะกบั ชีวติ ทำให้นำศลิ ปะมำใช้ให้เกิดประโยชนต์ อ่ ตนเองและสงั คม มีควำมคิดรเิ ร่ิม สรำ้ งสรรค์ ใฝ่รู้ ใฝ่ เรียน มคี วำมสำมำรถในกำรปฏบิ ัตงิ ำน มคี วำมรับผิดชอบ มีคุณธรรม จริยธรรม และมวี นิ ัยในตนเอง เห็น คุณค่ำควำมสำคญั ของธรรมชำติและสิง่ แวดล้อม มคี วำมสำมำรถสร้ำงสรรคผ์ ลงำนตำมควำมถนัด นำไปใชใ้ น ชีวติ ประจำวันและสงั คม ดนตรี - นาฏศิลป์ กบั การบูรณาการ (กับวชิ าอ่ืน ๆ) กำรสอนในปัจจุบนั มีวิธีกำรท่ีแตกต่ำงกับสมยั ก่อน กลำ่ วคือ ในสมยั ก่อนครูผู้สอนแตล่ ะวิชำมักจะใหเ้ ด็กเรียน เนอื หำวิชำทต่ี นสอนตำมที่มีในบทเรยี นเทำ่ นัน ครูไม่ค่อยคำนงึ ถงึ วชิ ำอ่ืนๆ วำ่ จะมวี ิชำอะไรท่ีเกีย่ วข้องกับวชิ ำ ทีต่ นสอนอยู่บ้ำง แต่ปัจจบุ นั จะเหน็ ไดว้ ่ำครูมีวธิ ีกำรสอน แบบสหสมั พันธ์ (Correlation) คือกำรสอนโดยรวม วิชำทคี่ ล้ำยๆกันเข้ำดว้ ยกัน แลว้ ดำเนนิ กำรสอนใหว้ ิชำต่ำงๆสมั พนั ธก์ นั วชิ ำนำฏศลิ ปม์ สี ่วนเขำ้ ไปมบี ทบำทกับ วชิ ำอืน่ ๆไดม้ ำกและมคี วำมสัมพนั ธ์ที่กลมกลนื และมีคุณค่ำอย่ำงย่ิง เน่อื งจำกนำฏศิลปเ์ ปน็ สว่ นสำคัญส่วนหนึ่งของชีวติ มนุษย์ และเกี่ยวข้องกบั ชีวิตประจำวนั ใน หลำยๆดำ้ น เช่น วชิ ำนำฏศลิ ป์บรู ณำกำรกบั วิชำภำษำไทย โดยกำรนำบทเพลง บทละครมำโยงใช้เพ่ือใหเ้ กดิ ควำมซำบซึง เช่น นำกำรแสดงละครเร่ืองอภัยมณี ตอนหนีนำงผีเสอื สมุทร มำใช้บรู ณำกำรในบทเรยี นท่ี เก่ียวกับสนุ ทรภู่ เปน็ ต้น วชิ ำนำฏศิลป์กับวชิ ำสังคมศึกษำ ให้ประโยชน์ในทำงอบรมจิตใจเกย่ี วกบั จริยศึกษำ กำรแสดง ละครชว่ ยใหเ้ ด็กเข้ำใจควำมหมำยของขนบธรรมเนยี มประเพณี วฒั นธรรม ท่ีปรำกฎอยู่ในกำรแสดงละครไทย หรอื ต่ำงชำติ เป็นตน้ กำรนำวิชำดนตรี - นำฏศิลป์ มำบูรณำกำรกับวชิ ำอนื่ ๆ ทำใหเ้ ด็กมีส่วนรว่ มในกำรแสดงละคร จำกบทบำทสมมติตำมที่ครูกำหนด จำกเนือหำของบทเรยี น กำรแสดงทำใหเ้ ด็กได้เรียนรู้ด้วยตนเอง เกดิ กำร

~ 72 ~ จดจำ และสมมตินันมำแก้ไข ทำใหเ้ ด็กเกดิ กำรพัฒนำกำร เกดิ ทกั ษะอยำ่ งกว้ำงขวำง เด็กจะสำมำรถร่วมกับครู วเิ ครำะห์ วิพำกษ์ วจิ ำรณ์และหำข้อสรุป ในวชิ ำนนั ๆ ไดด้ ี กำรสอนใหน้ ำฏศิลป์มคี วำมสัมพันธ์กับกำรศึกษำ วชิ ำอ่ืน ๆ สำมำรถทำได้ทุกวชิ ำ นาฏศลิ ป์ไทย กำรละเลน่ พืนเมืองภำคตำ่ งๆ กำรละเล่นพืนเมืองภำคอสิ ำน กำรละเล่นพนิ เมืองภำคเหนอื ใบงาน เร่ือง นาฏศิลป์ สุนทรยี ะทางนาฏศิลป์ ค้าสัง่ ใหผ้ ู้เรยี นตอบคำถำมจำกหวั ข้อต่อไปนี 1. นำฎยนิยม หมำยถึง 2. จงอธบิ ำยควำมหมำยของคำว่ำ ฟอ้ นรำ 1 ดนตรี 1 ขับร้อง 1 หมำยถึงอะไร 3. สุนทรยี ะ หมำยถึง 4. รำกฐำนของกำรเกิดนำฎศิลปใ์ นรปู แบบของกำรฟ้อนรำมกี ำรพฒั นำมำจำกดำ้ นใดบ้ำง

~ 73 ~

~ 74 ~ บันทกึ หลกั การพบกลุม่ ครัง้ ที่ ………….. วันท่ี……. เดอื น ……………. พ.ศ………….. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………… สิ่งทไ่ี ดร้ บั จากการเรยี นรู้ ……………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………

~ 75 ~ บนั ทึกหลังการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……… สภาพปญั หาท่ีพบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……… วธิ กี ารแก้ปญั หา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……… ขอ้ เสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………… ลงช่ือ…………………………………….ผู้บนั ทึกหลงั การสอน (………………..………………) ต้าแหน่ง……………………………………… ลงชอื่ ….................................................ผูอ้ า้ นวยการสถานศึกษา

~7

76 ~

~ 77 ~ ใบความรู้ เรอื่ ง นาฏศลิ ป์ สนุ ทรยี ะทางนาฏศิลป์ นาฏศลิ ป์ประเทศสาธารณรัฐสงั คมนยิ มแห่งสหภาพพมา่ [ทมี่ ำ :: http://gotoknow.org/blog/seksan1...1/124474] ประวัตนิ ำฏศลิ ป์พม่ำท่ีมีหลกั ฐำนแนน่ อน ภำยหลัง พ.ศ. 2310 คอื หลังจำกกรงุ ศรีอยุธยำแตก ครงั ท่ี 2 พม่ำได้รับอิทธิพลนำฏศิลป์ไปจำกไทย ก่อนหนำ้ นี นำฏศิลป์ของพม่ำเป็นของพนื เมอื งมำกกวำ่ ทีจ่ ะ ไดร้ บั อิทธิพลมำจำกภำยนอกประเทศ เหมือนกับประเทศอื่นๆ นำฏศลิ ป์พมำ่ เร่ิมต้นจำกพธิ ที ำงศำสนำ ต่อมำ เมอ่ื พม่ำมีกำรติดต่อกับอินเดียและจนี ทำ่ รำ่ ยรำของ 2 ชำตดิ ังกลำ่ ว ก็จะมอี ิทธพิ ลแทรกซมึ ในนำฏศิลป์ พืนเมืองของพม่ำ แต่ท่ำร่ำยรำของเดมิ มีควำมเป็นเอกลักษณ์ของพม่ำจริงๆ นำฏศิลป์กำรละครในประเทศพมำ่ มีลกั ษณะพิเศษ คือ ในแต่ละยุคสมัยลักษณะนำฏศลิ ป์และกำร ละคร จะแตกต่ำงกนั ออกไปตำมอทิ ธิพลภำยนอกทไ่ี ดร้ ับ ซึ่งแบ่งไดเ้ ปน็ 3 ยุค คือ 1. ยคุ กอ่ นรบั นับถอื พระพุทธศาสนา เป็นยุคของกำรนับถือผี กำรฟ้อนรำเปน็ ไปในกำรทรงเจ้ำเขำ้ ผี บชู ำผีและบรรพบรุ ุษทตี่ ำยไปแลว้ ตอ่ มำก็ มกี ำรฟ้อนรำในงำนพธิ ีตำ่ งๆ เช่น โกนจกุ 2. ยคุ นับถือศาสนาพทุ ธ พม่ำรบั นับถอื ศำสนำพุทธหลังปี พ.ศ. 1559 ในสมัยนีกำรฟ้อนรำเพือ่ บชู ำผีกย็ งั มอี ยู่ และกำรฟ้อนรำ กลำยเปน็ ส่วนหนึ่งของกำรบูชำในพทุ ธศำสนำด้วย หลังปี พ.ศ. 1800 เกิดมีกำรละครแบบหนง่ึ เรียกวำ่ \"นพิ ทั ขน่ิ \" เปน็ ละครเร่ แสดงเรอ่ื ง พทุ ธประวัติ เพอ่ื เผยแพร่ควำมรูใ้ นพุทธศำสนำ เพ่อื ให้ชำวบ้ำนเข้ำใจเรอื่ งรำวไดง้ ำ่ ย ตอ่ มำเพื่อให้ควำมสนุกสนำนจึงไดเ้ พิ่ม

~ 78 ~ บทตลกใหม้ ำกขึน บทตลกนีไม่มเี ขียนไว้ ผ้แู สดงต้องหำมุขแทรกเอำเอง ตัวตลกนนั มีทงั หญงิ และชำย มกั จะ เป็นสำวใช้ คนใช้ คนสนิทของตวั เอก ต่อมำบทของเทวทตั ต์กก็ ลำยเปน็ บทตลกไปดว้ ย ละครนพิ ัทข่นิ มักจะแสดงเรื่องพุทธประวตั ิ ตอนตรสั รู้ เพรำะไม่นิยมแสดงบทบำทของพระพทุ ธเจำ้ หรอื พระสำวกองค์สำคญั ตอ่ มำพมำ่ ได้รับอทิ ธิพลของอนิ เดียโดยผำ่ นทำงเขมร ละครนิทัทขิน่ จึงแสดงเร่อื งอื่นๆ เช่น รำมำยณะ เทพ นิยำยตำ่ งๆ และเหตุกำรณ์ในรำชสำนัก 3. ยคุ อิทธิพลละครไทย หลงั กำรเสยี กรงุ ศรีอยธุ ยำแก่พมำ่ ในปี พ.ศ. 2310 ชำวไทยกถ็ ูกกวำดต้อนไปเป็นจำนวนมำก พวกละคร และดนตรี ถูกนำไปไว้ในรำชสำนกั เกิดควำมนิยมละครแบบไทยขึน จึงถอื เปน็ เครื่องประดับรำชสำนัก นยิ มให้ เด็กพม่ำหัดละครไทย ละครแบบพม่ำในยุคนเี รยี กว่ำ \"โยธยำสตั คยี\" หรอื ละครแบบโยธยำ ท่ำรำ ดนตรี และ เรื่องที่แสดงรวมทังภำษำท่ีใช้ก็เป็นของไทย มีกำรแสดงอยู่ 2 เร่ือง คือ รำมเกียรต์ิ เล่นแบบโขน และอเิ หนำ เล่นแบบละครใน ในปี พ.ศ. 2328 เมยี วดี ขำ้ รำชกำรพมำ่ ได้คิดละครแบบใหมข่ นึ ชอื่ เรอ่ื ง \"อีนอง\" ซ่ึงมลี ักษณะใกล้เคยี ง กบั อเิ หนำมำก มสี ิง่ ทแี่ ปลกออกไปคือตวั ละคร ตัวละครของเรอ่ื งนี มลี ักษณะเป็นมนุษย์ธรรมดำสำมัญที่มี กเิ ลส มคี วำมดคี วำมชวั่ ละครเรอ่ื งนีเป็นแรงบันดำลใจให้เกิดละครในแนวนีอกี หลำยเร่ือง ต่อมำ ละครในรำชสำนกั เสื่อมควำมนยิ มลง เมื่อกลำยเป็นของชำวบ้ำนก็ค่อยๆ เสือ่ มลง แต่ละครแบบ นิพัทขน่ิ กลับเฟ่ืองฟขู นึ แต่ก็ลดมำตรฐำนลงจนกลำยเป็นจำอวด เมอื่ ประเทศพม่ำตกเปน็ เมอื งขึนของอังกฤษแลว้ ในปี พ.ศ. 2428 ละครหลวงและละครพืนเมืองซบ เซำ ตอ่ มำมีกำรละครทน่ี ำแบบอยำ่ งมำจำกองั กฤษเข้ำแทนที่ ถงึ สมัย ปจั จุบนั นีละครของเก่ำคูบ่ ้ำนคู่เมอื ง ของพม่ำจงึ หำชมไดย้ ำก http://www.banramthai.com/html/burma.html

~ 79 ~ นาฏศิลป์กมั พชู า ทีม่ ำภำพ นำฏศิลป์กมั พูชำมีหลกั ฐำนปรำกฏตงั แตส่ มัยกอ่ นพระนคร (ค.ศ. ๕๔๐-๘๐๐) แล้ว เชน่ รูปปน้ั ดนิ เหนียวสมัยนครบรุ ี (Angkorborei) เป็นรปู บุคคลร่ำยรำ และจำรกึ ท่ีกล่ำวถงึ \"คนรำ\" เปน็ ภำษำเขมร ในจำรึก สมยั พระนคร (ค.ศ. ๘๒๕-รำวคริสตศ์ ตวรรษท่ี ๑๔) พบคำสนั สกฤต \"ภำณิ\" ซึ่งหมำยถึงกำรแสดงเลำ่ เรื่อง และหำกดูภำพสลักจำนวนมำกในปรำสำทหินทังหลำยแหล่ขอม ไมต่ ้องสงสยั เลยว่ำในอำณำจักรขอมมีกำร รำ่ ยรำ กำรแสดง เปน็ เร่ืองปรกติธรรมดำสำหรับกำรบนั เทงิ ในรำชสำนกั และประชำชน ในจำรกึ ท่กี ลำ่ วถึงข้ำพระท่ีประจำศำสนสถำนนนั มกั มี \"คนรำ\" ประจำอยดู่ ว้ ย นำฏศลิ ป์กมั พชู ำ โบรำณนำ่ จะได้รับอทิ ธิพลอินเดยี เป็นพืน ทีม่ ำภำพ

~ 80 ~ นำฏศิลปก์ มั พูชำนำ่ จะสืบต่อและพัฒนำมำจนรงุ่ โรจนไ์ ม่แพ้ศิลปวิทยำกำรดำ้ นอนื่ ๆ ในสมยั พระนคร และน่ำจะมีอทิ ธพิ ลไมน่ ้อยตอ่ อยธุ ยำหลงั จำกที่มีกำรตีเมืองพระนครแตกและกวำดต้อนผคู้ นมำสู่กรงุ ศรีอยธุ ยำ จำนวนหนง่ึ ในผคู้ นเหล่ำนันน่ำจะมีนักรำอยดู่ ว้ ย หลักฐำนทำงภำษำอย่ำงหนึง่ ก็คือไทยรับคำ \"รำ\" ในภำษำเขมรมำแทนที่คำ \"ฟ้อน\" ท่เี ดิมใชใ้ น ภำษำไทย และไทยก็รับเอำมำผสมผสำนกับส่ิงทม่ี ีอยูเ่ ดิมและพัฒนำนำฏศิลปส์ บื เน่ืองต่อจำกนันและสรำ้ ง เอกลกั ษณเ์ ฉพำะตนขนึ มำ และเม่ือมำถึงสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทรไ์ ทยกส็ ง่ คนื ศลิ ปวทิ ยำกำรด้ำนนกี ลบั สู่ ประเทศรำชกัมพชู ำ และกัมพูชำก็รบั เอำมำประยุกต์ปรับเปลย่ี นใหเ้ ข้ำกบั ตัวเองและสบื ต่อมำจนถึง ปัจจบุ นั (ท่มี ำข้อมูล www.bloggang.com ) ทม่ี ำข้อมลู สมเดจ็ พระมหำกษัตรยิ ำนีกุสมุ ะนำรีรตั น์ พระรำชมำรดำของเจ้ำสีหนุ พระนำงทรงทำนบุ ำรงุ กำร ละครเขมรให้ร่งุ เรือง พระนำงจงึ ทรงเป็นพระมำรดำแหง่ นำฏศิลป์กมั พชู ำก็ว่ำได้ ระบำอัปสรำเกิดขึนด้วย คณุ ูปกำรของพระนำง โดยนำงอัปสรำตวั เอกองคแ์ รกคือเจ้ำหญิงบุพผำเทวี พระรำชธิดำในเจำ้ สีหนุ

~ 81 ~ ท่ีมำข้อมูล นครวัดเป็นอดุ มคตแิ หง่ ชำตกิ ัมพูชำ นำงอปั สรำในนครวัดกเ็ ปน็ อุดมคตแิ ห่งสตรีเขมร ดังนันกำรชุบ ชีวิตนำงอัปสรำออกมำเปน็ ระบำระดับชำตนิ ันมีควำมหมำยในเชงิ ชำติพันธ์นุ ยิ ม เพือ่ ใหเ้ ข้ำถึงสญั ลักษณ์สูงสดุ แหง่ สตรแี ขมร์ ระบำอปั สรำมีชอ่ื เสียงขนึ มำดว้ ยกำรอิงบนควำมยง่ิ ใหญ่ของนครวัด และระบำอัปสรำก็จำลอง ภำพสลกั ท่แี นน่ ง่ิ ไรค้ วำมเคล่ือนไหวในนครวดั ให้หลุดออกมำมชี ีวติ สอดคล้องมาตรฐานสาระการเรยี นร้ศู ิลปะ มาตรฐาน ศ ๑.๒ เข้ำใจควำมสมั พันธ์ระหว่ำงทัศนศลิ ป์ ประวตั ศิ ำสตร์ และวฒั นธรรม เห็นคุณค่ำงำน ทัศนศลิ ปท์ ่ีเป็นมรดกทำงวัฒนธรรม ภูมิปัญญำทอ้ งถิ่น ภมู ิปญั ญำไทย และสำกล มาตรฐาน ศ ๒.๒ เข้ำใจควำมสมั พันธร์ ะหวำ่ งดนตรี ประวัติศำสตร์ และวฒั นธรรม เหน็ คณุ ค่ำของ ดนตรี ที่ เปน็ มรดกทำงวฒั นธรรม ภมู ปิ ญั ญำท้องถน่ิ ภมู ิปัญญำไทยและสำกล มาตรฐาน ศ ๓.๒ เข้ำใจควำมสัมพันธร์ ะหว่ำงนำฏศิลป์ ประวัตศิ ำสตรแ์ ละวัฒนธรรม เห็นคุณคำ่ ของ นำฏศลิ ปท์ ี่เป็นมรดกทำงวฒั นธรรม ภูมปิ ัญญำท้องถน่ิ ภมู ิปัญญำไทยและสำกล ค้าถามสานต่อความคิด - เรื่องรำวเก่ียวกับศิลปวัฒนธรรมในกัมพชู ำ มปี ระเด็นใดทีใ่ ห้ควำมสนใจศกึ ษำเพิม่ เตมิ - เรำจะมีวิธีกำรเรยี นรู้ศิลปวฒั นธรรม โบรำณสถำน ให้ลึกซึงได้อย่ำงไร - ปจั จัยใดทท่ี ำให้ศิลปวฒั นธรรม ไดร้ บั กำรถ่ำยทอด องค์ควำมร้ทู ส่ี ืบต่อกนั มำ - แนวทำง หรือ วธิ กี ำรใดทจ่ี ะทำให้ศลิ ปวฒั นธรรม ไดร้ บั กำรธำรงไว้ซึ่งคุณค่ำต่อไป - ปจั จัยใดท่ที ำใหเ้ กดิ กำรเปลีย่ นแปลงของสังคม และศิลปวัฒนธรรม - จำเป็นหรอื ไม่ท่ีเรำต้อง ศกึ ษำเรยี นรู้ ศิลปวฒั นธรรมตำ่ งชำติ - ทิศทำง และลักษณะของเมืองจำกปัจจุบัน ไปสู่อนำคตจะปน็ เชน่ ไร และเรำต้องกำรใหเ้ ปน็ เช่นไร เช่อื มโยงในองค์ความรู้ ภำษำไทย กำรอำ่ น กำรเขยี นเรยี งควำม

สงั คมฯ ~ 82 ~ วิทยำศำสตร์ ศกึ ษำควำมเป็นมำของ ประวตั ิศำสตร์ กำรเปลี่ยนแปลงทำงสงั คม วัฒนธรรม วิถีชีวิตควำมเป็นอยู่ ภมู ิศำสตร์ กำรเปลยี่ นแปลงสภำพภูมิประเทศ สง่ิ แวดลอ้ มรอบตวั เพ่ิมเติมเตม็ กนั และกัน - จัดกจิ กรรมทัศนศึกษำแหล่งเรียนรนู้ อกสถำนศึกษำ - เชญิ วิทยำกร ผู้เชย่ี วชำญใหค้ วำมรู้ - แนะนำแหล่งศึกษำเรียนให้นกั เรยี นศึกษำเพิม่ เติม - นำภำพโบรำณสถำนของกัมพชู ำมำให้นกั เรียนได้มโี อกำสเห็น - จดั กจิ กรรมกำรแสดงละครบทบำทสมมตุ ิ ละครอิงประวตั ิศำสตร์ - ศกึ ษำกำรเปล่ยี นแปลงวถิ ีทำงสงั คม ที่มผี ลตอ่ วถิ ชี วี ติ และศลิ ปวฒั นธรรม - จัดแสดงนทิ รรศกำร นำเสนอผลงำน - ศกึ ษำ รับชม รบั ฟงั กำรแสดงนำฏศิลป์กัมพูชำ อ้างอิงข้อมลู http://photos4.hi5.com http://mblog.manager.co.th/ http://baannapleangthai.com www.oknation.net http://photos1.hi5.com http://gotoknow.org นาฏศิลปป์ ระเทศสาธารณรฐั เกาหลี นำฏศิลป์เกำหลีเร่ิมมีกำรเปลี่ยนแปลงในรำวศตวรรษท่ี 3 นำฏศิลป์เกำหลใี นสมยั โบรำณใช้แสดงในพธิ ที ำง ศำสนำ เพื่อบวงสรวงเทพยดำอำรกั ษ์ จดั แสดงปลี ะ 2 ครัง คือ ในเดอื นพฤษภำคมซง่ึ เปน็ ฤดูหวำ่ น และใน เดือนตลุ ำคมฤดูเก็บเกี่ยว ววิ ัฒนำกำรของนำฏศลิ ป์เกำหลกี ็ทำนองเดยี วกับของชำตอิ ื่น มกั จะเร่ิมและดัดแปลงให้เป็นระบำปลุกใจใน สงครำม เพื่อให้กำลังใจแก่นักรบ หรอื ไม่กเ็ ป็นพธิ ีทำงพุทธศำสนำ หรือเป็นกำรร้องรำทำเพลงในหมู่ชนชนั กรรมำชีพ หรือแสดงเปน็ หมู่ นำฏศลิ ป์ในรำชสำนักก็มีมำแตโ่ บรำณกำลเชน่ เดยี วกนั นำฏศิลป์เกำหลีสมบรู ณต์ ำมแบบฉบบั ทำงกำรละครทสี่ ุดและเปน็ พธิ ีรีตอง ได้แก่ ละครสวม หนำ้ กำก นำฏศิลปเ์ กำหลสี มัยใหม่ พฒั นำมำจำกนำฏศิลป์ที่ใช้ในพิธีเลียงต้อนรับอำคันตุกะชนั ผู้ดแี ละมงั่ คั่ง

~ 83 ~ นำฏศิลปเ์ กำหลี มีลลี ำอันงดงำมออ่ นช้อยอยทู่ ่ีกำรเคลื่อนไหวไหล่และเอวเป็นสว่ นสำคญั ตำมหลักทฤษฎี นำฎศิลปเ์ กำหลี มี 2 แบบ คือ 1. แบบแสดงออกซึ่งควำมรื่นเรงิ ควำมโอบอ้อมอำรี และควำมออ่ นไหวของอำรมณ์ 2. แบบพิธีกำร ดดั แปลงมำจำกวัฒนธรรมและประเพณีทำงพุทธศำสนำ จดุ เด่นของนำฏศลิ ป์เกำหลี มีลกั ษณะคลำ้ ยนำฏศิลป์สเปน คอื ผูแ้ สดงเคลอื่ นไหวทังสว่ นบนและสว่ นล่ำง ของรำ่ งกำย เปน็ กำรผสมผสำนระหวำ่ งนำฏศลิ ป์ตะวนั ตกและนำฏศลิ ป์ตะวันออกเขำ้ ด้วยกัน ซึง่ นำฏศลิ ปต์ ะวนั ตก เนน้ หนักในกำรใชข้ ำและร่ำงกำยส่วนล่ำง แตน่ ำฏศิลปต์ ะวันออกจะใชส้ ่วนไหล่ แขน และมือ โรงเรียนนาฏศิลป์เกาหลสี มัยปจั จุบนั จะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คอื 1. โรงเรียนนำฏศลิ ป์แผนโบรำณ ซึ่งไม่ยอมรับอิทธพิ ลอื่นใดนอกจำกจะรักษำแบบฉบับเดิมไว้ 2. โรงเรียนนำฏศิลปส์ มัยใหม่ จะรับเอำแบบอยำ่ งของนำฏศลิ ปต์ ะวนั ตกเข้ำมำรวมดว้ ย ซง่ึ ไดร้ ับควำมนยิ ม มำกกวำ่ แบบโบรำณ เปน็ ทยี่ อมรับว่ำ ยอดนยิ มของนำฏศลิ ปเ์ กำหลีนนั ได้แก่ นำฏศลิ ป์ของพระแสดงกำรต่อตำ้ นศำสนำ ผู้ แสดงจะสวมเสอื คลุมของพระ ลลี ำกำรรำ่ ยรำนันงำมนำ่ ดูมำก แสดงออกซึง่ ควำมต้องกำรของมนษุ ย์ นาฏศิลป์เกาหลที ค่ี วรรู้จัก ไดแ้ ก่ 1. ละครสวมหนำ้ กำก เนือเรื่องมักคลำ้ ยคลึงกนั ลีลำกำรแสดงนันนำเอำนำฏศลิ ป์แบบต่ำงๆ มำปะติดปะตอ่ กนั 2. ระบำแม่มดก็เปน็ นำฏศลิ ปอ์ กี แบบหนงึ่ และกำรรอ้ งรำทำเพลงประเภทลูกทุ่งนนั ก็มีชวี ิตชีวำอย่ำงย่ิง 3. ระบำบวงสรวงในพธิ ีและระบำประกอบดนตรที ใี่ ชใ้ นพิธีเลยี งตอ้ นรบั ในรำชสำนัก ซ่ึงประกอบดว้ ย บรรยำกำศอนั งดงำมตระกำรตำน่ำชมมำก นาฏศลิ ปอ์ นิ โดนเี ซยี ทม่ี ำ http://www.maesariang.com/indonesia/6.php ศลิ ปะการแสดงของอินโดนเี ซยี ในภูมิภำคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ หำกมองเรื่องของนำฏศลิ ปแ์ ละศิลปะกำรแสดงแลว้ อินโดนีเซยี เป็นประเทศหน่ึงท่ีมวี ฒั นธรรมทำงกำรแสดงอันเกำ่ แกแ่ ละมีลักษณะโดดเดน่ เปน็ เอกลักษณข์ องตนโดยมี

~ 84 ~ พนื ฐำนของวฒั นธรรมมุสลมิ และฮนิ ดปู รำกฏอยู่เดน่ ชดั ในศิลปะกำรแสดงของอนิ โดนีเซียศลิ ปะกำรแสดงที่เปน็ เอกลกั ษณ์เด่นชดั ของอนิ โดนเี ซียและยังคงเปน็ ศลิ ปะประจำชำติท่ีเก่ำแกท่ ่ีสดุ ก็คอื ศิลปะกำรเชดิ หนงั หรอื เชดิ หุ่นภำษำชวำเรยี กว่ำ “วำยัง” (Wayang)หรอื เรียกเต็มช่ือว่ำ”วำยัง ปูรว์ ำ”( Wayang Purwa) “วำยัง”แปลวำ่ “เงำ” สว่ น”ปูร์วำ”แปลวำ่ ”ควำมเก่ำแก่”รวมกนั จึงหมำยถึงควำมเก่ำแกแ่ ห่งศิลปะกำรเชิดตัวหุน่ ทที่ ำจำกหนงั ให้เกิดเป็นภำพเงำบนจอผำ้ ในปัจจบุ ันคำว่ำวำยงั มคี วำมหมำยทั่วไปวำ่ ”กำรแสดง” 1.ความเป็นมาของวายัง นกั วิชำกำรมีควำมเห็นแตกต่ำงกัน3แนวทำงคือ กลมุ่ แรก ยืนยนั ว่ำวำยงั เปน็ ศลิ ปะกำรแสดงของทอ้ งถน่ิ ชวำมำแตโ่ บรำณ มกี ำเนิดบนเกำะชวำ เนื่องมำจำกประเพณขี องคนท้องถนิ่ ซึง่ นับถือสงิ่ ศักดส์ ทิ ธิแ์ ละบชู ำบรรพบรุ ุษน่ันเอง หลกั ฐำนทใี่ ช้สนบั สนนุ ของ กลุ่มนมี ีหลำยประกำร กล่ำวคือ ภำษำและคำศัพทเ์ ฉพำะทำงเทคนคิ กำรแสดงเปน็ ภำษำชวำโบรำณ ประเพณี กำรชมละครวำยงั ทีเ่ กำ่ แก่ยงั คงเห็นปฏบิ ตั ิกันอยทู่ ่ัวไป กล่ำวคือ บรเิ วณที่น่ังของผู้ชมฝำ่ ยชำยอยคู่ นละด้ำน ของฝำ่ ยหญงิ ผู้ชมฝ่ำยชำยนยิ มนง่ั ดำ้ นเดียวกบั ผู้เชดิ หนงั เพรำะเป็นด้ำนทช่ี มกำรแสดงไดส้ นกุ กวำ่ ดำ้ นท่ีเห็น เงำ ฝำ่ ยหญิงถกู กำหนดทนี่ ่ังให้อย่ดู ้ำนตรงข้ำมกับผู้ชำยเหตผุ ลอีกประกำรหนงึ่ คอื วำยังเปน็ กำรแสดงที่แปลก แตกต่ำงและโดดเดน่ จำกกำรแสดงอ่นื ๆ ทงั หมดในเอเชยี จึงนำ่ จะเช่ือได้วำ่ ศลิ ปะกำรแสดงวำยงั เปน็ สมบตั ิทำง วฒั นธรรมของอินโดนีเซียอย่ำงแทจ้ ริง กลุ่มทีส่ อง เชื่อว่ำศิลปะกำรเชิดหนังนีได้รับอิทธิพลมำจำกอนิ เดยี เพรำะอนิ เดียมกี ำรแสดงเชิดหนัง และเชดิ หุน่ มำตงั แตส่ มัยโบรำณ วฒั นธรรมอินเดยี เจริญและเก่ำแกก่ วำ่ ชวำ ประวัตศิ ำสตรย์ คุ โบรำณของชวำ ไดเ้ หน็ กำรแผ่ขยำยอำรยธรรมอนิ เดียเป็นระยะเวลำหลำยรอ้ ยปี ดว้ ยเหตนุ ี ชวำจึงน่ำท่ีจะเปน็ ฝำ่ ยรับกำรแสดง วำยังจำกอนิ เดีย นอกจำกนีตัวละครตลกในวำยังของชวำที่ช่ือ ซีมำร์ ( Semar) มลี กั ษณะท่ลี ะมำ้ ยคลำ้ ยคลึงกบั ตวั ตลกอนิ เดยี ท่ีปรำกฏในละครสันสกฤตอันโด่งดงั ของอนิ เดียสมยั ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี3-8 กลุ่มท่ีสาม สนบั สนุนควำมคิดทว่ี ่ำ กำรเชิดหนังและหุ่นชนิดตำ่ งๆนำ่ ท่ีมำจำกประเทศจนี เพรำะชน ชำติจีนรจู้ ักศลิ ปะประเภทนมี ำนำนกว่ำ2000ปแี ลว้ โดยมหี ลกั ฐำนบันทึกเรื่องรำวใน121 ปีกอ่ นคริสต์ศกั รำชวำ่ จกั รพรรดิองค์หนึ่งในรำชวงค์ฮั่นทรงโปรดใหท้ ำพิธีเข้ำทรงเรียกวญิ ญำณนำงสนมคนโปรดของพระองค์ กำรทำ พิธีเชน่ นีอำศัยเทคนิคกำรเชดิ หนงั น่นั เอง แม้ไม่มีข้อยุติท่ีแนช่ ัดว่ำ จริงๆแลว้ วำยงั ของชวำมำจำกไหน และได้รบั อทิ ธิพลจำกจนี หรอื อนิ เดยี วหรอื ไมก่ ็ตำม แตส่ ง่ิ ทนี่ ่ำจะสนั นิษฐำนได้กค็ ือ ในสงั คมแบบชำวเกำะซ่งึ นับถอื สิ่งศักด์สิ ิทธิใ์ นธรรมชำติ และมีประเพณีบชู ำ บรรพบุรษุ เช่นเดียวกบั สังคมโบรำณในประเทศเอเชยี ทงั หลำยกำรแสดงเชิดหนังและเชดิ หนุ่ กระบอกเป็นศลิ ปะ ทเี่ กดิ ขึนโดยธรรมชำติอยู่แล้วในสิง่ แวดลอ้ มของสังคมดงั กล่ำวควำมสมั พนั ธ์ของวำยงั กันพิธกี รรมทำงศำสนำ ย่อมแยกกันไม่ออก เงำตำ่ งๆที่เกดิ ขึนเปรยี บเสมอื นดวงวิญญำณของบรรพบุรษุ ท่ีศลิ ปนิ ผเู้ ชดิ บนั ดำลใหเ้ กดิ ขึน คนโบรำณนยิ มประกอบพิธีเรียกวิญญำณบรรพบุรุษในงำนมงคลต่ำงๆ เชน่ งำนแต่งงำน เพอ่ื นให้วญิ ญำณของ บรรพบรุ ุษได้มำรบั รู้เป็นสกั ขีพยำนกำรแสดงวำยังจึงเปน็ ศิลปะกำรแสดงทมี่ ีวำมขลังและศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิดจุ พิธีกรรม ทำงศำสนำ กำรทำพิธนี ีเปน็ ที่ยอมรบั ในสังคม กำรเชดิ หนงั วำยงั จึงถูกนำมำใชโ้ ดยบุคคลสำคัญซึ่งทำตนเปน็

~ 85 ~ สอื่ กลำงรบั จ้ำงอัญเชญิ วิญญำณ รวมทังกำรแสดงเรือ่ งรำวที่เก่ียวกับปรชั ญำและศีลธรรมอกี ดว้ ย มผี ู้สนั นษิ ฐำน ว่ำคำวำ่ “วำยัง” มีวิวฒั นำกำรมำจำกคำเก่ำของชวำ คือ “วำห์โย” ซ่งึ แปลว่ำ กำรปรำกฏใหเ้ ห็นซง่ึ กำรดลใจ ทำงวิญญำณ ต่อเม่ืออำรยธรรมฮินดูเข้ำมำสเู่ กำะชวำแลว้ นนั วำยังจงึ ได้พฒั นำเปน็ ศิลปะกำรแสดงท่ีแทจ้ รงิ ไดร้ บั กำร ปรบั ปรุงจนเปน็ ศลิ ปะชันสูง มีบันทึกในหลักฐำนทำงประวัตศิ ำสตรว์ ่ำในคริสตศ์ ตวรรษที่ 11 วำยงั ปูร์วำเป็น กำรแสดงที่แพรห่ ลำยมำกโดยเฉพำะอย่ำงย่ิงในรำชวงั ต่ำงๆ บนเกำะชวำ นอกจำกนี วำนวรรณกรรมรำชสำนกั สมัยคริสตศ์ ตวรรษท่ี 11 และ 12 ได้บนั ทึกเกี่ยวกับละครวำยงั ว่ำเปน็ ศิลปะกำรแสดงทจ่ี ับใจและสร้ำงควำม สะเทอื นอำรมณไ์ ดอ้ ยำ่ งดีเยย่ี ม กษตั ริยห์ ลำยพระองค์ทรงอุปถัมภค์ ณะละครวำยงั บำงพระองคโ์ ปรดใหส้ รำ้ ง ตัวหนุ่ ขนึ ใหมท่ ังชดุ เพอื่ เก็บรักษำเป็นสมบัติของตระกูลวงศศ์ ลิ ปนิ ผู้เชดิ หุ่นและพำกยบ์ ทบรรยำยและบทเจรจำ ได้รบั กำรดูแลอุปถมั ภ์อยำ่ งดีในฐำนะศลิ ปินเอกประจำรำชสำนัก กษัตรยิ บ์ ำงพระองค์ทรงสนพระทยั ในศลิ ปะ และเทคนิคกำรแสดงของผู้เชิดหนงั ถึงขนำดฝึกและออกแสดงดว้ ยพระองค์เอง แมว้ ่ำในช่วงครสิ ต์ศตวรรษท่ี 15 และ 16 ชำวมุสลมิ เข้ำมำปกครองเกำะชวำแลว้ ก็ตำม แตค่ วำมนยิ มละครวำยงั มไิ ดเ้ ส่ือมลง เพียงแตย่ ำ้ ย ศูนยก์ ลำงควำมเจริญไปพรอ้ มกับกำรเปลี่ยนท่ีตังของเมืองหลวงของผปู้ กครองมสุ ลิม และจนกระทั่งทกุ วนั นี ละครวำยังได้รบกำรยกย่องว่ำเปน็ ศลิ ปะสำคัญประจำชำติของอนิ โดนีเซียที่เก่ำแก่ทส่ี ุด [ที่มา :: http://www.maesariang.com/indonesia/6.php] 2.ชดิ ของวายัง กำรแสดงเชิดหุ่นเงำหรอื วำยงั ปูร์วำฉบับดังเดิมใช้หุ่นเชิดที่ทำด้วยหนังสัตว์ จึงเรยี กอีกช่อื วำ่ “วำ ยงั กลู ิต” (Wayang Gulit) ซงึ่ หมำยถึง กำรเชิดหนังเพรำะกูลิตแปลวำ่ หนังสตั ว์ วำยงั กลู ติ นเี ปน็ ศิลปะกำรแสดงที่งดงำมและวิจิตรกวำ่ กำรแสดงชนิดอื่นทงั หมด กำรแสดงนรี วมศลิ ปะหลำยดำ้ นไว้ดว้ ยกนั อำทิ ดำ้ นกำรประพันธบ์ ทละคร กำรดนตรี นำฎกรรม ศลิ ปกรรม ทังยงั สะท้อนควำมลกึ ซงึ ในเชิงประวัติศำสตร์ กำรศกึ ษำ ปรชั ญำศำสนำควำมลึกลับและสัญลักษญใ์ นกำรตคี วำมหมำย

~ 86 ~ [ทม่ี า :: http://www.maesariang.com/indonesia/6.php] องค์ประกอบสา้ คญั ของการแสดงวายงั กูลิต มีดงั นี้ ตัวหนงั หรือตัวหนุ่ ที่ใชเ้ ชิดส่วนใหญ่แล้วตัวหนังวำยัง กูลิต ทำจำกหนงั ควำย ตัวหนงั ทม่ี ีคณุ ภำพดีทส่ี ดุ ต้องทำ จำกหนงั ลูกควำย เพรำะสะอำดปรำศจำกไขมนั จะทำใหส้ ที ี่ทำติดทนดี วธิ ีกำรทำตัวหนังนนั จะตอ้ งนำหนังลกู ควำยมำเจียน แลว้ ฉลุเป็นรปู รำ่ งและลวดลำย ใบหนำ้ ของตัวหนังหนดำ้ นข้ำง ลำตวั หนั ลักษณะเฉยี ง ส่วนเท้ำหันด้ำนข้ำงทศิ ทำงเดียวกันกับใบหนำ้ ของตวั หนัง ตวหนงั มีควำมสูงประมำณ ท่มี า :: http://www.maesariang.com/indonesia/6.php http://www.maesariang.com/indonesia/6.php

~ 87 ~ ใบงาน เรอ่ื ง นาฏศิลป์ สนุ ทรยี ะทางนาฏศิลป์ คา้ ส่ัง ใหน้ กั ศึกษำแตล่ ะกลมุ่ ทำกำรศึกษำคน้ ควำ้ ตำมหัวขอ้ ตอ่ ไปนแี ล้วนำผลจำกศึกษำค้นคว้ำมำ สรปุ เพ่อื แลกเปลีย่ นเรียนรู้ อย่ำงนอ้ ย กลมุ่ ละ 15 นำที กลุ่มที่ 1 นำฎศิลป์ประเทศพม่ำ กลุ่มที่ 2 นำฎศลิ ปป์ ระเทศกัมพูชำ กลมุ่ ที่ 3 นำฎศลิ ปป์ ระเทศมำเลเซีย กลุ่มที่ 4 นำฎศิลป์ประเทศเกำหลี กลุม่ ท่ี 5 นำฎศิลปป์ ระเทศอินโดนเี ชยี

~ 88 ~ ใบงาน เรอื่ ง นาฏศิลป์ สุนทรยี ะทางนาฏศิลป์ ค้าสัง่ ให้นกั ศึกษำตอบคำถำมในหัวขอ้ ต่อไปนี 1. ละครสรำ้ งสรรค์ หมำยถึงอะไร 2. กจิ กรรมจงู ใจ หมำยถึงอะไร และมกี ่ีประเภทอะไรบำ้ ง 3. กจิ กรรมกำรเตรียมทักษะละครของผนู้ ำกิจกรรมต้องทำอย่ำงไร 4. กจิ กรรมละครมีกำรจดั กำรอย่ำงไรอธบิ ำยมำพอเข้ำใจ 5. จุดหมำยของกำรทำละครสรำ้ งสรรค์ตำ่ งจำกกำรสร้ำงละครเวทอี ย่ำงไร 6. จินตนำกำร คืออะไร 7. ควำมคิดสรำ้ งสรรค์ คืออะไร 8. ละครสร้ำงสรรคม์ ีประโยชน์ในดำ้ นใดบ้ำงอธบิ ำยมำพอเขำ้ ใจ

~ 89 ~ บนั ทึกหลกั การพบกล่มุ ครง้ั ท่ี ………….. วันท่ี……. เดือน ……………. พ.ศ………….. กจิ กรรมการเรียนรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………… สิ่งที่ได้รับจากการเรยี นรู้ ……………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… บันทกึ หลังการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ กจิ กรรมการเรียนรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………

~ 90 ~ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……… สภาพปัญหาท่ีพบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……… วธิ กี ารแกป้ ญั หา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……… ขอ้ เสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………… ลงช่อื …………………………………….ผ้บู นั ทึกหลงั การสอน (………………..………………) ต้าแหนง่ ……………………………………… ลงชื่อ….................................................ผ้อู า้ นวยการสถานศึกษา

~ 91 ~ ใบความรู้ เร่ือง ละครทไ่ี ด้รบั วฒั นธรรมตะวนั ตก ในสมัยรชั กำลที่ ๕ วฒั นธรรมทำงนำฏศิลป์ของตะวนั ตกไดแ้ พร่หลำยเข้ำมำในประเทศไทย ทำให้เกิด ละครแบบตำ่ งๆ ขนึ เชน่ ละครดึกดำบรรพ์ ที่กล่ำวมำแล้ว แตล่ ะครดึกดำบรรพ์ ยงั คงใช้ท่ำรำของไทยเป็น หลัก ยงั ถอื ไดว้ ำ่ เปน็ นำฏศิลป์ของไทยอยำ่ งสมบูรณ์ ส่วนละครทนี่ ำแบบของตะวันตกมำใชจ้ รงิ ๆ กค็ ือ ละครที่ ไม่ใช้ท่ำรำเลย ใชแ้ ตก่ ิรยิ ำทำ่ ทำงของคนธรรมดำสำมัญที่เรำปฏิบัติกันอยู่เท่ำนัน เช่น ละครร้อง ละครพดู ละครพดู สลบั ลำ และละครสังคตี ละครร้อง ละครรอ้ ง เป็นแบบละครที่พระเจ้ำบรมวงศเ์ ธอ กรมพระนรำธปิ ประพันธ์พงศ์ทรงปรับปรุงขนึ เป็น ละครทแ่ี สดงบนเวที เปลยี่ นฉำกไปตำมเนอื เรอื่ ง ดำเนินเรื่องด้วยกำรรอ้ งเทำ่ นนั ถ้อยคำทรี่ อ้ งมีทงั บอกชอ่ื ตวั ละคร บอกกริ ยิ ำ อำรมณ์ของตวั ละคร และเปน็ คำพดู ของตัวละคร วิธีแสดง ในตอนแรกผ้แู สดงเปน็ ผู้หญงิ ลว้ น แต่สมัยหลงั ๆ มำ ให้มผี ูช้ ำยเป็นตวั ตลกได้ กำรแสดง บทบำทใชท้ ำ่ ของคนธรรมดำสำมัญไม่มกี ำรรำ กำรร้อง ถำ้ เปน็ บทบอกช่ือตวั ละคร บอกกริ ิยำหรืออำรมณ์ของ ตัวละคร ตน้ เสยี งกบั ลูกคเู่ ปน็ ผรู้ อ้ ง ถ้ำบทนันเปน็ คำพดู ของตัวละคร ผู้แสดงตัวนันจะต้องรอ้ งเอง แต่กำรร้อง ของตวั ละครนี ตวั ละครจะร้องเฉพำะทเ่ี ปน็ ถอ้ ยคำเทำ่ นนั ส่วนกำรเออื นทเ่ี ป็นทำนองตดิ ต่อนนั ลูกคจู่ ะต้อง ร้องแทรกเขำ้ มำให้ กำรเจรจำ เป็นกำรเจรจำทวนบท คือ พดู เปน็ ใจควำมเดียวกบั บททีร่ ้องไปแลว้ โดยมำก แต่ ก็มีเจรจำบทอืน่ ๆ บำ้ ง จะเป็นกำรเจรจำ อย่ำงไรก็ตำม ผู้แสดงจะตอ้ งพดู ดว้ ยปฏิภำณปัญญำของตนเอง ดนตรี ใชว้ งป่พี ำทย์ไมน้ วม บรรเลงประกอบบำงกรณี บำงทีก็มีหน้ำพำทยบ์ ้ำง เช่น โอด เพลงฉง่ิ กบั บรรเลง เวลำปดิ ฉำก และจะต้องมเี ครือ่ งดนตรีอย่ำงใดอยำ่ งหนึง่ บรรเลงคลอเวลำรอ้ งทกุ ๆ เพลงท่เี คยใช้ บำงทีก็ใช้ ไวโอลนิ บำงทกี ็ใช้ออร์แกน หรือซออู้ เรื่องที่แสดง เป็นเร่ืองชวี ิตของธรรมดำสำมญั ชนอยำ่ งนวนยิ ำย เชน่ เรือ่ งตกุ๊ ตำยอดรัก ขวดแก้วเจยี ระไน เครอื ฟำ้ ของประเสรฐิ อกั ษร (พระเจ้ำบรมวงศเ์ ธอกรมพระนรำธิป ประพนั ธพ์ งศ)์ เปน็ ตน้ การแสดงละครร้องเร่ืองสาวเครอื ฟ้า การแสดงละครร้องเร่ืองสาวเครือฟ้า ตอนแรกพบในสวน ตอนรอ้ ยตรพี รอ้ มลาสาวเครอื ฟ้า ละครพดู

~ 92 ~ ในสมยั รชั กำลที่ ๕ เมื่อสมเดจ็ พระบรมโอรสำธิรำช เจำ้ ฟ้ำมหำวชริ ำวุธสยำมมกุฎรำชกุมำร (พระบำทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้ำเจำ้ อยหู่ วั ) ทรงสำเรจ็ กำรศกึ ษำจำกยุโรป เสด็จกลับมำประทบั ณ พระรำชวังสรำญรมย์ ได้ทรง นำเอำแบบกำรแสดงละครของยโุ รปมำแปลงให้เป็นกำรแสดงของไทยอย่ำงหน่ึง ละครแบบนเี รยี กวำ่ ละคร พดู ละครพดู เปน็ ละครที่แสดงบนเวที เปล่ยี นฉำกเปน็ สถำนทตี่ ำมเนือเรอ่ื ง กำรแต่งตัว แต่งตำมสภำพเป็น จริงของเร่ืองกำรดำเนินเรื่อง ดำเนนิ ด้วยคำพูด และกำรปฏบิ ตั ิของตวั ละคร กำรพดู ใชค้ ำพดู อยำ่ งธรรมดำสำมญั ชน แต่อำจเนน้ ในอำรมณบ์ ำงอยำ่ งให้เดน่ ขนึ เพื่อให้ผชู้ มเข้ำใจชัดเจน กริ ยิ ำท่ำทำง ใช้กิริยำท่ำทำงอย่ำงสำมญั ชน เร่อื งท่ีแสดง เปน็ เรอื่ งชีวติ ของธรรมดำสำมญั ชนอยำ่ งนวนยิ ำย เช่น พระรำชนิพนธใ์ นรัชกำลท่ี ๖ เร่อื ง หัวใจนักรบ ชิงนำง เห็นแกล่ กู เป็นตน้ ดนตรี ใชว้ งป่พี ำทย์ไม้นวม บรรเลงเวลำปิดฉำกเทำ่ นัน เจา้ อย่หู ัว พระผู้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครพดู จา้ นวนมาก ละครพดู สลบั ค้า เมือ่ พระบำทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้ำเจ้ำอย่หู ัว เสดจ็ เถลิงถวลั ยรำชสมบตั ิเปน็ พระมหำกษัตริย์ รัชกำล ท่ี ๖ แห่งพระรำชวงศ์จักรี พระองค์ก็ยงั ทรงโปรดกำรแสดงละครพูดอยู่ เม่ือทรงวำ่ งพระรำชกิจ กท็ รงพระรำช นพิ นธบ์ ทละครพดู เรื่องต่ำงๆ และยังทรงวิวฒั นำกำรละครพูดให้เปลย่ี นแปรออกไปอีก พระบำทสมเดจ็ พระ มงกฎุ เกลำ้ เจ้ำอยู่หัว ไดท้ รงพระรำชนพิ นธบ์ ทร้องขึน ให้ร้องแทรกในกำรแสดงละครพดู บำงตอน โดยไม่ตัดบท พูดใดๆ ในละครของเดมิ ออกเลย ในครังแรกทรงเรยี กว่ำ \"ละครพดู แกมลา้ \" ภำยหลงั จึงเรยี กว่ำ \"ละครพูด สลับล้า\" ใจควำมของบทรอ้ งไมม่ ีควำมสำคญั ในกำรดำเนินเรอ่ื งเลย หำกตัดบทรอ้ งออกกค็ งเป็นละครพูดอยำ่ ง สมบรู ณก์ ำรแสดงละครพูดสลับลำทุกอย่ำง สถำนท่ี คำพดู ท่ำทำง และกำรแตง่ ตวั ตลอดจนลักษณะของเรื่อง ทแ่ี สดง เหมือนละครพดู ทังสนิ เว้นแตบ่ ำงตอน ตวั ละครจะต้องร้องเพลงไทยแทรกเข้ำมำ และแลว้ ก็แสดง เป็นละครพูดไปตำมเดมิ เชน่ กำรแสดงละครพูดสลบั ลำเร่ือง ปล่อยแก่ ของนำยบัว วเิ ศษกลุ บทร้องพระรำช นพิ นธ์ในรชั กำลที่ ๖ดนตรี ใช้วงป่ีพำทย์ไม้นวม บรรเลงนำ และคลอเวลำร้อง กับเวลำปิดฉำก ละครสังคีต

~ 93 ~ พระบำทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้ำเจำ้ อยู่หัวได้ทรงปรับปรงุ ละครขึนอีกแบบหน่ึง มีทงั รอ้ งเพลงและพูด ทงั บทรอ้ งและบทพูดมคี วำมสำคัญในกำรดำเนินเรื่องดว้ ยกัน จะตัดอยำ่ งหนงึ่ อย่ำงใดออกไม่ได้ เนอื เรือ่ งจะ ขำดตอนไป ละครแบบนี ทรงเรียกว่ำ \"ละครสงั คีต\"วิธีแสดง ฉำก กิริยำท่ำทำง กำรพดู และรอ้ ง เหมือนกับ ละครพูดสลับลำ แต่ในกำรร้องอำจต้องใสอ่ ำรมณ์มำกกวำ่ ละครพูดสลบั ลำ และเพลงดนตรีอำจมีเพลงหน้ำ พำทย์ เช่น พญำเดนิ รวั แทรกดว้ ย ดนตรี ใช้วงป่พี ำทย์ไม้นวม บรรเลงนำ และคลอเวลำร้อง กับบรรเลงเพลง หน้ำพำทย์ (ถำ้ ม)ี และเวลำปิดฉำก เรอ่ื งที่แสดง เช่น พระรำชนิพนธ์เรือ่ งมิกำโด วงั่ ตี่ ววิ ำหพระสมุทร และ หนำมยอกเอำหนำมบง่ ละครแบบทพี่ ระบำทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลำ้ เจำ้ อยหู่ ัว ทรงนำมำและปรับปรงุ เหล่ำนี สมยั ก่อนผแู้ สดงเปน็ ผู้ชำยทังสนิ ภำยหลงั จงึ เปล่ยี นเป็นชำยจริง หญงิ แท้ จะเหน็ ได้ว่ำคำว่ำ \"นาฏศลิ ป์\" ซง่ึ แตเ่ ดิม หมำยถึงกำรแสดงตำ่ งๆ ทป่ี ระกอบดว้ ยกำรรำ ไมว่ ำ่ จะเป็น ระบำหรือละครแบบใดนัน ได้มีควำมหมำยแผ่กวำ้ งออกไปอีก เมอ่ื วัฒนธรรมตะวันตกได้แพร่เขำ้ มำในเมืองไทย อนั ทำให้เกิดมีละครท่ีใชก้ ริ ิยำท่ำทำงอย่ำงสำมัญชน ซง่ึ ไม่มีกำรรำเลย ดงั นนั กำรแสดงละครร้อง ละครพดู ละครพูดสลับลำ และละครสังคตี ทไี่ มม่ ีกำรรำ แตเ่ ป็นละครอีกแบบหนึ่ง ก็ต้องถือวำ่ เปน็ นำฏศลิ ป์ดว้ ย บาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอย่หู ัว ทรงแสดงละครพดู ใบงาน เรือ่ ง นาฏศิลป์ สุนทรยี ะทางนาฏศิลป์ คา้ สงั่ ใหน้ กั ศึกษำตอบคำถำมในหัวขอ้ ต่อไปนี

~ 94 ~ 1. ละครร้องมคี วำมแตกตำ่ งจำกละครพดู อยำ่ งไร จงอธบิ ำย 2. ละครสำกลแบ่งออกเปน็ ก่ปี ระเภท อะไรบ้ำง 3. ละครองิ นิยำย (Romance) เป็นละครประเภทใด 4. จงบอกองค์ประกอบของละคร 5. ให้ผเู้ รียนอ่ำนเรือ่ ง”ปลำบู่ทอง” แล้ววิเครำะห์ วจิ ำรณ์ ตำมคำถำมในข้อ 5.1 – 5.4 มชี ำยคนหนงึ่ ช่ือ นำยทอง เป็นชำวบำ้ นเม่ือพำรำณส์ มีภรรยำ 2 คน ชือ่ นำงขนิษฐำและขนิษฐี นำง ชนษิ ฐำเปน็ ผูม้ ีจิตใจเมตตำ อำรี มลี ูกสำวชื่อนำงเอือย ซ่งึ เปน็ เดก็ สำวที่มีจิตใจดีงำม สว่ นนำงขนิษฐี มจี ิตใจ หยำบกระด้ำง อิจฉำริษยำ มีลกู สำวช่ืออำ้ ยกบั อี ซง่ึ มีจติ ใจคลำ้ ยกบั แม่ มักจะกลั่นแกลง้ ลกู ของนำงขนิษฐำอยู่ เสมอๆ ตอ่ มำนำยทองออกไปจบั ปลำ ได้ปลำบ่มู ำตัวหนึ่ง จงึ ใหน้ ำงขนิษฐำทำต้มยำปลำ แตด่ ว้ ยควำมเมตตำ นำงจึงปล่อยปลำไป นำยทองจงึ บงั คบั ใหน้ ำงขนษิ ฐำไปหำปลำแต่นำงกป็ ระสบอบุ ตั ิเหตถุ ึงแก่ควำมตำม และ ด้วยควำมดจี งึ เกิดเปน็ ปลำบทู่ อง เพ่ือทจ่ี ะอยู่ใกลๆ้ ลูกคอื นำงเอือย ตอ่ มำก็โดนนำงขนิษฐีทำลำยและได้ไปเป็น ตน้ โพธิเ์ งนิ โพธท์ิ อง นำงเอือยจึงมีโอกำสไปเฝ้ำแม่ทุกวัน ต่อมำพระเจำ้ พรหมทตั ผคู้ รอบครองกรุงพำรำณำสี เสดจ็ ออกหวั เมืองก็พบกับต้นโพธเ์ิ งินโพธิ์ทอง และ มีควำมประสงคจ์ ะนำปลูกที่ในวัง แต่ก็ไม่สำมำรถเคล่ือนย้ำยได้ นำงขนิษฐีและนำงอำ้ ยก็อำ้ งวำ่ เปน็ เจ้ำของตน้ โพธิ์ แตก่ ็ไมส่ ำมำรถเคลือ่ นยำ้ ยได้ ตอ่ มำนำงเอือยก็ขอให้แมไ่ ปอยูใ่ นวังและตนเองกไ็ ดร้ บั กำรยกย่องเปน็ มเหสี นำงขนษิ ฐแี ละลกุ สำวเกดิ ควำมอิจฉำ จึงไปบอกให้นำงเอือยว่ำพ่อเจบ็ หนกั แล้ววำงแผนให้นำงเอือยเดินขำ้ ม สะพำนไม้ท่วี ำงหลอกไว้จนเอือยตกมำ้ ตำยแล้วให้นำงอำ้ ยไปเข้ำวงั แทน เมอ่ื นำงเอือยตำยไปแลว้ ไปเกิดเป็นนกแขกเต้ำ และกลับเข้ำวังไปตดั พ้อต่อพระเจำ้ พรหมทัต พระเจ้ำ พรหมทัตทรงเอำใจใส่นกแขกเจำ้ มำก จนนำงอ้ำยอิจฉำและคิดหำทำงจำกัด นกแขกเตำ้ หนีออกจำกวังไปพบฤๅษใี นป่ำ และชบุ ชีวติ ใหก้ ลำยเปน็ เอือยเหมอื นเดิมและยงั ไดเ้ สกลกู สำวของนำงเอือยชื่อวำ่ ลบ เพื่อเปน็ เพื่อนคลำยเหงำให้ด้วย ตอ่ มำนำงลบสงสยั วำ่ ใครเปน็ พ่อ จึงไปตำมแม่ นำงเอือยจึงเล่ำเร่อื งรำวตำ่ งๆ ให้ฟังและนำงเอือยได้ รอ้ ยพวงมำลยั ฝำกไปถวำยพระเจ้ำพรหมทตั ดว้ ย พระเจ้ำพรหมทตั ก็รูท้ นั ทีว่ำเปน็ ฝีมอื นำงเออื ย และไดท้ รำบ เรอ่ื งรำวจำกลบท่นี ำงขนษิ ฐแี ละนำงอำ้ ยก่อกรรมทำเข็ญไว้กบั เอือย จงึ สัง่ ประหำรชีวิต แตเ่ ออื ยของ พระรำชทำนอภัยโทษดว้ ย ให้ขบั ไลอ่ อกจำกนอกวังและให้ถือศีลบำเพ็ญควำมดตี ลอดชวี ิต สว่ นนำงเออื ยก็อยู่ กบั ตน้ โพธ์ิเงนิ โพธท์ิ องอย่ำงมีควำมสุขตลอดไป 5.1 นำงเออื ยเป็นคนอยำ่ งไร 5.2 นำงขนิษฐำ เปน็ คนอยำ่ งไร 5.3 ถ้ำทำ่ นจะเปน็ บุคคลในเรอ่ื ง จะเลอื กเป็นใคร เพรำะอะไร 5.4 ทำ่ นอำ่ นแลว้ ได้ข้อคิดอะไรจำกเร่ืองนี

~ 95 ~


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook