Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชิงรุก

การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชิงรุก

Published by kruthammathat, 2021-05-23 16:12:39

Description: การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชิงรุก

Search

Read the Text Version

คาช้ีแจง เอกสารฉบับนเี้ ปน็ ผลงานส่วนหนง่ึ ของ “โครงการวจิ ัยและพฒั นากรอบสมรรถนะหลักของผูเ้ รียน ระดบั การศึกษา ตอนต้น” ซ่ึงเปน็ โครงการวิจยั นาร่องท่ดี าเนินการโดยคณะทางานและคณะวจิ ัยท่จี ัดตัง้ ขน้ึ โดย คณะกรรมการอิสระเพ่ือการปฏิรปู การศึกษาเพื่อใช้เปน็ ข้อมูลประกอบข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อการปฏริ ูป การศกึ ษาดา้ นหลกั สตู รและการจัดการเรยี นการสอน โครงการวจิ ยั ดงั กล่าวมีผลงานท่ีเปน็ ผลผลิตรวมท้งั ส้ิน ๒ ชดุ ดังน้ี ๑. รายงานผลการวจิ ยั และพัฒนากรอบสมรรถนะผ้เู รยี นประถมศึกษาตอนต้นสาหรบั หลกั สูตร การศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน ๒. เอกสารประกอบจานวน ๑๒ เล่ม ไดแ้ ก่ เล่มท่ี ๑ ประมวลความคิดเห็นเกย่ี วกบั หลกั สตู รและการจดั การเรยี นการสอนจากกลุม่ ผเู้ ก่ียวขอ้ ง เล่มที่ ๒ กระบวนการกาหนดสมรรถนะหลกั ของผู้เรียนระดบั การศกึ ษาขั้นพนื้ ฐานและระดบั ประถมศกึ ษาตอนต้น (ป.๑-ป.๓) และวรรณคดีเกี่ยวข้องกับสมรรถนะ เลม่ ที่ ๓ การวเิ คราะห์ความสอดคล้องของสมรรถนะหลกั ผ้เู รยี น ระดับการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน กับหลักการสาคัญ ๖ ประการ เล่มท่ี ๔ กรอบสมรรถนะหลักผ้เู รียนระดับการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐานและระดับประถมศกึ ษาตอนต้น (ป.๑-ป.๓) เล่มท่ี ๕ แนวทางการพัฒนาสมรรถนะหลกั ผู้เรียนระดบั การศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน เล่มท่ี ๖ คู่มือ การนากรอบสมรรถนะหลกั ผูเ้ รยี นระดับประถมศกึ ษาตอนตน้ (ป.๑-ป.๓) ไปใช้ ในการพัฒนาผเู้ รยี น เลม่ ท่ี ๗ ทรัพยากรการเรยี นรู้เพือ่ พัฒนาสมรรถนะของผูเ้ รยี นยคุ ใหม่ เลม่ ที่ ๘ สอ่ื สิง่ พมิ พ์ ประชาสมั พนั ธ์ เลม่ ท่ี ๙ รายงานพนั ธกจิ ดา้ นการปฏริ ูปการศึกษา ผา่ นหลักสตู รและการเรยี นการสอนฐาน สมรรถนะ ( Commission Report on Educational Reform through Competency-Based Curriculum and Instruction) เล่มท่ี ๑๐ พนั ธกจิ ดา้ นการปฏิรูปการศกึ ษา ผ่านหลกั สูตรและการเรยี นการสอนฐานสมรรถนะ : บทสรปุ ผู้บริหาร ( Commission Report on Educational Reform through Competency-Based Curriculum and Instruction : Executive Summary ) เล่มที่ ๑๑ เขา้ ใจสมรรถนะอย่างงา่ ยๆ ฉบบั ประชาชน และเข้าใจสมรรถนะอยา่ งง่ายๆ ฉบับครู ผูบ้ ริหารสถานศึกษา และบุคลากรทางการศกึ ษา เลม่ ที่ ๑๒ การจดั การเรียนรฐู้ านสมรรถนะเชิงรุก

เอกสารฉบับน้ีเป็นเอกสารประกอบเล่มที่ ๑๒ ของโครงการซงึ่ เป็นส่วนทนี่ าเสนอสาระสาคัญ เก่ยี วกบั เหตุผลในการปฏิรปู การเรยี นรแู้ ละการจัดการเรยี นรู้ การปรับหลักสูตรและการจดั การเรยี นรู้ฐาน สมรรถนะเชิงรกุ การวดั และประเมินผลฐานสมรรถนะ และข้อเสนอแนะในการจดั การเรียนร้ฐู านสมรรถนะใหม้ ี คุณภาพและประสิทธภิ าพ ซง่ึ เปน็ สว่ นทจี่ ะเป็นประโยชน์ต่อครู ผู้บรหิ ารและสถานศกึ ษาโดยตรง เพื่อความเขา้ ใจ ทีช่ ดั เจนข้ึนและประสิทธภิ าพในการนาไปใช้ ขอแนะนาใหผ้ ใู้ ชศ้ กึ ษาเอกสารอืน่ ๆ ของโครงการประกอบกันไป ดว้ ย

สารบญั หนา้ การจดั การเรยี นรู้ฐานสมรรถนะเชิงรกุ ๑ ๑. ทาไมจงึ ตอ้ งมีการปฏิรูปการเรยี นรแู้ ละการจัดการเรียนรู้ ๔ ๒. การปรับหลกั สูตรและการจดั การเรียนรสู้ ู่ฐานสมรรถนะ ๕ ๓. การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ ๕ ๕ ๓.๑ หลกั การจดั การเรียนรู้ฐานสมรรถนะ ๗ ๓.๒ แนวทางการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ ๙ ๓.๓ ตวั อย่างการจัดการเรยี นรู้ฐานสมรรถนะ ๙ ๔. การจัดการเรียนรู้เชิงรกุ ๑๒ ๔.๑ กรอบแนวคิด และความหมาย ๑๘ ๔.๒ กลยทุ ธ์ ( Strategies) ในการจัดการเรยี นร้เู ชิงรกุ ๑๙ ๕. การจัดการเรยี นรูฐ้ านสมรรถนะเชิงรกุ ๑๙ ๖. การวดั และประเมินผลฐานสมรรถนะ ๗. ข้อเสนอแนะท่วั ไปในการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะให้มีคุณภาพและ ๒๑ ประสิทธิภาพ เอกสารอา้ งอิง

การจดั การเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชงิ รุก ๑.ทาไมจงึ ต้องมกี ารปฏิรปู การเรียนรู้และการจัดการเรียนรู้ สาเหตหุ ลกั ทที่ าใหต้ อ้ งมีการปฏิรปู การเรยี นรู้ของผ้เู รยี นและการจดั การเรียนรขู้ องครกู ็เนือ่ งมาจาก หลกั สตู ร การเรียนการสอน และการประเมนิ การเรียนรู้ ยงั ขาดประสทิ ธภิ าพ ไม่ทนั โลกและไมเ่ กิดผลลพั ธท์ พ่ี ึง ประสงค์ ผลจากการจดั การศึกษาทผ่ี ่านมาทัง้ ในดา้ นหลักสตู ร การเรยี นการสอน และการวดั ประเมนิ ผลเมือ่ พิจารณาโดยรวมแล้วพบว่ายังด้อยคุณภาพทงั้ ดา้ นประสทิ ธภิ าพและประสิทธิผล ดงั จะเห็นได้จากผลการทดสอบ ทัง้ ระดบั ชาติ ( O-NET ) ระดับนานาชาติ ( PISA ) เด็กไทยมีผลสมั ฤทธิต์ ่ามาก รวมทั้งมคี ณุ ลกั ษณะที่ไม่พึง ประสงค์หลายประการเชน่ “ความรทู้ ว่ มหวั เอาตวั ไม่รอด ” “ หัวโต ตวั ลบี ” “รู้แตไ่ ม่ทา” “นกแกว้ นกขนุ ทอง” “เก่งแบบเปด็ ” “เรียนเพือ่ สอบ” “เรยี นแบบตวั ใครตวั มนั ” “ไมม่ คี วามใฝ่เรยี น ใฝ่รู้ ” “ไม่สนใจเรียนรู้” เหลา่ นี้ เม่ือวิเคราะห์ เจาะลกึ ถงึ สาเหตขุ องปญั หาก็พบวา่ มีปัญหามาจากหลกั สตู ร การเรยี นการสอน และการวดั ประเมินผลการเรียนรู้ ดังแสดงในตารางต่อไปน้ี -1-

-2-

จากผลการวเิ คราะห์ข้อมูลซึง่ ไดจ้ ากการศึกษาเอกสาร งานวิจยั และการรับฟังความคิดเหน็ จาก ผเู้ กยี่ วข้อง ใน ๔ ภมู ภิ าค จะเหน็ ได้วา่ หลักสตู ร การจดั การเรียนการสอน และการวัดประเมนิ ผลแบบเดิมยังไม่ สามารถสง่ ผลกระทบต่อการเรยี นรู้ของผเู้ รยี น หลกั สตู รยังขาดความยดื หยุ่น ไมท่ นั ความต้องการของโลกและ สงั คม การจดั การเรียนการสอนยงั ล้าสมยั ไมส่ ่งผลใหผ้ เู้ รยี นเกดิ สมรรถนะ และคุณลกั ษณะที่พึงประสงค์ จงึ ถงึ เวลาทตี่ ้องมกี ารปฏริ ปู หลักสูตร การจดั การเรยี นการสอน และการวัดประเมนิ ผล ใหม้ คี วามเหมาะสม สามารถ พฒั นาผู้เรยี นให้ทนั โลก ทันสมัย สามารถดารงชีวิตอยา่ งมีคณุ ภาพท่ามกลางการเปลย่ี นแปลงทีเ่ กิดขนึ้ อย่าง รวดเร็ว จากผลการวเิ คราะห์ข้างต้นสรุปไดว้ ่า สาเหตสุ าคัญทีท่ าให้ผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตกต่า และยงั ไม่ มีคณุ ลักษณะทีพ่ ึงประสงค์ ก็เน่ืองมาจากหลกั สตู รและการจดั การเรยี นรูข้ องครูยงั ขาดประสิทธภิ าพ หลกั สูตรขาด ความยืดหยุ่น ไมส่ ามารถตอบสนองความต้องการของผ้เู รียนและบริบททแ่ี ตกต่างหลากหลาย ครูขาดทกั ษะการจดั การเรียนรู้เชิงรกุ ทจี่ ะช่วยใหผ้ ู้เรยี นเกิดการเรยี นรู้ได้ดี ครยู ังไมส่ ามารถจัดการเรยี น การสอนใหผ้ ู้เรยี นเกิดสมรรถนะในการนาความรู้ ทกั ษะ เจตคตแิ ละคุณลกั ษณะทไี่ ดเ้ รียนรู้ไปใชป้ ระโยชน์ในชีวิต ได้ ดงั นัน้ เพื่อช่วยยกระดับคณุ ภาพการเรียนรูข้ องผู้เรียน รวมท้งั ชว่ ยเสริมสรา้ งคณุ ลกั ษณะท่พี ึงประสงค์ใหเ้ กดิ ขึ้น ไดอ้ ย่างแทจ้ รงิ จงึ จาเปน็ ต้องมกี ารปฏริ ปู หลักสตู รและการจดั การเรียนร้ใู ห้สามารถพัฒนาผเู้ รียนให้เกิดสมรรถนะ ที่จาเป็นต่อการปฏิบตั ติ นและปฏบิ ัติงานต่าง ๆ ในชีวิตให้ประสบความสาเร็จ -3-

๒.การปรบั หลกั สตู รและการจดั การเรียนรสู้ ฐู่ านสมรรถนะ การปฏิรูปหลักสูตรใหม้ ีความยืดหย่นุ และเออ้ื ตอ่ การพัฒนาสมรรถนะท่ีจาเปน็ ตอ่ การใช้ชวี ติ การทางานการเรียนรแู้ ละการแกป้ ัญหาตา่ ง ๆ รวมท้ังการปรับตวั ให้ทันตอ่ การเปลี่ยนแปลง และความต้องการ ใหม่ๆของสังคมและโลกสามารถทาไดห้ ลายวธิ ี การปรบั หลักสูตรใหเ้ ปน็ หลักสูตรฐานสมรรถนะเปน็ ทางเลือกหนง่ึ ทม่ี ศี กั ยภาพที่จะตอบโจทยป์ ัญหาของครแู ละนกั เรียนท่ีเกดิ ขน้ึ รวมท้งั สามารถตอบสนองความต้องการใหม่ๆ ของ โลกในศตวรรษท่ี ๒๑ สมรรถนะเป็นความสามารถของบุคคลในการนาความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณลักษณะตา่ ง ๆ ทีต่ นมี อยู่หรอื ไดเ้ รียนรู้มาแล้วไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นสถานการณ์ต่าง ๆ เช่นในการทางาน การเรียนรู้ การใช้ชวี ิต การแก้ปญั หาได้ดีในระดบั ใดระดับหน่ึง หลักสูตรฐานสมรรถนะจงึ เป็นหลกั สตู รทม่ี ุ่งเปา้ หมายการพฒั นาไปท่ี ทักษะการทาได้ (ในระดับประยุกตใ์ ช้ได้) มใิ ชเ่ พยี ง การรู้ หรอื การมีความรู้เทา่ นั้น ดงั นัน้ หลักสตู รจึงจาเปน็ ตอ้ ง ระบวุ ่าผู้เรียนในแตล่ ะชว่ งวัยจะต้องทาอะไรได้ แล้วจึงกาหนดวา่ ผู้เรียนควรจะรู้อะไรเพอื่ ใหท้ าสง่ิ นัน้ ได้ ใน เบื้องตน้ ผเู้ รยี นอาจไมจ่ าเป็นตอ้ งรอู้ ะไรจานวนมากในสิ่งทไ่ี ม่จาเปน็ ต้องใช้ แต่จะต้องรใู้ ห้ถอ่ งแท้ในเร่อื งทีจ่ ะตอ้ ง ทา เพื่อใหส้ ามารถทาจนใช้การให้เปน็ ประโยชนต์ ่อชีวติ ในสถานการณ์ที่หลากหลายได้ แลว้ จึงจะพฒั นาใหอ้ ย่ใู น ระดบั ท่ีสูงข้นึ ดีข้นึ ย่งิ ๆ ขน้ึ ไปตามลาดับ ซึ่งแต่ละขน้ั ของการพัฒนาก็ตอ้ งอาศยั ความรู้ ทกั ษะ เจตคติ และ คณุ ลักษณะทมี่ ากขนึ้ และสงู ข้นึ ด้วย จะเหน็ ไดว้ ่าหลักสูตรฐานสมรรถนะใช้ทักษะ(skill)เปน็ ตวั นาโดยมคี วามรู้และเจตคติ/คุณลักษณะ เปน็ ทัพหนุนอยู่เบื้องหลงั ซงึ่ จะแตกตา่ งจากปัจจบุ ันที่หลกั สตู รและครมู ักจะใช้ความรู้(knowledge)เปน็ ตวั นา และเนือ่ งจากความรมู้ จี านวนมากจึงทาใหไ้ มส่ ามารถพัฒนาทกั ษะ เจตคติ และคุณลักษณะ ตา่ ง ๆ รวมท้งั สมรรถนะในการนาท้ังทกั ษะ เจตคติ และคุณลักษณะทไ่ี ด้เรียนรูไ้ ปประยกุ ตใ์ ชป้ ระโยชน์ในสถานการณ์ที่ หลากหลายได้ สรุปก็คือหลักสตู รฐานสมรรถนะสามารถเอื้อประโยชน์ตอ่ การพฒั นาคุณภาพการเรียนรูข้ องผู้เรียนได้ หลายประการเชน่ (๑) ช่วยใหผ้ ู้เรยี นไดร้ บั การพัฒนาสมรรถนะหลกั ทส่ี าคญั ต่อการใชช้ ีวติ การทางาน และการเรียนรู้ ซง่ึ จาเป็นต่อการดารงชวี ิตอย่างมคี ุณภาพในโลกแหง่ ศตวรรษท่ี ๒๑ ทีม่ ีการเปลย่ี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ (๒) ช่วยให้การจัดการเรียนรู้ มงุ่ เป้าหมายไปทีก่ ารพฒั นาผ้เู รยี นให้เกิดสมรรถนะทตี่ อ้ งการ มิใชม่ งุ่ เป้าไปทก่ี ารสอนเนื้อหาความรจู้ านวนมาก ซง่ึ ไมจ่ าเป็นหรอื เปน็ ประโยชนแ์ กผ่ ้เู รยี น (๓) ชว่ ยลดสาระการเรยี นรู้ทไ่ี ม่จาเปน็ อนั ส่งผลให้สถานศกึ ษามีพ้ืนท่ใี นการจัดการเรียนร้อู ่นื ทเ่ี ปน็ ความต้องการท่แี ตกตา่ งกนั ของผ้เู รยี น วถิ ชี ีวิต วัฒนธรรม ชาติพันธุ์ และบริบทได้มากขน้ึ (๔) ช่วยลดภาระและเวลาในการสอบตามตวั ช้วี ดั จานวนมาก การสอบวัดสมรรถนะหลกั ของผู้เรยี น ช่วยใหเ้ ห็นความสามารถของผูเ้ รยี น ช่วยใหเ้ หน็ ความสามารถที่เป็นองคร์ วมของผู้เรยี น (๕) ช่วยเออื้ ใหส้ ถานศึกษาสามารถออกแบบหลกั สตู รทเี่ หมาะสมกบั ความต้องการและบริบทของตน ได้โดยยึดสมรรถนะกลางเปน็ เกณฑเ์ ทยี บเคยี ง เปน็ การสง่ เสริมให้เกิดรปู แบบหลกั สตู รทหี่ ลากหลาย -4-

ดว้ ยเหตุทีห่ ลกั สูตรตอ้ งปรบั เปลี่ยนจุดเน้นจากการรู้มาเปน็ การทาหรอื การปฏบิ ตั ิ (ในระดบั การ ประยกุ ตใ์ ช้) การจดั การเรยี นรฐู้ านสมรรถนะจึงต้องปรับเปลี่ยนตามไปดว้ ย กระบวนการเรยี นร้จู ะต้องปรบั จาก การรบั (ความรู้)ซ่งึ มลี ักษณะเฉอ่ื ย ไม่ตื่นตัว(passive) มาเปน็ การรกุ หรือการตืน่ ตวั ทจี่ ะเรียนรู้ (active) คอื ผเู้ รียน ต้องเปน็ ผู้ดาเนินการเรียนรู้ เปน็ ผู้จัดกระทาตอ่ สิ่งท่เี รยี นรดู้ ว้ ยตนเอง เพ่อื ใหเ้ กดิ ความรู้ ความเขา้ ใจอย่างแท้จรงิ เอกสารฉบบั น้ี มีจุดประสงคห์ ลกั เพื่อให้แนวทางในการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเชงิ รุก ซึ่งเปน็ การ จดั การเรยี นรทู้ ี่ม่งุ พัฒนาผู้เรียนใหเ้ กิดสมรรถนะที่ตอ้ งการดว้ ยกระบวนการเรียนรู้เชงิ รกุ ท่ีสามารถสง่ ผลใหผ้ ู้เรยี น เกดิ สมรรถนะอยา่ งแทจ้ รงิ ผูส้ นใจในเรอื่ งหลักสูตรฐานสมรรถนะ สามารถศึกษาหารายละเอียดเพิม่ เติมไดจ้ ากแหล่งความรอู้ ืน่ ๆ ๓. การจัดการเรยี นรู้ฐานสมรรถนะ ๓.๑ หลักการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ หรอื การจดั การเรียนการสอนฐานสมรรถนะเปน็ การจดั การเรียน การสอนท่มี ีจดุ ประสงค์การเรยี นรฐู้ านสมรรถนะเปน็ เปา้ หมาย คอื มุ่งเนน้ การพฒั นาความสามารถของผู้เรยี นใน การประยกุ ต์ใชค้ วามรู้ ทกั ษะ เจตคติ และคณุ ลกั ษณะต่าง ๆ อยา่ งเปน็ องคร์ วม ในการปฏบิ ตั งิ าน การแกป้ ญั หา และการใชช้ ีวติ เป็นการเรียนการสอนทเ่ี ช่ือมโยงกับชวี ติ จริง เรยี นรู้เพอื่ ให้สามารถใชก้ ารไดจ้ รงิ ในสถานการณ์ ตา่ ง ๆ ในชีวิตจรงิ เปน็ การเรยี นเพ่ือใช้ประโยชน์ ไม่ใช่การเรยี นเพอ่ื รูเ้ ทา่ น้ัน การจัดการเรียนรูฐ้ านสมรรถนะเนน้ “การปฏิบตั ิ”โดยมชี ดุ ของเนอ้ื หา ความรู้ ทักษะ เจตคติ และ คุณลักษณะท่จี าเป็นต่อการนาไปสูส่ มรรถนะท่ีตอ้ งการ จึงทาให้สามารถลดเวลาเรยี น เนอ้ื หาจานวนมากทไี่ ม่ จาเป็น เออ้ื ใหผ้ ู้เรยี นมีเวลาในการเรียนรู้เนือ้ หาทีจ่ าเปน็ ในระดบั ท่ลี กึ ซง้ึ ขนึ้ และมีโอกาสได้ฝึกฝนการใช้ความรใู้ น สถานการณ์ตา่ ง ๆ ทจี่ ะชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นเกดิ สมรรถนะในระดับชานาญหรอื เช่ียวชาญ เป็นการเรียนการสอนทม่ี ี การบรู ณาการความรขู้ า้ มศาสตร์ ความรู้ในศาสตร์ตา่ ง ๆ ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั การปฏบิ ตั ิงานใดงานหนงึ่ จะได้รับการ นาไปใชเ้ พ่อื ความสาเรจ็ ของการปฏิบัติงาน การเรียนการสอนเป็นการบรู ณาการมากขน้ึ ในการจดั การเรยี นรฐู้ านสมรรถนะน้ัน ผู้เรยี นสามารถใชเ้ วลาในการเรยี นรู้ และมีความก้าวหนา้ ในการ เรียนรู้ไปตามความถนัดและความสามารถของตน สามารถไปไดเ้ ร็ว – ชา้ แตกต่างกันได้ โดยปจั จัยสาคัญท่ชี ่วยให้ เกิดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะประสบความสาเรจ็ คือการให้ข้อมลู ป้อนกลบั แก่ผู้เรียนเพ่ือการปรบั ปรงุ พฒั นา ๓.๒ แนวทางการจดั การเรยี นรูฐ้ านสมรรถนะ ในการจัดการเรยี นรูฐ้ านสมรรถนะเพ่อื พัฒนาผ้เู รียนในชนั้ เรียนและในโรงเรียนทาได้หลายทาง ใน ท่ีนีข้ อเสนอแนะ ๖ แนวทางซ่ึงครูสามารถเลอื กใช้ตามความพรอ้ มและบริบทโรงเรยี นและความถนัดของตน ดังนี้ แนวทางที่ ๑ : ใช้งานเดิม เสรมิ สมรรถนะ เปน็ การจดั การเรียนรู้ท่ีสอดแทรกสมรรถนะ ซงึ่ ครเู หน็ วา่ สอดคล้องกบั บทเรียนน้นั เข้าไป และคดิ กจิ กรรมเสรมิ เพ่ือให้ผูเ้ รียนไดพ้ ัฒนาสมรรถนะน้ันเพ่ิมข้ึน เปน็ การช่วย เพิ่มการเรียนรูข้ องผเู้ รียนใหเ้ ขม้ ขน้ มีความหมาย และเกดิ สมรรถนะทตี่ ้องการ แนวทางท่ี ๒ : ใช้งานเดิม ตอ่ เตมิ สมรรถนะ เปน็ การจดั การเรยี นร้ทู ่ีตอ่ ยอด เพมิ่ เตมิ จากงานเดมิ ให้ ต่อเนอ่ื งไปถงึ ขั้นการฝกึ ฝนการนาความรู้ ทกั ษะ และเจตคตทิ ี่ไดเ้ รียนรูแ้ ลว้ ไปประยกุ ต์ใชใ้ นสถานการณ์ท่ี หลากหลาย เพือ่ พัฒนาผเู้ รียนให้มีสมรรถนะในเรอ่ื งท่เี รียนรู้นั้น -5-

แนวทางที่ ๓ : ใชร้ ูปแบบการเรียนรู้ สู่การพัฒนาสมรรถนะ เปน็ การจัดการเรียนรู้ทมี่ กี ารนารูปแบบ การเรยี นรู้ตา่ ง ๆ มาวิเคราะห์เชอื่ มโยงกบั สมรรถนะท่ีสอดคลอ้ งกัน และเพม่ิ เติมกจิ กรรมที่สามารถชว่ ยพฒั นา สมรรถนะนน้ั ให้เพิ่มข้ึนอย่างชัดเจน อันจะสง่ ผลใหก้ ารเรยี นการสอนตามรปู แบบการเรียนรู้ ท่ใี ช้มีประสิทธภิ าพเพม่ิ ขนึ้ ดว้ ย แนวทางท่ี ๔ : สมรรถนะเป็นฐาน ผสานตัวชี้วดั เป็นการจดั การเรยี นรู้โดยนาสมรรถนะทต่ี ้องการ พัฒนาเปน็ ตัวต้งั และนาตวั ชี้วดั ทส่ี อดคล้องกนั มาออกแบบการสอนร่วมกนั เพ่ือให้ผู้เรยี นได้เรยี นรู้ทง้ั เนอ้ื หาสาระ และทกั ษะตามทตี่ ัวชี้วดั กาหนดไป พร้อม ๆ กันกับการพฒั นาสมรรถนะหลกั ที่ตอ้ งการ แนวทางท่ี ๕ : บรู ณาการผสานหลายสมรรถนะ เป็นการจดั การเรียนรู้ โดยนาสมรรถนะหลักหลาย สมรรถนะเปน็ ตวั ตงั้ และวิเคราะหต์ วั ชีว้ ดั ท่ีเกีย่ วข้อง แลว้ ออกแบบการสอนทมี่ ลี ักษณะเปน็ หนว่ ยบรู ณาการทีช่ ่วย ให้ผูเ้ รยี นได้เรียนร้อู ย่างเปน็ องคร์ วมโดยเหน็ ความสมั พันธ์ระหว่างวิชา/กลุ่มสาระการเรยี นรตู้ า่ งๆ แนวทางท่ี ๖ : สมรรถนะชีวติ ในกจิ วตั รประจาวนั เป็นการสอดแทรกสมรรถนะท่สี ง่ เสริมในการทา กจิ วัตรประจาวนั ต่าง ๆ ของผูเ้ รียนใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพและคณุ ภาพมากขน้ึ เปน็ การใชก้ จิ กรรมในชวี ติ ประจาวันท่ี ทาอย่แู ลว้ เป็นสถานการณใ์ นการฝกึ ฝนสมรรถนะ ซงึ่ นอกจากจะชว่ ยให้ผเู้ รยี นเกิดสมรรถนะทีต่ ้องการแล้วยงั ช่วยทาให้การทากิจวตั รประจาวันของผ้เู รียนมคี ณุ ภาพและประสิทธภิ าพมากข้นึ ดว้ ย แนวทางการจดั การเรียนรู้ฐานสมรรถนะ ท้ัง ๖ แนวทาง มีความสัมพันธ์กนั ดงั แสดงในแผนภาพที่ ๑ แผนภาพที่ ๑ แนวทางการจัดการเรียนรฐู้ านสมรรถนะ -6-

๓.๓ ตวั อย่างการจัดการเรยี นรู้ฐานสมรรถนะ การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ มีเปา้ หมายให้ผู้เรียนสามารถปฏิบัติงานไดจ้ รงิ โดยใช้ความรู้ ทกั ษะ เจตคติ และคณุ ลักษณะต่าง ๆ ที่ไดเ้ รยี นรมู้ า ดังนนั้ ครจู ึงต้องมคี วามชัดเจนวา่ ตอ้ งการพฒั นาสมรรถนะ อะไรให้แก่ผู้เรียน คลสี่ มรรถนะนน้ั ๆให้เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมและวเิ คราะห์วา่ ผูเ้ รยี นจาเปน็ ตอ้ งรอู้ ะไร (ความรู้ ) ตอ้ งมีเจตคติ และคุณลักษณะอย่างไร และตอ้ งมีทักษะอะไรบา้ งทีจะชว่ ยให้ผเู้ รยี นเกิดสมรรถนะตามที่ตอ้ งการ แล้วจึงจดั กจิ กรรมให้ผู้เรียนได้เรยี นรใู้ นเร่ืองดังกลา่ ว ตอ่ ไปจึงส่งเสริมให้ผู้เรียนไดน้ าความรู้ ทักษะ เจตคติ และ คุณลกั ษณะไปใชใ้ นการปฏบิ ัติจริงในสถานการณ์ต่าง ๆ ในการทางาน และในชวี ิตประจาวัน จนเกิดเปน็ สมรรถนะ ในระดบั ท่ตี อ้ งการ ซ่ึงสามารถนาไปใชใ้ นการทางาน แก้ปญั หา และใชใ้ นสถานการณต์ ่าง ๆ ทเ่ี กดิ ขึ้นใน ชวี ิตประจาวัน ในการจัดกิจกรรมดงั กล่าว ครูสามารถออกแบบกระบวนการเรียนการสอนและกิจกรรมโดยใช้วิธีการ เทคนิค หรอื รปู แบบทีห่ ลากหลายไดต้ ามความเหมาะสม ซง่ึ ในท่ีนจี้ ะขอยกตวั อยา่ ง กระบวนการเรยี นการสอน และตวั อย่างการออกแบบกิจกรรมการเรียนรใู้ นกลุ่มสาระการเรยี นรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยีให้เหน็ เป็น รูปธรรมดงั นี้ ตวั อยา่ งการออกแบบการจดั การเรียนรู้ฐานสมรรถนะ สาระการเรยี นรูก้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี ระดบั ช้ันประถมศึกษาปที ี่ ๕ เร่อื ง การปรุงอาหาร(ไขเ่ จยี ว) เวลาเรียน ๑๐ ช่ัวโมง จุดประสงค์การเรยี นรู้เชงิ สมรรถนะ ๑.นักเรยี นสามารถนาความรมู้ าทาไข่เจียวทเี่ ป็นสตู รของตนเองได้อยา่ งเช่ยี วชาญ ๒.นักเรียนสามารถนาไขเ่ จยี วมาประกอบอาหารจานเดยี วท่มี สี ารอาหารครบท้ัง ๕ หมสู่ าหรับแขกท่ีมา เย่ียมด้วยความใสใ่ จ และม่ันใจ ๓.นกั เรียนสามารถทาอาหารด้วยไขเ่ จยี วจาหนา่ ยเพ่ือหาเงินชว่ ยน้องทอ่ี ยูใ่ นภาวะยากลาบากได้ด้วย ความภมู ใิ จ สมรรถนะที่ตอ้ งการพฒั นา ๑) รูจ้ ักและเลือกใช้เครอ่ื งมอื และแหล่งส่อื สารสนเทศเพ่อื การสบื ค้น แสวงหาความรู้ และเขา้ ถึง ขอ้ มูลท่ตี อ้ งการ ๒) พูดสอื่ สารในสถานการณต์ ๆา่ ใงนชีวิตประจาวันบอกความร้สู กึ นึกคดิ ของตนเลา่ เรอ่ื งและเหตกุ ารณ์ ตา่ ง ๆ ตง้ั คาถามและตอบคาถามใหผ้ ้อู ่นื เข้าใจไดม้ มี ารยาทในการพดู โดยคานึงถงึ ความเหมาะสมกบั กาลเทศะ และผรู้ ับฟัง ๓) รูจ้ กั แบง่ ปนั และชว่ ยเหลอื ผอู้ ่ืน ๔) ทางานดว้ ยความเอาใจใส่ มคี วามเพยี ร อดทน พยายามทางานใหด้ ีทีส่ ุดตามความสามารถ ๕) คิดริเริมส่งิ ใหม่ และอธิบายความคดิ ให้ผ้อู ่นื เขา้ ใจ ๖) สร้างผลงานทแี่ ตกต่างจากผ้อู ่นื มีการทบทวนกระบวนการทางานและมคี วามภูมิใจในผลงาน -7-

๗) รว่ มทางานกลมุ่ กบั เพ่อื น ให้ความร่วมมอื ในการทางาน รับผดิ ชอบตอ่ บทบาทและหน้าท่ที ี่ไดร้ บั มอบหมาย ใส่ใจในการทางาน พยายามทางานให้ดที สี่ ดุ และช่วยเหลอื เพอื่ น เพือ่ ให้เกดิ ความสาเรจ็ ในการทางาน ร่วมกัน สาระการเรยี นรู้ ๑) ลกั ษณะ ประโยชน์ วตั ถุดบิ วิธกี ารทาไข่เจียว ๒) การทาอาหารจานเดยี ว ๓) ขัน้ ตอนการทางาน ๔) การจดั การในการทางาน ๕) การทางานรว่ มกบั คนอื่น ๖) ความคดิ สร้างสรรคใ์ นการทางาน กระบวนการเรยี นการสอน ในสว่ นกระบวนการเรียนการสอนทอ่ี อกแบบเพอ่ื ให้ผเู้ รียนพัฒนาสมรรถนะขา้ งตน้ มี ๔ ข้นั ตอน ลักษณะ ของกจิ กรรมทอี่ อกแบบแตล่ ะขน้ั ตอน และกิจกรรมการเรียนรู้มีดงั น้ี ขัน้ ตอนท่ี ๑ จดั การเรียนรใู้ หร้ ู้จริง ทาไดจ้ รงิ : ขนั้ ตอนน้ีเปน็ ข้ันทาให้ผเู้ รยี นมคี วามรูใ้ นเรื่องน้นั ๆ อย่างแทจ้ รงิ ซึ่งเกดิ ได้จากการเรยี นรู้ผา่ นกจิ กรรมตา่ ง ๆ หลากหลาย ได้ปฏิบัตจิ รงิ ดว้ ยความสนใจ จนมีความรู้ที่ ชัดเจน และไดฝ้ ึกฝนสิง่ นน้ั จนชานาญ และ มีความร้สู ึกชอบ ผกู พัน ภมู ใิ จ เหน็ ความหมายในสง่ิ น้นั กิจกรรม คร/ู ผปู้ กครองให้ข้อมลู หรอื ให้สบื คน้ ข้อมลู เก่ยี วลกั ษณะ ประโยชน์ วตั ถดุ ิบ วธิ กี าร ทาไขเ่ จียว โดยอาจใหด้ รู ปู และอธิบาย จนนักเรยี น บอกได้ว่าการทาไขเ่ จียวมขี ้ันตอนอะไรบา้ ง ขนั้ ตอนท่ี ๒ การจัดสถานการณ์ให้ได้ใช้ สง่ิ ท่รี ู้ สง่ิ ท่ที าได้ อย่างตั้งใจ เหน็ คณุ คา่ และประโยชน์ : ขัน้ ตอนน้เี ปน็ การออกแบบกจิ กรรมทีจ่ ะทาใหผ้ ้เู รียนนาทั้งความรู้ ทักษะ และคณุ ลักษณะไปใช้ ซงึ่ อาจจะเปน็ สถานการณ์ที่ไมซ่ ับซ้อนมาก แต่เป็นสถานการณท์ ผี่ ูเ้ รยี นเห็นคณุ คา่ และประโยชนท์ ี่เกดิ ข้นึ กิจกรรม คร/ู ผูป้ กครองใหข้ อ้ มลู หรอื ให้สืบค้นข้อมูลเกยี่ วกบั ลักษณะ ประโยชน์ วตั ถุดิบ วิธีการ ทาไข่เจียว และให้นักเรยี นฝึกทาไข่เจยี ว สูตรตา่ ง ๆ ชมิ และปรับสูตรเองจนทาไขเ่ จยี ว เป็นสตู รของตนเองอยา่ ง เช่ยี วชาญและนาเสนอสูตรไขเ่ จียวของตนเองใหเ้ พอื่ นฟัง ขัน้ ตอนท่ี ๓ จัดสถานการณใ์ หม่ๆ ทีซ่ บั ซ้อนและนาไปใชไ้ ด้ในชวี ิต : ขัน้ ตอนนเ้ี ป็นการออกแบบ สถานการณใหผ้ ้เู รยี นฝกึ ฝนอยา่ งต่อเนือ่ งเพือ่ ให้นาความรู้ ทกั ษะ และคณุ ลกั ษณะไปใชร้ ่วมกันในสถานการณ์ท่ี ยาก ซบั ซอ้ น และเชือ่ มโยงกบั ชีวติ จริงของผู้เรยี น ซ่ึงขั้นนี้อาจจะเป็นการตรวจสอบว่าผู้เรียนมสี มรรถนะในระดบั ใด และเติมเตม็ พัฒนาผเู้ รยี นให้มีสมรรถนะในระดับทส่ี ูงขนึ้ กิจกรรม คร/ู ผู้ปกครองให้นักเรียนนาไข่เจยี วมาประกอบอาหารจานเดยี ว ทม่ี สี ารอาหารครบ ๕ หมู่ เพอ่ื เปน็ อาหารสาหรับแขกท่ีมาเย่ียม โดยให้ลองทา ฝึกฝนจนมนั่ ใจ และใหน้ กั เรียนได้มีโอกาส สอบถามแขก เกย่ี วกับรสชาตขิ องอาหาร และ คาแนะนาเพอื่ การปรับปรงในโอกาสต่อไป -8-

ข้นั ตอนที่ ๔ การจัดสถานการณ์/งานใหญ่ ซับซอ้ น ทเ่ี ชือ่ มโยงกบั ความรู้ สาระ เร่ืองราว และสมรรถนะอืน่ : ขนั้ ตอนนีเ้ ปน็ การออกแบบสถานการณให้ผู้เรียนเพ่อื พัฒนาสมรรถนะโดยเชือ่ มโยงกบั สมรรถนะอ่ืน ซึ่งเป็นสิ่งทีย่ าก ซับซอ้ น มากข้นึ ข้นั นี้ ผู้เรียนแต่ละคนอาจจะพบกบั สถานการณไ์ ม่เหมอื นกนั ข้นึ อยู่ กบั ความสนใจ ความถนัด และระดับสมรรถนะกไ็ ด้ กจิ กรรม คร/ู ผปู้ กครอง ให้รวมกลมุ่ กับเพอ่ื นชว่ ยกนั ทาอาหารเกี่ยวกับไขเ่ จยี ว จาหน่ายเพอื่ หา เงินไปช่วยน้องทอ่ี ยู่ในภาวะยากลาบาก และนาเงนิ ไปบรจิ าค พร้อมทั้งให้นักเรยี นสะทอ้ นความคดิ ความรสู้ กึ ที่เกิดขนึ้ ทง้ั ในชว่ งทางานรว่ มกนั เพอ่ื หาเงินไปบรจิ าค และช่วงทน่ี าเงินไปบรจิ าคชว่ ยเหลอื นอ้ ง กิจกรรมดังกล่าวขา้ งต้น คร/ู ผู้ปกครองสามารถนามาใช้ในการพัฒนานักเรยี นได้ ทาใหน้ ักเรียนเรียนรู้ อยา่ งต่นื ตวั ทงั้ ทางกาย สติปัญญา สังคม จิตใจและอารมณ์ ซงึ่ จะส่งผลใหเ้ กิดความรู้ ทกั ษะ คณุ ลกั ษณะ และยงั มี โอกาสนาความรู้ ทักษะ และคุณลกั ษณะเรียนรนู้ นั้ ไปใชใ้ นสถานการณ์ตา่ ง ๆ ซ่งึ ค่อยๆ ยากข้ึน เขม้ ขน้ ข้ึน และมี ความหมายมากยิง่ ข้นึ ซงึ่ ทาใหเ้ กิดสมรรถนะหลายๆ สมรรถนะมากข้ึน และ สมรรถนะต่าง ๆ คอ่ ย ๆ เกิดอย่าง มน่ั คงมากขึ้น ๔.การจดั การเรียนรู้เชิงรกุ ๔.๑ กรอบแนวคิด และความหมาย พระราชบัญญตั กิ ารศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ.....ได้ระบุไวใ้ นมาตรา ๖๑ วา่ “การจัดกระบวนการเรียนรู้ ตามหลักสตู รสถานศึกษา ตอ้ งมงุ่ สง่ เสริมการเรียนรู้เชิงรกุ ให้ครสู ามารถบรู ณาการความรู้ และประสบการณ์ที่ได้ จากการจัดกระบวนการเรยี นรู้ มาใช้ในการพฒั นาการจัดกระบวนการเรียนรใู้ ห้มคี ณุ ภาพและประสทิ ธภิ าพมาก ข้นึ การจัดการเรยี นรเู้ ชิงรุก ไดแ้ กก่ ารดาเนนิ การใหผ้ เู้ รียนมีส่วนร่วมในกระบวนการคดิ การปฏิบัติ การไดร้ บั การปรกึ ษาช้ีแนะ การนาความรู้ไปใช้ การถอดบทเรียน การสะท้อนคดิ รวมท้ังการมปี ฏสิ ัมพันธ์ การทางาน และการแลกเปล่ียนเรียนรู้กบั ผู้อื่น เกดิ แรงบันดาลใจ เกดิ ทักษะในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ค้นพบ ศักยภาพดว้ ยตนเอง สามารถสร้างความรู้ ความเข้าใจ ความเช่ยี วชาญไดต้ ามความถนัดของตน ทัง้ นีโ้ ดยคานึงถึง การจัดกระบวนการเรียนรู้ตามระดับชว่ งวัยตามมาตรา ๘ ใหน้ าความรู้เชงิ รุกตามวรรคสองไปใช้กับการจดั กระบวนการเรียนรเู้ พื่อให้บรรลเุ ป้าหมายตามมาตรา ๘(๗) ด้วย” ตามความในพระราชบัญญตั กิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.....จะเหน็ ได้ว่าการเรยี นรเู้ ชงิ รกุ เปน็ กระบวนการเรียนรู้ของผ้เู รยี นทีผ่ เู้ รียนจะต้องใชท้ ั้งการคิด การลงมือทาและการปฏิสมั พันธ์ แลกเปล่ียนเรยี นรู้กับ ผอู้ ่นื ผเู้ รยี นไมไ่ ด้อยูใ่ นฐานะผู้รบั ความรูจ้ ากครเู ทา่ นนั้ แต่จะต้องเปน็ ผูม้ บี ทบาท หรือมีสว่ นรว่ มในกจิ กรรมการ เรยี นรอู้ ย่างตื่นตัว (active participation) ซง่ึ ตรงกบั ความหมายทรี่ าชบณั ฑิตยสถาน(๒๕๕๑) ไดใ้ ห้ไว้วา่ “ การเรยี นรเู้ ชิงรุก คือกระบวนการเรยี นรู้ท่ผี ้เู รยี นมบี ทบาทในกจิ กรรมการเรียนรู้อย่างมีชีวติ ชีวาและอย่าง ตืน่ ตัว” ทิศนา แขมมณี (๒๕๔๕) ไดข้ ยายความแนวคิดของคาวา่ “active participation ” ไวว้ า่ “ การมีส่วนรว่ มอย่างต่ืนตัว มาจากศัพทภ์ าษาอังกฤษคือ active participation ซ่งึ หมายถึงการมสี ว่ นร่วมท่ี -9-

ผู้เรียนรู้เป็นผ้จู ดั กระทาต่อส่ิงเร้า (ส่งิ ที่เรยี นรู้) มิใช่เพยี งรบั สง่ิ เร้าหรือการมสี ว่ นร่วมอย่างเป็นผรู้ บั ( passive participation) เทา่ น้นั การมสี ว่ นร่วมอยา่ งตื่นตัวทีจ่ ะช่วยใหผ้ ู้เรยี นเกดิ การเรยี นรทู้ ่ีแท้จริงได้ดีควรเปน็ การตืน่ ตวั ทเ่ี ป็นไปอยา่ งรอบด้าน ทง้ั ดา้ นกาย สติปญั ญา สังคม และอารมณ์ เพราะพฒั นาการ ทั้ง ๔ ด้าน มคี วามสมั พันธ์ ตอ่ กนั และกนั และสง่ ผลตอ่ การเรยี นรขู้ องผูเ้ รยี น ดังรายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี ๑.การมีส่วนร่วมอย่างต่นื ตวั ทางกาย(active participation : physical) คือ การใหผ้ ้เู รยี นมีส่วน รว่ มในกจิ กรรมการเรยี นรูท้ ี่ชว่ ยให้ผ้เู รียนไดเ้ คล่ือนไหวร่างกายทากจิ กรรมตา่ ง ๆ ท่ีหลากหลายเหมาะสมกบั วัย วุฒิภาวะของผ้เู รียน เพอ่ื ช่วยให้ร่างกายและประสาทรับรูต้ นื่ ตัว พรอ้ มทีจ่ ะรบั รแู้ ละเรียนรู้ไดด้ ี ๒.การมีส่วนร่วมอย่างตื่นตวั ทางสตปิ ญั ญา ( active participation : intellectual) คือ การให้ ผ้เู รยี นมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรยี นร้ทู ช่ี ว่ ยใหผ้ เู้ รียนได้เคลื่อนไหวทางสตปิ ญั ญา หรือสมอง ไดค้ ดิ ได้กระทา โดยใชค้ วามคดิ เป็นการใช้สติปัญญาของตนสร้างความหมาย ความเขา้ ใจในสงิ่ ท่ีเรียนรู้ ๓.การมสี ว่ นร่วมอย่างต่นื ตวั ทางอารมณ์ (active participation : emotional ) คอื การใหผ้ ้เู รียนมี ส่วนร่วมในกจิ กรรมการเรยี นรทู้ ชี่ ว่ ยใหผ้ เู้ รียนไดเ้ คลอื่ นไหวทางอารมณ์ หรอื ความรสู้ ึก การเกดิ ความรูส้ ึกของ บคุ คลจะชว่ ยให้การเรียนรูม้ คี วามหมายตอ่ ตนเอง และตอ่ การปฏิบตั มิ ากข้ึน ๔. การมสี ว่ นร่วมอย่างตืน่ ตัวทางสังคม (active participation : social) คือ การให้ผู้เรยี นมสี ่วน รว่ มในกิจกรรมการเรียนรทู้ ่ชี ว่ ยใหผ้ ู้เรียนได้เคลอื่ นไหวทางสังคม หรอื มีปฏิสัมพันธท์ างสงั คมกับผ้อู ่ืนและ สิง่ แวดล้อมรอบตวั จะช่วยขยายขอบเขตของการเรยี นรขู้ องบคุ คลให้กวา้ งขวางขน้ึ และการเรยี นรู้จะเปน็ กระบวนการที่สนกุ มีชวี ิตชวี ามากขึน้ หากผเู้ รียนไดม้ โี อกาสปฏสิ ัมพันธก์ บั ผอู้ ่ืน” หากผูส้ อน/ครูสามารถออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู้ที่ส่งเสริมใหผ้ ูเ้ รยี นมีบทบาทสาคัญในการเรียนรู้ โดยมสี ่วนรว่ มในกจิ กรรมการเรียนร้อู ย่างต่ืนตัวทงั้ ๔ ด้าน คือ ได้เคลอ่ื นไหวปฏบิ ตั กิ ิจกรรมต่าง ๆ (กาย) ไดใ้ ช้ ความคิด(สติปัญญา) ไดม้ ีปฏิสมั พนั ธ์แลกเปล่ียนเรยี นรูก้ ับผูอ้ ืน่ (สงั คม) และเกิดอารมณ์ ความรสู้ กึ อนั จะชว่ ยให้ การเรียนรู้มีความหมายตอ่ ตน (อารมณ)์ การมสี ว่ นรว่ มในลักษณะดงั กล่าวจะเป็นปัจจยั ส่งผลใหผ้ เู้ รียนเกิดการ เรยี นรู้ท่แี ทจ้ ริงได้ดี ต่อมาใน ค.ศ. 2015 (พ.ศ. ๒๕๕๘) ซูซาน เอ็ดวารด์ ส์ (Susan Edwards ) ไดน้ าเสนอกรอบคดิ การเรยี นรู้เชิงรกุ ซงึ่ นบั ว่ามคี วามสอดคล้องกับแนวคิดของ ทิศนา แขมมณี ที่ได้นาเสนอไว้ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๔๕ โดยได้นาเสนอผงั กรอบคดิ ของ “Active Learning ” ไว้ ดังแสดงในแผนภาพ ต่อไปน้ี -10-

จากแผนภาพ Susan Edwards ( 2015 ) ไดอ้ ธบิ ายไวอ้ ยา่ งชัดเจนว่า “ Active learning requires students to intellectually engage with the content using critical thinking or higher levels of thinking … students go beyond memorization or basic comprehension and understanding” “ Active learning also requires physical movement in the classroom. Students need opportunities to move during lessons … wide range of activities to get students involved physically in active learning is important. ” “ Small group and whole class discussions are also methods for getting students socially active in their learning ” จะเหน็ ไดว้ ่า Susan Edwards ได้กล่าวถงึ การจดั การเรยี นร้เู ชงิ รุก โดยใหค้ วามสาคัญกับการจัด กจิ กรรมท่สี ง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นมีส่วนรว่ มทงั้ ทางด้านสติปญั ญา(การคดิ )ด้านสงั คม(การปฏิสมั พนั ธ์/การแลกเปลี่ยน เรียนรู้ ) และด้านร่างกาย(การเคล่อื นไหว) เชน่ เดยี วกบั แนวคิดของทิศนา แขมมณี โดยแนวคิดของทศิ นา แขม มณี มีเพม่ิ เติมในส่วนของการมีส่วนร่วมทางอารมณ์/จติ ใจ ( emotional participation) ซง่ึ จะส่งผลให้การ เรียนรูม้ คี วามหมายต่อผู้เรยี นมากขึน้ เน่ืองจากการเรยี นรู้ใดกระทบต่อความรสู้ ึกของผู้เรียนโดยตรง การเรียนรู้ นัน้ ย่อมมีความหมายตอ่ ผูเ้ รียนมากขึน้ สรปุ ก็คอื การเรียนรู้เชงิ รกุ เป็นแนวคิดหรือมโนทัศน์สาคัญเกยี่ วกับลกั ษณะการเรยี นรูข้ องผูเ้ รยี น เปน็ ลกั ษณะการเรยี นรู้ทผ่ี ู้เรียนมิใชเ่ ปน็ เพยี งผ้รู ับความรู้ ข้อมลู ทผี่ ู้อนื่ ถ่ายทอดมาใหเ้ ท่านน้ั แต่ผู้เรียนจะต้องเป็นฝา่ ย รกุ คอื มคี วามต่ืนตวั ทจ่ี ะตอ้ งศกึ ษา จดั กระทา และสรา้ งความเข้าใจในขอ้ มลู ความรนู้ นั้ ๆ ใหแ้ กต่ นเอง เพ่ือทาให้ ส่งิ ท่ีเรียนรูม้ ีความหมายตอ่ ตน อันจะสง่ ผลให้สามารถนาความรู้น้ันไปใช้ประโยชนไ์ ด้ ซ่ึงในกระบวนการสร้างความ เขา้ ใจให้แก่ตนเองนี้ ผู้เรยี นต้องอาศยั กระบวนการเรยี นรู้อยา่ งตนื่ ตัว ( active learning )ท้งั ทางกาย สติปัญญา สังคม และอารมณ์ -11-

๔.๒ กลยทุ ธ์ ( Strategies) ในการจดั การเรียนรเู้ ชงิ รุก สืบเนือ่ งจากแนวคิดการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ( active learning ) ท่ีกล่าวขา้ งตน้ ซึง่ สรปุ ไดว้ ่าเปน็ กระบวนการเรียนรทู้ ่ผี เู้ รียนเปน็ ผ้มู บี ทบาท หรือมีส่วนร่วมอย่างตื่นตัว ( active) ในการดาเนินกจิ กรรมการเรียนรู้ ของตนเอง โดยความต่ืนตัวนค้ี วรเป็นไปท้งั ทางรา่ งกาย ( physically active) ทางการคิดและสติปญั ญา (intellectually active) ทางอารมณ์ และจิตใจ ( emotionally active) และทางสังคม ( socially active) การเรียนรูท้ ่ีมคี วามตน่ื ตวั ท้งั ๔ ดา้ นดังกลา่ ว จะส่งผลให้การเรยี นรู้เกิดขึ้นไดด้ ี ซ่งึ จะตา่ งจากการเรียนรู้เชงิ รับ (pasive learning ) ซ่งึ ผูเ้ รยี นเปน็ ผรู้ ับท่ไี มม่ ีบทบาท หรอื มบี ทบาทนอ้ ยในกระบวนการสร้างความเขา้ ใจในเร่อื ง ที่เรยี นรู้ ทาให้ความตื่นตวั ที่จะเรยี นรู้ให้เข้าใจมีนอ้ ย จึงสง่ ผลใหก้ ารเรียนรขู้ าดประสทิ ธภิ าพ ดังนนั้ กลยทุ ธ์ ( Strategies) ในการจดั การเรยี นร้เู ชงิ รุกกค็ อื การจดั กจิ กรรม และประสบการณ์ การเรยี นร้ใู หผ้ เู้ รยี นไดม้ ีส่วนร่วมในกระบวนการเรยี นรู้ของตนอยา่ งตนื่ ตัว ทง้ั ทางกาย สติปญั ญา สงั คม และ อารมณ์ กลา่ วคือ เปน็ การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ให้ผูเ้ รียน ๑) ได้เคล่ือนไหวทางรา่ งกาย (physically active) อยา่ งเหมาะสมตามวยั และความสนใจของตน เพอ่ื ชว่ ยให้ประสาทการรบั รู้ มีความตน่ื ตัวสามารถรับขอ้ มลู ความรู้ และประสบการณ์ตา่ ง ๆ ได้อยา่ งดีและ รวดเร็ว ดังนน้ั ในการจดั กิจกรรมตา่ ง ๆ และควรให้มลี กั ษณะหลากหลายเพ่ือใหผ้ ้เู รยี นไดเ้ ปลย่ี นอิริยาบถ และ สามารถคงความสนใจของผเู้ รียนไว้ได้ ซ่งึ เรือ่ งนี้ จะมคี วามสาคญั เปน็ พเิ ศษ สาหรับผเู้ รยี นในระดับปฐมวยั และ ประถมศกึ ษาตอนต้น ๒) ได้เคล่ือนไหวทางสมองหรือสติปัญญา (intellectually active) ซ่ึงกค็ อื การคิดนัน่ เอง ผูเ้ รียน จะตนื่ ตวั ถา้ ได้ใชค้ วามคิด การคิดเป็นเคร่อื งมือในการทาความเขา้ ใจในสิ่งทีเ่ รียนรู้ การคดิ ในเรอ่ื งท่ผี ู้เรียนสนใจ ประเดน็ ทา้ ทาย ประเดน็ ที่มีความหมายต่อตนเอง จะทาใหผ้ ้เู รยี นมีความผกู พันในการคิด และการกระทา ( engagement ) ในเรอื่ งท่ีเรยี น สง่ ผลให้การเรยี นรู้มปี ระสทิ ธิภาพมากข้ึน ๓) ไดเ้ คลอื่ นไหวทางทางสงั คม (socially active) คอื ไดม้ ีโอกาสนาเสนอความคิดของตนตอ่ ผ้อู ืน่ ไดร้ บั ฟงั และแลกเปลี่ยนความคดิ เห็นของผู้อื่น ได้รับข้อมูลย้อนกลับ ได้ตรวจสอบความคดิ ของตน ไดข้ ยาย ความคิดของตนเอง ไดเ้ รยี นรจู้ ากผอู้ นื่ กระบวนการต่าง ๆ จะช่วยใหผ้ ูเ้ รียนมีความตืน่ ตัวในการเรียนรสู้ ามารถ รับรู้และเกิดการเรยี นรูไ้ ด้ดี ๔) ได้เคล่อื นไหวทางทางอารมณ์ ความรู้สกึ และจิตใจ(emotionally active) ซึง่ หมายถึง กจิ กรรม และประสบการณ์ทจ่ี ัดให้ผู้เรยี นน้นั ควรกระทบตอ่ อารมณ์ ความรูส้ ึก ของผูเ้ รียน ในทางทเี่ อื้อต่อการ เรียนร้ใู นเรือ่ งทเ่ี รียน กิจกรรมใดกระทบต่อความรูส้ ึกของผเู้ รยี น กจิ กรรมนั้นมักมคี วามหมายต่อผู้เรยี น และจะ สง่ ผลต่อพฤตกิ รรมของผู้เรียนด้วย ศาสตร์ทางการสอนได้ให้ทั้งทฤษฎี หลกั การ และแนวคิดเก่ียวกบั การเรยี นการสอนได้หลากหลาย รวมทงั้ ยงั ไดม้ กี ารคิดค้น รูปแบบการเรียนการสอน ( instructional models ) วิธีสอน( teaching methods) และเทคนิคการสอน(teaching techniques) ไว้จานวนมาก นบั เป็นคลงั ความรทู้ สี่ ามารถนามาใช้เป็นกลยทุ ธ์ใน การสอนได้เปน็ อยา่ งดี เพยี งแต่ครูต้องศกึ ษา เลือกสรรใหเ้ หมาะสม ตรงตามความต้องการเฉพาะในการสอนแตล่ ะ คร้งั -12-

เพือ่ ให้เปน็ แนวทางกว้างๆสาหรบั ครูในการพิจารณาเลือกกลยุทธ์ทีช่ ่วยกระตุ้นและส่งเสรมิ องค์ประกอบ ท้ัง ๔ ด้านของการเรยี นรู้เชิงรุก จงึ ได้ประมวลขอ้ มลู มานาเสนอในตารางตอ่ ไปน้ี ตาราง ๑ กลยทุ ธก์ ารจดั การเรียนรเู้ ชิงรุกดา้ นสตปิ ัญญา การเรียนร้เู ชิงรุก กลยทุ ธ์การจดั การเรียนรู้เชงิ รกุ การเรียนรู้เชิงรุกด้านสติ  การใชค้ าถามกระตนุ้ การคิด (questioning ) ปญั ญา(Intellectually active learning ) หมายถึงการเรยี นรู้  การใหผ้ ู้เรยี นใช้กระบวนการสบื สอบ(inquiry) อยา่ งตน่ื ตวั ทางด้านสติปญั ญา ในการหาคาตอบในเรอ่ื งท่ีสงสัย/สนใจ หรือการคดิ  การวเิ คราะห์ข้อมลู ให้ได้คาตอบหรอื ข้อสรปุ ในเรอื่ งต่าง ๆ และนาเสนอตอ่ กล่มุ  การสังเคราะห์ขอ้ มูล และนาเสนอต่อกลมุ่ หรือ สาธารณชนโดยใช้ส่อื และเทคโนโลยี  การใหผ้ ู้เรียนทาโครงการ/โครงงานท่ีสนใจโดยครูเป็นที่ ปรึกษา  การแก้โจทย์ปญั หาท้ังโจทยท์ ี่ครเู ตรยี มมา โจทยท์ ่ีนักเรยี น ตง้ั ขนึ้ โจทย์ที่มาจากชวี ิตประจาวัน รวมทัง้ โจทย์ทม่ี าจากสงั คม และโลก  การให้ผ้เู รียนเผชิญปญั หาและแก้ปัญหาดว้ ยตนเองใน สถานการณต์ า่ งๆ  การใชเ้ ทคนิคการคิดแบบตา่ ง ๆ เชน่ เทคนิคการคิด นอกกรอบของกอรด์ อน (Gordon) เทคนคิ หมวก ๖ ใบ ของ เดอโบโน(De Bono) เทคนิคการระดมสมองแบบตา่ ง ๆ เทคนิคการใช้ผังกราฟิก เชน่ ผังมโนทัศน์ (concept map) ผังความคิด(mind map) ผงั วัฏจักร (cyclical map) ผงั เวน็ น์ ไดอะแกรม (Venn diagram) ผังวีไดอะแกรม (Vee diagram)  การใชว้ ธิ สี อนแบบต่าง ๆ เช่น วธิ สี อนแบบอปุ นัย (inductive method ) วิธีสอนโดยใช้กรณีตวั อยา่ ง ( case method ) วธิ ีสอนแบบทศั นศกึ ษา ( fieldtrip method ) วธิ สี อนโดยใชส้ ถานการณ์จาลอง (simulation method ) ฯลฯ -13-

ตาราง ๑ กลยทุ ธก์ ารจัดการเรยี นรูเ้ ชิงรกุ ด้านสติปญั ญา(ตอ่ ) การเรยี นรเู้ ชงิ รุก กลยุทธ์การจัดการเรียนรเู้ ชิงรุก การเรียนรู้เชิงรกุ ด้าน  การใชร้ ูปแบบการเรยี นการสอน เชน่ สตปิ ัญญา (Intellectually -รูปแบบการเรียนการสอนมโนทัศน์(Concept active learning ) Attainment Model ) พัฒนาโดย จอยส์ และ เวลล์ ( Joyce & Weil) หมายถึงการเรยี นรู้เชงิ รกุ (๑๙๙๖) โดยใชแ้ นวคิดของบรูเนอร์ กดู นาวและออสตนิ ( Bruner , อยา่ งตน่ื ตวั ทางด้าน Goodnow & Austin) สตปิ ญั ญาหรือการคิด -รปู แบบการเรียนการสอนกระบวนการคดิ สร้างสรรค์ ( Synectics Model ) พัฒนาโดย จอยส์ และ เวลล์ (Joyce & Weil) (๑๙๙๖) โดยใช้แนวคดิ ของ กอร์ดอน (Gordon) -รูปแบบการเรยี นการสอนกระบวนการคดิ อุปนยั (Inductive Thinking Model ) พฒั นาโดย จอยส์ และ เวลล์ (Joyce & Weil) (๑๙๙๖) โดยใชแ้ นวคิดของทาบา ( Taba) -รปู แบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดแกป้ ัญหาอนาคต ( Future Problem Solving Model ) พฒั นาโดย ทอรแ์ รนซ์ ( Torrance) (๑๙๖๒) -รปู แบบการเรยี นการสอนโดยใชผ้ ังกราฟิก(Graphic Organizer Model ) พัฒนาโดย จอยส์ และ เวลล์ (Joyce & Weil) (๑๙๙๒) โดยใช้ แนวคิดของโจนส์ และคณะ ( Jones and others ) ตาราง ๒ กลยทุ ธ์การจัดการเรยี นรเู้ ชิงรุกดา้ นสงั คม การเรยี นรูเ้ ชงิ รกุ กลยทุ ธ์การจัดการเรียนรู้เชิงรุก การเรียนร้เู ชงิ รกุ ด้านสงั คม  จัดใหผ้ ูเ้ รียนได้เรียนรู้ร่วมกนั เปน็ กลุ่ม ไดน้ าเสนอและแลกเปลย่ี น (socially active learning ) ข้อมูลและความคิดเหน็ กนั ได้รับข้อมูลยอ้ นกลบั และพฒั นาผลงาน หมายถึงการเรียนรู้อยา่ งต่ืนตวั ใหด้ ขี ึน้ ทางสงั คม  จดั การอภปิ รายกลมุ่ ย่อยในประเด็นที่เรยี นรู้ เปิดโอกาสให้ทกุ คนมี สว่ นร่วม และนาผลการอภปิ รายไปใช้ประโยชน์  ใช้เทคนคิ การจัดกลุ่มการเรียนรแู้ บบรว่ มมอื (Cooperation Learning Techniques) เช่น เทคนคิ Think-Pair-Share เทคนคิ Jigsaw เทคนิค Fishbowl เทคนคิ Circular Response เทคนคิ Brainstorm  ใชว้ ิธสี อนแบบต่าง ๆ เช่น วิธีสอนแบบอภปิ รายกล่มุ ย่อย วธิ ีสอนแบบโต้วาที วิธสี อนแบบสถานการณจ์ าลอง -14-

ตาราง ๒ กลยุทธก์ ารจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ ด้านสงั คม(ตอ่ ) การเรียนรูเ้ ชงิ รุก กลยทุ ธ์การจดั การเรียนรู้เชงิ รกุ การเรียนรู้เชงิ รกุ ดา้ นสงั คม วิธสี อนแบบกรณตี วั อย่าง วิธสี อนแบบเกม วิธีสอน แบบ (socially active learning ) บทบาทสมมุติ หมายถึงการเรยี นรู้อย่างต่นื ตวั  ให้ผูเ้ รียนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกนั เปน็ ผ้นู ากลมุ่ ไดเ้ รยี นรู้ ทางสงั คม บทบาทหน้าท่ี กระบวนการทางานเป็นทีมและทักษะการทางาน รว่ มกัน  ใช้รปู แบบการเรียนการสอนท่ีสง่ เสรมิ ทกั ษะทางสงั คม เช่น รูปแบบการเรยี นร้แู บบรว่ มมือ ( Cooperative Learning Model ) พฒั นาโดย จอห์นสัน และ จอห์นสัน ( Johnson& Johnson ) (๑๙๙๔) รปู แบบการเรยี นรู้แบบสืบสอบและ แสวงหาความรูเ้ ปน็ กลุ่ม (Group Investigation Model ) พัฒนาโดย จอยส์ และ เวลล์ ( Joyce & Weil) (๑๙๙๖) โดยใช้ แนวคิดของเธเลน ( Thelen ) รปู แบบการเรียนร้เู ปน็ ทมี (Team Learning Model)พฒั นาโดย ไมเคลิ เสน (Michaelsen , ๒๐๑๒ ) ตาราง ๓ กลยุทธ์การจดั การเรียนร้เู ชิงรุกด้านอารมณ์ การเรียนรู้เชิงรุก กลยุทธ์การจดั การเรยี นรู้เชงิ รกุ ๓.การเรียนรเู้ ชิงรกุ ด้าน  เปดิ โอกาสให้ผ้เู รยี นแสดงความรูส้ กึ ท่ีแท้จริงโดยการสรา้ ง อารมณ(์ emotionally บรรยากาศท่เี ปน็ มิตร และปลอดภยั active learning) หมายถงึ การเรยี นรอู้ ย่างตื่นตวั ทาง  แสดงความไว้วางใจในตวั ผเู้ รยี น และยอมรบั ในตัวผู้เรยี น อารมณ์ ความรู้สกึ และ จิตใจ  รบั ฟงั ผูเ้ รียนอย่างลกึ ซง้ึ ( deep listening) ฟังใหเ้ ขา้ ใจ ความคิด ความรู้สกึ ความต้องการของผเู้ รียนและยอมรับ ความรสู้ ึกของผูเ้ รยี น  พัฒนาความตระหนักร้ใู นอารมณ์ และความร้สู ึกของตนเอง และผอู้ ่นื รวมท้งั ผลกระทบท่มี ตี อ่ กัน  ไม่ตดั สินผ้เู รียน สง่ เสริมผเู้ รยี นใหส้ ะทอ้ นคิดเพอ่ื สรา้ งความ เข้าใจในตนเองและผอู้ น่ื  ส่งเสริมให้ผู้เรยี นเชือ่ มโยงส่งิ ท่ีเรียนรกู้ บั ประสบการณข์ องตน และสรา้ งความเขา้ ใจต่อยอดเพอ่ื การปฏบิ ัตติ นท่ดี ีเหมาะสม กว่าเดิม -15-

ตาราง ๓ กลยุทธ์การจัดการเรียนรเู้ ชงิ รุกด้านอารมณ์(ตอ่ ) การเรียนรู้เชิงรุก กลยทุ ธ์การจดั การเรียนร้เู ชงิ รกุ ๓.การเรียนรู้เชงิ รุกดา้ น  เลอื กใช้วิธสี อนท่ีชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นเปิดเผย สะท้อนหรอื แสดง อารมณ(์ emotionally ความร้สู กึ และความคดิ เห็นของตน เช่นวิธสี อนโดยใชก้ ารแสดง active learning) หมายถึง บทบาทสมมตุ ิ วธิ ีสอนโดยใชส้ ถานการณจ์ าลอง วธิ สี อนโดย การเรยี นร้อู ย่างต่ืนตัวทาง ใช้การแสดง วิธีสอนโดยใช้เกม อารมณ์ ความรสู้ กึ และ  เลอื กใชร้ ปู แบบการสอน หรอื กระบวนการสอนทเี่ ออ้ื ให้ผู้เรียน จิตใจ เกิดอารมณ์ ความรู้สึกไปในทางที่พึงประสงค์ อนั จะทาใหไ้ ด้ เกิดความเข้าใจ ความคดิ และพฤตกิ รรมที่ตอ้ งการ เชน่ รปู แบบ การเรยี นการสอนดา้ นจิตพสิ ัย (Instructional Model based on Affective Domain ) ของแครทโวลห์ (Krathwohl , ๑๙๕๖) กระบวนการกระจา่ งค่านิยม (Value Clarification Model ) ของราทส์ (Raths , ๑๙๖๖) กระบวนการกัลยาณมิตร โดย สุมน อมรวิวัฒน์(๒๕๓๓) กระบวนการสอนคา่ นิยมและจรยิ ธรรม ของโกวทิ ประวาล พฤกษ์ (๒๕๓๒)กระบวนการแก้ปัญหาและพัฒนาตนเองโดยใช้ ระบบคสู่ ัญญาของ ทิศนา แขมมณี (๒๕๖๑) ตาราง ๔ กลยทุ ธก์ ารจัดการเรียนรเู้ ชงิ รกุ ด้านร่างกาย การเรียนรู้เชงิ รุก กลยทุ ธ์การจัดการเรยี นรู้เชงิ รุก ๓.การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ ด้าน  จัดกิจกรรมใหผ้ ้เู รยี นได้มีการเคลื่อนไหวทง้ั ๔ ดา้ น(กาย ร่างกาย (physically สติปัญญา อารมณ์ สงั คม)อยา่ งสมดุลตามความเหมาะสมกับ active learning) หมายถึง วยั และความสนใจ เชน่ สาหรบั เด็กเลก็ ในคาบ ๕๐ นาที การเรยี นรอู้ ย่างต่นื ตัวทาง ครูอาจจะเริ่มต้นดว้ ยการเตรยี มความพรอ้ มในการเรียนรู้ รา่ งกายใหร้ า่ งกายมี โดยการร้องเพลง และเต้นประกอบเพลง ๕ นาที ต่อไปเป็น การเคลอ่ื นไหวอย่าง กิจกรรมการเรียนรตู้ ามบทเรยี น ๑๕ นาที สลับดว้ ยการให้ เหมาะสม ออกไปเลน่ ๕ นาที กลับมาทางานที่ไดร้ บั มอบหมาย ๑๕ นาที แล้วจึงปลอ่ ยใหเ้ ลน่ เกมกบั เพ่อื นๆอีก ๑๐ นาที สาหรบั ผ้เู รียน ในวยั ท่ีสูงขึน้ มีสมาธิท่มี ากขึ้นจะสามารถใช้เวลาในกิจกรรม การเรยี นรไู้ ด้นานขน้ึ หรือหากเรื่องท่ีเรยี นเป็นเร่ืองทผ่ี ูเ้ รียน สนใจ ก็จะมสี มาธจิ ดจอ่ กบั เรื่องทีเ่ รยี นได้นานขน้ึ และมากขนึ้ -16-

ตาราง ๔ กลยทุ ธก์ ารจัดการเรยี นรเู้ ชิงรกุ ดา้ นร่างกาย (ตอ่ ) การเรยี นรูเ้ ชงิ รุก กลยทุ ธ์การจดั การเรยี นรู้เชิงรกุ ๓.การเรยี นรูเ้ ชงิ รกุ ด้าน  กจิ กรรมทีช่ ่วยใหเ้ กิดความพร้อมทางรา่ งกายที่จะรับรู้และ รา่ งกาย(physically active เรียนร้ไู ดอ้ ย่างดีมตี งั้ แต่กจิ กรรมทีต่ อ้ งใช้กลา้ มเนือ้ มดั ใหญ่ learning)หมายถึง การออกแรง การออกกาลังตงั้ แต่นอ้ ยไปมาก เชน่ การรอ้ งเพลง กระบวนการเรียนรู้อย่าง และเต้นตามจงั หวะ การออกกาลังกายด้วยดว้ ยทา่ ทง่ี ่ายๆ ตืน่ ตัวทางร่างกายให้ เบาๆ ไปจนถึงการว่ิงเล่นในสนาม การกระโดด ไปจนถงึ การ รา่ งกายมีการเคลอื่ นไหว ทางานท่ีตอ้ งออกแรงมากเชน่ การยกโตะ๊ เกา้ อี้หรือของที่ อย่างเหมาะสม หนกั ๆ กิจกรรมทีม่ กี ารลงมือ ทา/ปฏบิ ตั ิ ส่วนใหญ่จะมที ง้ั กิจกรรมทไ่ี มต่ อ้ งใช้แรงมาก และท่จี าเป็นตอ้ งออกแรงมาก ผสมผสานกันไป กจิ กรรมทีม่ ลี กั ษณะเช่นน้ี นบั ว่ามคี วาม เหมาะสมในแง่ท่ที าให้ร่างกายมคี วามตน่ื ตัวอยา่ งตอ่ เน่ือง  นอกจากกจิ กรรมที่ใชก้ ลา้ มเนือ้ มัดใหญ่แลว้ ยงั มีกจิ กรรมท่ีใช้ กลา้ มเนือ้ มดั เลก็ อกี จานวนมาก ซงึ่ มีความเหมาะสมกบั ผู้เรยี น ที่อยใู่ นวยั ทีส่ งู ขน้ึ ทม่ี สี มาธิมากขึน้  การสลับกิจกรรมจากกจิ กรรมทตี่ อ้ งใช้ความคดิ มากซึ่งอาจทา ให้ผเู้ รยี นเกดิ ความเครียด มาสู่กจิ กรรมอน่ื ๆที่เปน็ การผ่อน คลาย เช่นการให้ผเู้ รียนช่วยกันวาดภาพ จัดโปสเตอร์ จัดหอ้ ง เพ่ือเตรยี มการแสดง ทางานประดษิ ฐเ์ พือ่ ใชใ้ นการเสนอผลงาน หรือการแสดง เหลา่ น้ีกจ็ ะชว่ ยใหผ้ ้เู รียนมคี วามตน่ื ตวั (active) ตอ่ เน่ืองอย่างเหมาะสม สรปุ ไดว้ า่ การเรียนรู้เชิงรกุ (active learning ) คือการเรยี นรู้ทผ่ี เู้ รียนมีความต่ืนตวั ทัง้ ทางด้านกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม ซ่ึงความตื่นตวั ทง้ั ๔ ดา้ นนี้ เป็นองค์ประกอบหรือปัจจยั สาคัญท่ีทาให้ผู้เรยี นเกิดการ เรยี นรู้ไดด้ ี การจดั การเรยี นรเู้ ชิงรุก จงึ หมายถงึ การจดั กิจกรรมต่าง ๆ ทชี่ ่วยใหผ้ ูเ้ รยี นไดใ้ ช้ความคดิ สติปัญญา ของตนในเรือ่ งทเ่ี รยี น (ทาใหผ้ ู้เรียนมีความต่นื ตัวทางสตปิ ญั ญา ) ไดม้ ปี ฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนเรยี นรคู้ วามคิดเห็น กบั ผูอ้ ื่น(ทาใหผ้ ู้เรียนมีความต่นื ตัวทางสังคม) รวมทง้ั ไดเ้ คลอื่ นไหวรา่ งกาย ผา่ นทางกจิ กรรมการปฏบิ ตั ิ การลงมอื ทา การออกกาลัง การใชแ้ รงต้งั แตเ่ บาๆไปถงึ หนัก ตามความเหมาะสมในแตล่ ะกรณี (ทาใหผ้ ูเ้ รยี นมคี วามตืน่ ตัว ทางรา่ งกาย ทาให้ประสาทสัมผัสและการรบั รู้ ทางานได้ดี ) และทีส่ าคญั คือกจิ กรรมทจ่ี ดั ควรมลี กั ษณะทสี่ ่งผล กระทบต่อความรสู้ กึ อารมณ์ของผูเ้ รียนในทางทเ่ี ออ้ื ตอ่ การเกดิ การเรียนรทู้ ่ีต้องการ (ทาให้ผเู้ รยี นมีความตนื่ ตัว ทางอารมณ)์ อารมณ์ ความร้สู ึก เกี่ยวกับเรอื่ งทีเ่ รยี น จะสง่ ผลใหส้ ่งิ ที่เรียนมีความหมายต่อตวั ผเู้ รยี น และสง่ ผลตอ่ การปรับเปลยี่ นพฤติกรรมของผเู้ รียน -17-

การจัดการเรียนรู้เชิงรุกให้ครอบคลุมทัง้ ๔ ด้าน เปน็ เร่อื งท่ดี ี และเปน็ ไปได้ เพยี งแต่สดั ส่วนของ การมสี ่วนรว่ ม ใน ๔ ด้านอาจไมเ่ ทา่ กนั ขน้ึ อยู่กับจดุ ประสงค์การเรยี นรขู้ องบทเรียน และตัวผูเ้ รียน หลกั โดยทว่ั ไปกค็ ือครคู วรกาหนดหลกั กอ่ น แลว้ จงึ คดิ กิจกรรมดา้ นอนื่ ๆ ท่ีจะสามารถสง่ เสริมการเรยี นรู้ด้านหลัก ใหด้ ีข้ึน โดยพิจารณาองคป์ ระกอบด้านตวั ผเู้ รยี น และเรือ่ งท่เี รยี นประกอบ เช่น ถ้าผู้เรียนมคี วามสนใจในเร่อื ง ที่เรียน มสี มาธิดใี นเร่อื งทเี่ รียน กจิ กรรมการเคลือ่ นไหวกาย อารมณ์ ความรู้สึก ก็จะมสี ดั สว่ นนอ้ ยลง หลักสาคัญ สาหรับครูก็คือพยายามคิด และทาให้ไดม้ ากที่สดุ เทา่ ทจี่ ะคดิ ไดแ้ ละทาได้ ประสบการณแ์ ละการเรียนรูท้ ่ีไดร้ บั จาก การสอนจะเป็นบทเรียนใหค้ รคู ดิ และทาได้ดีมากขนึ้ และดขี นึ้ ไปตามลาดบั ๕.การจัดการเรยี นรู้ฐานสมรรถนะเชงิ รุก ดงั ไดก้ ล่าวแล้วข้างต้นวา่ การจัดการเรียนรูฐ้ านสมรรถนะทม่ี งุ่ เป้าหมายไปท่ีความสามารถในการ ทาได้ โดยการผสานความรู้ ทักษะ และคณุ ลกั ษณะทจี่ าเปน็ ตอ่ การทา (สิ่งใดสง่ิ หน่งึ ) ได้ ซง่ึ กห็ มายความวา่ ผูเ้ รียนจะต้องมีความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะ เจตคติ/คุณลกั ษณะ ที่จาเป็นตอ่ การพัฒนาสมรรถนะน้ัน รวมไปถงึ การได้รบั การฝกึ ฝนใหน้ าความรู้ ทกั ษะ และเจตคติ/คุณลกั ษณะ ดังกล่าว ไปใช้หรอื แกป้ ัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ในชวี ิต ดงั น้ันบทบาทหนา้ ทีข่ องครู ก็คอื การจดั ประสบการณ์ และกิจกรรมการเรยี นร้ใู ห้ผเู้ รยี นเกดิ การเรยี นรู้ ได้ดี ซ่ึงกต็ อ้ งอาศยั การจัดการเรียนรเู้ ชงิ รุกนน่ั เอง อันทีจ่ รงิ การเรียนรู้ฐานสมรรถนะ มีลกั ษณะทีเ่ ป็นการเรียนรู้เชิงรุกอยู่แล้วตามธรรมชาติ การจัดการ เรียนรฐู้ านสมรรถนะเอ้ือใหค้ รูมกี ารจดั การเรียนรู้เชงิ รุกอยแู่ ลว้ เนอ่ื งจากการเรียนรู้ฐานสมรรถนะเน้นการปฏิบัติ การทาได้ ซึ่งมีลกั ษณะเปน็ การเรียนรู้เชงิ รุก คอื การปฏิบตั ิหรอื การลงมอื ทา ชว่ ยใหผ้ ้เู รยี นไดเ้ รยี นรู้อยา่ งต่นื ตวั ท้ัง ๔ ดา้ น คอื ในการปฏิบัติ ผเู้ รยี นต้องมีการเคล่ือนไหวร่างกายในอิริยาบถตา่ ง ๆ โดยใช้แรงหนกั บา้ ง เบาบ้าง เรยี น ตอ้ งใชค้ วามคิด ผูเ้ รียนตอ้ งมีความร้สู ึก อารมณท์ ี่อยากจะทา หรือสนกุ ท่ีจะทา และผ้เู รียนมโี อกาสทจ่ี ะ ปรึกษาหารอื และร่วมมอื ทางานกบั เพอ่ื น การเรยี นรเู้ ชิงรุกทีท่ าให้ผูเ้ รียนมคี วามตื่นตัวใน ๔ ดา้ น ดงั กลา่ ว ย่อม สง่ ผลใหผ้ เู้ รียนเกดิ การเรยี นรไู้ ด้ดี อยา่ งไรก็ตามหากครูจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ ซ่งึ มุง่ เปา้ หมายให้ผู้เรียนสามารถ (ทาส่งิ หนึง่ ส่ิงใด)ได้ โดยการใหผ้ ู้เรียนไดร้ ับความรู้ แตผ่ ูเ้ รยี นไมไ่ ด้มีโอกาสได้สรา้ งความหมาย และความเข้าใจในสิง่ ทเ่ี รยี นรู้ให้แก่ ตนเอง ความรู้ และความเขา้ ใจท่ีไดร้ ับอย่างผิวเผินก็จะส่งผลกระทบไปถงึ การปฏิบัติ และการขาดความเข้าใจที่ แทจ้ ริง ก็จะเปน็ อุปสรรคต่อการประยุกตใ์ ช้ ซ่งึ จะชว่ ยให้เกดิ สมรรถนะท่ีตอ้ งการ เช่นเดียวกันกบั ทักษะ ครู สามารถฝึกให้ผเู้ รียนทาตามอย่างหรอื ทาตามแบบได้ โดยผเู้ รยี นไม่ตอ้ งใช้ความคิด ความเข้าใจในสงิ่ ที่ทา ครูใหท้ า อะไรกท็ าตามครูไป ผูเ้ รยี นอาจทาได้ แต่กเ็ ช่นกนั เมื่อปราศจากความเขา้ ใจในสงิ่ ท่ีทา การนาไปประยุกตใ์ ช้ใน สถานการณ์ตา่ ง ๆ เป็นไปในลกั ษณะท่ีไม่เกิดขึ้นในตัวผูเ้ รยี นอยา่ งแท้จรงิ เป็นเพียงครบู อก หรือกากบั ใหผ้ ู้เรียน ตอ้ งปฏิบัติตัวตามท่ีครูสั่ง ไมไ่ ด้เกิดจากการมีอารมณ์ ความรสู้ ึก เหน็ คุณค่า ความสาคญั ในเรอ่ื งนั้น กย็ อ่ มสง่ ผลตอ่ การเกดิ สมรรถนะท่ีแท้จรงิ เชน่ เดยี วกับกรณีทเ่ี กดิ ขึน้ กบั ความรู้และทกั ษะ -18-

ดังนนั้ จะเห็นไดว้ า่ การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะตามแนวทางท่ีให้ไวใ้ นหัวขอ้ ๓.๑ จานวน ๖ แนวทางน้ันจะเกิดผลอย่างแท้จรงิ ได้นั้น ก็ต้องใชก้ ารจดั การเรียนรเู้ ชิงรุกเขา้ มาช่วยในขน้ั ตอนตา่ ง ๆ ของ กระบวนการเรยี นการสอนทค่ี รอู อกแบบซ่ึงเปน็ เรอ่ื งทสี่ ามารถทาได้อยา่ งดีเพราะแนวคดิ ท้งั การจัดการเรียนรู้ ฐาน สมรรถนะ และแนวคิดการจัดการเรยี นรเู้ ชิงรกุ มีลักษณะทเี่ อ้อื ตอ่ กนั และสนบั สนนุ กนั อยู่แลว้ ๖. การวัดและประเมนิ ผลฐานสมรรถนะ การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้จาเป็นตอ้ งมีการปรับเปลย่ี นให้สอดคล้องกับหลกั สตู รและการจัดการ เรยี นรู้ฐานสมรรถนะ โดยให้มีลักษณะสาคญั ดงั นี้ (๑) มุง่ วัดสมรรถนะอันเปน็ องค์รวมของความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณลักษณะตา่ ง ๆ ไม่ใช้เวลามากกบั การสอบวัดตามตวั ช้ีวัดจานวนมาก (๒) วัดจากพฤตกิ รรม /การกระทา / การปฏบิ ัติ ท่แี สดงออกถึงความสามารถในการใชค้ วามรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณลักษณะตา่ ง ๆ ตามเกณฑ์การปฏบิ ตั ิ (Performance Criteria) ทกี่ าหนดเปน็ การวัดองิ เกณฑ์ มิใช่ องิ กลุ่มและมหี ลกั ฐานการปฏบิ ัติ (Evidence) ใช้ตรวจสอบได้ (๓) ใชก้ ารประเมินตามสภาพจรงิ (Authentic Assessment) จากสงิ่ ท่ผี ู้เรยี นได้ปฏบิ ตั จิ ริง และ ความกา้ วหนา้ ในการปฏบิ ตั งิ าน เช่น การประเมนิ จากการปฏิบตั ิ (Performance assessment) หรอื การประเมิน โดยใชแ้ ฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio Assessment) รวมถึงการประเมินตนเอง (Student Self-assessment) และ การประเมนิ โดยเพอื่ น (Peer Assessment) (๔) ใชส้ ถานการณเ์ ป็นฐาน เพื่อให้บริบทการวดั และประเมนิ เปน็ สภาพจริงมากขน้ึ เชน่ อาจเตรยี มบริบท เปน็ ขอ้ ความ รูปภาพ ภาพเคลือ่ นไหว สถานการณจ์ าลอง หรือสถานการณ์เสมือนจรงิ ในคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถ ประเมนิ ไดห้ ลายประเดน็ ในสถานการณเ์ ดียวกัน (๕) ผู้เรียนได้รับการประเมินไปตามลาดับขัน้ ของสมรรถนะท่ีกาหนด หากไม่ผ่านจะตอ้ งได้รับการซอ่ ม เสรมิ จนกระทง่ั ผ่านจึงจะก้าวไปสู่ลาดบั ข้ันต่อไป (๖) การรายงานผล เปน็ การให้ข้อมลู พฒั นาการและความสามารถของผเู้ รียนตามลาดบั ขนั้ ทผ่ี ู้เรียนทาได้ ตามเกณฑ์ท่กี าหนด ๗. ขอ้ เสนอแนะทว่ั ไปในการจดั การเรียนร้ฐู านสมรรถนะให้มคี ณุ ภาพและประสทิ ธิภาพ เพ่ือใหก้ ารปรบั เปลยี่ นหลักสตู รและการเรยี นรู้ฐานสมรรถนะมคี ุณภาพและประสทิ ธภิ าพ จึงขอให้ ข้อเสนอแนะแกค่ รู ผบู้ ริหารและบุคลากรที่เกยี่ วขอ้ งดังนี้ (๑) จัดสาระการเรยี นรู้ให้เชอื่ มโยงกบั การใช้ประโยชน์ในชีวติ จรงิ โดยเน้นการบูรณาการเนื้อหาจาก ศาสตรส์ าขาต่าง ๆ ทีเ่ กีย่ วขอ้ ง (๒) จดั การเรียนการสอนให้มงุ่ เนน้ การพัฒนาผเู้ รียนให้เกิดสมรรถนะและคุณลักษณะทจ่ี าเปน็ ตอ่ การใชช้ ีวิต และการทางานในโลกที่มีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเรว็ และสามารถตอบสนองความแตกต่างที่ หลากหลายของผ้เู รียน บริบท และภูมสิ ังคม -19-

(๓) ให้มีการจัดการเรยี นรูเ้ ชิงรกุ ที่สง่ เสริมให้ผูเ้ รียนสรา้ งความรู้ ความเข้าใจจากการมีส่วนรว่ มใน กระบวนการคดิ การปฏิบัติ การนาความรู้ไปใช้ การถอดบทเรยี น การสะทอ้ นคดิ รวมท้งั การปฏิสัมพนั ธ์ การทางาน และการแลกเปลยี่ นเรยี นเรยี นรกู้ บั ผ้อู ่นื (๔) จดั กระบวนการเรียนรใู้ ห้ผู้เรยี นไดเ้ รียนรูว้ ิธีการเรียนรู้ วธิ คี ดิ และวธิ ีประยุกต์ใชค้ วามรู้ ทกั ษะ และ เจตคติในการปฏิบตั งิ าน รวมท้ังไดพ้ ัฒนาคณุ ลกั ษณะ และทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี ๒๑ ที่จาเปน็ ต่อชวี ติ และ การทางานยคุ นจี้ ดั ให้ผ้เู รยี นไดเ้ รียนรู้จากบรบิ ทรอบตวั โดยใชห้ ลกั การวิจัยในระบบ “ ผลเกิดจากเหตุ” มาสร้าง กระบวนการคน้ หาความรโู้ ดยครูทาหน้าที่เปน็ ผชู้ ้แี นะ ตงั้ คาถามใหผ้ เู้ รียนคิดหาคาตอบได้ด้วยตนเอง (๖) จดั กิจกรรมพัฒนาผูเ้ รยี นทม่ี ุง่ สร้างอุปนสิ ัย และคุณลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค์ อกี ทง้ั ชว่ ยฝกึ ฝนสมรรถนะต่าง ๆ ทไ่ี ด้ เรียนรใู้ ห้เกดิ ความชานาญ (๗) มีการบรหิ ารจัดการอย่างเป็นระบบ ในการติดตาม ดูแล และช่วยเหลอื ผู้เรียนในการแกป้ ัญหา ต่าง ๆ เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นเกิดความอบอุ่นใจ ไดร้ ับคาปรึกษา ช้ีแนะ และความชว่ ยเหลืออย่างทันการณ์ ทันเวลา รวมทั้งการชว่ ยดแู ล อบรมบ่มนิสยั สง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นประสบความสาเรจ็ ในดา้ นทมี่ คี วามถนัด เกิดความภาคภมู ใิ จ ในตนเองและเปน็ คนดี มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม (๘) มีการวัดและประเมินผลทีใ่ หค้ วามสาคญั กบั การให้ และการใชข้ อ้ มูลย้อนกลบั เพ่อื การปรบั ปรงุ และ การพัฒนาการเรยี นรู้ของผูเ้ รยี น และลดการประเมินในลกั ษณะตดั สิน หรอื แขง่ ขนั ให้น้อยลง (๙) วัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ โดยใช้วิธีการหลากหลาย ใหเ้ ปน็ ไปอยา่ งเหมาะสมตามหลักพัฒนาการ เด็ก การประเมินเพื่อตดั สินผลให้กระทาดว้ ยความรอบคอบ โดยคานงึ ถึงผลกระทบอาจเกิดข้นึ แก่ผเู้ รยี น (๑๐) ใหม้ ีการทดสอบระดบั ชาติ โดยมงุ่ เน้นการทดสอบสมรรถนะ โดยการสมุ่ ทดสอบ เพื่อให้ไดข้ อ้ มลู เพอื่ ใช้ในการบริหารจดั การการศึกษาในการแข่งขนั (๑๑) ให้ผู้เรยี นเขา้ ถงึ แหล่งเรยี นรู้ท่มี คี ณุ ภาพอยา่ งทั่วถึง เทา่ เทียมกัน เพื่อลดความเหลอื่ มลา้ ทางการ ศกึ ษา และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขนั (๑๒) ให้มกี ารพฒั นาทรัพยากรการเรยี นรู้ ด้วยแพลตฟอรม์ การเรียนรู้ เพ่ือรวบรวม พฒั นา ชุดการเรียน การสอน ส่ือการเรียนรู้และสอื่ การสอน ตวั อยา่ งรายวิชาเพม่ิ เติม และกจิ กรรมพฒั นาผ้เู รยี น ทีไ่ ด้รบั การคัดกรอง จากผ้เู ชย่ี วชาญแล้ว เพอ่ื ใหบ้ ริการแก่ครูอาจารย์ (๑๓) ใหส้ ถานศกึ ษามหี น้าท่ใี นการใหค้ วามรู้ ความเขา้ ใจเก่ยี วกบั การพฒั นาเด็ก แก่พอ่ แม่ผปู้ กครอง และร่วมมือกนั ดแู ล ชว่ ยเหลอื และพฒั นาเด็กอย่างสอดคลอ้ งกัน (๑๔) ให้รฐั สนับสนนุ การพัฒนาครใู นการจัดการเรยี นรู้เชิงรกุ รวมทง้ั การพฒั นาความรู้ และสมรรถนะดา้ น เนื้อหาสาระทีส่ อน ดา้ นศาสตร์การสอน ดา้ นการใช้สือ่ และเทคโนโลยใ่ี นการเรยี นรแู้ ละการสอน ดา้ นการพฒั นา ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ ๒๑ และดา้ นบทบาทใหม่ของครใู นยุคใหม่ (๑๕) ให้รัฐสนับสนุนสถานศกึ ษาให้มกี ารจัดระบบ และวิธีการพัฒนาครูในสถานศกึ ษา ใหม้ กี ารเรียนรู้ ร่วมกัน และมีการพัฒนาตนเองและวชิ าชพี อย่างต่อเนือ่ ง -20-

เอกสารอา้ งอิง โกวทิ ประวาลพฤกษ์ (๒๕๓๒). รูปแบบการสอนความคิด คา่ นิยม จริยธรรม และทักษะ . (อัดสาเนา). ทิศนา แขมมณี. (๒๕๔๕). ศาสตร์การสอน: องค์ความรู้เพ่ือการจดั กระบวนการเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพ. กรุงเทพฯ : บรษิ ทั ดา่ นสุทธาการพิมพ์. ________ . (๒๕๖๑). สมั มนาอารมณ์ : เวทีแห่งเร่อื งราวของการแกป้ ัญหาและการพัฒนาตนเอง . กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. สุมน อมรววิ ฒั น์ . (๒๕๓๓). สมบตั ิทพิ ยข์ องการศึกษาไทย. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย. Johnson, D.W. Johnson, R.T.& Holubec , E.J. ( 1994). The nuts and bolts of cooperative learning .Edina, Minnesona : Interaction Book Company. Jones, B.F. Pierce, J. & Hunter , B. ( 1989). Teaching students to construct graphic organizer. Educational Leadership. 46 (4) , 20-25. Joyce, B. & Weil , M. ( 1996). Model of teaching. (5 th ed.). London : Allyn and Bacon. Joyce, B. , Weil , M. & Showers , B. ( 1992). Model of teaching. (5 th ed.). London : Allyn and Bacon. Krathwohl , D.R. , Bloom , B.S. & Masia , B. ( 1956). Taxonomy of educational objectives , Book 2 . Affective Domain. Newyork : Mckay. Michaelsen , L.K. , Arletta, B.K. & Dee , F. (2003). Team – based learning : A transformative use of small group in collage teaching . Stering, VA. : Stylus Publishing. Michaelsen , S. & Michaelsen ,L.K. (2012). Team – based learning in the social science and humanities : group work that works to generate critical thinking and engagement. Stering, VA. : Stylus Publishing. Raths , L.E. , Hamin, M. & Simon , S.B. (1966). Value and Teaching .Columbus Ohio : Charles E. Merile Publishing. Shaftel , F. & Shaftel , G. (1967). Role playing for social studies. Englewood Cliffs, N.J. : Prentice- Hall. . Torrance , E.P. (1962). Guiding creative talent. Englewood Cliffs, N.J. : Prentice- Hall. -21-


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook