Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โครงงานIS

โครงงานIS

Published by Guset User, 2021-10-04 14:03:29

Description: โครงงานIS

Search

Read the Text Version

โครงงานวิทยาศาสตร์ เรือ่ ง การศกึ ษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเชือ้ เพลิงอัดแท่งจากกาก กาแฟและกากมะพรา้ ว โดย นายกิตตพิ ชิ ญ์ มีเล้ นายณฐั ชนน แซ่เลา้ นายพลวตั ไชยโย นางสาวนงนภสั สุทำแปง นางสาวนรศิ รา ศริ ิรัตน์ นางสาวพิชยดา ศิริ รายงานนี้เปน็ ส่วนหนง่ึ ของรายวชิ า I30201 การศกึ ษาค้นควา้ และสรา้ งองค์ความรู้ (IS1) ภาคเรยี นท่ี 1 ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 ปกี ารศึกษา 2564 กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี สำนกั งานเขตพน้ื ที่มธั ยมศึกษานา่ น

โครงงานวทิ ยาศาสตร์ เรอื่ ง การศกึ ษาเปรยี บเทียบประสิทธภิ าพของเชื้อเพลงิ อดั แท่งจากกาก กาแฟและกากมะพรา้ ว โดย นายกิตติพชิ ญ์ มีเล้ นายณัฐชนน แซเ่ ล้า นายพลวตั ไชยโย นางสาวนงนภสั สุทำแปง นางสาวนรศิ รา ศริ ิรัตน์ นางสาวพิชยดา ศริ ิ ครทู ่ปี รึกษา คุณครูดำรงค์ คนั ธะเรศย์ รายงานนีเ้ ปน็ ส่วนหนง่ึ ของรายวิชา I30201 การศกึ ษาคน้ คว้าและสร้างองค์ความรู้ (IS1) ภาคเรยี นที่ 1 ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ปกี ารศึกษา 2564 กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี สำนกั งานเขตพน้ื ทีม่ ธั ยมศกึ ษาน่าน

ก ชอ่ื โครงงาน การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธภิ าพของเช้อื เพลิงอดั แท่งจากกากกาแฟและกาก มะพร้าว ผจู้ ดั ทำโครงงาน นายกติ ติพิชญ์ มีเล้ นายณัฐชนน แซเ่ ล้า นายพลวตั ไชยโย นางสาวนงนภสั สุทำแปง นางสาวนรศิ รา ศริ ริ ัตน์ นางสาวพิชยดา ศริ ิ คณุ ครทู ีป่ รกึ ษา ครดู ำรงค์ คันธะเรศย์ ปีการศกึ ษา 2564 บทคดั ย่อ การจัดทำโครงงานน้ีมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำวสั ดุเหลือใช้มาใชป้ ระโยชน์โดยทำการศึกษาการ ผลิตเชื้อเพลิงอัดแทง่ จากกากกาแฟและกากมะพรา้ วและทำการเปรยี บเทียบประสิทธภิ าพของ เชอ้ื เพลงิ อดั แท่งจากกากกาแฟและกากมะพรา้ ว คณะผจู้ ัดได้ทำการทดลองนำวสั ดทุ ้ัง 2 ชนดิ ดังกล่าวมาผสมด้วยอตั ราส่วนท่เี หมาะสม ลักษณะของถา่ นอดั แทง่ เป็นรูปทรงกระบอกมีความเรยี บไมแ่ ตกร้าวและสามารถยดึ เกาะระหวา่ งกัน ได้ จากการเปรียบเทยี บประสิทธิภาพของเช้ือเพลิงอดั แท่งจากกากกาแฟและกากมะพรา้ วพบวา่ เม่ือ ทำการทดสอบประสทิ ธิภาพโดยวัดปริมาณเขมา่ ปรมิ าณเถา้ และระยะเวลาท่ใี ชใ้ นการเผาไหม้สรปุ ได้ ว่าเชอ้ื เพลิงอัดแทง่ จากกากกาแฟมปี ริมาณเขมา่ และเถา้ ท่ีนอ้ ยและมอี ัตราการเผาไหม้ทม่ี ี ประสิทธิภาพมากกวา่ เชอ้ื เพลงิ อดั แทง่ จากกากมะพร้าว

ข กติ ติกรรมประกาศ โครงงานฉบับน้ีสำเรจ็ ลงไดด้ ้วยดี เนอ่ื งจากความกรณุ าอย่างสูงจาก นายดำรงค์ คนั ธะเรศย์ อาจารย์ทค่ี อยให้ความรู้ คำเเนะนำ เเละเเนวทางในการปรับปรุงพัฒนาโครงงานฉบับนีใ้ หม้ ี ประสทิ ธิภาพ คณะผู้จัดทำตระหนักถึงความตง้ั ใจจรงิ เเละความทุม่ เทของอาจารย์ ขอกราบ ขอบพระคณุ ไว้ ณ ทน่ี ี้ คณะผ้จู ัดทำหวังว่าโครงงานฉบบั น้ีจะมปี ระโยชน์อยไู่ มน่ ้อย เเละขอมอบส่วนดนี ีเ้ เก่เหล่า คณาจารย์ ผมู้ ีความรู้ ทไี่ ดเ้ เบง่ ปนั ข้อมลู งานวิจยั ซง่ึ มีประโยชน์ต่อการทำโครงงานฉบบั นี้ หากมี ข้อบกพร่องเกิดขึน้ คณะผจู้ ดั ทำขอน้อมรับผิดไวเ้ พียงผ้เู ดยี ว

สารบญั ค บทคดั ย่อ หน้า กติ ติกรรมประกาศ สารบัญ ก สารบญั (ต่อ) ข สารบญั ตาราง ค สารบญั ภาพ ง จ บทท่ี 1 บทนำ ฉ ทม่ี าและความสำคญั วตั ถุประสงค์ 1 ขอบเขตของการศึกษา 2 สมมติฐานของการศกึ ษา 2 ตัวแปรที่ศึกษา 3 นิยามศพั ท์ 3 แผนปฏบิ ัตงิ าน 3 ผลที่คาดว่าจะไดร้ ับ 3 4 บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกย่ี วขอ้ ง เชอ้ื เพลิงอดั แท่ง 5 กาแฟ 12

สารบัญ(ต่อ) ง มะพรา้ ว หน้า วิธีการผลิตเชื้อเพลิงอดั แท่ง 24 บทที่ 3 วิธีการดำเนนิ งาน 31 วัสดุและอุปกรณ์ วธิ ีการดำเนินงาน 39 บทท่ี 4 ผลการดำเนนิ งาน 39 บทที่ 5 สรปุ ผล และขอ้ เสนอแนะ สรุปและอภปิ รายผล 43 ข้อเสนอแนะ 43 บรรณานุกรม 44

สารบญั ตาราง จ ตารางที่ หน้า ตารางท่ี 1 แผนการปฏบิ ตั งิ าน 3 ตารางที่ 2 การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเช้ือเพลงิ อดั แท่งจากกากกาแฟ 42 และกากมะพรา้ ว

สารบญั ภาพ ฉ ภาพที่ หนา้ 6 ภาพที่ 1 เช้ือเพลงิ อัดแท่ง 8 ภาพที่ 2 ถ่านอัดแทง่ 21 ภาพท่ี 3 กาแฟพันธอ์ุ ราบิกา้ 21 ภาพท่ี 4 กาแฟพันธโ์ุ รบัสต้า 22 ภาพท่ี 5 กาแฟพันธุ์เอ็กเซลซา่ 24 ภาพที่ 6 สารสำคัญที่เปน็ ส่วนประกอบในกากกาแฟ 33 ภาพท่ี 7 การอัดร้อน 34 ภาพท่ี 8 การอัดเย็น 41 ภาพที่ 9 เช้อื เพลิงอดั แทง่ จากกากกาแฟ 41 ภาพที่ 9 เชอื้ เพลงิ อัดแทง่ จากกากมะพร้าว

บทที่ 1 บทนำ 1.1 ท่ีมาและความสำคญั ปัจจุบันสถานการณด์ า้ นพลังงานเป็นปญั หาทว่ี กิ ฤตตอ่ ภาวะเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ เปน็ อยา่ งมาก ทุกหน่วยงานจงึ พยายามหามาตราการลดการใชพ้ ลงั งานเชอื้ เพลงิ จากนำ้ มนั จึงมีการ สนับสนุนให้ใชพ้ ลงั งานเชือ้ เพลิงจากกา๊ ซธรรมชาติ และการหาแหลง่ พลงั งานทดแทน เนอื่ งจาก ประเทศไทยของเราเป็นประเทศเกษตรกรรม มศี ักยภาพในการผลิตพืชผลทางการเกษตรทีส่ ามารถ นาํ มาผลติ เปน็ พลงั งานทดแทนได้ แตห่ ลักใหญ่ของผลผลิตทางการเกษตร เพ่ือใช้เป็นแหล่งอาหารของ โลก ถา้ นําผลผลิตเหล่านีม้ าใชผ้ ลิตเป็นพลังงานเชอ้ื เพลงิ ก็จะทาํ ให้แหลง่ อาหารของโลกเกิดภาวะขาด แคลน และจะส่งผลกระทบตอ่ การดํารงอยขู่ องมวลมนษุ ย์ชาตไิ ด้ (สงั เวย เสวกวหิ ารี, 2555 ) เมล็ดกาแฟเปน็ หนงึ่ ในสินคา้ ทางการเกษตร ซ่ึงมีการซือ้ ขายกันมากในปัจจุบนั ในเมลด็ กาแฟ มสี ารคาเฟอีน ซึง่ จะออกฤทธกิ์ ระตุ้นให้สมองตนื่ ตวั ดังนนั้ การดื่มกาแฟจะทำให้รูส้ กึ สดช่ืน ปัจจบุ ัน กาแฟจึงเปน็ เคร่อื งดม่ื ทไ่ี ดร้ บั ความนิยมมากที่สดุ ในโลก จากกระบวนการผลติ กาแฟสำเร็จรปู หรือ การชงกาแฟสดในร้านขายกาแฟทั่วไป จะมกี ากกาแฟเหลอื ท้งิ จากกระบวนการดังกล่าว หากสามารถ นำกากกาแฟมาใชป้ ระโยชน์ จะเป็นการช่วยลดของเสียจากกระบวนการผลิตกาแฟสำเรจ็ รูปหรอื จาก การชงกาแฟสดได้ (จาตรุ ันต์ อนกุ ูลประเสรฐิ และคณะ , 2559) เชือ้ เพลิงอัดแท่งจากชีวมวลเปน็ พลังงานทางเลือกท่มี ีประโยชน์เปน็ อย่างมาก ท้ังในด้านการ ลดการใช้พลงั งานจากฟอสซลิ และเป็นการนำของเสียกลับมาใช้ใหม่ให้เกดิ ประโยชน์สงู สุด ชว่ ยลด ภาระต้นทนุ ในการบริหารจดั การของเสียทั้งในแงเ่ ศรษฐศาสตรแ์ ละการกำจดั ขยะตามหลกั วศิ วกรรม เช้อื เพลิงอัดแทง่ สามารถผลิตได้จากวสั ดุหลายประเภท เช่น ฟางขา้ วของเสียจากมนุษย์ ข้ี เลอ่ื ยทางมะพรา้ วและของเสียทางการเกษตรต่างๆ เป็นต้น โดยประเทศไทยน้ันนอกจากการทำ เกษตรท่เี ปน็ พืชไรแ่ ละพืชสวนแลว้ ยงั มีการปลูกมะพร้าวเป็นจำนวนมากอกี ด้วยและมวี สั ดุเหลอื ทิ้งจาก มะพรา้ วซง่ึ มศี ักยภาพในการนำมาเปน็ เชือ้ เพลิงได้เนือ่ งจากโดยทัว่ ไปแล้วมีโรงงานอุตสาหกรรมท่ใี ช สว่ นประกอบของเปลอื กมะพรา้ วเป็นเช้ือเพลงิ ท่ใี ชภ้ ายในโรงงานและงานวิจยทั ี่ผา่ นมาได้นำวสั ดเุ หลือ ทงิ้ จากมะพรา้ วมาผลิตเปน็ เชือ้ เพลิงชีวมวล(คฑาพล ปน่ิ พัฒนพงศแ์ ละคณะ , 2563) ดังน้ันผวู้ จิ ยั จึงมีแนวความคดิ ในการนํากากกาแฟท่เี หลอื ทง้ิ เเละกากมะพร้าวมาทาํ ให้เกิด ประโยชน์ โดยการนํามาผลิตเป็นพลังงานเชอื้ เพลิงอดั แท่ง ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดย เปรยี บเทียบประสทิ ธภิ าพของผลิตภัณฑจ์ ากธรรมชาตทิ ีน่ ำมาผลิตเป็นเชอื้ เพลงิ ทง้ั สองชนดิ ซง่ึ จะชว่ ย

2 ลดปญั หาขยะเหลอื ท้งิ ลดปญั หามลภาวะ ลดปัญหาการขาดแคลนพลังงาน ลดการใช้พลังงาน เช้อื เพลงิ จากน้ำมัน ลดปัญหาการใช้ฟนื และถ่านไม้จากป่าธรรมชาติ และลดการนาํ ผลิตผลทางการ เกษตรที่เป็นแหล่งอาหารของโลกมาผลติ เป็นพลังงานทดแทน การศกึ ษาศกั ยภาพทางดา้ นพลังงาน ของเช้อื เพลงิ อัดแท่งจากกากกาแฟและกากมะพร้าวจึงเปน็ อีกแนวทางหนงึ่ ในการใชป้ ระโยชน์จาก ขยะเหลอื ทิง้ มาทําให้เกดิ มูลค่าเพ่มิ โดยนาํ มาผลิตเป็นเชอ้ื เพลงิ อดั แทง่ เพอื่ ใช้เป็นพลงั งานทดแทน แทนการใชเ้ ช้ือเพลงิ จากไม้และฟืนจากป่าธรรมชาติซ่งึ เปน็ เเหลง่ พลงั งานที่ใชเ้ เล้วหมดไป และ สามารถใชเ้ ปน็ แหล่งพลงั งานทดแทนทย่ี ัง่ ยืนตอ่ ไปในอนาคต 1.2 วัตถปุ ระสงค์ 1.เพอื่ ศกึ ษาการผลิตเช้ือเพลงิ อัดแท่งจากกากกาแฟและกากมะพร้าว 2.เพือ่ เปรียบเทยี บประสทิ ธภิ าพของเช้อื เพลิงอัดแท่งจากกากกาแฟและกากมะพรา้ ว 1.3 ขอบเขตของการศกึ ษา 1. การกำหนดกลมุ่ ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ งทศี่ กึ ษา กลมุ่ ประชากรท่ีศกึ ษา 1.1 กากกาแฟและกากมะพร้าว ตากแดดให้แห้ง แลว้ นำไปผา่ นกระบวนการเผาไหม้ บดให้ เปน็ ผงแลว้ นาํ มาอดั ใหเ้ ป็นแท่งเช้ือเพลิง 1.2 ประเมนิ คณุ ภาพและคุณสมบตั ขิ องเช้ือเพลิง โดยใชอ้ งค์ประกอบทส่ี ําคญั ของเช้ือเพลิง เปน็ หลกั ในการประกันคุณภาพ คอื ปรมิ าณเถ้า เขมา่ และระยะเวลาในการเผาไหม้ 1.3 สถานท่ที ดลอง หอ้ งปฏิบัตกิ ารเคมี โรงเรยี นปวั อำเภอปัว จังหวดั นา่ น กล่มุ ตวั อยา่ ง รา้ นปง้ิ ย่างในเขตอำเภอปัว จงั หวดั นา่ น 2. ตัวแปรทศี่ ึกษา 2.1 ตัวแปรตน้ ได้แก่ เชอ้ื เพลงิ อดั แท่งจากกากกาแฟและกากมะพร้าว

3 2.2 ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่ ประสทิ ธิภาพของเช้อื เพลิงอัดแทง่ จากกากกาแฟและกากมะพรา้ ว 2.3 ตัวแปรควบคมุ ไดแ้ ก่ ปรมิ าณกากกาแฟและกากมะพรา้ ว ความชื้น สถานที่ทดลอง 1.4 สมมติฐานของการศกึ ษา เชอ้ื เพลิงอัดแทง่ ที่ผลิตจากกากกาแฟมปี ระสิทธิภาพในการใช้งานมากกวา่ เชือ้ เพลงิ อัดแท่งท่ี ผลติ จากกากมะพรา้ ว 1.5 ตวั แปรทีศ่ ึกษา ตวั แปรต้น : เชอ้ื เพลงิ อัดแท่งจากกากกาแฟและกากมะพร้าว ตัวแปรตาม : ประสทิ ธิภาพของเช้ือเพลงิ อดั แท่งจากกากกาแฟและกากมะพร้าว ตัวแปรควบคมุ : ปริมาณกากกาแฟและกากมะพร้าว ความช้นื ค่าความร้อน สถานท่ีทดลอง 1.6 นิยามศพั ท์ ประสิทธภิ าพของเช้อื เพลงิ อัดแท่ง หมายถงึ การท่ีนำเชื้อเพลงิ อัดแท่งจากกากกาแฟและกาก มะพร้าวไปทดสอบการเผาไหมแ้ ลว้ ทำให้เกดิ ปรมิ าณเถ้า เขม่าและระยะเวลาในการเผาไหมท้ ่ีน้อย 1.7 แผนการปฏิบัติงาน ตารางที่ 1 แผนการปฏบิ ัตงิ าน กจิ กรรม ระยะเวลาในการทำ วางแผนการดำเนินงาน 12 กรกฎาคม 2564 – 18 กรกฎาคม 2564 จดั เตรยี มวัสดุ อปุ กรณ์ 19 กรกฎาคม 2564 – 25 กรกฎาคม 2564 26 กรกฎาคม 2564 – 22 สงิ หาคม 2564 การปฏบิ ัตงิ าน 23 สิงหาคม 2564 – 29 สิงหาคม 2564 การทดลองใช้กบั กลุ่มทดลอง ปรบั ปรุงแกไ้ ขข้อบกพรอ่ ง 30 สงิ หาคม 2564 – 5 กนั ยายน 2564 การทดลองใชก้ ับกล่มุ ตัวอย่าง 6 กนั ยายน 2564 – 10 กันยายน 2564 วเิ คราะห์ ประเมิน และสรปุ ผล 11 กันยายน 2564 – 17 กันยายน 2564

4 1.8 ผลทีค่ าดว่าจะได้รบั 1. ลดปัญหาการขาดแคลนพลังงานเชอ้ื เพลงิ 2. ลดปญั หามลภาวะจากขยะเหลือทงิ้ 3. นาํ ขยะเหลือทงิ้ มาสรา้ งมลู คา่ เพิ่ม และผลิตเป็นพลงั งานทดแทน แทนการใชฟ้ ืนและถา่ น ไม้จากธรรมชาติ

บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยที่เกย่ี วขอ้ ง 2.1 เชอ้ื เพลงิ อัดแทง่ 2.1.1 ความหมายของเชอื้ เพลิงอดั แทง่ Wood Pellets หรอื ชีวมวลอัดแท่ง เป็นนวตั กรรมเชื้อเพลิงชีวมวล ในรูปเช้อื เพลงิ แขง็ (Solid-Fuels) ผลิตจากไม้เนือ้ แข็ง จากสวนปา่ ปลูกของเกษตรกร (Farmed-Trees) ภายใต้แนวทาง การจดั การสวนปา่ อยา่ งย่ังยนื สอดคลอ้ งกับมาตรฐาน Forest Stewardship Council ; FSC ซึ่งให้ค่า พลงั งานความร้อนสงู เพ่ือเป็นเชื้อเพลิงพลงั งานทดแทน (Renewable Energy) ท่ีสะอาด ทดแทนการ ใชเ้ ชอ้ื เพลงิ จากฟอสซิล (Fossil-Energy) ซึ่งลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO 2 ) ลด ผลกระทบส่งิ แวดล้อมและสภาวะโลกร้อน (Global Warming) ตอบสนองการพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื (Sustainable Development) ของภาคอตุ สาหกรรม และการดำรงชวี ติ ของมวลมนษุ ย์ (ธญิ าดา ควรสถาพร, 2561) เช้อื เพลิงอดั แท่งเปน็ การนำวัสดุเหลือใชท้ างการเกษตรตา่ งๆ มาอัดเป็นแทง่ เพือ่ เพิ่มความ หนาแน่นของเชื้อเพลงิ จากวตั ถุดบิ ทมี่ ีขนาดเล็ก ทำให้ชว่ ยแก้ไขปญั หาการกำจัดวสั ดุเหลอื ทิง้ และ เชอ้ื เพลิงอดั แทง่ ยังเพิ่มปรมิ าณความรอ้ นตอ่ หน่วยปรมิ าตร สามารถนำไปใช้เปน็ เช้ือเพลิงทดแทนใน ครัวเรือนและอุตสาหกรรมได้เป็นอยา่ งดี (ฐติ มิ า, 2555) เชอื้ เพลิงชีวมวลอัดเเท่ง (Wood Pellets) หรอื ทอ่ี าจจะไดย้ นิ ตามชอ่ื เรยี กต่างๆกนั เชน่ เชือ้ เพลิงแทง่ ตะเกยี บ เชอ้ื เพลงิ ไมอ้ ัดเม็ด เป็นตน้ เช้ือเพลิงชีวมวลอดั เม็ด ผลติ จากวัสดุเหลือใช้ทาง การเกษตร เช่น เหงา้ มนั สำปะหลงั ซงั ขา้ วโพด เปลือกยคู าลิปตัส หรือเศษไม้ ปีกไมท้ ไี่ ด้จาก อตุ สาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ เชน่ ขีเ้ ลือ่ ย ข้ีกบ ปลายไม้ ปีกไม้ยางพาราเปน็ ต้น และตน้ ไมโ้ ตเร็ว เชน่ ต้น ตะกู ต้นกระถินยักษ์ (uraiphan, 2564)

6 ภาพที่ 1 เชอ้ื เพลิงอดั แทง่ 2.1.2 ประเภทของเช้อื เพลิงอัดแท่ง เชือ้ เพลงิ เขยี ว เช้ือเพลิงเขียว คอื แทง่ เชอื้ เพลิงทีไ่ ด้จากการอดั แท่ง (โดยไมใ่ ชค้ วามรอ้ น) จากวัสดุชีวมวล/ เศษวชั พชื ต่าง ๆ หรือเศษวัสดทุ ่ีเหลอื จากภาคอตุ สาหกรรมการเกษตร เชน่ ชานออ้ ยเนา่ เปือ่ ย, ผกั ตบชวา ฯลฯ มาอดั เป็นแท่ง โดยอาศยั ความเหนียวของยางในวสั ดเุ หล่าน้นั เป็นตวั เชอ่ื มประสาน และมีความช้ืนพอดี เมื่ออัดออกมาเป็นแท่งเเลว้ กจ็ ะได้แทง่ อดั เช้อื เพลงิ ท่ีใชป้ ระโยชน์แทนฟืน, ถา่ น หรือแก๊สหุงต้ม ได้เป็นอยา่ งดี (ประลอง ดำรงคไ์ ทย, 2564) แท่งเชอื้ เพลิงเขียว คือ แท่งเชอ้ื เพลิงทไี่ ดจ้ ากการอดั แท่ง (โดยไมใ่ ช้ความรอ้ น) จากวสั ดชุ ีว มวล/เศษวชั พืชต่าง ๆ หรอื เศษวัสดุทเี่ หลอื จากภาคอุตสาหกรรมการเกษตร เชน่ ชานอ้อยเน่าเป่อื ย ผกั ตบชวา ฯลฯ มาอัดเป็นแท่ง โดยอาศัยความเหนยี วของยางในวัสดเุ หล่าน้นั เป็นตัวเชื่อมประสาน และมีความชืน้ พอดี เมื่ออดั ออกมาเปน็ แท่งแล้วก็จะได้แท่งอดั เชือ้ เพลิงท่ีใชป้ ระโยชน์แทนฟนื ถา่ น หรือแก๊สหงุ ต้ม ได้เป็นอย่างดี ในการอัดแท่งเช้อื เพลิงเขยี วนน้ั จะใช้วัสดุท่ีมีความชื้นสูง (สงู กวา่ 100 เปอร์เซน็ ต)์ ดงั นั้นก่อนนำไปใช้ก็จะตอ้ งทำใหแ้ หง้ วธิ ีการทีส่ ะดวกและประหยัด สำหรบั ชาวบ้านกค็ ือ การตากแดดโดยตรง อาจจะตากบนพน้ื ซเี มนต์ หรอื บนสังกะสีลูกฟูก นับว่าเปน็ วิธีการทป่ี ระหยดั มี ขั้นตอนการทำไมย่ ุง่ ยาก ซึง่ ประชาชนท่ัวไปสามารถศึกษาและลงมอื ทำใชเ้ องได้อยา่ งงา่ ยดาย ประกอบกบั วตั ถดุ บิ ที่ใชผ้ ลิตก็สามารถหาได้ง่ายในทอ้ งถิ่นทั่วทุกพน้ื ที่ (สำนกั วิจัยคน้ คว้าพลงั งาน กรมพัฒนาพลงั งานทดแทนและอนรุ กั ษพ์ ลงั งาน (พพ.), 2558) เช้อื เพลงิ เขียว เป็นการนำเอาเศษวัสดุเหลอื ใช้ทางการเกษตรมาอดั ขึน้ รูปให้มีความหนาแน่น มากขน้ึ และมีลกั ษณะเป็นแท่งเหมาะแกก่ ารใชง้ าน สามารถจุดตดิ ไฟและลุกไหม้ไดน้ าน (วิทยา คำงาม และคณะ, 2563)

7 ถา่ นอดั แทง่ ถา่ นอดั แท่งเป็นการนำเอาเศษวสั ดมุ าอัดให้เปน็ แทง่ แลว้ จึงนำไปเผาเช่นเดยี วกับการเผาถ่าน ตามกรรมวธิ ที ว่ั ไป หรอื การเผาเศษวัสดุให้เป็นถา่ น แล้วจงึ นำเศษถา่ นมาอดั เป็นแท่ง เนอื่ งจากเศษ วสั ดบุ างชนิดมลี ักษณะเป็นชนิ้ ๆ และแข็งทำใหไ้ ม่สามารถอัดข้นึ รปู เป็นแท่งได้ เช่น กะลามะพร้าว กะลาปาล์ม เปน็ ตน้ อาจเผาเศษวสั ดุเหล่าน้ีดว้ ยเตาเผาถ่านท่ีอณุ หภมู ิประมาณ 250 ถึง 450 องศา เซลเซียส เมื่อไดถ้ ่านตามต้องการแลว้ จงึ นำไปตปี ่นดว้ ยเคร่ืองสับให้เป็นช้นิ เล็ก ๆ แลว้ นำไปผสมกับตวั ประสาน จากน้ันถงึ นำไปอัดเปน็ แท่งตามรูปแบบท่ีต้องการตอ่ ไป (ประสงค์ หนอ่ แกว้ , 2553 : 5) ถ่านอดั แทง่ คือถ่านไม้ทไ่ี ด้มาจากกระบวนการผลติ ถา่ นทมี่ อี ุณหภูมิประมาณ 500 – 700 องศาเซลเซียส เพือ่ ไล่นำ้ มันดนิ ใหอ้ อกไปจากถ่าน (ปกตกิ ระบวนการเปลยี่ นไมเ้ ปน็ ถ่านจะเสรจ็ สนิ้ สมบูรณท์ ่ีอุณหภูมิ 400 องศาเซลเซยี ส แต่ยงั มปี ริมาณคารบ์ อนเสถียรต่ำและมีนำ้ มนั ดนิ เปน็ ส่วนประกอบในปรมิ าณทส่ี งู มาก) ทำให้ถา่ นมคี วามบริสทุ ธ์มิ ากย่ิงข้นึ ทำใหถ้ า่ นไมม้ คี วามบริสุทธิ์ ปราศจากสารกอ่ มะเร็ง และเมือ่ นำไปใชเ้ ปน็ เชอื้ เพลงิ ในการประกอบอาหารก็ไมท่ ำใหเ้ กิดสารพษิ ตกค้างอยู่ในอาหาร โดยเฉพาะอาหารประเภทปง้ิ ยา่ ง อีกท้ังยงั ผ่านกระบวนการบดและอดั ให้เป็นก้อน ทำใหถ้ ่านท่ีไดม้ คี วามหนาแน่นสม่ำเสมอ เม่อื ติดไฟจะทำให้มีความรอ้ นสมำ่ เสมอ ควบคุมความรอ้ น ง่าย ไฟไม่แตกประทุ และมีควนั นอ้ ย (อนชุ า ทะรา, 2560) ถ่านอัดแท่งอนามยั ไดม้ าจากกระบวนการผลิตถ่านท่ีใชอ้ ุณหภูมิในการเผาสงู ประมาณ 700 - 800 องศาเซลเซยี ส เพอ่ื ไลน่ ้ำมนั ดนิ ให้ออกไปจากถ่าน (ปกติกระบวนการเปลี่ยนไม้เปน็ ถ่านจะเสรจ็ สิ้นสมบรู ณท์ ี่อุณหภูมิ 400 องศาเซลเซียส แตย่ ังมีปรมิ าณคาร์บอนเสถียรต่ำและมีน้ำมนั ดินเป็น สว่ นประกอบในปรมิ าณทีส่ ูงมาก) ทำให้ถ่านมคี วามบริสทุ ธ์มิ ากย่ิงขนึ้ และเมือ่ นำไปใช้เป็นเช้อื เพลงิ ใน การประกอบอาหารก็ไม่กอ่ ให้เกิดสารพิษตกคา้ งอยู่ในอาหารประเภทปงิ้ ย่าง อีกทงั้ ยงั ผ่าน กระบวนการบดและอดั เปน็ กอ้ นทำใหถ้ ่านทไี่ ดม้ คี วามหนาแนน่ สม่ำเสมอ เม่ือตดิ ไฟจะทำใหม้ ีความ รอ้ นสม่ำเสมอ ควบคุมความรอ้ นง่าย ไฟไมแ่ ตกประทุ และมคี วันนอ้ ย คณุ สมบัตขิ องถา่ นอดั แท่ง อนามัย เปน็ ถ่านทใี่ ห้ค่าความร้อนสงู สะอาด เพราะมีปริมาณคารบ์ อนเสถยี รสงู สารระเหยต่ำ ควนั นอ้ ย ขีเ้ ถา้ นอ้ ย อาหารท่ีปง้ิ ยา่ งมคี วามปลอดภัยตอ่ ผู้บรโิ ภค ประหยัดและสะดวก เพราะมีความ หนาแนน่ สงู ติดไฟนาน (ณัฐวัฒน์ คลังทรัพย์ และคณะ, 2560)

8 ภาพที่ 2 ถา่ นอัดแท่ง 2.1.3 คุณสมบัติทางเช้ือเพลิง คา่ ความรอ้ น (Calorimetric Value or Heating Value) คอื ปริมาณความร้อนท่เี กิดขน้ึ เมือ่ ของเสียถูกเผาไหมอ้ ยา่ งสมบูรณ์ หรอื เรยี กวา่ ความรอ้ น ของการเผาไหม้ แบง่ เป็น 2 ประเภท คือ คา่ ความร้อนสงู และค่าความร้อนต่ำ มีหน่วยเป็นกโิ ลจูล (kJ) หรือ กิโลแคลอร่ีต่อกิโลกรมั ของเสยี (kcal/kg) - ค่าความรอ้ นสูง (High Heating Value, HHV) เป็นปรมิ าณความร้อนทัง้ หมดทเี่ กิดขึ้นจาก การเผาไหมข้ องเสยี ซง่ึ รวมถงึ ปรมิ าณความรอ้ นแฝงท่ถี ูกปลดปลอ่ ยออกมาเมื่อไอนำ้ ที่เกดิ จากการเผา ไหม้น้ำทเ่ี ปน็ องคป์ ระกอบของของเสยี เกิดการควบแนน่ - คา่ ความรอ้ นต่ำ (Low Heating Value, LHV) เปน็ ค่าความร้อนจากการเผาไหม้ของเสียที่ ไมร่ วมค่าความร้อนแฝง ค่าความรอ้ นสูงและคา่ ความรอ้ นต่ำที่ตรวจวัดได้ในของเสียชนดิ หน่ึงจะแตกตา่ งกนั เสมอ โดย คา่ ความแตกตา่ งข้นึ อย่กู ับปริมาณนำ้ หรอื ความช้ืนท่อี ย่ใู นของเสยี ดงั นนั้ ในกรณีของเสียมีความชื้น มากๆ อาจใชว้ ธิ ีการตากแดดหรือผึง่ ลมเพื่อลดความชืน้ ในของเสีย แล้วตรวจวดั เฉพาะคา่ ความร้อนสูง ก็ได้ เนอื่ งจาก ในระหว่างการผลิตเชอ้ื เพลงิ แท่งน้ัน กระบวนการอัด และการตากแหง้ แทง่ เชอ้ื เพลิง ก่อนนำไปใช้ จะทำใหน้ ้ำในของเสยี ถกู กำจัดออกไปบางส่วน และคงเหลอื ในแทง่ เชื้อเพลงิ อกี บางสว่ น ปริมาณสารท่รี ะเหยได้ (Volatile Matters) คอื องคป์ ระกอบในของเสียท่ีสามารถระเหยได้เม่ือได้รับความร้อน ของเสยี ท่มี ีปริมาณสาร ระเหยไดส้ ูง จะมแี นวโน้มทีม่ ีค่าความร้อนสูงดว้ ย อยา่ งไรก็ตาม สารทีร่ ะเหยไดบ้ างชนดิ อาจก่อให้เกิด

9 ปญั หาต่อวัสดุหรอื อปุ กรณ์ทีน่ ำวัสดุเชอ้ื เพลงิ ไปใช้งาน เชน่ สารอัลคาไลน์ในทะลายปาล์มจะกลายเป็น ยางเหนยี วเกาะตดิ ทอ่ น้ำในหอ้ งเผาไหมท้ ำใหป้ ระสทิ ธิภาพของหม้อน้ำลดลง ปรมิ าณความชื้น (Moisture Content) คอื ปรมิ าณนำ้ ท่คี งเหลอื อยู่หลงั จากท่ตี ากแห้งของเสีย ความชืน้ ของของเสยี มีผลตอ่ คา่ ความ ร้อนโดยตรง โดยหากของเสยี มคี วามชืน้ มากจะทำให้มกี ารสูญเสยี ความรอ้ นไปกับการระเหยความชน้ื ในระหว่างการเผาไหม้ ทำให้คา่ ความร้อนทีไ่ ด้ตำ่ ลง ปรมิ าณคาร์บอนคงตวั (Fixed Carbon) คอื ปริมาณสารประกอบคารบ์ อนซึ่งระเหยได้ยาก โดยจะคงเหลืออยู่ในของเสยี หลังจากที่เผา สารระเหยออกไปแล้วท่ีอุณหภมู ิ 750 องศาเซลเซียส ของเสียทม่ี ีปรมิ าณคาร์บอนคงตัวสูงจึงมี ชว่ งเวลาในการลกุ ไหมน้ าน กำมะถันรวม (Total Sulfur) เม่ือกำมะถันทำปฏิกริ ิยาสันดาปกับออกซิเจน จะกลายเปน็ ซลั เฟอร์ไดออกไซด์ ดงั นน้ั หาก ของเสียท่มี ีกำมะถันเป็นองค์ประกอบอยู่ในปริมาณมาก จงึ ไมเ่ หมาะจะเป็นเช้อื เพลิงเนอื่ งจากจะเกิด มลสารซลั เฟอรไ์ ดออกไซดจ์ ากการ เผาไหม้ในปริมาณมากดว้ ย เถ้า (Ash) คือ ส่วนของสารอนินทรยี ท์ เ่ี หลอื จากการสันดาป ภายในเตาเผาทีอ่ ุณหภมู ิ 950 องศา เซลเซยี ส เป็นเวลา 6 ชว่ั โมง ซง่ึ ประกอบดว้ ย ซิลกิ า แคลเซยี มออกไซด์ แมกนเี ซียมออกไซด์ หรือเปน็ ส่วนทเี่ ผาไหม้ไมไ่ ดน้ ่ันเอง ดังนนั้ หากของเสยี มขี ้ีเถา้ ปรมิ าณมาก จะเปน็ ปัญหาในการเผาไหมแ้ ละเพม่ิ ความย่งุ ยากในการกำจดั เถ้าทเ่ี กดิ ข้ึน (สภุ าภรณ์ อนุ ยะวงษ์ เเละคณะ, 2555) 2.1.4 คณุ สมบัตเิ บือ้ งตน้ ของเช้อื เพลิงอัดแทง่ 1. คา่ ความร้อน (Net Calorific Value) ไมต่ ำ่ กว่า 3,900 kcal/kg 2. ขี้เถา้ (Ash) ไม่เกนิ 3% โดยน้ำหนัก 3. ความช้นื (Total Moisture) ; (AR) ไม่เกิน 10% โดยนำ้ หนัก

10 4. คลอไรด์ (Chloride) ไม่เกิน 0.5% โดยนำ้ หนัก (ธญิ าดา ควรสถาพร, 2561) 2.1.5 คณุ สมบตั ขิ องเช้ือเพลิงอดั แทง่ คุณสมบัตขิ องถ่านอดั แทง่ อนามัย เป็นถา่ นที่ให้คา่ ความร้อนสงู ใหค้ วามร้อนสมำ่ เสมอ สะอาด เพราะมีปรมิ าณคารบ์ อนเสถยี รสูง สารระเหยตำ่ ควันน้อย ขี้เถา้ น้อย อาหารทป่ี งิ้ ยา่ งมคี วาม ปลอดภยั ตอ่ ผู้บรโิ ภค ประหยัดและสะดวก เพราะมคี วามหนาแน่นสงู ตดิ ไฟนาน เชือ้ เพลงิ เขียวมีคุณลักษณะคล้ายฟืน มีค่าความร้อนตำ่ กวา่ ถ่านมาก เวลาจุดมีควันมาก ถา้ ใช้ กบั เตาปล่องจะช่วยลดควัน เชอื้ เพลงิ เขยี วที่ทำจากเศษพชื เน่าเปอ่ื ย เช่น ชานอ้อยเนา่ เป่ือย เปน็ เชื้อเพลงิ เขยี วที่มีคุณภาพดี หากผสมผงถา่ นท่ีเหลือทิ้งสกั เล็กน้อย จะช่วยทำให้มีคุณภาพสูงข้นึ และมี ประสิทธภิ าพไม่แพ้ถา่ นหรอื จะดีกว่าถ่านเสยี อีก แตท่ ัง้ น้จี ะต้องข้นึ อยูก่ ับความเขา้ ใจของผผู้ ลติ และ ผู้ใช้เชอ้ื เพลงิ ในการปรบั ปรุงเทคนคิ เลก็ ๆ น้อยๆ (วัฒนา, 2529) 2.1.6 ข้อดแี ละข้อเสีย ข้อดี ข้อได้เปรยี บของแท่งเชอ้ื เพลิงเขียวเทยี บกับฟนื และถา่ น 1. ไมต่ อ้ งตัดไมท้ ำลายป่ามาทำเปน็ ฟืนและเผาถ่าน การใชเ้ ช้อื เพลิงเขยี วซึง่ ทำจากชานออ้ ย เนา่ เป่อื ย และเศษพืช ฯลฯ ทดแทนฟนื และถา่ น ทำใหม้ โี อกาสได้ชว่ ยสงวนป่าไมข้ องชาติไว้ให้ ลูกหลาน 2. การจดุ ตดิ ไฟทำไดง้ ่ายกว่าฟืนและถา่ น เชอื้ เพลิงเขียวจะใชเ้ วลาในการเรยี งเช้อื เพลิงและ จุดติดไฟภายใน 1 นาที ซ่ึงฟนื และถ่านทำไมไ่ ด้ 3. ได้เชอื้ เพลงิ สะอาด การเผาไหมม้ ีประสิทธิภาพสงู การเผาไหมจ้ งึ ดีกว่าฟนื และถา่ น นอกจากน้ยี งั สามารถใชท้ ดแทนหรือเสรมิ แก๊สหุงตม้ ได้ในบางโอกาสและท่ีสำคญั คือ เชอ้ื เพลิงเขยี วไม่ ไวไฟ (unflamable) ดงั นน้ั จึงไมม่ อี ันตรายจากการระเบิด เชน่ ถงั แกส๊ หงุ ต้มทป่ี รากฏความสูญเสีย อยู่บ่อยๆ 4. ทำใชไ้ ด้สะดวกกว่าหาฟนื และเผาถา่ นเพราะวสั ดุโดยเฉพาะชานอ้อยเน่าเป่อื ย และวัชพชื หาได้งา่ ยและราคาต่ำ ถ้าทา่ นพรอ้ มท่ีจะทำ

11 5. ช่วยทำลายวชั พืชบกท่ีรบกวนพ้นื ที่เกษตรกรรม เช่น หญา้ ขจรจบ ไมยราบยักษ์ วัชพืชท่ี อยูไ่ ดท้ ้ังบนบกและในน้ำ เช่น โสน กกธูป วัชพืชน้ำท่ีรบกวนแหลง่ เลย้ี งปลา ปดิ กนั้ ทางคมนาคม ทาง น้ำ ทำให้คลองระบายน้ำต้นื เขินและปิดการระบายน้ำ เชน่ ผักตบชวา 6. มศี กั ยภาพที่จะทำเปน็ เช้ือเพลิงท่ีมกี ล่นิ หอมได้ ถ้าเลือกใช้พชื เชน่ ใบเตย ทำเป็นเช้อื เพลิง ย่างเนื้อใหม้ ีรสหอม เปน็ ตน้ 7. มีราคาถกู กว่าฟืนและถา่ น (ประลอง ดำรงคไ์ ทย, 2564) ขอ้ ดีของถา่ นอัดแท่งจะต้องมีขนาดและรูปร่างแบบเดียวกัน สามารถใช้ป้อนเปน็ เชื้อเพลงิ ได้ อยา่ งสะดวกง่ายอย่างต่อเนื่องสมบัตทิ างกายภาพมคี วามร้อนทสี่ ามารถใชเ้ ปน็ เชอ้ื เพลงิ หงุ ต้มใน ครัวเรอื นได้โดยปราศจากมลภาวะและไมจ่ ำเป็นที่จะตอ้ งใช้อุปกรณค์ วบคมุ มลภาวะทีม่ ีราคาสูงมี ประสิทธภิ าพในการเผาไหมท้ ่ีสมบูรณ์ และสะดวกต่อการเก็บและนำมาใชง้ าน (วิทยา คำงาม และ คณะ, 2563) ข้อดขี องถ่านอัดแทง่ คอื สามารถนำวสั ดตุ ่าง ๆ ท่ีเหลอื ใช้จากการเกษตรมาผลิตถา่ นได้ ไมว่ า่ จะเป็น กะลามะพร้าว กะลาปาลม์ ซังขา้ วโพด แกลบ ใบไม้ ขเ้ี ล่อื ยชานออ้ ย และเศษไม้ปลายไม้ ฯลฯ สามารถกำหนดความแน่นของถา่ นไดต้ ามตอ้ งการ และลดค่าใชจ้ ่ายในการขนสง่ เนื่องจากถ่านมี รูปรา่ งและขนาดเหมอื นกนั ทกุ ก้อน และสามารถกำหนดคา่ ความรอ้ นและอายุการใชง้ านของถ่านอดั แท่งได้ โดยการนำวสั ดตุ ่าง ๆ มาผสมเขา้ ด้วยกนั เพื่อใหไ้ ด้คา่ ความรอ้ นทต่ี ้องการ (อนชุ า ทะรา, 2560) ขอ้ เสยี ข้อเสียของถ่านอดั แทง่ การอดั แทง่ ทใ่ี ช้แรงอัดสงู จะทำให้กระบอกอัดและสกรูสกึ หรอได้งา่ ย จากการขัดสี และสมบัตกิ ารเผาไหม้ยังไมเ่ ป็นที่น่าตอ้ งการ เช่น เม่อื ถกู น้ำหรอื อากาศท่ีชืน้ สูง (วานชิ โสภาสพ และคณะ. 2550 : 46) ถ่านอดั แทง่ มกั ประสบปัญหาดา้ นคุณภาพหลายประการ ได้แก่ ถา่ นมีลักษณะเปราะ มีควัน ระหว่างการติดไฟ มคี วามชน้ื เม่ือวางทงิ้ ไว้ในอุณหภมู หิ อ้ งทำให้เกิดเช้อื รา จดุ ตดิ ยาก และระยะเวลา เผาไหม้สั้น ส่งผลให้ผลิตภัณฑถ์ ่านอดั แท่งทผี่ ลติ ได้ขาดคุณภาพ ไม่เปน็ ที่ตอ้ งการของตลาด และไม่ ผา่ นการรับรองคุณภาพตามมาตรฐานผลิตภณั ฑ์ชุมชน (สำนักเทคโนโลยีชมุ ชน, 2559)

12 การนำเชื้อเพลงิ เขยี วมาใช้งาน โดยในชว่ งแรกจะเกดิ ควนั มาก จงึ มีการปรับปรงุ คุณภาพของ เชื้อเพลงิ เขยี วอัดแทง่ โดยการนำไปเผาให้เปน็ ถ่านกอ่ นนำมาใช้งาน (วทิ ยา คำงาม และคณะ, 2563) จากการศึกษาเชือ้ เพลิงอัดแท่ง สรุปได้ว่า เชื้อเพลิงอัดแทง่ น้ันเปน็ การนำวสั ดุท่เี หลอื ใช้จาก ทางการเกษตรต่างๆ มาอดั เป็นแทง่ แทนการใช้เชื้อเพลงิ จากฟอสซลิ ซง่ึ ลดการปลดปลอ่ ยกา๊ ซ คาร์บอนไดออกไซด์ ผลกระทบสิ่งแวดลอ้ มและสภาวะโลกรอ้ น โดยเเบง่ ได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ เชื้อเพลิงเขยี วและถ่านอดั แท่ง ที่มีคุณสมบัตเิ เตกต่างกันไปตามวัสดทุ ี่ใชท้ ำ โดยสว่ นมากแลว้ ถ่านอัด แท่งจะให้ความรอ้ นสมำ่ เสมอ สะอาด เพราะมีปรมิ าณคารบ์ อนเสถยี รสงู ควนั น้อย ข้ีเถ้าน้อย ตดิ ไฟ นาน เเต่เนื่องจากถ่านเป็นพลงั งานท่ใี ชเ้ เลว้ หมดไปจงึ อาจจะกอ่ ให้เกิดปัญหาดา้ นทรัพยากรในวัน ขา้ งหนา้ สว่ นเชอื้ เพลงิ เขียวมีราคาถกู กว่าถ่าน เพราะวัสดทุ ใี่ ช้ทำน้นั หาไดง้ า่ ยและราคาต่ำ อกี ทัง้ มี ศกั ยภาพท่จี ะทำเป็นเช้อื เพลิงทมี่ กี ล่นิ หอมได้ ถงึ เเมว้ ่าในชว่ งแรกของการใช้งานจะเกดิ ควนั มาก เเต่ หากผสมผงถ่านทเ่ี หลอื ท้งิ สกั เลก็ น้อย กจ็ ะชว่ ยทำใหม้ คี ุณภาพสงู ข้นึ และมปี ระสิทธิภาพไมแ่ พ้ถ่าน หรอื จะดกี วา่ ถ่านเสียอกี อีกทัง้ ไม่ตอ้ งตัดไมท้ ำลายปา่ มาทำเปน็ ฟืนและเผาถ่านถอื เปน็ การลดการใช้ พลงั งานท่ใี ชเ้ เลว้ หมดไปได้ 2.2 กาแฟ 2.2.1 ข้อมูลทั่วไปของกาแฟ กาแฟ (Coffee) มชี ่อื ทางวทิ ยาศาสตร์ว่า Coffeeo sp. จดั เป็นไม้พมุ่ ขนาดกลางสงู ประมาณ 3-5 เมตร ทัง้ น้ีขึ้นอยกู่ บั พนั ธุก์ าแฟของแต่ละพันธ์ุ โดยท่วั ไปแล้วกาแฟมีลกั ษณะทาง พฤกษศาสตร์ ดังต่อไปน้ี ลำต้น โดยธรรมชาติแลว้ กาแฟมลี กั ษณะลำต้นตรงในระยะแรกของการเจริญเติบโตจะไม่แตก ก่ิง แต่มีใบแตกออกตรงข้ออยู่ตรงขา้ มกันเป็นคู่ๆ ต่อมาเมอ่ื มกี ารเจริญเตบิ โตขน้ึ เรอื่ ยๆ กม็ กี ารแตกกงิ่ ออกจากลำตน้ ในลักษณะทีแ่ ยกออกจากกันและอยตู่ รงขา้ มกนั กงิ่ ท่ีแตกออกมาใหม่จะมใี บแตก ออกเป็นคๆู่ อยตู่ รงข้อเช่นเดยี วกบั ลำต้น กิ่งจะขนานไปกับระดับพืน้ ดนิ หรอื ห้อยตำ่ ลงดิน ซงึ่ เป็นท่ีเกดิ ของดอกและผลต่อไป นอกจากการแตกกิง่ ออกจากตา ของลำต้นอกี เปน็ จำนวนมากทำใหห้ น่อเกดิ ข้ึน ใหมน่ เี้ บยี ดกับต้นเดอื น ซ่ึงถา้ หากปลอ่ ยไวใ้ ห้เจริญเติบโตเรอ่ื ยๆ โดยไม่มีการปลิดทิ้งหรือตดั จะทำให้ กาแฟมที รงพมุ่ ทีแ่ นบแนน่ ทึบเป็นทส่ี ะสมของโรคแมลง และให้ผลผลิตลดต่ำลง ดอก ดอกกาแฟมีสขี าวบริสุทธิ์ กล่ินหอมคล้ายมะลิปา่ รปู คล้ายดาวมกี า้ นส้นั อยู่รวมกนั เป็น กล่มุ จะเกดิ ตามข้อของตน้ กาแฟบ้างเปน็ สว่ นนอ้ ย แตส่ ่วนใหญด่ อกกาแฟจะออกจากขอ้ ของกิ่งกาแฟ

13 โดยเร่มิ ไปจากข้อท่ีอยใู่ กลล้ ำต้นลำต้นออกไปหาปลายกง่ิ กาแฟมีลกั ษณะพเิ ศษคอื ขอ้ ของก่งิ จะสัน้ สามารถที่จะเกดิ ดอกปละตดิ ผลได้มาก ดอกกาแฟเปน็ ดอกสมบรู ณเ์ พศมที ั้ง เกสรตัวผแู้ ละเกสรตวั เมยี รวมอย่ใู นดอกเดียวกัน เกสรตัวเมียจะมีอย่ใู นดอกเดยี วกัน เกสรตวั เมยี จะมีอย่สู องส่วน เกสรตัวเมีย จะมีอย่สู องสว่ น เกสรตัวผมู้ ีอยู่จำนวนเทา่ กับกลบี ดอกคอื ประมาณ2-4อัน กาแฟบางพนั ธอ์ุ าจจะมกี าร พงผสมพันธ์ุข้ามสายพนั ธ์ุกันโดยง่ายหากอยู่ใกลก้ นั เวลาการออกดอกของกาแฟขึน้ อยกู่ ับปรมิ าณน้ำ ถ้าในท้องถน่ิ ทีม่ ีฝนตกเป็นฤดู ดอกจะออกหลังจากฝนตกประมาณ 1 เดอื น แต่ถา้ หากอากาศชมุ่ ชื่น อย่ตู ลอดปีหรอื มรการชลประทานเพยี งพอ กาแฟตะออกดอกสม่ำเสมอตลอดท้ังปี ผล แม้วา่ ดอกกาแฟจดออกเป็นจำนวนมากแตก่ ารตดิ ผลจะมีเพยี ง16-26% เมื่อกลบี ดอกล่วง แลว้ หงกาแฟจะติดเปน็ ผลมีลักษณะคลา้ ยลูกหวา้ ซงึ่ ภายในผลกาแฟแบ่งออกเปน็ สองส่วน ส่วนหน่ึงมี เมล็ดกาแฟ1เมลด็ ซ่ึงมีลักษณะแบนยาวไปตามรปู ของเปลือกหุ้มถ้าหากเมล็ดหนึ่งเมล็ดใดลบี เพราะ การผสมพันธไุ์ ม่ดี เมลด็ ที่เหลืออยู่จะมีรูปกลม ส่วนยาวจะมรี ปู โค้งเปน็ รปู กระบอกตัด เมลด็ ที่สุกจะมี สนี ำ้ ตาลปนแดง เมลด็ กาแฟ เป็นส่วนทอี่ ยู่ในกะลาซงึ่ ห่อหุ้มด้วยเย่ือบางๆส่วนเนือ้ กาแฟที่หอ่ หมุ้ กะลาเมื่อสกุ เตม็ ทม่ี รี สหวานเล็กน้อย ลกั ษณะเป็นยาวเหนียวๆ ผลกาแฟเม่อื สุกเต็มที่ปอกเอาเปลือกและเนื้อท้ิงนำ เมลด็ กาแฟทงั้ กะลาไปตากแห้งจะเสียนำ้ หนกั ไปประมาณ7%และเมื่อกระเทาะเปลอื กและเน้อื ทิง้ น้ำ เมล็ดกาแฟและกาแฟไปตากแห้งจะเสยี นำ้ หนกั ไปประมาณ14.78%หรือกลา่ วไดว้ ่าผลกาแฟสดที่เก็บ มาทำเป็นสารกาแฟแห้งเสยี นำ้ หนักไปประมาณ80%โดยเฉพาะถา้ หากนำไปค่วั ทำเปน็ กาแฟท่ใี ช้ชง รับประทานจะมเี นือ้ กาแฟแท้13.60%กาแฟขอ้ หน่ึงๆทใ่ี หผ้ ลกาแฟแลว้ ในปีต่อไปจะไมใ่ หผ้ ลอีกแต่ผล กาแฟจะออกตอ่ ไปในข้อทยี่ งั ไมอ่ อกผล กาแฟจะออกผลจากข้อที่ใกล้ลำต้นออกไปส่ปู ลายกิ่ง สว่ นจะ ออกก่ชี อ่ น้นั สดุ แตค่ วามสมบูรณข์ องตน้ กาแฟในปีน้นั ๆ (เดยี ว วงศส์ ุวรรณ และคณะ.2530: 8-9) กาแฟเป็นพืชทม่ี ถี นิ่ กำเนิดบรเิ วณทวีปแอฟรกิ า ช่วงต้นนน้ั กาแฟเป็นพืชปา่ จนกระท่งั ได้ถกู นำมาปลูกในดนิ แดนอาระเบยี กอ่ นจะแพร่หลายไปยงั ภูมภิ าคอ่นื ๆ ของโลก เชน่ ละตนิ อเมริกา อินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปน็ ตน้ สายพันธก์ุ าแฟนน้ั มีอยูม่ ากมายหลากหลาย แต่สายพันธุ์ ทีม่ ีการบรโิ ภคหลกั ๆ มอี ยู่ ๒ สายพนั ธ์ุ ได้แก่ คอฟเฟ่ คาเนโฟรา (Coffea Canephora) หรือทีร่ ูจ้ กั ใน ชอื่ คอฟเฟ่ โรบัสตา (Coffea Robusta) ซึ่งมีต้นกำเนิดบริเวณภาคกลางและตะวนั ตกของแอฟรกิ า กับคอฟเฟ่ อาราบกิ า (Coffea Arabica) ซ่งึ สายพนั ธน์ุ ีม้ ตี ้นกำเนิดในเอธิโอเปียและเยเมน ทง้ั ๒ สาย พันธุน์ ม้ี ลี ักษณะแตกต่างกันเล็กน้อย คือ สายพันธุอ์ าราบกิ าเป็นสายพนั ธ์แุ รกทมี่ กี ารค้นพบ มี ระยะเวลาเก็บเกีย่ วเร็วกว่าเล็กนอ้ ย ตอ้ งการนำ้ นอ้ ยกว่า และมีการพฒั นาสายพนั ธุ์มากกวา่

14 ขณะเดยี วกันอาราบิกาก็มกี ารดูแลรกั ษายากกว่า อ่อนแอท้ังต่อศัตรูพืชและโรค และยงั ใหผ้ ลผลิตน้อย กว่าสายพนั ธุ์โรบัสตา ซึง่ เปน็ สายพันธุ์ท่ีค้นพบโดยชาวยโุ รปในปลายศตวรรษที่ ๑๙ มีรสชาติขมกว่า และปลูกมากในหลายประเทศท้งั ในละตินอเมริกา อนิ เดีย และประเทศแถบเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ อย่างเวียดนามและไทย๑ กาแฟท้งั ๒ สายพนั ธ์นุ ีไ้ ด้กลายเป็นกาแฟสายพันธ์สุ ำคญั ทถ่ี ูกใชท้ างการค้า นบั ต้งั แต่ศตวรรษท่ี ๑๕ โดยสายพันธ์ุอาราบกิ าจะเปน็ สายพนั ธุแ์ รกท่ีเขา้ สรู่ ะบบการค้า ตามมาด้วย สายพนั ธโ์ุ รบัสตาในศตวรรษท่ี ๒๐ (คเณศ กังวานสรุ ไกร, 2564) กาแฟ เปน็ เครื่องดื่มที่ทำจากเมลด็ ซ่ึงไดจ้ าก ต้นกาแฟ หรอื มกั เรยี กว่า เมล็ดกาแฟ คั่ว มีการ ปลูกตน้ กาแฟในมากกวา่ 70 ประเทศท่วั โลก กาแฟเขียว (กาแฟซงึ่ ยงั ไมผ่ า่ นการค่วั ) เป็นหนึ่งใน สนิ คา้ ทางการเกษตรซง่ึ มกี ารซ้ือขายกันมากทีส่ ุดในโลก กาแฟมีสว่ นประกอบของคาเฟอนี ทำให้มี สรรพคุณชกู ำลังในมนษุ ย์ ปัจจบุ ันกาแฟเปน็ เคร่ืองดมื่ ซ่งึ ไดร้ ับความนิยมมากท่สี ุดในโลก เปน็ ที่เชื่อกัน วา่ สรรพคุณชูกำลงั จากเมลด็ ของต้นกาแฟน้นั ถกู พบเปน็ คร้ังแรกในเยเมน แถบอาระเบยี และทาง ตะวันออกเฉียงเหนอื ของเอธโิ อเปยี และการปลูกต้นกาแฟในสมยั แรกไดแ้ พร่ขยายในโลกอาหรับ หลกั ฐานบันทึกว่าการด่ืมกาแฟได้ปรากฏข้ึนราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 อนั เปน็ หลักฐานซึ่งเชือ่ ถือ ได้และเกา่ แกท่ ่สี ุด ถูกพบในวหิ ารซฟู ี ในเยเมน แถบอาระเบยี จากโลกมุสลมิ กาแฟไดแ้ พรข่ ยายไปยงั ทวปี ยโุ รป อนิ โดนีเซยี และทวีปอเมรกิ า ในระหว่างท่กี าแฟเรม่ิ เดนิ ทางจากทวปี อเมริกาเหนอื และ ตะวันออกกลางสทู่ วปี ยุโรป กาแฟได้ถกู ส่งผา่ นไปยังซิซลิ แี ละอิตาลใี นตอนตน้ ครสิ ต์ศตวรรษท่ี 17 จากน้นั ผา่ นตุรกไี ปยงั กรซี ฮงั การี และออสเตรียในตอนปลายครสิ ต์ศตวรรษท่ี 17 จากอิตาลแี ละ ออสเตรยี กาแฟได้แพร่ขยายไปยังสว่ นที่เหลือของทวีปยโุ รป กาแฟไดเ้ ขา้ มามบี ทบาทสำคญั ในสงั คม หลายแห่งตลอดประวัตศิ าสตร์ ในแอฟรกิ าและเยเมน มนั ถกู ใชร้ ว่ มกับพธิ ีกรรมทางศาสนา ผลท่ี ตามมาคือ ศาสนจักรเอธโิ อเปยี ได้สัง่ หา้ มการบรโิ ภคกาแฟตลอดกาล จนกระทงั่ ถึงรัชสมยั ของ จักรพรรดิเมเนลิกที่ 2 มนั ยงั ได้ถกู ห้ามในจกั รวรรดอิ อตโตมนั ระหว่างครสิ ต์ศตวรรษที่ 17 เนอื่ งจาก สาเหตุทางการเมือง และมสี ่วนเกย่ี วพันกบั กิจกรรมทางการเมอื งหวั รุนแรงในทวปี ยโุ รป ผลกาแฟ ซง่ึ บรรจุเมล็ดกาแฟ เปน็ ผลผลติ จากไม้พุม่ ไม่ผลัดใบขนาดเลก็ ในจีนัส Coffea หลายสปีชีส์ โดยสายพันธุท์ ีม่ กี ารปลูกโดยทว่ั ไปมากท่สี ดุ ได้แก่ Coffea arabica และกาแฟ \"โร บัสตา้ \" ท่ไี ด้จากชนดิ Coffea canephora ซงึ่ มรี สเขม้ กว่า สายพันธุด์ งั กลา่ วมคี วามทนทานตอ่ ราสนิม ใบกาแฟ (Hemileia vastatrix) ซึง่ สรา้ งความเสยี หายอย่างใหญห่ ลวง สายพันธก์ุ าแฟทั้งคู่มีการปลูก ในละตนิ อเมริกา เอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ และทวปี แอฟรกิ า เมอ่ื สุกแลว้ ผลดงั กลา่ วจะถูกเกบ็ รวบรวม นำไปผา่ นกรรมวิธแี ละทำใหแ้ หง้ หลังจากน้ัน เมล็ดจะถูกค่ัวในอุณหภมู ิที่แตกต่างกนั ขึน้ อยู่

15 กับรสชาติท่ตี ้องการ และจะถูกบดและบม่ เพอ่ื ผลิตกาแฟ กาแฟสามารถตระเตรียมและนำเสนอได้ใน หลายวธิ ี กาแฟเปน็ สินคา้ ส่งออกท่ีสำคญั ของโลก โดยในปี ครสิ ต์ศักราช 2004 กาแฟเป็นสินคา้ การเกษตรสง่ ออกทท่ี ำรายได้เป็นอนั ดับหน่ึงในจำนวน 12 ประเทศ และเป็นพืชท่มี ีการส่งออกอย่าง ถูกต้องตามกฎหมายซง่ึ มีมลู คา่ สงู ทสี่ ุดเปน็ อันดบั 7 ของโลก ในปี คริสตศ์ ักราช 2005 กาแฟได้รับการ โต้เถยี งบางสว่ นในดา้ นการเพาะปลกู ตน้ กาแฟและผลกระทบกบั สิ่งแวดลอ้ ม และมกี ารศกึ ษาจำนวน มากท่รี ะบุถึงความสมั พันธ์ระหว่างการบรโิ ภคกาแฟกับข้อจำกัดทางยาอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ก็ ยงั ไม่มีขอ้ สรุปทแ่ี น่ชัดว่ากาแฟให้คณุ หรอื ให้โทษกันแน่ (สารานุกรมเสรี, 2564) 2.2.2 สรรพคุณของกาแฟ กาแฟ หนง่ึ ในเคร่ืองดื่มยอดนยิ มทห่ี ลายคนด่ืมในยามเช้าหรือยามงว่ งนอน เพอ่ื ปลุกสมองให้ ตนื่ ตวั คลายความเหนื่อยล้าทั้งทางกายและทางจิตใจ และนอกจากประโยชนท์ ่ีคนุ้ เคยกนั น้ี เชอื่ วา่ กาแฟยงั อาจมีประโยชน์ทางการแพทย์ดา้ นอื่น ๆ อกี มากมาย ยกตัวอยา่ งสรรพคณุ ของกาแฟ ดังน้ี - ลดความเสยี่ งเป็นโรคนิว่ - กาแฟช่วยลดความเครยี ด - ชว่ ยกระตุ้นความจำ - รอดจากโรคเบาหวานชนิดที่ 2 - ลดความเส่ียงเปน็ โรคมะเรง็ - กระตนุ้ การทำงานของระบบเผาผลาญ - ลดความเสยี่ งเปน็ โรคพาคินสัน - ปลุกความต่นื ตวั ได้ในทนั ที - ลดโอกาสเป็นโรคเกาต์ (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสนุ ันทา, 2564) สรรพคุณทางการแพทย์และทางสุขภาพของกาแฟนนั้ เช่ือวา่ มาจากคาเฟอนี สารกระต้นุ ท่พี บ ไดส้ ูงจากกาแฟที่มฤี ทธ์ิกระต้นุ ระบบประสาทสว่ นกลาง หัวใจ และกลา้ มเนื้อ การศกึ ษาเก่ยี วกบั ประสทิ ธภิ าพของกาแฟในการปอ้ งกันและรักษาโรคสว่ นใหญจ่ งึ มุ่งไปที่สารคาเฟอนี ในกาแฟเป็นหลัก โดยกาแฟสำเร็จรูปโดยทั่วไป 1 แก้วประกอบด้วยคาเฟอีนประมาณ 85-100 มิลลกิ รมั แตห่ ากเป็น กาแฟชงสดจะมคี าเฟอนี 100-150 มลิ ลกิ รมั ตอ่ แก้ว สว่ นกาแฟท่ีผ่านการลดคาเฟอนี นน้ั กย็ ังคงมี

16 คาเฟอีนประมาณ 8 มิลลกิ รัมตอ่ แก้ว ทงั้ น้กี าแฟที่ผา่ นกระบวนการคั่วจนเขม้ จะมีคาเฟอนี นอ้ ยกวา่ กาแฟสีออ่ น ตัวอย่างประโยชนข์ องกาแฟ - เพ่มิ ความตนื่ ตัวของสมอง - ป้องกันหรอื ชะลอการเกิดโรคพารก์ ินสัน - ป้องกนั โรคน่วิ ในถงุ น้ำดี - ปอ้ งกันโรคมะเรง็ ลำไสใ้ หญ่และลำไสต้ รง - ป้องกันโรคเบาหวาน - ลดอาการปวดศีรษะและไมเกรน - ลดความตงึ เครยี ด (pobpad, 2563) สรรพคุณของกาแฟ มงี านวิจยั หลายงานท่ีระบวุ ่า เมลด็ กาแฟมสี ารกาเฟอีนที่มฤี ทธกิ์ ระตุ้นหวั ใจและกระตนุ้ ประสาทสว่ นกลาง การดืม่ กาแฟจงึ ชว่ ยกระตุ้นระบบประสาท ทำให้ตาแขง็ นอนไมห่ ลับ ทำให้ รา่ งกายสดชื่น ขจัดความเซ่ืองซึมและออ่ นล้าได้ โดยมกี ารยืนยันจากผลการทดลองท่ีทำการทดลองกับ นักกฬี ากลมุ่ หนงึ่ ที่ได้ดมื่ กาแฟในระหว่างการฝึกซอ้ ม และได้พบวา่ นกั กีฬากลุ่มดังกล่าวสามารถ ฝกึ ซอ้ มกีฬาได้นานข้นึ หรอื อึดมากข้ึน โดยความคึกคักทเี่ กดิ ข้ึนจะมีระยะเวลาประมาณ 1 ชวั่ โมง เทา่ น้นั ปรมิ าณกาเฟอีนในกาแฟท่เี หมาะสมสามารถชว่ ยลดอาการหงุดหงิด อารมณ์ซมึ เศร้า รวมถงึ ความเครยี ดได้ การดืม่ กาแฟจงึ ทำใหผ้ ู้ด่ืมรู้สกึ พงึ พอใจและมคี วามสุข โดยมรี ายงานผลวจิ ัยท่ีระบวุ ่า ผู้ ท่ีดืม่ กาแฟวนั ละ 2-3 แก้ว จะสามารถชว่ ยลดความเครยี ดได้ประมาณ 15% แต่ถา้ หากด่ืมถงึ วันละ 4 แก้ว ก็จะชว่ ยลดความเครยี ดได้ถึง 20% ชว่ ยลดความเส่ยี งของโรคอัลไซเมอร์ โดยมงี านวจิ ัยของมหาวิทยาลัยเซาท์ฟลอรดิ า ท่เี ปิดเผย วา่ ผ้ทู ่มี ีอายุลว่ งเขา้ สวู่ ัยกลางคน ควรด่ืมกาแฟวันละ 4-5 แก้ว เพอ่ื ช่วยเพ่มิ ระดบั ฮอร์โมน GCSF เนื่องจากฮอรโ์ มนชนดิ นี้สามารถชว่ ยลดความเสย่ี งของการเกดิ โรคอลั ไซเมอรไ์ ด้ ซ่งึ สอดคล้องกบั การศกึ ษากบั คนวยั กลางคนในประเทศฟนิ แลนด์จำนวน 1,400 คน ท่พี บว่าคนทดี่ ่มื กาแฟวันละ 5 ถ้วยต่อวัน สามารถลดอัตราเสีย่ งของการเป็นโรคอัลไซเมอรไ์ ดถ้ ึง 65% เปน็ ทีเ่ ชื่อกันว่ากาแฟมี สรรพคุณทชี่ ่วยชกู ำลงั ได้ ช่วยแก้อาการปวดศรี ษะ กาเฟอีนในกาแฟมีฤทธ์ิขยายหลอดเลอื ด จงึ ชว่ ย ระงับอาการปวดได้เช่นเดยี วกบั ยาแกป้ วด อกี ทัง้ กาแฟยงั ช่วยละลายไขมันในเส้นเลอื ด บรรเทาอาการ

17 ปวดศีรษะเนอ่ื งจากการเมาสรุ า อาการปวดศีรษะเนือ่ งจากเส้นประสาท รวมถึงอาการปวดศีรษะขา้ ง เดียวหรอื ไมเกรน กาเฟอีนสามารถช่วยขยายหลอดเลือดแดงทห่ี ล่อเลี้ยงหวั ใจได้ จึงทำใหเ้ ลือดไปหลอ่ เลีย้ ง หัวใจได้มากข้ึน แต่ในขณะเดียวกนั ก็มีฤทธ์ทิ ำให้เส้นเลือดแดงบรเิ วณศรี ษะหดตวั ซึ่งก็ชว่ ยลดอาการ ปวดศีรษะจากไมเกรนไดอ้ ีกด้วย ชว่ ยลดความเส่ยี งการเกดิ โรคมะเร็ง มีงานวิจยั หลายช้นิ ท่ยี ืนยันไดว้ ่า การด่ืมกาแฟวนั ละ 2-5 แกว้ สามารถชว่ ยลดความเส่ียงของการเกิดโรคมะเรง็ ในชอ่ งปาก มะเรง็ ลำไส้ มะเรง็ เตา้ นม มะเร็ง ปากมดลกู มะเรง็ ตอ่ มลกู หมาก และมะเรง็ ตับได้ เน่ืองจากกาเฟอีนจะไปชว่ ยยบั ยั้งการเกดิ เซลล์ ผิดปกติ และกำจัดสารพษิ ทรี่ ่างกายได้รบั ออกไปไดใ้ นระดบั หน่งึ งานวจิ ัยของมหาวทิ ยาลยั ฮาร์วาร์ด ไดศ้ กึ ษาจนพบวา่ ผู้ท่ดี ม่ื กาแฟจะมอี ัตราการเปน็ โรคมะเร็งตำ่ กว่าผทู้ ่ไี มไ่ ดด้ ่มื สว่ นการศึกษาของ มหาวิทยาลยั บอสตันพบว่า ผปู้ ่วยที่ดื่มกาแฟอยา่ งนอ้ ยวนั ละ 5 ถ้วย จะมโี อกาสเสยี่ งเปน็ โรคมะเรง็ ลำไส้ตำ่ กวา่ กล่มุ อืน่ ถงึ 40% ซึ่งสอดคลอ้ งกบั การศึกษาในประเทศญปี่ ุน่ ที่ทำการศึกษากบั ผหู้ ญงิ เปน็ ระยะเวลา 12 ปี โดยพบว่า ผู้ทด่ี ่มื กาแฟวันละ 3 แก้วหรือมากกว่า จะมแี นวโน้มในการลดอัตราเสย่ี ง ของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญไ่ ด้ถึง 50% และจากการศึกษากับผู้ชายจำนวน 50,000 คน เป็น ระยะเวลา 20 ปี พบว่าผู้ทด่ี ่มื กาแฟวันละ 6 แก้ว จะมอี ัตราเสยี่ งของการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก นอ้ ยกว่าคนทไ่ี มไ่ ดด้ ื่ม โดยมีขอ้ มลู ทรี่ ะบุว่าการด่มื กาแฟนัน้ จะสามารถชว่ ยยบั ย้ังการแพรก่ ระจาย ของเซลลม์ ะเรง็ ได้ จากการศกึ ษาของภาคเกษตรและเคมีอาหารของสหรฐั อเมรกิ า ที่ได้ศกึ ษาจนพบวา่ ผู้ท่ีดม่ื กาแฟเปน็ ประจำจะมีโอกาสรอดพน้ จากโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ไดถ้ งึ 50% เนอ่ื งจากกาแฟมกี าเฟอีน ท่ีมีคุณสมบัติในการยับยง้ั hIAPP และโพลีเปปไทด์ ท่ีเปน็ ตัวการกอ่ ให้เกิดโปรตีนผดิ ปกติ ซ่งึ เป็น สาเหตุของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เมล็ดกาแฟ มีสรรพคุณช่วยลดนำ้ ระดับตาลในเลือดได้ โดยการใช้เมล็ดที่คั่วแล้ว นำมาชงกับ นำ้ ร้อน เป็นเครอ่ื งดืม่ ยามว่าง กาแฟมีสรรพคณุ ชว่ ยบำรุงหวั ใจ และช่วยลดความเส่ียงของการเกิดโรคหวั ใจ จากการศึกษาท่ี ติดตามดูผู้หญงิ จำนวน 27,000 คน เปน็ เวลา 15 ปี พบว่าการด่มื กาแฟประมาณวันละ 1-3 ถว้ ย จะ ช่วยลดความเสยี่ งของการเกิดโรคหัวใจใหน้ ้อยลงไดถ้ งึ 26% แต่การดื่มกาแฟในปรมิ าณมากกว่านต้ี ่อ วนั จะไมไ่ ดผ้ ลในการลดความเส่ยี งตอ่ การเกิดโรคหวั ใจ สว่ นอกี การศกึ ษาหน่ึงทที่ ำการศกึ ษาในกล่มุ

18 ผู้หญงิ ทด่ี ื่มกาแฟไม่เกินวันละ 5 ถว้ ย พบว่ากาแฟไม่มีสว่ นทำให้เกดิ ความเสี่ยงต่อการเปน็ โรคหัวใจ มากขน้ึ แมใ้ นรายทมี่ ีปัญหาเส้นเลอื ดหดตัวหรอื หัวใจเตน้ ไมส่ ม่ำเสมอ ส่วนผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 6 ถ้วย ขนึ้ ไปทกุ วันกไ็ มม่ อี ัตราการเตน้ ของหัวใจทส่ี ูงเกินกวา่ ปกติ การดืม่ กาแฟจะทำให้หัวใจเตน้ เรว็ ความ ดนั โลหิตเพ่มิ ขน้ึ เพราะกาแฟมสี าร theobromine (เมลด็ ) กาแฟมนี โิ คตนิ แตไ่ มใ่ ช่ชนดิ เดียวกันกับทีพ่ บไดใ้ นบหุ ร่ี แต่เปน็ วิตามนิ บรี วมชนิดหนงึ่ ที่ รา่ งกายตอ้ งการ ซึง่ สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลในเสน้ เลอื ดได้ การด่มื กาแฟจึงชว่ ยปอ้ งกนั โรคหวั ใจและหลอดเลอื ดแขง็ ตัว จากการศึกษากับนางพยาบาลจำนวน 83,000 คน ท่ไี ม่เคยสบู บุหรี่ และดม่ื กาแฟวันละ 4 แกว้ พบว่า กาแฟสามารถลดความเสีย่ งของการเกิดการอดุ ตนั ในเส้นเลือดไดถ้ ึง 43% มีงานวิจัยท่ีระบวุ า่ กาเฟอีนสามารถชว่ ยกระตนุ้ ให้เกดิ การใชพ้ ลงั งานของร่างกาย ทำให้ ไขมันเกิดการสลายตัวมากข้นึ การดื่มกาแฟจงึ อาจช่วยในเรอ่ื งของการลดน้ำหนกั ได้ อกี ทั้งกาเฟอนี และสารอ่นื ๆ ทม่ี อี ยู่ในกาแฟยงั ช่วยกระตนุ้ การหลั่งของกรดและน้ำย่อย จึงชว่ ยในการย่อยอาหาร ด้วยเหตุน้เี อง จงึ เปน็ สาเหตทุ ี่ทำใหม้ ีผูค้ นจำนวนมากหนั มาดื่มกาแฟหลังอาหารในแตล่ ะม้ือ นอกจากนย้ี ังมีงานวจิ ัยหลายชน้ิ ท่ียนื ยนั ไดว้ ่ากาเฟอนี สามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเมตา บอลิซมึ และอาจทำให้นำ้ หนักลดลงได้ และล่าสดุ ได้มผี ลการวจิ ัยที่ไดข้ อ้ สรปุ ว่า กาเฟอนี ในเมล็ดกาแฟ สดควั่ บดมีผลตอ่ การลดน้ำหนักในผู้หญิงได้จรงิ โดยสามารถลดนำ้ หนกั ได้เฉลย่ี 7.7 กโิ ลกรมั ภายใน 22 สัปดาห์ แต่อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาจากชาวอเมริกนั จำนวน 58,000 ราย โดยตดิ ตามผลเป็น เวลา 12 ปี พบว่ากลมุ่ ตวั อยา่ งทง้ั หญิงและชายทด่ี ่ืมกาแฟมากข้ึน กลับมนี ้ำหนกั ตัวเพ่มิ ขนึ้ สาเหตุคง จากนม นำ้ ตาล และครมี เทียมที่ใสล่ งไปในกาแฟนั่นเอง การดมื่ กาแฟหลังอาหาร สามารถช่วยละลายไขมัน ทำใหไ้ ขมันเกิดการแตกตัว และให้ พลงั งานทดแทนได้ อีกทงั้ กาแฟยังมปี ระโยชน์ตอ่ กระเพาะโดยตรง โดยจะชว่ ยทำใหน้ ้ำย่อยท่ี กระเพาะและตบั ออ่ นมเี พิ่มขึ้น จงึ ทำให้ไขมนั ถกู เผาผลาญ การดื่มกาแฟจึงมสี ว่ นในการช่วยลดความ อว้ นได้ ชว่ ยเพ่ิมไขมนั ดี (HDL) ที่มีประโยชนต์ ่อรา่ งกาย จากผลการวิจยั พบว่า ผทู้ ่ีด่ืมกาแฟบ่อย ๆ จะมไี ขมนั ชนดิ ดีเพ่มิ ขน้ึ ซงึ่ ไขมนั ชนิดน้ีจะเป็นตวั ชว่ ยขับไล่คอเลสเตอรอล และช่วยปอ้ งกันหลอด เลือดแขง็ ตัว

19 จากการศึกษาของ ดร.จี เวปสเตอร์ และคณะ ผู้เช่ียวชาญด้านระบบประสาท จากศนู ย์ การแพทย์นครฮอนโนลลู ขู องสหรัฐอเมรกิ า ไดพ้ บว่า ผชู้ ายที่ไมด่ มื่ กาแฟจะมโี อกาสป่วยเป็นโรคพาร์ กินสนั มากกว่าผทู้ ีด่ ่มื กาแฟมากกวา่ วนั ละ 5 ถ้วย สงู ถงึ 5 เท่า ซงึ่ สอดคล้องกับขอ้ มูลของสถาบนั การแพทย์อเมรกิ นั ทพ่ี บวา่ ผู้ที่ดม่ื กาแฟวนั ละ 2-3 แก้ว เป็นประจำทุกวนั จะชว่ ยลดโอกาสเกดิ โรค พาร์กินสนั ไดถ้ ึง 25% แต่สำหรบั กาแฟชนดิ ท่ีสกดั เอากาเฟอีนออก จะไม่ช่วยลดความเส่ยี งของโรคนี้ การดม่ื กาแฟสามารถชว่ ยปอ้ งกันการเกิดโรคหอบ ช่วยบรรเทาอาการหอบหดื แก้หอบหอบ หดื ได้ เพราะกาแฟมีสารกาเฟอีนท่ชี ่วยระงบั อาการตงึ เครยี ดของประสาทสมั ผสั สำรอง จึงชว่ ยลดการ เกดิ โรคหอบได้ ดร.ดารซ์ ี โรแบรโ์ ตลิมา ผู้เชย่ี วชาญดา้ นเภสัชวทิ ยาของมหาวิทยาลัยรีโอ เดจาเนโร ได้ เปิดเผยว่า ผู้ที่มปี ญั หาหย่อนสมรรถภาพทางเพศอันเนอื่ งมาจากการดม่ื สรุ า จากภาวะซมึ เศร้า จาก อายุขยั หรอื จากการเสพยา สามารถแก้ปญั หานี้ไดด้ ว้ ยการดมื่ กาแฟในปรมิ าณทเ่ี หมาะสมในแตล่ ะวนั ผลการวิจยั ของมหาวิทยาลยั ฮาร์วารด์ เผยวา่ ผู้หญิงทด่ี ื่มกาแฟวนั ละ 4 แก้ว จะมีโอกาส เสี่ยงเปน็ โรคนิ่วในถุงน้ำดีลดลงประมาณ 25% เช่นเดียวกบั งานวิจัยก่อนหนา้ น้ที ไ่ี ด้ระบวุ ่า ผูช้ ายที่ดื่ม กาแฟเป็นประจำ จะช่วยลดความเส่ียงเป็นโรคน่วิ ในถุงน้ำดีได้ โดยมขี อ้ มลู ท่ีไดร้ ะบวุ า่ ผู้ชายที่ดม่ื กาแฟอยา่ งนอ้ ยวันละ 2 แกว้ จะชว่ ยลดอัตราเสยี่ งของการเป็นน่วิ ในถงุ นำ้ ดไี ด้ 40% และลดได้ 25% สำหรบั ผู้หญงิ ทด่ี ่ืมกาแฟในปรมิ าณเท่ากนั ส่วนผู้ท่ีด่มื กาแฟมากกวา่ วนั ละ 4 แกว้ จะชว่ ยลดความ เส่ยี งการเป็นโรคน่วิ ในถุงนำ้ ดไี ดถ้ ึง 45% มงี านวิจัยที่ไดพ้ ิสูจนแ์ ล้ววา่ กาแฟมปี ระโยชน์ในการชว่ ยปอ้ งกันโรคไวรสั ตบั อักเสบบี ช่วยลด การเกิดโรคตบั จากสรุ า จากสำรวจพบวา่ กาแฟสามารถช่วยลดผลร้ายทีม่ ีต่อตบั ได้ แต่ในส่วนนีย้ งั ต้อง มีการวจิ ัยตอ่ ไปว่า สารชนิดใดท่ีเป็นสารออกฤทธิ์ และมผี ลตอ่ สาเหตอุ ่ืนทท่ี ำใหเ้ กิดโรคตับแขง็ หรือไม่ นอกจากแอลกอฮอล์ ส่วนอกี จากการศึกษาท่ที ำการศึกษากบั ผู้ด่มื กาแฟจำนวน 125,000 คน โดย พบวา่ การดมื่ กาแฟเพยี งวันละ 1 แกว้ กส็ ามารถทำใหค้ วามเส่ยี งของการเป็นโรคตบั แข็งลดลง 20% และถา้ ดม่ื วันละ 4 แก้ว กจ็ ะสามารถช่วยลดอตั ราเสีย่ งไดส้ งู ถึง 80% กาแฟมฤี ทธ์ขิ ับปัสสาวะ โดยมีข้อมูลทีร่ ะบุวา่ การดื่มกาแฟประมาณ 5 ถว้ ยคร่ึง (ประมาณ 550 มิลลิกรัม) จะไม่ออกฤทธใิ์ นการขบั ปัสสาวะแต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ตาม กาเฟอนี ยงั มฤี ทธ์เิ ปน็ ยา ขบั ปสั สาวะได้หากดื่มเกนิ คร้งั ละ 575 มลิ ลกิ รัม หรอื ประมาณ 6 ถ้วย ดงั น้นั ในขณะออกกำลังกาย หรอื หลงั ออกกำลงั กาย จงึ ไมค่ วรด่ืมกาแฟในปริมาณมาก เพราะจะทำใหร้ า่ งกายขาดนำ้ ได้

20 การดืม่ กาแฟวนั ละ 2 แก้ว อาจช่วยลดอาการปวดกล้ามเน้ือหลังการออกกำลงั กายได้ถงึ 58% จงึ ทำใหย้ าแกป้ วดหลายประเภทนนั้ มีส่วนผสมของกาเฟอนี อยู่ด้วย 65 มิลลกิ รมั (เช่น aspirin, ibuprofen เป็นต้น) นอกจากนก้ี าเฟอนี ยังสามารถชว่ ยบรรเทาอาการปวดไดถ้ งึ 40% ชว่ ยลดโอกาสเปน็ โรคเกาต์ สำหรับผู้ที่มคี วามเสยี่ งเป็นโรคเกาต์ โดยเฉพาะผู้ท่มี ีอายุ 40 ปี ขนึ้ ไป แนะนำใหด้ ม่ื กาแฟวันละ 3-6 แกว้ อย่างตอ่ เนอ่ื ง เพราะจากผลการวิจัยของสถาบันการแพทย์ แห่งหน่งึ ทีไ่ ด้ยนื ยันวา่ กาเฟอนี มีส่วนชว่ ยบรรเทาอาการอักเสบของขอ้ อนั เนื่องมาจากกรดยูริกทเี่ กิน ขนาดอยา่ งได้ผล โดยผู้ท่ีดม่ื กาแฟวันละ 6 แก้ว จะช่วยลดความเสี่ยงของการเปน็ โรคเกาตไ์ ดถ้ ึง 60% จากการศกึ ษาของ University of Bari ทป่ี ระเทศอติ าลี พบวา่ การดมื่ กาแฟวันละ 1-2 แก้ว จะช่วยป้องกนั โรคหนังตากระตุกได้ และชว่ ยลดอัตราการกระตกุ ให้ชา้ ลงไดใ้ นผู้ป่วย ใชแ้ ก้ อหิวาตกโรค (ไมร่ ะบุส่วนที่ใช)้ จากการศกึ ษาของนายแพทยว์ ินเซนต์ ทูบโิ อโล แหง่ ศูนยก์ ารแพทยย์ ซู แี อลเออ-ฮาร์เบอร์ เขา ได้ตง้ั ทฤษฎใี หม่ว่า การไดร้ ับกาเฟอนี ในขนาด 400 มิลลิกรัมต่อวนั อาจช่วยลดอาการแพ้เกสรจาก ดอกไม้ได้ (MedThai , 2557) 2.2.3 สายพันธ์ุกาแฟ อราบิกา้ (Arabica) คนทร่ี ักความกลมกลอ่ ม กล่นิ หอม และรสชาตนิ ุม่ ละมุนของกาแฟ มกั จะตกหลุมรกั กาแฟ สายพันธุ์น้ี ที่นิยมปลกู มากที่สุดเป็นอันดบั หนง่ึ ของโลกถึงรอ้ ยละ 80 และเป็นกาแฟท่ีได้รับความนิยม สูงสดุ ในร้านกาแฟสดทว่ั โลก ขณะเดียวกนั อราบิก้าก็ปลูกยากและตอ้ งการการควบคมุ ดา้ นคุณภาพ การปลูกมากเชน่ กัน อราบิกา้ ให้ปริมาณคาเฟอีนไมเ่ ขม้ ขน้ มากอยู่ในระดบั 1.1-1.7 เปอร์เซน็ ต์ ทั้งยงั มีใหเ้ ลอื กหลายพันธุ์ เช่น ทริปิก้า เบอรบ์ อน บลเู มาท์เท่นมอกกา (Mokka) คาทูร่าโคน่า และเคนท์ซึ่ง ต่างกม็ กี ลิ่นหอมและรสชาติหวานมนั แตกต่างกันตามถน่ิ กำเนดิ อราบกิ ้าเป็นกาแฟท่ีรักอากาศเยน็ สบายราว15-25 องศาฯ จึงเหมาะทีจ่ ะปลูกในทภี่ ูมปิ ระเทศสงู กว่า1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล และแน่นอนว่าราคาของกาแฟกแ็ ตกตา่ งตามคุณภาพของแตล่ ะสายพนั ธ์อุ ีกดว้ ย

21 ภาพท่ี 3 กาแฟพนั ธุ์อราบิก้า โรบัสต้า (Robusta) คอกาแฟเขม้ ขน้ แบบลูกผู้ชายตวั จรงิ ไมค่ วรพลาดกาแฟโรบสั ต้า เพราะมีปริมาณความเขม้ ข้น ของคาเฟอีนถึง 2-4.5 เปอร์เซ็นต์ อกี ทงั้ บอดี้ (ความเขม้ ขน้ ) ยงั ใหร้ สชาติฝาดพร่ากวา่ อราบกิ า้ ด้วย ความเขม้ สูงกวา่ เทา่ ตวั ของโรบสั ต้าจึงทำให้นยิ มนำไปผลติ เป็นกาแฟสำเร็จรูป (Instant Coffee) และ 3in1 วันไหนท่ีคุณต้องเดนิ ทางไกลหรอื อยากให้รา่ งกายตื่นตวั ตลอดวัน แค่เลอื กกาแฟโรบสั ต้าชงด่มื เองกพ็ ร้อมลยุ ทกุ เส้นทาง รวมถึงการนำไปผสมกบั กาแฟสายพนั ธุ์อืน่ ท่ีเรยี กว่า “กาแฟเบลนด์” (Blend Coffee) นน่ั เอง โรบัสต้าออกจะดแู ลง่าย ปลูกงา่ ย รกั อากาศร้อนช้ืนแบบภาคใต้ของบา้ นเรา แข็งแรง ทนทานตอ่ โรคต่างๆ ได้ดี ให้ผลผลิตสงู และการดูแลรกั ษาก็ไม่ยากด้วย ภาพที่ 4 กาแฟพันธ์โุ รบสั ต้า

22 เอก็ เซลซ่า (Excelsa) แม้จะมรี ูปลักษณภ์ ายนอกของเมลด็ และรสชาตใิ กล้เคยี งกบั โรบสั ตา้ แตเ่ อ็กเซลซ่ากลับไมไ่ ด้ รบั ความนิยมแพรห่ ลายเท่ากบั โรบัสต้า แต่ถา้ คุณลองถามชาวแอฟรกิ ันและบา้ นเกดิ ของกาแฟ (กาแฟ ไดร้ บั การคน้ พบคร้ังแรกในเยเมนและเอธิโอเปีย ส่วนเอ็กเซลซ่าเปน็ ทร่ี จู้ กั ครงั้ แรกในปี 1904) แล้วล่ะ ก็ พวกเขารักรสชาติเขม้ ขน้ และความขมพรา่ ของเอก็ เซลซ่าอยา่ งมาก ถึงขนาดท่ีดม่ื กาแฟสายพนั ธน์ุ ้ี ได้ตลอดวนั ทง้ั ยงั ปลกู ง่าย ดูแลง่าย ทนแลง้ และทนโรคไดด้ ี ให้ผลผลิตสงู สว่ นเมล็ดแก่ของเอ็กเซลซ่า ยังให้รสชาติกลมกลอ่ มและหอมมนั คล้ายกับกาแฟอราบิกา้ อกี ด้วย ภาพที่ 5 กาแฟพนั ธุ์เอก็ เซลซ่า ลเิ บอริกา้ (Liberica) บา้ นเกิดของลเิ บอรกิ ้าอย่ทู ่ไี ลบเี รียและไอวอรโี คสต์ ส่วนรสชาตกิ ็ใกลเ้ คยี งกับอราบิกา้ แต่มีรส เปรี้ยวอมหวานของผลเบอรร์ ่มี ากกว่า แตม่ ีความทนทานต่อโรคได้ดกี วา่ รกั อากาศร้อนชืน้ และนำ้ ชุ่มๆ นอกจากนี้ชาวไอวอรโี คสต์และมาดากัสกา้ ยงั นิยมนำไปพัฒนาสายพนั ธก์ุ ับกาแฟสายพนั ธ์อุ นื่ สว่ นบา ริสตา้ เองก็นยิ มนำไปเบลนดเ์ ขา้ กบั กาแฟอืน่ ๆ เพอื่ เพ่มิ ความเข้มขน้ และเสริมรสให้มเี อกลักษณ์มากขึ้น แม้จะได้ชือ่ วา่ เปน็ กาแฟทม่ี คี ุณภาพตำ่ กวา่ สายพันธุ์อ่นื แตล่ ิเบอริก้ากำลงั ไดร้ บั ความนยิ มแพร่หลาย ในประเทศแถบสแกนดเิ นเวยี (GOURMET, 2560) กาแฟท่ีถูกค้นพบบนโลกใบนีม้ ีอยหู่ ลากหลายพนั ธ์มุ ากๆ แต่ท่นี ำมาบรโิ ภคกนั จรงิ ๆ มีอยปู่ ระมาณ 4 สายพนั ธุ์ ได้แก่ พนั ธเ์ุ อก็ ซ์เซลซ่า (Excelsa), พันธลุ์ เิ บอริก้า (Liberica), พันธอ์ุ ราบิก้า (Arabica), พนั ธุ์โรบสั ต้า (Robusta) ซึ่งใน 2 สายพนั ธุแ์ รกน้ันไมเ่ ป็นท่ีนยิ มในการนำมาปลูกเทา่ ใดนัก เพราะเหตุ ทว่ี า่ มคี วามด้อยใรเรอ่ื งของกลิ่นและรสชาติ คอื ไมค่ อ่ ยอร่อยถูกปากเท่าไร ส่วนอีก 2 สายพันธห์ุ ลังนน้ั

23 คือพันธ์ุท่ีเป็นท่ถี ูกปากของผู้ทีท่ านกาแฟมากท่ีสดุ จงึ ถูกปลูกและนิยมนำมาขายในเชงิ พาณชิ ย์เป็น จำนวนมากทว่ั โลก ทำไมตอ้ งเปน็ อราบิกา้ และ โรบัสตา้ (SUZUKI COFFEE THAILAND, 2564) 2.2.4 กากกาแฟ กากกาแฟ (SCG) เป็นผลติ ภณั ฑ์ธรรมชาตเิ หลือท้ิงประเภทหน่ึงที่ได้มาจากอตุ สาหกรรมผลติ กาแฟสำเร็จรูปจากรา้ นกาแฟ กากกาแฟมีสารสำคญั หลายชนิด ไดแ้ ก่ โพลีแซคคาไรด์ กรดไขมนั โปรตีน คาเฟอีน สารประกอบฟีนอล และแร่ธาตตุ า่ งๆ ซง่ึ สามารถนำไปประยกุ ต์ใช้ประโยชน์ไดอ้ ย่าง กวา้ งขวางในการพัฒนาดา้ นอาหาร ยา และผลติ ภัณฑ์ส่งเสริมสุขภาพ นอกจากนี้กากกาแฟทผ่ี ่านการ ปรบั ปรงุ ทางกายภาพหรือเปลย่ี นแปลงโครงสรา้ งทางเคมสี ามารถนำไปใช้ประโยชนเ์ พ่อื เป็นเช้ือเพลิง วัสดปุ รับปรงุ ดินสำหรับการเพาะปลกู และเป็นวสั ดุดดู ซบั เพ่อื กำจัดสงิ่ เจือปนในตัวอย่างโดยเฉพาะ ทางด้านสิง่ แวดลอ้ ม ดังน้นั จงึ ทำใหก้ ารศกึ ษาวิจยั เกย่ี วกับกากกาแฟยงั คงเป็นท่สี นใจและมีแนวโนม้ เพิม่ ขน้ึ โดยเนน้ การพฒั นาเทคนิค วิธีการ การใช้เทคโนโลยที ่ีทันสมัยเพ่อื สร้างมูลค่าเพ่ิมและเกิดการ ใชป้ ระโยชน์จากกากกาแฟเหลือทิ้งเหลา่ นี้ให้มากท่ีสุด (มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏหมบู่ ้านจอมบึง, 2560) กากกาแฟ (Ground coffee) คอื เศษท่ไี ด้จากการควั่ บดกาแฟแลว้ นำไปชงดมื่ เรียบรอ้ ยแล้ว จะถูกทงิ้ ภายหลังจากการสกดั เพอ่ื ให้ไดน้ ำ้ กาแฟออกมา แต่ในกากกาแฟจะยังคงเหลือสารอาหาร สำคญั โดยเฉพาะสารต้านอนมุ ลู อสิ ระ เรานิยมนำเอากากกาแฟมาใช้ในการดแู ลผวิ ดว้ ยการผสมกับ ส่วนผสมตามธรรมชาติ ใชข้ ดั หรือพอก ไม่วา่ จะเป็นผิวหน้าหรือผวิ กาย กล็ ้วนชว่ ยดึงเอาสารพิษ ตกค้าง เตมิ ความใสให้ผิวสุขภาพดไี ด้ (sanook, 2559) กากกาแฟคือ กาแฟค่ัวบดทเี่ หลอื จากการชงกาแฟ โดยผ่านนำ้ รอ้ น การชงกาแฟสด นัน้ จะไม่ นำกากกาแฟทีใ่ ช้แลว้ มาชงซำ้ เพราะจะทำให้ความหอมและรสคณุ ภาพตำ่ ลง ความหอมและคาเฟอีนท่ี ได้กจ็ ะตำ่ ลงเช่นกัน (kissy, 2559) 2.2.5 สารสำคญั ที่เป็นสว่ นประกอบในกากกาแฟ การวิเคราะหท์ างเคมีของกากกาแฟในงานวิจยั น้ี จะมุ่งเนน้ ไปท่กี ารวเิ คราะห์องค์ประกอบ ทางเคมีและสมบัติทางโครงสร้าง ซ่งึ องค์ประกอบทางเคมีของกากกาแฟ พบวา่ มปี รมิ าณความชืน้ เทา่ กับ 2.84±0.17% ปรมิ าณเถา้ เทา่ กับ 14.93±0.55% ปริมาณโปรตีนเท่ากับ 10.93±0.03% ปริมาณไขมันเท่ากับ 14.42±0.43% และปรมิ าณคาร์โบไฮเดรตเทา่ กับ 56.88% (ศศิกานต์ ปาน ปราณีเจริญและนันทรักษ์ รอดเกตุ, 2563) การนำกากกาแฟที่ไม่สามารถนำกลับมาใชไ้ ด้อกี ที่เจ้าของร้านทง้ิ สงิ่ ท่ีคนอน่ื มองขา้ ม นำ กลับมาใชใ้ ห้เกิดประโยชนต์ า่ งๆได้อกี มากมาย อาทิ การนำกากกาแฟไปทำเป็นป๋ยุ ใสต่ น้ ไม้ เนื่องจากมาธาตุไนโตรเจนสูง ไนโตรเจนยังเป็นส่วนประกอบสำคญั ของ ดเี อ็นเอ อารเ์ อ็นเอ และ

24 โปรตนี ซ่งึ พชื จะต้องใชใ้ นการเจริญเตบิ โต กากกาแฟยังมีโพเทสเซยี ม ฟอสฟอรสั สารคาเฟอนี ใน กากกาแฟมฤี ทธเิ์ ปน็ กรด ซง่ึ สามารถนำมาบำรุงต้นไม้ดอกไม้ทช่ี อบดินเป็นกรดมากกวา่ เปน็ ด่าง โรย กากกาแฟสดให้ท่วั โคนต้น หรือจะนำมาคลกุ เคล้ากบั ดินที่ปลูกต้นไม้ เพ่อื ปรับค่าสมดุลให้ดนิ มีคา่ เปน็ กรดมากข้นึ กไ็ ด้ (ฉัตรศฎางค์ แข็งขนั เเละคณะ, 2564) ภาพที่ 6 สารสำคญั ทเี่ ปน็ สว่ นประกอบในกากกาแฟ จากการศกึ ษากาเเฟสามารถสรุปไดว้ ่า กาแฟเป็นพชื ไม้พุ่มทมี่ ีถนิ่ กำเนิดบรเิ วณทวีปแอฟรกิ า เเบ่งออกเปน็ 4 สายพันธุห์ ลักๆคอื อราบิก้า โรบัสต้า ลิเบอริก้าและเอก็ เซลซ่า โดยกาแฟนั้นมี สรรพคณุ มากมาย นอกจากจะปลุกสมองให้ตน่ื ตวั คลายความเหน่ือยล้าทง้ั ทางกายและทางจิตใจเเล้ว ยงั ชว่ ยในเรอ่ื งของโรคภัยต่างๆไดอ้ ีกด้วย โดยในการนำเมลด็ กาเเฟมาทำเป็นกาแฟเเต่ละครง้ั เศษท่ไี ด้ จากการคั่วบดกาแฟแลว้ นำไปชงด่มื เรยี บร้อยแล้วเรียกว่า กากกาแฟ นัน้ สามารถนำไปประยกุ ตใ์ ช้ ประโยชน์ไดอ้ ย่างกวา้ งขวางในการพฒั นาดา้ นอาหาร ยา ผลิตภัณฑ์ส่งเสรมิ สขุ ภาพ นอกจากนก้ี าก กาแฟทผ่ี า่ นการปรบั ปรงุ ทางกายภาพสามารถนำไปใช้ประโยชน์เพ่อื เปน็ เช้ือเพลงิ วัสดปุ รับปรงุ ดนิ สำหรบั การเพาะปลกู และเปน็ วัสดุดูดซบั เพ่ือกำจัดส่งิ เจือปนในตวั อยา่ งโดยเฉพาะทางด้าน สิง่ แวดลอ้ มไดอ้ ีกด้วย เพราะในกากกาแฟน้นั มสี ารท่ีสำคัญ เชน่ โพเทสเซียม ฟอสฟอรสั สาร คาเฟอีน เปน็ ต้น 2.3 มะพรา้ ว 2.3.1 ลักษณะของมะพรา้ วทัว่ ไป มะพร้าวเป็นพืชใบเลี้ยงเดีย่ ว ลำตน้ ทรงกระบอก เจรญิ เตบิ โตทางสูงขน้ึ ดา้ นบน ลำต้นไม่มี เยอื่ ท่เี จรญิ เปน็ กิง่ แตกขา้ งลำต้น เปน็ ไม้เนอ้ื ออ่ น ลำตน้ เป็นปลอ้ งมเี ปลือกหุม้ ลำตน้ ใบมีลกั ษณะเป็น แฉกๆ คล้ายขนนก แผ่กว้างตามขนาดของใบ รากเป็นระบบรากฝอยไม่มีรากแก้ว โดยแผก่ วา้ งรอบ โคนต้น และหยั่งลึกลงไปจากผวิ ดินถงึ ใต้ดิน ๑-๒ เมตร มะพร้าวจะใหผ้ ลเร็วหรือช้าขน้ึ อยู่กับสายพันธ์ุ

25 ที่ปลูก ความอุดมสมบรู ณข์ องดิน นำ้ ส่งิ แวดล้อม และภมู ิอากาศ (มูลนธิ โิ ครงการสารานกุ รมไทย สำหรับเยาวชน, 2560) มะพรา้ ว เปน็ พืชยนื ตน้ ใบมีลักษณะเปน็ ใบประกอบแบบขนนก ผลประกอบด้วยเอพิคารป์ (epicarp) คือเปลือกนอก ถดั ไปขา้ งในจะเป็นมีโซคาร์ป (mesocarp) หรือใยมะพรา้ ว ถัดไปข้างใน เปน็ สว่ นเอนโดคารป์ (endocarp) หรอื กะลามะพร้าว ซ่ึงจะมีรูสคี ล้ำอยู่ 3 รู สำหรับงอก ถัดจากสว่ น เอนโดคาร์ปเข้าไปจะเป็นส่วนเอนโดสเปริ ม์ หรือท่ีเรยี กวา่ เน้ือมะพรา้ ว ภายในมะพร้าวจะมนี ำ้ มะพร้าวซงึ่ นำ้ มะพรา้ วเกดิ จากเอนโดสเปริ ์มของมะพรา้ วซง่ึ จะมเี อนโดสเปิร์มทัง้ ของแขง็ และของเหลว คือ เอนโดสเปิรม์ ของแขง็ จะเป็นเน้อื มะพร้าว และเอนโดสเปิรม์ ทัง้ ของเหลวจะเปน็ นำ้ มะพร้าว ซงึ่ เมื่อ มะพรา้ วแก่ เอนโดสเปิรม์ กจ็ ะดดู เอาน้ำมะพรา้ วไปหมด ขณะท่มี ะพร้าวยังออ่ น ชัน้ เอนโดสเปิร์ม (เนื้อ มะพร้าว) ภายในผลมลี กั ษณะบางและอ่อนนุ่ม ภายในมนี ้ำมะพรา้ ว ซึ่งในระยะน้เี รามักสอยเอา มะพรา้ วลงมารับประทานน้ำและเนอื้ เม่อื มะพร้าวแก่ ซ่ึงสงั เกตได้จากการทีเ่ ปลอื กนอกเรมิ่ เปลีย่ นเป็นสนี ้ำตาล ช้นั เอนโดสเปริ ์มก็จะหนาและแขง็ ขึน้ จนในทสี่ ุดมะพร้าวกห็ ล่นลงจากตน้ (สารานกุ รมเสรี, 2564) มะพรา้ วจัดเป็นไม้ยืนตน้ ท่ีมีความสูง 5-30 เมตร (แลว้ แตส่ ายพนั ธ์ุ) ลำต้นมีลกั ษณะกลมต้งั ตรงไม่มกี งิ่ ก้าน เปลือกต้นมสี ีเทา แขง็ ผิวขรขุ ระ ตามลำตน้ จะมีรอยแผลใบตลอดลำตน้ ใบเป็นใบ ประกอบแบบขนนก ออกเรยี งสลบั มสี เี ขยี วขนาดกว้างประมาณ 2-5 ซ.ม. ยาว 50 – 120 ซ.ม.โคนใบ และปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ แผน่ ใบเรียบสเี ขียวแกเ่ ป็นมนั ใบมะพรา้ วเรยี งติดกนั เปน็ แผงทงั้ สอง ขา้ งของทางมะพรา้ ว มปี ระมาณ 200-240ใบ ใบท่ีอยู่ส่วนโคนของทางและตอนปลายทางจะสน้ั ประมาณ 30 ซ.ม.ส่วนใบที่ตดิ อยตู่ รงกลางยาวมากถึง 120 ซ.ม. สว่ นทางมะพร้าวยาวประมาณ 5 – 6.5 เมตร กา้ นทางยาวประมาณ1.2 – 1.65 เมตร ทางมะพรา้ วที่อยู่บนยอดมะพร้าว ติดเรยี งเวยี น รอบตน้ แต่ละทางติดเวียนรอบต้นห่างกันเปน็ มุม 137 – 140 องศาโดยตน้ มะพร้าวจะมีทางบนต้น 12-30ทาง ดอก ออกเปน็ ช่อแขนงตามบนลำต้นตรง โคนทางทีอ่ ย่ใู นซอกมมุ ใบ ดอกเปน็ ดอกเลก็ มี กลบี ดอกที่ลดรูปมี 4-6 อนั ในชอ่ หนึง่ มีทั้งดอกเพศผแู้ ละเพศเมีย โดยดอกเพศผู้จะอยปู่ ลายชอ่ และ ดอกเพศเมยี อยูบ่ รเิ วณโคนช่อดอก ดอกตวั ผู้มสี ีเหลืองหมน่ ดอกตวั เมียสีเขยี วแกมเหลือง และเม่ือ ตาดอกเจรญิ เตบิ โตเป็นจั่นแลว้ จะโผลอ่ อกมาจากโคนทางเมอื่ ออกมาใหม่ๆมีกาบหมุ้ จ่ันหรือชอ่ ดอก ไวท้ า้ ใหม้ องดูคล้ายกับใบหอกมีปลายแหลม เมือ่ จ่ันโตเต็มทจี่ ะแตกออกตามแนวยาวจากปลายมาหา โคนทำให้เหน็ ชอ่ ดอกอยภู่ ายใน ผล เป็นรปู ทรงกลมหรอื รี ผิวเรยี บ ผลอ่อนสีเขยี วพอแกเ่ ป็นสนี ้ำตาล ทง้ั นีผ้ ลมะพรา้ วจะมีเปลือก 3 ชัน้ คอื เปลือกชัน้ นอก ( exocarp )เป็นเสน้ ใยท่ีเหนียวและ แขง็ เมอ่ื แกอ่ าจมีสีเขียว แดง เหลอื งหรอื นา้ ตาล เปลือกชนั้ กลาง ( mesocarp )มลี ักษณะเป็นเสน้ ใย

26 มีความหนาพอประมาณ เปลือกชน้ั ใน ( endocarp )มีลักษณะแขง็ หรือทีเ่ รยี กกันว่า กะลา ( shell ) ซ่ึงจะมีรูสคี ลำ้ อยู่ 3 รู สำหรับงอก ถดั จากส่วน endoxarp เข้าไปจะเป็นส่วน เอนโดสเปริ ม์ หรือที่ เรยี กว่าเนื้อมะพรา้ ว ภายในมะพร้าวจะมนี ำ้ มะพรา้ ว ซง่ึ เมื่อมะพร้าวแก่ เอนโดสเปิรม์ กจ็ ะดูดเอาน้ำ มะพรา้ วไปจนหมด (รศ.วมิ ล ศรสี ุข, 2529) 2.3.2 คุณสมบัติของมะพรา้ ว มะพร้าวนบั เปน็ พืชทีอ่ ยกู่ ับสงั คมไทยมาตัง้ แตโ่ บราณแลว้ ดังนนั้ จึงมีการนำมะพร้าวมาใช้ ประโยชนใ์ นชีวิตประจำวันหลายๆด้านด้วยกัน เช่น ใชเ้ ปน็ อาหารโดยสามารถ เนื้อมะพร้าวแก่ นำไป ทำกะทไิ ด้ โดยการขูดเน้อื ในเปน็ เศษเล็กๆ แลว้ บีบเอาน้ำกะทิออกมาทำอาหารทั้งอาหารคาว-หวานได้ หลายเมนู สว่ นเนือ้ มะพรา้ วอ่อนสามารถนำไปกินเป็นของว่างหรอื นำไปแปรรปู เป็นขนมได้ เช่นกัน ยอดออ่ นมะพรา้ วหรอื เรียกอกี ช่ือว่า หวั ใจมะพร้าว (coconut’s heart) สามารถนำไปใช้ ทำอาหารได้ซึ่งยอดออ่ นมีราคาแพงมาก เพราะการเกบ็ ยอดอ่อนจำเปน็ ต้องโค่นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บ ยอดออ่ น ดว้ ยเหตุน้จี งึ มกั เรียกย้ายอดอ่อนมะพรา้ วว่า “สลดั เจ้าสัว” จ่นั มะพรา้ วใหน้ ำ้ ตาล ซึง่ นำไป ทำนำ้ ตาลมะพรา้ วสำหรับทำเปน็ เครื่องปรุงอาหารคาวหรือขนมหวานกไ็ ด้ จาวมะพรา้ วใชน้ ำมาเป็น อาหารหรือกินเล่นเปน็ ของวา่ งได้ น้ำมะพร้าวก็สามารถนำมาดื่มเปน็ เครือ่ งดมื่ ดับกระหายได้เป็นอยา่ ง ดี และยังช่วยเพ่มิ ความกระชมุ่ กระชวย ให้รา่ งกายตื่นตวั ไดอ้ ีกดว้ ย สำหรับสรรพคุณทางยาของมะพร้าวนั้นตามตำรายาไทยระบไุ ว้ว่า เปลือกมะพร้าวมรี สขม คณุ สมบัตเิ ปน็ กลางมีสรรพคุณห้ามเลอื ด แกป้ วด น้ำมันมะพรา้ ว รสหวาน ชว่ ยใหผ้ วิ พรรณเปลง่ ปล่ัง แก้รอ้ นใน กระหายนำ้ ลดอาการบวม แก้พิษ แก้อาเจียนเป็นเลือด แกท้ ้องเสยี ขบั ปัสสาวะ แกน้ ่ิว แก้ โรคผวิ หนงั กลากเกลอ้ื น เนอ้ื มะพรา้ ว มีรสหวาน คุณสมบัติเป็นกลาง มสี รรพคุณชว่ ยบำรงุ ร่างกาย ขับพยาธิตัวตืด กะลา ใช้แกโ้ รคผวิ หนัง กลากเกลื่อน แกป้ วดฟนั ราก รสฝาด หวาน ใช้ขบั ปัสสาวะ และแก้ท้องเสยี แกป้ ากเจบ็ เปลอื กตน้ แก้ปวดฟัน แกห้ ิด (รศ.วมิ ล ศรีสขุ , 2529) “มะพร้าว” ผลไม้ทอ่ี ดุ มไปด้วยวติ ามินและแร่ธาตหุ ลากหลายชนิด รับประทานง่าย สามารถ รบั ประทานไดท้ ้ังน้ำและเน้อื มีรสชาติอร่อย และยงั เป็นผลไม้ทนี่ ำมาเปน็ สว่ นประกอบของเมนูอาหาร หลากหลายเมนู ทั้งอาหารคาว และอาหารหวาน ในประเทศไทยมีมะพร้าวหลากหลายสายพนั ธุ์ แต่ท่ี ไดร้ ับความนยิ ม คอื มะพรา้ วน้ำหอม เพราะมีรสชาติอรอ่ ย มะพรา้ วยงั เป็นผลไมท้ ไี่ ดร้ บั ความนยิ มจาก นักทอ่ งเทีย่ ว และถือเปน็ ผลไมเ้ ศรษฐกจิ ของประเทศไทย เพราะสามารถนำไปแปรรปู เพอ่ื ใชป้ ระโยชน์ ได้ เช่น แป้งมะพรา้ ว น้ำมันมะพร้าว นอกจากที่กลา่ วมาข้างต้น มะพรา้ วยงั มคี ุณสมบัติ ดงั ตอ่ ไปนี้

27 ▪ ชว่ ยใหผ้ ิวพรรณเปรง่ ปร่งั ชะลอการเกดิ ริว้ รอยแห่งวยั ▪ แกก้ ระหายน้ำ ทำให้ร่างกายร้สู กึ สดช่ืน ▪ ช่วยปอ้ งกันการสญู เสียมวลกระดูก ทำใหก้ ระดกู แขง็ แรง ▪ ดที อ็ กซ์ ขบั สารพษิ ออกจากร่างกาย ▪ ช่วยป้องกันการเกดิ โรคหวั ใจ และช่วยรักษาผูป้ ่วยโรคหวั ใจ ▪ ปรบั สมดลุ ของน้ำตาลในเลือด ▪ รักษาอาการผดผื่น ดว้ ยการใชน้ ำ้ มันมะพรา้ วชโลมลงไปบนผิวหนัง (techace, 2564) คนไทยคนุ้ เคยกบั มะพรา้ วมาเป็นเวลานาน และใช้ประโยชนจ์ ากทุกสว่ นของมะพรา้ ว เช่น ผลอ่อนใช้รบั ประทานสด (น้ำและเนือ้ ) เนอื้ มะพรา้ วจากผลแกน่ ำไปปรงุ อาหารและขนมหลายชนดิ และใช้สกัดน้ำมัน กากท่ีเหลอื ใช้เลยี้ งสัตว์ น้ำมันมะพร้าวใชป้ ระกอบอาหาร เนยเทยี ม และสบู่ เปลอื กมะพร้าวนำไปแยกเอาเสน้ ใยใชท้ ำเชอื ก วสั ดุทำเบาะและที่นอน ขุยมะพรา้ วใช้ทำวสั ดุเพาะชำ ตน้ ไม้ กะลาใช้ทำภาชนะ ตักตวงของเหลว (กระจ่า กระบวย ฯลฯ) ทำกระดุม เคร่อื งประดับ เครอื่ ง ดนตรี (ซออู)้ ทำเชอื้ เพลิง และถ่านกัมมันต์ (มคี ณุ สมบัตใิ นการดดู ซบั สงู ) ใบมะพร้าวทงั้ อ่อนและแก่ ตลอดจนก้านใบใชม้ ุงหลงั คา เครื่องจักสาร ไม้กวาดทางมะพรา้ ว ใชท้ ำรัว้ และเช้อื เพลงิ ลำตน้ แกใ่ ช้ใน การกอ่ สร้างประดษิ ฐเ์ ครื่องเรือน ยอดอ่อนใชเ้ ป็นอาหาร จนั่ (ชอ่ ดอก) มนี ้ำหวานรองมาดืม่ เป็นน้ำ ผลไมห้ รอื ทำน้ำตาล หมักท ำเหล้าและน้ำสน้ รากใช้ทำยา สียอ้ มผ้า และเชื้อเพลงิ แตอ่ ย่างไรกต็ าม การปลูกมะพร้าวโดยทั่วไปกเ็ พ่อื นำเอาเน้ือมะพรา้ วไปประกอบอาหารและสกดั เอาน้ำมนั เชน่ เดียวกับ ปาลม์ (MGRONLINE, 2557) 2.3.3 พนั ธม์ุ ะพร้าว รายชอ่ื พนั ธม์ุ ะพร้าว ▪ มะพรา้ วไฟ ▪ มะพร้าวน้ำหอม ▪ มะพร้าวทะเล ▪ มะพร้าวซอ ▪ มะพร้าวพนั ธม์ุ ลายสู เี หลอื งต้นเต้ีย

28 ▪ มะพร้าวพวงรอ้ ย ▪ มะพร้าวกะทิ ▪ มะพรา้ วพวงทอง ▪ มะพรา้ วสีสกุ (สารานุกรมเสรี, 2564) นกั วชิ าการเกษตรไดแ้ บ่งมะพร้าวไว้ 2 กลุม่ แตล่ ะกลุม่ มจี ำนวนหลายพันธดุ์ ้วยกันดังนี้ กลมุ่ ตน้ สงู มมี ะพร้าวใหญ่ กลาง กะทิ ปากจก น้ำตาล พวงรอ้ ย (ทะลายรอ้ ย) เปลอื กหวาน มะแพร้ว หวั ลงิ ซอกลุม่ น้ลี กั ษณะของตน้ มีขนาดใหญ่ หลงั ปลกู ต้องใชเ้ วลานานจึงตกผล ผลขนาด ใหญ่ ตกผลไมด่ กนกั พื้นที่ปลกู มีมากแถบสมทุ รสงคราม ประจวบครี ีขนั ธ์ ชมุ พร สรุ าษฎร์ธานี โดยทว่ั ไปแลว้ ครอบครัวคนไทยจะปลูกมะพร้าวใหญ่ไว้รอบบ้าน หากมีท่ีวา่ งอยา่ งการสรา้ งหมู่บ้าน สรา้ งรวงรงั มักมมี ะพร้าวปลูกไว้ จะดวู ่าหมบู่ า้ นไหนมีอายเุ ก่าแก่มากน้อยเพียงใด ดูคร่าวๆ จากต้น มะพรา้ วได้ กลุ่มต้นเตีย้ มีมะพร้าวนกคมุ่ หมูสเี ขยี ว ทุง่ เคล็ด ปะทวิ น้ำหอม น้ำหวาน หมูสีเหลอื ง ไฟ ต่นื ดก นมิ่ กะทิ นาฬิเก มะพร้าวไทย สามารถแบง่ ออกเป็น 3 กลุ่ม ดังน้ี 1. กล่มุ ตน้ สูง ออกผลช้า มีสะโพกทีโ่ คนตน้ ผสมข้าม ต้นมะพร้าวกลุม่ นี้ ดอกตวั ผูบ้ านหมด ก่อน ทด่ี อกตัวเมยี จะเริม่ บาน ลำตน้ สูงใหญ่มากกวา่ 14 เมตร โคนตน้ มสี ะโพก ผลโต เนอ้ื หนา สว่ น ใหญ่เป็นมะพร้าวทีน่ ำเนือ้ มาแปรรปู ทางอุตสาหกรรม ทนทานต่อสภาพอากาศแล้ง ให้ผลผลิตตง้ั แต่ อายุ 6 ปี ขึ้นอยูก่ บั การบำรุงรกั ษามะพร้าวมอี ายยุ าวนานเกนิ 100 ปี เช่น พันธุ์กะโหลก มะพร้าวใหญ่ มะพร้าวกลาง ปากจก ทะนาน เปลอื กหวาน มะแพร้ว มะพร้าวซอ หัวลิง 2. กลุ่มตน้ เต้ีย ออกผลเรว็ ไมม่ ีสะโพกทโ่ี คนตน้ ผสมตวั เอง จงึ ไมก่ ลายพันธ์ุ มีผลดก สว่ น ใหญเ่ ปน็ มะพร้าวรับประทาน ผลอ่อนอายุ 4 เดือน เพือ่ ด่ืมนำ้ ทเ่ี ป็นประโยชน์ น้ำมรี สหวานกล่ินหอม เป็นหน่งึ เดยี วในโลก ปัจจบุ นั เปน็ พชื เศรษฐกจิ ทม่ี ีความตอ้ งการมากในอุตสาหกรรมเคร่อื งดื่ม ลำต้น เต้ีย ความสูงเมือ่ โตเต็มทีไ่ มเ่ กิน 13 เมตร ผลมขี นาดเลก็ อายุใหผ้ ลผลิตเร่ิมตัง้ แต่ อายุ 4-40 ปี ข้นึ อยู่ กับการดแู ลรักษาต้น มีการใหป้ ุ๋ยเคมมี ากกว่าพนั ธต์ุ น้ สูง ได้แก่ พันธ์ุ นกคุ่ม หมูสีเขียว หมูสเี หลือง หรือนาฬเิ ก ท่งุ เคลด็ พวงทอง พวงร้อย ปะทวิ มะพร้าวไป น้ำหวาน น้ำหอม

29 3. กลมุ่ พันธุล์ กู ผสม มะพร้าวท่ีเกดิ จากการปรับปรุงพันธุด์ ว้ ยการผสมต้นพ่อและต้นแม่ต่าง สายพนั ธุ์ เพ่อื ใหไ้ ดพ้ ันธล์ุ ูกผสมทม่ี ีผลผลิตสงู เปอรเ์ ซ็นตน์ ้ำมันสงู และมะพรา้ วกะทิ เปน็ ตน้ ต้นพนั ธท์ุ ่ี เกดิ จากลกู ผสม เม่อื เจรญิ เตบิ โตเปน็ ตน้ ใหญ่ ผลมะพร้าวทีเ่ กดิ จากพันธล์ุ กู ผสมไม่สามารถ นำไปปลูก เพอื่ ใหผ้ ลผลิตสงู เหมือนตน้ เดมิ ซ่งึ ตา่ งจากมะพรา้ วท่ีกล่าวมาขา้ งต้นทง้ั 2 กลมุ่ (Plookpak, 2562) 2.3.4 กากมะพร้าว เป็นผลพลอยไดจ้ ากการสกัดน้ำมนั มะพรา้ ว ของโรงงานผลติ น้ำมนั พืชมีคณุ สมบตั ิดงั นี้ - มโี ปรตนี ประมาณ 18-21 เปอร์เซน็ ต์ แต่ถ้าเป็นกากมะพรา้ วจากการคั้นกะทิจะมีโปรตนี ตำ่ มากแค่ 1.2 เปอร์เซ็นต์ ขอ้ จำกดั ในการใช้ - มเี ยื่อใยสูง ประมาณ 12 เปอร์เซน็ ต์ ทำให้ใชไ้ ด้นอ้ ยในสตู รอาหาร - มีไขมันสงู ทำให้หนื ง่าย นอกจากนยี้ งั เป็นไขมันประเภทอ่มิ ตัว ซ่งึ ถา้ ใช้ระดับสงู ในสูตร อาหารจะทำให้ซากสตั ว์ และฮิสติดนี ตำ่ ข้อแนะนำในการใช้ - ควรเสริมด้วยวัตถุดบิ ทม่ี ีไลซีนสงู - ไม่ควรเลอื กใช้กากมะพรา้ วเกิน 15% ในสตู รอาหารสัตว์ปกี และ 20% ในสตู รอาหารสกุ ร - สำหรบั กากมะพร้าวจากการค้ันกะทิน้นั มคี ุณคา่ ทางอาหารตำ่ มาก ไม่ควรใช้เกิน 10% ใน สตู รอาหารสัตว์ระยะร่นุ -ขนุ และต้องระวังในการปรบั สูตรอาหารใหม้ ีโภชนะพอเพียง (nutrition, 2564) กากมะพร้าว เปน็ ผลติ ผลพลอยไดจ้ ากการหีบหรือการสกัดนำ้ มนั มะพร้าว มโี ปรตนี ประมาณ 20 – 26 เปอรเ์ ซ็นต์ และเย่อื ใย 10 เปอร์เซ็นต์ คุณภาพของกากมะพร้าวขึน้ อยู่กับ กรรมวธิ ขี องการ สกดั และอณุ หภูมิทีใ่ ช้ในกรรมวธิ ี ถา้ อุณหภูมิสูงเกินไปจะทำลายกรดอะมโิ น โดยเฉพาะไลซีนทำให้การ ยอ่ ยไดข้ องโปรตีนลดลง กากมะพรา้ วมักมีน้ำมันเหลืออยสู่ งู ทำใหห้ นื ได้งา่ ย ควรใช้ให้หมดใน 6 – 8 สปั ดาห์ ไขมันในกากมะพร้าวเป็นชนิดอิ่มตวั เมือ่ นำไปเลีย้ งสตั ว์ทำให้ไขมันในซากมลี กั ษณะเปน็ มัน แข็ง โปรตีนในกากมะพร้าวมกี รดอะมโิ นไลซนี และฮีสทตี ีนตำ่ ถา้ ใช้มากจะทำใหก้ รดอะมโิ นสองชนิดน้ี ไม่พอและมีอัตราการยอ่ ยไดต้ ำ่ จงึ ควรเสริมด้วยกรดอะมิโนสงั เคราะห์หรือเสริมดว้ ยอาหารทีม่ ีไลซี

30 นสูง เช่น ปลาป่นหรือเนื้อป่น ระดบั การใช้ข้นึ กับชนดิ ของสตั ว์ เชน่ สตั ว์ปีกไม่ควรเกนิ 15 เปอรเ์ ซ็นต์ สุกรประมาณ 20 เปอร์เซน็ ต์ เป็นต้น นอกจากน้ี กากมะพร้าวยงั ขึ้นราไดง้ า่ ย (rukcom, 2562) กากมะพรา้ ว มาจากมะพร้าวทค่ี นั้ กะทิออกแล้ว ผ่านการอบไอนำ้ ออก แลว้ เหลอื กาก มี โปรตีนระดับ 20% จากการสุ่มตัวอยา่ ง ตรวจสอบสารอาหาร โดยบริษัท เอ็กซต์ ร้าแล็บ จำกัด พบมี โปรตนี 21.58% (JFK, 2563) 2.3.5 องคป์ ระกอบทางโภชนาการของกากมะพร้าว กากมะพร้าวเปน็ ผลพลอยไดจ้ ากอุตสาหกรรม ผ่านกรรมวิธีที่แตกต่างกนั ดงั นนั้ คุณคา่ ทาง โภชนาการของกากมะพรา้ วจงึ แตกตา่ งกัน จากการศึกษาสว่ นประกอบทางเคมขี องกากมะพรา้ วในรปู ของเนอ้ื มะพร้าว (แก่) สด เนอ้ื มะพร้าวแหง้ น้ำมะพร้าว และกากมะพรา้ ว (กรมั / 100 กรัม) พบว่า เน้ือมะพรา้ วสดและเนอ้ื มะพรา้ วแหง้ จะมไี ขมนั (นำ้ มัน) เป็นสว่ นประกอบมากท่ีสุด ประมาณ 41.6 และ63.7 เปอรเ์ ซน็ ต์ ตามลำดบั ในนำ้ มะพร้าวนอกจากจะมีนำ้ เปน็ องค์ประกอบมากทสี่ ุดแล้ว ยังมี คารโ์ บไฮเดรตในรปู ของน้ำตาลเป็นองคป์ ระกอบถึง 4.0 เปอรเ์ ซ็นต์ สำหรบั กากมะพรา้ วทีเ่ หลอื จาก การสกดั น้ามนั ออกแลว้ จะมีคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบสูงสุดถึง 40.2 เปอรเ์ ซน็ ต์ (ดวงวรพร ศรี พงษ์, 2525) กากมะพร้าวมีปรมิ าณ โปรตนี ประมาณ 18-25 เปอรเ์ ซ็นต์ ซึ่งสงู กวา่ กากมะพรา้ วทคี่ ั้นกะทิ ที่มีโปรตนี ต่ำมากคอื ประมาณ 1.2 เปอร์เซ็นต์ มียอดโภชนะทยี่ อ่ ยได้เพียง 68 เปอรเ์ ซน็ ต์ กรดอะมิ โนไลซนี ต่ำ มเี ยอ่ื ใยสูงประมาณ 12 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ใช้ได้น้อยในสูตรอาหารสัตว์ปีก นอกจากนี้ ปริมาณไขมนั ที่มสี งู ประมาณ 10 เปอร์เซน็ ต์ ยังทำให้เก็บไว้ได้ไมน่ าน เพราะจะเกดิ การหนื เร็ว นอกจากนี้ยงั เปน็ กรดไขมนั ประเภททอี่ ิ่มตัว ซง่ึ ถ้าใชใ้ นระดบั สูงในสูตรอาหารจะมผี ลต่อไขมนั ในซาก สตั ว์ ดังนั้นการใช้กากมะพรา้ วในสตู รอาหารสตั ว์ระยะรนุ่ ถึง ขนุ จะตอ้ งใช้ไมเ่ กนิ 15 และ 20 เปอร์เซน็ ต์ ในอาหารสัตว์ปีกและสกุ ร ตามลำดบั สำหรับในอาหารโคนมไมค่ วรใช้เกิน 20-30 เปอร์เซ็นต์ เพราจะมีผลทำให้ไขมันนมแข็งกวา่ ปกติ ส่วนในอาหารโคขนุ สามารถ ใชไ้ ดใ้ นระดับสูงเพ่ือ เป็นแหลง่ ของเยอื่ ใย แต่ควรใหค้ วามระมัดระวงั ในเรอื่ งของสารพษิ ท่เี กดิ จากเช้ือรา คือ อะฟลาท็อก ซนิ โดยเฉพาะในสตู รอาหารพ่อ-แมพ่ ันธุ์ (นริ นาม,2549;เสกสม และคณะ,2546 อ้างอิงโดย นฤมล และคณะ, 2550) จากการศึกษามะพร้าว สามารถสรปุ ไดว้ ่า มะพร้าวเป็นพชื ใบเล้ยี งเดีย่ ว ลำตน้ ทรงกระบอก เจริญเตบิ โตทางสูงขึน้ ด้านบน ลำตน้ ไมม่ เี ยื่อทเ่ี จรญิ เป็นกิ่งแตกขา้ งลำต้น เป็นไมเ้ นือ้ ออ่ น ลำต้นเปน็ ปล้องมีเปลอื กหมุ้ ลำต้น ใบเปน็ ใบประกอบแบบขนนก ผลเป็นรปู ทรงกลมหรอื รี ผิวเรยี บ ผลอ่อนสี เขยี วพอแกเ่ ปน็ สนี ำ้ ตาล มสี ายพันธอุ์ ยู่มากมายโดยจะมกี ารเเบ่งออกไปตามลักษณะของตน้ เเละ

31 ระยะเวลาในการออกผล มะพรา้ วนนั้ มีประโยชนม์ ากมายตอ่ ชวี ิตประจำวนั ของคนไทยมาต้งั เเต่ โบราณ ไมว่ ่าจะเปน็ ดา้ นอาหารการกนิ ยารกั ษาโรค หรอื เเม้เเตเ่ คร่ืองอุปโภคบริโภคต่างๆ กาก มะพรา้ วก็เป็นผลพลอยไดอ้ ยา่ งหนึ่งจากการนำเอามะพรา้ วมาใช้ประโยชน์ โดยจะมคี ณุ คา่ ทาง โภชนาการเเตกต่างกนั ไปตามกรรมวิธใี นการสกดั 2.4 วิธีการผลิตเชอ้ื เพลิงอัดแทง่ 2.4.1 กระบวนการผลิตถ่านอดั แท่ง ฐานข้อมูลส่งเสริมและยกระดับคุณภาพสินค้า (2559) กล่าววา่ วสั ดุเหลือทิง้ ทางการเกษตร ตา่ งๆ ท่จี ะนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ต้องผา่ นการแปรรปู ให้เหมาะสมก่อน โดยกระบวนการแปรรูปนี้ แบง่ ออกเปน็ 5 ข้ันตอน (ธรรมศักดิ์ และคณะ, 2554) ได้แก่ 1. การผลติ ถา่ น ถ่านเปน็ ไมท้ ี่ได้จากเผาไหม้ภายในบริเวณท่มี อี ากาศเบาบาง หรอื กระบวนการแยกสารอนิ ทรีย์ภายในไม้ในภาวะท่มี ีอากาศอย่นู อ้ ยมาก เมอื่ มกี ารให้ความรอ้ นระหวา่ ง กระบวนการจะชว่ ยกำจดั น้ำ น้ำมันดนิ และสารประกอบอื่นๆ ออกจากไม้ ถา่ นทไี่ ดห้ ลงั การผลิตจะมี ปรมิ าณของคารบ์ อนสูง และไม่มคี วามชื้น ทำใหป้ ริมาณพลังงานในถา่ นสูง โดยมคี ่าเปน็ สองเทา่ ของ ปรมิ าณพลงั งานในไม้แหง้ กระบวนการที่ทำใหส้ ารอนิ ทรยี ์ในเน้ือไมเ้ ปลยี่ นรปู เป็นถ่านเรยี กวา่ คารบ์ อนไนเซชนั (Carbonization) สามารถแยกกระบวนการดังกลา่ วแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 4 ขน้ั ตอน คือ (1) ขนั้ ตอนที่ 1 การเผาไหม้ เปน็ กระบวนการที่ต้องการปรมิ าณออกซเิ จนจำนวนมาก ระหว่าง การเกดิ คารบ์ อนไนเซชัน โดยใหค้ วามร้อนกบั วสั ดุภายในเตาเผาถ่าน (2) ขั้นตอนท่ี 2 เป็นปฏกิ ริ ิยาประเภทดูดความรอ้ น เพอ่ื ไล่ความชนื้ ออกจากเนอ้ื วสั ดุ โดยจะ ใช้อุณหภมู ิจนถึง 270 องศาเซลเซียส ความชืน้ จะค่อยๆ ลดลงจนกระทั่งหมดไป สามารถสังเกตได้ จากปรมิ าณไอนำ้ สีขาวท่ขี ้ึนหนาจนหนาทบึ (3) ขัน้ ตอนท่ี 3 เป็นปฏิกริ ิยาประเภทคายความร้อน โดยเกดิ ขึ้นในชว่ งอุณหภมู ิ 250-300 องศาเซลเซยี ส ระหวา่ งปฏกิ ริ ิยาคายความรอ้ นจะเกิดก๊าซตา่ งๆ เช่น กา๊ ซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) รวมถึงเกิดกรดอะซิตกิ เมทิลแอลกฮอล์ และสารพวกนำ้ มันดนิ ขัน้ ตอนนีท้ ำใหป้ ริมาณคาร์บอนของถา่ นเพิม่ ข้ึน เน่ืองจากองคป์ ระกอบทร่ี ะเหยได้จะถกู กำจัดออก (4) ขนั้ ตอนที่ 4 เปน็ การนำผลติ ภัณฑถ์ ่านมาทำให้เย็น ซึ่งจะใช้เวลาหลายชั่วโมงข้ึนอยกู่ บั ชนิดของเตาเผาท่ีใชใ้ นการผลิต คุณภาพถ่านทผ่ี ู้ใชย้ อมรับไดค้ ือ ตอ้ งมปี ริมาณคาร์บอน 70

32 เปอร์เซ็นต์ สารระเหยไดต้ อ้ งน้อยกว่า 25 เปอร์เซน็ ต์ ข้ีเถา้ ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ และความ หนาแน่นประมาณ 0.25-0.30 กรัมตอ่ ลูกบาศก์เซนติเมตร ซึง่ ถ่านจะมีคุณสมบัติเปราะปานกลาง 2. การบดยอ่ ย (Grinding) ผงถา่ นทีน่ ำมาใชใ้ นการอดั แทง่ ตอ้ งละเอียดพอท่ีจะนำไปขน้ึ รปู ได้ ขนาดของผงถ่านทีใ่ ช้นน้ั ข้นึ อย่กู บั ชนิดของถ่าน และวธิ ีการทำผงถา่ นใหเ้ ป็นแท่ง วธิ กี ารบดยอ่ ย สามารถทำได้หลายวธิ ีท้ังการใช้เครอ่ื งบด เครอื่ งสับ และเครือ่ งป่นวสั ดุ หรอื วิธที ี่งา่ ยที่สุดคอื การบด ด้วยมอื โดยอาจใชค้ รกและสากเป็นอุปกรณ์ แตว่ ิธีนี้ตอ้ งใช้แรงงานมากและใช้เวลานาน 3. การผสม (Mixing) เปน็ การผสมวสั ดทุ ี่ถูกป่นย่อยแลว้ กับสารท่ีจะช่วยประสานวัสดใุ ห้ ติดกนั งา่ ยขนึ้ ลักษณะของตวั ประสานทดี่ นี ัน้ นอกจากจะตอ้ งมีแรงยึดเหนย่ี วระหวา่ งอนภุ าคสูงแล้ว ความช้ืนต้องมากพอและสามารถปกคลุมพ้นื ท่ีผวิ ของถา่ นได้ทั่วถงึ สำหรับประเทศไทยได้ทดลองใช้ ผลผลิตทางการเกษตรเป็นตวั ประสาน พบว่า กากน้ำตาลและแป้งเปยี กเป็นตัวประสานที่ดี โดยถ่าน อดั แทง่ ที่ใช้กากนำ้ ตาลเปน็ ตวั เชือ่ มประสานน้ันมคี ่าความรอ้ นสูงกวา่ และมปี รมิ าณเถา้ ตำ่ กวา่ ถ่านอัด แท่งท่ีใช้แปง้ เปยี กเป็นตวั เชื่อมประสาน แตข่ ้อเสียของการใช้กากน้ำตาลคอื ต้องใช้ปรมิ าณมากกวา่ และเม่อื ทิ้งไวใ้ นอากาศชื้นๆ จะดดู ความชืน้ จากอากาศเข้าไปทำใหอ้ อ่ นตัวลง อยา่ งไรกต็ ามยงั มวี ัสดุ อีกมากมายทีส่ ามารถนำมาใชเ้ ป็นตวั ประสานได้ ในแต่ละท้องถิ่นกจ็ ะมีการใชว้ สั ดุทีแ่ ตกต่างกัน ออกไป ซง่ึ การเลือกวสั ดใุ ดเปน็ ตวั ประสานควรพจิ ารณาถึงคุณสมบตั ิ ไดแ้ ก่ ราคารถูก มีแรงยึดเกาะท่ี ดี ไม่ก่อใหเ้ กดิ กลนิ่ เหม็นขณะเผาไหม้ และสามารถหาได้ง่าย ท้ังน้ี เช้ือเพลิงอดั แท่งท่ีไม่ไดใ้ ช้ตวั ประสานใดๆ เม่อื อดั เสรจ็ แล้วต้องนำไปใช้เลย เนอื่ งจากมคี วามเปราะมาก ทำให้หกั เป็นทอ่ นๆ และ ปน่ กระจายไดง้ ่าย จึงไมส่ ามารถเก็บรกั ษาไว้นานๆ 4. การอดั แท่ง (Compaction) เป็นขน้ั ตอนในการกำหนดรูปรา่ งและความหนาแน่นของถ่าน อดั แท่ง โดยขนาดและรูปรา่ งนั้นจะขึน้ อยู่กบั จุดประสงคใ์ นการใช้งาน และความตอ้ งการของผู้ใช้ วิธีที่ ง่ายที่สดุ คือ การใชม้ อื ป้ันและอัดส่วนผสมใหเ้ ปน็ แทง่ แตแ่ รงอัดดว้ ยวธิ นี จ้ี ะนอ้ ย การผลติ ถ่านอัดแท่ง จากวสั ดุเหลอื ใชท้ างการเกษตรอาจทำให้มีปัญหาด้านคุณภาพ จึงจำเปน็ ตอ้ งมกี ารลดขนาดเพอ่ื เพิม่ ความหนาแนน่ และให้ได้รปู รา่ งทเี่ หมาะสม การเพิม่ ความหนาแน่นของถ่านอดั แทง่ เปน็ การเพิม่ ค่า ความร้อนตอ่ ปริมาตรของวตั ถุดิบ และเพ่อื ให้ไดค้ ุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด วธิ กี ารอดั แท่งแบ่ง ออกไดเ้ ป็น 2 วิธี (อุกฤษฏ์, 2551) คอื

33 4.1) การผลิตถา่ นอัดแท่งดว้ ยวธิ ีการอัดร้อน เปน็ การอดั วัสดโุ ดยวสั ดไุ มจ่ ำเป็นต้องเป็นถา่ นมาก่อน เมอ่ื อัดเป็นแท่งเสรจ็ แลว้ คอ่ ยนำเขา้ เตาเผาให้เป็นถา่ นอกี ครัง้ หนง่ึ วสั ดุทีส่ ามารถผลติ โดยวธิ ีการอัดร้อน ได้แก่ แกลบ ขี้เลอื่ ย ข้กี บ ตลอดจนฝุน่ ไม้ท่ีไดจ้ ากโรงงานอตุ สาหกรรมไมต้ า่ งๆ เน่อื งจากวสั ดเุ หล่าน้ีเมื่อโดนอัดดว้ ยความรอ้ นจะ มสี ารในเนอื้ ของวสั ดุยึดตัวมนั เอง จึงทำใหส้ ามารถยึดเกาะเป็นแท่งได้ โดยไมต่ ้องใชต้ ัวประสาน เครื่องอดั ชนดิ อัดรอ้ นน้ี มรี าคาสงู คุณสมบัติของถ่านอดั แทง่ ด้วยวธิ ีนี้จะมคี วามหนาแน่นค่อนขา้ งสงู ติดไฟไดน้ าน และให้ พลงั งานความรอ้ นไดน้ านกว่าถ่านไม้ แต่ติดไฟยาก เนือ่ งจากมสี ารระเหยได้นอ้ ย จึงทำให้ยากต่อการ ตดิ ไฟ (ฐิติมา, 2555) กระบวนการผลติ ถา่ นอัดแท่งด้วยวธิ กี ารอัดรอ้ น เป็นดังนี้ ภาพท่ี 7 การอัดร้อน

34 4.2) การผลิตถา่ นอดั แทง่ ด้วยวธิ ีการอัดเย็น เปน็ การอดั วัสดทุ ีเ่ ผาเป็นถ่านมาแลว้ จากน้นั นำมาผสมกับตัวประสาน หากวสั ดใุ ดมขี นาด ใหญ่ เช่น กะลามะพรา้ ว เมอื่ ผา่ นการเผาแล้วต้องบดให้ละเอียดก่อน แล้วจงึ นำมาผสมกบั ตัวประสาน ก่อนผ่านกระบวนการอัดแท่งดว้ ยวธิ กี ารอดั เยน็ วสั ดทุ ี่สามารถผลิตโดยวธิ กี ารอัดเย็น ได้แก่ เศษวัสดุ ชีวมวล เศษวัชพืช และเศษวสั ดุท่ีเหลือจากการเกษตรหรืออตุ สาหกรรมการเกษตร คุณสมบัติของถ่าน อัดแท่งดว้ ยวิธีน้ี เมื่อนำมาใช้จะมคี วันน้อยลง และความชื้นก็ลดลงด้วย รวมถึงมคี า่ ความรอ้ นสงู ขึน้ ท้งั นี้ข้นึ อยกู่ บั อตั ราส่วนผสมของวัสดุและตวั ประสาน กระบวนการผลิตถ่านอดั แทง่ ด้วยวธิ กี ารอดั เยน็ เปน็ ดงั น้ี ภาพท่ี 8 การอัดเย็น 5. การตากแห้ง เน่ืองจากถา่ นอัดแทง่ ท่ไี ดย้ ังมปี ริมาณความชน้ื สูง จงึ ตอ้ งนำไปตากแหง้ เพอื่ เป็นการลดความชนื้ ให้ไม่เกนิ ร้อยละ 8 โดยนำ้ หนกั และเพ่อื ใหถ้ ่านอดั แท่งแข็งตวั เกาะกนั แนน่ วธิ ีท่ี ง่ายและถกู ทสี่ ดุ สำหรับการทำใหแ้ ห้งคอื การนำไปผงึ่ แดดประมาณ 3-4 วัน แต่หากเปน็ ห้องอบโดยใช้ ความร้อนจากแสงอาทิตย์ก็จะชว่ ยลดระยะเวลาใหส้ ้นั ลง นอกจากน้ี อาจใช้ความร้อนจากเตาเผามาไล่

35 ความชืน้ จากแท่งถา่ นให้แหง้ แตม่ ีข้อควรระวังคอื ตอ้ งรกั ษาอุณหภูมภิ ายในห้องอบไม่ให้สูงเกนิ กวา่ ท่ี จะทำใหถ้ ่านลุกไหม้ สำหรบั เวลาทใี่ ช้ในการอบไลค่ วามชน้ื ขึ้นอยกู่ ับปรมิ าณความชืน้ ของส่วนผสม และชนิดของหอ้ งอบทใี่ ช้ 2.4.2 ถ่านอดั แท่ง (สตู รแป้งมนั ) กนกพร เนียมศรี, สายสวาท พระคำยาน และมาลี หนึ่งนำ้ ใจ (๒๕๕๔)ไดก้ ลา่ ววา่ กรรมวิธี การผลติ หลักการผลติ ถ่านอัดแท่งมี 2 วิธี คือการอดั รอ้ นและการอัดเยน็ วธิ ที ำน้ใี ช้วิธีการอัดเยน็ คอื เปืนการอดั วสั ดุทเี่ ผาถา่ นมาแล้วแล้วนำมาผสมกับแป้งมนั หรือ วสั ดปุ ระสานอน่ื ๆ โดยท่วั ไปจะเป็นแปง้ มนั ถ้าวสั ดใุ ดมขี นาดใหญ่ เช่น กะลามะพรา้ ว เม่ือผ่านการเผา แล้วตอ้ งเครอ่ื งบดให้ละเอยี ดก่อนแลว้ คอ่ ยน่ามาผสมกบั แป้งมนั และนำในอตั ราส่วนตามท่ีตอ้ งการ สว่ นผสม 1. ถ่านบด 5 กก. 2. แปง้ มนั 250 กรมั 3. นำ้ สะอาด 5 ลิตร *** หมายเหตุจากอัตราสว่ นจะไดถ้ า่ นอดั แทง่ จาํ นวน 80 ก้อน *** วิธที ำ 1. นำเศษถ่านหรอื ถ่านตอ้ งการอดั มาเข้าเครอ่ื งบดถ้าไม่มีเคร่ืองบดให้ใชว้ ธิ ตี ำให้ละเอียด จากน้นั นำถา่ นทบ่ี ดละเอยี ดแลว้ มาผสมกับแปง้ มันกวนตามสดั ส่วนจากนนั้ ใชม้ ือคลกุ เคล้าส่วนผสมให้ เขา้ กัน 2. ผสมถ่านกบั แป้งมนั กวนจนเขา้ กนั ดีแลว้ จงึ คอ่ ย ๆ เติมน้ำโดยการใชม้ ือพรมน้ำพร้อมกับ คลุกเคล้าสว่ นผสมต่าง ๆ ให้เข้ากนั ทำแบบนีไ้ ปเรอื่ ย ๆ จนสว่ นผสมเข้ากนั และสังเกตถ่านเรมิ่ จบั กอ้ น ใหท้ ดสอบโดยการมือกำถ้ากำสว่ นผสมแล้วไมแ่ ตกจากกนั ก็ใช้ได้ 3. นำถา่ นทผ่ี สมจนไดค้ วามชืน้ ตามต้องการแล้วเข้าเคร่อื งอดั ถ่านถา้ ไม่มีเครอื่ งอดั ถา่ นให้ใช้ ทอ่ พวี ีซีแทนก็ได้

36 4. นำถา่ นทอ่ี ัดเสร็จเรยี บร้อยแลว้ (สามารถทดสอบความแหง้ ของถ่านโดยชงั่ น้ำหนักนำ้ หนัก จะเหลอื 1/2 ขดี ) 5. คดั ถา่ นทมี่ ีความเรียบไมแ่ ตกมาเขยี นลายเป็นการเพม่ิ ความสวยงามนำใช้โดยการใชด้ นิ สอ วาดลวดลายลงบนถ่านแล้วทากาวตามที่วาดลายไวแ้ ลว้ โรยทับดว้ ยทรายสีหรือกากเพชรจากนัน้ เก็บ งานโดยการใช้คตั เตอร์เช่ยี ทรายสหี รอื กากเพชรให้ภาพทีเ่ พ้นท์มรี ูปทรงสวยงามหมายเหตุในขน้ั ตอน การผสมส่วนผสมตา่ ง ๆ น้ันไม่ควรผสมให้เปียกหรอื แห้งจนเกินไปผสมแคพ่ อกดูแล้วเปน็ ก้อนกใ็ ช้ได้ 2.4.3 การผลติ เช้ือเพลิงอัดแทง่ จากกากมะพรา้ ว ส่วนผสม 1. ส่วนผสมหลกั (กากมะพรา้ ว) 2. สว่ นผสมรอง (กะลามะพรา้ ว ขเี้ ลื่อย ถา่ นไม้เบญจพรรณ) 3. แป้งมนั สำปะหลัง 4. น้ำ วธิ กี ารทำ 1. การเตรียมดบิ และอุปกรณ์ นำกากมะพรา้ ว กะลามะพรา้ ว ข้เี ลื่อย ถา่ นไม้ เบญจพรรณตากแดดและทำการเผาเตรยี มไว้ สำหรบั เป็นสว่ นผสม แตก่ ะลามะพรา้ วเมอื่ เผาเสร็จแล้วตอ้ งเอามาบดให้ละเอียด นำกากมะพรา้ วซ่งึ เป็นส่วนผสมหลักผสมกับกะลามะพร้าว, ขเี้ ลื่อย และถ่านไมเ้ บญจพรรณ ซึง่ ในการนำสว่ นผสมผสม กันนน้ั ต้องใช้นำ้ และแป้งเปียก (แปง้ มนั สำปะหลังผสมกับนำ้ ) ซึง่ เปน็ ตัวประสาน โดยทอี่ ตั ราสว่ นตัว ประสาน แป้งมันสำปะหลงั และนำ้ โดยการเลือกอัตราส่วนผสมทเี่ หมาะสมดังน้ี สว่ นผสมหลกั และ ส่วนผสมรอง 10 กิโลกรมั ตามอัตราส่วนผสม แป้งมัน 1 กโิ ลกรัม นำ้ 0.5-0.8 ลิตร ตามความ เหมาะสมกับ ความช้นื ของส่วนผสมหลกั และส่วนผสมรอง 2. ทำการทดลอง นำสว่ นผสมท่ีเตรยี มไว้เบือ้ งตน้ มาทำการผสมกันในเครอ่ื งผสม คลกุ เคล้าใหเ้ ขา้ กัน ซ่งึ ในขณะ ทผี่ สมนัน้ กใ็ ห้เติมนำ้ เรื่อยๆ เพ่อื ใหส้ ว่ นผสมเข้ากันได้งา่ ยขน้ึ เมอ่ื ทำการผสมสว่ นผสมของถา่ นอัดแท่ง

37 แล้วนำไปเข้าเครือ่ งอดั แท่งถา่ นเพอ่ื ทำการอดั แทง่ ถา่ น ทำการบันทกึ ผลการทดลองของแตล่ ะสูตรเพ่ือ ทำการหาอัตราสว่ นผสมทด่ี ที ่ีสุด 3. ตรวจสอบสมบัติของถ่านอดั แทง่ ทำการทดสอบถ่านอัดแท่งจากกากมะพร้าวผสมกะลามะพร้าวเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ ทางด้านเชื้อเพลิงตามมาตรฐาน ASTM เก็บรวบรวม ข้อมูลจากการทดสอบทกุ ๆ ข้อ เพื่อนำไป เปรียบเทียบ คุณสมบัติทางเช้ือเพลิงตามมาตรฐาน ASTM โดยจะทำการเปรียบเทยี บกับถ่านอดั แท่ง จากกากมะพรา้ วผสม ข้ีเล่ือย ถ่านอดั แทง่ จากกากมะพร้าวผสมถ่านไม้ และ ถา่ นอดั แทง่ ตาม ทอ้ งตลาด (ศิริชยั ต่อสกุล,กุณฑล ทองศรี และจงกล สภุ ารตั น์, 2555) 2.4.4 ข้นั ตอนการผลิตถา่ นอดั แท่ง 1.นำเปลอื กเมล็ดกาแฟสดตากแดดใหแ้ หง้ จากนน้ั เผาจนเปน็ ถา่ นโดยใชถ้ งั น้ำมัน 200 ลติ ร (Drum kiln)เน่อื งจากเป็นรูปแบบท่เี หมาะสม กับการเผาต่อคร้งั ทม่ี ปี ริมาณนอ้ ยและใช้ เทคโนโลยี อยา่ งงา่ ย ราคาถูก 2. นำถา่ นเปลือกเมลด็ กาแฟทไี่ ด้บดใหม้ ีความละเอยี ดประมาณ 2-5 มิลลเิ มตร 3. นำผงถ่านเปลือกเมล็ดกาแฟผสมกับแป้งเปียก และนำ้ ในอตั ราสว่ นตา่ ง ๆ 4. ช่ังน้ำหนกั ของสว่ นผสม เร่มิ ต้นที่ 1 กโิ ลกรัม แล้วอัดข้ึนรปู บนั ทึกเวลาในการทำงานต้งั แต่ การเริ่มจนส้ินสดุ กระบวนการ 5. ลดความชื้นของผลิตภัณฑถ์ า่ นอดั แทง่ บนพนื้ คอนกรตี ด้วยวธิ ตี ากแดด 6. ทดสอบการจดุ ติดไฟ และหาประสิทธิภาพการใชง้ านดา้ นความรอ้ น โดยการตม้ นำ้ ร้อน ภายใตอ้ ุณหภูมิหอ้ ง ไม่ควบคุมความชื้นบรรยากาศ ไมม่ ลี มพดั และใชห้ มอ้ อะลูมิเนยี ม จากนั้นวัดอณุ ภูมิของนำ้ สูงสุด 7. ส่งตวั อยา่ งถา่ นอัดแท่งในห้องปฏิบัตกิ ารเพ่ือหาคุณสมบตั ทิ างเชอ้ื เพลิง ตามมาตรฐาน ASTM (พงษศ์ ักดิ์ อยู่มนั่ , 2559) 2.4.5 การเตรียมถ่านอัดแทง่ โรสลนี า อนันตนุกูลวงศ์,รอดียะห์ เจ๊ะแม และนุรมายามนี สาเร๊ะนุ (๒๕๖๒)ไดก้ ลา่ วถงึ ข้นั ตอนการเตรยี มถา่ นอดั แท่งไวว้ า่

38 1. รอ่ นกะลามะพร้าว (พนั ธุต์ น้ สงู ) ใบไม้แห้ง (ใบต้นละมุด)ขี้เลื่อย (ต้นทุเรียน) ผา่ นตะแกรง ร่อนขนาด 325 mash 2. ชง่ั ผงถ่านของกะลามะพรา้ ว ใบไม้แหง้ และขี้เล่ือยปรมิ าณ 300 กรัม 3. ชั่งตัวประสานคงท่ี แปง้ มนั ส้าปะหลังปริมาณ 25 กรมั 4. ปรมิ าณน้ำ 600 มิลลิลติ ร 5. นำแป้งมนั สำปะหลงั ไปตม้ กับนำ้ ในข้อ 3 และ 4 แล้วกวนให้เขา้ กนั 6. นำผงของแตล่ ะวัตถุดบิ ไปผสมกบั แปง้ มนั ทีไ่ ดจ้ ากการต้ม แลว้ กวนให้เข้ากนั 7. ทำการอัดถ่านในเครอ่ื งอัดแทง่ 8. นำไปผงึ่ แดด 2-3 วนั หรือนำไปอบ จากการศกึ ษาวธิ ีการผลิตเชอ้ื เพลิงอัดแท่งสรปุ ได้ว่า วิธกี ารผลิตถา่ นอดั แทง่ แบ่งออกไดเ้ ปน็ 2 วิธี คือการผลิตถ่านอดั แท่งด้วยวธิ กี ารอดั ร้อนและการผลติ ถ่านอดั แทง่ ด้วยวธิ ีอัดเยน็ โดยวธิ กี ารอดั ร้อนเปน็ วธิ ีท่ไี ม่ต้องใช้กาวเป็นตัวประสานเนื่องจากวธิ นี ใ้ี ช้กบั วสั ดทุ ี่มสี ารในเนอื้ ของวสั ดุท่ีสามารถยึด เกาะเป็นแทง่ ได้ โดยไมต่ อ้ งใช้ตัวประสาน ส่วนวธิ กี ารอัดเยน็ เป็นการนำวัสดทุ ีเ่ ผาแล้วมาบดละเอยี ด จากน้นั นำไปผสมเขา้ กับตัวประสานก่อนผ่านกระบวนการอัดแทง่ โดยกระบวนการผลติ เชือ้ เพลิงอัด แท่งมีข้นั ตอนดงั น้ี 1. นำวัสดุท่ีต้องการอดั แท่งมาตากแดดให้แหง้ และทำการเผาเปน็ ถ่านจากน้นั ทำการบดโดยอาจใช้ เคร่อื งบดหรือการตำในการบดให้ละเอียด 2. จากนั้นนำถา่ นทบ่ี ดละเอียดแล้วมาผสมกบั แปง้ เปียกและนำ้ ซึ่งทำหนา้ ท่ีเปน็ ตัวประสานดว้ ย สดั ส่วนท่เี หมาะสมจากนน้ั ใชม้ ือคลุกเคล้าส่วนผสมใหเ้ ข้ากัน 3. นำส่วนผสมท่ีได้ความชนื้ ตามตอ้ งการแล้วเข้าเครือ่ งอัดแท่งถา่ นหากไม่มีเครื่องอัดสามารถใช้ ท่อพีวซี ีแทนได้ 4. จากนัน้ นำถ่านท่ีผ่านการอดั แท่งเสรจ็ เรียบรอ้ ยแลว้ นำไปตากแห้งหรอื นำเข้าเครื่องอบเพอื่ เปน็ การ ลดความช้ืนและเพอ่ื ใหถ้ า่ นอดั แทง่ แขง็ ตวั เกาะกนั แน่นมากยิ่งขึ้น 5. ทดสอบการจดุ ติดไฟและประสทิ ธิภาพการใช้งานดา้ นตา่ งๆของผลติ ภณั ฑ์ทไี่ ด้

บทที่ 3 วิธีการดำเนนิ งาน 3.1 วัสดแุ ละอปุ กรณ์ 1. กากมะพรา้ ว 2. กากกาแฟ 3. ทอ่ pvc 4. เตาไฟฟ้า 5. หมอสำหรับต้มแปง้ 6. แป้ง 7. ทัพพี 3.2 วธิ ีการดำเนนิ งาน ตอนท่ี 1 ศึกษาการผลิตเชื้อเพลิงอัดแทง่ จากกากกาแฟและกากมะพร้าว 1. การเตรียมกากกาแฟ กากมะพรา้ วและการอัดเย็น นำกากกาแฟและกากมะพรา้ วมาทำให้แห้งดว้ ยการตากแดดหรืออบทอี่ ุณหภูมิ ประมาณ 105 องศาเซลเซยี ส หลงั จากน้ัน นำมาผสมกับตัวประสานโดยใชก้ าวแป้งเปียก ในอัตราสว่ นโดยน้ำหนัก วัสดเุ หลอื ใช้ตอ่ แป้งเปียก 9:1 นำมาอัดขน้ึ รปู ด้วยแมพ่ ิมพ์แบบง่าย ขนาดเสน้ ผา่ นศนู ย์กลางประมาณ 5 เซนติเมตร ลึก 3 เซนติเมตร และนำไปอบท่อี ณุ หภูมิ 105 องศาเซลเซียส 2. การกำหนดสภาวะอณุ หภมู ใิ นการคารบ์ อไนเซชัน ทำการตรวจสอบความสามารถในการคาร์บอไนเซชัน (Carbonization) ของวสั ดเุ หลือใช้คอื กากกาแฟ และกากชาที่อบแห้งแล้วโดยใช้เคร่ือง Thermogravimetric Analysis (TGA) ภายใต้การ วัดในชว่ งอณุ หภมู ิ 25-950 องศาเซลเซียส ทีอ่ ัตราความร้อน 10 องศาเซลเซียสตอ่ นาทีภายใต้การเผา

40 ของแกส๊ ไนโตรเจน หลังจากน้นั จะได้ช่วงอุณหภูมทิ เี่ หมาะสมในการคาร์บอไนซก์ ากกาแฟและกาก มะพรา้ ว 3. การคารบ์ อไนซ์กากกาแฟและกากมะพร้าว นำกากกาแฟและกากมะพรา้ วมาทำการเผา ทีอ่ ณุ หภูมิ 500 องศาเซลเซียส ในเตาเผาไฟฟ้า ยี่ห้อ Carbolite Furnace โดยให้ความร้อนท่ีอตั ราของการไพโรไลซิส 10 องศาเซลเซยี สตอ่ นาที เป็น เวลา 2 ช่ัวโมง นำมาผสมกับตวั ประสานโดยใช้กาวแป้งเปยี กในอตั ราส่วน โดยนำ้ หนักวัสดเุ หลือใช้ต่อ แป้งเปยี ก 9:1 นำมาอัดข้ึนรูปดว้ ยแมพ่ ิมพแ์ บบง่ายขนาดเสน้ ผ่านศนู ย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร ลกึ 15 เซนตเิ มตร และนำไปอบทีอ่ ุณหภมู ิ 105 องศาเซลเซยี ส ตอนท่ี 2 เปรียบเทียบประสิทธภิ าพของเช้ือเพลิงอัดแทง่ จากกากกาแฟและกากมะพร้าว เมอื่ ได้แทง่ เชอื้ เพลิงทีแ่ ห้งแลว้ นำไปวิเคราะห์คณุ สมบตั ขิ องเชอ้ื เพลิงดงั นี้ คอื นำเชอ้ื เพลิงอดั แท่งจากกากกาแฟและกากมะพรา้ วอย่างละ 3 แท่ง มาทำการเผาไหมใ้ นเตาถ่านอยู่ 3 ครั้ง แล้วเก็บ ขอ้ มูลของปริมาณเถา้ (g) สังเกตเขมา่ ทีเ่ กิดข้ึน และระยะเวลาท่เี ชือ้ เพลงิ อัดแท่งทงั้ สองใช้ในการเผา ไหม้

บทที่ 4 ผลการดำเนนิ งาน ตอนที่ 1 ศึกษาการผลิตเชือ้ เพลงิ อัดแทง่ จากกากกาแฟและกากมะพรา้ ว การผลติ เช้อื เพลิงอดั แท่งจากกากกาแฟ ภาพที่ 9 เชอ้ื เพลิงอัดแท่งจากกากกาแฟ การผลติ เชือ้ เพลิงอดั แทง่ จากกากมะพร้าว ภาพที่ 10 เชอื้ เพลิงอัดแทง่ จากกากมะพร้าว

42 ตอนที่ 2 เปรียบเทียบประสิทธิภาพของเชอ้ื เพลงิ อดั แท่งจากกากกาแฟและกาก มะพรา้ ว ตารางที่ 2 การเปรียบเทยี บประสิทธิภาพของเชื้อเพลิงอัดแทง่ จากกากกาแฟและกากมะพร้าว ชนิดของ ครงั้ ที่ ปรมิ าณเถ้า (g) ปริมาณเขม่า ระยะเวลาทใ่ี ชใ้ น เชื้อเพลิงอดั แท่ง การเผาไหม้ 1 15.50 นอ้ ย (นาที) เชอ้ื เพลิงอดั แทง 2 16.00 น้อย 32.46 จากกากกาแฟ 3 15.50 น้อย 33.01 เฉล่ีย 15.67 น้อย 32.68 เช้อื เพลิงอดั แท่ง 1 18.95 นอ้ ย 32.72 จากกากมะพรา้ ว 2 19.00 นอ้ ย 40.35 3 18.50 น้อย 41.10 เฉลย่ี 18.82 น้อย 40.67 40.71


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook