Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

AAB

Published by bossbanthao, 2018-06-24 03:22:58

Description: AAB

Search

Read the Text Version

อาณาจกั รสโุ ขทยัอาณาจกั รสุโขทยั เคยเป็ นรฐั ในอดตี รฐั หนง่ึ ตง้ั อยบู่ นทรี่ าบลมุ่แมน่ ้ายม สถาปนาขนึ้ ราวพุทธศตวรรษที่ 18 ในฐานะสถานีการคา้ของรฐั ละโว้ หลงั จากนน้ั ราวปี 1800 พอ่ ขนุ บางกลางหาวและพอ่ขนุ ผาเมอื ง ไดร้ ว่ มกนั กระทาการยดึ อานาจจากขอมสบาดโขลญลาพง ซง่ึ ทาการเป็ นผลสาเร็จและไดส้ ถาปนาเอกราชใหร้ ฐั สุโขทยัเป็ นอาณาจกั รสุโขทยั และมีความเจรญิ รุง่ เรืองตามลาดบั และเพมิ่ถงึ ขดี สดุ ในสมยั พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช กอ่ นจะคอ่ ย ๆ ตกตา่และประสบปญั หาทง้ั จากปญั หาภายนอกและภายใน จนตอ่ มาถกูรวมเป็ นสว่ นหน่งึ ของอาณาจกั รอยธุ ยาไปในทสี่ ดุ

ทตี่ ง้ั และอาณาเขต

อาณาจกั รสโุ ขทยั ตง้ั อยบู่ นเสน้ ทางการคา้ ผา่ นคาบสมทุ รระหวา่ งอา่ วเมาะตะมะ และทรี่ าบลมุ่ แมน่ ้าโขงตอนกลาง มอี าณาเขตดงั น้ีทศิ เหนือ มเี มืองแพล (ปจั จุบนั คอื แพร)่ เป็ นเมืองปลายแดนดา้ นเหนือสุดทศิ ใต้ มีเมอื งพระบาง (ปจั จุบนั คอื นครสวรรค์) เป็ นเมืองปลายแดนดา้ นใต้ทศิ ตะวนั ตก มีเมืองฉอด (ปจั จุบนั คอื แมส่ อด) เป็ นเมอื งชายแดนทจี่ ะตดิ ตอ่ เขา้ไปยงั อาณาจกั รมอญทศิ ตะวนั ออก มเี มืองสะคา้ ใกลแ้ มน่ ้าโขงในเขตภาคอีสานตอนเหนือ การแทรกแซงจากอยธุ ยาหลงั จากพอ่ ขนุ รามคาแหงแลว้ เมอื งตา่ งๆเรม่ิ ออ่ นแอลงเมอื ง สง่ ผลใหใ้ นรชั กาลพญาเลอไท และรชั กาลพญาไสลอื ไท ตอ้ งสง่ กองทพั ไปปราบหลายครง้ั

แตม่ กั ไมเ่ ป็ นผลสาเร็จ และการปรากฏตวั ขนึ้ ของอาณาจกั รอยุธยาทางตอนใต้ซงึ่ กระทบกระเทอื นเสถยี รภาพของสุโขทยั จนในทา้ ยทีส่ ุดก็ถูกแทรกแทรงจากอยธุ ยา จนมฐี านะเป็ นหวั เมอื งของอยุธยาไปในทีส่ ดุ โดยมี พระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล) เป็ นผปู้ กครองสุโขทยั ในฐานะรฐั อสิ ระพระองค์สุดทา้ ยโดยขณะนน้ั ดว้ ยการแทรกแซงของอยธุ ยา รฐั สุโขทยั จงึ ถกู แบง่ ออกเป็ น 4สว่ น คอื เมอื งสรวงสองแคว (พษิ ณุโลก) อนั เป็ นเมืองเอก มีพระมหาธรรมราชาที่4 (บรมปาล) เป็ นผปู้ กครอง เมอื งสุโขทยั เมอื งรอง มี พระยาราม เป็ นผปู้ กครองเมือง เมืองเชลียง (ศรสี ชั นาลยั ) มี พระยาเชลยี ง เป็ นผปู้ กครองเมือง เมืองชากงั ราว (กาแพงเพชร) มี พระยาแสนสอยดาว เป็ นผปู้ กครองเมือง การสน้ิ สุดของอาณาจกั รสุโขทยัพ.ศ.2127 หลงั จากชนะศกึ ทแี่ มน่ ้าสะโตงแลว้ พระนเรศวรโปรดใหเ้ ทครวัเมอื งเหนือทง้ั ปวง (เมอื งพระพษิ ณุโลกสองแคว เมืองสุโขทยั เมืองพชิ ยั เมือง

สวรรคโลก เมืองกาแพงเพชร เมอื งพจิ ติ ร และเมืองพระบาง) ลงมาไวท้ อี่ ยธุ ยาเพือ่ เตรียมรบั ศกึ ใหญ่ พษิ ณุโลกและหวั เมอื งเหนือทง้ั หมดจงึ กลายเป็ นเมืองรา้ ง หลงั จากเทครวั ไปเมืองใต้ จงึ สนิ้ สดุ การแบง่ แยกระหวา่ งชาวเมืองเหนือกบั ชาวเมืองใต้ และถือเป็ นการสนิ้ สดุ ของรฐั สโุ ขทยั โดยสมบรู ณ์ เพราะหลงั จากน้ี 8 ปี พษิ ณุโลกไดถ้ ูกฟ้ื นฟูอีกครง้ั แตถ่ ือเป็ นเมืองเอกในราชอาณาจกั ร มใิ ชร่ าชธานีฝ่ ายเหนือในดา้ นวชิ าการ มนี กั วชิ าการหลายทา่ นไดเ้ สนอเพม่ิ วา่ เหตกุ ารณ์อีกประการอนั ทาใหต้ อ้ งเทครวั เมืองเหนือทง้ั ปวงโดยเฉพาะพษิ ณุโลกนน้ั อยทู่ เี่ หตกุ ารณ์แผน่ ดนิ ไหวครง้ั ใหญ่ บนรอยเลอื่ นวงั เจา้ ในราวพุทธศกั ราช 2127แผน่ ดนิ ไหวครง้ั น้ีสง่ ผลใหต้ วั เมอื งพษิ ณุโลกราพณาสญู แมแ้ ตแ่ มน่ ้าแควน้อยก็เปลยี่ นเสน้ ทางไมผ่ า่ นเมอื งพษิ ณุโลก แตไ่ ปบรรจบกบั แมน่ ้าโพ (ปจั จบุ นั คอืแมน่ ้าน่าน) ทีเ่ หนือเมืองพษิ ณุโลกขนึ้ ไป และยงั สง่ ผลใหพ้ ระศรรี ตั นมหาธาตุพษิ ณุโลก หกั พงั ทลายในลกั ษณะทบี่ รู ณะคนื ไดย้ าก ในการฟ้ื นฟูจงึ กลายเป็ นการสรา้ งพระปรางค์แบบอยุธยาครอบทบั ลงไปแทน ทง้ั หมด ความเจรญิ รงุ่ เรอื งดา้ นเศรษฐกจิ

สภาพเศรษฐกจิ สมยั สุโขทยั เป็ นระบบเศรษฐกจิ แบบเสรีนิยม ดงั ขอ้ ความปรากฏในหลกั ศลิ าจารกึ หลกั ที่ 1 \"…ใครจกั ใครค่ า้ ชา้ งคา้ ใครจกั ใครค่ า้ มา้ คา้ใครจกั ใครค่ า้ เงนิ คา้ ทองคา้ \" และ \"...เมืองสโุ ขทยั น้ีดี ในน้ามีปลาในนามีขา้ ว...\" ประชาชนประกอบอาชีพเกษตรกรรมดว้ ยระบบการเกษตรแบบพงึ่ พาธรรมชาติ เช่นสงั คมไทยสว่ นใหญใ่ นชนบทปจั จุบนั และสง่ ออกเครอื่ งถว้ ยชามสงั คโลกดา้ นสงั คมการใชช้ ีวติ ของผคู้ นในสมยั สุโขทยั มีความอสิ รเสรี มเี สรีภาพอยา่ งมากเนือ่ งจากผปู้ กครองรฐั ใหอ้ สิ ระแกไ่ พรฟ่ ้ า และปกครองผใู้ ตป้ กครองแบบพอ่กบั ลูก ดงั ปรากฏหลกั ฐานในศลิ าจารกึ วา่ \"…ดว้ ยเสยี งพาทย์ เสยี งพณิ เสียงเลอื่ น เสียงขบั ใครจกั มกั เลน่ เลน่ ใครจกั มกั หวั หวั ใครจกั มกั เลอื่ น เลอื่ น…\"ดา้ นความเชือ่

สงั คมยุคสโุ ขทยั ประชาชนมีความเชือ่ ทง้ั เรอื่ งวญิ ญาณนิยม (Animism) ไสยศาสตร์ ศาสนาพราหมณ์ฮนิ ดู และพุทธศาสนา ดงั ปรากฏหลกั ฐานในศลิ าจารกึหลกั ที่ 1 ดา้ นที่ 3 วา่ \"…เบื้องหวั นอนเมอื งสโุ ขทยั น้ีมกี ุฎวิ หิ ารป่ คู รอู ยู่ มีสรีดพงส์ มปี ่ าพรา้ ว ป่ าลาง ป่ ามว่ ง ป่ าขาม มีน้าโคก มพี ระขระพงุ ผี เทพยาดาในเขาอนั นน้ั เป็ นใหญก่ วา่ ทกุ ผใี นเมืองน้ี ขุนผใู้ ดถอื เมอื งสโุ ขทยั นี้แลว้ ไหวด้ พี ลีถกู เมืองน้ีเทยี่ ว เมอื งนี้ดี ผไิ หวบ้ ด่ ี พลบี ถ่ กู ผใี นเขาอนั นน้ั บค่ มุ้ บเ่ กรง เมอื งน้ีหาย…\"ดา้ นศาสนาไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากพทุ ธศาสนานิกายเถรวาทแบบลงั กาวงศ์จากนครศรธี รรมราช ในวนั พระ จะมีภกิ ษุเทศนาส่งั สอน ณ ลานธรรมในสวนตาลโดยใชพ้ ระแทน่ มนงั คศลิ าอาสน์ เป็ นอาสนะสงฆ์ ในการบรรยายธรรมให้ประชาชนฟงั ยงั ผลใหป้ ระชาชนในยคุ นี้นิยมปฏบิ ตั ติ นอยใู่ นศลี ธรรม มีการถอืศลี โอยทานกนั เป็ นปกตวิ สิ ยั ทาใหส้ งั คมโดยรวมมคี วามสงบสุขรม่ เย็น ดา้ นการปกครองของอาณาจกั รสโุ ขทยั

อาณาจกั รสโุ ขทยั ปกครองดว้ ยระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ ซงึ่ แบง่ ออกได้เป็ น 2 ระยะ1.แบบราชาธปิ ไตย ในระยะแรกสุโขทยั มีการปกครองแบบพอ่ ปกครองลูกพระมหากษตั รยิ ์เรยี กวา่ \"พอ่ ขนุ \" ซึง่ เปรียบเสมือนพอ่ ทจี่ ะตอ้ งดแู ลคมุ้ ครองลกูในสมยั พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช โปรดใหส้ รา้ งกระดงิ่ แขวนไวท้ หี่ น้าประตูพระราชวงั เมอื่ ประชาชนมเี รอื่ งเดอื ดรอ้ นก็ใหไ้ ปส่นั กระดงิ่ รอ้ งเรียน พระองค์ก็จะเสด็จมารบั เรอื่ งราวรอ้ งทุกข์ และโปรดใหส้ รา้ งพระแทน่ มนงั คศลิ าอาสน์ไดก้ ลางดงตาล ในวนั พระจะนิมนต์พระสงฆม์ าเทศน์ส่งั สอนประชาชน หากเป็ นวนั ธรรมดาพระองค์จะเสดจ็ ออกใหป้ ระชาชนเขา้ เฝ้ าและตดั สนิ คดคี วามดว้ ยพระองคเ์ อง การปกครองแบบน้ีปรากฏในสมยั กรุงสโุ ขทยั ตอนตน้2.แบบธรรมราชา กษตั รยิ ์ผทู้ รงธรรม ในสมยั ของพระมหาธรรมราชาที่ ๑ มีกาลงั ทหารทไี่ มเ่ ขม้ แขง็ ประกอบกบั อาณาจกั รอยุธยาทีก่ อ่ ตง้ั ขน้ึ ใหมไ่ ดแ้ ผ่อทิ ธพิ ลมากขนึ้ พระองค์ทรงเกรงภยั อนั ตรายจะบงั เกดิ แกอ่ าณาจกั รสุโขทยั

หากใชก้ าลงั ทหารเพียงอยา่ งเดยี ว พระองค์จงึ ทรงนาหลกั ธรรมมาใชใ้ นการปกครอง โดยพระองคท์ รงเป็ น แบบอยา่ งในดา้ นการปฏบิ ตั ธิ รรม ทานุบารงุพระพทุ ธศาสนา นอกจากนน้ั พระมหาธรรมราชาที่ ๑ ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมเรอื่ ง ไตรภมู พิ ระรว่ ง ทีป่ รากฏแนวคดิ แบบธรรมราชาไวด้ ว้ ย การปกครองแบบนี้ใชใ้ นสมยั กรงุ สโุ ขทยั ตอนปลาย ตง้ั แตพ่ ระมหาธรรมราชาที่ ๑ดา้ นการปกครองสว่ นยอ่ ยสามารถแยกกลา่ วเป็ น 2 แนว ดงั นี้ในแนวราบ จดั การปกครองแบบพอ่ ปกครองลกู กลา่ วคอื ผปู้ กครองจะมคี วามใกลช้ ดิ กบั ประชาชน ใหค้ วามเป็ นกนั เองและความยุตธิ รรมกบั ประชาชนเป็ นอยา่ งมาก เมอื่ ประชาชนเกดิ ความเดอื ดรอ้ นไมไ่ ดร้ บั ความเป็ นธรรม สามารถรอ้ งเรียนกบั พอ่ ขนุ โดยตรงได้ โดยไปส่นั กระดง่ิ ทแี่ ขวนไวท้ หี่ น้าประตทู ี่ประทบั ดงั ขอ้ ความในศลิ าจารกึ ปรากฏวา่ \"…ในปากประตมู ีกระดง่ิ อนั หน่ึงไว้ให้ ไพรฟ่ ้ าหน้าใส…\" น่นั คอื เปิ ดโอกาสใหป้ ระชาชนสามารถมาส่นั กระดง่ิ เพอื่แจง้ ขอ้ รอ้ งเรียนได้ในแนวดงิ่ ไดม้ ีการจดั ระบบการปกครองขน้ึ เป็ น 4 ชนชน้ั คอื

พอ่ ขุน เป็ นชนชน้ั ผปู้ กครอง อาจเรียกชือ่ อยา่ งอนื่ เช่น เจา้ เมอื ง พระมหาธรรมราชา หากมโี อรสก็จะเรยี ก \"ลกู เจา้ \"ลกู ขุน เป็ นขา้ ราชบรพิ าร ขา้ ราชการทีม่ ตี าแหน่งหน้าทชี่ ว่ งปกครองเมอื งหลวงหวั เมอื งใหญน่ ้อย และภายในราชสานกั เป็ นกลมุ่ คนทใี่ กลช้ ดิ และไดร้ บั การไวว้ างใจจากเจา้ เมอื งใหป้ ฏบิ ตั หิ น้าทบี่ าบดั ทุกข์บารงุ สุขแกไ่ พรฟ่ ้ าไพรห่ รอื สามญั ชน ไดแ้ กร่ าษฎรท่วั ไปทอี่ ยใู่ นราชอาณาจกั ร (ไพรฟ่ ้ า)ทาส ไดแ้ กช่ นชน้ั ทไี่ มม่ ีอสิ ระในการดารงชีวติ อยา่ งสามญั ชนหรือไพร่(อยา่ งไรก็ตามประเดน็ ทาสน้ียงั คงถกเถยี งกนั อยวู่ า่ มีหรอื ไม)่ จารกึ พอ่ ขนุ รามคาแหง

จารกึ พอ่ ขนุ รามคาแหง หรอื จารกึ หลกั ที่ 1 เป็ นศลิ าจารกึ ทบี่ นั ทกึประวตั ศิ าสตร์สมยั กรงุ สโุ ขทยั ศลิ าจารกึ น้ี เจา้ ฟ้ ามงกุฎฯ (ตอ่ มาคอืพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ) ขณะผนวชอยเู่ ป็ นผทู้ รงคน้ พบเมอื่ วนักาบสี ขนึ้ 8 ค่า เดอื น 3 จ.ศ. 1214 ตรงกบั วนั ศกุ ร์ที่ 17 มกราคม ค.ศ.1834 หรือ พ.ศ. 2376 ณ เนินปราสาทเมืองเกา่ สโุ ขทยั อาเภอเมือง จงั หวดัสุโขทยั มีลกั ษณะเป็ นหลกั สเี่ หลยี่ มดา้ นเทา่ ทรงกระโจม สงู 111 ซม. หนา 35ซม. เป็ นหนิ ทรายแป้ งเน้ือละเอยี ดมีจารกึ ทง้ั สดี่ า้ น ปจั จบุ นั เก็บอยทู่ ี่พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร กรุงเทพมหานครเนื้อหาของจารกึ แบง่ ไดเ้ ป็ นสามตอน ตอนทหี่ น่ึง บรรทดั ที่ 1 ถงึ 18 เป็ นการเลา่ พระราชประวตั พิ อ่ ขนุ รามคาแหงตง้ั แตป่ ระสูตจิ นเสวยราชย์ ใชค้ าวา่ \"ก\"ูเป็ นหลกั ตอนที่ 2 ไมใ่ ชค้ าวา่ \"กู\" แตใ่ ชว้ า่ \"พอ่ ขุนรามคาแหง\" เลา่ ถงึเหตกุ ารณ์และธรรมเนียมในกรุงสุโขทยั และตอนทีส่ าม ตง้ั แตด่ า้ นที่ 4บรรทดั ที่ 12 ถงึ บรรทดั สดุ ทา้ ย มีตวั หนงั สือตา่ งจากตอนที่ 1 และ 2 จงึ น่าจะจารกึ ขน้ึ ภายหลงั เป็ นการสรรเสรญิ และยอพระเกยี รตพิ อ่ ขนุ รามคาแหง และกลา่ วถงึ อาณาเขตราชอาณาจกั รสโุ ขทยัจารกึ ไดร้ บั การขน้ึ ทะเบียนเป็ นมรดกความทรงจาแหง่ โลกเมือ่ ปี พ.ศ. 2546โดยยูเนสโกบรรยายวา่ \"[จารกึ นี้] นบั เป็ นมรดกเอกสารชน้ิ หลกั ซง่ึ มีความสาคญั ระดบั โลก เพราะใหข้ อ้ มลู อนั ทรงคา่ วา่ ดว้ ยแกน่ หลกั หลายประการเกยี่ วกบั ประวตั ศิ าสตร์และวฒั นธรรมโลก ไมเ่ พยี งแตบ่ นั ทกึ การประดษิ ฐ์อกั ษรไทยซงึ่ เป็ นรากฐานแหง่ อกั ษรทีผ่ คู้ นหกสบิ ลา้ นคนใชอ้ ยใู่ นประเทศไทยปจั จบุ นั การพรรณนาสุโขทยั รฐั ไทยสมยั ศตวรรษที่ 13 ไวโ้ ดยละเอยี ดและหาไดย้ ากนน้ั ยงั สะทอ้ นถงึ คณุ คา่ สากลทรี่ ฐั ทง้ั หลายในโลกทุกวนั นี้รว่ มยดึ ถือ\"มีการตง้ั คาถามเกยี่ วกบั ความเชือ่ ถอื ไดข้ องบางสว่ นหรือทง้ั หมดของศลิ าจารกึดงั กลา่ ว พริ ยิ ะ ไกรฤกษ์ นกั วชิ าการทีส่ ถาบนั ไทยคดศี กึ ษา ออกความเห็นวา่การใชส้ ระในศลิ าจารกึ นี้แนะวา่ ผสู้ รา้ งไดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากระบบพยญั ชนะยุโรป เขาสรปุ วา่ ศลิ าจารกึ นี้ถกู บางคนแตง่ ขนึ้ ในรชั กาลที่ 4 หรอื ไมน่ านกอ่ นหน้านน้ั นกั วชิ าการเห็นตา่ งกนั ในประเด็นวา่ ดว้ ยความน่าเชือ่ ถือของศลิ า

จารกึ นี้ ผปู้ ระพนั ธ์บางคนอา้ งวา่ รอยจารกึ นน้ั เป็ นการแตง่ ขนึ้ ในครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 19 ทง้ั หมด บา้ งอา้ งวา่ 17 บรรทดั แรกนน้ั เป็ นจรงิ บา้ งอา้ งวา่ รอยจารกึ นน้ั พระยาลอื ไทยทรงแตง่ ขน้ึ นกั วชิ าการไทยสว่ นใหญย่ งั ยดึ ถอืความน่าเชือ่ ถอื ของศลิ าจารกึ น้ี รอยจารกึ ดงั กลา่ วและภาพลกั ษณ์ของสงั คมสุโขทยั ในจนิ ตนาการยงั เป็ นหวั ใจของชาตนิ ิยมไทย และไมเคลิ ไรท์นกั วชิ าการชาวองั กฤษ เสนอแนะวา่ ศลิ าจารกึ ดงั กลา่ วอาจถกู ปลอมขน้ึ ทาให้เขาถกู ขดู่ ว้ ยการเนรเทศภายใตก้ ฎหมายหมน่ิ พระบรมเดชานุภาพของไทยสว่ นจริ าภรณ์ อรณั ยะนาค เขยี นบทความแสดงทศั นะวา่ ศลิ าจารกึ หลกั ที่ 1 ได้ผา่ นกระบวนการสกึ กรอ่ นผสุ ลายมาเป็ นเวลานานหลายรอ้ ยปี ใกลเ้ คยี งกบั ศลิ าจารกึ หลกั ที่ 3 หลกั ที่ 45 และหลกั ทีก่ ลา่ วถงึ ชีผา้ ขาวเพสสนั ดร ไมไ่ ดท้ าขน้ึ ในสมยั รชั กาลที่ 4

ประวตั กิ ารละครไทยสมยั สุโขทยัในสมยั สโุ ขทยั เรอื่ งละคร ฟ้ อนรา สนั นิษฐานไดจ้ ากศลิ าจารกึ ของพอ่ ขนุรามคาแหงหลกั ที่ ๑ กลา่ วถงึ การละเลน่ เทศกาลกฐนิ ไวเ้ ป็ นความกวา้ งๆ วา่“ เมอื่ จกั เขา้ เวียงเรยี งกนั แตอ่ รญั ญกิ พนู้ ทา่ นหวั ลาน ดบงคกลอยดว้ ยเสียงพาทย์ เสียงพณิ เสียงเลือ้ ย เสยี งขบั ใครจกั มกั เหลน้ เหลน้ ใครจกั มกั หวัหวั ใครจกั มกั เลอ้ื น เลอ้ื น”ในสมยั สุโขทยั ไดค้ บหากบั ชาตทิ นี่ ิยมอารยธรรมของอนิ เดยี เชน่ พมา่มอญ ขอม และละวา้ ไทยไดร้ จู้ กั เลือกเฟ้ นศลิ ปวฒั นธรรมของชาตทิ สี่ มาคมดว้ ย แตม่ ไิ ดห้ มายความวา่ ชาตไิ ทยแตโ่ บราณจะไมร่ ูจ้ กั การละครฟ้ อนรามากอ่ น เรามีการแสดงระบา รา เตน้ มาแตส่ มยั ดกึ ดาบรรพ์แลว้ เมอื่ ไทยไดร้ บั วฒั นธรรมดา้ นการละครของอนิ เดยี เขา้ มา ศลิ ปะแหง่ การละเลน่พ้ืนเมืองของไทย คือ รา และระบา ก็ไดว้ วิ ฒั นาการขน้ึ มีการกาหนดแบบแผนแหง่ ศลิ ปะการแสดงทง้ั ๓ ชนิดไวเ้ ป็ นทแี่ น่นอน และบญั ญตั คิ าเรยี กศลิ ปะแหง่ การแสดงดงั กลา่ ววา่ “โขน ละคร ฟ้ อนรา”

การคา้ อาณาจกั รสโุ ขทยั กรงุ สุโขทยั ไดร้ บั การสถาปนาเมอื่ ประมาณ พ.ศ.1800 หรอื อาจกอ่ นหน้านน้ั จากนน้ั ในสมยั พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราชก็ไดข้ ยายอานาจลงไปตลอดแหลมทอง โดยไดค้ รอบครองอาณาจกั รฟูนนั อาณาจกั รทวาราวดี และอาณาจกั รศรีวชิ ยั ทีม่ ีการคา้ ขายมากอ่ น กรงุ สุโขทยั มีตลาดใหญ่ มีการคา้ ขายตดิ ตอ่ กบั ตา่ งประเทศ อาทิ การคา้ ขายกบั จีน การคา้ ขายกบั มอญ พอ่ ขนุรามคาแหง ไดท้ รงมองเห็นชอ่ งทางทีจ่ ะทาใหป้ ระเทศม่งั ค่งั สมบูรณ์ จากการคา้ ขายระหวา่ งเมืองและระหวา่ งประเทศ ตามทกี่ รมพระยาดารงราชานุภาพ ทรงกลา่ วไวใ้ นหนงั สือพงศาวดารสยาม วา่ อดุ หนุนใหม้ หาชนไปมาคา้ ขายถงึ กนั ในระหวา่ งเมอื งตอ่ เมืองและประเทศตอ่ ประเทศสาหรบั เสน้ ทางการคา้ สมยั กรงุ สโุ ขทยั ทีส่ าคญั และใชต้ อ่ เนือ่ งกนั มาเป็ นเวลานานไดแ้ ก่1.)เสน้ ทางระหวา่ งกรุงสุโขทยั กบั เมืองเมาตะมะ มะรดิ และตะนาวศรี เป็ นเสน้ ทางเชือ่ มกรงุ สโุ ขทยั กบั มอญ พมา่ อนิ เดยี เปอร์เซีย อาหรบั และ แอฟรกิ าพอ่ คา้ ไทยนาสนิ คา้ อาทิ เครอื่ งสงั คโลกจากสุโขทยั ผา่ นแมส่ อดไปเมืองเมาะตะมะ อนั เป็ นปลายทางและเป็ นเมอื งทา่ สาหรบั ขนสง่ สนิ คา้ ตอ่ ไปยงั ประเทศดงั กลา่ วอกี ทอดหนึ่ง2.)เสน้ ทางสโุ ขทยั กบั หวั เมอื งฝ่ ายใต้ ตง้ั แตเ่ พชรบุรี ลงไป นครศรีธรรมราชปตั ตานี ตลอดแหลมมลายู3.)เสน้ ทางสโุ ขทยั กบั จีน เขมร สมุ าตรา ชวา ฟิ ลปิ ปิ นส์ เกาหลี ลงั กา (ศรีลงั กา) และอนิ เดยี

การจดั เก็บภาษีอากรในสมยั กรงุ สโุ ขทยัเมอื่ ช่วั พอ่ ขุนรามคาแหง เมืองสโุ ขทยั น้ีดีในน้ามีปลาในนามีขา้ ว เจา้ เมอื งบเ่ อาจงั กอบในไพรล่ ทู่ างเพือ่ นจองววั ไปคา้ ขมี่ า้ ไปขายใครจกั คา้ ชา้ งคา้ ใครจกั คา้ มา้ คา้ จากขอ้ ความทวี่ า่ แตเ่ ดมิ มกี ารจดั เก็บจงั กอบ จากอบ หรือจกอบนี้ เป็ นคา่เดยี วกนั เป็ นภาษีชนิดหน่ึงทีเ่ ก็บจากผนู้ าสตั ว์และสง่ิ ของสนิ คา้ ไปเพือ่ ขายในที่ตา่ งๆ หรอื หมายถงึ ภาษีทเี่ ก็บจากสตั ว์และสงิ่ ของทีน่ าเขา้ มาจาหน่าย โดยวธิ ีเก็บจงั กอบในสมยั นน้ั จะเก็บในอตั รา 10 ชกั 1 และการเก็บนน้ั มไิ ดเ้ ก็บเป็ นตวั เงนิ เสมอไป คอื เก็บเป็ นสงิ่ ของแทนตวั เงนิ ก็ไดแ้ ลว้ แตจ่ ะเก็บอยา่ งใดได้สะดวก เพราะในสมยั นน้ั วตั ถทุ ใี่ ชแ้ ทนเงนิ ตรายงั ไมส่ มบูรณ์ ในยคุ สมยั นน้ั ในการจดั เก็บจงั กอบ รฐั บาลจะตง้ั เป็ นสถานทคี่ อยดกั เก็บในสถานทที่ สี่ ะดวก เชน่ถา้ เป็ นทางบก ก็จะไปตง้ั ทปี่ ากทางหรือทางทีจ่ ะเขา้ เมอื ง ถา้ เป็ นทางน้า ก็จะตง้ัใกลท้ า่ แมน่ ้าหรอื เป็ นทางรว่ มสายน้า โดยสถานทีเ่ ก็บจงั กอบ เรียกวา่ ขนอนทง้ั นี้ขนอนจะเป็ นทคี่ อยเก็บจงั กอบสนิ คา้ ท่วั ไป ไมเ่ ฉพาะเพียงการนาเขา้ และขนออกนอกราชอาณาจกั รเทา่ นน้ั เพราะมีทง้ั ขนอนบก ขนอนน้า ขนอนชน้ั นอก ขนอนชน้ั ใน และ ขนอนตลาด เป็ นตน้ การจดั เก็บจงั กอบเกดิ ขนึ้ ตง้ั แตส่ มยั กอ่ นยคุ สโุ ขทยั และไดย้ กเวน้ ไม่เก็บจงั กอบจากราษฎรเลยในสมยั พอ่ ขนุ รามคาแหง ในภายหลงั จากสมยั พอ่ ขนุรามคาแหงไมม่ ีหลกั ฐานวา่ ในยุคสโุ ขทยั ไดม้ กี ารจดั เก็บจงั กอบจากราษฎรอีกหรอื ไม่


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook