1
ศิลปนยิ ม 20300-1002 บทที่ 12 หวั ข้อ : กลุ่มหรือลัทธทิ างศลิ ปะ 2
บทที่ 12 กล่มุ หรอื ลทั ธทิ างศิลปะ ลัทธิทางศิลปะ หมายถงึ กลมุ่ ศลิ ปินท่มี ีความเชือ่ เหมือนกนั มีการฝึกฝนปฏิบัติเหมอื นกนั และ มนี ้าใจต่อเพอื่ นศิลปนิ ในลัทธเิ หมอื นกัน และมีนา้ ใจตอ่ เพือ่ นศลิ ปนิ ในลทั ธเิ หมือนกัน ล้าพังค้าว่า ลัทธิ ค้า เดียวหมายถึง คติความเชื่อถือหรือความคดิ เหน็ ลทั ธิทางศลิ ปะเร่ิมในปลายศตวรรษท่ี 18 ในประเทศฝรั่งเศสหลังยคุ อา้ นาจเสอ่ื มลง ศลิ ปินยุคนี แยกตวั ออกเปน็ อิสรเสรี ไมข่ นึ อย่กู บั ผูท้ ี่มอี ้านาจดังศิลปินในอดตี เคยเปน็ และเชือ่ วา่ แบบแผนท่ีมีมาแต่เดิม พ้นสมยั ในการแสดงออกมงุ่ ทคี่ วามเป็นจรงิ ของสังคมขณะทตี่ นมชี วี ิตอยใู่ ห้ปรากฏรปู ทางใด กต็ าม อเปน็ ประสบการณต์ รงของศลิ ปินเอง รูปแบบจะใหค้ ล้ายของจริง แบบลดตดั ทอนหรือแบบนามธรรมได้ทังสนิ จงึ เป็นช่วงท่ีกลา่ วว่า ศลิ ปะยุคเดียว ซ่ึงมลี ัทธใิ นทางศลิ ปะมากทสี่ ุด รวมถงึ รปู แบบท่ีมากสบื เนื่องถึงปัจจุบนั จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1. บอกความหมายและองคป์ ระกอบการเกิดลัทธติ า่ ง ๆทางศิลปะได้ 2. อธบิ ายแนวคิดและเทคนคิ วิธีการสร้างสรรค์ศิลปะในลทั ธติ า่ ง ๆได้ 3. วิเคราะหส์ าเหตทุ ที่ ้าให้เกิดลัทธิต่าง ๆทางศิลปะได้ 1.ลัทธนิ โี อคลาสคิ ( NEO CLASSIC 1780-1820 ) เกิดจากการทีศ่ ลิ ปนิ หวนกลบั มาช่ืนชมและนิยมศลิ ปะแบบกรีกและโรมันอีกครังหนง่ึ ศลิ ปกรรมในลทั ธินจี ึงเปน็ การสรา้ งสรรค์ลอกเลียนแบบและเครง่ ครดั ในศิลปะแบบโบราณ ลกั ษณะ จติ รกรรมในลัทธินจี ะมที ัศนียภาพ ประกอบด้วย ระยะใกล้ ไกล กลาง ฉากหลังของภาพสว่ นใหญจ่ ะ มสี งิ่ ปลกู สรา้ งเปน็ รูปแบบ เชน่ เสาอาคาร อันเป็นแบบกรกี หรอื โรมนั และอย่ใู นทรงสามเหลีย่ ม ทรง กลม สฉี ากหลังจะนยิ มสที ่ที ึม ๆ มดื ๆท้าเป็นระยะ เนน้ หนักไปทางด้า น้าตาล เขยี ว ขาว 3
ศิลปนิ เด่นในลัทธินี ไดแ้ ก่ ดาวิด ( DAVID 1748-1825 ) เป็นศลิ ปนิ คนลา่ สุดในฝรั่งเศส ผลงานมีชอ่ื ของเขา ได้แก่ ภาพการ สาบานของพวกฮอเรส กบฏหญิง การตายของมาราห์ นโปเลยี นได้รบั การสถาปนาจากสันตะปาปาเปน็ จกั รพรรดิแห่งฝร่ังเศส เม่อื ฝร่ังเศสเป็นประชาธิปไตย ดาวดิ ต้องลภี ยั ไปอยู่เบลเย่ียม ด้วยเขาเคยสนับสนุน การปฏวิ ตั ิ Erasistratus Discovering the Cause of Antiochus’ Disease Patroclus Diana and Apollo Killing Niobe’s Children 4
2. ลทั ธโิ รแมนตกิ ROMANTICISM 1820-1850 ศลิ ปะลทั ธิโรแมนตกิ เกิดจากศิลปินเบอื่ หน่ายกบั ศิลปนิ แบบกรกี และโรมนั ที่ส้าคญั คือ เลกิ เขียน ภาพแบบประวัติศาสตร์หรือเทพนิยายแบบโบราณ การสร้างสรรคต์ ้องเปน็ เหตกุ ารณเ์ รอื่ งราวจรงิ สะเทอื น อารมณ์ของระชาชนในสมัยที่ศิลปินยงั มชี วี ติ อยู่สรา้ งภาพ ศิลปะลทั ธิโรแมนติก ยึดม่ันในอารมณมื ากกว่า เหตุผลกบั ความพยายามอธิบายความไม่แน่นอนของชวี ติ สร้างกลมกลืนระหวา่ งชวี ติ กบั ศลิ ปะใหเ้ ดน่ ชดั ขึน ด้วยเร่อื งราวทต่ี ่ืนเต้น ผจญภยั สะเทอื นอารมร์ จะนิยมเขียนมาก เพือ่ ชีให้เหน็ และได้คดิ ถงึ ความไม่ แน่นอนของชวี ติ ศลิ ปินสาคญั ในลัทธนิ ไี้ ด้แก่ เจอรโิ คว์ (GERICAULT 1719-1824 ) ผลงานท่ีมีช่ือเสียง ได้แก่ แพเมดูซ่า คนบา้ ชาย-หญิงชาวแอลจีเรีย ม้าพยศคานเตเยย่ี มสนู่ รก เดอะราฟ ออฟ เมดซู า เปน็ ศิลปนิ ฝรง่ั เศสทม่ี อี ิทธพิ ลอย่างลึกซงึ , จติ รกรและช่างพิมพ์หินท่รี จู้ กั กนั ใน แพของเมดูซ่า และ ภาพวาดอื่น ๆ แม้ว่าเขาจะตายสาวเขากก็ ลายเปน็ หน่ึงในผบู้ กุ เบกิ ของ การเคลอ่ื นไหวโรแมนตคิ เป็นผนู้ ้า กลุ่มที่ชอบสรา้ งสรรค์งานทนี่ ่ากลัวและตน่ื เต้น ผลงานทม่ี ีชอื่ คือ แพเมดซู ่า เป็นภาพเหตุการณ์อนั หน้า เศรา้ สลดเมอื่ เรอื ของชาวฝร่ังเศสเกิดอับปาง ผูโ้ ดยสารอยู่ในแพลอ่ งลอยในทะเลอยู่สามเดอื น อดน้าและ อาหารมีผรู้ อดชวี ติ เพียงสิบหา้ คน 5
โกย่า ( GOYA 1746-1828 ) เปน็ ศิลปนิ ชาวสเปน ชอบการวาดรปู เกย่ี วกับความนา่ เกลยี ด น่า กลัว และการทรมาณ เช่น การประหารกบฏสเปนโดยทหารฝรั่งเศส คนถกู แขวนคอ คนบา้ หญิงชรา ทน่ี า่ เกลียดน่ากลวั การฆ่าฟันในสมรภมู ิ การแทงวัวกระทงิ ภาพมายา แต่งกาย และภาพมายาเปลือย The Third of May 1808 Saturn Devouring His Son ฟรันซิสโก โกยาไดร้ บั การยกยอ่ งทังในฐานะจติ รกรชนั ครูยุคเก่า (Old Masters) คนสดุ ท้าย ดว้ ยผลงานทงั ภาพเขยี นและภาพพิมพ์ชนั ยอดจ้านวนมาก รวมทังในฐานะจติ รกรยคุ ศิลปะสมัยใหมค่ นแรก ผูป้ ฏิวตั สิ ไตล์การเขยี นภาพทีไ่ ด้สร้างแรงบันดาลใจแกศ่ ลิ ปินดงั ในยุคศตวรรษที่ 19 และศตวรรษที่ 20 มากมายหลายคน รวมทงั Pablo Picasso, Edouard Manet และ Francis Bacon ศิลปนิ ผูเ้ ชื่อวา่ วิสยั ทศั น์ของศลิ ปนิ มีความส้าคัญมากกว่าขนบธรรมเนียมประเพณนี ามวา่ ฟรนั ซสิ โก โกยาผูน้ ีคือหนง่ึ ใน ศลิ ปนิ ผ้ยู ิ่งใหญข่ องสเปนและของโลก 6
3.ลัทธเิ รยี ลลสิ ม์ ( REALISM 1850-1870 ) มนุษย์ในโลกนีต้องต่อส้กู บั ปญั หาชีวิตประจ้าวันทไี่ มม่ วี นั หยดุ นง่ิ ได้ ท่ามกลางมนษุ ยด์ ว้ ยกนั ที่ มากด้วยกเิ สศแห่งความอยาก ความต้องการ ความดี ความเลว ความต่างฐานะกันทางสังคม ในเมอื่ ความ เป็นจริงเช่นนี ศิลปนิ ในลทั ธเิ รียลสิ ม์ จึงพยายามแสดงความจรงิ ท่ตี นมสี ่วนรเู้ หน้ เป้นพยาน ใหป้ รากฏเปน็ ศลิ ปะ เพื่อบอกกลา่ วแกส่ งั คม ศิลปินเรียลิสม์ เกือบทุกคนมสี ัญชาติฝรงั่ เสศ นิยมเขียนภาพคนจน ๆ คน ชนั ต้า่ พอใจทจ่ี ะวาดสังคม เยาะเย้ยคนชนั กลางที่ร่้ารวย ศิลปนิ จะเคารพธรรมชาติ เคารพหุ่นทีพ่ บเหน็ โดยจะหลับตาสร้างความสวยงามตามทอ่ี ุดมคตหิ รอื เขยี นสง่ิ ที่ตนไมเ่ คยเห็นไมไ่ ด้ ศลิ ปินในลทั ธินคี อื โกย่า และ โดเม สา้ หรบั โกยา่ ผลงานจะมรี ูปลกั ษณะของโรแมนติกและเรีย ลสิ ม์ เพราะแสดงความสยดสยองความโหดร้ายท่มี ีในสงั คม ส้าหรับโดเม ได้คลุกคลีกับสามัญชนพบความ จรงิ ต่าง ๆท่มี ากมาย ชอบเขยี นการ์ตนู ลอ้ เลยี น ถากถางสังคม ภาพชีวิตของพระแมม่ ารภี ายในชาเปลทอร์นาบโุ อนเิ ปน็ ภาพทีแ่ สดงให้เหน็ ชวี ิตภายในเรอื นของ ผูด้ ีฟลอเรนซ์ในสมัยนนั มากกวา่ ท่ีจะเป็นภาพทแ่ี สดงเหตุการณ์มหัศจรรยท์ างคริสต์ ผูน้ าลทั ธิเรียลิสมอ์ ย่างแท้จรงิ คือ คัวรเ์ บท์ ( COURBET 1819-1877 ) เขาเขียนภาพ จากประสบการณต์ รงของชวี ติ บนความเป็นจรงิ เชน่ ภาพคนทบุ หนิ ทม่ี ขี นาดใหญเ่ ท่าคนจริง ลกั ษณะงานละเอยี ดคลา้ ยจรงิ มาก ผลงานของเขาถกู คณะกรรมการคดั คา้ นไมย่ อมให้รว่ มแสดงเสมอ เพราะการไม่ยอมคลอ้ ยตามความเชอ่ื ของศลิ ปนิ ร่นุ เกา่ กระทง่ั นกั คดิ ของฝรงั่ เศสมาประชมุ หารือให้ เหน็ ว่า ศิลปะเป็นรากฐานท่แี ท้จรงิ อยา่ งหน่ึงของสงั คม หรือเปน็ พาหนะทจ่ี ะช่วยยกให้สังคม เจริญกา้ วหน้า ไมท่ างตรงก็ทางอ้อม 7
นอกจากบทบาททางศิลปะแล้ว กรู แ์ บยังมีบทบาททางด้านการเมือง ถึงแม้ผลงานของเขา จะไมแ่ สดงออกถึงเนอื หาทางการเมืองอย่างชัดแจ้ง แต่ด้วยบริบทของยุคสมัยนนั กไ็ มอ่ าจปฏิเสธไดว้ า่ มัน แสดงออกถึงแนวคิดของความเท่าเทยี มและความเสมอภาค ด้วยการเชดิ ชูความธรรมดาสามญั ของปัจเจก ชน และวาดภาพคนเหลา่ นันออกมาในขนาดที่ใหญโ่ ตมโหฬาร และวาดออกมาตามความเป็นจรงิ โดยไม่ ซอ่ นความบกพร่องไมส่ มบรู ณแ์ บบเอาไว้ A Burial At Ornans (1849–50) ในช่วงปี 1871 เขากย็ ุตบิ ทบาทจิตรกรชัว่ คราว เพ่อื ท้ากจิ กรรมเคล่อื นไหวทางการเมอื ง โดยเขา้ ร่วมในกลุ่มคอมมูนปารสี ซง่ึ เป็นกล่มุ การเมืองฝา่ ยสังคมนยิ มท่ตี ่อต้านรฐั บาลฝร่ังเศสของ จกั รพรรดนิ โปเลยี นที่ 3 กอ่ นที่กลุม่ จะถกู ปราบปราม สง่ ผลใหเ้ ขาถกู จบั กมุ และถูกตดั สินจ้าคุกเปน็ เวลา 6 เดอื น ก่อนทีจ่ ะถูกเนรเทศไปยังสวติ เซอร์แลนด์ในปี 1873 และอาศัยอยูท่ ่ีนน่ั จวบจนวาระสุดทา้ ยของ ชีวิต 4.ลัทธอิ มิ เพรสชัน่ นสิ ม์ ( IMPRESSIONISM 1860-1880 ) ววิ ฒั นาการมาจากลัทธินโี อคลาสคิ ลทั ธิโรแมนติกจนกลายเปน็ ลัทธิอมิ เพรสช่ันนสิ ม์ เพราะ ศิลปินเบอื่ หนา่ ยต่อลทั ธเิ ก่า ๆซ่งึ หลักเกณฑท์ างความงาม ความสมบูรณ์ และการจัดการภาพ ไม่ทา้ ทาย เสรภี าพเท่าใดนัก มาเนท์ ( MANET 1832-1883 ) หัวเรย่ี วหัวแรงของลทั ธิตอนต้นน้ีสนใจคลา้ ยคัวร์เบท์ แต่ ภายหลงั เหน็ ว่าการเลียนแบบธรรมชาตจิ รงิ ๆไม่ไดใ้ ห้การสรา้ งสรรคอ์ ะไรท่ีแปลกใหม่ การรบั รู้ของ ศลิ ปนิ ตามความรู้สกึ แบบประทับใจตา่ งหากท่ีสาคัญกว่า 8
ภาพผลงานจติ รกรรมชือ่ อาหารกลางวนั บนสนามหญา้ Lunch on the Grass วาดโดย มาเนท์ Edouard Manet ค.ศ.1863เปน็ ภาพทสี่ รา้ งความแปลกและตื่นตระหนกให้แกช่ าวฝรั่งเศสเป็น อนั มากเพราะเปน็ ภาพทีผ่ ู้ชายแตง่ กายเรียบรอ้ ยและผหู้ ญงิ เปลือยกาย ภาพผลงานจติ รกรรมชอื่ ความประทบั ใจเมอ่ื ดวงอาทิตย์ข้ึนImpression Sunrise วาดโดย โคลด โมเนท์ Claude Monet ค.ศ.1872เปน็ ภาพทีเ่ ปน็ ท่ีมาของคาวา่ \" ประทบั ใจ \" ซึง่ ทาใหเ้ กิดเปน็ ศิลปะ ลทั ธิประทับใจขนึ้ 9
ศิลปินลัทธิอมิ เพรสช่ันนสิ ม์ ถือเอาความงามทีป่ ระทับใจเป็นคุณคา่ ทกุ คนจะวาดรูปเพียงแสดงออก ทางประสาททไ่ี ด้รบั สงิ่ ต่าง เชน่ ความเปน็ สีแดง สีน้าเงนิ สเี ขียว สีนา้ เงนิ การใชส้ จี ะใชส้ ีแทๆ้ ใหค้ วามร้สู กึ ของแสงและเวลา เช้า เช้า สาย บ่าย เยน็ โดยไม่ต้องอาศัยการรา่ งมาก่อน มองดูใกล้ ๆจะเห็นสี ระยบิ ระยบั ปดว้ ยสีต่าง ๆไมค่ ่อยสวย แต่เม่อื มองไกล ๆ จะเห็นเปน็ รูปร่างสวยงาม มคี วามรู้สึกคล้าย จรงิ ตามท่ตี าเหน็ และไม่นิยมใชส้ ดี ้าบริเวณเงา การใช้สแี บบนีเรยี กวา่ การผสมสบี นดวงตาของผู้ดู ศลิ ปนิ เดน่ ลทั ธนิ ี้ ไดแ้ ก่ มาเนท์ โมเนท์ ปซิ าโร และโรแดง ภาพผลงานจิตรกรรมช่ือ ความประทบั ใจเมอ่ื ดวงอาทติ ย์ขนึ้ Impression Sunrise วาดโดย โคลด โมเนท์ Claude Monet ค.ศ.1872เป็นภาพทเี่ ป็นท่ีมาของคาวา่ \" ประทับใจ \" ซง่ึ ทาให้เกิดเป็นศลิ ปะลัทธิประทบั ใจข้นึ 5.ลัทธิโฟวิสม์ ( FAUVISM 1900-1910 ) มีมาตสิ ชาวฝรั่งเศส เปน็ หวั เรย่ี วหัว แรง โดยมคี วามเชื่อวา่ คนเราดูภาพเขยี นไม่ควรกงั วลกับการจะเหมือนรปู ที่เราเคยเห็นหรอื ไม่ เพราะรูป เขียนไม่เหมือนและรปู เหมอื นไมม่ ี ศลิ ปฺในลัทธนิ ี พัฒนาจากความคิดเห็นเปน็ ส่วนรวมของศิลปินในกลมุ่ เดียวกนั และลม้ เลิกความเชอื่ เก่า ๆในหลักเกณฑ์โบราณ โดยสร้างเรื่องราวขึนใหมก่ ับเป็นเรือ่ งท่ีศลิ ปิน ตดั สินใจเองถึงความเหมาะสมของยคุ ตน ผลงานศิลปะในลัทธนิ ีจะแสดงรูปรา่ งที่หยาบดว้ ยเสน้ และสที ่ีรนุ แรง เป็นสแี ท้ ๆไม่ลดความ เข้มของสเี ลย แสดงออกถงึ ความกล้า ความเด็ดเดีย่ วแห่งอารมณภ์ ายใน ด้วยการจัดการภาพและสอี ยา่ ง ไมค่ า้ นึงตามท่เี หน็ ทั่วไป แต่ค้านึงถึงความรู้สึกตาเรอ่ื งราวทกุ ประเภทที่แตกตา่ งกัน ลกั ษณะผลงานดู คล้ายรปู ตัดเปน็ ลวดลายทางตะวันออกกลาง ใช้รูปทรงเปดิ ละรูปทรงปิดเป็นแนวทางในการแสดงออก 10
อ็องรี มาตสิ (Henri Matisse) เป็นศลิ ปินผ้โู ดดเดน่ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 หนึง่ ในผ้นู ้า คนส้าคัญของลัทธโิ ฟวิสม์ (Fauvism) และเปน็ คู่แขง่ คนส้าคญั ของ Pablo Picasso มาติสเปน็ ผู้ สร้างสรรคภ์ าพเขียนแนวใหมท่ ่ีใชส้ สี นั ฉดู ฉาดจดั จา้ น และมกี ารพฒั นาเปล่ียนแปลงสไตล์ไปตามแนวคิดท่ี ไมเ่ คยหยุดน่งิ เขาทุ่มเทเวลาในการสร้างผลงานอนั เป็นเอกลกั ษณอ์ ยา่ งยาวนานกว่า 6 ทศวรรษ แมก้ ระทงั่ ในชว่ งบันปลายของชีวิตทตี่ ้องอยู่แต่บนเตียงกับรถเข็นเขียนภาพไมไ่ ด้ เขายังทา้ งานศลิ ปะตัด กระดาษจนกลายเปน็ ผลงานศลิ ปะอกี แบบหนึ่ง มาติสได้รบั การยกย่องเป็นหนึง่ ในศลิ ปินชันนา้ แห่งยุค ศิลปะสมยั ใหม่ The Dance 11
6. ลทั ธิควิ บิสสม์ ( CUBISM 1907-1919 ) แสดงแนวคิดในการถ่ายทอดสงิ่ แวดลอ้ มจากศลิ ปนิ รนุ่ แรก เซซาน ทีว่ า่ ถ้าเขา้ ใจรปู ทรง ของโลกภายนอกและโครงสร้าง ตามความเป็นจริงแลว้ จงมองรูปทรงเหลา่ นน้ั เปน็ เหลย่ี มเป็น ลูกบาศกง์ ่าย ๆแล้วเสาะหาความงามของรูปทรงนัน้ ความเคลอื่ นไหวของลทั ธนิ ีเองมอี ิทธิพลจนถงึ ทกุ วนั นใี นด้านการศึกษาน่นั คือ การรา่ งภาพ ด้วยการสร้างเปน็ รปู ทรงเรขาคณติ หรอื รปู เหลี่ยมกอ่ นทีจ่ ะมอง หารายละเอยี ดตอ่ ไป เปน็ ท่ีมาของคา้ ว่าควิ บิสม์ ศิลปนิ เดน่ ในลทั ธินี ได้แก่ ปิกัสโซ่ ในปี 1908 ปกิ สั โซไ่ ด้เร่ิมงานแบบควิ บสิ มข์ ึน และเขา เป็ณผูน้ ้าศลิ ปินรนุ่ ใหม่ท่ยี ่ิงใหญ่ ในฐานะผู้บุกเบกิ ลทั ธคิ ิวบสิ ม์ท่ยี อดเย่ยี มมาเรอ่ื งจนปัจจบุ ัน ท่ีแม้เขาจะ เสียชีวิตไปแลว้ กต็ าม ผลงานของเขานยิ มวาดรปู ชายหรอื หญิงตวั ใหญ่ ๆ ทเ่ี รียกวา่ ผอกปกติ ใบหน้าแบบ เหลยี่ มเรขาคณิต หรือต้าแหน่งปากกับตา หรอื น้าสว่ นหลังมาเป็นสว่ นหน้า Two Women Running on the Beach Girl before a Mirror 12
บราค (BRAQUE ) เขารูจ้ ักกบั ปิกัสโซแ่ ละเร่มิ ท้างานในลทั ธนิ ีแบบเดียวกนั เป็นภาพจานผลไม้ ขวด ถว้ ยแก้ว เปน็ สว่ นใหญ่ บราคได้รบั การยอมรบั ในเรอ่ื งการปรสานกนั ของเสน้ เลือ่ งช่ือในการใช้สีขาว ดา้ น้าตาล เทา แตภ่ ายหลังบราคนยิ มเขียนภาพด้วยสขี าวด้า มลี ายประดิษฐค์ ล้ายแจกนั ของกรกี ผลงานของบราค ผลงานของบราค 13
7. ลทั ธิฟวิ เจอร์รสิ ม์ เร่ิมเคลอื่ นไหวในอติ าลีเม่ือปลายศตวรรษท่ี 19 และต้นศตวรรษท่ี 20 chart ไทยศลิ ปะดังเดิมและอิทธพิ ลต่อแนวความคิดกับศิลปินสมัยใหม่ขนึ ดว้ ยเปน็ ลทั ธทิ แี่ สดงออกถึงความ เปน็ อยใู่ นปจั จบุ ันที่ไมอ่ ยนู่ ิ่งอนั เปน็ ผลมาจากชัยชนะท่ีไดท้ างวทิ ยาศาสตร์ การเขยี นแบบฟวิ เจอร์รสิ มจ์ ึง สั่นสะเทอื นความร้สู ึกของประชาชนทวั่ ไปในโลกวิทยาศาสตร์ด้วยเนอื หาเก่ยี วกับวิทยาศาสตรด์ ้านความ เคลื่อนไหวเช่นวงล้อจกั รยานรถยนต์ล้อรถต่างๆเรื่องการเมืองเรอื่ งคนเน้นการแสดงออกทางอารมณค์ วาม เคลอื่ นไหวและภยันตราย หากเขียนเรอื่ งเมืองก็จะเขียนเปน็ มา้ อยูใ่ นเมอื งแสดงออกถงึ ทไี่ ด้เคล่อื นไหวของชมุ ชนเมืองและ เกย่ี วข้องกับเครอื่ งจักรโดยมไิ ด้มีความหมายตามรปู มานนั ซึ่งบางครังกย็ ากเกินกวา่ จะนึกถงึ การดูตอ้ งสร้าง พืนฐานพอสมควรจึงสลายไปในทส่ี ุดเม่ืออายุไดร้ าว 4-5 ปี ศิลปินทส่ี ้าคญั เชน่ คาร์โล คารร์ า (Carlo Carra, ค.ศ. 1881-1966) อุมแบร์โต บอ็ คโชนี (Umberto Boccioni, ค.ศ. 1882-1916) จอิ าโคโม แบลลา (Giacomo Balla July 18, 1871 - March 1, 1958) เป็นต Carlo Carrà. \"Horse and Rider or Red Rider (Il cavaliere rosso)\", 1913, tempera and ink on woven paper, Civico Museo d'Arte Contemporanea, Milan 14
8. ลทั ธเิ ซอร์เรยี ลลสิ ม์ ลัทธเิ ซอร์เรยี ลลสิ ม์ เช่อื ว่ามนษุ ย์ไมไ่ ด้เกดิ มาเพ่ือจะรับรู้เพยี งอยา่ งเดียวแต่ยังมีความหวงั ความ ฝันความต้องการของมนษุ ย์อกี แต่ไม่สามารถมองเหน็ ไดเ้ พราะสังคมและวัฒนธรรมมสี ่วนบงั คบั ให้ต้อง เกบ็ กดได้ซ้อนไว้ศิลปินและทีนจี งึ นิยมเขยี นตามที่ตนคาดฝันและจนิ ตนาการเป็นความหมายของโรควัตถุ และความคดิ ทพี่ บกนั ผลงานของรัฐทแี่ สดงออกในลกั ษณะตา่ งๆตามแนวคิดอย่างนี เรือ่ งราวจะเก่ยี วกบั อดตี เช่นความผิดหวังความรกั ความกลัวความหยงิ่ ผยองด้วยรูปแบบเพื่อ แนะน้าสงั่ สอนในมมุ กลบั หรือแบบผสมผสานระหว่างสงิ่ ท่มี องเห็นด้วยตาและรับรู้ดว้ ยจติ ใจหรือความจริง ของอดีตและปจั จุบนั ประกอบด้วยเวลาอายุความผกู พนั ความเนา่ เป่อื ยทงั จะมาจากจนิ ตนาการกับความ ประทบั ใจท่ีเป็นสว่ นตวั ของศลิ ปนิ เอง รูปทรงทีใ่ ชจ้ ึงเป็นสงิ่ สมมตทิ ป่ี ระหลาด ในรูปแบบวิธีการเหมือน จรงิ จึงเป็นไดใ้ นความฝันทฝี่ ากให้ผดู้ ูได้คิดศิลปินเดน่ ในลทั ธินคี อื อังเดร เบรตอง ศิลปินที่มีชอ่ื ในลัทธเิ ซอเรียลิสม์ มดี ังนี้ 1. ดาลี (Dali) ค.ศ. 1904 จติ รกรชาวสเปน ผลงาน เชน่ ภาพความทรงจ้าท่ไี ม่เคยลมื (นาฬกิ าเหลว) และลางสังหรณ์แหง่ สงครามกลางเมอื ง ฯลฯ 2. ชากาล (Chagall) ค.ศ. 1889 จิตรกรชาวรัสเซยี ผลงาน เช่น ภาพวนั เกิด และภาพจิตรกรกบั นิวเจด็ นวิ 3. แอนส์ (Ernst) ค.ศ. 1891 จิตรกรชาวเยอรมนั ผลงาน ภาพช้างมหัศจรรย์ 4. มโี ร (Miro) ค.ศ. 1893 จติ รกรชาวฝรัง่ เศส ผลงานภาพ คน สุนัข และดวงอาทิตย์ 5. จอิ าโคเมตติ (Giacometti) ค.ศ. 1901 – 1966 ประติมากรชาวสวติ เซอร์แลนด์ ผลงาน รปู รถม้า รูป คน รูปพระราชวังตอนเชา้ เวลา 10.00 น. 15
ปี 1931 ในวยั 27 ปีดาลีเขียนภาพที่ชื่อ The Persistence of Memory เขานาเสนอ ภาพเหนือจรงิ ของนาฬิกาพกท่ีกาลงั หลอมเหลวซึ่งดเู หมือนจะแฝงความหมายของการปฏเิ สธว่า เวลาไม่ใชเ่ ปน็ สง่ิ ท่กี าหนดตายตวั ทาใหน้ กึ ถงึ ทฤษฎสี มั พัทธ์ภาพของไอน์สไตน์ ดว้ ยความคดิ สร้างสรรคแ์ ละความโดดเดน่ ของภาพทาให้ต่อมาภาพนี้ไดก้ ลายเปน็ ภาพที่มีช่ือเสียงมากทสี่ ดุ ของเขา เป็นหนึง่ ในภาพทเ่ี ปน็ ที่รู้จกั กันมากท่ีสดุ ในโลก และเปน็ สัญลกั ษณ์ของภาพเหนอื จริงทีก่ อปรด้วย จินตนาการอนั ล้าลึก 16
9. ลทั ธิ สุปรีมาติสม์ ลทั ธินมี ีจุดเร่ิมต้นในรสั เซียต่อมาไดแ้ พรข่ ยายไปในประเทศฮอลแลนด์ แคชเมียร์ มาเลวซิ ( KASHMIR MALEVICH 1878-1935 ) เป็น เป็นผปู้ ระสานการเคลื่อนไหวระหวา่ ง ลัทธคิ วิ บิสม์กับนามธรรมเรอ่ื ง เปน็ ผู้ประสานการเคล่อื นไหวระหว่างลัทธคิ วิ บสิ มก์ ับนามธรรมเร่ืองราวจะ ไมเ่ กี่ยวกับสมยั โบราณนยิ ายหรอื ศาสนาแต่ เปน็ ผปู้ ระสานการเคล่ือนไหวระหวา่ งลัทธคิ ิวบสิ มก์ ับ นามธรรม เร่ืองราวจะไมเ่ กี่ยวกับสมยั โบราณ นยิ าย หรือศาสนา แตจ่ ะเกย่ี วกบั ความรู้สึกเท่านนั เชน่ เร่ืองอวกาศ ความดงึ ดดู แม่เหล็กไฟฟา้ เรขาคณติ มาเลวิซ เขียนภาพลัทธนิ รี ูปแรกเป็นรปู ส่เี หลยี่ มจตั รุ ัสสีขาว บนพืนขาว ปีค.ศ 1913 ถอื เปน็ ภาพหลกั เบืองต้นทสี่ า้ คญั และได้สร้างความมน่ั คงใหแ้ ก่ผู้ดูคราวนันเป็นอันมาก ถอื เปน็ ภาพหลกั เบืองตน้ ท่ีส้าคัญและไดส้ ร้างความมน่ั คงใหแ้ ก่ผู้ดูคราวนันเป็นอันมากซ่ึง ซงึ่ ภาพของเขาที่ แสดงในครงั นี ตอ้ งมองดว้ ยสมองทีว่ ่างเปล่าและละทิงประสบการณ์เกีย่ วกบั ศิลปะแบบเก่า ๆ ออกเสยี แล้วสรา้ ง ความรสู้ ึกอันเสรีภาพในการดู ภาพนนั จะเปิดโอกาสใหเ้ ข้าใจไดต้ ามประสบการณแ์ ละพืนภมู ิแห่งตน เพราะการดมู ิได้บงั คบั ให้ดูรูปท่เี กิดจากการวาดนนั ลัทธสิ ปุ ีตสิ ม์ไม่ค้านึงถึงรูปร่างทม่ี องเห็นได้รอบๆตัว เรา แตจ่ ะค้านงึ ถึงความรสู้ กึ ของวัตถทุ ่ีมองเห็น เมอ่ื การเขยี นตามลัทธนิ ไี ม่คา้ นึงถึงรปู รา่ งเพราะรูปรา่ งไม่แนน่ อน ในการเขียนตามลทั ธจิ ึง ต้องยึดบริเวณวา่ งเปน็ หลกั และเรือ่ งราวที่เขียนกเ็ กีย่ วข้องกับบริเวณที่วา่ งหรืออวกาศ ด้วยหลกั ท่วี ่า ปรากฏการณ์ต่างๆในโลกรอบตัวเรานีไมม่ ีความหมายในตวั ของมันเองเลยจดุ สา้ คญั อยู่ที่ความร้สู ึกของผดู้ ู เมื่อพบกับสิง่ ต่างๆในโลกรอบตัวเรา Black Square (1915) 17
18
Search
Read the Text Version
- 1 - 18
Pages: