ศิลปนิยม 20300-1002 บทท่ี 2 หัวข้อ : ประเภทของศลิ ปะ 1
บทที่ 2 ประเภทของศิลปะ ศลิ ปะเปน็ ผลงานสร้างสรรค์ของมนษุ ย์เพื่อมนุษย์ มคี ุณลักษณะทางศลิ ปะทางดา้ นความงาม ความ สะเทอื นอารมณ์ และเน้อื หาสาระ ที่โน้มน้าวจิตใจของผชู้ น่ื ชมให้หวน่ั ไหวไปตามเจตนารมณ์ของผู้ สร้างสรรค์ มนุษย์สรา้ งสรรค์งานศลิ ปะต่างๆ ขึ้นมาใช้สอยในชีวิตประจาวันอันจาเจก็เพื่อสนองความต้องการ ทางกายและทางจติ ใจ ศิลปะจงึ ถูกแบ่งเปน็ ประเภทตา่ งตามประโยชน์ใชส้ อย โดยใชเ้ กณฑ์อย่างใดอย่าง หนึง่ จาแนกเกณฑ์วตั ถประสงค์และคุณคา่ ทางศิลปะ คือเกณฑ์ลักษณะของส่อื วัสดุ และกรรมวธิ ี เกณฑห์ ้วง เวลา และวิวฒั นาการทางศิลปะ การเรยี นรู้ประเภทของศิลปะจงึ จาเป็นมาก เพือ่ ก่อให้เกดิ ความเข้าใจอย่าง มีปฏิสัมพนั ธร์ ะหวา่ งศิลปินและผู้ชื่นชม จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม 1. บอกองค์ประกอบและประเภทของศิลปะได้ 2. บอกลกั ษณะของสื่อ วัสดุ กรรมวิธกี ับหว้ งเวลาและวิวัฒนาการทางศิลปะไดง้ 1. การสรา้ งสรรคศ์ ลิ ปะ มนษุ ยล์ ้วนพอใจท่ีจะเขา้ ใกลส้ ิ่งท่ีเปน็ ความงาม ความไพเราะ เกลียดสิ่งทนี่ า่ ขยะแขยงมาแต่เดิม มนษุ ย์จึงได้สร้างสรรค์สิ่งใด ๆขนึ้ เพ่อื ให้เกดิ ความพึงพอใจในความรสู้ ึกของตนทีม่ มี าตัง้ แตก่ าเนดิ ความรสู้ กึ นเี้ ปน็ สญั ชาตญาณท่ีมปี ระจาตัวบุคคล หยาบบา้ ง ละเอียดบา้ ง แลว้ แตก่ ารศึกษาอบรม ความแตกตา่ งนจ้ี ะ ขึน้ อยู่กบั มาตรฐานความเจริญและคล่ีคลายแห่งปัญญาความคดิ ของแตล่ ะบคุ คล ศิลปะจงึ กลายเปน็ พ้ืนฐานทางศลี ธรรม เป็นเหตุให้มนุษยส์ ร้างสรรค์ศิลปะ ก่อให้เกิดประโยชน์ สาหรับตนเองและผู้อนื่ คอื 1. ใหค้ วามเพลดิ เพลนิ 2. ใหค้ วามปิตยิ ินดี 3. ใหค้ วามภูมิใจ ผสู้ รา้ งสรรคย์ ่อมไดร้ บั การยกย่องจากสงั คม 4. ใหค้ วามสะดวกสบาย การนาประยกุ ตศ์ ลิ ป์มาใช้กับส่ิงแวดล้อมประจาวนั ยอ่ มก่อใหเ้ กดิ ประโยชนม์ ใช้สอย และมคี วามงาม มีความสะดวกสบายเมอื่ ใชส้ อย 5. ให้ผลทางเศรษฐกจิ ใช้การสร้างสรรค์ประกอบอาชีพได้ 6. ใหค้ วามรู้ดา้ นขา่ วสารขอ้ มลู สมารถสะทอ้ นความเจรญิ ความเส่อื มถอย ความเชอ่ื คา่ นิยมสามารถ และ สตปิ ัญญา ให้คนรุน่ อื่นนอกเหนือจากการบันทกึ ตัวอกั ษร 2
ประเภทของศลิ ปะ (Classification of art) เพื่อเป็นรากฐานของการรับรรู้ ว่ มกันต่องานศิลปะเกี่ยวกบั ความชนื่ ชอบและความโน้มเอียงของจิตใจ ที่สบื เน่อื งมาจากประสบการณใ์ นสังคมลัวัฒนธรรมท่ีสบื ทอดแบบแผน วัฒนธรรม รปู แบบ สือ่ กลวิธีตา่ ง มาจากอดตี แบง่ ออกเป็น 3 อย่าง โดยใชเ้ กณฑด์ งั นี้ 1. วัตถุประสงคข์ องการสร้างงานและคุณคา่ ทางศิลปะ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆคือ ศิลปะบริสทุ ธิ(์ PURE ART ) หรอื ศิลปะแท้ หมายถึง งานศิลปะที่ผู้สร้างสรรค์มุ่งแสดงออกดา้ น ลักษณะความงามทางศิลปะ ด้านอารมณ์ และดา้ นเน้ือหา ที่ก่อให้เกิดคุณค่าควรแก่การรับร้มู ากกว่าท่จี ะมุ่ง ใหเ้ กิดประโยชนใ์ ชส้ อยในชวี ิตประจาวันของมนษุ ย์ เชน่ ประติมากรรมท่แี สดงออกทางอารมณ์ ศิลปะประยกุ ต์ ( APPLIED ARTS ) หมายถึง งานศลิ ปะทจี่ ดุ มุ่งหมายถงึ การบริโภคใช้สอย หรือมีวตั ถุประสงคท์ างการค้า หรอื เพ่อื จดุ มุ่งหมายอ่นื และมีการปรุงแต่งให้เกิดความงาม เพื่อความพงึ พอใจของตนเองและผ้อู ื่น เชน่ งานอตุ สาหกรรมศลิ ป์ งานพาณชิ ย์ศิลป์ งานมณั ฑนศลิ ป์ 2. ลกั ษณะของสือ่ วสั ดุ และกรรมวธิ ี ศลิ ปะมกี ารจาแนกโดยอาศยั ลักษณะสื่อ วัสดุ และกรรมวธิ ีเป็นเกณฑ์ แต่เดมิ นยิ มแยกเปน็ 5 สาขา เม่อื ใช้เกณฑต์ ามข้อ 3 นเ้ี อง การจาแนกจงึ แบง่ ออกเปน็ 7 สาขา คอื 2.1 งานจติ รกรรม งานศิลปะที่แสดงออกด้วยสี มลี กั ษณะทางกายภาพเป็น 2 มติ ิ มี ระยะใกล้ ไกล ความลกึ เกิดขนึ้ 2.2 งานประติมากรรม มลี ักษณะรูปทรง 3 มติ ิ กวา้ ง ยาว หนา ด้วยกรรมวิธปี น้ั แกะ สลัก หลอ่ เช่ือม เคาะ และทุบ 2.3 ภาพพมิ พ์ เกดิ จากการพิมพ์ เชน่ แม่พมิ พไ์ ม้ แมพ่ มิ พห์ ิน แม่พิมพ์โลหะ 2.4 สถาปตั ยกรรม ดา้ นการกอ่ สรา้ ง มีความงามจากรูปทรงทจ่ี ัดที่ว่างทง้ั ภายนอก และภายใน เปน็ งาน 3 มิติ 2.5 ดนตรี ศิลปะทีใ่ ช้เสียงเป็นหลกั ในการแสดงออกด้วยเครื่องมือท่ีทาใหเ้ กดิ เสยี ง 2.6 นาฏศิลป์ ศลิ ปะทใ่ี ช้รา่ งกายมนุษยก์ บั ลลี าเคลอื่ นไหวไปตามบทพากยห์ รือบทเพลง 2.7 วรรณกรรม ศิลปะกับการประพนั ธท์ ี่เป็นลายลักษณ์อกั ษรและการบอกเลา่ ด้วย ปาก ใช้ถอ้ ยคาเปน็ ส่อื ในการแสดงออก 3
ศิลปะบริสทุ ธิ์( PURE ART ) บางทกี ็จาแนกตามประเภทของส่อื โดยจาแนกออกเปน็ 4 ประเภท ใหญ่ ๆคือ 1. ดนตรี เป็นศิลปะที่ใช้เสยี งเปน็ สื่อในการแสดงออก 2. ทัศนศิลป์ คอื ใชร้ ูปทรงเป็นสอ่ื วจิ ติ รศลิ ป์ มี 3 ประเภท - จิตรกรรม - ประตมิ ากรรม - สถาปตั ยกรรม 3. สัญลกั ษณ์ศีล หรอื วรรณกรรมท่มี ีภาษาหรือความหมายของคาเป็นสอ่ื 4. ศลิ ปะผสม เป็นศลิ ปะทมี่ สี ือ่ หลายประเภทผสมกัน เชน่ ละคร ภาพยนตร์ ซึ่งมีสื่อของเสียงของ ภาพผสมกัน จะต่างกันบา้ งทีภ่ าพยนตร์มี 2 มติ ิ 3.หว้ งเวลาและววิ ฒั นาการทางศิลปะ การจาแนกศลิ ปะเชน่ นจ้ี ะอาศัยเกณฑ์ของวิชาท่ีเกีย่ วเน่อื งกับศิลปะ คือ ประวัติศาสตรศ์ ิลป์ น่นั เอง โยแบ่งออกเปน็ 3 หว้ งใหญ่ ๆ คือ 3.1 ศิลปะเรม่ิ แรก ( PRIMATIVE ART ) คือ ศลิ ปะของกลุ่มชนเผา่ ต่าง ๆทย่ี งั ไมพ่ ัฒนาใน สมัยกอ่ นประวติ ิศาสตร์ มีวถิ ชี ีวิต ความเชื่อเกีย่ วกบั ภตู ผปี ศี าจ ผลงานศลิ ปะจึงมรี ปู ลักษณะที่แปลกตา รูปทรงสดั ส่วนจึงขดั ความรู้สึก ไม่เหมอื นธรรมชาติ เปน็ เพียงรูปทรงง่าย ๆ ของสิ่งนนั้ มฝีมือหยาบ แต่มี พลงั สะเทือนอารมณ์ 3.2 ศิลปะสมยั ประวตั ิศาสตร์ ( HISTORICAL ART ) หมายถึง ศลิ ปะท่สี รา้ งข้ึนในสมยั ท่ี มนุษยร์ ้จู กั ใชต้ วั อกั ษรบนั ทึกเร่ืองราวได้ มีววิ ัฒนาการทางความคิด ความเชือ่ สู่ความเป็นยุคศาสนา มกี าร ปกครองเป็นนครรัฐ อาณาจกั ร แควน้ ศลิ ปะสมนั ยไ้ี มม่ กี ารเชือ่ มโยงสายวิวัฒนาการแบบตะวันออกกบั ตะวนั ตก ทาให้ศิลปะถกู เรียกเป็นศิลปะตะวนั ตกและศลิ ปะตะวันออกในสมัยกรีก โดยเรียกตามทิศทางทต่ี ง้ั ของกลมุ ประเทศน้ัน ๆ กบั กรกี คือกล่มุ ประเทศทวปี ยุโรป อยทู่ างทศิ ตะวันตกของกรีก และกลมุ่ ประเทศใน เอเชยี อยู่ทางทศิ จตะวันออกของกรกี ผลงานท่สี ร้างสรรค์ของแต่ละกลมุ่ จึงถูกกรกี ขนานนามวา่ ศลิ ปะ ตะวันตกและศลิ ปะตะวันออก 4
3.3 ศลิ ปะสมัยใหม่ ( MODERN ART ) นับตั้งแตค่ ริสตส์ ตวรรษท่ี 19 ภายหลังสมยั นโปเลียน สังคมมนุษย์เรมิ่ ก้าวเขา้ สู่ยคุ ประชาธิปไตย ประชาคมยุโรปมีอิสระมากขึ้นและพ่งึ ตนเองมากขึ้น พรอ้ มกบั ศลิ ปินกม็ คี วามคิดอิสระสาม รถแสดงออกทางทางความคิดได้อยา่ งกวา้ งขวางและเสรี ศิลปนิ หลายแขนงตา่ งหันมาให้ความสาคญั กบั เน้ือหาทเ่ี กี่ยวกับชวี ิตสามญั ชนและสภาพแวดลอ้ มตามธรรมชาตมิ ากข้นึ ซงึ่ ก่อนหนา้ นี้ จะแสดงออกเพียง เรือ่ งราวทางศาสนาและราชสงศ์เท่าน้ัน คริสต์ศตวรรษที่ 20 แนวทางการสร้างสรรค์ศลิ ปะสมยั ใหมไ่ ดแ้ พรห่ ลายกระจายออกไปอย่าง กวา้ งขวางทว่ั โลก เป็นเคร่ืองสะทอ้ นให้เห็นว่า สังคมของมนุษยโ์ ลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคแหง่ ความเปน็ อนั หนึ่งอัน เดยี วกันทางศิลปะวัฒนธรรม ในการน้ีมลี ทั ธศิ ิลปะเกิดขึน้ มากมายหลายลทั ธิ ทสี่ าคัญ ได้แก่ ลัทธอิ มิ เพรสช่ันิสม์ โพสท์อมิ เพรสช่นั นสิ ม์ คิวบสิ ม์ เอก็ เพรสช่นั นิสม์ เซอเรยี ลลิสม์ แฟนตาสติคซิสม์ ฟิวเจอรสิ ม์ ซูเปอร์เรยี ลิสม์ คอน เซฟชวลอารต์ แอบสแตรค ลว้ นมีแนวคดิ และวิธกี ารสรา้ งสรรค์ทต่ี ่างกนั ออกไป ศลิ ปะแบบนโี อคลาสสิก (Neo-Classic) นโี อคลาสสกิ เป็นรูปแบบศลิ ปะที่อยใู่ นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างสมัยใหม่กับสมัยเกา่ ภาพเขียนจะสะท้อนเรือ่ งราวทางอารยธรรม เน้นความสงา่ งามของรูปรา่ งทรวดทรงของคนและ ส่วนประกอบของภาพ มีขนาดใหญ่โต แข็งแรง ม่ันคง ใช้สกี ลมกลนื มดี ลุ ยภาพของแสง และเงาทง่ี ดงาม ศลิ ปนิ ทส่ี าคัญของศิลปะแบบนีโอคลาสสิก ได้แก่ ชาก – ลยุ ดาวดิ (ค.ศ. 1748-1825) ได้รับการยกยอ่ ง วา่ เป็นผูว้ างรากฐานของศิลปะแบบนีโอคลาสสกิ ผลงานจติ รกรรมทม่ี ชี อ่ื เสียง เช่น การสาบานของโฮราตี (The Oath of Horatij) การตายของมาราต์ (The Death of Marat) การศกึ ระหว่างโรมนั กบั ซาไบน์ (Battle of the Roman and Sabines) เป็นตน้ 5
ศลิ ปะแบบโรแมนตกิ (Romanticism) ศิลปะแบบโรแมนตกิ เป็นศลิ ปะรอยตอ่ จากแบบนีโอคลาสสิก แสดงถึงเรื่องราวทีต่ ่นื เต้น เรา้ ใจ สะเทือนอารมณ์แก่ผู้พบเห็น ศิลปินโรแมนติกมีความเช่อื ว่าศลิ ปะจะสร้างสรรคต์ วั ของมันเองขึ้นได้ดว้ ย คุณคา่ ทางอารมณข์ องผู้ดแู ละผสู้ ร้างสรรค์ ศิลปนิ ท่ีสาคัญของศิลปะโรแมนติก ได้แก่ เจริโคต์ (Gericault) ผลงานจิตรกรรมท่ีมชี ือ่ เสยี งมาก คอื การอับปางของเรือเมดซู า (Raft of the Medusa) เดอลาครัว (Delacroix) ชอบเขียนภาพทีแ่ สดงความต่นื เตน้ เชน่ ภาพการประหารที่ ทชิ โิ อ ความตายของชาดาร์นา ปาล การฉดุ คร่าของนางรเี บกกา เปน็ ต้น ฟรานซิสโก โกยา (Francisco Goya) ชอบเขียนภาพแสดงการ ทรมาน การฆ่ากนั ในสงคราม คนบ้า ตลอดจนภาพเปลอื ย เชน่ ภาพเปลอื ยของมายา (Maya the nude) เป็นตน้ ศลิ ปะแบบเรยี ลสิ ม์ (Realism) ศลิ ปินกล่มุ เรยี ลสิ ม์มีความเช่อื วา่ ความจริงทงั้ หลายคือความเปน็ อยจู่ ริง ๆ ของชีวติ มนษุ ย์ ดงั นั้น ศิลปนิ กล่มุ นจี้ ึงเขียนภาพท่ีเป็นประสบการณต์ รงของชีวติ เช่น ความยากจน การปฏวิ ตั ิ ความ เหลื่อมล้าในสงั คม โดยการเน้นรายละเอยี ดเหมอื นจริงมากท่ีสุด ศิลปนิ สาคญั ในกลุ่มนี้ ได้แก่ โดเมยี ร์ (Daumier) ชอบวาดรูปชีวติ จรงิ ของความยากจน คูรเ์ บต์ (Courbet) ชอบวาดรปู ชวี ิตประจาวนั และ ประชดสังคม มาเนต์ (Manet) ชอบวาดรปู ชวี ติ ในสงั คมเช่นการประกอบอาชพี ศลิ ปะแบบอมิ เพรสชนั นสิ ม์ (Impressionism) กลมุ่ ศิลปินอิมเพรสชนั นิสมเ์ รม่ิ เบ่อื รปู แบบท่มี ีหลักความงามแบบเหมือนจรงิ ตาม ธรรมชาติ เปลีย่ นเป็นสิ่งเชือ่ มโยง เน้นดว้ ยแสง สี บรรยากาศ ศลิ ปินทส่ี าคัญของกล่มุ อิมเพรสชนั นสิ ม์ ไดแ้ ก่ โคลด โมเนต์ (Claude Monet) ซสิ เลย์ (Sisley) เดอกาส์ (Degas ปิซาโร (Pissaro มาเนต์ (Manet) เรอนัว (Renoir) 6
ศลิ ปะแบบโพสต์ – อมิ เพรสชนั มสิ ม์ (Post-Impressionism) ศลิ ปะแบบโพสต์-อมิ เพรสชนั นิสม์จะไมเ่ ลยี นแบบจากสง่ิ ท่ีเป็นจรงิ โดยการสร้าง รปู ทรงใหม่ แต่นาวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตรม์ าประยกุ ต์ใช้ เช่น การระบายสดี ้วยเทคนคิ ขีด ๆ จุด ๆ เนน้ สี แสง เงาให้เกิดมติ ิ บรรยากาศ ความงามและความประทับใจ ศิลปนิ ในกลุ่มน้ี ไดแ้ ก่ แวนโกะห์ (Van Gogh) มาตสิ (Matisse) บงนารด์ (Bonnard) เซซาน (Cezanne) โกแกง (Gauguin) เซอราต์ (Seurat) 7
ศิลปะสมัยใหม่ในศตวรรษท่ี 20 ลัทธิโฟวิสซึม เป็นศิลปะทแ่ี สดงออกในเรื่องสีทสี่ ดใสรุนแรงศิลปนิ ท่ีสาคญั ในลทั ธิน้ี ไดแ้ ก่ ออง รี, มาตสิ ศิลปะนามธรรม เปน็ ศิลปะที่ไม่แสดงรปู ทรงเหมอื นจริง แตแ่ สดงเรื่องสีและพลังทางอารมณ์และ ความรู้สกึ ศิลปะคิวบิสม์ เป็นศิลปะก่ึงนามธรรม แสดงออกดว้ ยการเช่ือมโยงความสมั พันธ์กนั ของปรมิ าตร มี ความงามตามหลกั ของสนุ ทรียศาสตรอ์ ยา่ งแทจ้ รงิ ศลิ ปนิ ผนู้ าศิลปะคิวบสิ ม์ ไดแ้ ก่ ปิกาสโซ 8
9
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: