1
ศิลปนยิ ม 20300-1002 บทท่ี 6 หวั ขอ้ : ศลิ ปะกับธรรมชาติ 2
บทที่ 6 ศลิ ปะกบั ธรรมชาติ ศิลปะ คือ การแสดงออกทางความงามของเรือ่ งราวและสง่ิ ตา่ ง ๆซึ่งศลิ ปินผู้สร้างต้องการส่ือ ความหมายแบง่ ปนั รบั ร้ทู างความรู้สึก เพอ่ื แลกความคิดเห็นของผ้ดู ทู จ่ี ะสนองตอบทางอารมณ์ ตาม ประสบการณ์ทร่ี สู้ กึ นั้น ๆ โดยผลงานศิลปะทาหนา้ ท่ีพาหนะจากโลกของกิจกรรมมนษุ ย์สโู่ ลกอันสูงส่งแห่ง ความดีงามหรอื สุนทรยี ภาพ ธรรมชาติคือส่งิ ทีเ่ กิดข้นึ เอง มีความงาม โดยปราศจากการปรุงแต่งทเ่ี ปน็ ฝีมือมนุษย์ ธรรมชาติ ในทางศลิ ปะถือว่าเปน็ ทรพั ยากรอันมคี า่ ยิ่ง ด้วยเป็นแหลง่ รวมแห่งความร็และเปน็ แหล่งกระตนุ้ ให้เกดิ แรง บันดาลใจตอ่ การสร้างงานศิลปวตั ถทุ กุ แขนง ธรรมชาตริ อบตวั จึงเป็นวัตถแหง่ ความรน่ื รมย์ยนิ ดีปรดี า ท่ี ศิลปินปรารถนาถ่ายทอดความร็สึกเป็นรปู ทรง เปน็ ภาพไว้เป็นหลักฐานแห่งความงาม จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม 1. บอกความหมายและความสาคัญของศิลปะกบั ธรรมชาติได้ 2. สรุปลักษณะของความงามทางศิลปะและธรรมชาติได้ 3. อธบิ ายลกั ษณะการถ่ายทอดธรรมชาตขิ องมนษุ ยเ์ พ่อื มนุษย์ได้ 1. ความหมายของศิลปะ ศิลปะเปน็ ผลงานจากการสร้างสรรค์ของมนุษยท์ ่ีต้องการแสดงออกถึงความรสู้ กึ ของ ตนท่มี ีต่อสิ่งเรา้ น้นั ๆ ที่บันดาลใจใหเ้ กดิ ความคดิ ท่ีจะสร้างสรรค์ผลงานออกมา ไมว่ ่าการสร้างสรรค์ ศลิ ปะนัน้ จะต้ังใจบนั ทึกหรือตั้งใจสือ่ ความหมายหรอื ไมก่ ต็ าม ผลงานศลิ ปะแตล่ ะยคุ สมยั ของแตล่ ะ กลุ่มชนก็ได้บันทกึ ภาพธรรมชาติท่ีศลิ ปนิ มีความประทบั ใจในความงาม เชน่ ภเู ขา ทงุ่ นา ตน้ ไม้ ท้องฟา้ กระต๊อบ ทอ้ งทะเล เขยี นเปน็ ภาพไว้ประดบั บา้ นเรือทอ่ี ยอู่ าศยั และอาคารต่าง ๆ การท่ีเรา เขียนภาพน้าตก ภูเขากบั ทงุ่ นาลงบนแผ่นภาพนีถ้ อื วา่ เป็นการเลยี นแบบธรรมชาติ ภาพเขียนนี้ เรยี กวา่ ศิลปะ ส่วนจะเหมือนหรอื ไมเ่ หมือนเป็นอีกเรื่องหน่งึ ทุกอยา่ งเกิดขึ้นโดยความรู้สกึ ของ จิตใจท่ีถ่ายทอดออกมา 3
2.ความหมายของธรรมชาติ ธรรมชาติรอบตัวตา่ งกม็ ีความงามในเร่ืองของสสี นั รปู ทรง รปู รา่ ง เช่นเดยี วกับงานศลิ ปะจะพงึ มี แตธ่ รรมชาตแิ ม้จะงามเพยี งใดก็หาใช่ศิลปะไม่ เพราะความงามของธรรมชาตเิ กิดขึ้นเอง มนษุ ยม์ ิได้เป็นผ็ สร้างสรรค์ ดังนั้น รูปรา่ ง รปู ทรง ตามธรรมชาติมใิ ช่ศลิ ปะ แต่เปน็ ความงามอย่างศลิ ปะ ธรรมชาตแิ วดล้อมเหล่านี้ ลว้ นมีอิทธิพลต่อจติ ใจ อารมณ์ ความรู้สกึ ของศิลปิน จนกลายเปน็ สงิ่ เรา้ จติ ใจให้เกิดอารมณใ์ นการสร้างสรรค์งานศลฺ ปะ เพ่ือถ่ายทอดความประทับใจ ความทรงจา ความรู้สกึ นกึ คดิ และพลังสร้างสรรค์ทุกแขนงแนวคดิ ต่าง ๆเปน็ ประสบการณช์ ีวติ ท่ใี กล้ตัวที่สุด 3.ความงามทางศลิ ปะ ความงามทางศิลปะ เกดิ จากสัญชาตญาณอนั เร้นลับกภายในทก่ี อ่ ตวั เกิดความรสู้ กึ ทางความงาม ความร้สู ึกนเี้ รียกว่า สุนทรียะ และความร้สู กึ ทางความงามมีมูลเหตุจากการมองเห็นวา่ ความสวยความ งามของธรรมชาตนิ า่ ช่ืนชมและซาบซ้งึ จนเปน็ ส่ิงสะเทือนใจให้มนุษย์เกดิ ความนึกคิดที่จะสรา้ งสรรค์ ความงามฝห้นอกเหนอื จากไปจากอกี ธรรมชาติทม่ี ี จากสตปิ ัญญาและความสามารถทแ่ี สดงออกใน รูปแบบงานศิลปะท่ีมีความงาม ให้คนรุ่นหลังได้พนิ จิ ศกึ ษาเรยี นรู้ พร้อมชว่ ยขดั เกลาจิตใจของมนุษย์ให้ เกดิ ความซาบซึ้งถงึ ความปราณีตละเอยี ดอ่อนทางความงามทางศิลปะท่ีเจอื ผสานไปสูศ่ ีลธรรมจรรยา ศาสนา และสังคมฉะนนั้ ความงามทางศิลปะจงึ เปน็ ผลงานที่มนษุ ย์สร้างข้ึนอย่างมีระเบียบแบบแผนและ มีขอบเขตเพื่อความ๓มใิ จแหง่ ตนและปิตยิ นิ ดีแก่หมคู่ ณะ 4. ความงามทางธรรมชาติ ความงามทางธรรมชาติเกิดจากสัญชาตญาณอันเร้นลบั ภายในทกี่ ่อใหเ้ กดิ ความรู้สึกทาง ความงามเชน่ เดยี วกับความงามทางศลิ ปะ แตค่ วามงามทางธรรมชาติน้เี ปน็ ส่งิ ทเี่ รา้ และกระตนุ้ ให้เกิดแรง บนั ดาลใจต่อมนุษย์ ในอนั ทจ่ี ะสรา้ งสรรค์งานศิลปะ ความงามทางศิลปะเกิดและมีได้ เพราะฝีมอื มนษุ ย์ แต่ความงามทางธรรมชาติเกิดขน้ึ เองได้โดยปราศจากการปรุงแตง่ แต่ส่ิงทัง้ มวลเกิดมาไดล้ ้วนต้องมคี วาม งาม ความเหมาะสมสัมพันธก์ ับสิ่งตา่ ง ๆได้ดีอยา่ งมีศลิ ปะ 4
5.การถา่ ยทอดธรรมชาตขิ องมนษุ ย์เพ่ือมนษุ ย์ การถ่ายทอดธรรมชาตเิ ป็นหวั ใจของศลิ ปะ เพราะศิลปะมคี วามเกี่ยวเนือ่ งกับธรรมชาตอิ ยู่มาก ศลิ ปะเปน็ ผลจากการถา่ ยทอดธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ทาขนึ้ เพ่ือมนษุ ยด์ ้วยกนั และรรมชาติของมนุษยผ์ ้มู าก ประสบการณ์ เม่ือต้องอยู่ในฐานะผดู้ กู ป็ รารถนาทจี่ ะดูงานศิลปะใหเ้ หมอื นกับธรรมชาติตามทตี่ นเคยเหน็ ซ่งึ ในความเป็นจรงิ แล้วไมม่ ใี ครถ่ายทอดได้เหมือนธรรมชาติเพราะศลิ ปินตา่ งมีหน้าท่ีตอ้ งเสาะหาความจริง ความงามท่กี ระจัดกระจายซอ่ นเร้นอยู่ในทกุ แห่งหนของะรรมชาติ และรจู้ ักอธิบายธรรมชาติ รจู้ กั เลอื กที่จะ แสดงออกในส่วนท่ศี ลิ ปินเหน็ ว่าดงี าม เหมาะสมแกต่ นในการสร้างสรรค์รูปทรงก็เพียงพอแล้ว เมือ่ ผูด้ ูและผสู้ ร้างสรรค์งานเข้าใจกนั คนละแงม่ มุ ผู้ดูเขา้ ใจว่าศิลปะจะตอ้ งเหมือนธรรมชาติ ขณะท่ีศลิ ปินสว่ นใหญน่ ับถอื เสรีภาพทางความงามคดิ และสายตาผดู้ ู ไม่ตอ้ งการใหผ้ ู้ดูเห็นความเหมือนของ ผลงานกบั หุ่นที่ตนใช้เป็นแบบ จงึ ถา่ ยทอดธรรมชาติตามความรู้สึกทตี่ นมตี อ่ รูปแบบขา้ งหน้า โดยหวังให้ ผคู้ นมสี ่วนรว่ ม เพราะเชื่อว่า ภาพโลกภายนอกล้วนเป็นภาพลวงหรือมายาทัง้ สิ้น ในทางศลิ ปะ เม่อื ศิลปนิ ไดร้ บั การฝึกฝนมานานพอ ยอ่ มร้ดู ีวา่ สว่ นใดทค่ี วรคดั ออก ส่วนใดควรดัดแปลงข้ึนมาใหม่ เพื่อให้ได้งานทด่ี ี ที่สดุ ตามความตอ้ งการ การถ่ายทอดธรรมชาตขิ องมนุษย์เพือ่ มนุษย์ หากจะเปรียบเทยี บใหร้ ับรกู้ ันอยา่ งชัดเจนและใกล้ ตัวท่ีสุด นา่ จะไดก้ บั การถา่ ยภาพเหมือนทที่ ุกคนตา่ ง กม็ ปี ระสบการณด์ จุ เดยี วกนั คอื โดยจะเหน็ ว่าทกุ รา้ น ถ่ายรปู จะมีช่างแต่งฟิลมป์ ระจาร้าน ไวค้ อยแตง่ รูปของลูกค้าให้งามมากกวา่ ตัวจริง แนน่ อนทุกภาพ ต้องมี การลด ตดั ทอน เพ่มิ ส่วนไหนจะมากนอ้ ยเพียงใดไม่มีเกณฑ์บงั คับ เพียงสอดคล้องกบั หลักการพอใจ ซง่ึ แยกเปน็ 3 ประการ คอื 1. ถา่ ยทอดความเปน็ จรงิ เปรียบไดก้ บั การคดั ลายมอื ชอื่ ตนเอง 2. ถา่ ยทอดตามการตัดทอน เปรยี บไดก้ ับการเขียนชื่อหวัดแกมบรรจง เขยี นดว้ ยความ ชานาญ มีการลด ตดั ทอนแทรกอยู่ 3. การถา่ ยทอดตามความร้สู กึ เปรียบได้กับการเซ็นช่ือทแ่ี สดงออกไปตามความรู้สกึ อนั เป็นผลรวมความรู้ตามลกั ษณะเฉพาะตวั ของผเู้ ซ็น 5
6
Search
Read the Text Version
- 1 - 6
Pages: