ข สารบญั เร่อื ง หน้า คานา ก สารบญั ข สารบัญภาพ ฉ สารบญั ตาราง ฌ บทที่ 1 ความรเู้ บื้องตน้ เกีย่ วกบั การวดั และประเมินผล 1.1 ความเป็นมาและความหมายของการวัด การทดสอบและการประเมนิ ผล 2 1.2 ความสัมพนั ธ์ของการทดสอบ การวัด และการประเมนิ ผล 3 1.3 ทฤษฏกี ารทดสอบ ปรัชญาของการวดั และประเมนิ ผล 5 1.4 ความมุ่งหมายของการวัดและประเมนิ ผล 6 1.5 หลักการของการวดั และประเมินผลการศึกษา 7 1.6 ประโยชนข์ องการวดั และประเมินผล 1.7 คุณธรรมของครผู ู้สอนในการวัดและประเมนิ ผล 1.8 สรปุ 17 1.9 แบบฝึกหัด 18 1.10 Link ที่นักศึกษาจะเข้าไปทาการศกึ ษาดว้ ยตนเองแบบ Flipped Classroom 18 1.11 แหล่งข้อมลู ในการศกึ ษาเพิ่มเติม 18 บทที่ 2 พฤติกรรมทางการศึกษา 2.1 การจาแนกพฤติกรรมทางการศึกษา 19 2.2 พฤติกรรมการศึกษาดา้ นพทุ ธิพสิ ยั 20 2.3 พฤติกรรมการศึกษาดา้ นจิตพิสยั 21 2.4 พฤติกรรมการศึกษาด้านทักษะพิสัย 22 2.5 จดุ มุ่งหมายเชงิ พฤติกรรม 23 2.6 ประโยชนข์ องจดุ มุ่งหมายเชิงพฤติกรรม 25 2.7 สรปุ 2.8 แบบฝึกหดั 25 2.8 Link ทนี่ ักศึกษาจะเข้าไปทาการศึกษาดว้ ยตนเองแบบ Flipped Classroom 25 2.9 แหล่งข้อมลู ในการศกึ ษาเพมิ่ เติม 26 บทท่ี 3 การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ 3.1 ความหมายของการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ 27 3.2 การวัดและประเมินผลการเรยี นรูด้ า้ นพุทธพิ สิ ัย (ความรู)้ 28
ค สารบญั (ต่อ) เรอ่ื ง หน้า 3.3 การวดั และประเมนิ ผลดา้ นจติ พสิ ยั (คุณลักษณะ) 29 3.4 การวดั และประเมินผลด้านทักษะพิสัย (ทักษะกระบวนการ) 35 3.5 การวิเคราะหห์ ลักสตู ร 3.6 สรุป 37 3.7 แบบฝึกหัด 37 3.8 Link ทน่ี ักศึกษาจะเข้าไปทาการศึกษาด้วยตนเองแบบ Flipped Classroom 37 3.9 แหลง่ ข้อมูลในการศกึ ษาเพิ่มเติม 38 บทที่ 4 เทคนคิ การสรา้ งเครอื่ งมอื วดั ด้านพทุ ธพิ ิสัย 40 4.1 ประเภทของเครื่องมือวดั ด้านพทุ ธิพสิ ัย 46 4.2 เทคนิควธิ ีการสรา้ งเคร่ืองมือวดั ดา้ นพทุ ธพิ สิ ัย 47 4.3 เทคนคิ วิธีการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวดั ด้านพุทธิพิสยั 50 4.4 เทคนิควธิ ีการเลือกใชเ้ คร่ืองมือวัดด้านพุทธิพิสัย 56 4.10 สรปุ 56 4.11 แบบฝกึ หดั 57 4.12 Link ทน่ี กั ศกึ ษาจะเข้าไปทาการศึกษาด้วยตนเองแบบ Flipped Classroom 57 4.13 แหล่งขอ้ มลู ในการศึกษาเพ่ิมเติม 58 บทท่ี 5 เทคนคิ การสรา้ งเครอื่ งมอื วัดด้านจิตพสิ ัย 62 5.1 ประเภทของเคร่ืองมือวดั ดา้ นจิตพิสัย 63 5.2 เทคนคิ วธิ ีการสร้างเคร่ืองมอื วัดด้านจติ พิสัย 64 5.3 เทคนิควธิ ีการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวดั ดา้ นจิตพิสัย 65 5.4 เทคนคิ วิธีการเลือกใชเ้ คร่ืองมือวัดด้านจิตพสิ ยั 65 5.5 สรปุ 65 5.6 แบบฝึกหดั 66 5.7 Link ที่นักศึกษาจะเขา้ ไปทาการศึกษาดว้ ยตนเองแบบ Flipped Classroom 5.8 แหล่งขอ้ มูลในการศกึ ษาเพิ่มเติม 58 62 บทที่ 6 เทคนิคการสร้างเครอื่ งมือวัดด้านทกั ษะพสิ ัย 63 6.1 ประเภทของเคร่ืองมือวัดดา้ นทักษะพสิ ัย 64 6.2 เทคนิควธิ ีการสรา้ งเครอื่ งมอื วัดด้านทักษะพิสยั 6.3 เทคนคิ วธิ ีการตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือวดั ด้านทักษะพิสัย 6.4 เทคนคิ วิธกี ารเลือกใชเ้ ครื่องมือวัดด้านทักษะพิสัย
ง สารบัญ (ต่อ) เรอื่ ง หนา้ 6.5 สรปุ 65 6.6 แบบฝึกหัด 65 6.7 Link ทน่ี ักศึกษาจะเขา้ ไปทาการศึกษาดว้ ยตนเองแบบ Flipped Classroom 65 6.8 แหล่งขอ้ มูลในการศึกษาเพิม่ เตมิ 66 บทที่ 7 สถติ ิพืน้ ฐานสาหรับการวัดและประเมินผล 7.1 การแจกแจงความถ่ี 67 7.2 การวัดแนวโน้มเข้าสู่สว่ นกลาง 69 7.3 การวดั การกระจายของข้อมูล 79 7.4 การวดั ตาแหนง่ และการเปรียบเทยี บ 89 7.5 คะแนนมาตรฐาน 81 7.6 การกาหนดและตดั สนิ ระดบั ผลการเรียนแบบอิงกลมุ่ และองิ เกณฑ์ 83 7.7 สรุป 85 7.8 แบบฝกึ หดั 85 7.9 Link ทนี่ กั ศึกษาจะเขา้ ไปทาการศึกษาด้วยตนเองแบบ Flipped Classroom 86 7.10 แหลง่ ขอ้ มูลในการศึกษาเพมิ่ เติม 87 บทที่ 8 การประเมนิ ตามสภาพจริง 8.1 ความหมายของการประเมินตามสภาพจรงิ 88 8.2 กระบวนการในการประเมินตามสภาพจริง 89 8.3 วิธแี ละเครือ่ งมอื ในการประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ 90 8.4 ข้อดีและข้อจากัดของการประเมินตามสภาพจริง 92 8.5 สรปุ 110 8.6 แบบฝกึ หัด 110 8.7 Link ทน่ี ักศึกษาจะเข้าไปทาการศึกษาดว้ ยตนเองแบบ Flipped Classroom 111 8.8 แหลง่ ข้อมูลในการศึกษาเพิ่มเติม 112
จ สารบญั (ต่อ) เรอ่ื ง หนา้ บทท่ี 9 การวดั และประเมินผลการเรยี นร้ตู ามหลกั สตู รแกนกลาง 113 การศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 114 9.1 หลกั การวดั และประเมนิ ผลการเรียนตาม พรบ.การศึกษา 2542 115 9.2 หลักการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นตามหลักสตู รการศึกษา 125 ขน้ั พนื้ ฐานพุทธศกั ราช 2551 125 125 9.3 ระเบียบวา่ ด้วยการวัดและประเมินผลการเรียนตามหลักสตู รการศึกษา 126 ข้นั พนื้ ฐานพุทธศักราช 2551 9.4 องค์ประกอบของการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐานพุทธศักราช 2551 9.5 เกณฑ์การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ 9.6 เอกสารประเมนิ ผลตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน 2551 9.7 แนวโนม้ ของการประเมนิ ผลการเรียนรใู้ นอนาคต 9.8 สรปุ 9.9 แบบฝกึ หัด 9.10 Link ทน่ี กั ศกึ ษาจะเขา้ ไปทาการศึกษาด้วยตนเองแบบ Flipped Classroom 9.11 แหล่งขอ้ มลู ในการศึกษาเพิม่ เติม ภาคผนวก ก. รายวชิ า ภาคผนวก ข. ตวั อยา่ งแบบประเมินผลการจดั การเรยี นรู้
สารบญั ภาพ ฉ ภาพที่ หน้า 1.1 แผนภาพแบบแผนการวิจัยเชงิ ปฏิบัตกิ ารในชั้นเรยี น 16
สารบญั ตาราง ช ตารางท่ี หน้า 3.1 แผนการดาเนนิ งานวจิ ัยในรปู ของ Gantt chart 35
ห น้ า | 1 บทที่ 1 ความรูเ้ บอื้ งตน้ เก่ียวกับการวัดและประเมนิ ผล สาระการเรียนรู้ 1. ความเป็นมาและความหมายของการวัด การทดสอบและการประเมินผล 2. ความสมั พันธ์ของการทดสอบ การวดั และการประเมนิ ผล 3. ทฤษฏีการทดสอบ ปรชั ญาของการวัดและประเมนิ ผล 4. ความมงุ่ หมายของการวัดและประเมินผล 5. หลกั การของการวัดและประเมินผลการศกึ ษา 6. ประโยชน์ของการวดั และประเมินผล 7. คณุ ธรรมของครูผู้สอนในการวดั และประเมนิ ผล จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. อธิบายความเป็นมาและบอกความหมายของการวดั และประเมนิ ผล 2. อธิบายความสัมพันธข์ องการทดสอบ การวัดผล และการประเมินผลการศกึ ษาได้ 3. บอกทฤษฏีการทดสอบ ปรชั ญาของการวดั และประเมนิ ผลได้ 4. อธิบายจุดมุง่ หมายของการวัดและประเมินผลได้ 5. อธิบายหลกั การของการวดั และประเมนิ ผลการศึกษาได้ 6. บอกประโยชนข์ องการวัดและประเมนิ ผลได้ 7. บอกคณุ ธรรมของครผู ู้สอนในการวัดและประเมินผลได้
ห น้ า | 2 1. ความเป็นมาและความหมายของการวัดและการประเมินผล ความเปน็ มาของการวัดและการประเมินผล การวัดผลและประเมินผลนั้นมีมานานแล้วต้ังแต่สมัยโบราณ เช่นเม่ือประมาณ 2200 ปี ก่อนคริสตศักราช มีหลักฐานแสดงว่าในประเทศจีนได้มีการสอบข้อเขียนน้ีแล้ว เป็นการทดสอบเพื่อ คดั เลือกคนเขา้ รับราชการ โดยใหผ้ ู้สมคั รสอบแยกกันอย่คู นละทแ่ี ล้วให้เขยี นตอบตามหวั ข้อหรอื ปัญญา ทกี่ าหนดให้ ก่อนปี ค.ศ. 1850 การสอบในสหรัฐอเมริกาส่วนมากยังเป็นการสอบปากเปล่า (Oral Test) อยู่การสอบทาโดยการถาม-ตอบ คาถามท่ีถามเด็กแต่ละคนเป็นคาถามท่ีแตกต่างกันออกไปไม่ เหมือนกัน การวัดผลก็เป็นการกระทากันแบบทันทีทันใด ไม่ต้องเตรียมการล่วงหน้าและไมม่ ีแบบแผน ตอ่ มาในระหว่างคร่งึ หลังของศตวรรษท่ี 19 สหรฐั อเมริกาได้เร่ิมมีการแต่งต้ังคณะกรรมการสาหรบั การ สอบปากเปลา่ ขึน้ เรียกวา่ Board of Visitors และนอกจากนยี้ งั มีการสอบแบบข้อเขียนเพ่มิ ข้ึนอีก โดย ให้ครูประจาช้ันจัดการทดสอบเอง อย่างไรก็ตามการสอบก็ยังคงเป็นแบบความเรียง (Essay type) กลา่ วคือ ใหผ้ ูต้ อบใชภ้ าษาของตนเองเขียนตอบยาว ๆ ในปี ค.ศ. 1894 ดร. Joseph M. Rice ได้สร้างแบบทดสอบปรนัยวัดเกี่ยวกับการสะกดคา ขึ้นเป็นคนแรก แบบทดสอบน้ีมีช่ือว่า “The Futility of the Spelling Grind” จึงจัดได้ว่า Rice เป็น ผู้สร้างรากฐานทางการวัดผลแบบปรนัยขึ้นเปน็ คนแรก ต่อมาในปี ค.ศ. 1940 Edward L. Thorndike ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการวัดผลการศึกษาเป็นเล่มแรกในสหรัฐอเมริกา ผลงานของ Thorndike มี อิทธิพลต่อคนรุ่นหลังเป็นอันแรก และในปีค.ศ. 1910 Thorndike ได้สร้าง Scale สาหรับวัด ความสามารถในการคดั ลายมอื ข้นึ ซึ่งเรียกกนั ว่า Thorndike’s handwriting ซงึ่ ในระยะตอ่ มาท่ัวโลกก็ ยกยองให้ Thorndike เป็นบดิ าแห่งการวดั ผล การพัฒนาการวัดผลทางการศึกษาในระยะหลังจากปี ค.ศ. 1900 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน อาจจะแบง่ ออกเปน็ ระยะใหญ่ ๆ ได้ 5 ระยะ ดงั น้ี ระยะแรก (ค.ศ. 1900 – 1915) เป็นระยะบุกเบิกของการวดั ผล มีการสารวจและพัฒนาการ วัดผลให้ดีขึ้น ในปี ค.ศ. 1904 นักจติ วิทยาชาวฝร่งั เศสผู้หน่ึงช่ือ Alfred Binet ได้สร้างแบบทดสอบวัด เชาว์ปัญญาข้ึนเป็นคนแรก และต่อมาในปี ค.ศ. 19058 Binet และ Simon ซึ่งเป็นผู้ช่วยของเขา ได้ ร่วมมือกนสร้างข้อสอบสาหรับวัดความสามารถในการตัดสินใจ ความเข้าใจและเหตุผล ซ่ึงในสมัยน้ัน เชือ่ กนั วา่ เป็นสงิ่ สาคญั ในเรอ่ื งเชาว์ปญั ญา ระยะที่ 2 (ค.ศ. 1915 – 1930) ในระยะน้ีเร่ิมมีการทดสอบกันเป็นหมวดหมู่ขึ้น ท้ังนี้ เน่ืองจากในปี ค.ศ. 1917 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้เผชิญกับปัญญาการคัดเลือกทหารในกองทัพเพ่ือใช้
ห น้ า | 3 ในสงครามโลกคร้ังท่ี 1 ฉะนั้นคณะกรรมการดาเนินการสงครามจึงมอบหน้าที่ให้สมาคมจิตวิทยาเป็น ผู้จดั ทาแบบทดสอบขึ้นเพ่อื ใช้ในการคัดเลือกทหารเพอื่ จัดเขา้ ประจาหน้าท่ีต่าง ๆ โดยถือเอาสติปัญญา เป็นเกณฑ์ นอกจากน้ียังได้นาเอาแบบทดสอบของ Authur S. Otis มาใช้ในการคัดเลือกทหารของ กองทพั เปน็ คร้งั แรก แบบทดสอบนม้ี ีอยู่ 2 ชุด คอื Army Alpha ซึ่งเป็นแบบทดสอบที่เน้นหนักในด้าน ภาษาอังกฤษและอีกชุดหน่ึงคือ Army Beta เป็นแบบทดสอบซ่ึงใช้รูปภาพท้ังหมดเพื่อใช้ทดสอบกับ คนทอี่ า่ นหนงั สือไม่ออกโดยเฉพาะพวกนโิ กร ในระยะท่ี 2 นี้ เป็นระยะท่ีมีการสร้างแบบทดสอบวัดความถนัดทางการเรียน (Scholastic Aptitude Test) และแบบทดสอบวัดความถนัดเฉพาะ (Specific Aptitude Test) ขึ้น นอกจากน้ียัง ได้มีการสร้างเครือ่ งมือสาหรบั วัดความสนใจ, วัดทัศนคติ มกี ารวดั ผลทั้งทางด้าน Achievement Test, Intellignce Test และ Personality Test นอกจากนี้ยังมีการสร้างแบบทดสอบวัดบุคคลิกภาพแบบ หน่ึงคือ “Projective Technique” (การสร้างจินตนาการ) แบบทดสอบที่วัดจินตนาการที่รู้จัก แพร่หลายคอื แบบทดสอบของ Rorshach ซงึ่ มีชอ่ื ว่า Rorschach Inkblot Test ในปี ค.ศ. 1930 การวัดผลการศึกษาได้เจริญเข้าสู่ขีดสมบูรณ์ จานวนแบบทดสอบได้เพ่ิมขึ้น อย่างรวดเร็วและมีมาตรฐาน ไดม้ ีการจดั พิมพเ์ ผยแพร่ มีการจัดบริการเกีย่ วกบั การทดสอบเพอื่ ควบคุม การให้คะแนนการวดั ความรปู้ ระเภทผลสัมฤทธข์ิ ้นึ ระยะท่ี 3 (ค.ศ. 1930 – 1945) ระยะน้ีอาจจะเรียกได้ว่าเป็นระยะของ “การประเมินผล” มากกว่า “การวัดผล” กล่าวคือมีการทดสอบทางด้านบุคคลิกภาพกันมากข้ึน มีเทคนิคใหม่ ๆ ขึ้นใช้ใน การวัดผลและประเมินผลทางการศึกษา ในระยะนี้เองได้เกิดมีโครงการวิจัยทางการศึกษาข้ึนเป็น โครงการวิจัย 8 ปี หรอื ทเ่ี รียกว่า Eight-Year Study ซ่ึงผลของการวิจัยสว่ นหนึง่ ทีไ่ ด้จากโครงการนคี้ ือ สามารถให้คาจากัดความของคาว่า “ความมีเหตุผล” นั้นต้องประกอบไปด้วยคุณลักษณะ 3 ประการ คือ ความสามารถในการแยกประเภท (Classification) ความสามารถในการอุปมาอุปไมย (Analogy) และความสามารถในการสรปุ ความ (Inference) ในระยะหลังสงครามโลกครั้งท่ี 2 เป็นต้นมา ผู้เช่ียวชาญทางการวัดผลได้ช่วยกันปรับปรุง ระบบการวัดผลให้เท่ียงตรง แน่นอนและเป็นประโยชน์ตอ่ การนาไปใชใ้ นการปรบั ปรุงทฤษฎีการวัดผล ทางการศึกษาและจติ วทิ ยา ความไหวตัวไปสู่หลักการททางวิทยาศาสตร์ทวีขึน้ อย่างรวดเร็วและรุนแรง ในราวปี ค.ศ. 1937 – 1940 โดยมีการพัฒนาและประยุกต์การวัดผลความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล ระยะที่ 4 (ค.ศ. 1945 – 1960) เปน็ ระยะของการสร้างแบบทดสอบชนิดเปน็ ชุด และการจัด โปรแกรมการทดสอบ ผลของสงครามโลกครั้งท่ี 2 เป็นสาเหตุหนึ่งท่ีทาให้เกิดแบบทดสอบความถนัด เพื่อใช้ในการศึกษา และเพื่อเลือกสรรบุคคล เช่น มีแบบทดสอบ C.E.E.B (College Entrance Examination Coard) และแบบทดสอบ P.M.A. (Primary Mental Abilies Test) ข้นึ อาจกลา่ วได้วา่
ห น้ า | 4 ในระยะนี้มีการต่ืนตัวในด้านการดาเนินการสอบมากกว่าทางด้านการสร้างและปรุบปรุงข้อสอบ สาหรับแบบทดสอบมาตรฐานน้ันในระยะน้มี ใี ช้กันแพรห่ ลายในสหรัฐอเมริกา สาหรับการวัดผลในประเทศไทยน้ันมีมาแต่สมัยโบราณแล้ว ตั้งแต่สมยั พุทธกาลพระพุทธเจ้า ทรงมีญาณวิเศษสามารถวัดว่า เมื่อพระองค์เทศน์จบแล้วมีสาวกองค์ใดสาเร็จมรรคผลข้ันใดบ้าง และ พระองค์ยังทรงใชว้ ิธีการอีกอย่างหนงึ่ คัดเลอื กสาวก 80 องค์ เป็นเอตทคั คะ หรือผู้เชี่ยวชาญท่ีเด่นเป็น เลศิ ในด้านต่าง ๆ อกี ด้วย พฤติกรรมของพระองค์เมื่อ 2500 กวา่ ปมี าแล้วยังคงทันสมัย และสอดคล้อง กบั จุดม่ังหมายบางประการของการวัดผล ในสมยั น้ที ต่ี ้องการวัดเพ่ือจะจาแนก (Classification) ว่าใคร มีความสามารถในดา้ นใด กบั เพอ่ื จัดอันดบั (Placement) วา่ ใครเด่นเป็นเย่ียมกวา่ กนั น่ันเอง ในยุคต้น ๆ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เรามีการสอบพระภิกษุเป็นเปรียญ โดยสอบไล่เดี่ยวแบบ บาลีปากเปล่า (Oral test) ต่อหน้าพระที่นั่ง พระบางรูปเก่งสอบทีเดียวได้เปรียญห้า บางรูปตกหมด ไม่ได้เปรียญเลยกม็ ี ต่อมาในรชั กาลท่ี 5 – 6 เกดิ การศกึ ษาแบบสามัญ มีวิชาให้เดก็ เรียนรู้มากมายและ จานวนนักเรยี นก็เพิม่ ขน้ึ เป็นจานวนพันจานวนหม่ืน ครูอาจารยส์ อบไล่เดีย่ วแบบปากเปล่าไมไ่ หวก็ต้อง เปล่ียนวิธีวัดผลมาเป็นแบบให้เขียนตอบยาว ๆ แต่น้อยข้อลงในกระดาษดังท่ีเราเรียกว่าข้อสอบแบบ ความเรียงหรอื อัตนัย (Essay or Subjective test) ข้อสอบวัดเชาว์ปัญญาได้เกิดขึ้นในประเทศไทยในสมัยใดไม่ปรากฏแน่ชัด แต่มีหลักฐานท่ี เชื่อได้ว่า เมื่อประมาณ พ.ศ. 2470 – 2475 พระยาเมธาธิบดีได้สร้างข้อสอบเชาว์ข้ึนใช้ แบบทดสอบ ดงั กลา่ วสรา้ งขน้ึ เปน็ ชุด ๆ แตล่ ะชดุ จะมีขอ้ สอบวดั สมรรถภาพตา่ ง ๆ เชน่ วัดดา้ นภาษา ตวั เลข เหตุผล เป็นต้น ลักษณะของข้อสอบมที ้ังแบบเลอื กตอบและแบบเติมคา จากการคน้ พบแบบทดสอบชุดน้ีทาให้ เป็นหลักฐานยืนยนั ได้ว่า ข้อสอบวัดเชาว์นั้นประเทศประเทศไทยมิได้เพิ่งมีในปัจจุบัน หากแตม่ ีมานาน หลายสบิ ปแี ล้ว ต้ังแต่สมัยรัชกาลท่ี 7 มาจนถึงปัจจุบัน เป็นยุคที่วิทยาการต่าง ๆ เจริญรุดหน้าไปอย่าง รวดเร็วในราวปี พ.ศ. 2497 ไดม้ ีการเคล่อื นไหวในวงการวัดผลการศึกษาอย่างมาก ขอ้ สอบแบบปรนัย (Objective Test) ได้เร่ิมมีบทบาทในโรงเรียนต่าง ๆ มากข้ึน แต่อย่างไรก็ตามแบบทดสอบส่วนมาก เป็นแบบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นเท่าน้ัน แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิน้ีได้มกี ารพัฒนาและปรับปรุงให้ มคี ุณภาพดีขึ้นเร่ือย ๆ จนถึงยุคปัจจุบันนี้อันเป็นยุคที่วิทยาการดา้ นต่าง ๆ เจริญข้ึนมาก นักการศึกษา เริ่มสนใจการวัดประเภทความถนัด หรือบุคคลิกภาพมากข้ึน ได้มีการสร้างแบบทดสอบความถนัด ทางการเรียนข้ึนใช้ในการสอบคัดเลือก เช่น การสอบคัดเลือกเข้าเรียนในระดับปริญญาตรีที่วิทยาลัย วิชาการศึกษา การสอบคัดเลือกเข้าเรียนในสถาบันของกรมการฝึกหัดครู รวมทั้งการสอบคัดเลือกเข้า เรียนในโรงเรียนมัธยมแบบแระสม นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2513 โครงการสร้างแบบทดสอบมาตรฐาน ของกระทรวงศึกษาธิการ โดยการนาของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ชวาล แพรัตกุล ซึ่งเป็นหัวหน้า สานักงานทดสอบวศ. ประสานมิตร ยังได้สร้างแบบทดสอบมาตรฐานวัดท้ังความถนัดและผลสัมฤทธ์ิ
ห น้ า | 5 ทางการเรียนในระดับชั้นประถมปีที่ 7 ข้ึนสาเร็จเป็นชุดแรกของเมืองไทยอีกด้วย จึงอาจกล่าวได้ว่า การวัดผลของประเทศไทยในปัจจุบนั น้ีกา้ วหนา้ มีมาตรฐานทัดเทยี มกับต่างประเทศ ระยะที่ 5 (ค.ศ. 1961-ปัจจุบัน) ปี ค.ศ. 1992 วูดรัฟ (Woodruff) ประธานกรรมการของ Graduate Record Examination ได้เสนอการทดสอบโดยประยุกต์ใช้กับคอมพิวเตอร์ เพ่ือให้การ สอบมปี ระสิทธิภาพมากขนึ้ และใชเ้ วลานอ้ ยลง การเปล่ียนแปลงเทคโนโลยีทางการประเมินเป็นวิธีการหน่ึงที่จะเพ่ิมประสิทธิภาพของการจัด การศึกษาซึ่งความเป็นวิธีทม่ี ีประสทิ ธิภาพ เมื่อจานวนผู้เขา้ สอบมมี ากขึ้นการจดั การสอบต้องมีระบบ มี มาตรฐานจดั การได้ง่าย มีความเปน็ ปรนยั เช่ือถือได้ โดยมีค่าใช้จ่ายหรือราคาที่ไม่แพง ความหมายของการวดั และการประเมนิ ผล ความหมายของการวัดและการประเมินผลมีนกั วชิ าการและหน่วยงานทางการศกึ ษาได้กาหนด ไว้ ผเู้ ขยี นไดท้ าการรวบรวมและสรปุ ได้ดังน้ี นิโลบล น่ิงก่ิงรัตน์ (2545) ได้ให้ความหมายของ การวัดผล (Measurement) หมายถึง ขบวนการในการกาหนดสัญญลักษณ์ หรือตัวเลขให้กับส่ิงใดสิ่งหนึ่งเพื่อแทนคุณภาพหรือปริมาณของ ส่ิงนั้นอย่างมีกฏเกณฑ์ที่เชื่อถือได้ การทดสอบ (Testing) หมายถึง การนาชุดของสิ่งเร้า หรือกลุ่ม ของงานไปกระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมออกมาแล้วกาหนดว่าสิ่งท่ีบุคคลแสดงออกน้ันแทน คณุ ลักษณะของสิง่ ท่ีตอ้ งการจะวัด ซ่ึงส่วนใหญแ่ ล้วจะกาหนดค่าของคุณลักษณะนน้ั ออกมาเป็นตัวเลข จึงอาจกล่าวได้ว่าการทดสอบเป็นส่วนหนึ่งของการวัด การประเมินผล (Evaluation) หมายถึง ขบวนการในการตัดสิน พิจารณา ตีค่า หรือลงสรปุ ว่าสิง่ ท่ีพจิ ารณาอย่นู นั้ มีคา่ เหมาะสมกับเกณฑ์ท่ีต้งั ไว้ หรือไม่ เพียงใด และลักษณะที่สาคัญการประเมินผล ต้องประกอบด้วยคุณลักษณะดังน้ี 1) ต้องเป็น ขบวนการที่เป็นไปอย่างมีระบบเปน็ ระเบยี บแบบแผนหรือกฎเกณฑ์ในการกระทา มิใช่เป็นเหตุการณ์ที่ เกิดข้ึนโดยบังเอิญ 2) การประเมินจะต้องให้ทราบตัวคุณภาพหรือปริมาณของสิ่งของที่สังเกต หรือ พิจารณาน้ันวา่ มคี ุณคา่ ขนาดใดเม่อื เทียบกบั เกณฑ์ท่ีต้ังไว้ ศิริชัย กาญจนวาสี (2552) ได้ให้ความหมายของ การวัดผล เป็นกระบวนการกาหนดตัวเลข ให้แก่ส่ิงต่าง ๆ ตามกฎเกณฑ์ การวัดจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยองค์ประกอบท่ีสาคัญ 3 ส่วน คือ 1) จุดมุ่งหมายของการวัดต้องชัดเจน 2) เคร่ืองมีอท่ีใช้ วัดต้องมีหน่วยในการวัดและมาตราเปรียบเทียบ ระหว่างหน่วย 3) การแปลผลและนาผลไปใช้ การทดสอบ เป็นกระบวนการใช้แบบสอบสาหรับ กาหนดหรือบรรยายคุณลักษณะหรือ คุณภาพเฉพาะอย่างของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเพื่อใช้เป็น สารสนเทศสาหรบั การตัดสนิ ใจ การประเมินผล เป็นกระบวนการตัดสินคุณคา่ ของสง่ิ ตา่ ง ๆ ตามเกณฑ์
ห น้ า | 6 มาตรฐาน โดยทั่วไปการประเมินต้องอาศัยข้อมูลจากการวัดที่เป็นปรนัยแต่บางคร้ังการประเมินต้อง อาศยั การสงั เคราะหข์ ้อมูลจากแหลง่ ตา่ ง ๆ เพอื่ ตดั สนิ คณุ คา่ ของสงิ่ น้นั สรุปได้วา่ การวัดผลการศกึ ษา เป็นกระบวนการกาหนดตัวเลขให้แก่พฤตกิ รรมของบุคคลทีไ่ ด้ แสดงออกในการทดสอบตามเกณฑ์ที่กาหนด หรือ เกณฑ์มาตรฐาน เพ่ือท่ีจะได้รวบรวมผลท้ังหมดไป พจิ ารณาตดั สินใจ การทดสอบ เป็นการกาหนดสถานการณ์ เง่ือนไข หรือการใชแ้ บบทดสอบ เพอื่ เป็น สิ่งเร้ากระตุ้นให้บุคคลหรือผู้เรียนได้แสดงพฤติกรรมตามท่ีต้องการออกมา เพ่ือท่ีจะสามารถวัดและ สังเกตพฤติกรรมน้ัน ๆ ได้ การประเมินผล เป็นกระบวนการในการรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการวัด พฤติกรรมของบคุ คลหรือผู้เรียน เพื่อนาผลมาพิจารณาตัดสิน หรือประเมนิ ค่า ตามเกณฑ์ทีก่ าหนดหรือ เกณฑ์ มาตรฐานแล้วนาเสนอเป็นข้อมูลย้อนกลับให้แก่ผู้สอนที่จะสามารถนาไปใช้เป็นแนวทางในการ พัฒนา ผ้สู อนและผเู้ รียน ตลอดจนการพัฒนาการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนตอ่ ไป โดยความสัมพันธ์ ของการทดสอบ การวัดและการประเมินผลสรปุ ได้ดังภาพท่ี 1.1 ภาพท่ี 1.1 ความสมั พันธ์ระหว่างการทดสอบการวดั ผลและการประเมนิ ผล 2. ทฤษฏีการทดสอบ ปรชั ญาของการวัดและประเมนิ ผล ทฤษฎกี ารทดสอบ ในการวัดใด ๆ มีทฤษฎีการทดสอบท่ีนักวิชาการเก่ียวกับการวัดได้นาเสนอไว้เกี่ยวกับ รูปแบบการวัดข้อตกลงเบอื้ งตน้ การพัฒนาเคร่อื งมอื การวิเคราะห์และการนาไปใช้เพ่ือแก้ปญั หาการ วัดและพัฒนาแบบทดสอบให้มีคุณภาพจาแนกออกเป็น 2 แนวทางตามพัฒนาการดังน้ี (ศิริชัย กาญ จนวาสี, 2552: 35-37) 1. ทฤษฎกี ารทดสอบแบบด้ังเดิม (Classical Test Theory) เป็นทฤษฎีการทดสอบที่ใข้ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนท่ีได้จากคะแนน ท่ี แท้จริงและวิเคราะห์คุณภาพโดยส่วนรวมของข้อสอบและแบบทดสอบท่ีใข้สาหรับแต่ ละบุคคลใน
ห น้ า | 7 สภาพการทดสอบเฉพาะโดยมีข้อตกลงเบื้องต้นที่สาคัญว่าความคลาดเคลื่อนจากการวัดมีแบบแผน คงท่ีเหมือนกันสาหรับกลุ่มบุคคลท่ีทาแบบทดสอบในภาพรวมโดยไม่สนใจพฤติกรรมการตอบเป็นราย ขอ้ ของแต่ละบคุ คลและไม่ใชก่ ารสรปุ อ้างองิ ไปยังความสามารถหรือคะแนนจรงิ ทั่วไปของบคุ คล 2. ทฤษฎีการทดสอบแนวใหม่ (Modern Test Theory) จาแนกเปน็ 2 ทฤษฎีย่อย ๆ ดังน้ี 2.1 ทฤษฎีการสรุปอ้างอิงทางการทดสอบ(Generalizability Theory) แนวคดิ ว่าความ คลาดเคล่ือนจากการวัดจะมีความแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ของการวัดเพื่อศึกษาความเชื่อ โดยท่ัวไปของแบบทดสอบภายใตเ้ งอ่ื นไขต่าง ๆ ของการวดั 2.2 ทฤษฎีการตอบสนองข้อสอบ (Item Response Theory) มีแนวคิดว่าความคลาด เคลอ่ื นที่เกิดจากการวัดมีความแตกต่างกันขึ้นกับระดับความสามารถของแตล่ ะบคุ คล และคุณลักษณะ ของข้อสอบแต่ละข้อพร้อมท้ังพยายามวัดคุณลักษณะภายในหรือความสามารถที่แท้จริงของแต่ละ บุคคล ในปัจจบุ ันทฤษฎีการทดสอบแนวใหมไ่ ด้รับการยอมรับวา่ ใหผ้ ลการวัดที่ชัดเจนตรงประเด็น ทีจ่ ะสามารถนาไปใช้พัฒนาข้อสอบและแบบทดสอบใหส้ ามารถนาไปใข้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันได้ สามารถระบุนัยท่ัวไปของคะแนนจริงคุณภาพของแบบทดสอบตามเงื่อนไขของการทดสอบรวมทั้ง ประเมนิ ความสามารถท่แี ทจ้ รงิ และบรรยายพฤติกรรมการตอบสนองข้อสอบของผสู้ อบไดเ้ ป็นอยา่ งดี ปรัชญาของการวดั และประเมนิ ผล ปรชั ญาของการวดั ผลและประเมินผลมีดังน้ี (ซวาล แพรัตกุล, 2518: 34) 1. การวัดผลและการประเมนิ ผลเปน็ สว่ นหน่ึงของการเรยี นการสอน 2. การวัดและประเมินผลควรกาหนดจุดประสงค์ท่ีมุ่งเน้นท่ีศักยภาพ หรือสมรรถนะ ของผเู้ รยี นมากกว่าความจา 3. การวัดและประเมินผลเพอื่ วินจิ ฉยั แลว้ นาผลไปปรบั ปรงุ แกไขในการเรียนการสอน 4. การวัดและประเมินผลเพ่ือประเมินค่าในความเหมาะสมในความสามารถของ ครูผสู้ อน หลกั สตู รและการจัดการเรียนการสอน 5. การวัดและประเมินผลเพื่อค้นหาและพัฒนาสมรรถภาพของมนุษย์ที่จาแนก ออกเป็น 2 ข้ันตอนดังน้ี 1) การวัดผลและประเมินผลใช้เพ่ือค้นหาหรือตรวจสอบว่าผู้เรียนมี สมรรถภาพ ในระดับใดหรือมีจุดบกพร่องที่ต้องได้รับการส่งเสริมหรือแก้ไข 2) ครูผู้สอนนาข้อมูล ดงั กลา่ วมาวางแผนเพอื่ ที่จะพฒั นาผเู้ รยี นให้บรรลจุ ุดมงุ่ หมายทก่ี าหนดไวไ้ ด้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพต่อไป 3. ความมุ่งหมายของการวัดและประเมนิ ผล ในการวัดผลและประเมินผลแต่ละคร้ังจะมีการกาหนดความมุ่งหมายในการวัดและ ประเมินผลท่ีแตกต่างกันดังนี้ (บุญธรรม กิจปรีดาบริลุทธื้, 2535: 32-34 ; วิรัซ วรรณรัตน์, 2539: 2327) 1. เพ่ือการจัดตาแหน่ง (Placement) เป็นการวัดผลเพ่ือนาผลมาระบุว่าผู้เรียนมีความรู้ใน
ห น้ า | 8 ระดับหรือตาแหน่งใดของกลุ่มได้ถูกต้องชัดเจนหรืออาจจะพิจารณาตัดสินโดยใช้เกณฑ์มาตรฐาน เพ่ือที่จะระบุวา่ ผู้เรียนรอบรู้-ไม่รอบรู้ หรอื เกง่ -ปานกลาง-ออ่ น เป็นต้น 2. เพ่ือการคัดเลือก (Selection) เป็นการวัดความรู้ทักษะและเจตคติเพื่อนาผลมาใช้ พจิ ารณา ในการดดั เลือกเพ่ือการดาเนนิ การตามวัตถุประสงค์ เชน่ การคัดเลอื กเข้าศกึ ษาต่อ เป็นตน้ 3. เพ่ือการวินิจฉัย (Diagnostic) เป็นการวัดผลเพื่อนาผลมาใช้ในการพิจารณาจุดเด่น-จุด ด้อย เก่ง-อ่อนของผู้เรียน ในการหาวิธีการหรือแนวทางการจัดกิจกรรมเพ่ือซ่อมเสริมหรือส่งเสริมได้ ตรงประเด็นและมีประสิทธภิ าพมากยิง่ ขึ้น 4. เพ่ือการเปรียบเทียบพัฒนาการ(Assessment) เป็นการวัดผลเพื่อนาผลมาใช้พิจารณา พฒั นาการที่เกิดขึ้นของผู้เรยี นคนเดียวกันในช่วงเวลาท่ีแตกต่างกันหรือได้รับเงื่อนไขที่แตกต่างกันตาม จุดประสงค์การเรียนรู้ที่กาหนดไว้ เช่น การสอบก่อน-หลัง แล้วนาผลการทดสอบมาพิจารณา เปรยี บเทยี บกัน เปน็ ตน้ 5. เพื่อการพยากรณ์ (Prediction) เป็นการวัดผลเพ่ือนาผลมาใช้คาดคะเนความสาเร็จที่จะ เกิดข้ึนของผู้เรียน ใช้เพ่ือระบุส่ิงที่จะต้องศึกษาต่อแล้วประสบความสาเร็จในอนาคต อาทิ การ ทดสอบ วัดแววความเปน็ ครู หรือ การทดสอบความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น 6. เพ่ือการประเมินค่า (Evaluation) เป็นการวัดผลเพื่อนาผลไปประเมินผลในภาพรวมว่า ผู้เรียนมีความสาเร็จมากหรือน้อยเพียงใด เช่น การทดสอบปลายภาคเรียนหรือการประเมินผล ความสาเรจ็ ในการจัดการศกึ ษาในระดับชาติ หรือจงั หวดั เปน็ ต้น 7. เพ่ือจูงใจการเรียน (Motivating Learning) โดยการวัดผลท่ีดีจะเป็นแรงจูงใจให้ผู้เรียน เกิดนิสัยการเรียนรู้ท่ีดีและทาให้รู้สถานภาพของตนเองแล้วหาแนวทาง หรือ วิธีการแก้ไขปรับปรุง ตนเอง ตามคาแนะนาของครผู ู้สอน 8. เพ่ือรักษามาตรฐาน (Maintaining standard) เป็นการวัดผลเพ่ือนาผลไปใช้ตรวจสอบ คณุ ภาพของผูเ้ รยี นว่ามีมาตรฐานตามที่กาหนดไว้หรอื ไม่อย่างไร 4. หลักการของการวดั และประเมินผลการศึกษา การวัดผลและประเมินผลในพฤติกรรมการเรียนรขู้ องผู้เรยี นที่เกดิ ขึ้นได้อย่างมีประสิทธภิ าพ นนั้ ต้องมีหลกั การทีจ่ ะต้องนาไปปฏิบตั ิดงั นี้ (วิรชั วรรณรัตน์, 2535: 15-16) 1. กาหนดจุดประสงค์ของการวัดและการประเมินผลให้ชัดเจนในลักษณะของจุดประสงค์ เชิงพฤติกรรมท่ีได้ระบุพฤตกิ รรมของผู้เรียนท่ีต้องการให้เกิดข้ึนและจะสามารถวัดได้หรือสังเกตได้เม่ือ สิน้ สดุ การเรียนการสอนแลว้ ทง้ั ใน ด้านพุทธพิ สิ ยั จิตพสิ ัยหรอื ทักษะพสิ ยั 2. เลือกใช้วิธีการวัด เคร่ืองมีอที่ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับจุดประสงค์นั้น ๆ เพราะจะ ทาให้ผลท่ีได้จากการวัดมคี วามน่าเชือ่ ถือมากยิ่งขนึ้ 3. เลือกใช้เครื่องมือการวัดผลที่มีคณุ ภาพเนื่องจากผลที่ได้จากการวัดจะต้องนาไปใช้ในการ ประเมินเพ่ือตัดสินคุณค่าหรือตัดสินใจดังนั้นจาเป็นต้องมีความม่ันใจว่าผลนั้น ๆ เกิดจากเคร่ืองมีอท่ีมี
ห น้ า | 9 คณุ ภาพอยา่ งแท้จริง 4. ในการวัดผลแต่ละครั้งครูผู้สอนควรจะเลือกใช้วิธีการหรือเคร่ืองมือวัดผลท่ีหลากหลาย เพื่อชว่ ยลดความคลาดเคลอ่ื นท่เี กิดจากขอ้ บกพร่องของวิธีการหรอื เคร่อื งมอื นน้ั ๆ 5. ใช้ผลจากการวดั ท่มี ีความคุ้มคา่ กล่าวคือการวัดผลจะได้รับข้อมูลท่ีแสดงให้เหน็ ว่าผูเ้ รียน ได้บรรลุจุดประสงค์ท่ีกาหนดไว้หรือไม่เพ่ือนาข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในการปรับปรุง การจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนหรือการแนะแนวการศึกษาต่อหรือการพัฒนาระบบการบวิหารการเรียนการสอนใน โรงเรียน เป็นต้น 6. เลือกใชเ้ ครือ่ งมือทม่ี คี วามยตุ ธิ รรมไม่เปดิ โอกาสให้ผ้สู อบไดเ้ ปรยี บและเสียเปรยี บกนั 7. มีวิธีการดาเนินการสอบท่ีมีคุณภาพ เช่น ไม่แนะคาตอบหรือควบคุมดูแลผู้สอบอย่าง ใกล้ชดิ ไม่ให้มกี ารคดั ลอกคาตอบซงึ่ กนั และกนั เปน็ ตน้ 8. คณุ ธรรมของครูผู้สอนในการวัดและประเมนิ ผล 5. ประโยชนข์ องการวดั และประเมินผล ประโยชน์ในการวดั และประเมินผลมีอยา่ งมากมาย ซง่ึ สามารถจาแนกคุณประโยชน์ของการ วดั และประเมนิ ผลการศึกษาตามผู้ทีเ่ กย่ี วข้องดังนี้ (พิชติ ฤทธ์ิจรูญ, 2545: 23-25) 1. ประโยชน์ต่อผู้เรยี น 1.1 ก่อให้เกิดการพัฒนาตนเองในแนวทางท่ีเหมาะสมโดยจะใช้ผลจากการประเมิน ความสามารถของตนเอง 1.2 กอ่ ให้เกิดแรงจูงใจในการเรียนเพ่ือท่ีจะรกั ษามาตรฐานและส่งผลให้ม่ผลการเรียนที่ ดขี น้ึ ตามลาดบั 1.3 ก่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเน้ือหาสาระเพิ่มข้ึนเพราะการวัดและประเมินผลใน แตล่ ะครง้ั เนน้ ให้ผเู้ รียนจะต้องมกี ารทบทวนเนือ้ หาสาระเพม่ิ เติมเสมอ ๆ 1.4 ก่อให้เกิดการรับทราบจุดประสงค์การเรียนท่ีชัดเจนเน่ืองจากจะได้รับการแจ้ง จดุ ประสงค์กอ่ นเรยี นทกุ ครั้งส่งผลต่อการกาหนดแนวทางในการเรียนรู้ได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ 2. ประโยชน์ตอ่ ครูผู้สอน 2.1 ได้รับทราบผลการเรียนของผู้เรียนแต่ละคนว่าเก่ง-อ่อน หรือ ได้-ตก เพ่ือที่จะได้ แสวงหาวิธกี ารเพ่ือแกไ้ ขท่ถี ูกตอ้ ง 2.2 รับทราบการบรรลุจุดประสงค์ของผู้เรียนว่ามาก-น้อย เพื่อใช้เป็นดัชนีบ่งชี้ท่ี สะท้อนให้เห็นประสิทธิภาพในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูผู้สอนว่าเป็นอย่างไรอันจะ นาไปใชเ้ ปน็ ขอ้ มลู พ้ืนฐานในการแสวงหาและพฒั นาวิธีการและเทคนคิ การสอน 2.3 ได้รับทราบข้อมูลพื้นฐานของผู้เรียนท่ีครูผู้สอนอาจใช้เป็นแรงกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิด ความสนใจในการเรยี นมากยง่ิ ข้ึน 2.4 นาขอ้ มูลมาดาเนินการด้วยวิธีการทางสถิติเพ่ือหาดชั นีบง่ ชี้คุณภาพของเคร่ืองมอื วัด
ห น้ า | 10 การเรียนรู้ว่าเป็นอย่างไรควรมีการปรับปรุงหรือแก้ไขในส่วนใดเพ่ือให้เครื่องมือมีประสิทธิภาพมาก ยงิ่ ขึน้ 3. ประโยชนต์ ่อผู้บรหิ าร 3.1 ได้รับทราบข้อมูลท่ีเป็นดัชนีบ่งข้ึมาตรฐานการศึกษาของโรงเรียนท้ังในส่วนของ ผูเ้ รียน และครูผูส้ อน 3.2 ได้รับข้อมูลในการนาไปประชาสัมพันธ์โรงเรียนให้ผู้ปกครองและผู้ท่ีสนใจในการ ดาเนนิ งานของโรงเรยี นไดร้ ับทราบ 3.3 ได้รับข้อมูลในการนามาพิจารณาประกอบการตัดสินใจแก้ไขปัญหา พัฒนาและ ดาเนินงานบรหิ ารโรงเรยี นใหม้ ีความเจรญิ กา้ วหน้าได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ 4. ประโยชน์ตอ่ ผปู้ กครอง 4.1 ได้รับทราบข้อมลู เกี่ยวกับความรูค้ วามสามารถสมรรถภาพหรือคณุ ลักษณะของบุตร หลานของตนเอง 4.2 ไดร้ บั ทราบขอ้ มลู ในการทาความเขา้ ใจหรือแก้ไขพฤติกรรมทเี่ กดิ ขน้ึ ของบุตรหลาน ไดอ้ ย่างถูกตอ้ งรวดเรว็ 5. ประโยชนต์ อ่ ครูแนะแนว ผลจากการวัดใชเ้ ปน็ ข้อมูลพ้ืนฐานใหค้ าปรึกษาแนะนาผู้เรียนในการเลือกเพ่ือศึกษาตอ่ หรือ การประกอบอาชีพการความสามารถหรือการแกไ้ ขปัญหาท่ีเกดิ ขึ้นได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ 6. คณุ ธรรมของครูผสู้ อนในการวัดและประเมนิ ผล ในการดาเนินการวัดและประเมินผลการศึกษาที่ถกู ต้องน่าเชอ่ื ถือและมีประสิทธิภาพในการ นาผลทีไ่ ดร้ ับมาใชน้ ั้น ครผู ้สู อนทท่ี าหน้าทใ่ี นการวดั และประเมนิ ผลจะต้องเปน็ บุคคลที่มีคุณธรรม ดงั นี้ (สมชาย วรกิจเกษมสกลุ ,2556 : 22) 1. ความรับผิดชอบ เป็นความสามารถในการควบคุมตนเองให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ สาเร็จ ไม่ละท้ิงงานในหน้าที่ให้เป็นภาระแก่ผู้อ่ืนในการปฏิบัติงานมีการวางแผนอย่างรอบคอบและไม่ ปฏิเสธผลลพั ธจ์ ากการปฏบิ ตั ิท่ีเกดิ จากตนเองหรอื เพื่อนร่วมงาน 2. ความซื่อสัตย์สุจริต เป็นความสามารถในการควบคุมตนเองที่ไม่นาความสามารถไปใช้ ในทางท่ีทุจริตหรือก่อให้เกิดผลทางด้านลบในการปฏิบัติงานเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้ท่ี เกีย่ วข้อง 3. ความมีวินัยในตนเอง เป็นความสามารถในการควบคุมตนเองให้ประพฤติปฏิบัติแต่ใน ส่ิงท่ีดีงามโดยไม่เปล่ียนแปลงความตั้งใจท่ีจะปฏิบัติดีอย่างง่าย ๆ เม่ือมีผลประโยชน์มาเป็นส่ิงเร้า กระตนุ้ ให้ปฏิบตั ใิ นส่งิ ท่ีไมถ่ ูกตอ้ ง 4. ความขยันอดทน เป็นความสามารถในการควบคุมตนเองให้เกิดความเพียรพยายามใน การทุ่มเทกาลังกายและกาลงั ใจในการปฏิบัติงานวัดผลที่เป็นงานที่มีรายละเอียดท่ีซบั ซ้อนและเง่ือนไข ในการปฏบิ ัติที่หลากหลาย
ห น้ า | 11 5. ความยุติธรรม เป็นความสามารถในการควบคุมตนเองในการพิจารณาตัดสิน สมรรถภาพ เชิงเปรียบเทียบหรือการให้คะแนนในพฤติกรรมที่เกิดจากการใช้เคร่ืองมีอท่ีหลากหลาย โดยไม่เหน็ แกผ่ ลประโยชน์ท่ตี นเองจะไดร้ ับหรือผลประโยชนข์ องผู้สอบคนใดคนหนึง่ เปน็ สาคัญ 6. เจตคติท่ดี ีต่อการวัดผล เป็นความรู้สกึ ท่ีมีต่อการวัดผลว่าเป็นเคร่อื งมือเชิงบวกที่ช่วยใน การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนหรือเป็นการประเมินคุณภาพและมาตรฐานความรู้ของผ้สู อบไม่ใช่ เปน็ วธิ ีที่ใช้เพื่อจดุ ประสงคท์ ีม่ ีผลทางด้านลบต่อผู้สอบ 7. ความใจกว้าง เปน็ พฤติกรรมท่ียอมรับในความคิดเห็นของบุคคลอ่นื ทีแ่ สดงความคดิ เห็น ท้ังในเซิงบวกและเซิงลบเพ่ือนามาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาแก้ไขและปรับปรุงการปฏิบัติงานให้ เกิดผลท่ีดีขึ้นและเป็นผู้ท่ีเผยแพร่ความรู้การวัดผลและประเมินผลของตนเองให้แก่บุคคลอื่น เพ่ือ กอ่ ให้เกิดการพัฒนาในการวดั ผลและประเมนิ ผลทีถ่ ูกตอ้ งและชัดเจนอยา่ งแพรห่ ลาย 8. มมี นษุ ย์สมั พันธ์ เป็นพฤติกรรมที่จะต้องนามาใซ้ในการประสานการทางานร่วมกับผู้อ่ืน ท่ีสอดคล้องกับธรรมชาติของงานวัดผลและประเมินผลท่ีจาเป็นจะต้องได้รับความร่วมมือและมีความ เข้าใจเปน็ อย่างดจี ากผู้ทเ่ี กีย่ วขอ้ ง 9. แสวงหาความรู้และใข้หสักวิชาให้เกิดการพัฒนาในวิชาชีพ เป็นพฤติกรรมท่ีจะต้องใช้ ตลอดเวลาเน่ืองจากในการวัดผลและประเมินผลจะมีความรู้และหลักวิชาท่ีเกิดข้ึนใหม่ ๆ อย่าง ตอ่ เน่ืองและหลากหลาย ดังน้ันผู้ที่ปฏิบัตงิ านท่ีเกี่ยวกับการวดั ผลและประเมินผลควรไดศ้ ึกษาท่จี ะนา ความรู้และหลังวชิ าเหล่านัน้ มาใช้ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ ผ้สู อบและเผยแพร่ใหแ้ ก่ผู้ท่เี กยี่ วขอ้ งได้รบั ทราบ 10. รักษาความลับ เป็นพฤติกรรมในการรักษาหรือปกปิดข้อมูลในเคร่ืองมือท่ีใช้ในการ วดั ผล และผลการประเมนิ ของผู้สอนทุกคนเพ่อื ป้องกันไมใ่ หเ้ กิดผลกระทบต่อบุคคลเหลา่ นนั้ 7. สรุป การวัดและการประเมินผลเปน็ กระบวนการซ่ึงประกอบด้วยการวัดซึ่งเปน็ การกาหนดตัวเลข ให้กับข้อมูลใด ๆ โดยการเร้าให้ผู้ถูกทดสอบแสดงพฤติกรรมท่ีต้องการวัดเช่น การทดสอบโดยเม่ือได้ ข้อมูลจากการวัดแล้วจึงนาไปสู่การประเมินผลเพ่ือตัดสินคุณค่าของข้อมูลนั้น ๆ ตามเกณฑ์ที่กาหนด หรือเกณฑม์ าตรฐาน แล้วนาเสนอเป็นข้อมูลย้อนกลับใหแ้ ก่ผู้สอนที่จะสามารถนาไปใช้เป็นแนวทางใน การพัฒนาผู้สอนและ ผ้เู รียน ตลอดจนการพฒั นาการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนตอ่ ไป 8. แบบฝกึ หัด คาชแี้ จงใหต้ อบคาถามจากประเด็นที่กาหนดให้อย่างถูกต้องและชัดเจน 1. จงอธบิ ายความหมาย และความสัมพันธ์ระหว่าง \"การทดสอบ\" \"การวดั ผล\"และ \"การ
ห น้ า | 12 ประเมินผล\" พร้อมยกตวั อย่างประกอบ มาพอสังเขป 2. จงอธิบายวา่ เพราะเหตใุ ดในการเรียนการสอนครผู ู้สอนจึงจาเป็นต้องมี \"การวัดและ ประเมินผล\" 3. จงอธบิ ายถึงความทฤษฏกี ารทดสอบและปรชั ญาการวัดและประเมินผลมาพอสงั เขป 4. จงอธิบายถึงความเหมือนละความแตกต่างของการประเมินแบบ Formative กับ Summative พรอ้ มยกตวั อย่างประกอบ 5. นกั ศึกษาคิดว่าคณุ ธรรมของนักวัดและประเมินผลข้อใดสาคญั ท่ีสุด เพราะเหตุใด 9. Link ทน่ี ักศกึ ษาจะเข้าไปทาการศกึ ษาด้วยตนเอง 1. https://www.youtube.com/watch?v=BTI5w9iFDqo&t=61s 10. แหล่งคน้ คว้าเพม่ิ เตมิ ซวาล แพรัตกลุ .(2518).เทคนิคการวัดผล.พมิ พ์ครั้งท่ี 6.กรงุ เทพฯ : วฒั นาพานิซ. ชศู รี ตันพงศ.์ (2546.) ประเมินพฒั นาการ : มติ ใิ หม่แหง่ การพัฒนาศกั ยภาพผเู้ รยี น. กรงุ เทพฯ: มลู นธิ สิ ดศรี-สวสั ดวิ งศ์. บญุ เชิด ภญิ โญอนันตพงษ.์ (2545). การประเมินการเรยี นรู้ท่ีเน้นผูเ้ รยี นเปน็ สาคญั : แนวคดิ และ วธิ ีการ. กรุงเทพฯ: วัฒนาพานซิ . บญุ ธรรม กจิ ปรีดาบริสทุ ธไิ (2535). การวัดและประเมินผลการเรยี นการสอน. กรงุ เทพฯ: สามเจริญพานซิ , _____ .(2539) “จุดประสงคก์ ารสอนและการสอบ”ในวารสารวัดผลการศึกษา. ปที ่ี 17 ฉบับที่ 51. มกราคม-เมษายน. พชิ ติ ฤทธิ์จรญู . (2545). หลกั การวัดและประเมินผลการศกึ ษา. พมิ พ์ครงั้ ที่ 2. กรงุ เทพฯ: เฮาส์ ออฟ เคอรม์ สี ท.์ ภทั รา นิคมานนท.์ (2543).การประเมนิ ผลการเรยี น. กรงุ เทพฯ: ทิพยวิสุทธ์ิ. วริ ัซ วรรณรัตน์,(2535)“หน่วยที่ 1 แนวคดิ ของการวดั และการประเมินผลระดับประถมศึกษา” ในเอกสารประกอบการสอนชุดวิชาการวดั และประเมินผลกล่มุ วชิ าทกั ษะและสรา้ งเสรมิ ประสบการณ์ หนว่ ยที่ 1 - 7 . นนทบรุ :ี โรงพิมพ์มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าซ. คริ ิชัย กาญจนวาส.ี (2552) ทฤษฎีการทดสอบดงั้ เดิม. พมิ พ์ครัง้ ท่ี 6.กรงุ เทพฯ: โรงพิมพแ์ ห่ง จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . สมซาย วรกจิ เกษมสกุล.(2556).การวดั และ,ประเมนิ ผลการศกึ ษา. พิมพ์คร้ังท่ี 5. อดุ รธานี: โรง พมิ พ์ อักษรณ์ศลิ ป.ี
ห น้ า | 13 สมนึก ภทั ทิยธน.ี (2545).การวัดผลการศกึ ษา.กาฬสินร:ุ ประสานการพมิ พ.์ สมหวัง พิธยิ าบวุ ัฒน.์ (2535) “ความรู้พ้ืนฐานสาหรบั การประเมินโครงการทางการศึกษา”. กรงุ เทพฯ:สานักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . สุวมิ ล วอ่ งวาณซิ , (2546).รายงานการวจิ ยั การประเมนิ : ข้อเสนอแนะเซิงนโยบาย. กรงุ เทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
ห น้ า | 14 บทท่ี 2 พฤติกรรมทางการศึกษา สาระการเรียนรู้ 1. การจาแนกพฤติกรรมทางการศกึ ษา 2. พฤตกิ รรมการศึกษาดา้ นพทุ ธิพิสยั 3. พฤตกิ รรมการศกึ ษาด้านจติ พสิ ยั 4. พฤติกรรมการศึกษาด้านทกั ษะพสิ ยั 5. จดุ ม่งุ หมายเชิงพฤตกิ รรม 6. ประโยชน์ของจดุ มงุ่ หมายเชิงพฤติกรรม จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. บอกความหมายของพฤติกรรมทางการศึกษาได้ 2. อธิบายความสมั พนั ธข์ องพฤตกิ รรมด้านพุทธพิ สิ ยั ด้านจิตพสิ ัยและด้านทกั ษะพสิ ยั ได้ 3. อธบิ ายองค์ประกอบของจดุ มงุ่ หมายเชิงพฤติกรรมได้ 4. บอกประโยชนข์ องจุดมุ่งหมายเชิงพฤตกิ รรมได้
ห น้ า | 15 1. การจาแนกพฤติกรรมทางการศึกษา พฤติกรรมการศึกษา เป็นคุณลักษณะของผู้เรียนท่ีเกิดจากการเรียนรู้โดยผ่านกิจกรรมการ เรียนร้ตู ามจดุ มงุ่ หมายของหลกั สูตร ดังนน้ั ผู้สอนหรือบุคลากรที่ทาหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา จาเป็นตอ้ งทราบรายละเอยี ดของจดุ มุ่งหมายทางการศกึ ษาอย่างชดั เจน เพือ่ สร้างความเขา้ ใจให้ตรงกัน ทุกฝ่าย จาก บลูม และคณะ (Benjamin Bloom and other, 1971) ได้จาแนกพฤติกรรมทางการ ศึกษาออกเป็น 3 ด้านคือ 1) พฤติกรรมด้านพทุ ธิพิสยั (Cognitive Domain) 2) พฤติกรรมด้านจติ พิสัย (Affective Domain) 3) พฤตกิ รรมด้านทกั ษะพสิ ยั (Psychomotor Domain) การจาแนกพฤติกรรมด้านพทุ ธพิ สิ ยั พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย เกิดจากพลังความสามารถทางสมอง ซ่ึงไปมีปฏิสัมพันธ์กับ สง่ิ แวดล้อม หรือส่ิงเรา้ ทาให้เกิดการเรียนรู้ขึ้นในตัวบคุ คล ประสบการณ์ตา่ ง ๆ มีมากมายหลากหลายมี ท้ังง่าย ๆ และยุ่งยากซับซ้อน ทาให้ต้องจัดจาแนกระดับความสามารถ ทางสมอง หรือสติปัญญา ออกเปน็ ระดับต่างๆ โดยบลมู และคณะ ไดร้ ่วมกนั จัดจาแนกออกเปน็ 6 ระดบั จากนัน้ ในช่วงระหว่างปี 1990 - 1999 เดวิด แครทโวทล์ (David Krathwohl) ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะท่ีได้ร่วมสร้างจุดมุ่งหมาย การศึกษาเติม และโลริน แอนเดอร์สัน (Lorin Anderson) ลูกศิษย์คนหน่ึงของบลูมได้รวบรวม นักจิตวิทยา นักทฤษฎีหลักสูตร นักวิจัย ทางด้านการเรียนการสอน และผู้เช่ียวชาญทางด้านวัดและ ประเมินผล เพ่ือปรับปรุงจุดมุ่งหมาย การศึกษาด้านพุทธิพิสัย ของบลูม โดยมีรายละเอียดของการ จาแนกพฤตกิ รรมยอ่ ยแต่ละระดับดังน้ี (สุรชยั มีชาญ, 2540 : 37-41) ตาราง 2.1 การเปรยี บเทยี บกระบวนการทางปัญญาทใี่ ชค้ าศัพทเ์ ดิมและคาศัพท์ใหม่ คาศพั ท์เตมิ คาศัพทใ์ หม่ 1. ความรู้ (Knowledge) 1. จา (Remembering) ความสามารถในการ 1.1 ความรเู้ ฉพาะเจาะจง (Specifics) ระลกึ ได้แสดงรายการได้ บอกได้ ระบุ บอกชื่อ 1) ความรู้เกี่ยวกับคาศัพท์และ ได้ ตัวอย่างเช่น นกั เรยี นสามารถบอก นิยาม (Terminology) ความหมายของทฤษฎีได้ 2) ความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงเฉพาะ (Specific Facts) 1.2 ความรู้เกี่ยวกับวิธีดาเนินการเฉพาะ อย่าง (Way and Means of Dealing with Specifics) 1) ความรู้เกี่ยวกับระเบียบแบบแผน (Conventions)
ห น้ า | 16 คาศพั ทเ์ ติม คาศัพทใ์ หม่ 2) ความรู้เก่ียวกับลาดับขั้นและ แนวโน้ม (Trend and Sequence) 3) ความรู้เกี่ยวกับการจาแนกประเภท แ ล ะ จั ด ก ลุ่ ม (Classification and Categories) 4) ความรเู้ ก่ียวกบั เกณฑ์ (Criteria) 5) ค ว า ม รู้ เ กี่ ย ว กั บ วิ ธี ก า ร (Methodology) 1.3 ความรู้รวบยอดและนามธรรมในแต่ ละเน้ือเรื่อง (Universal and Abstractions in a Field) 1) คว ามรู้เก่ียว กับหลักวิช าและ ข้ อ ส รุ ป อ้ า ง อิ ง (Principles and Generalizations) 2) ค ว า ม รู้ เ กี่ ย ว กั บ ท ฤ ษ ฎี แ ล ะ โครงสรา้ ง (Theories and Structures) 2. ความเข้าใจ (Comprehension) 2. เข้าใจ (Understanding) ความสามารถใน 2.1 การแปลความ (Translation) การแปลความหมาย ยกตัวอย่าง สรุป อ้างอิง 2.2 การตีความ (Interpretation) ตัวอย่างเช่น นักเรียนสามารถอธิบายแนวคิด 2.3 การขยายความ (Extrapolation) ของทฤษฎีได้ 3. การนาไปใช้ (Application) 3. ประยุกต์ใช้ (Applying) ความสามารถใน เป็นความสามารถในการประยุกต์หลักการ การน าไป ใช้ ประ ยุกต์ใ ช้ แ ก้ไข ปัญห า เทคนิค แนวคิด หรือ ทฤษฎีต่าง ๆ เพ่ือ ยกตัวอย่างเช่น นักเรียนสามารถใช้ความรู้ใน แก้ปญั หาในสถานการณท์ ี่แปลกใหม่ การแกไ้ ขปญั หาได้ 4. การวเิ คราะห์ (Analysis) 4. วเิ คราะห์ (Analysing) ความสามารถในการ 4.1 การวิเคราะห์ส่วนประกอบ (Analysis เปรียบเทียบ อธิบาย ลักษณะ การจัดการ of Elements) ตัวอย่างเช่น นักเรียนสามารถบอกความ 4.2 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ (Analysis แตกตา่ งระหว่าง 2 ทฤษฎีได้ of Relationships) 4.3 การวิเคราะห์หลักการ (Analysis of
ห น้ า | 17 คาศพั ทเ์ ติม คาศัพทใ์ หม่ Organizational Principles) 5. การสงั เคราะห์ (Synthesis 5. ประเมินค่า (Evaluating) ความสามารถใน 5.1 การสังเคราะห์ข้อความ หรือการ การตรวจสอบ วิจารณ์ ตัดสินตัวอย่างเช่น ถ่ า ย ท อ ด ค ว า ม คิ ด (Production of a นักเรียนสามารถตัดสินคณุ คา่ ของทฤษฎีได้ Unique Communications) 5.2 การสังเคราะห์แผนงาน หรือเสนอ โครงการดาเนินงาน (Production of a Plan, or Proposed Set of Operation) 5.3 การสังเคราะห์ความสัมพันธ์ ของสิ่ง ท่ี เ ป็ น น า ม ธ ร ร ม (Derivation of Set of Abstract Relation) 6. การประเมนิ ค่า (Evaluation) 6. คิดสร้างสรรค์ (Creating) ความสามารถใน 6.1 การตัดสินโดยอาศัยข้อเท็จจริงภายใน ก า ร อ อ ก แ บ บ (Design) ว า ง แ ผ น ผ ลิ ต เ ห ตุ ก า ร ณ์ (Judgments in Terms of ตัวอย่างเช่น นักเรียนสามารถนาเสนอทฤษฎี Internal Evidence) ใหม่ท่ีแตกต่างไปจากทฤษฎเี ดิมได้ 6.2 การตัดสินโดยใช้เกณฑ์ภายนอก (Judgments in Terms of External Criteria) การจาแนกพฤตกิ รรมด้านจติ พิสยั พฤติกรรมด้านจิตพิสัยนี้ คือกลุ่มของจุดมุ่งหมายทางการศึกษาที่เกี่ยวกับ ความรู้สึก ซึ่งเป็น รากฐานที่ก่อเกิดบุคลิกภาพหรือลักษณะนิสัยของบุคคล พฤติกรรมด้านนี้ จัดเป็นพฤติกรรมที่แอบ แฝงซ่อนเร้นอยภู่ ายใน ต้องกาหนดสถานการณ์ให้แสดงออกยาก ทาให้ วดั ยาก และต้องใช้เวลานาน แต่อย่างไรก็ตามครูสามารถปลูกฝังพฤติกรรมด้านน้ีให้ผู้เรียนได้ โดยต้องใช้เวลาต่อเน่ืองกัน พอสมควร จะหวังผลในช่วงเวลาสนั้ ๆ ไม่ได้ เพราะการเกดิ พฤติกรรมด้านน้ี ตอ้ งผ่านกระบวนการไป ตามลาดับ จนเกิดเป็นทัศนคติ และพัฒนาเป็นค่านิยม ต่าง ๆ ในท่ีสุดค่านิยมท่ีเกี่ยวข้องกันก็จะ จัดระบบข้ึน และกลายมาเปน็ ตัวท่ีกาหนดลกั ษณะ นิสัยของบคุ คลในที่สุด การจาแนกพฤติกรรมดา้ น น้ี มีผลงานของ รเท!โฮวล์ (Krathwohl,David R.) ซึ่งจาแนกเป็นลาดับข้ึนของการเกิดพฤติกรรม
ห น้ า | 18 สรปุ ได้ 5 ขนึ้ ดงั นี้ 1. ข้ันรับรู้ (Receiving) เป็นขึ้นแรก ที่เริ่มจากการที่บุ คคลรับรู้ส่ิงเร้า หรือ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่กระทบประสาทสัมผัสตา่ งๆ จนเกดิ ความรู้สกึ สนใจส่ิงน้นั 2. ขึ้นตอบสนอง (Responding) หลังจากท่ีรับรู้ในขึ้นแรกแล้ว บุคคลจะมี พฤติกรรม ตอบสนองต่อส่ิงเร้าในลักษณะที่เต็มใจ หรือไม่เต็มใจ ยินดีพอใจ หรือไม่ยินดีพอใจ ตอบสนอง โดย บางครั้งเราสามารถสงั เกตกริยาอาการหรอื การกระทาได้ 3. ข้ันเห็นคุณค่า หรือ สร้างค่านิยม (Valuing) หลังจากบุคคลมีพฤติกรรม ตอบสนอง ต่อสิ่งเร้าในลักษณะ เต็มใจ ยินดี พอใจ แล้ว ก็จะเกิดความรู้สึกในคุณค่าของส่ิง น้ัน ซึ่งมักจะต้อง ยึดถือกฎเกณฑ์ของกลุ่ม หรือสังคมมาใช้ในการตัดสินใจให้คุณค่า และ กลายเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อ การควบคมุ ทิศทางของพฤติกรรม ซง่ึ เรยี กวา่ ค่านยิ ม น้นั เอง 4. ข้ันจัดระบบค่านิยม (Organization) เมื่อบุคคลมีค่านิยมหลายๆ อย่างซ่ึงเป็น ค่านิยมย่อยๆ ก็จะเกิดการจัดระบบค่านิยม โดยการจัดลาดับความสาคัญของค่านิยมและ สัมพันธ์ เชื่อมโยงคา่ นยิ มที่เก่ียวขอ้ งกัน กลายเป็นคตหิ รอื แนวทางการประพฤติปฏิบด 5. ข้ันสร้างลักษณะนิสัยจากค่านิยม (Characterization) เป็นข้ันสุดท้าย หลังจาก ที่ คา่ นิยมต่างๆ สามารถสมั พนั ธก์ ันเปน็ ระบบแล้ว ก็จะมีพัฒนาบุคลกิ ภาพ หรือ สกั ษณะนิสัย ของบุคคล ให้เป็นรูปแบบที่ชัดเจน ซ่ึงอาจจะอยู่ในระดับท่ีปรับสักษณะนิสัยให้สอดคล้องกับความ คาดหวังของ สังคมเพราะเป็นสิ่งที่ช่วยให้คนเป็นคนดีเป็นท่ียอมรับของผู้อื่น เช่น การพยายาม ให้ความช่วยเหลือ และมีน้าใจต่อเพ่ือน และในข้ันสมบูรณ์ จะพัฒนาเป็นสักษณะนิสัยถาวรมีการ กระทาแบบอัดโนมีด หรือทาเป็นกิจนสิ ัย เชน่ เปน็ คนมีน้าใจต่อผอู้ ่นื ทกุ คนคนอยา่ งจรงิ ใจ จาแนกพฤติกรรมดา้ นทกั ษะพสิ ัย พฤติกรรมด้านทักษะพิสัยนี้ เป็นความสามารถของบุคคลในการใช้อวัยวะตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย ทางานอย่างประสานสัมพันธ์กัน โดยจะมขี ัน้ ตอนของการเกิดพฤตกิ รรมไป ตามลาดับ ดังเชน่ ซิมพส์ นั (Simpson, Elizabeth J.) ได้จัดจาแนกไว้ 7 ขนั้ ดังน้ี 1. การรับรู้ (Perception) เป็นจุดเร่มิ ต้นของการเกิดพฤติกรรม ด้านการรบั สัมผสั สิง่ เร้าผา่ นทางประสาทสัมผสั ต่างๆ เชน่ หู ตา จมูก ลนิ้ ผวิ กาย 2. การเตรียมความพร้อม (Set) คือการเตรียมตัวกระทา หรือการปรับตัวให้อยู่ ใน สภาพพร้อมที่กระทา ซง่ึ มี 3 ดา้ น คอื ดา้ นสมองจะเตรียมความรูซ้ ่ึงมีมาก่อน ด้านร่างกาย จะเตรียม เก่ยี วกับกลา้ มเน้อื และดา้ นอารมณจ์ ะเตรยี มความรูส้ ึกในการให้คณุ คา่ ต่อส่งิ ที่จะปฏิบัติ 3. การตอบสนองตามแนวชแ้ี นะ (Guided Response) เป็นการเร่ิมพฒั นาทักษะ โดย การแสดงพฤติกรรมเลียนแบบตามผู้แนะนาหรือครู ในขนั้ น้จี ะเป็นขน้ั ลองผิดลองถูก
ห น้ า | 19 4. การปฏบิ ัติได้ด้วยตนเอง (Mechanism) คือการทีบ่ ุคคลสามารถปฏบิ ัตงิ านได้ ด้วย ความเชื่อมั่นในตนเอง มผี ลสัมฤทธิท์ ่ีน่าพอใจ 5. การตอบสนองท่ีซับซ้อน (Complex overt Response) เป็นข้ันที่สามารถ กระทา หรอื ปฏิบตงานที่ซับซ้อนได้ แม้จะตอ้ งใช้ทักษะข้ันสูงก็สามารถทาไดอ้ ย่างชานาญ หรือได้ อย่างอตั โนมัต 6. การดดั แปลง (Adaptation) หลงั จากทีส่ ามารถปฏิบัติได้อย่างชานาญแล้วเมือ่ บุคคล ตอ้ งแกป้ ญั หาบ่อยๆ กจ็ ะพัฒนาวิธกี ารเติมให้มปี ระสทิ ธิภาพย่ิงข้ึน เพอ่ื ลดขัน้ ตอน ลดเวลา หรือ เพิ่ม คณุ ภาพผลงาน การริเร่ิม (Origination) เป็นข้ันสูงสุดของการพัฒนาทักษะ ซ่ึงบุคคลสามารถ สร้างสรรค์ผลงานใหม่ ดว้ ยวธิ ีการใหม่ที่ตนคดิ ขนึ้ มา โดยใช้สตปิ ัญญารว่ มกับประสบการณ์ดา้ นทกั ษะ ความสามารถด้านสมองในการคิด ซึ่ง Bloom ได้แบ่งไว้เป็น 6 ขั้น ซ่ึงเรียงจากพฤติกรรมขั้น ต่าสุดถึงสูงสดุ และ Tuckman ได้เสนอคาทบ่ี ง่ การกระทาไดด้ ังน้ี คือ พฤติกรรม คาท่ีบง่ การกระทา 1. ความรู้ – ความทรงจา (Memory) 1.1 ความรเู้ กี่ยวกบั ความจริง - บอกความหมาย ใหน้ ยิ าม บอกคาจากดั ความ 1.11 ความร้เู กยี่ วกบั คาศัพท์ - บอกลักษณะให้เรียกช่อื บอกช่ือ บอกวนั 1.12 ความรู้เกี่ยวกับความจริงจาเพาะ บอกสถานท่ี บอกเหตุการณ์ อย่าง 1.2 ความรู้เกยี่ วกับวิธีการ 1.21 ความรรู้ ะเบียบแบบแผน - บอกหลักกการ บอกกฎ บอกลักษณะ บอกสัญญลกั ษณ์ บอกแบบ บอกแบบรูป 1.22 ความรู้เกี่ยวกับลาดับชั้นและ - บอกการกระทา บอกกระบวนการ บอกความ แนวโนม้ เคล่ือนไหว บอกความต่อเนื่อง บอกการพัฒนา บอกความสมั พนั ธ์ บอกแรงผลกั ดัน และอิทธพิ ล 1.23 ความรูเ้ กีย่ วกับการจาแนก - บอกชนิด บอกประเภท จาแนก แจกแจง จัด ประเภท 1.24 ความรู้เกี่ยวกับเกณฑ์ - บอกเกณฑ์ บอกขอ้ กาหนด บอกองคป์ ระกอบ 1.25 ความรเู้ ก่ียวกบั ระเบียบวธิ ี - บอกวิธี บอกเทคนิค บอกวิธีใช้ บอกการใช้ บอกวธิ ปี ฏิบัติ
ห น้ า | 20 พฤตกิ รรม คาทบี่ ่งการกระทา 1.3 ความรเู้ กยี่ วกับหลักการและทฤษฎี 1.31 ความรู้เก่ียวกบั หลกั การ - บอกหลกั การอา้ งสรปุ บอกขอ้ เสนอ และการอ้างสรุป 1.32 ความรู้เก่ียวกับทฤษฎีและ - บอกทฤษฎี บอกกฎเกณฑ์ บอกสูตร บอก โครงสร้าง ลักษณะโครงสร้าง 2. ความเขา้ ใจ (Comprehension) 2.1 ด้านการแปลความ - แปลความหมาย แปลคาศัพท์ แปลวลี เปล่ียน รูป ให้ความหมาย (ด้วยคาพูดของตนเอง) เล่า(ใหม)่ 2.2 ดา้ นการสรปุ ความ - สรุป ตีความ เรียงลาดับ(ใหม่) บอกทัศนะ บอกความ(ข้อ) แตกต่าง จาแนก เขียนแผนผัง (รปู ) จากคาอธบิ าย 2.3 ด้านขยายความ - คาดคะเน อ้างสรุป สรุป ทานาย พยากรณ์ ตัดสนิ ขยาย ตอ่ เติม เขียนเพิ่ม 3. การนาไปใช้ (Applicatiion) - นาเอา...ไป...ให้สัมพันธ์ เลือกพัฒนา จัดใช้ เปล่ียน 4. การวิเคราะห์ (Analysis) 4.1 วเิ คราะหค์ วามสาคัญ - ช้ีบ่งส่วนท่ีสาคัญที่สุด จาแนกหลักสาคัญ วิจารณ์ ความจาเป็นขององคป์ ระกอบ 4.2 วิเคราะห์ความสมั พันธ์ - บอกผลท่ีเกิดจากการเปล่ียนแปลงส่ิงที่ เก่ียวข้องกัน เปรียบเทียบ บรรยาย(เหตุ) และ ผล อธิบายความสัมพนั ธ์ 4.3 วเิ คราะหห์ ลักการ - บอกข้อดีและข้อเสียของจุดประสงค์ บรรยาย หลักการจัดประเภทตามหลกั การ 5. การสังเคราะห์ (Synthesis) 5.1 สงั เคราะห์ขอ้ ความสอื่ สังเคราะห์ - เขียนโครงสรา้ ง เขยี นแบบ แต่งเร่ืองออกแบบ 5.2 สังเคราะห์แผนงาน - วางแผน วางเป้าหมาย กาหนดจุดประสงค์ ผลติ วางแบบ วางหลกั กาหนดวธิ ี 6. การประเมนิ ค่า (Evaluation) 6.1 ประเมินจากเกณฑ์ภายนอก - ตัดสนิ โต้แย้ง พิจารณา เปรียบเทยี บ
ห น้ า | 21 พฤติกรรม คาทีบ่ ่งการกระทา 6.2 ประเมนิ จากเกณฑภ์ ายใน - ตัดสิน พิจารณา เปรยี บเทยี บ 2. พฤติกรรมด้านความรู้สึก (Affective Domain) เป็นความสามารถในการรู้สึกต่อสิ่ง ต่าง ๆ ซ่ึงตามแนวของคราทวูล (Krathwoh1, 14964) ได้แบ่งไว้ 5 ข้ัน และทัดแมน (Tuckman, 1975) ไดเ้ สนอคาทบ่ี ง่ การกระทาไว้ดงั นี้ พฤตกิ รรม คาทีบ่ ่งการกระทา 2.1 การรับรู้ (Receiving) ถาม, เลือก, บรรยาย, ติดตาม, ให้, ยึดช้ีบ่ง, 2.2 การตอบสนอง (Responding) บอก, 2.3 การสร้างคุณค่า (Valuing) ให้ชือ่ , ตอบ, ใช้, คดิ เลือก ฯลฯ ตอบ, ช่วยเหลือ, ทาให้เหมือน, ยอมตามช่วย, 2.4 การจัดระบบ (Organization) อภปิ ราย, บญั ญัติ, แสดง, อ่าน, รายงาน, ตอบโต้ 2.5 การสร้างลักษณะนิสัย (Characterization) , คัดเลอื ก, บอก, เขยี นตอบรับ, ฯลฯ สาธิต, บรรยาย, อภิปราย, ชี้แจ้งแตกต่าง, ติดตาม, เชื้อเชิญ, ให้เหตุผล, อ่าน, เสนอ, รายงาน, คัดเลือก, แบ่ง, เขียน, จัดแบบใหม่, ฯลฯ จัดแจ้ง, สลับ, รวม, เปรียบเทียบ, ป้องกัน, อธิบาย, อ้างถึง, ปรบั ปรุง, ประสาน, สังเคราะห์, เตรยี ม, ฯลฯ แสดงท่าทาง, จาแจก, จัดเสนอ, ปรับปรุง, ปฏิบัติ, เล่น, แสดงออกซึ่งความสงสัย, แก้ไข, ตรวจสอบให้เหน็ จริง, ใช้, ฯลฯ 3. พฤติกรรมด้านปฏิบัติหรือการกระทา (Psychomotor Domain) เป็นความสามารถ ในด้านการปฏิบัติ (Doing) อย่างมีประสิทธิภาพ ตามแนวของซิมลิน (Simpson, 1966) ได้แบ่งออกเป็ ฯ 5 ขัน้ ดังนีค้ อื พฤติกรรม คาท่ีบ่งการกระทา
ห น้ า | 22 3.1 การเลยี นแบบ (Imitation) ประกอบ, กอ่ , แต่ง, เปลยี่ น, สร้าง, 3.2 การทาตามแบบ (Manipulation) ประดิษฐ์, ออกแบบ, ฝกึ , รา่ ง, ตรึง, 3.3 การหาความถกู ต้อง (Precision) ผสม, แก้ไข, ซ่อม, ฯลฯ. 3.4 การทาอย่างตอ่ เน่อื ง (Articulation) 3.5 การทาโดยธรรมชาติ (Natuatization) 2. จุดมงุ่ หมายทางการศึกษา จุดมุ่งหมายทางการศึกษา คือ ลักษณะของผลผลิตทางการเรียนการสอนว่ามุ่งหวังจะให้ ผู้เรียนเกิดข้ึนหลังจากท่ีได้เรียนไปแล้ว จุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนท่ีดีจะต้องครอบคลุม พฤติกรรมความรู้ความคิด (Cognitive Domain) พฤตกิ รรมด้านความรู้สึก (Affective Domain) และ พฤติกรรมด้านปฏิบัติ (Psychomotor Domain) จุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ของการสอนน้ันแบ่ง ออกเป็น 3 ประการ คอื 1.1 จุดมุ่งหมายทั่วไป (General Objectives) เป็นจุดมุ่งหมายกว้าง ๆ ซ่ึง ครอบคลมุ ความเชื่อ หรือทฤษฎีตลอดจนการเสาะแสวงหาความมรู้ในสาขาวิชาน้ัน ๆ 1.2 จุดมุ่งหมายเฉพาะ (Specific Objectives) เป็นจุดมุ่งหมายกว้าง ๆ ที่ กาหนดไว้ในแตล่ ะรายวชิ า เชน่ ใหม้ คี วามเขา้ ใจ ใหร้ ู้คณุ ค่า ใหม้ ีความซาบซึ้ง ฯลฯ 1.3 จุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม (Behavioral Objective) เป็นจุดมุ่งหมายท่ี ต้ังข้ึนเพ่ือแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า หลังจากมีการเรียนการสอนในเรื่องน้ัน ๆ แล้วผู้เรียนสามารถ แสดงพฤตกิ รรมทว่ี ัดได้ สังเกตได้ออกมาอย่างไรบ้าง จุดมุ่งหมายเชงิ พฤตกิ รรมนี้ สว่ นมากจะไมเ่ ขยี นไว้ ผสู้ อนจงึ ต้องวเิ คราะห์จากจุดมุ่งหมายเฉพาะ หรือจดุ มุ่งหมายรายวชิ าให้เป็นจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม กอ่ นซึ่งจะลงมอื สอน การกาหนดจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรมหรือจุดประสงค์เชิงพฤตกรรมมีองค์ประกอบอยู่ 3 สว่ นไดแ้ ก่ 1. ส่วนที่เป็น “พฤติกรรมที่คาดหวัง” (Expected Behavior) เป็นข้อความที่บ่งถึง พฤติกรรมท่ีครูต้องการให้ผเู้ รียนแสดงออกและสังเกตได้ในระหว่างรียน หรือเมือ่ สิ้นสุดการเรียนหน่วย
ห น้ า | 23 ใดหน่วยหน่ึงแล้ว ดังน้ัน การเขียนข้อความส่วนนี้จะต้องอาศัยคาท่ีบ่งถึงการกระทา (Action words) เชน่ บอก จาแนก เปรียบเทียบ อธิบาย เปน็ ต้น 2. ส่วนที่เป็น “สถานการณ์” (conditions) จะเป็นข้อท่ีบอกถึงเงื่อนไขซ่ึงจะใช้เป็น เครือ่ งกระตนุ้ ให้นกั เรยี นแสดงพฤตกิ รรมทคี่ าดหวงั ออกมา เชน่ - เมอ่ื กาหนดสมการสองชน้ั ให้ นักเรียนสามารถ................................................. - เม่อื กาหนดคาตา่ ง ๆ ในวชิ าภาษาไทย 10 คา นกั เรียนสามารถ……………............ 3. ส่วนท่ีเป็น “เกณฑ์” (criterion) จะเป็นข้อความท่ีอธิบายให้ทราบว่าผู้เรียนจะต้อง แสดงพฤติกรรมท่ีคาดหวังถึงระดับใด หรือมีปริมาณแค่ไหนจึงจะยอมรับว่าเขามีพฤติกรรมน้ันจริง ๆ หรือสามารถทา สิ่งนั้นได้จริงมิใช่ทาได้โดยบังเอญิ การกาหนดเกณฑ์จะเปน็ การกาหนดขั้นต่าสุดของ พฤติกรรมนั้น (Minimum Requirement) ซึ่งอาจกาหนดโดย 3.1 จากัดเวลาการปฏบิ ตั ิ เชน่ ในเวลา............................นาที 3.2 กาหนดปรมิ าณ เชน่ จานวนข้อ หรือสัดส่วน จานวนข้อ 3.3 กาหนดคุณภาพ ได้แก่ การนกาหนดคุณลักษณะสาคัญของการปฏิบัติ เช่น สามารถสรุปผลการทดลองภายในขอบเขตการกาหนดให้อย่างถูกตอ้ ง 3. ประโยชนข์ องจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ในการกาหนดจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมของการเรียนการสอนมีประโยชนท์ ีจ่ าแนก ได้ดังนี้ (ปราณี ไวดาบ, 2538: 53) 1. เป็นแนวทางในการสร้างหลกั สูตร โดยท่ผี ู้สร้างหลักสูตรจะสร้างจุดประสงค์ ทั่วไปและจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมท่ีเจาะจงข้ึน ขั้นตอนการสร้างจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมจะช่วยใน การกาหนดและประเมินจุดประสงค์ทั่วไป กาหนดเนื้อหา และคัดเลือกจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมท่ี เหมาะสมกบั รายวิชาและผู้เรียน 2. เป็นแนวทางในการสร้างและพัฒนาวัสดุประกอบหลักสูตร อาทิ ตารา แบบเรียน คู่มือครูและแผนการสอนว่าควรมีลักษณะอย่างไร เนื้อหาเท่าไร มีวิธีการนาเสนออย่างไร รวมทั้งเป็นแนวทางในการสร้างวัสดุอุปกรณ์ เอกสารประกอบการสอนอื่น ๆ อาทิ บทเรียนโปรแกรม
ห น้ า | 24 แบบทดสอบ หรอื แบบผึกหัด เป็นตน้ 3. เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน แนวการสอนว่าควรจัด กจิ กรรมอย่างไรเพ่ือให้บรรลุจุดประสงคท์ ี่กาหนดไว้ โดยเฉพาะจะชว่ ยพัฒนาการเรียนการสอนในการ พัฒนาสมรรถภาพระดับสูงได้ดีขึ้น เพราะการกาหนดจุดประสงค์ท่ีชัดเจนจะช่วยให้เห็นแนวทางใน การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน 4. เป็นแนวทางการเรียนของผู้เรียนในการเรียนรู้ใด ๆ ถ้าผู้เรียนได้รับทราบ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมแล้ว จะทาให้ผู้เรียนได้ปรับปรุงตนเองในทิศทางและระดับความมุ่งม่ันของ หลักสตู รดีกวา่ การไม่รับทราบจุดประสงค์ 5. เป็นแนวทางในการประเมินผลการเรียน การกาหนดจุดประสงค์เชิง พฤติกรรมอย่างสมบูรณ์ จะมีการกาหนดสถานการณ์เพื่อการประเมินผลไว้ ช่วยให้การสร้างข้อสอบมี ความครอบคลุมและตรงตามจุดประสงคไ์ ดด้ ีกวา่ 6. เป็นแนวทางในการปรับปรุงการเรียนการสอนตลอดเวลา เนื่องจากผลการ วัดที่ได้ช่วยให้รู้ผลของการเรียนรู้ จะทาให้ผู้สอนได้รับข้อมูลย้อนกลับในการนามาปรับปรุงระบบการ สอนว่าจุดประสงค์ท่ีกาหนดไว้เหมาะสมหรือยัง และจะต้องมีการปรับปรุงการเรียนการสอนในส่วน ใดบ้าง 5. สรุป การจาแนกพฤติกรรมทางการศึกษาในการวัด และประเมินผลของผู้เรียนเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้าน พุทธิพิสัยหรือสติปัญญา (Cognitive Domain) ด้านความรู้สึก (Affective Domain) และด้านทักษะ การปฏิบัติ (Psycho-Motors Domain) พฤติกรรมการศึกษาด้านพุทธิพิสัยหรือสติปัญญาจาแนก สติปัญญาของมนษุ ย์ตามลาดับของความซับซ้อนของกระบวนการเป็น 6 ระดับดังนี้ 1.ความรู้ 2. ความ เข้าใจ 3.การนาไปใช้ 4.การวิเคราะห์ 5. การประเมินค่าและ 6. การสร้างสรรค์ พฤติกรรมการศึกษา ดา้ นจิตพิสัยเป็นการกระทาทเ่ี ป็นกระบวนการภายในของมนษุ ย์ได้ จาแนกระดับจิตพสิ ัย 6 ระดับ ดังนี้ ระดับท่ี 1. การรับรู้ 2. การตอบสนอง 3. การสร้างคุณค่า การจัดระบบคุณค่า 5. การสร้างลักษณะ นิสัย ในการวัดพฤติกรรมการศึกษาด้านทักษะพิสัย มีหลักการดังนี้ 1) กาหนดจุดประสงค์เชิง พฤติกรรมให้ชัดเจนท่ีสามารถวัดและสังเกตได้ 2) กาหนดงานหรือสถานการณ์ในการปฏิบัติท่ีให้มี ความสอดคล้องกัน 3) กาหนดวิธีการดาเนินการได้เหมาะสมกับลักษณะของงานหรือสถานการณ์ 4) กาหนดวิธีการดาเนินการวัดผลที่มีความยุติธรรม 5) กาหนดเคร่ืองมือท่ีจะใช้วัดการปฏิบัติ 6) กาหนดการให้คะแนนท่ีชัดเจนและมีความครอบคลุม 7) กาหนดการประเมินผลจาแนกเป็นแบบอิง กล่มุ แบบองิ เกณฑ์แบบพฒั นาการ 8) กาหนดจานวนคร้ังในการวดั ทักษะหลาย ๆ คร้งั 6. แบบฝึกหดั
ห น้ า | 25 คาชีแ้ จงให้ตอบคาถามจากประเดน็ ท่ีกาหนดให้อย่างถูกต้องและชัดเจน 1. การจาแนกพฤตกิ รรมทางการศึกษาให้ครอบคลุมมีกด่ี า้ น อะไรบา้ ง 2. การจาแนกพฤติกรรมย่อยด้านพทุ ธพิ ิสัย แบ่งออกเป็นกีร่ ะดบั อะไรบา้ ง 3. จงอธบิ ายความหมายของคาศัพทต์ ่อไปนี้ คือ ความเข้าใจ การแปลความ การสังเคราะห์ การ สงั เคราะหค์ วามสมั พันธ์ และการประเมนิ โดยอาศัยเกณฑภ์ ายนอก 4. จงอธิบายความแตกตา่ งของจุดประสงคท์ ่ัวไป และจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 7. Link ท่นี กั ศึกษาจะเขา้ ไปทาการศกึ ษาด้วยตนเอง 1. https://www.youtube.com/watch?v=g9LM7gAN1xQ&feature=youtu.be 8. แหลง่ ค้นควา้ เพมิ่ เตมิ ซวาล แพรัตกลุ .(2518).เทคนคิ การวดั ผล.พมิ พ์ครง้ั ที่ 6.กรงุ เทพฯ: วฒั นาพานิช. _____ .(มปป.).เทคนิคการเขยี นขอ้ สอบ.กรุงเทพฯ: พทิ ักษ์อักษร. พิชิต ฤทธจื้ รูญ.(2545).หสกั การวัดและประเมินผลการศกึ ษา.พมิ พ์ครงั้ ที่ 2. กรุงเทพฯ: เฮาส์ ออพิ เคอร์มสี ท.์ ณัฏฐภรณ์ หลาวทอง.(2546). “การประเมินจิตพสิ ัย” ในการประเมนิ ผลการเรยี นรู้แนวใหม.่ บรรณาธกิ าร โดย สุวมิ ล ว่องวานิซ.กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ปราณี ไวดาบ.(2538).การประเมินผลการเรียน.กรุงเทพฯ: คณะครุศาสตร์ สถาบันราซภัฏพระนคร, ภทั รา นิคมานนท.์ (2543).การประเมนิ ผลการเรียน. กรงุ เทพฯ: หา้ งหนุ้ สว่ นจากัด ทิพยวสิ ุทธิไ เยาวดี วิบลู ยศ์ รี.(2540).การวัดผลและการสร้างแบบสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ.พมิ พค์ รงั้ ที่ 2. กรงุ เทพฯ: สานกั พมิ พจ์ ฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ล้วน สายยศ และ องั คณา สายยศ.(2539).เทคนิคการวดั ผลการเรียนร้.ู กรงุ เทพฯ: ซมรมเดก็ . สรุ ี,พร อนคุ าสนนันท.ิ (2554).การวดั และประเมินในชัน้ เรยี น.กองบริการการศกึ ษา. สานักงาน อธิการบดี มหาวทิ ยาลยั บรู พา. ปนี วดี ธนธาน.ี (2550). เอกสารประกอบการสอนการวดั และประเมินผลการศกั ษา.
ห น้ า | 26 นครปฐม : คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏนครปฐม. วิทวัฒน์ ขัตติยะมาน และฉัตรสิริ ปียะพิมลสิทธ้ิ. (2551). การปรับปรุงจุดมุ่งหมายหมาย ทาง การศักษาของบลมู . http://www. Watpon.com. สบื ค้นวนั ที่ 25 พฤษภาคม 2551. สรุ ชยั มีชาญ. (2540). เอกสารการสอน การวัดผลและประเมนิ ผลการเรียนรู้ หน่วยที่ 2. กรุงเทพฯ : สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี Bloom, Benjamin ร. and other. (1971). Handbook on formative and Summative Evaluation of Student Learning. New York : McGraw-Hill.,. Bloom,B.ร. and others. (1956) Taxonomy of Ecucational Objectives,Handbook I: Cognitive Domian. New York :Mckay, Ebel,R.L. and Frisbie,D.A. (1986).Essentials fo Educational Measurement. New Jersey: Printice - Hall Inc. Hopkins, D.Charles and Antes.,c. Richard.(1990).Classroom measurement and Evaluation. Illinois : Publishers,Inc. Nitko,A.J.(2007). Educational Assessment of Students. Englewood Cliffs, N.J : Prentice Hall, Inc.
ห น้ า | 27
34 จุดเด่นของวธิ ีนี้ คือ คานวณงา่ ย สามารถนาคะแนนพฒั นาการมาเปรียบเทียบกันได้ ผู้เรียนที่ได้คะแนนการวัดครั้งแรกสูงจะมีพัฒนาการสูงกว่าผู้เรียนที่มีคะแนนจากการวัดครั้งแรกต่า ถึงแมจ้ ะมผี ลต่างระหวา่ งคะแนนจากการวัดก่อนและหลงั เรียนเท่ากนั 1.3 วิธีการวัดอัตราพัฒนาการเฉลี่ยจากคะแนนการวัดมากกว่า 2 ครั้ง โดย เคร่ืองมอื วัดควรเปน็ ฉบับเดมิ หรอื แบบวดั คขู่ นาน สมการคานวณคอื ������������������������������ℎ ������������������������ = ������ ������������������������������������+1 − ������������������������������������ ������ ∑ ������=1 Growth Rate แทน อัตราพฒั นาการเฉล่ยี ต่อจากการวดั มากกว่า 1 ครั้ง ������ ∑ แทน ผลรวมต้งั แตจ่ ำนวนที่ 1 จนถึงจำนวนสุดทำ้ ย (จำนวนท่ี ������) ������=1 Scorei+1 – Scorei แทน คะแนนความแตกต่างระหวา่ งการวัด 2 ครง้ั ทต่ี ดิ กันโดย คะแนนคร้งั หลงั ลบด้วยคะแนนครัง้ แรก N แทน จานวนชว่ งพฒั นาการ เช่น การวัด 4 คร้ังจะมี 3 ช่วงพฒั นาการ 2. วิธีการวัดอิงพัฒนาการแนวใหม่หรือการวัดการเปล่ียนแปลงระยะยาว (Longitudinal change measurement) ซ่งึ เป็นการวัดมากกว่า 2 ครั้ง แล้วใช้วิทยาการด้านสถิติ และการวิจัยมาประยุกต์ เพ่ือให้เห็นความก้าวหนา้ โดยอาศัยเทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ร่วมดว้ ย เช่น การ วเิ คราะห์อนกุ รมเวลา โมเดลแฝงพลวัตลาดับขั้น โดยใช้โปรแกรมสาเรจ็ รูป LISREL Mplus หรือ EQS ชว่ ยในการวิเคราะห์ เป็นตน้ ขอ้ ดีของการวดั และประเมินผลแบบอิงพัฒนาการ 1. คะแนนพัฒนาการเป็นการบอกถึงช่วงห่างที่ผู้เรียนสามารถพัฒนาได้ เม่ือผู้เรียนทราบ คะแนนและนาพัฒนาตนเองใหถ้ ึงจุดหมายทต่ี ้องการ 2. เป็นการประเมินเพ่อื แสดงพัฒนาการตามความสามารถท่ีแท้จริงของผเู้ รียนแตล่ ะคน 3. เป็นการนาผลการประเมินไปใช้ในการพัฒนาของผู้เรียนแต่ละคนให้บรรลุเป้าหมาย กอ่ นท่จี ะมกี ารประเมินผลสรุป ขอ้ เสยี ของการวัดและประเมินผลแบบองิ พฒั นาการ 1. ตอ้ งใชค้ ะแนนหลายคร้ัง ทาใหต้ อ้ งใชเ้ วลาในการวดั พัฒนาการของผู้เรียนแต่ละคน
2. ผลจากการประเมินพัฒนาการ บางครั้งผู้เรียนมีพัฒนาการ แต่อาจจะยังไม่บรรลุตาม จดุ ประสงค์ของหลกั สตู ร 3. การประเมินพัฒนาการต้องใช้การประเมินท่ีหลากหลาย จึงจะได้ผลการประเมิน พฒั นาการทีส่ อดคล้องกับความสามารถที่แท้จรงิ ของผู้เรยี น การนาผลการวดั และประเมินผลดา้ นพุทธิพิสัยไปใชป้ ระโยชน์ มี 3 ด้านใหญ่ ๆ คอื 1. ด้านการเรียนการสอน เป็นการนาผลท่ีได้จากการทดสอบไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในการ ปรับปรุงการเรียนการสอน ดังนี้ 1.1 ใช้จัดตาแหน่ง จากผลการสอบจะช่วยให้ครูทราบว่าเด็กแต่ละคนมีความรู้ ความสามารถเด่น – ด้วยดา้ นใด อยู่ตรงระดับใดของกลุ่ม ซ่ึงจะเป็นประโยชน์ในด้านการแบ่งนักเรียน ในช้นั ให้สอดคล้องกับหลักของความแตกต่างระหว่างบุคคล ทาใหค้ รูสามารถจดั แบง่ นักเรียนตามกาลัง ความสามารถ ให้งานทาเป็นปรมิ าณมากนอ้ ยตามส่วน การใช้ผลการสอบในการจัดตาแหนง่ นัน้ ๆ เรา นามาใช้เพือ่ จุดประสงค์สาคัญ 2 ประการ คือ ใช้ในการสอบคัดเลือก เนื่องจากการสอบคัดเลือกเป็นการสอบเพื่อชิงเอา ตาแหน่งท่ีมีจานวนน้อยกว่าผู้สมัคร ข้อสอบท่ีใช้ในการสอบคัดเลือกจึงควรเป็นข้อสอบที่ค่อนข้างยาก เพราะเราตอ้ งการคัดแตเ่ ด็กทีเ่ ก่ง ๆ เขา้ มาเรียน ใช้ในการสอบจาแนก เป็นการใช้ผลการสอบเพื่อจาแนกเด็กว่าใครเก่ง – ออ่ นเท่ากันปานใด ใครสอบได้หรือสอบตก ใครสอบผ่านเกณฑ์หรือไม่ผา่ น เช่น การทดสอบเมือ่ จบการ สอนแตล่ ะบทเรียน 1.2 ใช้วินิจฉัย เป็นการใช้ผลการสอบเพ่ือค้นหาสมมติฐานว่าเด็กคนไหนเก่ง – อ่อน ด้านใดในวิชาใดเน่ืองจากสาเหตุใด เพื่อครูจะได้ทาการปรับปรุงแก้ไขได้ถูกต้อง การนาผลการสอบไป ใช้เพอ่ื การวินิจฉยั นัน้ สามารถนาไปใช้เพ่ือจดุ มงุ่ หมาย 2 ประการ เพื่อปรับปรุงการเรียน เป็นการนาผลการสอบมาวินิจฉัยเด็กว่าใครเก่ง – อ่อนวิชาใด และท่ีเขาไม่เก่งน้ันเขาไม่เก่งในเน้ือหาใด เป็นเพราะเหตุใด ครูจะได้ทาการแก้ไขได้ตรงจุด เช่น จากการทดสอบวิชาเลขคณิตเร่ืองการลบ ข้อสอบก็จะต้องออกถามต้ังแต่ลตัวเต็ม ลบเลขหลัก เดี่ยว สองหลัก ลบแบบต้องยืม ลบแบบโจทย์ ฯลฯ แล้วเปรียบเทียบคะแนนว่า ใครมักทาเลขผิดใน
36 ตอนใดมาก ใครบกพร่องอะไรอยู่ จึงทาเลขลบไม่ค่อยได้ดี ครูจะช่วยเหลือได้โดยการกลับไปสอนซ้า ตอนน้นั ใหมห่ รือจัดการสอนซอ่ มเสริมข้ึน กจ็ ะเปน็ การชว่ ยปรบั ปรุงการเรยี นของเด็กให้ดขี ้นึ ได้ เพื่อใช้เป็นแนวในการจัดกิจกรรม ผลจากการทดสอบเราสามารถนามาใช้ ช่วยในการแนะกิจกรรมต่าง ๆ ให้นักเรียน โดยใช้เป็นแนวทางในการแบ่งกลุ่มเด็กตามระดับ ความสามารถที่แตกต่างกัน ครูจะได้จัดกิจกรรมให้สอดคล้องตามความเหมาะสมและความสามารถ ของนกั เรียน 1.3 ใช้เปรียบเทียบ การใช้ผลการสอบเพ่ือการเปรียบเทียบนน้ั เพ่ือจะดวู ่า นักเรียนแต่ ละคนหรือแต่ละห้องงอกงามพัฒนาข้นึ มาจากเดิมเท่าไร เป็นการเปรียบเทียบความสามารถของตนเอง เช่น จากตน้ เทอมเขาเรียนรูค้ าศพั ทเ์ พ่ิมขึน้ ก่คี า เขามีความรู้เก่ยี วกับคณติ ศาสตรเ์ พิม่ ขึ้นเท่าไร วิธกี ารที่ จะทราบว่าใครมีพัฒนาการหรือมีอัตรางอกงามช้าเร็วเท่าใดกัน เราสามารถทาได้โดยการสอบซ้า หลังจากเรียนไปแล้วระยะหน่ึงโดยใช้ข้อสอบฉบับเดิม แล้วเปรียบเทียบดูว่าเด็กแต่ละคนมีพัฒนาการ ขึน้ ลงระดบั ใด 2. ด้านการแนะแนว หลักการสาคัญในการแนะแนวคือ “ช่วยให้เด็กเข้าใจและช่วยตัวเอง ได้” การท่ีจะให้เด็กช่วยตัวเองได้น้ัน ครูจะต้องทาให้เด็กเกิดความเข้าใจในความสามารถของตนเอง ดังน้นั การวัดผลจงึ มีบทบาทสาคญั ต่อการแนะแนว ดงั นี้ 2.1 การรายงานความก้าวหน้าทางการเรียนของนักเรียนให้ผู้ปกครองทราบ จะเป็น การช่วยให้ผู้ปกครองเข้าใจถึงความสามารถที่แท้จริงของนักเรียน จะได้ช่วยแนะนาให้เด็กเรียนได้ตรง กับความถนัดของเขาย่ิงข้ึน ซง่ึ การกระทาดังน้จี ะเปน็ ประโยชน์แก่ตัวนักเรียนมาก เพราะผ้ปู กครองจะ ได้ไม่บังคับให้เด็กเรียนในสาขาวิชาต่าง ๆ ตามที่ผู้ปกครองชอบ โดยไม่คานึงถึงสมรรถภาพที่แท้จริง ของเด็ก อนั จะเปน็ สาเหตุสาคญั ทีท่ าใหผ้ เู้ รยี นไม่สมั ฤทธิผลในการเรยี น 2.2 ช่วยให้นักเรียนเห็นภาพของตนเองได้แจ่มชัดย่ิงขึ้น เห็นความสามารถและความ ถนัดของตนเอง ทาใหเ้ ข้าใจตนเองยิ่งขน้ึ ซ่งึ จะทาให้การแนะแนวดาเนนิ ไปไดอ้ ย่างราบรนื่ 2.3 ผลจากการทดสอบจะช่วยให้การตัดสินใจเลือกอาชีพหรือวิชาเรียนของนักเรียน รวมทั้งทาใหส้ ามารถตัดสนิ ใจเลอื กอย่างถูกต้องวา่ ควรจะเรยี นวชิ าอะไรบ้าง 2.4 ผลจากการทดสอบจะช่วยให้ครูแนะแนวเข้าใจถึงสาเหตุของปัญหาและนักเรียน แตล่ ะคนได้
3. ด้านการบริหาร ผลจากการทดสอบสามารถนามาใช้ให้เป็นประโยชน์ในด้านการบริหาร ดังนี้ 3.1 เราสามารถนาผลที่ได้จากการสอบไปช่วยพิจารณาจัดห้องเรียนวา่ ควรจัดอย่างไร จึงจะส่งผลในดา้ นการศกึ ษาไดด้ ีท่ีสดุ เช่น การแบ่งเปน็ หอ้ งเด็กเกง่ – อ่อน หรือจดั คละกันไป 3.2 ช่วยในการจัดนักเรียนท่ีย้ายมาจากโรงเรียนอ่ืนเข้าชั้นเรียน ว่าควรจะจัดให้เข้า เรยี นห้องไหนจงึ จะดี จึงจะเหมาะสมกับความสามารถทีแ่ ท้จรงิ ของเขา โดยดูจากผลการสอบท่นี ักเรยี น ทาไดจ้ ากโรงเรยี นเดมิ หรอื อาจจะใหน้ กั เรยี นทดสอบข้อสอบฉบบั ใหม่กไ็ ด้ 3.3 ช่วยในการจัดกลุ่มประเภทเด็กพิเศษ เช่น พวกกลุ่มเรียนซ้าหรือกลุ่มที่มี ความสามารถพเิ ศษ ครจู ะไดจ้ ดั การเรยี นพิเศษให้ สอนซอ่ มเสรมิ ให้ 3.4 ใช้ในการประเมนิ คา่ หรอื ประเมินคณุ ภาพของการศกึ ษาเปน็ ส่วนรว่ ม ว่าหลกั สตู ร หรือวธิ ีการสอนแบบน้เี หมาะสมเพียงใด ไดม้ าตรฐานตามท่กี ระทรวงกาหนดไว้หรอื ไม่ จากประโยชน์ด้านต่าง ๆของการนาผลท่ีไดจากการทดสอบท่ีกล่าวมาแล้วข้างต้น แบบทดสอบจงึ มีความสาคญั มาก ครูควรร่วมมอื กันสรา้ งขอ้ สอบและปรับปรงุ ใหม้ สี ทิ ธภิ าพดียิ่งขึ้น 3. การวัดและประเมนิ ผลดา้ นจติ พสิ ยั (คุณลกั ษณะ) แนวคิดและหลกั การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรดู้ ้านจิตพสิ ยั พฤติกรรมทางจิตพสิ ัย เปน็ สมรรถนะของบุคคลในการเข้าใจ ตระหนกั รคู้ วามรสู้ กึ และภาวะ อารมณ์ของตนเองและผู้อืน่ รวมทงั้ การมีความสามารถและทกั ษะในการกากับอารมณ์ของตน เรยี กว่า เชาวนป์ ญั ญาทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) เปน็ ความสามารถในการควบคมุ ความรู้สกึ และ การแสดงออกทางอารมณ์ สามารถแยกแยะ ประสมประสานความคดิ กบั อารมณ์ มีความเข้าใจและ สามารถแสดงอารมณไ์ ด้อย่างฉลาดและมีไหวพรบิ ตลอดจนสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองไดใ้ นทุก สถานการณ์ ซึ่งการ์ดเนอร์ (Gardner, 1983) และ สเตอร์นเบอร์ก (Stermberg, 1985) มมี ุมมองวา่ อารมณเ์ ป็นองค์ประกอบหนงึ่ ของเชาวนป์ ญั ญา (Intelligence) ที่จะนาบุคคลไปสู่ความสาเรจ็ แนวคิดของการประเมนิ ด้านจติ พสิ ัย กรมสุขภาพจิต (2545) ไดใ้ ห้แนวคดิ เกี่ยวกับธรรมชาติ ของจติ พิสัยว่าเปน็ สมรรถนะทางปัญญาของจิตใจและอารมณเ์ ปน็ ส่ิงท่เี ป็นนามธรรมไม่สามารถ ประเมินได้โดยตรงต้องอาศยั เครอ่ื งมือทางจิตวิทยาเปน็ สิ่งเร้าให้บุคคลแสดงออกมา คา่ ที่ได้จากการวดั จงึ มีโอกาสผันแปรไปตามสงิ่ เร้าหรอื สถานการณ์ ดงั นนั้ ในการประเมินจงึ ควรใชเ้ คร่อื งมอื ที่มคี ุณภาพ หลาย ๆ ชนดิ ประกอบกนั การประเมินสมรรถนะดา้ นนเ้ี นน้ ความเหมาะสมมากกวา่ ความถกู ผิด การ ออกแบบการวัดและประเมนิ ดา้ นจติ พสิ ยั จงึ ต้องเขา้ ใจในธรรมชาติที่ว่า จติ ใจและอารมณ์เป็น กระบวนการเกย่ี วเน่ืองกนั ระหว่างปญั ญากับอารมณซ์ ึ่งมีหลายองค์ประกอบร่วม มแี บบแผนการ
38 แสดงออกและมีระดบั ความเข้มแตกต่างกนั ไปตามประสบการณแ์ ละสง่ิ เร้าทมี่ ากระตุ้น ซึ่งสามารถวัด และประเมินได้ การนาผลการวดั และประเมินผลด้านจิตพสิ ยั ไปใช้ประโยชน์ ธรรมชาติของผลการวัดและประเมินด้านเจตพสิ ยั ทมี่ ลี กั ษณะและคณุ คา่ สาคัญคือ 1. เป็นสารสนเทศส่วนหน่ึงท่ีช่วยชี้นาทิศทางการตดั สินใจของนักบริหารหรือผเู้ ก่ียวข้อง ในกระบวนการพัฒนาผเู้ รียน 2. เปน็ สารเทศหรือข้อสรุปทม่ี ีความเฉพาะเจาะจงสูง เป็นขอ้ สรุปทีเ่ ป็นจรงิ ในบรบิ ทที่ทา การประเมิน ไม่ใช่ขอ้ สรุปที่จะสามารถสรุปพาดพงิ หรอื นาไปอธิบายในสถานการณ์ท่ัวไป 3. เป็นสารสนเทศที่มีคุณค่าแฝง (Potential power) ไม่ใช่คุณค่าจริง (Actual power) จนกวา่ จะมีการนาไปใช้ 4. เปน็ สารสนเทศท่เี ป็นประโยชนต์ อ่ ผูต้ ัดสนิ ใจกล่มุ ต่าง ๆ แตกตา่ งกนั และ 5. เปน็ สารสนเทศท่ีเกดิ จากการวัดและการตัดสินคุณค่าท่มี ีโอกาสเกิดความคลาดเคล่ือน ได้ 4. การวัดและประเมนิ ผลด้านทกั ษะพิสัย (ทกั ษะกระบวนการ) แนวคดิ และหลักการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรูด้ ้านทักษะพิสยั ความสามารถด้านทักษะพสิ ยั เป็นผลลพั ธท์ างการศึกษาประเภทหนง่ึ ท่ีมีความสาคัญมาก และครูและสถานศึกษาควรเน้นใหผ้ เู้ รยี นได้พฒั นาเชน่ เดียวกบั การพัฒนาดา้ นพทุ ธพิ ิสัยและเจตพิสยั ทักษะพิสยั (Psychomotor domain) หมายถงึ ระดบั ของความรทู้ ่ีแสดงออกมาในรูปของพฤติกรรม ดา้ นการเคล่ือนไหวของรา่ งกาย ซงึ่ พฤตกิ รรมทางรา่ งกายประกอบด้วยการเคลอ่ื นไหวของรา่ งกาย การ ประสานสัมพันธข์ องทกั ษะตา่ ง ๆ และการใช้ทกั ษะ ซ่ึงการพัฒนาทักษะพิสัยตอ้ งมีการฝึกฝนเพอ่ื ให้ เกดิ ความชานาญ สามารถปฏิบตั ิได้เอง โดยทว่ั ไปการวัดและประเมนิ ผลทกั ษะพิสัยมักจะพิจารณาเรื่อง ความรวดเรว็ ระยะทาง ความถูกต้อง กระบวนการ และเทคนิคต่าง ๆ ที่ใช้ในการปฏบิ ัตงิ าน ทกั ษะพิสัย มีลักษณะสาคัญ ดงั นี้ 1) เป็นทักษะท่สี งั เกตได้งา่ ยกว่าพุทธิพสิ ยั และเจตพสิ ยั เพราะเปน็ การใชร้ ่างกาย ทางานให้ออกมาเป็นผลลพั ธ์อยา่ งชัดเจนได้ ดงั นน้ั การวัดและการประเมนิ ผลทกั ษะพสิ ัยจึงทาได้ชัดเจน กว่าการวัดและประเมนิ ผลพทุ ธพิ ิสัยและเจตพิสัย 2) ทักษะพสิ ัยเปน็ เรื่องของการใช้ทักษะการ เคลือ่ นไหวของร่างกายในการทางาน การจะสามามรถใชท้ ักษะในการทางานใหถ้ กู ต้องและมี ประสิทธภิ าพนน้ั ต้องมคี วามรดู้ ้านเน้ือหาในเรื่องน้ัน ๆ ด้วย 3) การพัฒนาผ้เู รยี นให้มีทกั ษะพสิ ัยที่ดี และชานาญต้องใชเ้ วลาในการฝึกฝนและพฒั นา จึงจะสามารถทาด้วยตนเองอยา่ งเชย่ี วชาญ เวลาใน การฝกึ ฝนและพัฒนาอาจแตกตางกนั ไปตามความซบั ซ้อนของทักษะ ดังนั้นในการจดั การเรียนการสอน
ครูผู้สอนตอ้ งมีเวลาใหผ้ เู้ รยี นฝกึ ปฏบิ ตั ิดว้ ยตนเอง หากผเู้ รียนทาไม่ถกู ต้อง ครผู สู้ อนต้องแสดงวธิ ีการที่ ถูกต้องใหผ้ ูเ้ รียนทราบ การพัฒนาทกั ษะของผู้เรียนจึงจะประสบความสาเร็จ การนาผลการวัดและประเมินผลด้านทักษะพิสัยไปใชป้ ระโยชน์ 1. ช่วยชี้นาการตดั สินใจของนักบริหาร นักพฒั นา ครู – อาจารย์ หรอื ผเู้ ก่ียวข้อง ใน กระบวนการพฒั นาศักยภาพของบุคคลหรือของผเู้ รียน 2. ช่วยลดโอกาสการสญู เปล่าและเพิ่มโอกาสความสาเรจ็ ในการดาเนนิ งานพัฒนาศักยภาพ ของบุคคลหรอื ของผู้เรยี น 3. สารสนเทศจากการประเมินผลการพฒั นา สะท้อนความรับผดิ ชอบตอ่ สงั คมและองคก์ าร ผรู้ ับผิดชอบงานหรอื ของสถานศึกษา 4. สารสนเทศพ้ืนฐานก่อนการพัฒนา ซึง่ ถอื เป็นฐานข้อมูลศักยภาพเดมิ ของผ้เู รยี นในขณะ รับเข้าสูร่ ะบบโรงเรียน 5. สารสนเทศระหวา่ งการพัฒนาหรอื พฒั นาการของผ้เู รยี นท้งั ด้านความรู้ คุณลกั ษณะ และ ทักษะตามทหี่ ลกั สูตรกาหนด ซึง่ ควรมีการวัดและประเมินพัฒนาการ เมือ่ จบชัน้ ปี ทุกปี 6. สารสนเทศ ท่ีสะท้อนถงึ ความสาเรจ็ ในการพฒั นา หรอื เพ่อื รบั รองมาตรฐานดา้ นผู้เรียน เมือ่ จบช่วงชนั้ สาคญั เชน่ จบระดบั ประถมศึกษา มัธยมศึกษา เปน็ ต้น 5. การวเิ คราะห์หลกั สตู ร ความหมาย ชวาล แพรตั กุล (2516 : 42) กลา่ ววา่ การแยกแยะใหท้ ราบว่า แต่ละวชิ ามเี น้ือหาอะไรบา้ ง มี จุดมุ่งหมายอย่างไร และมีอยู่อย่างละเท่าใด ขบวนการนี้เรียกว่า การวิเคราะห์หลักสูตร สมนึก ภัททิยธนี (2537 : 124) อธิบายว่า การวิเคราะห์หลักสูตร หมายถึงการนาหลักสูตร มาพิจารณารายละเอียด ว่ามีจุดมุ่งหมายและเน้ือหาอะไร จะวางแผนในการสอนและการวัดผล อย่างไร จะให้นกั เรียนเกิดพฤติกรรมอะไร โดยทั่วไปการวิเคราะห์หลักสตู รมีสว่ นสาคัญท่ีต้องพิจารณา 2 ส่วน คือส่วนท่ีเป็นจดุ มุ่งหมายและเนอ้ื เรอ่ื ง สรุปไดว้ า่ การวิเคราะห์หลักสตู ร คือ การพิจารณารายละเอียดของหลักสตู รทงั้ ด้านจุดมงุ่ หมาย และ เน้ือหาวชิ า แล้วพิจารณาความสมั พันธ์ทั้งสองสว่ น เพ่ือนามาวางแผนในการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน และการสอบ การศึกษาคือ กรรมวธิ ีของการวางแผนเพือ่ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนกั เรียน งานของครจู ึง เป็นการพยายามจดั หาส่ิงแวดล้อมเพ่ือชว่ ยให้การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมน้นั เปน็ พฤติกรรมทพ่ี ึง
40 ปรารถนาและสอดคล้องกับจุดมุง่ หมายที่ต้ังไว้ จุดมงุ่ หมายเชิงพฤติกรรม (Behavioral objective) หมายถึง การกระทาทีเ่ ราสังเกตไดจ้ าก นกั เรยี นและเราสามารถประเมนิ วา่ นักเรยี นไดส้ ัมฤทธดิ์ า้ นจุดมุ่งหมายที่กาหนดไว้หรอื ไม่ จุดมงุ่ หมาย เชิงพฤติกรรมจะต้องเปน็ พฤติกรรมท่สี ังกตได้ หรือเป็นกริ ิยาทแี่ สดงถงึ การกระทา เชน่ การอภิปราย การเขยี น การอา่ นเปน็ ตน้ สว่ นพฤติกรรมท่ีไมส่ ามารถจะประเมนิ ผลได้ จะไม่กาหนดจุดม่งุ หมายเชิง พฤติกรรม เช่น ความซาบซึ้ง เป็นต้น การกาหนดหมวดหมู่ของจดุ มุ่งหมายการศกึ ษาเชงิ พฤตกิ รรมตาม taxonomies กาหนดได้ ดังน้ี Cognitive Affective Psychomotor domain domain domain • ความรู้ • การยอมรบั • การเลียนแบบ • ความเขา้ ใจ • การตอบสนอง • การลงมือทาตาม • การนาไปใช้ • คา่ นิยม • การวิเคราะห์ • การจดั ระบบคา่ นิยม แบบ • การสงั เคราะหแ์ ละ • การมีลกั ษณะนิสยั • ความถกู ตอ้ ง • ความตอ่ เน่ือง ประเมินคา่ • การกระทาเองจนเคย • การคดิ สรา้ งสรรค์ ชิน แผนภาพที่ 1 กาหนดหมวดหมู่ของจุดมงุ่ หมายการศึกษาเชงิ พฤติกรรมตาม taxonomies ข้ันตอนการดาเนนิ การวิเคราะห์หลักสตู ร ดาเนินการดังนี้ ข้ันท่ี 1 นาเน้ือหาของหลักสูตรท่ีจะวิเคราะห์ มาแบ่งหมวดหมู่ ตามหัวข้อย่อย ๆ แลว้ เรียงลาดับเนอ้ื หาท่คี วรมาก่อนหลัง ปกตมิ ักเรยี งไปตามบททป่ี รากฏในคูม่ อื การสอน แต่ถา้ เห็นว่า ไมเ่ หมาะสมอาจนามาเรียงลาดับใหม่ได้ ขั้นที่ 2 วิเคราะห์พฤติกรรมที่เปน็ จดุ หมายปลายทางท่ีตอ้ งการให้เกิด ซ่ึงในแต่ละวิชาอาจ แตกตา่ งกันไปตามธรรมชาตขิ องแตล่ ะรายวชิ า พฤติกรรมดงั กล่าวนอี้ าจวิเคราะห์ มาจากจุดมุ่งหมาย ทั่วไปที่ระบุไว้ในหลักสูตร หรือจุดมุ่งหมายเฉพาะที่กลุ่มโรงเรียนหรือหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องร่วมกัน จดั ทาขน้ึ ขนั้ ท่ี 3 สรา้ งตารางวิเคราะห์หลกั สตู ร โดยให้แนวตงั้ เปน็ พฤตกิ รรมตา่ งๆ ส่วนแถวนอน เป็นเนือ้ หาวชิ าท่ีรวมกลุม่ ไวเ้ ป็นบท ๆ หรือเปน็ หมู่ ๆ ซงึ่ ต้องดาเนินการ 3 ขนั้ ตอน
1) การวิเคราะห์เน้ือหา เพ่ือกาหนดจานวนคาบเรียนหรือชั่วโมงเรียน ซ่ึงเป็นการ จาแนกเนื้อหาวิชาเป็นประเด็นย่อยแล้วรวมกลุ่มไว้เป็นบท ๆ จากนั้นทาการเทียบสัดส่วนเพื่อกาหนด จานวนชัว่ โมงหรือจานวนคาบเรียนในการดาเนนิ การสอนแต่ละบทจากสูตร จานวนคาบ/ช่วั โมงสอน = ผลรวมประเด็นย่อยในบทนั้น ๆ ผลรวมประเดน็ ย่อยในทุกบทตลอดภาคเรียน 2) การกาหนดจานวนข้อสอบในแตล่ ะบทเรียน คานวณได้จากสูตร จานวนขอ้ สอบในแต่ละบท = จานวนคาบ/ช่ัวโมงสอนแตล่ ะบท × จานวนขอ้ สอบทง้ั หมด จานวนคาบ/ชัว่ โมงสอนทัง้ ภาคเรยี น 3) กาหนดจานวนข้อสอบรายพฤตกิ รรมในแตล่ ะบท คานวณไดจ้ ากสูตร จานวนข้อสอบในแต่พฤติกรรม = ผลรวมความถีข่ องแตล่ ะระดับพฤตกิ รรม × จานวนข้อสอบแต่ละบท ผลรวมความถ่ขี องทกุ ระดบั พฤตกิ รรม 4) กาหนดจานวนร้อยละของข้อสอบในแต่ละพฤติกรรม คานวณได้จากสูตร รอ้ ยละของข้อสอบในแต่ละพฤตกิ รรม = จานวนขอ้ สอบในแตล่ ะพฤติกรรมในแต่ละบท × 100 จานวนข้อสอบในแต่ละบท โดยการวิเคราะห์หลักสูตรเพื่อวางแผนการออกแบบเคร่ืองมือในการวัดและประเมินผล การเรยี นรู้ของผู้เรยี น ดงั ตัวอยา่ งตามตารางท่ี 1-2
ตาราง 1 ตารางวเิ คราะหเ์ วลาเรียนวิชา หน้าท่ีพลเมอื ง ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี า หนว่ ย เนือ้ หา 1. ความหมายและลกั ษณะของผทู้ ี่มีความ เออื้ เฟื้อเผ่ือแผ่ 2. แนวทางฝึกปฏิบัติตนและประโยชนข์ องความ เอื้อเฟื้อเผ่อื แผ่ 1 3.พระบรมราโชวาทและตวั อย่างเก่ยี วกบั ความ ความเป็นไทย เอื้อเฟื้อเผือ่ แผ่ 4. ความหมายและลักษณะของผ้ทู ่ีมีความเสยี สละ 5. แนวทางฝึกปฏิบัติตนและประโยชน์ของความ เสียสละ 6.พระบรมราโชวาทและตวั อย่างเกีย่ วกบั ความ เสยี สละ
ความรูค้ วามจา ารศกึ ษา 2561 (จานวน 40 ชั่วโมง) ระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 4 42 ความเขา้ ใจ การนาไปใช้ พทุ ธพิ ิสยั การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินค่า การรบั รู้ การตอบสนอง การเกดิ ค่านยิ ม จติ พิสยั การจัดรวบรวม สรา้ งนสิ ยั ตามค่านิยม การเลยี นนแบบ กระทาตามแบบ ความถกู ต้องตามแบบ การกระทาอยา่ งตอ่ เน่อื ง การทาจนเคยชนิ ทกั ษะพิสัย จานวนชว่ั โมง 5
หน่วย เนอ้ื หา 1.เรยี นรู้ความเปน็ มาของธงชาติไทย 2. ยืนตรงเคารพธงชาติ และเพลงชาตไิ ทย 3. ร้องเพลงชาตแิ ละเพลงปลุกใจให้รักชาติ 2 4. มสี ว่ นรว่ มในวนั สาคัญของชาติ รักชาติ ยดึ มนั่ ใน 5. เข้ารว่ มกจิ กรรมประดับธงชาติ 6.ศกึ ษาหลักคาสอนของศาสนา ศาสนา และ 7.ปฏบิ ัติตนตามหลกั คาสอนของศาสนา เทิดทูนสถาบัน 8.เคารพและไม่ลบหลู่ดูหม่ินศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ 9.รว่ มหาแนวทางธารงรกั ษาศาสนา 10.เผยแผแ่ ละปกป้องคมุ้ ครองศาสนา
ความรูค้ วามจา พทุ ธิพิสัย ความเขา้ ใจ การนาไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินค่า การรบั รู้ การตอบสนอง การเกดิ ค่านยิ ม การจัดรวบรวม สรา้ งนสิ ยั ตามค่านิยม จิตพสิ ัย การเลยี นนแบบ กระทาตามแบบ ความถกู ต้องตามแบบ การกระทาอยา่ งตอ่ เน่อื ง การทาจนเคยชนิ จานวนชว่ั โมง ทกั ษะพิสยั 18
หนว่ ย เนอื้ หา 11.เขา้ รว่ มกจิ กรรมตา่ งๆทางศาสนา 12.มสี ว่ นร่วมในวนั สาคญั ทางศาสนา 13.เรียนรู้เกีย่ วกบั สถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ 14.เรียนรูพ้ ระราชกรณยี กิจ 15.ฝึกร้องเพลงพระราชนพิ นธ์ 16.เคารพพระบรมฉายาลักษณ์ 17.ปฏบิ ัตติ ามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 18.นอ้ มนาพระบรมราโชวาทสวู่ ิถีปฏิบัติ 19.ร่วมจดั กจิ กรรมแสดงความจงรกั ภักดี 20.มีสว่ นรว่ มในวนั สาคัญของกษัตริย์
ความรูค้ วามจา 44 ความเขา้ ใจ การนาไปใช้ พทุ ธพิ ิสยั การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินค่า การรบั รู้ การตอบสนอง การเกดิ ค่านยิ ม การจัดรวบรวม สรา้ งนสิ ยั ตามค่านิยม จติ พสิ ัย การเลยี นนแบบ กระทาตามแบบ ความถกู ต้องตามแบบ การกระทาอยา่ งตอ่ เน่อื ง การทาจนเคยชนิ จานวนชว่ั โมง ทกั ษะพสิ ยั
หนว่ ย เนอื้ หา 3 1. การมีระเบยี บวินยั พระบรม 2. ความสามคั คี ราโชวาทและ 3. ระเบิดจากขา้ งใน หลักการทรงงาน 4. ไม่ตดิ ตารา 5. บรกิ ารรวมท่ีจุดเดยี ว 4 6. ใช้อธรรมปราบอธรรม พลเมอื งดีใน 1. การเป็นผนู้ าและการเป็นสมาชกิ ท่ีดี 2. การใชส้ ทิ ธิและหนา้ ท่ี ระบอบ 3. การใชเ้ สรีภาพอย่างรับผดิ ชอบ ประชาธปิ ไตย 4. ความกล้าหาญทางจรยิ ธรรม
ความรูค้ วามจา พุทธิพสิ ัย ความเขา้ ใจ การนาไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินค่า การรบั รู้ การตอบสนอง การเกดิ ค่านยิ ม การจัดรวบรวม สรา้ งนสิ ยั ตามค่านิยม จติ พสิ ัย การเลยี นนแบบ กระทาตามแบบ ความถกู ต้องตามแบบ การกระทาอยา่ งตอ่ เน่อื ง การทาจนเคยชนิ จานวนชว่ั โมง ทกั ษะพสิ ัย 5 10
หน่วย เน้ือหา อนั มี 5. การเสนอแนวทางแกป้ ัญหาสังคมต่อสาธารณะ พระมหากษัตรยิ ์ 6.การตดิ ตามและประเมนิ ขา่ วสารทางการเมือง เป็นประมุข และการรเู้ ทา่ ทันส่ือ 7.การมีส่วนรว่ มในกจิ กรรมทางการเมือง 8.ใช้กระบวนการประชาธิปไตยในการวพิ ากษ์ นโยบายสาธารณะ 9.การมสี ่วนร่วมและการตัดสนิ ใจเลอื กตั้งอย่างมี วิจารณญาณ 10.การร้ทู นั ข่าวสารและการรู้ทนั สอ่ื 11.การคาดการณ์เหตุการณ์ล่วงหนา้ บนพ้นื ฐาน ของข้อมลู 5 1. การเจรจาไกล่เกล่ีย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213