Kalasin หลวงพ่อองค์ดำ หลวงพ่อองคด์ ำ วัดกลำง จังหวัดกำฬสนิ ธุ์
ประวตั ิ หลวงพ่อองคด์ ำ เริม่ แรกนัน้ ในรชั กำลที่ 1 กวำดต้อนประชำชนชำวผู้ไทมำจำกลำว ประเทศลำว มีบ่อคำแดงมำกบริเวณสะหวันนะเขต มีคณะทีอ่ พยพม่ำ จำกประเทศลำวไปอยูท่ เี่ มืองภูแล่นชำ้ ง ซึง่ ปัจจุบนั คอื ตำบลนำขำม อำเภอนำคู จงั หวัดกำฬสินธ์ุ และหนงึ่ ในคณะอพยพมญี ำคกู วิ ซึง่ เป็น พระเกจิอำจำรย์ ได้นำทองแดงและทองคำทีไ่ ดม้ ำจำกประเทศลำวเพื่อ ประกอบพิธหี ล่อองค์พระพุทธรูปเมือ่ พ.ศ. 2353 โดยมชี ่ำงจำกล้ำนนำ โบรำณทีเ่ ชยี่ วชำญมำช่วยในกำรหล่อ แต่วำ่ ทองแดงไมพ่ อจึงกลับไป เอำทองแดงอีกครงั้ เมือ่ หลอ่ องค์พระพุทธรูปเสรจ็ ปรำกฏวำ่ ทองแดง ทีใ่ ช้เป็นส่วนประกอบของพระพุทธรูปนัน้ ทำปฏิกิริยำกบั ออกซเิ จนใน อำกำศ ทำให้เกิดปฏิกิรยิ ำออกซ-ิ เดชนั่ เกดิ เป็นสนิมสีดำเกำะทั่ว พระพุทธรปู เมือ่ ขัดสนิมออกแล้วกจ็ ะเหน็ สขี องทองแดงแต่เมอื่ เวลำ ผ่ำนไปหนึง่ สัปดำหก์ ก็ ลบั มำเป็นสดี ำเช่นเดมิ ชำวบ้ำนจึงเรยี ก พระพุทธรูปนวี้ ำ่ หลวงพ่อองค์ดำ ต่อมำไดม้ กี ำรนำไปประดิษฐำนที่วัดนำขำม โดยมพี ุทธ ลกั ษณะเป็น ปำงมำรวชิ ยั ขดั สมำธิรำบ วัสดทุ องสัมฤทธิ์ ขนำดหน้ำ ตกั กวำ้ ง 41 เซนติเมตร ฐำนสงู 37 เซนตเิ มตร สงู จำกฐำนถึงยอด พระเมำลี 75 เซนตเิ มตร ทฐี่ ำนมีจำรึกอกั ษรลำวตัวธรรมสมัยหลวง พระบำง ควำมวำ่ 'สงั กรำช รำชำได้ฮ้อย ๗๒ ตัว ปีกด สะง้ำ เดือน ๒ ขึน้ ๑๕ ค่ำ วัน ๕ มอื้ ฮว่ งเหมำ่ นักขัตตะฤกษ์ อีกหนอ่ ยซือ่ วำ่ ปสุ สยะ สงั เฆ สะมะดี มเี จ้ำครูนำขำม(กิว) เป็นเคำ้ เป็นเจำ้ อธกศรัทธำ ทำยก อปุ สก อปุ ำสิกำ พ่ำพร้อม น้อมนำมำยงั ตมั พะโลหำเป็นเอกศรัทธำ สรำ้ ง พระพุทธรูปองค์นีไ้ วใ้ ห้ไดเ้ ป็นทีไ่ หวแ้ ละบชู ำแก่คนและเทวดำ ตำบ ตอ่ เท่ำ ๕๐๐๐ วสั สำ นพิ พำน ปัจจโย โหติ นจิ จงั ธวุ ัง ธวุ ัง'
ประวตั ิ หลวงพ่อองคด์ ำ เรมิ่ แรกนนั้ ในรชั กำลที่ 1 กวำดต้อนประชำชนชำวผู้ไทมำจำกลำว ประเทศลำวมบี ่อคำแดงมำกบรเิ วณสะหวนั นะเขต มีคณะทีอ่ พยพมำจำก ประเทศลำวไปอยทู่ เี่ มืองภแู ล่นชำ้ ง ซึง่ ปัจจบุ นั คอื ตำบลนำขำม อำเภอ นำคู จังหวัดกำฬสินธุ์ และหนึง่ ในคณะอพยพมญี ำคกู วิ ซงึ่ เป็นพระ เกจิอำจำรย์ ได้นำทองแดงและทองคำทไี่ ด้มำจำกประเทศลำวเพื่อ ประกอบพิธหี ลอ่ องคพ์ ระพุทธรูปเมอื่ พ.ศ. 2353 โดยมชี ่ำงจำกล้ำนนำ โบรำณทเี่ ชยี่ วชำญมำช่วยในกำรหล่อ แตว่ ่ำทองแดงไมพ่ อจึงกลบั ไป เอำทองแดงอีกครัง้ เมือ่ หลอ่ องค์พระพุทธรปู เสรจ็ ปรำกฏวำ่ ทองแดง ทีใ่ ชเ้ ป็นส่วนประกอบของพระพุทธรูปนัน้ ทำปฏิกิริยำกับออกซิเจนใน อำกำศ ทำใหเ้ กดิ ปฏกิ ริ ิยำออกซ-ิ เดชนั่ เกิดเป็นสนิมสดี ำเกำะทัว่ พระพุทธรปู เมือ่ ขดั สนมิ ออกแลว้ กจ็ ะเหน็ สีของทองแดงแต่เมอื่ เวลำ ผ่ำนไปหนงึ่ สัปดำหก์ ็กลับมำเป็นสีดำเช่นเดิม ชำวบำ้ นจึงเรยี ก พระพุทธรูปนวี้ ำ่ หลวงพ่อองค์ดำ ตอ่ มำได้มกี ำรนำไปประดิษฐำนที่วัดนำขำม โดยมพี ุทธ ลักษณะเป็น ปำงมำรวชิ ัย ขดั สมำธิรำบ วสั ดุทองสมั ฤทธิ์ ขนำดหน้ำ ตกั กว้ำง 41 เซนติเมตร ฐำนสูง 37 เซนติเมตร สูงจำกฐำนถงึ ยอด พระเมำลี 75 เซนติเมตร ทฐี่ ำนมีจำรึกอกั ษรลำวตัวธรรมสมัยหลวง พระบำง ควำมวำ่ 'สงั กรำช รำชำได้ฮ้อย ๗๒ ตัว ปีกด สะง้ำ เดือน ๒ ขึน้ ๑๕ ค่ำ วนั ๕ มอื้ ฮว่ งเหม่ำ นักขัตตะฤกษ์ อีกหน่อยซือ่ ว่ำ ปสุ สยะ สงั เฆ สะมะดี มีเจำ้ ครนู ำขำม(กิว) เป็นเคำ้ เป็นเจ้ำอธกศรัทธำ ทำยก อปุ สก อปุ ำสิกำ พ่ำพรอ้ ม น้อมนำมำยงั ตมั พะโลหำเป็นเอกศรทั ธำ สร้ำง พระพุทธรูปองคน์ ีไ้ วใ้ หไ้ ดเ้ ป็นทไี่ หวแ้ ละบชู ำแกค่ นและเทวดำ ตำบ ต่อเท่ำ ๕๐๐๐ วสั สำ นิพพำน ปัจจโย โหติ นิจจงั ธวุ งั ธวุ ัง'
วดั กลำงกำฬสนิ ธ์ุ (พระอำรำมหลวง) หลวงพ่อองค์ดํา - หลวงพ่อชุ่มเย็น 3 1.กิจกรรมค่ายวิทยาศาตร์ 2.กจิ กรรมคา่ ยคุณธรรม เดิมอย3่ทู .่ีโกบจิ สกถรว์ ัดรนมาคข่าายมคตณุาํ บธลนรราคมู อําเภอเขาวง ปัจจบุ ันเป็นอาํ เภอนาคู จปังีมหะเวมดั ยี ก4เา.ดกฬอื จิสนนิกธร๒์ุ รญขม้นึ าเปค๑ิูนด๕าบขา้ คานม่ําวหวริชันือาพญกฤาาหรคสั ูกบวิ ดรี จว่ ม.ศก. ับ๑๗อบุ๒าสตก่อมอาบุพารสะยิกาาชจนั ัดสสนุ รท้ารงขึ้นใน ไดอ้ ญั เ5ช.ญิกจิ มกาจรารกมบเา้ปนิดนบาขา้ านมวิชโดายกใาสรห่ ลังข้างมาประดิษฐานในฮวงเมืองหรือจวน ผ้วู ่าในปัจจบุ ัน ต่อมาจงึ ไดน้ ํามาประดษิ ฐานไว้ที่วหิ ารวัดกลาง (ปัจจบุ นั ไดส้ รา้ งหอหลวงพ่อองคด์ ํา)
Kalasin เมอื งฟำ้ แดดสงยำง เมืองฟำ้ แดดสงยำง กำฬสินธ์ุ
เมอื งฟำ้ แดดสงยำง 3 เมอื งฟา้ แดดสงยางหรอื ทีเ่ รียกเพ้ียนเป็น ฟา้ แดดสงู ยาง บางแหง่ เรยี กเมืองเสมาเนือ่ งจาก แผนผงั ของเมืองมรี ปู ร่างคล้ายใบเสมา เป็นเมอื งโบราณท่ีมีคนั ดินล้อมรอบ 2 ชั้น ความยาว ของคนั ดินโดยรอบประมาณ 5 กิโลเมตร คูน้ําจะอยู่ตรงกลางคนั ดนิ ท้งั สอง จากหลกั ฐาน โบราณคดที คี่ น้ พบทําใหท้ ราบว่ามกี ารอยอู่ าศัยภายในเมอื งมาตง้ั แต่สมยั ก่อนประวตั ศิ าสตร์ และไดเ้ จรญิ รงุ่ เรืองมากขึ้นในสมัยทวารวดีราวพุ ทธศตวรรษที่ 13-15 ดังหลักฐานทาง พระพุ ทธศาสนาทีป่ รากฏโดยทว่ั ไปท้งั ภายในและนอกเมือง เช่น ใบเสมาหินทราย จําหลกั ภาพชาดกและพุ ทธประวตั ิจาํ นวนมาก บางส่วนเกบ็ ไว้ทว่ี ดั โพธช์ิ ัยเสมารามซงึ่ อยู่ ไมไ่ กลจากบริเวณเมืองฟา้ แดดสงยาง
พิพิธภณั ฑ์เมอื งฟำ้ แดด จ.กาฬสนิ ธ์ุ เมอื งโบราณที่พบใบเสมาจํานวนมากท่สี ดุ ในประเทศไทย พิพิธภณั ฑสถานแหง่ ชาตขิ อนแก่น ท่ีนเ่ี ล่าความเป็นมาของแผน่ ดิน อสี านท้งั หมดต้งั แต่ยคุ หิน ทวารวดี ลพบุรี ลา้ นช้าง ยนั รตั นโกสนิ ทร์เลยทเี ดยี ว
โปงลำงเลิศล้ำ โปงลาง มีลักษณะวิธีการบรรเลงคล้าย กับระนาดเอก คือนาท่อนไม้ หรอื กระบอกไม้มา ร้อยติดกันเป็นผืน และใช้ไม้ตีเป็นทานองเพลง แขวนตี กับเสาบ้าง ขึงบนรางบ้าง หรือบางทีก็ ผูกติดกับตัวผู้บรรเลง เครื่องดนตรีชนิดน้ีพบ ทวั่ ไปในหลายประเทศ สาหรับในประเทศไทยพบ ในแถบภาคอสี าน และเรียกเคร่ืองดนตรนี ี้หลาย ชื่อด้วยกัน เช่นเรียกว่า หมากกลิ้งกล่อม หมาก ขอลอ หรือหมากโปงลาง เป็นต้น ที่ได้ชื่อว่า หมากขอลอ เพราะเวลาเคาะแต่ละลูกมีเสียงดัง กังวานคล้าย ขอลอ (หมายถึง เกราะ ในภาษา อสี าน) ส่วนคาว่า โปงลาง น้ัน เดิมเป็นคาที่ใช้เรียก กระดึงสาริด ที่ใช้แขวนคอวัวในสมัยโบราณที่ เรียกกระดึงน้ีว่าโปงลางคงเรียกตามเสียงที่ได้ ยิน ต่อมามีผู้นาชื่อน้ีไปต้ังเป็นชื่อ ลายแคน (การบรรเลงแคน) ที่เป่าเลียนเสียงโปงลางท่ีผูก คอวัวเรียกว่า ลายโปงลาง และท่ีเรียกว่าหมาก กล้ิงกล่อมก็เพราะเป็นเครื่องดนตรีที่มีเสียง ไพเราะ สามารถกล่อมให้ผู้ฟังมีความเคลิบเคลิ้ม เพลิดเพลิน
โปงลำงเลิศล้ำ โปงลาง นยิ มทาจากไมม้ ะหาด หรอื ไมห้ มาก เหล้อื ม เพราะเป็ นไมท้ มี่ คี วามอยตู่ วั มากกวา่ ไม้อนื่ ๆ มะหาดมีหลายสายพนั ธ์แุ ตม่ ะหาดนยิ มสดุ คอื มะหาดหนิ กบั มะหาดทอง มะหาดหดิ เน้ือออกสดี ามะหาดทอง สี ออกเหลอื ง หรอื น้าตาล วธิ กี ารทาเอาไมม้ าถากเหลาให้ ไดข้ นาดลดหล่นั กนั ตามเสียง ทตี่ อ้ งการในระบบ 5 เสียง โปงลาง 1 ชดุ จะมีจานวนประมาณ 12 ลกู ใชเ้ ชอื กรอ้ ย รวมกนั เป็ นผนื เวลาตตี อ้ งนาปลายเชือกดา้ นหนึง่ ไปผกู แขวนไวก้ บั เสาในลกั ษณะหอ้ ยลงมา สว่ นปลายเชือก ดา้ นลา่ งจะผกู ไวก้ บั ขา หรอื เอวของผตู้ ี วธิ กี ารเทียบเสียง โปงลาง ทาโดยการเหลาไมใ้ หไ้ ดข้ นาด และเสยี งตาม ตอ้ งการ ยงิ่ เหลาใหไ้ มเ้ ล็กลงเทา่ ใดเสยี งก็จะยงิ่ สูงขนึ้ ซงึ่ แตกตา่ งจากระนาดในปจั จุบนั ทมี่ เี จ็ดเสียง และมกี ารปรบั แตง่ เทยี บเสียงดว้ ยการ ใช้ ตะก่วั ผสมขผ้ี งึ้ ถว่ งใตผ้ นื ระนาด เพอื่ ใหไ้ ดร้ ะดบั เสียง และคณุ ภาพเสยี งทตี่ อ้ งการ การบรรเลงหมากกลงิ้ กล่อม หรอื โปงลาง นิยมใชผ้ บู้ รรเลงสองคนตอ่ เครือ่ งดนตรีหนง่ึ ชน้ิ แตล่ ะคนใชไ้ มต้ ี ๒ อนั การเรยี กชอื่ เพลงทีบ่ รรเลง ดว้ ยโปงลางมกั จะเรยี กตามลกั ษณะและลีลาของเพลงโดย การสงั เกตจากสภาพของธรรมชาตทิ อี่ ยรู่ อบ ๆ ตวั เช่น เพลง \"ลายนกไซบนิ ขา้ มทงุ่ “ หรอื เพลง \"ลายกาเตน้ กอ้ น\" เป็ นตน้
โปงลำงเลศิ ล้ำ โปงลำงนนั้ นอกจำกจะใชบ้ รรเลงตำมลำพังแลว้ ยงั นยิ มใชบ้ รรเลงเป็นวงร่วมกบั เครือ่ งดนตรอี นื่ ๆ เชน่ พิณ แคน กลอง เพื่อกำรฟงั และใชบ้ รรเลง ประกอบกำรฟอ้ นพื้น บ้ำนอีสำนได้เป็นอยำ่ งดี ต่อมำ ภำยหลัง อำจำรย์เปลือ้ ง ฉำยรัศมี ซงึ่ เป็นศิลปิน แหง่ ชำติ ได้ประยกุ ตว์ งโปงลำงขนึ้ ใหม่ โดยนำกระดึง ผกู คอวัวทีเ่ ป็นโลหะมำแขวนเรียงแทนลกู โปงลำงเดมิ ทีท่ ำด้วยไม้ ทำใหเ้ กิดมิตขิ องเสยี งทแี่ ตกตำ่ งจำกกำร บรรเลงโปงลำงแบบเดมิ นบั เป็นต้นแบบของ กำร พัฒนำโปงลำงในระยะต่อมำ เช่น กำรทำลูกโปงลำง ดว้ ยแผ่นทองเหลอื งขนำดต่ำง ๆ รวมถึงกำรนำเอำ ไมไ้ ผ่มำเหลำใหม้ ขี นำดลดหลนั่ กนั ทำให้ไดเ้ สยี งทที่ มุ้ และนุ่มนวลขนึ้
โปงลำงเลิศล้ำ ครูเปล้ือง ฉายรศั มี ศลิ ปิ นแหง่ ชาติ ประวตั ิ นายเปลอื้ ง ฉายรศั มี เกดิ วนั ที่ ๒๕ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๗๕ ตาบลมว่ งนา อาเภอเมอื ง จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ เป็ นบตุ รของนายคง นางนาง ฉายรศั มี จบการศกึ ษาชน้ั ประถมศกึ ษาปี ที่ ๔ จากโรงเรยี นบา้ นนา ตาบลมว่ ง นา อาเภอเมอื ง จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ สมรสครง้ั สดุ ทา้ ยกบั นางยุพนิ ฉาย รศั มี เมอื่ ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ มบี ตุ รชาย ๒ คน บตุ รธดิ า ๑ คน ปจั จุบนั อยู่ บา้ นเลขที่ ๑๕๗ หมู่ ๑๓ ตาบลเหนือบา้ นโพนทอง อาเภอเมอื ง จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ ผลงาน/เกียรตปิ ระวตั ิ นายเปลื้อง ฉายรศั มี เป็ นนกั ดนตรีอสี านทมี่ คี วามสามารถเป็ นพเิ ศษ คอื สามารถเลน่ สอนและทาเครือ่ งดนตรีอสี านไดท้ กุ ชนิดทสี่ าคญั ทสี่ ดุ คอื นายเปล้อื ง ฉายรศั มี เป็ นผทู้ ไี่ ดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ ปรบั ปรงุ และพฒั นา โปงลางมาตลอดระยะเวลา ๔๐ ปี จนทาให้ กอลอ (เกราะลอ) ซงึ่ แต่ เดมิ เป็ นเพียงกระบอกไมท้ ใี่ ชต้ ไี ลน่ กกาตามหวั ไรป่ ลายนา หรอื ขอลอ ทใี่ ชต้ บี อกเวลา บอกเหตใุ นหมูบ่ า้ นธรรมดากลายมาเป็ นเครอื่ งดนตรี ธรรมชาตทิ ที่ รงไวซ้ งึ่ คณุ คา่ แหง่ ความบรสิ ทุ ธแิ์ ละงดงาม ทง้ั ยงั นา ความภาคภมู ใิ จและหวงแหนมาสชู่ าวเมอื งกาฬสนิ ธ์ดุ ว้ ย \"โปงลาง\" ไดก้ ลายเป็ นสญั ลกั ษณ์ของจงั หวดั กาฬสนิ ธ์ใุ น ลกั ษณะของมรดกทางวฒั นธรรมอนั ลา้ คา่ ดว้ ยเหตนุ ี้นายเปลอ้ื ง ฉายรศั มี จงึ ไดร้ บั ยกยอ่ ง เชดิ ชูเกยี รตเิ ป็ น ศลิ ปิ นแหง่ ชาติ สาขาศลิ ปะการแสดง (ดนตรีพน้ื บา้ น) ประจาปี พ.ศ. ๒๕๒๙
Kalasin วัฒนธรรมผไู้ ท วัฒนธรรมผไู้ ท กำฬสนิ ธุ์
วัฒนธรรมผ้ไู ท วฒั นธรรมภูไท ความเป็ นมาของเผา่ ภูไท ชาวภูไท เป็ นกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุที่ใหญ่ทีส่ ุดรองลงมาจากกลุ่มไทลาว ส่วน ใหญ่อาศยั อยู่ในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ โดยมีแม่น้าโขงแยกกลุ่มน้ีออก จากภูไทในภาคเหนือของลาว และญวน กลุ่มภูไทกลุ่มใหญ่ทีส่ ุดอาจจะอยู่ แถบลมุ่ น้าโขง และแถบเทือกเขาภูพาน เช่น จงั หวดั นครพนม ได้แก่อาเภอคาชะอี ธาตุพนม เรณูนคร นาแก จงั หวดั สกลนคร ไดแ้ ก่ อาเภอวารชิ ภูมิ จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ ไดแ้ ก่ อาเภอกุฉิ นารายณ์ เขาวง สหสั ขนั ธ์ ส่วนภูไทผเู้ ขา้ สูภ่ าคกลางในจงั หวดั ราชบุรี และ เพชรบรุ ี ในยา่ นนน้ั เรยี กวา่ ‘ลาวโซง่ ’ เผ่าภูไท เป็ นคนเผ่าไทยกลุ่มหนึ่งที่มีอยู่ในแคว้นสิบสองจุไทย และ อาณาจกั รล้านช้าง การเคลือ่ นยา้ ยของชาวภูไท เขา้ สู่ภาคอีสานมีหลายครง้ั และมาจากทีต่ า่ งๆ จงึ ทาใหก้ ลุม่ ภูไททีเ่ ขา้ มาอยูใ่ นจงั หวดั สกลนคร เรียกชื่อ ตวั เองตามแหลง่ เมืองเดมิ ของตนเช่น ผไู้ ทวงั คอื ผไู้ ททีอ่ พยพมาจากเวงวงั มาตง้ั บา้ นเรือนอยแู่ ถบอาเภอพรรณานิคม ผู้ไทกระป๋ อง คือภูไทที่อพยพมาจากเมืองกะปอง มาตง้ั บ้านเรือนในเขต อาเภอวาริชภูมิ ผู้ไทกะตาก คือผู้ไทที่อพมาจากเมืองกะตาก มาต้งั บา้ นเรือนอยแู่ ถบตาบลโนนหอม และแถบรมิ หนองหาร ทางทศิ ใต้ ชาวภูไทมีลกั ษณะความเป็ นอยู่แบบครอบครวั ใหญ่ในบ้านเดียวกนั เป็ น กลุ่มคนทางานทีม่ ีความขยนั ขนั แข็ง มธั ยสั ถ์ ทางานไดห้ ลายอาชีพเช่น ทา นา ทาไร่ คา้ ววั คา้ ควาย นากองเกวียนบรรทุกสนิ คา้ ไปขายตา่ งถิ่นเรียกวา่ ‘นายฮอ้ ย’ เผา่ ภูไทเป็ นกลุม่ ทีพ่ ฒั นาไดเ้ ร็วกวา่ เผา่ อืน่ มีความรูค้ วามเขา้ ใจ และมีความเข้มแข็งในการปกครอง มีหน้าตาที่สวย ผิวพรรณดี กริยา มารยาทแช่มช้อย มีอธั ยาศยั ไมตรีในการต้อนรบั แขกแปลกถ่ินจนเป็ นที่ กลา่ วขวญั ถงึ
วฒั นธรรมผู้ไท ชาวผไู้ ท เป็ นชนกลมุ่ น้อยกลมุ่ หนึ่ง ทีอ่ าศยั อยใู่ นภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศไทย แตเ่ ดมิ นน้ั ชาวผไู้ ทตง้ั บา้ นเรอื นอยู่ แถบสบิ สองจุไทย คอื บรเิ วณลาวตอนเหนือ บางสว่ นของเวียตนามเหนือ และทางตอนใตข้ องจนี มศี นู ย์กลางอยทู่ เี่ มืองไล เมอื งแถง เรียกวา่ ผไู้ ทดา ชาวผไุ้ ทสามารถแบง่ ออกเป็ น 2 กลมุ่ ใหญๆ่ ถงึ แมจ้ ะมผี แู้ บง่ เป็ นกลมุ่ ผไู้ ท แดงและผไู้ ทลาย แตก่ ็ไมม่ ปี ระวตั ชิ ดั เจน (ทวศี ลิ ป์ สืบวฒั นะ. 2526 : 2) ชาวผไู้ ทยทอี่ พยพเขา้ มาอยใู่ นประเทศไทยนน้ั สว่ นใหญม่ าจากเมอื งวงั และ เมืองตะโปน ซง่ึ อยทู่ างทศิ ตะวนั ออกของเมืองสวนั เขต ประเทศสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาวในปจั จุบนั และแยกยา้ ยกนั ตง้ั หลกั แหลง่ อยู่ บรเิ วณเทอื กเขาภพู านในเขต 3 จงั หวดั คอื ชาวผไู้ ทจงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ อาศยั อยใู่ นเขตอาเภอเขาวง อาเภอ กฉุ ินารายณ์ อาเภอสหสั ขนั ธ์ุ อาเภอคามว่ ง ชาวผไู้ ทจงั หวดั สกลนคร อยใู่ นอาเภอพรรณานิคม อาเภอวารชิ ภมู ิ ชาวผไู้ ทจงั หวดั นครพนม อยใู่ นอาเภอเรณูนคร อาเภอคาชะอี อาเภอหนอง สงู ตอ่ มาชาวผไู้ ทในทอ้ งถนิ่ อืน่ ไดม้ าเห็นจงึ ไดน้ าไปประยุกต์ท่าฟ้ อนให้ สวยงาม และมกี ารแตง่ เน้ือรอ้ งประกอบการฟ้ อนขนึ้ การฟ้ อนผไู้ ท
ฟ้ อนภไู ท จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ ฟ้ อนผไู้ ทจงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ มีลกั ษณะการแตง่ กายแตกตา่ ง จากฟ้ อนผไู้ ทในถน่ิ อืน่ จะสวมเสอื้ สีดาขลบิ ดว้ ยผา้ ขดิ หม่ ผา้ แพรวา นุ่งผา้ ถุงมดั หมีม่ ี เชงิ ลลี าการฟ้ อนไดร้ บั การผสมผสานจาก ทา่ ฟ้ อนผไู้ ท และเซง้ิ บง้ั ไฟ ทา่ ฟ้ อนจะเรมิ่ จากทา่ ฟ้ อนไหวค้ รู ทา่ เดนิ ทา่ ชอ่ มว่ ง ทา่ มโนราห์ ทา่ ดอกบวั บาน ทา่ มยุรี ทา่ มาลยั แกว้ โดยใชผ้ หู้ ญงิ ฟ้ อนลว้ นๆ ฟ้ อนผไู้ ทของ กาฬสนิ ธ์ุจะมีการขบั ลาประกอบเรยี กวา่ “ลาภไู ท” ฟ้ อนผไู้ ท 3 เผา่ เป็ นการ ประยุกตก์ ารฟ้ อนผไู้ ทของทง้ั 3 ถน่ิ ใหเ้ ห็น ถงึ ลีลาการฟ้ อนทีม่ ลี กั ษณะเฉพาะของแตล่ ะ ถน่ิ ซง่ึ การฟ้ อนผไู้ ท 3 เผา่ จะแสดงใหเ้ ห็น ถงึ ลกั ษณะรว่ มกนั ของชาวผไู้ ททง้ั 3 เผา่ ฟ้ อนผไู้ ท 3 เผา่ จะเรมิ่ จากฟ้ อนผไู้ ท กาฬสนิ ธ์ุ ผไู้ ทสกลนครและผไู้ ทเรณูนคร ในการฟ้ อนผไู้ ท 3 เผา่ น้ีจะเพมิ่ ผชู้ ายฟ้ อน ประกอบทง้ั 3 เผา่ มกี ารโชว์ลีลาของรามวยโบราณตอ่ สู้ ระหวา่ งเผา่ และ หรือการเก้ียวพาราสกี นั ระหวา่ งชายหญงิ
ลักษณะ บ้ำนเรอื นของชำวภไู ท ท่ีอยอู่ าศัย สภาพบ้านเรือนของชาวผูไ้ ทยในอดีตสมัย 40 ปี มาแล้วเป็นเรอื น ทรงมนิลา คือ มีหลังคาทรงเหลยี่ มยอดแหลมด้งั สูง ใตช้ านสงู ประมาณ 2 เมตร มฝี าล้อมรอบ มีประตหู นา้ บ้านเข้า 2 ประตู มีหน้าตา่ งแห่งเดยี วเลก็ ๆ พอเอาศรี ษะลอดเข้าออกได้ ภาษาผ้ไู ทยเรยี กวา่ \"ประตูบอง\" ถา้ เป็นบา้ นของ ผมู้ ีฐานะหนอ่ ยหน้าตา่ งจะสูงเท่าประตู ตรงหนา้ ตา่ งจะมี \"เสาปากชา้ ง\" หรอื \"เสาคาช้าง\" ค้ําทอดบา้ นตรงหนา้ ตา่ ง ภาษาภไู ทเรียก \"หอนทอด\" จะตีติดเครา่ เสาคางชา้ ง หรือ ปากช้างจะปาดเป็นบ่าค้ําทอดไว้ จะเป็นเสาใหญ่กว่าเสาบ้าน ทกุ ตน้ เป็นเสาโชวพ์ ิเศษสลกั เสาลวดลาย ปลายเสาจะปาดเป็นรูปกลบี บัว หรอื กาบพรหมศร
Kalasin ผำ้ ไหมแพรวำ ผำ้ ไหมแพรวำ ภูมิปัญญำ ทอ้ งถิน่ ของชำวกำฬสินธุ์
ผำ้ ไหมแพรวำ ผา้ ไหมแพรวา ผา้ แพรวา นบั เป็ นผา้ ไทยอีกรูปแบบหน่ึงทไี่ ดร้ บั ความนิยมสงู ในหมูผ่ นู้ ิยมผา้ ไทย ทง้ั ทีอ่ ยูใ่ นประเทศและตา่ งประเทศ ทีบ่ า้ น โพน อาเภอคาม่วง จงั หวดั กาฬสินธ์ุ เป็ นพื้นที่ที่มีการทอผ้าไหมแพรวาที่ งดงาม และมชี ือ่ เสยี งระดบั ประเทศ ประวตั ิ แพรวา หรือผา้ ไหมแพรวา เป็ นผา้ ทอมืออนั เป็ นเอกลกั ษณ์ของชาวผู้ ไทยหรือภูไท การทอผา้ แพรวามีมาพรอ้ มกบั วฒั นธรรมของชาวภูไท ซึ่ง เป็ นชนกลุ่มหน่ึงที่มีถ่ินกาเนิดในบริเวณแควน้ สิบสองจุไทย (ดนิ แดนสว่ น เหนื อของลาวและเวียดนาม ติดกบั ดินแดนภาคใต้ของจีน ) อพยพ เคลือ่ นยา้ ยผา่ นเวียดนาม ลาว แลว้ ขา้ มฝ่งั แม่น้าโขง เขา้ มาตง้ั หลกั แหลง่ อยู่ แถบเทือกเขาภูพาน ทางภาคอีสานของไทย ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในจงั หวดั กาฬสินธ์ุ นครพนม มุกดาหาร สกลนคร โดยยงั คงรกั ษาวฒั นธรรม ประเพณี ความเชื่อ การแต่งกาย และการทอผา้ ไหม ทีม่ ีภูมิปัญญาในการ ทอดว้ ยการเก็บลายจากการเก็บขดิ และการจกทีม่ ีลวดลายโดดเดน่ นบั เป็ น ภมู ปิ ญั ญาทไี่ ดร้ บั การถา่ ยทอดมาจากบรรพบรุ ุษและพฒั นามาอยา่ งตอ่ เนื่อง ผ้าแพรวาจึงเหมือนเป็ นสญั ลกั ษณ์ของกลุ่มชนที่สืบเชื้อสายมาจาก กลุม่ ผูไ้ ท โดยผูห้ ญงิ จะถูกฝึ กทอผา้ มาตง้ั แตอ่ ายุ 9 – 15 ปี ชาวผูไ้ ทยทีท่ อ ผ้าแพรวาส่วนใหญ่จะอยู่ที่บ้านโพน อาเภอคาม่วง จงั หวดั กาฬสิ นธ์ุ ประกอบกบั การเลือกใช้เส้นไหมน้อยหรือไหมยอดที่มีความเลื่อมมัน ผ้า ไหมแพรวาจึงถือวา่ เป็ นของลา้ คา่ และมีความสมั พนั ธ์กบั วถิ ีชีวิตของชาวผู้ ไทยอยา่ งแทจ้ รงิ ดงั คาขวญั จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ทุ วี่ า่ “หลวงพอ่ องคด์ าลือ เลือ่ ง เมืองฟ้ าแดดสงยาง โปงลางเลศิ ล้า วฒั นธรรมผูไ้ ทย ผา้ ไหม แพรวา ผาเสวยภพู าน มหาธารลาปาว ไดโนเสาร์สตั ว์ โลกลา้ นปี ”
ผำ้ ไหมแพรวำ ลวดลายและกรรมวธิ กี ารทอ นับเป็นผ้ำมรดกของครอบครัว โดยในแต่ละครัวเรือนจะมีผ้ำแซ่ว ซึ่ง เ ป็ น ผ้ ำ ไ ห ม ส่ ว น ใ ห ญ่ ท อ พื้ น สี ข ำ ว ข น ำ ด ป ร ะ ม ำ ณ 2 5 x30 เซนติเมตร มีลวดลำยต่ำงๆ เป็นต้นแบบ ลำยดั้งเดิมแต่โบรำณ ซึ่ง ทอไว้บนผืนผ้ำที่สืบต่อมำจำกบรรพบุรุษ บนผ้ำแซ่วผืนหนึ่งๆ อำจมี ลวดลำยมำกถึงประมำณกว่ำ 100 ลำย กำรทอผ้ำจะดูลวดลำยจำก ต้นแบบในผำ้ แซว่ โดยจะจดั วำงลำยใดตรงส่วนไหน หรอื ให้สใี ด นอยกู่ ับควำมต้องกำร ของผูท้ อเกดิ เป็นเอกลักษณข์ อง ผำ้ แพรวำจำกกำรวำงองคป์ ระกอบ ของลวดลำยต้นแบบ และกำรให้สีสัน ของผูท้ อลวดลำยของแพรวำ มลี กั ษณะคล้ำยคลงึ กับลำยขิด อีสำน แตกต่ำงกนั บำ้ งทีค่ วำมหลำก หลำยของสสี ันในแตล่ ะลวดลำย แต่มีลักษณะรวมกันคือ ลำยหลักมักเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนซึ่ง เป็นโครงสรำ้ งพื้นฐำนของลำยผ้ำ ส่วนสีสันบนผ้ำแพรวำแต่เดิมนิยม พื้นสีแดงคล้ำ ย้อมด้วยครั่งมีลำยจกสีเหลือง สีน้ำเงิน สีขำว และสี เขยี วเขม้ กระจำยทงั้ ผืนผำ้ สอดสลับในแต่ ละลำย แตล่ ะแถวลวดลำยที่ ปรำกฏบนผำ้ ทอแพรวำ ทีถ่ อื วำ่ เป็นเอกลักษณข์ องผำ้ ประเภทนี้ จะประกอบดว้ ยตวั ลำย ทงั้ หมด 3 สว่ น ดังนี้
ผำ้ ไหมแพรวำ ลวดลายและกรรมวธิ ีการทอ (ตอ่ ) 1) ลายหลกั คือลายที่มีขนาดใหญ่ ซ่ึงปรากฏอยู่ในพ้ืนที่ส่วนใหญ่ของลายผ้าใน แนวนอนลายหลกั แตล่ ะลายมีความ กว้างของลายสม่าเสมอกนั คอื กวา้ งประมาณ แถวละ 8 – 12 เซนตเิ มตร ในแพรวาผืนหน่ึงๆ จะมีลายหลกั ประมาณ 13 แถว ลายหลักต่างๆ เช่น ลายนาค ลายสี่แขน ลายพันธ์ุมหา ลายดอกสา ฯลฯ สว่ นประกอบสาคญั ของลายหลกั คอื ลายนอก ลายใน และลายเครือ ลายนอก คือ ส่วนที่มีลกั ษณะเป็ นตารางสามเหลี่ยมประกอบ 2 ข้างของลายใน มีลวดลาย ครงึ่ หนึ่งของลายใน ตลอดความกวา้ งของผนื ผา้ ลายใน คือสว่ นทีอ่ ยูต่ รงกลางของ แถวหลกั มีลวดลายเต็มรูปอยู่ในกรอบสี่เหลีย่ มขนม เปี ยกปูน ตลอดความกว้าง ของผืนผา้ เช่นกนั ลายเครือ คือสว่ นทีอ่ ยูใ่ นกรอบแถวบนของกรอบสีเ่ หลีย่ มขนม เปี ยกปูน ในแตล่ ะแนวมี กง่ึ กลางของลายหลกั เป็ นสว่ นยอดของลายเครือ 2) ลายค่นั หรือลายแถบ คือลายที่มีขนาดเล็กอยู่ในแนวขวางผืนผา้ ความกว้าง ของลายประมาณ 4 – 6 เซนตเิ มตร ทาหน้าทีเ่ ป็ นตวั แบง่ ลายใหญ่ออกเป็ นช่วง สลบั กนั ไป เชน่ ลายตาไกล่ ายงลู อย ลายขาเข ฯลฯ 3) ลายช่อปลายเชิง หรือลายเชิงผา้ คอื ลายทีป่ รากฏอยูต่ รงช่วงปลายของผ้าทง้ั 2 ข้าง ทอติดกบั ลายค่นั ทาหน้าที่เป็ นตวั เริ่มและตวั จบของลายผ้า มีความกว้าง ประมาณ 4 – 10 เซนตเิ มตร เชน่ ลายชอ่ ขนั หมาก ลายดอกบวั น้อย ฯลฯ
จุดเดน่ และควำมเป็น เอกลักษณ์ ของผำ้ แพรวำ กำฬสนิ ธ์ุ คอื ลวดลำยสสี ัน และควำมมีระเบยี บ ควำมเรยี บ ควำมเงำงำมของผืนผำ้ ใน ผ้ำแพรวำผนื หนงึ่ จะมอี ยู่ประมำณ 10 หรือ 12 ลำย ใชเ้ สน้ ไหมในกำรทอตงั้ แต่ 2-9 สี สอดสลับในแต่ละลำยแตล่ ะแถว ลวดลำยทปี่ รำกฏจะประณีตเรียบเนียน เป็นเนอื้ เดยี วกนั ตลอดทัง้ ผนื ผ้ำลกั ษณะ ของ ลำยผำ้ ของแพรวำทที่ อในปัจจุบนั แบง่ เป็น 3 ประเภทใหญๆ่ ได้แก่ ผ้ำแพร วำลำยลว่ ง ผ้ำแพรวำลำยจก และผำ้ แพรวำลำยเกำะผำ้ แพรวำลำยลว่ ง หมำยถึง ผ้ำแพรวำทีม่ ลี วดลำยเรยี บ งำ่ ย มี 2 สี สีหนงึ่ เป็นสพี ื้น อกี สีหนึง่ เป็นลวดลำยผำ้ แพรวำลำยจก หมำยถึง ผำ้ แพรวำลำยล่วง ทีม่ กี ำรเพิ่มควำม พิเศษโดยกำรจกเพิ่มดอกเขำ้ ไปในลำย ล่วงบนผืนผำ้ เพื่อแตม้ สีสนั ให้สวยงำม ยิง่ ขนึ้ แตส่ จี ะไมห่ ลำกหลำยสดใสเหมอื น แพรวำลำยเกำะผำ้ แพรวำลำยเกำะ หมำยถึงผำ้ แพรวำทีม่ ีลวดลำยและสสี นั หลำยสเี กำะเกยี่ วพันกนั ไป ลวดลำยทีใ่ ช้ ทอแพรวำลำยเกำะ สว่ นใหญ่เป็นลำย ดอกใหญ่ ซงึ่ เป็นลำยหลักของกำรทอผ้ำ แพรวำ อำจจะทอไม่ให้ซ้ำลำยกนั เลยใน แต่ละแนวก็ไดก้ ำรนำไปใชป้ ระโยชน์ แต่ โบรำณนยิ มเพื่อนำไปใช้เป็นผ้ำห่มตวั โดยหม่ เฉยี งบ่ำหรอื ห่มเคียนนอก ฯลฯ และใช้ปูสำหรบั กรำบพระ นยิ มใชค้ ู่กบั แพรมนซึง่ มขี นำดเลก็ กวำ่ ทำเป็นรปู สีเ่ หลยี่ มจตั ุรสั มชี ำยครุยทงั้ 2 ด้ำน ใช้ สำหรับคลมุ ศีรษะหรอื เป็นผ้ำเช็ดหน้ำ ปัจจบุ ันมีกำรทอเป็นผำ้ ผนื หนำ้ กวำ้ ง สำหรับตัดเป็นเสอื้ ผำ้ สวมใส่
Kalasin ผำเสวย ผำเสวย จังหวัดกำฬสินธุ์
ประวตั ิ ผำเสวย เป็นหนำ้ ผำบรเิ วณเทือกเขำ ภพู ำนอยูใ่ นเขตอำเภอสมเด็จ จังหวัดกำฬสนิ ุ์ อันเป็นรอยต่อ ระหวำ่ งจงั หวดั กำฬสนิ ธ์ุ และจงั หวดั สกลนครเป็นเทือกเขำทีเ่ ต็มไป ดว้ ยธรรมชำติ เชน่ แมกไม้ น้ำตก และหนำ้ ผำ เป็นหน้ำผำที่ สงู ชัน ตัง้ อยูใ่ กล้ ถนนหมำยเลข 213 สำยสกลนคร - กำฬสินธ์ุ ต่อมำใน พ.ศ. 2498 พระบำมสมเด็จพระเจ้ำอยหู่ ัวภมู ิพลอดุลยเดช และสมเดจ็ พระนำงเจำ้ สริ กิ ิต์พระบรมรำชนิ ีนำถ ไดเ้ สดจ็ เยยี่ มเยือน รำษฎรในภำคตะวันออกเฉียงเหนอื เมอื่ เสด็จถงึ อำเภอสมเด็จ จังหวดั กำฬสินธ์ุ บริเวณเทอื กเขำภูพำนได้หยุดพักทรงพระเกษม สำรำญท่ำมกลำงธรรมชำตอิ นั งดงำมของหุบเขำ และเสดจ็ ประทับ เสวยพระกระยำหำรกลำงวัน ณ หน้ำผำแหง่ นี้ ปัจจุบันผำเสวยไดก้ ลำยมำเป็นจดุ พักผอ่ นรมิ ทำงบนเทอื กเขำ ภูพำน ทนั ทที มี่ ำถึงทนี่ ี่ ผมู้ ำเยือนจะได้พบกบั รปู ป้ ันไดโนเสำร์ ขนำดใหญ่ 2 ตวั ตัวหนงึ่ เป็นพวกกินพืช อกี ตวั หนึง่ เป็นพวกกิน สัตว์ ซึง่ ทัง้ สองตัวตงั้ โดดเดน่ อยู่บริเวณดำ้ นหน้ำ ยวั่ ยวนให้ใคร หลำยๆ คน เขำ้ ไปถ่ำยภำพคู่เป็นทีร่ ะลกึ สำหรบั บรรยำกำศ โดยทวั่ ไปนนั้ ร่มรื่นด้วยต้นไม้ มลี มพัดเย็นสบำยตลอดเวลำ จึง เหมำะแก่กำรเดนิ ยดื เสน้ ยดื สำย และหำกตอ้ งกำรชมววิ ไปด้วย กข็ อ แนะนำใหเ้ ดนิ ไปยงั ดำ้ นหลังซงึ่ เป็นหน้ำผำ เนอื่ งจำกเป็นจดุ ที่ สำมำรถมองเหน็ ภมู ิทศั น์ด้ำนทิศตะวนั ตกของเทอื กเขำภพู ำนได้ อย่ำงชัดเจน นอกจำกนัน้ ในบริเวณผำเสวยยังมีร้ำนขำยอำหำร และ มีศำลำพักรอ้ นตัง้ อยูห่ ลำยหลงั ซงึ่ นกั ท่องเทยี่ วสำมำรถเข้ำไป พักผ่อน รวมถงึ ซือ้ อำหำรเข้ำไปกินใหอ้ ิม่ ทอ้ งก่อนออกเดนิ ทำง ต่อไปได้ด้วย
จดุ ชมววิ ทะเลหมอก ผาเสวย ถ.สกลนคร-กาฬสินธ์ุ ต.ผาเสวย อ.สมเดจ็ จ.กาฬสินธ์ุ 46150 เกียรตบิ ตั ร ดา้ นกีฬา
ทะเลหมอกผำเสวย ภูพำนสมเดจ็ ทมี่ ำ : werachon9 จดุ ชมวิว \"ทะเลหมอกผำเสวย\" ต.ผำเสวย อ.สมเดจ็ จ.กำฬสินธ์ุ กำฬสนิ ธ์ุ จดุ ชมวิว \"ผำเสวยภพู ำน\" | 10-10-60 | ตะลอนขำ่ วเชำ้ นี้ ทม่ี ำ : Thairath สมั ผสั บรรยำกำศทเี่ ริม่ หนำวเย็น ทำ่ มกลำง ขนุ เขำและธรรมชำตทิ ีส่ วยงำม บนผำเสวย เทือกเขำภพู ำน จังหวัดกำฬสนิ ธุ์ กำฬสินธุ์ เร่ิมหนำวเยน็ ชวนนกั ท่อง เท่ียวสัมผสั ไอหมอกท่ี ผำเสวย ภูพำน ทม่ี ำ : Thairath “ผำเสวย” ต.ผำเสวย อ.สมเด็จ ตัง้ อยรู่ มิ ถนน สำยสมเด็จ-สกลนคร บนเทือกเขำภพู ำน รอย ต่อระหว่ำง จ.กำฬสนิ ธ์ุ-จ.สกลนคร ข้ำมเทอื ก เขำภพู ำน พบวำ่ เป็นจุดชมวิวทีม่ คี วำมสวยงำม
Kalasin มหำธำรลำปำว มหำธำรลำปำว กำฬสนิ ธุ์
มหำธำรลำปำว เขือ่ นลาปาว เขื่อนลำปำว เป็นเขื่อนดินขนำด ใหญ่และแหล่งชื่อท่องเที่ยวของกำฬสินธ์ุ ตั้งอยู่ในอำเภอสหัสขันธ์, อำเภอคำม่วง, อำเภอยำงตลำด จังหวัดกำฬสินธุ์ อยู่ห่ำงจำก จังหวัดกำฬสินธุ์ประมำณ 36 กิโลเมตร เริ่มก่อสร้ำงเมื่อ พ.ศ. 2506 สร้ำงเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2511 เพื่อปิดกัน้ ลำน้ำปำวและห้วยยำงที่ บ้ำนหนองสองห้อง ตำบลลำปำว อำเภอเมืองกำฬสินธุ์ ทำให้เกิด อำ่ งเกบ็ น้ำแฝดทำงดำ้ นเหนือเขอื่ น จึงได้ขุดร่องเชือ่ มระหว่ำงอ่ำงทัง้ สองสรำ้ งขนึ้ เพื่อบรรเทำอุทกภยั และเพื่อกำรเกษตรโดยเฉพำะ ปจั จุบนั เขื่อนลำปำวเป็นแหล่งเพำะพันธุ์ปลำ มี สถำนที่พักผ่อนหย่อนใจ โดยมีหำดดอกเกด อยู่ริมฝ่ ังเขื่อนลำปำว ทำ ง ด้ำ น ทิศ ต ะวั น ออ ก ข อ งเ รื อ นรั บ รอ ง โค ร งก ำ รส่ ง น้ ำ แ ล ะ บำรุงรักษำลำปำว เป็นหำดเนินดินลดหลั่นลงจรดถึงเขื่อน มีบริเวณ กว้ำงขวำงพอสมควร ได้รับกำร ปรับปรุงให้เป็น ที่พักผ่อนโดยจัด ศำลำพักร้อนซมุ้ ดอกเหด็ เหตุทีไ่ ดช้ ือ่ วำ่ \"หำดดอกเกด\" ก็เพรำะมีต้น\" กำระเกด\" ซึ่งเป็นไม้พื้นเมือง ปลูกปะปนกับต้นไม้อื่นเป็นกลุ่มๆ เมื่อ เวลำออกดอกจะส่งกลิ่นหอม หำดดอกเกด เปรียบเสมือนสวรรค์ ชำยหำดของคนอสี ำน ช่วงวันหยุดจะมีผู้คนทัง้ มำแบบครอบครัว มำ เดี่ยว มำเป็นกลุ่ม มำเป็นคู่ มุ่งหน้ำสู่หำดดอกเกด เพื่อใช้เวลำกับ ครอบครัว กับเพื่อนกับ คนรักในช่วงวันหยุดพักผ่อน ในช่วงเวลำ เย็นเป็นช่วงเวลำที่เหมำะสำหรับจะมำเดินเล่นพักผ่อนชมวิว ริมสัน เขือ่ นรับลมเย็น ซึ่งบริเวณ นี้มีร้ำนอำหำร 1 ร้ำน และกระท่อมเล็กๆ ริมเขื่อนสำหรับนั่งรับประทำนอำหำรเครื่องดื่มเย็นๆ พร้อมชม ทศั นียภำพทสี่ วยงำมรมิ เขอื่ น
มหำธำรลำปำว ลกั ษณะท่วั ไป เขอื่ นลำปำวเป็นเขอื่ นดิน สูงจำกท้องน้ำ 33 เมตร สันเขื่อนยำว 7.8 เมตร กว้ำง 8 เมตร สำมำรถกักเก็บน้ำได้ 1,980 ล้ำนลูกบำศก์เมตร ส่วน ประตูระบำยน้ำ เป็ นแบบเปิ ด ไม่มีประตูปิ ดกั้นให้น้ำใหล ตลอดเวลำ (ใหลเฉพำะช่วงฤดูฝน) ปัจจุบัน เขือ่ นลำปำวเป็น แหล่งเพำะพันธุ์ปลำ มีสถำนที่พักผ่อนหย่อนใจ ได้แก่ หำด ดอกเกด ซงึ่ เปรียบเสมอื นเป็นสวรรค์ชำยหำดของคนอีสำน
จดุ ชมวิวและท่องเท่ยี ว เข่ือนลําปาว เกยี รตบิ ตั ร ด้านกีฬา
จดุ ชมวิวและท่องเท่ยี ว หาดดอกเกด เกยี รตบิ ัตร ดา้ นกีฬา
จดุ ชมวิวและท่องเท่ยี ว หาดดอกเกด เกยี รตบิ ัตร ดา้ นกีฬา
จดุ ชมวิวและท่องเที่ยว สะพานเทพสุดา เกียรตบิ ัตร ดา้ นกีฬา
จดุ ชมวิวและท่องเที่ยว สะพานเทพสุดา เกียรตบิ ัตร ดา้ นกีฬา
Kalasin ไดโนเสำร์สตั ว์โลกล้ำนปี ไดโนเสำร์ สัตว์โลกล้ำนปีกำฬสินธุ์
ทอ่ งเท่ยี วชมพิพิธภัณฑส์ ริ นิ ธร เกียรติบัตร ด้านกีฬา
ทอ่ งเที่ยววนอุทยำนภูน้ำจนั้ เกียรติบตั ร ดา้ นกฬี า
ทอ่ งเที่ยวซำกไดโนเสำรภ์ นู อ้ ย เกียรติบัตร ดา้ นกีฬา
ทอ่ งเที่ยวชมรอยเท้ำไดโนเสำร์ ภแู ฝก เกียรตบิ ตั ร ด้านกฬี า
ทอ่ งเที่ยวชมรอยเท้ำไดโนเสำร์ ภแู ฝก เกียรตบิ ตั ร ด้านกฬี า
Search
Read the Text Version
- 1 - 42
Pages: