สีและการผสมแสงสี ผู้สอน อาจารยส์ ุกาญจนา อ้นบางใบ
สีและการผสมแสงสี สเี ป็นสงิ่ ทีแ่ สดงความสัมพนั ธ์ระหางการตอบสนองของคนเรากับพบชีวิตประจาวันของ เรา เราจะเห็นวตั ถุมีสีตา่ ง ๆ กัน สขี องวัตถมุ ผี ลตอ่ จิตใจมนษุ ย์ ทาใหเ้ กิดอารมณ์และ ความรสู้ กึ ต่าง ๆ กันพลังงาน สแี ดงจะกระต้นุ ให้เกิดการตอบสนองอยา่ งรุนแรง สเี ขียวทาให้รู้สกึ สงบ สดี าทาให้เกิดความเศร้า หดหู่ การที่วตั ถตุ า่ ง ๆ จะมีสอี ย่างไรขนึ ้ อยกู่ บั คณุ สมบตั ิสองประการคือ สว่ นประกอบของเนือ้ สารท่ีประกอบกนั เป็นวตั ถนุ นั้ ๆ และแสงสที ่ีมาตกกระทบ
วตั ถุท่ยี อมให้แสงผ่านได้เป็ น 3 แบบ 1. วตั ถโุ ปร่งใส (Transparent Object) หมายถงึ วัตถทุ ยี่ อมให้แสงผ่านไป ไดเ้ กือบหมดอย่างเปน็ ระเบยี บ และเราสามารถมองผา่ นวตั ถนุ ไี้ ปเห็นตน้ กา้ เนิดแสงอกี ด้านหนึ่งไดอ้ ยา่ งชดั เจน เชน่ กระจกใส น้า เปน็ ต้น 2. วัตถโุ ปรง่ แสง (Translucent Object) หมายถึง วตั ถุทยี่ อมให้แสง ผ่านไปได้อยา่ งไม่เปน็ ระเบียบโดยเราไมส่ ามารถมองผา่ นวตั ถุไปเหน็ ตน้ กา้ เนิดแสงไดช้ ัดเจน เชน่ กระจกฝา้ น้าขนุ่ เปน็ ต้น 3. วตั ถทุ ึบแสง (Opaque Object) หมายถึง วตั ถทุ ่ีแสงผา่ นไปไมไ่ ดเ้ ลย แสงจะ ถูกดูดกลืนหรือสะท้อนกลบั หมด และเราไมส่ ามารถมองผ่านวตั ถุชนิดนไ้ี ปยงั อีก ดา้ นหน่งึ ได้ เช่น แผน่ โลหะ กระจกเงา แผน่ ไม้ เป็นต้น
แสงขาว แสงทีเ่ ราเห็นในธรรมชาติทกุ ๆวนั เป็นแสงอาทติ ย์และแสงจากหลอดไฟ เป็น แสง ขาว (white light) โดยแสงขาวท่ีประกอบด้วยแสงสตี ่างๆได้แก่ ม่วง คราม น้าเงิน เขยี ว เหลือง แสด แดง เมื่อผา่ นแสงเข้าไปในตวั กลาง ที่ยอมใหแ้ สงผา่ นได้
แสงขาว ปรากฎการณก์ ารเกดิ สเปกตรมั ของแสงขาว เชน่ ถา้ เราเอาปริซมึ ไปวางให้แสงสอ่ งผ่าน เม่อื แสงเดนิ ทางผา่ นตัวกลางท่มี ีดชั นีหักเห แตกต่างกันความยาวคล่ืนท่ีตา่ งกนั จะหักเห ด้วยมุมทไ่ี ม่เทา่ กัน เราจงึ มองเหน็ สแี สงขาว แยกสเปกตรัมเป็นสีต่างๆได้เมอ่ื น้าฉากไป รบั ปรากฎการณ์ธรรมชาติอกี อยา่ งหนงึ่ ไดแ้ ก่ การเกิดรุ้ง ซงึ่ เกดิ จากการที่แสงเดนิ ทางผ่าน หยดไอน้าในอากาศท้าให้เกดิ การหักเหของ แสง เกดิ เป็นสเปกตรมั ของแสงขาวข้นึ น่ันเอง
สเปกตรัมของแสงขาว (colors of visible light) คลน่ื แสงทต่ี าของมนษุ ยส์ ามารถมองเห็นได้อยู่ในชว่ งประมาณ 400-800 nm ถ้านยั น์ตาถกู กระตนุ้ ดว้ ยแสงตลอดทั้งชว่ งความยาวคลน่ื (400-800 nm) ผลกค็ อื จะมองเหน็ แสงน้ันเป็นแสงขาว แตถ่ ้าคล่นื แสงถกู ดดู กลนื แสงไปบางส่วน แสงที่ ตามองเหน็ จะเป็นสผี สม (complementary) หรือสที ่อี ย่ตู รงข้ามของสีท่ีถกู ดูดกลนื เมือ่ เทียบตามวงลอ้ สี
ดดู กลนื กบั สขี องสารที่มองเหน็
การผสมสารสี การท่ีเราเหน็ วตั ถเุ ป็นสีตา่ ง ๆ เป็นเพราะวตั ถนุ นั้ มีสารสดี ดู กลืนแสงสบี างแสงสีไว้แล้ว สะท้อนบางแสงสีออกมาทาให้เราเห็นวตั ถตุ ามสที ่ีสะท้อนออกมา การผสมสารนีเ้รา อาจทดลองทาได้โดยใช้สีที่เราใช้ระบายในวชิ าวาดเขียนมาทดลองผสมดใู นถาดผสมสี สารสที ี่ไมอ่ าจสร้างขนึ ้ จากการผสมสารสีอื่น ๆ เรียกวา่ สปี ฐมภมู ิ มี 3 สีคือ สเี หลือง สแี ดงมว่ ง และสนี า้ เงินเขียว สารสีเหลืองจะไมด่ ดู กลืนแสงสีเหลอื ง แต่จะ ดดู กลนื แสงสอี ืน่ แลว้ สะท้อนแสงสเี หลอื งออกมา สารสแี ดงมว่ งก็จะไมด่ ดู กลืนแสงสีในชว่ งสแี ดง สารสีนา้ เงินเขียวก็จะไมด่ ดู กลนื แถบสีนา้ เงิน
การผสมสารสี สปี ฐมภูมผิ สมกนั ดว้ ยปรมิ าณทีเ่ ทา่ ๆ กัน เราเรยี กสารสีที่ไมส่ ะทอ้ น แสงนีว้ า่ สารสดี า้ สารสีปฐมภมู ิเหล่านีส้ ามารถจะผสม กัน ทาใหเ้ กดิ สารสไี ดห้ ลายสี ยกเว้นทาให้เกดิ สารสีขาว เพราะสารสีขาวสะท้อนสีทกุ สหี รอื ไม่ ดดู กลืนแสงสีเลยยอ่ มเปน็ คณสมบัติ เฉพาะตวั ของสารชนิดน้ัน
การผสมสารสี การผสมสารสีปฐมภูมทิ ลี ะคูเ่ รียกวา่ การผสมสแี บบลบ (Colour Substraction) เพราะเปน็ การ ดูดกลืนแสงสจี ะได้สารสีทุตยิ ภมู ิ คอื สารสีน้าเงนิ สารสเี ขยี ว และสารสี แดงออกมา
การผสมแสงสี แสงสีปฐมภูมิ ประกอบด้วย แสงสแี ดง แสงสเี ขียว และแสงสนี า้ เงิน การทดลองผสม แสงสกี ระทาไดโ้ ดยการฉายแสงสีปฐมภมู ไิ ปบนฉากสขี าว
การผสมแสงสี แสงสีปฐมภมู ปิ ริมาณเทา่ กนั รวมกนั เป็นแสงสีขาว เราสามารถจะผสมแสงสีเป็นสีต่าง ๆ มากมายยกเว้นแสงสีดา เพราะแสงสดี า คือไมม่ แี สงสีเลยย่อมไมใ่ ชแ่ สงสี เมอื่ นา แสงสปี ฐมภูมผิ สมกันทลี ะคู่ เราเรยี กว่า เป็นการผสมสแี บบบวก (addition of colored light) จะไดแ้ สงสีทตุ ยิ ภมู ิ ออกมาคอื แสงสเี หลือง แดงม่วงและน้า เงินเขียว
การผสมแสงสี สีทุตยิ ภมู ิ เกดิ จากการนาแม่สีมาผสมกนั ทีละคู่ โดยอี ตั ราสว่ นท่เี ท่ากนั จะทาให้เกิดสี ขน้ึ มาอกี 3สี คือ สีส้ม สเี ขยี ว สีม่วง สแี ดง ผสมกับสเี หลือง ได้สี สม้ สีแดง ผสมกบั สนี ้าเงิน ไดส้ มี ่วง สเี หลอื ง ผสมกบั สีน้าเงิน ไดส้ เี ขียว
การมองเหน็ สีของวัตถุ
การมองเหน็ สีของวัตถุ ในวัตถุทุกชนิดจะมตี ัวสที ที่ าหนา้ ทีด่ ูดกลืนแสงสี และสะทอ้ นแสงสที ี่ไมถ่ กู ดดู กลนื เขา้ สู่ ตาเรา หลกั การผสมแสงสี 1. แสงสีเหลอื งได้จากการผสมแสงสีเขียวกบั แสงสแี ดง ดงั นนั้ วตั ถทุ ่ีมีสีเหลือง นอกจากจะ สะท้อนแสงสเี หลืองแล้ว ยงั สะท้อนแสงสเี ขียว และแสงสีแดง แตจ่ ะดดู กลืนแสงสอี ่ืนไว้
การมองเหน็ สีของวัตถุ ในวตั ถทุ ุกชนิดจะมตี ัวสีท่ที าหนา้ ทด่ี ูดกลืนแสงสี และสะทอ้ นแสงสีท่ีไมถ่ ูกดดู กลนื เข้าสู่ ตาเรา หลกั การผสมแสงสี 2. แสงสมี ว่ งแดงได้จากการผสมแสงสแี ดง กับแสงสีน้าเงนิ ดังนน้ั วตั ถทุ ่มี สี ีมว่ งแดง นอกจากจะสะท้อนแสงสีม่วงแดงแลว้ ยงั สะท้อนแสงสแี ดงและแสงสนี ้าเงนิ แต่จะ ดูดกลนื แสงสีอ่ืนไว้
การมองเหน็ สีของวัตถุ ในวัตถุทกุ ชนดิ จะมีตัวสีทท่ี าหน้าท่ดี ูดกลนื แสงสี และสะทอ้ นแสงสที ่ไี มถ่ ูกดูดกลนื เขา้ สู่ ตาเรา หลกั การผสมแสงสี 3. แสงสีเขียวนา้ เงินได้จากการผสมแสง สเี ขียวกบั แสงสนี า้ เงิน ดงั นนั้ วตั ถทุ ี่มีสี เขียวนา้ เงิน นอกจากจะสะท้อนแสงสี เขียวนา้ เงินแล้ว ยงั สะท้อนแสงสีเขียว และแสงสนี า้ เงิน แตจ่ ะดดู กลืนแสงสีอื่น ไว้
สีเตมิ เตม็ สเี ติมเตม็ ของแสงสี คือแสงสีสองแสงสที ผี่ สมกนั แล้วเหน็ เปน็ แสงขาว เชน่ แสงสเี หลืองเป็นสีเตมิ เต็มของแสงสีน้าเงนิ แสงสนี า้ เงินเปน็ สีเตมิ เตม็ ของ แสงสีเหลือง แสงสีแดงมว่ งเป็นสเี ติมเตม็ ของแสงสเี ขียว เปน็ ตน้ ตวั อยา่ ง นกั เรียนคนหนึง่ สวมหมวกสีเขียว สวมเสอ้ื สีขาว ผูกผา้ พนั คอสีมว่ ง กระโปรงสีน้า เงิน รองเท้าสดี า เข้าไปในหอ้ งที่มีไฟสีเหลอื ง จะ ทาให้สเี ปลย่ี นแปลงอยา่ งไร
สีเตมิ เตม็ ตอบ 1. ไฟสีเหลืองประกอบไปด้วยแสงสีเขยี วและ แสงสแี ดง 2. หมวกสีเขียว จะดดู กลืนแสงสีแดงสะทอ้ นสี เขียว ยงั คงเปน็ สีเขยี ว 3. เส้อื สขี าว จะสะทอ้ นทกุ สี ทาใหเ้ ราเห็นเป็นสี เหลือง 4. ผา้ พันคอสีมว่ ง ดูดกลืนแสงสีเขยี วสะท้อน แสงสแี ดง ทาใหเ้ ปน็ สแี ดง 5. กระโปรงสนี ้าเงนิ ดูดกลืนสีเขยี วและแดง ทา ให้เหน็ เป็นสีดา 6. รองเทา้ สีดา ดดู กลนื ทกุ แสงสที าใหย้ ังคงเปน็ สีดา
การนาความรู้เก่ยี วกบั การมองเหน็ สีของวตั ถุไปใช้ประโยชน์ การถ่ายรูป การถา่ ยรูปเป็นการบนั ทกึ รูปโดยใช้กล้องถ่ายรูปซง่ึ ใช้หลกั การหกั เหของแสงผา่ นเข้า สเู่ ลนส์ของกล้อง และให้แสงกระทบเข้ากบั ฟิล์มไวแสงที่เป็นฉากรับภาพ ฟิล์มที่ ได้รับแสงแล้วจะถกู นาออกจากกล้องในที่มืดและนาไปสร้างภาพด้วยนา้ ยาและอดั ออกมาเป็ นภาพถาวร 1. ฟิลม์ สผี ันกลับ (reversal film) คือ ฟิลม์ ทไ่ี ดร้ ูปบนฟิลม์ เปน็ สีเหมอื นกับรูปจรงิ ใชด้ ูดว้ ยเครื่องฉายหรอื กลอ้ งส่อง เช่น สไลด์และแผน่ โปร่งใส 2. ฟลิ ม์ เนกาทฟี (negative film) คือ ฟลิ ม์ ท่ีไดร้ ูปบนฟลิ ม์ เปน็ ลกั ษณะมดื หรือสวา่ ง บริเวณทถี่ กู แสงมากสจี ะเขม้ ส่วนบริเวณที่ถกู แสงนอ้ ยสจี ะสว่างขึ้น เมือ่ นาฟิล์มชนิดนี้ไปอดั เป็นรูปด้วยน้ายาแลว้ จึงจะได้สีทเี่ หมอื นจริงออกมา
การนาความรู้เก่ยี วกบั การมองเหน็ สีของวตั ถุไปใช้ประโยชน์ การถ่ายรูป การถา่ ยรูปเป็นการบนั ทกึ รูปโดยใช้กล้องถ่ายรูปซง่ึ ใช้หลกั การหกั เหของแสงผา่ นเข้า สเู่ ลนส์ของกล้อง และให้แสงกระทบเข้ากบั ฟิล์มไวแสงที่เป็นฉากรับภาพ ฟิล์มที่ ได้รับแสงแล้วจะถกู นาออกจากกล้องในที่มืดและนาไปสร้างภาพด้วยนา้ ยาและอดั ออกมาเป็ นภาพถาวร 1. ฟิลม์ สผี ันกลับ (reversal film) คือ ฟิลม์ ทไ่ี ดร้ ูปบนฟิลม์ เปน็ สีเหมอื นกับรูปจรงิ ใชด้ ูดว้ ยเครื่องฉายหรอื กลอ้ งส่อง เช่น สไลด์และแผน่ โปร่งใส 2. ฟลิ ม์ เนกาทฟี (negative film) คือ ฟลิ ม์ ท่ีไดร้ ูปบนฟลิ ม์ เปน็ ลกั ษณะมดื หรือสวา่ ง บริเวณทถี่ กู แสงมากสจี ะเขม้ ส่วนบริเวณที่ถกู แสงนอ้ ยสจี ะสว่างขึ้น เมือ่ นาฟิล์มชนิดนี้ไปอดั เป็นรูปด้วยน้ายาแลว้ จึงจะได้สีทเี่ หมอื นจริงออกมา
การแสดง แสงมีประโยชน์ตอ่ การแสดงในโรงละครหรือการแสดงในเวลากลางคืนเป็นอยา่ ง มาก การฉายแสงไปบนเวทีทาให้ผ้ชู มเหน็ เหตกุ ารณ์บนฉากได้อยา่ งชดั เจน สวยงาม มี ความรู้สกึ สอดคล้องกบั เหตกุ ารณ์ท่ีปรากฏ หรือเม่ือต้องการเน้นท่ีตวั ละครใดเป็นหลกั ก็ สามารถฉายแสงไปทีผ่ ้แู สดงเฉพาะบคุ คล
การแสดงการเชิดหนงั ตะลงุ
The End
ข้อท่ี 1 สิทธิพงษ์ ข้อที่ 2 สิทธิพงษ์
Search
Read the Text Version
- 1 - 25
Pages: