ย่ า น เ ก่ า ใ น เ มื อ ง ใ ห ญ่ ชุ ม ช น ต ล า ด น้ อ ย ถิ่ น ฐ า น ข อ ง ช า ว จี น ใ ก ล้ แ ม่ น้ำ เ จ้ า พ ร ะ ย า กรุงเทพมหานคร
ที่มา : https://meunlan.com/travel-th-noimarket/ \" ต ล า ด น้อ ย \" เ ป็น ชุม ช น จีน ดั้งเ ดิม ที่บ อ ก เ ล่า เ รื่อ ง ร า ว วัฒน ธ ร ร ม จีน ต ล อ ด 3 0 0 ปีที่ผ่า น ม า ชุม ช น ต ลา ด น้อ ย ใ น ก รุง เ ท พ ม ห า น ค ร ย่า น นี้ถือ เ ป็น ย่า น ชุม ช น เ ก่า แ ก่ \" ตลา ด น้อ ย \" ห รือ \"ต ะ ลัก เ กี้ย ะ \" โ ด ย ตั้ง อ ยู่ริม แ ม่น้ำ เ จ้า พ ร ะ ย า ฝั่ ง ต ะ วัน อ อ กมีอ า ณา เ ขต ตั้ง แต่ป า ก ค ลอ ง วัด ป ทุม ค ง ค า เ รื่อ ย ล ง ม า จ น ถึง ป า ก ค ลอ ง ผ ดุงก รุงเ ก ษม ด้า น ใ ต้และ มีถ น น เ จ ริญ ก รุง เ ป็นเ ส้น ท า ง สัญ จ ร ห ลัก ผ่า น กล า ง ย่า น ด้ว ย ทำ เ ลที่ติด ต่อ กัน กับ ผ่า น สำ เ พ็ งแ ละ เ ย า ว ร า ช พ ร้อ ม ทั้งมีเ ส้น ท า งค ม น า ค ม ขน ส่ง ทั้ง ท า ง น้ำ แ ละ ท า ง บ ก ที่สะ ด ว ก ส บ า ย ย่า น ต ล า ดน้อ ย จึงก ลา ย เ ป็น แห ล่ง ที่อ ยู่อ า ศัย ขน า ด ใ ห ญ่แ ละ เ ป็น แ ห ล่ง เ ศ ร ษ ฐ กิจ ก า ร ค้า ที่สำ คัญ แ ห่ง ห นึ่ง ขอ ง ชา ว จีน ใน ก รุง เ ท พ ฯ ชุม ช น ต ล า ด น้อ ย เ ป็น ช าว จีน ห ล า ย เ ชื้อ ส า ย ที่อ พ ย พ ม า ตั้ง ถิ่น ฐ า น ป ระ ก อ บอ า ชีพ ต า ม แ ต่ที่ต น เ อ ง ถ นัด มีอ า ค า ร ที่ป ลูก เ ป็น เ รือ น แ ถ ว สลับ ค รึ่ง ตึก ค รึ่ง ไม้ บ า ง ตึก ก็เ ป็น อ า คา ร ปูน ทั้งห ลังแ ต่ยัง มีส ภ า พ ค ว า ม แ ข็ ง แร ง ขอ ง โ คร ง ส ร้า ง ใ น อ ดีต ใ ห้เ ห็น แ ม้ว่า บ า งห ลัง จ ะ รื้อ ถ อ น แล้ว สร้า ง ให ม่ดูทัน ส มัย ขึ้น แ ต่ยัง ดูก ล ม ก ลืน กับ ส ภ า พแ ว ดล้อม ไ ด้อ ย่า ง ลง ตัว
ปัจจัยทางกายภาพ ชุมชนตลาดน้อยเป็นแหล่งชุมชนใกล้แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นพื้นที่รับลม ย่านตลาดน้อย เป็นชุมชนจีนที่เกิดขึ้นมาจากการขยายตัวของสำเพ็งซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ของกรุงเทพฯในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยที่บรรดาชาวจีนต่างพากันเรียกตลาด แห่งใหม่ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของสำเพ็งซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ในขณะนั้นว่า “ตะลัคเกียะ” ซึ่งแปลเป็นไทยว่า “ตลาดน้อย” ด้วยทำเลที่ติดต่อกันกับย่านสำเพ็งและเยาวราช พร้อมทั้งมีเส้นทางคมนาคมขนส่งทั้งทางน้ำและทางบกที่สะดวกสบาย ย่านตลาดน้อย จึงกลายเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่และเป็นแหล่งเศรษฐกิจการค้าที่สำคัญแห่ง หนึ่งของชาวจีนในกรุงเทพฯ พัฒนาการของกลุ่มชาวจีนย่านตลาดน้อยเริ่มต้นขึ้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาภาย หลังการสถาปนา กรุงเทพฯ ขึ้นเป็นเมืองหลวง และค่อยๆ เติบโตขึ้นมาท่ามกลาง ความแตกต่างของกลุ่มคนหลากเชื้อหลายชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่รวมกันในย่านแห่งนี้ ที่มา : https://news.thaipbs.or.th/gallery/274
ปัจจัยทางสังคม ชุม ช น ต ล า ด น้อ ย มีก ลุ่ม ช า ติพัน ธุ์แ ร ก ที่ตั้ง ถิ่น ฐ า น ที่นี่เ ป็น ช า ว โ ป ร ตุเ ก ส จ า ก อ ยุธ ย า พ ว ก เ ข า ส ร้า ง โ บ ส ถ์โ ป ร ตุเ ก ส ใ น พ . ศ . 2 3 2 9 คือ โ บ ส ถ์ก า ล ห ว า ห รือ เ ป็น ที่รู้จัก กัน ว่าวัด แ ม่พ ร ะ ลูก ป ร ะ คำ น อ ก จ า ก นี้ยัง มีก ลุ่ม ช า ว ไ ท ย ก ลุ่ม ช า ว ญ ว น ก ลุ่ม ช า ว ม า เ ล ย์ แ ล ะ ก ลุ่ม ช า ว ฝ รั่ง เ ศ ส ที่มา : https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=538 ต่อมาก็มีการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวจีน มีกลุ่มชาวจีน ฮกเกี้ยน กลุ่มชาวจีนฮากกา กลุ่มชาวจีนแต้จิ๋ว กลุ่มชาวจีนไหหลำ และกลุ่มชาวจีนกวางตุ้ง ซึ่งเห็นได้จากจำนวน ศาลเจ้าทั้งของชาว จีนแต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน ไหหลำ และฮากกา ซึ่งศาลเจ้าที่มีบทบาท สำคัญ ที่ สุ ด ใ น ต ล า ด น้ อ ย คื อ ศ า ล เ จ้ า โ จ ว ซื อ ก ง ที่มา : https://c1.staticflickr.com/1/677/33278465662_39dc0a2cfd_o.jpg ต ล า ด น้อ ย เ ริ่ม จ า ก พ ร ะ อ ภัย ว า นิช ( จ า ค ) พ่ อ ค้า ช า ว จีน ฮ ก เ กี้ย น ที่มี ฐ า น ะ มั่ง คั่ง แ ล ะ เ ป็น ขุ น น า ง อ ยู่ใ น ก ร ม ท่า ซึ่ง ต่อ ม า ไ ด้รับ พ ร ะ ร า ช ท า น ที่ดิน ริม ฝั่ ง แ ม่น้ำ เ จ้า พ ร ะ ย า บ ริเ ว ณ ต ล า ด น้อ ย จ า ก พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็จ พ ร ะ พุ ท ธ เ ลิศ ห ล้า น ภ า ลัย แ ล ะ ไ ด้ส ร้า ง ส ถ า ปัต ย ก ร ร ม แ บ บ จีน ขึ้น ห มู่ห นึ่ง ชื่อ ว่า ‘ บ้า น โ ซ ว เ ฮ ง ไ ถ่’ ที่มา : https://readthecloud.co/wp-content/uploads/2018/03/DSC_6349.jpg เ ปิด ท่า เ รือ เ พื่อ ทำ ก า ร ค้า ‘ ต ล า ด น้อ ย ’ ย่า น เ ก่า ใ น เ มือ ง ใ ห ญ่ ชื่อ ‘ ท่า เ รือ โ ป เ ส็ง’ ใ ช้สำ ห รับ เ ป็น ท่า ขึ้น ล ง สิน ค้า ป ร ะ เ ภ ท ย า ส มุน ไ พ ร ที่นำ ม า จ า ก ภ า ค ใ ต้ทำ ใ ห้ต ล า ด น้อ ย ก ล า ย เ ป็น แ ห ล่ง ง า น ข น า ด ใ ห ญ่ข อ ง แ ร ง ง า น ช า ว จีน ห ลัง จ า ก ส น ธิสัญ ญ า เ บ า ริ่ง ร ะ บ บ เ ศ ร ษ ฐ กิจ เ ป็น ก า ร ค้า เ ส รีม า ก ขึ้น มี เ รือ ก ล ไ ฟ ที่ขับ เ ค ลื่อ น ด้ว ย ไ อ น้ำ จ า ก ต ะ วัน ต ก เ ข้า ม า ค้า ข า ย กับ ก รุง เ ท พ ฯ ม า ก ขึ้น ทำ ใ ห้ท่า เ รือ โ ป เ ส็ง ไ ม่ส า ม า ร ถ แ ข่ ง ขัน ท า ง ก า ร ค้า ไ ด้จึง ต้อ ง ปิด ตัว ล ง มีการขุ ด “คลองผดุงกรุงเกษม” และการตัด “ถนน เจริญกรุง” เพื่อเป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งสินค้า ชุ ม ช น จี น ใ น ย่ า น ต ล า ด น้ อ ย จึ ง ข ย า ย ตั ว จ า ก บ ริ เ ว ณ ริ ม แ ม่ น้ำ เ จ้ า พ ร ะ ย า ม า ยั ง พื้ น ที่ ต อ น ใ น ม า ก ขึ้ น ที่มา : https://static.estopolis.com/article/596889d215f020142cc712b4_5968956015f020142cc712d4.jpg ที่มา : https://www.bot.or.th/Thai/BOTMagazine/Pages/256402GoGreen.aspx การขุ ดคลองผดุงกรุงเกษมและสนธิสัญญาบาวริงได้นำพาให้เศรษฐกิจการค้าของกรุงเทพฯ เติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว รัฐบาลจึงมีการควบคุมดูแลการเดินเรือและการขนส่งทางน้ำ จึงมี การตรากฎหมายท้องน้ำขึ้นมา และตั้ง “ที่ทำการของเจ้าท่า” ที่ตึกเจ้าสัวเส็ง ริมแม่น้ำ เจ้าพระยาในบริเวณย่านตลาดน้อย ตรงข้ามปากคลองสาน ซึ่งในปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ “กรม การขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี” หรือกรมเจ้าท่าเดิม ใน พ.ศ.2451 มีการสร้างสำนักงานใหญ่ “บริษัทแบงค์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด” ปัจจุบัน คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อย ที่มา : https://t1.blockdit.com/photos/2020/08/5f335ee3340d820cad33b0a5_800x0xcover_VYvIRRFM.jpg ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มีการก่อตั้งโรงเรียนจีนในกรุงเทพฯ “โรงเรียนบุ่งกุ่ย” (ปัจจุบันคือโรงเรียนกุหลาบวิทยา) เป็นโรงเรียนจีนที่สำคัญในย่านตลาดน้อยที่ก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ.2459
ปัจจัยทางสังคม ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ตลาดน้อยเป็นแหล่งโรงงานที่สำคัญแห่ง หนึ่งในกรุงเทพฯ ชาวจีนบางกลุ่มที่อพยพเข้ามาขายแรงงานในย่านตลาด น้อยได้หันไปเก็บเศษเหล็กจากโรงงานต่างๆ มาขาย และด้วยความอดทนใฝ่ รู้ ชาวจีนกลุ่มนี้จึงสามารถสั่งสมทักษะความชำนาญและขยับฐานะขึ้นมาเป็น เถ้าแก่ จนทำให้ตลาดน้อยกลายเป็นศูนย์กลางแหล่งรับซื้ออะไหล่ เครื่องจักร ที่มา : https://www.silpa-mag.com/wp- เครื่องยนต์เก่า และเครื่องเหล็กหลอมใหม่ที่โด่งดังที่สุดในกรุงเทพฯ อันเป็นที่ content/uploads/2019/12/%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B 5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%872.jpg รู้จักกันดีในชื่อว่า “เซียงกง” จุดเริ่มต้นของความคึกคักและความเฟื่องฟูของย่านเซียงกงเกิดขึ้นอย่างชัดเจนภายหลังจากสงครามโลก ครั้งที่สองสงบลง ยานพาหนะและยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่เหล่าทหารต่างชาติฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะทิ้ง ไว้ ได้สร้างผลกำไรให้พ่อค้าทั้งชาวจีนและชาวไทยในย่านเซียงกงกอบโกยไปได้มาก ส่งผลให้ย่านตลาดน้อย กลับมาคึกคักขึ้นภายหลังสงคราม ใน พ.ศ. 2515มีการจัดรูปการบริหารและการปกครอง กรุงเทพฯ แบบใหม่ ตลาดน้อยก็มีฐานะเป็นแขวงหนึ่งใน สามแขวงของเขตสัมพันธวงศ์33 และได้มีการสร้าง “ที่ว่าการเขตสัมพันธวงศ์” ขึ้นมาเป็นอาคารสมัยใหม่ 5 ชั้น ที่มา : https://www.matichon.co.th/wp- content/uploads/2019/02/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-2.jpg ต่อมาไม่นานนักก็มีการสร้างอาคารสมัยใหม่ที่มีขนาดใหญ่โตขึ้นตามมาอย่างต่อเนื่องในย่านตลาดน้อย เช่น ศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ แฟลตธรรมนันท์ แฟลตทรัพย์สิน อาคารกาลหว่าร์ และสี่พระยาริเวอร์วิว จากปัจจัยที่ได้กล่าวมาข้างต้นชุมชนตลาดน้อยมีการอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างหลากหลายเชื่อชาติ แต่ที่เห็นได้ อย่างชัดเจนคือชุมชนตลาดน้อยนั้นเป็นชุมชนของชาวจีน เนื่องจากการเกิดชุมชนตลาดน้อยส่วนใหญ่มาจาก การอพยพของชาวจีนโพ้นทะเล ซึ่งมาจากกลุ่มฮกเกี้ยน เป็นชาวจีนกลุ่มแรกที่อพยพเข้ามาก่อตั้งชุมชนตลาด น้อย ต่อมาก็ได้มีการพัฒนาต่างๆขึ้นมาเรื่อยๆ ทั้งการขุดคลอง การสร้างถนน ศิลปวัฒนธรรม อาคารสถานที่ ตลาดต่างๆ และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งอิทธิพลด้านต่างๆ ของกลุ่มคนต่างวัฒนธรรมที่ได้เข้ามาอาศัย ได้ส่งผล ให้สังคมชาวจีนย่านตลาดน้อยมีลักษณะทั้งธำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมจีนแบบดั้งเดิม และเปิดรับวัฒนธรรมอื่นๆ เข้ามาผสมผสานไปพร้อมกัน และเนื่องจากชุมชนตลาดน้อยอยู่ใกล้สำเพ็งและเยาวราช จึงอยู่ทำให้ชุมชน ตลาดน้อยเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร และปัจจุบันนี้ชุมชนตลาดน้อยก็ได้กลายเป็น สถานที่ท่องเที่ยว ที่ทำให้มองเห็นถึงวิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชาวจีนในประเทศไทย
. เส้นทางคมนาคมที่สำคัญ ที่มา : http://memoryservice-wigi.blogspot.com/2011/08/0.html ทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงที่ขึ้นต้นด้วยหมายเลข 1 เป็นทางหลวงที่มีที่ตั้งอยู่ในภาคเหนือ ทางหลวงที่ขึ้นต้นด้วยหมายเลข 2 เป็นทางหลวงที่มีที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือทางหลวง ที่ทางหลวงที่ขึ้นต้นด้วยหมายเลข 3 เป็นทางหลวงที่มีที่ตั้งอยู่ในภาคกลางภาคตะวันออกและภาคใต้ตอนบน ทางหลวงแผ่นดิน คือ สายประธานเชื่อมการจราจรระหว่างภาคต่อภาคในปัจจุบันมีอยู่ 4 สาย คือ ทางหลวง 1. ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ถนนพหลโยธินจากกรุงเทพฯถึงอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย ถนนพหลโยธิน ทางหลวงหมายเลข 1 ของประเทศไทย ที่ตั้งชื่อตามพันเอกพระยา พหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) หัวหน้าคณะราษฎร ผู้นำการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 และนายกรัฐมนตรีคนที่สองของไทย เริ่มต้น กม. 0 ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ วิ่งขึ้น ไปทางทิศเหนือ วิ่งผ่านจังหวัดปทุมธานี, พระนครศรีอยุธยา, สระบุรี, ลพบุรี, นครสวรรค์, ชัยนาท, กำแพงเพชร, ตาก, ลำปาง, พะเยา, และไปสิ้นสุดที่ อ. แม่สาย จังหวัดเชียงราย รวมระยะทางยาว 994.749 กิโลเมตร ที่มา : https://bit.ly/3KItYms
. เส้นทางคมนาคมที่สำคัญ 2. ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 ถนนมิตรภาพจากจังหวัดลพบุรีถึงจังหวัดหนองคาย ถนนมิตรภาพ ถนนสายหลักที่มุ่งหน้าไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างถนน มิตรภาพ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 เป็นถนนสายประธานสายเดียวที่ไม่ได้มีจุดเริ่มต้น จากกรุงเทพฯ โดย กม.0 นั้นจะอยู่ที่ อ.เมืองสระบุรี เป็นถนนที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนในการ สร้างจากสหรัฐอเมริกา จอมพล ป.พิบูลสงครามเลยตั้งชื่อว่า \"ถนนมิตรภาพ\" เพื่อแสดง ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน โดยเริ่มต้นจากการแยกออกจากถนนพหลโยธิน กม. 106+615 หรือ ตรงสะพานข้ามแยกตรงเมืองสระบุรี มุ่งหน้าสู่ นครราชสีมา ก่อนจะเบี่ยงขึ้นทางเหนือสู่ ขอนแก่น, อุดรธานี และไปจบที่ อ.เมือง จังหวัดหนองคาย รวมระยะทางได้ 509 กิโลเมตร ที่มา : https://bit.ly/3KItYms 3. ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3 ถนนสุขุมวิทจากกรุงเทพฯถึงจังหวัดตราด ถนนสายหลักที่ใช้เดินทางไปภาคตะวันออกอย่างถนนสุขุมวิท ทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 3 ตั้งชื่อตามพระพิศาลสุขุมวิท (ประสพ สุขุม) ผู้จัดทำโครงการก่อสร้าง ทางหลวงแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทย ที่เป็นแม่บทในการสร้างทางหลวงเป็นเครือข่าย ครอบคลุมทั่วประเทศเริ่มต้น กม. 0 ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย วิ่งผ่านราชดำเนินกลาง, ถนนมหาชัย, ถนนพระราม 1 (หน้าห้างพารากอน) ผ่านแยกเพลินจิตออกสู่สมุทรปราการ, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี จบสุดท้ายที่ อ. คลองใหญ่ จังหวัดตราด มีระยะทาง ยาวรวม 488 กิโลเมตร ที่มา : https://bit.ly/3KItYms 4. ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 ถนนเพชรเกษมจากกรุงเทพฯ ถึงอำเภอสะเดาจังหวัดสงขลา ถนนสายหลักเพื่อเดินทางสู่ภาคใต้ของประเทศไทยอย่างถนนเพชรเกษม ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข4 เป็นถนนสายที่มีระยะทางยาวที่สุดของ ประเทศไทย มีระยะทางรวม 1310.554 กิโลเมตร ตั้งชื่อตามหลวงเพชรเกษม วิถีสวัสดิ์ (แถม เพชรเกษม) อธิบดีกรมทางหลวงคนที่ 7 เริ่มต้นครั้งแรกนับ กม.0 ตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผ่าน นครปฐม, ราชบุรี, เพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร ก่อนเลี้ยวขวาออกไประนอง, พังงา, กระบี่, ตรัง, ที่มา : https://bit.ly/3KItYms พัทลุง, สงขลาที่อ. สะเดา
ถนนสายเศรษฐกิจ AEC 1. เส้นทาง R1 โครงการถนนสายกรุงเทพฯ - พนมเปญ - โฮจิมินต์ซีตี้ - วังเตา ในส่วนของไทยคือ จากกรุงเทพฯ - ฉะเชิงเทรา - กบินทร์บุรี - อรัญประเทศ ระยะทางประมาณ 310 กิโลเมตร ช่วง แรก จากกรุงเทพฯ - พนมสารคาม - กบินทร์บุรี ระยะทาง 173 กม. เป็นถนนลาดยาง 4 ช่องจราจรแล้วในขณะที่ช่วง สุดท้าย จากสะแก้ว - อรัญประเทศ (ชายแดนไทย /กัมพูชา) ที่อ.คลองลึก ระยะทาง 55 กม. กำลังก่อสร้างเป็นถนนลาดยาง 4 ช่อง จราจร ถนนช่วงกลาง จากกบินทร์บุรี สระแก้ว ระยะทาง 54 กม. ได้รับงบประมาณเพื่อก่อสร้างขยายเป็นถนนขนาด 4 ช่อง จราจรเส้นทางแนวใหม่ จากพนมสารคาม -สระแก้วระยะทาง72กม.เป็นถนนขนาด2ช่องจราจรแล้วเสร็จ ซึ่งสามารถย่นระยะทางจากกรุงเทพฯ - ชายแดนไทย / กัมพูชา ได้ประมาณ 33 กม. 2. เส้นทาง R2 โครงข่ายถนนเชื่อมโยงแนวตะวันออก - ตะวันตก (East - West Corridor) ไทย - ลาว - เวียดนาม เส้นทางเริ่มต้นจากเมืองเมาะละแหม่งของพม่า ผ่าน ประเทศไทยที่ อ.เม่สอด จ.ตาก ผ่านออกไปยังลาว ที่ มุกดาหาร / สะหวันนะเขตเข้าสู่เวียดนามที่ลาวบาวผ่านดอง ฮาไปสิ้นสุดที่เมืองดานัง ในส่วนของไทยคือ จาก อ.แม่สอด - จ.มุกดาหาร ระยะทาง 770 กม. ปัจจุบันเส้นทางถนนขนาด 4 ช่องจราจรแล้วเสร็จ 233 กม. สำหรับการก่อสร้างสะพาน ข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมโยงไทย - ลาว พร้อมถนนเชื่อมต่อกับ สะพาน รวมทั้งด่านพรมแดนของไทยและลาว ที่มา : https://bit.ly/3w0n7Q9 3. เส้นทาง R3 โครงการถนนสายเชียงราย - คุนหมิงผ่านลาวและ พม่าเส้นทาง R3A ไทย - ลาว - จีน เส้นทางเริ่มจาก เชียงราย - อ.เชียงของ ระยะทางประมาณ 113 กิโลเมตรและข้ามแม่น้ำโขงไปยังแขวงบ่อแก้วของลาวไปยังเวียงภู คา หลวงน้ำทาและไปเชื่อมต่อชายแดนจีนที่บ่อเต็น ระยะทางในลาว ประมาณ 250 กิโลเมตร จากนั้นจะไปยังเมืองเชียงรุ่งและไปสิ้นสุดที่คุ นหมิง รวมระยะทางจากเชียงราย - คุนหมิงประมาณ1,200กิโลเมตร เส้นทางในส่วนของไทยมีถนนลาดยางจนถึงเขตชายแดนไทย - ลาว สำหรับสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่เชียงของ/ห้วยทรายนั้น ADB ได้จ้าง ที่มา : https://bit.ly/3w0n7Q9 บริษัทที่ปรึกษาศึกษารายละเอียดด้านวิศวกรรมของสะพานขณะนี้ได้ ตำแหน่งเหมาะสมของสะพานแล้ว ในส่วนของจีนกำลังก่อสร้างเป็น ทางด่วนจากคุณหมิงลงมา และดำเนินการปรับปรุงช่วงที่เหลือ คาดว่า เส้นทาง R3B ไทย - พม่า - จีน จะแล้วเสร็จตลอดทั้งเส้นทางในปี 2550 ซึ่งจะช่วยย่นระยะทางจากคุ เส้นทางเริ่มจาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย เชื่อมต่อกับท่าขี้เหล็กของ นหมิง - ชายแดนจีนลงจาก 827 กิโลเมตร เหลือเพียง 701 กิโลเมตร พม่า ผ่านเมืองเชียงตุงไปต่อพรมแดนพม่า - จีน ที่ดาลั๊ว จากนั้นจะไปรวม กับเส้นทาง R3A ที่เมืองเขียงรุ้ง และไปยังคุนหมิงต่อไป รวมระยะทงจากแม่สาย - เชียงรุ้ง ประมาณ 380 กิโลเมตร ขณะนี้การก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 2 และถนนเชื่อมต่อ กับเส้นทางสายท่าขี้เหล็ก - เชียงตุง ป้ายทางหลวงสายเอเชีย ป้ายนี้ใช้ในทางหลวงเอเชีย สาย 18
4. เส้นทาง R10 โครงการถนนเลียบชายฝั่งทะเล ไทย- กัมพูชา – เวียดนาม R10 : ถนนเลียบชายฝั่งทะเล ไทย - กัมพูซา – เวียดนาม THAILAND เส้นทางเริ่มจากจังหวัดตราด (ไทย) - เกาะกง (กัมพูชา) - อ.สะแรอัมเบิล - สีหนุวิลล์ -คาเมา(เวียดนาม) เส้นทางกัมพูชา ช่วง จ.เกาะกง - อ.สะแรอัมเบิล ระยะทาง 160 กิโลเมตร ที่มา : https://bit.ly/3w0n7Q9 Asia Highway (ทางหลวงสายเอเชีย) โครงการทางหลวงเอเชีย (The Asian Highway) โดยสหประชาชาติ เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2502 เพื่อส่งเสริมการ พัฒนาระบบขนส่งทางถนนระหว่างประเทศในภูมิภาค ถนนสายเอเชียประเทศไทย มีเส้นทางหลักที่ตัดเข้ามาถึง 6 เส้นทาง ได้แก่ สาย A1 จากแม่สอด จ.ตาก ผ่าน จ.นครสวรรค์ บางปะอิน บ้านหินกอง ถึง อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว สาย A2 จากแม่สาย จ.เชียงราย ผ่าน จ.นครสวรรค์ เข้าสู่กรุงเทพฯ ไปทางถนนเพชรเกษม ถึง จ.ชุมพร ตรงไปทาง สุราษฎร์ธานี บรรจบกับถนนเพชรเกษมที่ จ.พัทลุง ถึง อ.สะเดา จ.สงขลา สาย A3 ถนนเชียงราย-เชียงของ สาย A12 จากแยกหินกอง ถนนพหลโยธิน ถนนมิตรภาพ ถึง จ.หนองคาย สาย A15 จาก จ.อุดรธานี ถนนนิตโย ถึง จ.นครพนม สาย A18 จากหาดใหญ่ จ.สงขลา ถึงสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ปัจจุบัน มีทางหลวงสายเอเชียเพิ่มเติมแล้ว 12 เส้นทาง ได้แก่ สายประธาน 3 เส้นทาง และสายรอง 9 เส้นทาง พร้อมเปลี่ยนเครื่องหมายจาก A เป็น AH โครงข่ายทางหลวงเอเชียในประเทศไทย ทางหลวงเอเชียในประเทศไทย แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ทางหลวงเอเชีย สายหลัก ได้แก่ AH 1, AH 2 และ AH 3 และทางหลวงเอเชียสายรอง ได้แก่ AH 12, AH 13, AH 15, AH 16, AH 18 และ AH 19 รวม ระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 5,129 กิโลเมตร (ไม่รวมช่วงของสาย AH 1 และ AH 2 ที่ทับกันช่วงจังหวัดตาก ถึงแยกบางปะอิน ระยะ ทาง 370 กิโลเมตร) รายละเอียดสายทางของทางหลวงเอเชียล่าสุด มีดังต่อไปนี้ 1. ทางหลวงเอเชียสาย AH 1: ชายแดนกัมพูชา – อรัญประเทศ - กรุงเทพฯ (แยกบางปะอิน) –นครสวรรค์ – ตาก – แม่สอด – สะพานมิตรภาพไทย – พม่า รวม 715.5 กม. 2. ทางหลวงเอเชียสาย AH 2: ด่านจังโหลน - อ.สะเดา – หาดใหญ่ – พัทลุง – ชุมพร – ประจวบคีรีขันธ์ – ปากท่อ - กรุงเทพฯ (แยกบางปะอิน) – นครสวรรค์ – ตาก – ลำปาง – เชียงราย – แม่สาย (ชายแดนพม่า) รวม 1,913.5 กม.
3. ทางหลวงเอเชียสาย AH 3: เชียงราย – เชียงของ (ชายแดนลาว – จีน) รวม 121 กม. 4. ทางหลวงเอเชียสาย AH 12: สะพานมิตรภาพไทย-ลาว – หนองคาย – นครราชสีมา – ขอนแก่น – สระบุรี – กรุงเทพฯ (แยกหิน กอง) รวม 571.3 กม. 5. ทางหลวงเอเชียสาย AH 13: ห้วยโก๋น – น่าน – แพร่ – พิษณุโลก – นครสวรรค์ รวม 550.5 กม. 6. ทางหลวงเอเชียสาย AH 15: ชายแดนไทย-ลาว (นครพนม) – อุดรธานี รวม 248.6 กม. 7. ทางหลวงเอเชียสาย AH 16: ชายแดนไทย-ลาว (มุกดาหาร) – กาฬสินธุ์ – ขอนแก่น – พิษณุโลก – สุโขทัย – ตาก รวม 703.4 กม. 8. ทางหลวงเอเชียสาย AH 18: ชายแดนมาเลเซีย (อ.สุไหงโกลก) – อ.ตากใบ – นราธิวาส – ปัตตานี – อ.หนองจิก – อ.จะนะ – หาดใหญ่ รวม 311 กม. 9. ทางหลวงเอเชียสาย AH 19: นครราชสีมา – กบินทร์บุรี – อ.แปลงยาว – แหลมฉบัง – กรุงเทพฯ รวม 364 กม. ทางหลวงเอเชียสาย AH-16 และ AH-19 เป็นเส้นทางใหม่ที่ ประเทศไทยได้เสนอต่อที่ประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการ พัฒนาโครงข่าย ทางหลวงเอเชีย เมื่อวันที่ 8-10 พฤษภาคม 2545 ณ ศูนย์การประชุม สหประชาชาติ กรุงเทพฯ รวมทั้งได้เสนอปรับแนวเส้นทาง AH-2 และ AH-1 จากแยกบางปะอิน – กรุงเทพฯ ให้มาใช้ทางหลวงหมายเลข 9 แทน และปรับ แนวเส้นทาง AH-3 จากเชียงราย – เชียงของ โดยแทนทางหลวงหมายเลข 1020 เดิมด้วยทางหลวงหมายเลข 1152 ช่วงจาก บ.หัวดอย – บ.ต้าตลาด ส่วนเส้นทาง AH-13 ได้เพิ่มเข้ามาในโครงข่ายทางหลวงเอเชียภายหลัง ที่มา : https://www.blockdit.com/posts/5db43d99d237797ce5bda777 เส้นทางคมนาคมที่สำคัญส่งผลต่อเศรษฐกิจประเทศไทย โดยเส้นทางคมนาคมได้เปลี่ยนโลกไปตลอดกาลพัฒนาเพื่อ ที่จะย่นระยะทางในการเดินทาง แสวงหาความร่ำรวยจากการเดินทางและสร้างความสะดวกสบายบนเส้นทางคมนาคมที่นำ ไปสู่เส้นทางบนเศรษฐกิจที่นำความเจริญรุ่งเรืองที่เกิดจากการขยายเส้นทางเพื่อการติดต่อค้าขาย การลงทุนและการท่องเที่ยว ทั้งในประเทศและต่างประเทศซึ่งมันมีความเชื่อมโยงกันและทั่วโลกก็ต่างมีอิทธิพลต่อเส้นทางคมนาคมแห่งนี้และต่อชีวิตของเราที่มีผล เชื่อมโยงต่อเศรษฐกิจของไทย ประเทศไทยได้ริเริ่มให้มีการจัดตั้งยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านและต่าง ทวีปโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดช่องว่างทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจร่วมกัน เพื่อมุ่งเน้นการดำเนินงานที่เป็นรูป ธรรม ได้แก่ 1. การอำนวยความสะดวกการค้าและการลงทุน 2. ความร่วมมือด้านเกษตรและอุตสาหกรรม 3. การเชื่อมโยงเส้นทาง คมนาคม 4. ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว 5. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เส้นทางคมนาคมเอื้อต่อการเพื่อให้มีเส้นทางที่เชื่อมต่อกัน ข้ามพรมแดนของประเทศ ทวีปดียวกันและต่างทวีป ซึ่งบางประเทศมีส่วนร่วมในโครงการทางหลวง ได้แก่ อินเดีย ศรีลังกา ปากีสถาน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และบังกลาเทศ ซึ่งในส่วนใหญ่ของเงินทุนมาจากประเทศในเอเชียที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ เช่น ญี่ปุ่น อินเดีย และจีน ตลอดจนหน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารพัฒนาเอเชีย นอกจากจะเป็นเส้นทางแห่งเศรษฐกิจแล้วประชาชนใน ประเทศประเทศไทย ก็จะสามารถเดินทางโดยรถยนต์ผ่านประเทศในเอเชีย และสามารถเข้าถึงประเทศในทวีปยุโรปและทวีปอื่น ๆ ได้
ความเชื่อและปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ในการสร้างที่อยู่อาศัย ของเรือนไทย 4 ภาค บ้านเรือนไทย 4 ภาค บ้านเรือนไทยแต่ละภาคทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้มีลักษณะบ้านที่ไม่ เหมือนกัน มักปลูกสร้างตามภูมิภาค คำนึงสภาพอากาศ ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ และความเป็นอยู่ของแต่ละภูมิภาค ดังนี้ เรือนภาคเหนือ การสร้างเรือนในภาคเหนือมีความสัมพันธ์กับสภาพภูมิอากาศและทิศทางลม สัมพันธ์กับธรรมชาติ การเกษตร และวิถีชีวิตผู้คน ซึ่งแฝงอยู่ในคติความเชื่อพิธีการ ความคิดเกี่ยวกับการสร้างเรือน ซึ่งในเขตจังหวัดภาคเหนือส่วนหนึ่งมี ลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มภูเขา หุบเขา และที่ดอนบนเทือกเขาสูง มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1500-3000 เมตร นับตั้งแต่เทือกเขาด้านตะวันตกในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอนอ้อมมาส่วนเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และด้านตะวัน ออกที่จังหวัดน่าน ลักษณะสภาพทางภูมิศาสตร์ข้างต้น ทำให้เกิดการตั้งถิ่นฐานขึ้น 2 แบบ คือ 1.ที่ดอนบนดอย หรือทิวเขา เป็นที่อยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ทำการกสิกรรมแบบไร่เลื่อนลอย 2. บนที่ราบลุ่มเป็นบ่อเกิดของวัฒนธรรมล้านนา ชุมชนภาคเหนือแบ่งเรือนพักอาศัยออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้ 1.เรือนชนบท หรือเรือนเครื่องผูก โครงสร้างของหลังคา ตง พื้น ใช้ไม้ไผ่ ส่วนคานและเสานิยมใช้ไม้เนื้อ แข็ง ฝาเป็นฝาไม้ไผ่สาน หลังคามุงแฝกหรือใบตองตึง นิยมใช้ตอกและหวายเป็นตัวยึดส่วนต่าง ๆ เรือนเข้าด้วยกันด้วยวิธี ผูกมัด เรือนชนบทเป็นเรือนขนาดเล็กถือว่าเป็นเรือนแบบดั้งเดิม เพราะวิธีการก่อสร้างเป็นวิธีการที่เก่าแก่ที่สุดอย่างหนึ่ง ปัจจุบันชาวบ้าน ยังนิยมปลูกสร้างเรือนเครื่องผูกนี้ทั้งในตัวเมืองและชนบท ที่มา : https://bit.ly/38TE3j8 2.เรือนกาแล เป็นเรือนพักอาศัยผู้นำชุมชนหรือบุคคลชั้นสูงในสังคม เรือนประเภทนี้เป็นเรือนที่สร้าง ด้วยไม้เนื้อแข็ง ไม้จริงทั้งหมด เรียกตามลักษณะของไม้ป้านลม หลังคาส่วนปลายยอดที่ไขว้กัน ซึ่งชาวเหนือเรียกส่วนที่ไขว้ กันนี้ว่า “กาแล” ชาวล้านนาในปัจจุบันเรียกว่า “เฮือนบ่าเก่า” เพราะเป็นเรือนทรงโบราณของล้านนา ลักษณะพิเศษของ เรือนกาแลอยู่ที่ยอดจั่วประดับกาแลเป็นไม้สลักอย่างงดงาม ใช้วัสดุก่อสร้างคุณภาพดี ฝีมือช่างประณีต แต่มีแบบแผนค่อน ข้างตายตัว ส่วนใหญ่เป็นเรือนแฝด มีขนาดตั้งแต่หนึ่งห้องนอนขึ้นไป โดยทั่วไปเรือนประเภทนี้จะมีแผนผัง 2 แบบใหญ่ ๆ คือ แบบที่ 1 เอาบันไดขึ้นตรงติดชานนอกโดด ๆ แบบที่ 2 เอาบันไดอิงชิดแนบฝาใต้ชายคาคลุม ทั้งสองแบบนี้จะใช้ร้านน้ำตั้งเป็น หน่วยโด ๆ มีโครงสร้างของตัวเอง ไม่นิยมตีฝ้าเพดาน เรือนชนิดนี้เป็นเรือนที่แสดงถึงวิวัฒนาการของกระบวนการก่อสร้าง บ้านพักอาศัยของชาวล้านนาที่ถึงจุดสูงสุดก่อนได้รับอิทธิพลจากต่างถิ่น ตลอดจนเป็นเรือนที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของชาว ล้านนาอย่างชัดเจน ทั้งการวางผังพื้นที่ การจัดห้องต่าง ๆ ภายในตัวเรือน ตลอดจนรูปทรง ล้วนสะท้อนถึงแบบแผนการ ดำเนินชีวิตตามระเบียบประเพณีของล้านนาทั้งสิ้น
ที่มา : https://art-culture.cmu.ac.th/Lanna/house_architecture/4-kalae-phaya-wong 3.เรือนไม้ เป็นเรือนพื้นเมืองของล้านนาอีกรูปแบบหนึ่งทีเกิดขึ้นภายหลังเรือนกาแล ลักษณะทางกายภาพของ เรือนประเภทนี้เกิดจากการผสมผสานทางวัฒนธรรมการปลูกสร้างแบบดั้งเดิมกับวัฒนธรรมที่ชาวบล้านนาได้รับจาก ภายนอก ซึ่งช่างล้านนาได้รับระบบวิธีการปลูกสร้างและค่านิยมจากภาคกลางในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา เรือนประเภทนี้ รูปทรงภายนอกของเรือนจะผันแปรไปตามสมัยนิยม โดยเฉพาะลักษณะฝา ระเบียบการเจาะช่องประตูหน้าต่าง การขึ้นทรง หลังคาที่มีระนาบซับซ้อนเป็นการแสดงถึงอัจฉริยภาพของช่างพื้นเมืองที่รู้จักประสานประสานประโยชน์จากความรู้กับ เทคนิควิทยาการช่างที่ได้รับมาจากต่างถิ่นได้อย่างกลมกลืน เรือนไม้บางหลังมีการนำเอาระเบียบวิธีการตกแต่งลายฉลุไม้ มาตกแต่งทรงจั่วหลังคาและเชิงชายตามแบบอิทธิพลช่างไทยภาคกลางรับมาจากตะวันตก ชาวล้านนาเรียกเรือนประเภท ประดับลายฉลุไม้นี้ว่า “เรือนทรงสะละไน” สถาปนิกได้รับการศึกษาแนวทางแบบตะวันตกจะเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยน รูปแบบเรือนพักอาศัยให้ทันสมัยมากขึ้นนั้น ชาวล้านนาเรียกเรือนชนิดนี้ว่า “เฮือนสมัยก๋าง” (เรือนสมัยกลาง) หมายถึง เรือนพื้นเมืองที่อยู่ในช่วงสมัยระหว่าง “เฮือนบ่าเก่า” (เรือนโบราณ)กับเรือนแบบสากลยุคใหม่ที่ชาวบ้านเรียกว่า “เฮือน สมัย” (เรือนสมัยใหม่) ที่มา : https://bit.ly/3PbSLD9 ความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างเรือนเรือนภาคเหนือ คติความเชื่อในการสร้างบ้านของชาวล้านนาที่สืบทอดปฏิบัติมาจากผู้เฒ่าผู้แก่ เมื่อเริ่มต้นจะสร้างเรือนจะต้องหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับ ปลูกบ้านให้ตรงตามตำราดูลักษณะที่ดิน โดยดูถึงความสูงต่ำของรดับดินบริเวณปลูกสร้าง รูปทรงที่ดิน ตลอดจนเนื้อที่ทั้งหมดรวมทั้งสภาพแวดล้อม ตามธรรมชาติ คติทางเหนือถือว่าถ้าสร้างบ้านที่สมบูรณ์แล้ว ในบริเวณบ้านจะต้องประกอบไปด้วย บ่อน้ำ ยุ้งข้าว (หลองข้าว) ครกกระเดื่องและครัวไฟ โดยหลักการสำคัญของการสร้างเรือนล้านนาเชื่อว่าทิศหัวนอนต้องอยู่ทางด้านตะวันออกจึงจะเป็นมงคล ดังนั้นรูปแบบเรือนต้องหันหน้าจั่วไปทางทิศ เหนือหรือทิศใต้เสมอเพื่อให้ห้องนอนอยู่ทางด้านตะวันออกของเรือน แล้วเรือนไฟหรือเรือนครัวจะอยู่ด้านตะวันตกเรียกว่า “การวางเรือนขวางตะวัน” ตามความเชื่อนี้จะสอดคล้องกับทิศทางลม ช่วยป้องกันลมหนาวที่เข้ามาในตัวเรือน ทั้งนี้ยังทำให้แสงแดดส่องเข้ามายังห้องนอนในยามเช้าและแสงบ่าย ตกกระทบเรือนครัวในยามเย็น เพิ่มแสงสว่างและความอบอุ่นให้กับตัวเรือนขณะเดียวกันโครงสร้างฝาเรือนที่ผายออกมารองรับหลังคาในลักษณะป้าน และลาดต่ำก็มีส่วนช่วยในการเบี่ยงทิศทางลมไม่ให้เข้ามาในตัวเรือน นอกจากทิศหัวนอนต้องอยู่ทางด้านตะวันออกแล้วคนล้านนายังเชื่ออีกว่าที่นอน ของคนเป็นต้องอยู่ระหว่างช่วงเสาห้ามนอนตรงกับขื่อที่ถือว่าเป็นที่ของคนตาย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในข้อห้ามที่สำคัญสำหรับการดำรงชีวิต คนล้านนาเรียก ว่า “ขึด”หมายถึงสิ่งที่ทำให้เกิดเคราะห์ภัยหรือสิ่งอัปมงคล เป็นข้อควรปฏิบัติที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ เมื่อพิจารณาข้อห้ามต่าง ๆ แล้ว พบ ว่าขึดเป็นความเชื่อที่อยู่บนหลักการของเหตุและผลไม่ใช่เพียงความเชื่องมงาย หากแต่ใน ปัจจุบันมีการเลือกยึดถือข้อห้ามบางประการที่สอดคล้อง เหมาะสมกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไปจากอดีต
เรือนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การสร้างบ้านของชุมชนในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่สมัยโบราณมักเลือกทำเลที่ตั้งอยู่ตามที่ราบลุ่มที่มีแม่น้ำสำคัญ ๆ ไหลผ่าน เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำมูล แม่น้ำชี แม่น้ำสงคราม ฯลฯ รวมทั้งอาศัยอยู่ตามริมหนองบึง ถ้าตอนใดน้ำท่วมถึงก็จะขยับไปตั้งอยู่ บนโคกหรือเนินสูง ลักษณะหมู่บ้านทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มักจะอยู่รวมกันเป็นกระจุก ชาวอีสานตั้งบ้านใกล้เคียงกับนาของตน ทำให้เกิดการขยายตัวหลายเป็นหมู่บ้านขึ้น การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของคนอีสานมักเลือกทำเลที่เอื้อต่อการยังชีพ ลักษณะเรือนจะ แปลนพื้นเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ประกอบด้วยเรือนนอน เฉลียง ชาน ครัว และร้านน้ำ บางหลังจะมีเรือนโข่งเพิ่มขึ้นอีก ๑ หลัง เรือนส่วน ใหญ่เปิดโล่ง เนื้อที่ที่ใช้กั้นห้องเป็นสัดส่วนมีน้อย ไม่อาจแยกเป็นห้อง ๆ อย่างชัดเจนได้ บริเวณรอบ ๆ เรือนอีสานไม่นิยมทำรั้ว เพราะเป็น สังคมเครือญาติมักทำยุ้งข้าวไว้ใกล้เรือน บางแห่งทำเพิงต่อจากยุ้งข้าว มีเสารับมุงด้วยหญ้าหรือแป้นไม้ เพื่อเป็นที่ติดตั้งครกกระเดื่อง ไว้ตำข้าว ส่วนใต้ถุนบ้านซึ่งเป็นบริเวณที่มีการใช้สอยมากที่สุด จะมีการตั้งหูกไว้ทอผ้า กี่ทอเสื่อ แคร่ไว้ปั่นด้วย และเลี้ยงลูกหลาน ใต้ถุน เรือนจะใช้เก็บไหหมักปลาร้า และสามารถกั้นเป็นคอกสัตว์เลี้ยง ใช้เก็บเครื่องมือเกษตรกรรม ตลอดจนใช้จอดเกวียน รูปทรงบ้านเรือน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีดังนี้ 1. เรือนทรงจั่วแฝดแบบดั้งเดิม เป็นเรือนที่มีอายุเก่าแก่ทรุดโทรม เจ้าของซ่อมแซมใหม่ ทำให้ลักษณะผิดไปจากเดิมบ้าง ลักษณะของเรือนทรงจั่วแฝดแบบดั้งเดิมได้ คือ หลังคาทรงจั่วสูงกว่าเรือนประเภทอื่น ๆ เป็นเรือนแฝด ชายคาของเรือนนอนและเรือน โข่งมาจรดกัน ไม่มีระเบียง เดิมมุงหลังคาด้วยกระเบื้องไม้ สร้างด้วยไม้จริง มีช่องรางน้ำระหว่างหลังคาเรือนแฝด ฝาส่วนใหญ่ใช้ไม้จริง มีฝาจักสานเป็นส่วนน้อย มีบันไดขึ้นลง ๒ ทางและเป็นเรือนถาวร เจ้าของเรือนมีฐานะดี 2. เรือนที่มีเรือนโข่ง (เรือนระเบียง) เป็นเรือนที่สร้างขึ้นภายหลัง เรือนที่มีเรือนโข่งนี้ หลังคาทรงจั่วต่ำกว่าประเภทแรก ครึ่งหนึ่ง มุงด้วยสังกะสีแทนกระเบื้องไม้ ซึ่งหายาก มีลักษณะดังนี้ ความสูงของจั่วลดลงประมาณครึ่งหนึ่งของเรือนประเภทแรก โครงสร้างส่วนใหญ่ใช้ไม้จริง ฝาไม้ไผ่สานลายคุบ มีระเบียงเป็นตัวเชื่อมเรือนนอน และเรือนโข่ง มีบันไดขึ้นลงทางเดียวและเป็นเรือน ชนิดถาวร เจ้าของเรือนมีฐานะปานกลาง ที่มา : https://bit.ly/3MQAJ7g 3. เรือนที่ไม่มีเรือนโข่ง เป็นเรือน ประกอบด้วยเรือนนอน ระเบียง ชาน ครัว ร้านน้ำ และไม่มีเรือนโข่ง มีลักษณะ หลังคา ทรงจั่วต่ำ ไม่มีเรือนโข่ง โครงสร้างส่วนใหญ่ทำด้วยไม้จริง มีระเบียงต่อจากเรือนนอนเชื่อมกับส่วนอื่น ๆ ฝาส่วนใหญ่เป็นฝาไม้ไผ่สาน ลายคุบ มีบันไดขึ้นลงทางเดียวและเจ้าของเรือนมีฐานะปานกลาง 4. เรือนชั่วคราว เป็นเรือนที่สร้างขึ้นเพื่ออาศัยอยู่ชั่วคราว สำหรับผู้ที่ออกเรือนใหม่ มีทั้งชนิดต่อเติมจากยุ้งข้าว และชนิด สร้างขึ้นใหม่ เมื่อมีฐานะดีขึ้นจึงจะสร้างเรือนถาวรต่อไป เรือนชั่วคราวนี้เป็นเรือนที่มีห้องเดียว สร้างเป็นเพิงต่อจากยุ้งข้าว หรือสร้างขึ้น ใหม่ด้วยวัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น เช่น แฝก ใบตองตึง และไม้ไผ่ เป็นต้น
ความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างเรือนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คติความเชื่อของชาวอีสานในการสร้างเรือนและการดำเนินชีวิต ชาวอีสานมีความเชื่อที่ได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ กล่าวคือ ความเชื่อในอำนาจลี้ลับที่เหนือธรรมชาติ และเชื่อในการครองเรือน การทำมาหาเลี้ยงชีพ สิ่งใดที่โบราณห้ามว่าเป็นโทษ และทำความเดือนร้อนมาให้ก็จะละเว้นไม่ยอมทำสิ่งนั้น การสร้างเรือนอีสานต้องพิจารณาสถานที่ ๆ จะสร้างเรือนก่อนโดยต้องเลือกเอา สถานที่ปลอดโปร่ง ไม่มีจอมปลวก ไม่มีหลุมผี ไม่มีตอไม้ใหญ่ และต้องดูความสูงต่ำลาดเอียงไปทางทิศใดและจะเป็นมงคล ชาวอีสาน มีความเชื่อในการสร้างเรือนให้ด้านกว้างหันไปทางทิศตะวันออกและ ตะวันตก ให้ด้านยาวหันไปทางทิศเหนือและใต้ ซึ่งเป็นลักษณะ ที่เรียกว่า วางเรือนแบบ “ล่องตาเว็น” (ตามตะวัน) เพราะถือกันว่า หากสร้างเรือนให้ “ขวางตาเว็น” แล้วจะ “ขะลำ” คือเป็นอัปมงคล ทำให้ผู้อยู่ไม่มีความสุข และจะมีการเสี่ยงทายพื้นที่นั้นโดยเตรียมข้าวเหนียว 1 กระทง,ข้าวเหนียวดำ 1 กระทงและข้าวเหนียวแดง 1 กระทง นำไปวางไว้ตรงหลักกลางที่ดินเพื่อให้กากิน ถ้ากากินข้าวดำ ท่านว่าอย่าอยู่เพราะที่นั้นไม่ดี /ถ้ากากินข้าวแดง ท่านว่าไม่ดียิ่ง เป็นอัปมงคลมาก/ถ้ากากินข้าวขาว ท่านว่าดีหลี จะอยู่เย็นเป็นสุข ให้รีบเฮ็ดเรือนสมสร้างให้ เสร็จเร็วไว ความเชื่ออีกอย่างคือการชิมรส ของดินโดยขุดหลุมลึกราวศอกเศษ ๆ เอาใบตองปูไว้ก้นหลุม แล้วหาหญ้าคาสดมาวางไว้บนใบตอง ทิ้งไว้ค้างคืนจะได้ไอดินเป็นเหงื่อจับ อยู่หน้าใบตอง จากนั้นให้ชิมเหงื่อที่จับบนใบตอง หากมีรสหวาน เป็นดินที่พออยู่ได้ มีรสจืด เป็นดินที่เป็นมงคล จะอยู่เย็นเป็นสุข /มีรสเค็ม เป็นอัปมงคล ใครอยู่มักไม่ยั่งยืน /มีรสเปรี้ยว พออยู่ได้แต่ไม่ใคร่ดีนัก จะมีทุกข์เพราะเจ็บไข้อยู่เสมอ เรือนภาคกลาง บ้านเรือนไทยภาคกลางส่วนใหญ่นิยมสร้างใกล้กับที่ราบลุ่มแม่น้ำเช่นเดียวกับบ้านภาคอีสาน แต่เนื่องจากภาคกลาง มีอากาศร้อนอบอ้าว คนส่วนใหญ่จึงมักสร้างบ้านหลังคาสูง เพื่อถ่ายเทความร้อนออกจากตัวบ้าน และช่วยให้น้ำฝนไหลลงจาก หลังคาได้เร็ว โดยบ้านเรือนไทยภาคกลางมักสร้างด้วยไม้ไผ่สลับไม้เนื้อแข็ง ลักษณะเป็นเรือนยกพื้น ใต้ถุนสูง สูงจากพื้นดินเสมอศีรษะ คนยืน รูปทรงล้มสอบ หลังคา ทรงสูงชายคายื่นยาว เพื่อกันฝนสาด แดดส่อง หลังคาทรงจั่วสูงชายคายื่นยาว หลังคาของบ้านทรงไทย เป็นแบบทรงมนิลา ใช้ไม้ทำโครงและใช้จาก แฝกหรือกระเบื้องดินเผาเป็นวัสดุมุงหลังคา ใช้วิธีมุงตามระดับองศาที่สูงชันมาก น้ำฝนจึงจะ ไหลได้เร็ว ไม่รั่ว การทำหลังคา ทรงสูงนี้ มีผลช่วยบรรเทาความร้อนที่จะถ่ายเทลงมายังส่วนล่าง ทำให้ที่พักอาศัยหลับนอนเย็นสบาย สำหรับเรือนครัวทั่วไปตรงส่วนของหน้า จั่วทั้ง 2 ด้าน ทำช่องระบายอากาศ โดยใช้ไม้ตีเว้นช่องหรือ ทำเป็นรูปรัศมีพระอาทิตย์ เพื่อ ถ่ายเทควันไฟออกจากเรือนครัวได้สะดวก ชายคากันสาดให้ยื่นออกจากตัวเรือนมาก เพื่อกันแดดส่องและฝนสาด นิยมวางเรือนไปตาม สภาพแวดล้อมทิศทางลมตามความเหมาะสมนิยมสร้าง 2 รูปแบบ ดังต่อไปนี้ 1.เรือนเดี่ยว ครอบครัวขนาดเล็กมีเรือนนอน แยกกับเรือนครัว และมีการเชื่อมด้วยชานเดียวกัน 2.เรือนหมู่ เรือนหลายหลังเชื่อมต่อกัน เป็นเรือนของผู้มีฐานะมาก วัสดุก่อสร้างเป็นเรือนไม้เนื้อแข็ง ใต้ถุนสูง หลังคาจั่วทรงสูง อ่อน โค้ง ประดับด้านจั่ว “เหงา” หรือ “หางปลา” มีระเบียงบ้านรับลม ที่มา : httpเsรื:อ//นb เดiีt่ย.lyว/3kK9bVe เรือนหมู่ ที่มา : https://b it.ly/3OZSYJm ความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างเรือนภาคกลาง ความเชื่อว่าไม่ควรนอนใต้ขื่อ ใต้คานจะหลับไม่สนิทมีสิ่งรบกวน การวางที่นอนก็ต้องหันหัวนอน ให้ถูกทิศทาง และทิศทางของบันได ก็ดี ควรเป็นไปในทิศที่เชื่อว่าเป็นมงคล มีความเชื่อในเรื่องเลขคู่ เลขคี่ ของจำนวนขั้นบันได จำนวนห้อง เสา ฤกษ์ยามวันเดือนปีที่จะ ปลูก เรือนทั้งยังเชื่อว่าไม้บางประเภทมี ภูติผีสิงสถิตอยู่ ห้ามใช้ไม้ตะเคียน ไม้มะค่าในการปลูกเรือน และบันไดห้ามใช้จำนวนขั้นคู่ ไม่ทำน้ำพุ น้ำตกไหลเข้าตัวเรือนามใช้เสาไม้มีตาในระยะ “เป็ดไซ้ ไก่ตอด สลักรอด หมูสี” ห้ามนำของวัดเข้าบ้านหรือมาประกอบเป็นส่วนหนึ่งของ บ้าน เป็นต้น
เรือนภาคใต้ ภาคใต้ของประเทศไทยมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างไปจากภาคอื่น ๆ ของประเทศ มีลักษณะเป็นแหลมหรือคาบสมุทร ล้อมรอบด้วยฝั่งทะเล โดยมีอ่าวไทยอยู่ทางฝั่งทะเลตะวันออก และทะเลอันดามันอยู่ทางฝั่งทะเลตะวันตก ด้านสภาพภูมิอากาศของ ภาคใต้เป็นอาณาบริเวณที่มีอากาศร้อนฝนตกชุก ความชื้นสูงมี 2 ฤดู ได้แก่ ฤดูร้อนและฤดูฝน ในฤดูร้อนอากาศจะไม่ร้อนจัด เนื่องจาก ได้รับการถ่ายเทความร้อนจากลมทะเลที่พัดผ่านอยู่ตลอดเวลา ในฤดูฝนฝนจะตกชุกมากกว่าภาคอื่น ทั้งนี้เพราะได้รับลมมรสุมตะวัน ตกเฉียงเหนือ และลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะทางภูมิศาสตร์และภูมิอากาศดังกล่าวนี้ มีอิทธิพลสำคัญต่อการกำหนดรูปแบบ เรือนพักอาศัยของประชาชนในภาคใต้ ผู้คนทางภาคใต้จึงมักสร้างบ้านที่มีหลังคาสูงเพื่อระบายน้ำฝนให้ไหลลงผ่านชาคาที่คลุมไปถึง บันได และนิยมใช้ไม้กระดาน ไม้ไผ่สาน หรือวัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น เช่น การออกแบบรูปทรงหลังคาให้คาให้ลาดเอียงมาก เพื่อระบาย น้ำฝนจากหลังคาการการใช้ตอม่อหรือฐานเสาแทนที่จะฝังเสาเรือนลงไปในดิน ฯลฯ ด้านสภาพสังคมและวัฒนธรรม ประชากรในภาค ใต้มีทั้งชาวไทยพุทธ ชาวไทยเชื้อสายจีน และชาวไทยมุสลิม ชาวไทยเหล่านี้มีขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อที่แตกต่าง กันนอกจากนี้ตามหลักวัฒนธรรม และความเชื่อของภาคใต้ การปลูกบ้านจึงมีทั้งหมด 2 แบบ คือ เรือนไทยมุสลิม และเรือนไทยพุทธ ดังนี้ 1.เรือนไทยพุทธภาคใต้ ลักษณะเรือนไม้ใต้ถุนสูง มีหลังคาทรงปั้นหยา และจั่วภายในบ้านมีการกั้นห้องแบ่งเป็นสัดส่วน ชายคายื่นยาว หรือชานเชื่อมแต่ละเรือนเข้าด้วยกัน การก่อสร้างไม่ซับซ้อน 2.เรือนไทยมุสลิมภาคใต้ เน้นใต้ถุนสูง มีหลังคา 3 แบบ ปั้นหยา มนิลา และ จั่ว ภายในสบาย มักจะเปิดโล่ง มีเฉพาะห้อง ที่สำคัญเป็นส่วนตัวเท่านั้น ที่มา: https://www.baanlaesuan.com/178487/houses/vernacular_architecture ความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างเรือนภาคใต้ การปลูกสร้างบ้านเรือนของชาวใต้ที่รู้จักใช้ภูมิปัญญาสร้างบ้านเรือนให้ยืดหยุ่นและสอดรับกัับภัยธรรมชาติได้เป็นอย่างดี อันเนื่องจากสภาพภูมิประเทศของภาคใต้อยู่่ติดทะเลและคติความเชื่อของคนภาคใต้ตลอดถึงความเชื่อในด้านโชคลางต่าง ๆ ก็มีส่วน สำคัญในการปลูกสร้างบ้านเรือนของคนภาคใต้ เช่น ทิศทางของเรือนชาวใต้เชื่อกันว่าไม่ควรสร้างขวางดวงตะวัน เพราะจะทำให้ผู้อาศัย หลับนอนมีอนามัยไม่ดี ไม่มีความจีรังยั่งยืนทางที่ดีที่สุดคือหันหน้าบ้านไปทางทิศตะวันออก หลังบ้านอยู่ทางทิศตะวันตกและชาวใต้มัก นิยมสร้างเรือนข้าว โดยเชื่อว่าเรือนข้าวมีความสำคัญต่อครอบครัว เพราะเป็นเครื่องวัดฐานะความมั่นคงของเจ้าบ้านทำให้เกิดความเชื่อ ในเรื่องทิศทางและทำเลที่ปลูกสร้างเรือนข้าวต่อมาโดยเชื่อกันว่าการปลูกเรือนข้าวไว้ทางทิศตะวันออกหรือทิศใต้ของเรือนอาศัย จะทำให้มีข้าวอุดมสมบูรณ์และความเชื่ออีกหลาย ๆ เช่น ห้ามปลูกเรือนบนจอมปลวก ห้ามปลูกบ้านคร่อมตอไม้ ห้ามสร้างบ้านบนทาง สัญจร ห้ามปลูกบ้านตรงพื้นที่เฉอะแฉะ สกปรก ดินเลนสีดำ ดินมีหลากสี มีกลิ่นไม่บริสุทธิ์ ห้ามปลูกบ้านเดือน ๔ ให้ปลูกบ้านเดือน ๑๐ การทำบันไดบ้านต้องหันไปทางทิศเหนือหรือทิศตะวันออกจำนวนบันไดต้องเป็นเลขคี่ ห้ามปลูกเรือนคร่อมคู คลองหรือแอ่งน้ำ เป็นต้น รวมถึงการเลือกที่ดินที่เป็นมงคล
ภั ย พิ บั ติ ท า ง ธ ร ร ม ช า ติ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ คือ ปารกฎการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชติ และก่อให้เกิดความเสียหายทั้งต่อชีวติ ทรัพย์สิน และก่อให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงต่อสิ่งเเวดล้อม โลกมีการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา และมนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ มนุษย์จึงเป็นทั้งผู้ได้รับผลกระทบและเป็นสาเหตุบางประการของภัยธรรมชาติ ภัยพิบัตทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในประเทศ แบ่งออกเป็น 8 ชนิด โดยแบ่งประเภทเป็น 2 แบบ คือ ภัยที่เตือนล่วงหน้า และภัยแบบฉับพลัน ภัยที่เตือนล่วงหน้า ได้แก่ สึนามิ, วาตภัย (พายุหมุนเขตร้อน / พายุฝนฟ้าคะนอง / พายุฤดูร้อน), คลื่นพายุซัดฝั่ง, และอุทกภัย ภัยแบบฉับพลัน ได้แก่ แผ่นดินไหว, ไฟป่า, แผ่นดินถล่ม, และอุทกภัย เราจะมาทำความรู้จักกับภัยพิบัติ ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นใน ประเทศไทยแบบต่อเนื่องนะคะ ถ้าพร้อมกันแล้ว ไปกันเลยย!! แผ่นดินไหว การที่เปลือกโลกเกิดการสั่นสะเทือน หรือการเคลื่อนที่อย่างฉับพลันของเปลือกโลก เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่ง ทำให้เกิดความเสียหาย ทั้งชีวิต และทรัพย์สิน สาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหว การเกิดแผ่นดินไหว มี 2 สาเหตุใหญ่ คือ การเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และการกระทำของมนุษย์ เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ การเคลื่อนตัวของรอยเลื่อนบริเวณเปลือกโลก การสั่นสะเทือนจากการประทุของภูเขาไฟ เกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์ การทดลองระเบิดปรมาณูหรือการปะทุของระเบิดนิวเคลียร์
แผ่นดินไหวลำปาง ถึง 26 ครั้ง!
แผ่นดินไหวจังหวัดลำปาง ถึง 26 ครั้ง! แผ่นดินไหว อ.วังเหนือ จ.ลำปาง เขย่าต่อเนื่อง 26 ครั้ง รุนแรงที่สุดขนาด 4.9 สาเหตุจากการ เคลื่อนตัวของกลุ่มรอยเลื่อนพะเยาที่พาดผ่าน “พะเยา-ลำปาง-เชียงราย” ตั้งแต่ช่วงเที่ยงวันที่ 20 ก.พ. ถึง เช้าวันที่ 21 ก.พ. บริเวณ อ.วังเหนือ จ.ลำปาง และประชาชนใน จ.เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา และลำปาง รู้สึกสั่นไหว บ้านเรือนประชาชนเสียหาย 14 หลัง ข้อควรปฎิบัติขณะเกิดแผ่นดินไหว ภายในอาคาร ตั้งสติและรีบปิดสวิตช์ไฟ แก๊ส และน้ำประปาทันที เปิดประตูทางเข้าออก พยายามหาสิ่งของเพื่อใช้ป้องกันศีรษะ พยายามหลบใต้โต๊ะหรือใต้อุปกรณ์เครื่องใช้ที่แข็งแรง ห้ามวิ่งออกนอกอาคารโดยตื่นตกใจ ภายนอกอาคาร ควรยืนอยู่ในที่โล่งหรือฟุตบาท ห้ามวิ่งเข้าไปในอาคารโดยตื่นตกใจ ระวังป้ายหรือกระถางที่อาจตกลงมาจากที่สูง ควรออกห่างจากอาคารที่กำลังก่อสร้าง เสาไฟฟ้า กำแพง หรือตู้จำหน่ายสินค้าที่ไม่ได้ติดตั้งอย่างแน่นหนา สึนามิ คลื่นน้ำที่เกิดขึ้นจากการย้ายที่ของปริมาตรน้ำก้อนใหญ่ คือ มหาสมุทรหรือทะเลสาบขนาดใหญ่ แผ่นดินไหวในทะเล การปะทุของภูเขาไฟและการระเบิดใต้น้ำอื่น ๆ โดยรวมถึงการจุดวัตถุระเบิดหรือวัตถุระเบิดนิวเคลียร์ใต้น้ำด้วย นอกจากนี้ ยังเกิดจากเหตุดินถล่ม ธารน้ำแข็งไถล อุกกาบาตตก เมื่อแผ่นดินใต้ทะเลเกิดการเปลี่ยนรูปร่างอย่างกะทันหัน จะทำให้น้ำ ทะเลเกิดเคลื่อนตัวเพื่อปรับระดับให้เข้าสู่จุดสมดุลและจะก่อให้เกิดคลื่นสึนามิ การเปลี่ยนรูปร่างของพื้นทะเลมักเกิดขึ้นเมื่อ เกิดแผ่นดินไหวเนื่องจากการขยับตัวของเปลือกโลก นอกจากการกระทบกระเทือนจากใต้น้ำแล้ว การที่พื้นดินขนาดใหญ่ถล่ม ลงทะเล หรือการตกกระทบพื้นน้ำของวัตถุ ก็สามารถทำให้เกิดคลื่นได้ ซึ่งคลื่นสึนามิไม่เหมือนกับคลื่นทะเลตามปกติ เพราะ มีความยาวคลื่นยาวกว่ามากแทนที่จะเป็นคลื่นหัวแตกตามปกติ ตัวคลื่นนั้นสามารถเดินทางได้เป็นระยะทางไกล โดยไม่ สูญเสียพลังงาน และสามารถเข้าทำลายชายฝั่งที่อยู่ห่างไกลจากจุดกำเนิดหลายพันกิโลเมตรได้ โดยทั่วไปแล้วคลื่นสึนามิซึ่ง เป็นคลื่นในน้ำ จะเดินทางได้ช้ากว่าการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวที่เป็นคลื่นที่เดินทางในพื้นดิน
สาเหตุของการเกิดสึ นามิ เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ การเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกตามแนวรอยเลื่อนที่ก่อให้ เกิดแผ่นดินไหวที่พื้นท้องทะเล การระบิดอย่างรุนแรงของภูเขาไฟใต้ทะเล ดินถล่มที่พื้นท้องทะเล ธารน้ำแข็งไถล อุกกาบาตตก เกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์ การทดลองระเบิดนิวเคลียร์ใต้ทะเล สึ นามิในประเทศไทยครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547 เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง ขนาด 9.2 ศูนย์กลางบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของ เกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย ห่างจาก จ.ภูเก็ต ประมาณ 580 กิโลเมตร แรงสั่นสะเทือนรับรู้ได้ถึง จ.ภูเก็ต และจังหวัด ชายฝั่งอันดามันของประเทศไทย และทำให้เกิดคลื่นสึนามิตามมา ในมหาสมุทรอินเดีย ซัดเข้าชายฝั่ง 14 ประเทศ เช่น อินโดนีเซีย ศรีลังกา มาเลเซีย รวมถึงประเทศไทย กระทบ 6 จังหวัดภาคใต้ คือ ภูเก็ต พังงา ระนอง กระบี่ ตรัง และ สตูล โดยประเทศไทย มีผู้เสียชีวิตประมาณ 5,400 ราย บาดเจ็บกว่า 8,000 ราย และสูญหายอีกจำนวนมาก บ้านเรือน ประชาชน โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร ทรัพย์สินส่วนตัวของนักท่องเที่ยว ยานพาหนะ รวมถึงระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ เช่น ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ถนน เสียหายรวมมูลค่าหลายพันล้านบาท ข้อควรปฎิบัติเมื่อเกิดสึ นามิ http://www.geo.sc.chula.ac.th/10years_tsunami/ ถ้าคาดว่าจะเกิดสึนามิให้หนีออกจากบริเวณชายฝั่ง โดยทันที เรือให้ออกจากฝั่งสู่ทะเลลึก ติดตามข้อมูลทางวิทยุ โทรทัศน์ ถ้ามีประกาศเกิดสึ นามิให้อพยพทันที ให้หนีห่างจากชายฝั่งให้ไกลที่สุด ไปยังพื้นที่สูงที่คาด ว่าปลอดภัย ให้ช่วยเหลือ เด็ก คนชรา คนพิการ ผู้ที่อ่อนแอกว่า พาหนีภัยด้วย ควรหนีภัยด้วยการเดินเท้าเพื่อหลีกเลี่ยงการจราจร ติดขัด จะกลับสู่ที่พักอาศัยก็ต่อเมื่อมีประกาศจาก ทางราชการเท่านั้นว่าปลอดภัย https://www.bangkokbiznews.com/social/979368
อุทกภัย อุทกภัยหรือน้ำท่วม ถือเป็นภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหายต่อประเทศไทยมากที่สุด ก่อให้เกิดความ สูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนบริเวณที่ราบลุ่ม ที่ลาดเชิงเขา ที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำ มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัยในหลายรูปแบบ ทั้งน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง สาเหตุของการเกิดสึ นามิ เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ฝนหนักหนักต่อเนื่อง จากอิทธิพลของพายุ หมุนเขตร้อนหรือความกดอากาศต่ำพาดผ่านพื้นที่ ทำให้ฝนตกเป็นบริเวณกว้างติดต่อกันเป็นเวลานาน จนดินไม่สามารถดูดซับน้ำ และแหล่งน้ำตาม ธรรมชาติไม่สามารถรองรับน้ำปริมาณมากไว้ได้ ฝนตกหนักบริเวณภูเขา ทำให้ปริมาณน้ำสะสมจำนวนมากบนภูเขาหรือป่าต้นน้ำ และไหลบ่าลงสู่ ที่ราบเชิงเขาอย่างรวดเร็ว (น้ำป่าไหลหลาก) น้ำทะเลหนุนสูง ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้น้ำไม่สามารถระบายลง ทะเลได้ทัน จึงเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำ ภัยธรรมชาติอื่น ๆ เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด สึนามิ คลื่นซัดฝั่ง ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิด อุทกภัยได้ เกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์ การตัดไม้ทำลายป่า ทำให้ไม่มีรากไม้ดูดซับน้ำเมื่อเกิดฝนตกหนักบริเวณภูเขา น้ำจึงไหลบ่าลงสู่ พื้นที่ด้านล่างอย่างรวดเร็ว การสร้างถนนและสิ่งปลูกสร้างกีดขวางทางไหลของน้ำ การถมดินเพื่อปรับพื้นที่การบริหาร จัดการน้ำที่ไม่มีประสิทธิภาพ
อุทกภัย ปี 54 ปี 2554 เป็นปีที่เกิดอุทกภัยในพื้นที่หลายจังหวัดตลอดทั้งปี โดยกรุงเทพฯ และปริมณฑลประสบภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ใน ช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย. ที่ถูกบันทึกไว้ว่ารุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปี นับตั้งแต่เหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯ เมื่อปี 2485 3 ปั จจัยเกิดอุทกภัยปี 54 ปัจจัยธรรมชาติ ปัจจัยทางสังคม ปัจจัยด้านการบริหารจัดการน้ำ ฝน มาเร็วกว่าปกติและปริมาณฝน ระบบระบายน้ำของ น้ำที่ระบายจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ สะสมทั้งประเทศตั้งแต่เดือนม.ค.- กรุงเทพมหานครมีปัญหา คือ (จ.ลพบุรี) และไหลมายังเขื่อนพระราม ต.ค. 2554 เนื่องมาจาก ศักยภาพการป้อนน้ำเข้าสู่ระบบสูบ หก (จ.พระนครศรีอยุธยา) ไม่ถูกผันเข้าสู่ ปรากฏการณ์ลานีญาในช่วงครึ่งแรก และอุโมงค์ระบายน้ำไม่สมดุลกับ คลองระพีพัฒน์อย่างเต็มศักยภาพ ทำให้ ของปี 2554 ทำให้ฝนมาเร็วกว่า ศักยภาพของระบบสูบและอุโมงค์ น้ำส่วนใหญ่ไหลเข้าสู่อำเภอ ปกติคือตั้งแต่เดือนมี.ค. และมี สะพานหลายแห่งที่มีตอม่อขนาด พระนครศรีอยุธยา ปริมาณมากกว่าปกติเกือบทุกเดือน ใหญ่ขัดขวางทางน้ำ ปัญหาการบริหารการระบายผ่านพื้นที่ พายุ ปี 2554 ประเทศไทยได้รับ สิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำขัดขวางการ และระบบบริหารจัดการน้ำที่มีหลาย อิทธิพลจากพายุทั้งหมด 5 ลูก ระบายน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่ หน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ พายุโซนร้อนไหหม่า นกเตน กรุงเทพฯ เช่น คลองเปรม พื้นที่หน่วงน้ำในภาคเหนือตอนล่าง เช่น ไห่ถาง เนสาด และนาลแก เริ่มจาก ประชากร และคลองลาดพร้าว บึงบอระเพ็ด (จ.นครสวรรค์) บึงสีไฟ พายุไหหม่าที่พัดถล่มภาคเหนือและ (จ.พิจิตร) ขาดการดูแลและถูกรุกล้ำ ภาคอีสานในเดือน มิ.ย. พายุนก ทำให้ความจุน้ำลดลง เตน เข้าซ้ำพื้นที่เดิมในช่วงปลาย เดือน ก.ค. เดือน ก.ย. ภาคอีสาน ถูกพายุเนสาดเล่นงานต่อ ปิดท้าย ด้วยพายุนาลแก https://siamrath.co.th/n/23366 https://www.bbc.com/thai/58992279 น้ำในเขื่อน ปริมาณน้ำไหลลงอ่าง เก็บน้ำเขื่อนภูมิพล จ.ตาก และ ข้อควรปฎิบัติเมื่อเกิดอุทกภัย เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ สูงสุดเป็น ประวัติการณ์ ขณะที่การระบายน้ำ ขนย้ายสิ่งของเครื่องใช้ขึ้นที่สูง โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าและสิ่งของมี ทำไม่ได้เพราะพื้นที่ท้ายเขื่อนมีน้ำ ค่าให้พ้นจากระดับน้ำท่วม ท่วม ตัดกระแสไฟฟ้า ปิดสวิตช์ไฟสับคัตเอาท์ เพื่อป้องกันกระแสไฟฟ้ารั่ว น้ำทะเลหนุน ช่วงปลายเดือน ต.ค. สวมรองเท้าบูททุกครั้งเมื่อเดินลุยน้ำ เพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์มี ถึงกลางเดือน พ.ย. เกิดภาวะน้ำ พิษ ของมีคมทิ่มหรือตำเท้า ทะเลหนุนสูงบริเวณอ่าวไทยทำให้ ในกรณีที่ต้องอพยพออกจากพื้นที่ ให้ปฎิบัติ ดังนี้ การระบายน้ำเป็นไปได้ช้า อพยพไปตามเส้นทางที่ปลอดภัย ไม่อพยพไปตามเส้นทางที่เป็นทางไหลของน้ำ ห้ามขับรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ผ่านบริเวณที่มีน้ำท่วมสูง
อ้างอิง ชุ มชน กองจดหมายเหตุแห่งชาติ. จดหมายเหตุการอนุรักษ์กรุ งรัตนโกสินทร์. กรุ งเทพฯ: กองจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิ ลปากร, 2525. (พิมพ์เนื่ องในการสมโภชกรุ งรัตนโกสินทร์ 200 ปี ) จันทรัศมี. “พระยาศรีวิสารวาจา,” ใน คนจีน 200 ปี ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ภาค 2. วิทยา วิทยอำนวย คุณ, ผู้รวบรวม. กรุ งเทพฯ: เส้นทางเศรษฐกิจ, 2530. รอย, เอ็ดเวิร์ด แวน. “จากผืนน้ำสู่แผ่นดิน จากตรอกเล็กสู่ถนนใหญ่: คลอง ถนน ซอย สะพาน และการ คมนาคมในสำเพ็ง.” แปลโดย วราภรณ์ จิวชัยศั กดิ์. ใน สำเพ็ง: ประวัติศาสตร์ชุมชนชาวจีนใน กรุ งเทพฯ,หน้ า 23-66. รวบรวมโดย สุภางค์ จันทวานิ ช. กรุ งเทพฯ: ศูนย์จีนศึ กษา สถาบันเอเชีย ศึ กษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549. https://www.silpa-mag.com/history/article_12832 https://hmong.in.th/wiki/Talat_Noi https://news.thaipbs.or.th/gallery/274 https://www.gourmetandcuisine.com/stories/detail/1116 เส้ นทางคมนาคม https://bit.ly/3sittcG http://planning.doh.go.th/road-system https://www.autodeft.com/deftanswer/what-are-start-and-end-point-of-4-thailand-main-road https://prezi.com/9kol1voiauo9/gms-economic-corridors/ https://www.blockdit.com/posts/5db43d99d237797ce5bda777 เรือนไทย 4 ภาค https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/880798/ https://bit.ly/38YRY7I https://www.baanjomyut.com/library/thaihouse/04.html https://bit.ly/3LVJsoK https://www.baanjomyut.com/library/thaihouse/03.html https://sites.google.com/site/baanruenthai4pak/reuxnthiy-phakh-tawan-xxk-cheiyng-henux ภัยพิบัติทางธรรมชาติของไทย https://workpointtoday.com/ https://th.wikipedia.org/wiki/%E0% https://www.bangkokbiznews.com/world/994207 https://www.mcot.net/view/rfSJ29VL http://www.dmr.go.th/main.php?filename=case_eq https://readgur.com/doc https://www.pangpond.com
นางสาวศวิตา พลวัฒน์ รหัสนักศึกษา 6311116044 นางสาวชนนิกานต์ ทะกิจ รหัสนักศึกษา 6311116050 นางสาวนภัสสร ทะวาย รหัสนักศึกษา 6311116056 สมาชิก
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: