Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เครือข่ายคอมพิวเตอร์เบื้องต้น 63209010001 ใบงานที่5

เครือข่ายคอมพิวเตอร์เบื้องต้น 63209010001 ใบงานที่5

Published by Nattakan 171147, 2021-03-04 03:34:42

Description: เครือข่ายคอมพิวเตอร์เบื้องต้น 63209010001 ใบงานที่5

Search

Read the Text Version

เครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ เบื้องตน้ รหสั วิชา 20204- 2005 (Introduction to Computer Networks) ณัฐกานต์ นนั ทน์ ัย

คานา ศึกษาและปฏิบัติเก่ยี วกบั หลักการทางานและองคป์ ระกอบของระบบ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ประเภทของเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ อุปกรณร์ ะบบ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ตวั กลางการเช่อื มตอ่ เครือขา่ ย คอมพวิ เตอร์ โปรโตคอล รปู แบบการเชอื่ มต่อเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ การติดตั้ง ระบบปฏิบตั ิการเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ ใชโ้ ปรแกรมประยกุ ตแ์ ละโปรแกรมยูทิลิต้ี บนเครือข่ายคอมพิวเตอร์

จดุ ประสงค์รายวิชา 1. เข้าใจเก่ยี วกบั หลกั การทางานและองคป์ ระกอบของระบบเครอื ข่าย คอมพวิ เตอร์ 2. สามารถเลอื กใชอ้ ปุ กรณ์และเช่ือมตอ่ ระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ เบือ้ งตน้ 3. สามารถใช้งานเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอรใ์ นองค์กร 4. มเี จตคติและกจิ นสิ ัยทด่ี ใี นการปฏบิ ตั ิงานคอมพิวเตอรด์ ว้ ยความละเอียด รอบคอบ และถกู ต้อง สมรรถนะรายวชิ า 1. แสดงความรู้เกี่ยวกบั หลักการทางานและกระบวนการของระบบเครือขา่ ย คอมพิวเตอร์ 2. ใช้อปุ กรณ์และเชือ่ มต่อระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์เบื้องต้นในการ ปฏบิ ตั งิ าน 3. ประยกุ ตใ์ ช้ในงานเครอื ข่ายคอมพวิ เตอรใ์ นการปฏบิ ัตงิ านขององค์กร

สารบญั หนา้ 1 หน่วยที่ 1 พื้นฐานรูปแบบการเชื่อมตอ่ เครอื ข่าย 12 หนว่ ยท่ี 2 เครอื ขา่ ย 18 หนว่ ยที่ 3 มาตราฐานเชอ่ื มตอ่ เครอื ขา่ ย 20 หน่วยท่ี 4 บทบาทของรปู แบบการเชื่อมตอ่ เครือขา่ ย 28 หน่วยที่ 5 อปุ กรณ์ในระบบเครือขา่ ย

พนื้ ฐานการสอ่ื สารข้อมลู 1. พ้นื ฐานการสื่อสารขอ้ มลู เมื่อเคร่ืองคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลถูกนามาใช้งานคร้ังแรกในระบบธุรกิจ ซอฟแวร์ต่าง ๆ ถูกออกแบบมาสาหรับผู้ใช้งานคนเดียว (Single User) และมีโปรแกรมส่วนน้อยที่ใช้ในการ เชือ่ มอมตอ่ เครือ่ งคอมพิวเตอร์ เครือ่ ง ประกอบส่วนบุคคลหลาย ๆ เครื่องประกอบกับเทคโนโลยีที่ มีขณะนั้นไม่สนับสนุนการเชื่อมต่อเมื่อคอมพิวเตอร์มีการใช้งานมากขึ้นและนักพัฒนาโปรแกรมได้ พัฒนาซอฟแวร์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้นและรับรองการทางานแบบผู้ใช้หลายคน จึงเป็นสาเหตุให้ บริษัทต่างเห็นความสาคัญในการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่องเข้าด้วยกันเป็นระบบ เครือข่าย การติดต่อสื่อสารข้อมูลหรือการรับส่งสารสนเทศระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์จึงกลายมา เป็นสงิ่ ทอี่ ตุ สาหกรรมคอมพิวเตอร์ต้องให้ความสาคัญ เทคโนโลยีระบบเครือข่ายจึงเป็นเทคโนโลยี ที่มีการเจริญเติบโตมากที่สุดในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ จึงเกิดความต้องการระบบเครือข่ายท่ี ใหญ่ขน้ึ เร็วข้นึ มีความปลอดภัยมากข้นึ และมีประสทิ ธภิ าพมากขึน้ ระบบเครือข่ายในปัจจุบันมีความหลากหลาย เมื่อกล่าวถึงระบบเครือข่ายคน สว่ นมากจะนกึ ถึงเครือ่ งคอมพวิ เตอร์หลายเครอ่ื งทตี่ ้ังอยู่ในทเ่ี ดียวกัน และมกี ารใช้งานเอกสารและ อุปกรณ์ร่วมกัน เช่น การใช้เครื่องพิมพ์ ( Printer ) การใช้เคร่ืองแสกนเนอร์ ( Scanner ) เป็นต้น แต่ในความเป็นจริงแล้วระบบเครือข่ายหมายถึง เคร่ืองคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ทั้งหมดท่ีอยู่ใน แผนกท่ีอยู่ในอาคารเดียวกันหรือต่างอาคารก็ได้ เนื่องจาการเช่ียมต่อระหว่างเครือข่ายคือ การ เชื่อมต่อระบบเครือข่ายต่างๆ เข้าด้วยกันเป็นระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ขึ้น ทาให้ผู้ใช้ทั่วโลก สามารถใช้สารสนเทศร่วมกันได้ ตัวอย่างเช่น การดาเนินธุรกรรมกับธนาคารไม่ว่าจะเป็นการฝาก เงิน การถอนเงิน การตรวจสอบยอดบญั ชี สิ่งเหลา่ นี้สามารถดาเนนิ การไดโ้ ดยไม่จาเป็นต้องเดินทาง ไปยังธนาคาร แตส่ ามารถดาเนินธรุ กรรมดังกลา่ วไดผ้ ่านเครื่องบรกิ ารเงินด่วนหรอื เคร่อื งเอทเี อม็ ซ่งึ เราอาจใช้บริการอยู่ภายใจจังหวัดหรือต่างจังหวัดท่ีห่างไกลกันได้เพราะเคร่ืองเอทีเอ็มเหล่านี้ได้ เช่ือมต่อออนไลน์กันในลักษณะเครือข่ายทาให้สามารถสื่อสารและใช้ฐานข้อมูลร่วมกันได้ ซึ่ง สารสนเทศท่ีใช้งานรว่ มกันนัน้ ไม่ใช่เพยี งเอกสารตัวอกั ษรเท่าน้ัน บางระบบเครือข่ายสามารถส่งผา่ น ขอ้ มูลเปน็ ระบบเสยี งออดโิ อและวีดโี อ นอกจากนีย้ งั สามารถประชุมวีดที ศั นไ์ ด้ 1

1.1 การสอ่ื สารข้อมูลและการส่งสญั ญาณขอ้ มูล การสอื่ สาร หมายถงึ กระบวนการถ่ายทอดหรอื แลกเปลย่ี นสารระหว่างผู้ สง่ กับผู้รบั โดยสง่ ผา่ นช่องทางนาสารหรอื สอื่ เพ่อื ให้เกิดความเข้าใจซง่ึ กนั และกนั เมื่อถึงยคุ การใช้คอมพิวเตอรเ์ พ่อื ช่วยการสอื่ สารจงึ เพิม่ คาว่าข้อมลู ต่อทา้ ย ดังน้ัน การสอ่ื สารขอ้ มลู ตอ่ ทา้ ย ดังนั้น การส่อื สารขอ้ มลู หมายถึง กระบวนการหรือวิธถี ่ายทอดข้อมูลระหว่างผใู้ ชก้ บั คอมพิวเตอรซ์ ่ึงมักจะอยู่ในทีห่ ่างไกลกันและจาเปน็ ต้องอาศยั ระบบการสื่อสารโทรคมนาคม ( Telecommunication ) เป็นสื่อกลางในการส่งข้อมูล รูปที่ 1.1 การส่ือสารขอ้ มูลและระบบโทรคมนาคม 2

การส่ือสารขอ้ มูลทางอิเลก็ เทอนิกสจะทาไดก้ ต็ ่อเม่ือมีองคประกอบต่างๆ ดงั ต่อไปน้ี รูปท่ี 1.2 องคประกอบของการสื่อสารขอ้ มูล 1.1.1 การส่งสัญญาณขอ้ มูล หมายถึง การสง่ ข้อมลู หรอื ข่าวสารตา่ งๆ จากอปุ กรณ์ สาหรบั สง่ หรอื ผสู้ ง่ ผ่านทางตัวกลางหรอื สื่อกลางไปยังอปุ กรณ์รับหรือผรู้ บั ข้อมลู หรือ ขา่ วสาร ซงึ่ ขอ้ มูลหรอื ข่าวสารที่ถูกส่งออกไปอาจจะอยใู่ นรูปของสัญญาณเสยี งคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ หรอื แสงก็ได้ โดยทสี่ อ่ื กลางหรอื ตัวกลางของสญั ญาณน้นั แบ่งเป็น 2 ชนดิ คือ ตวั กลางท่ีสามารถกาหนดส้นทางสัญญาณได้ เช่น สายเกลยี วคู่ ( Twisted Pair ) สายโทรศพั ทส์ ายโคแอกเชยี ล ( Coaxial )สายใยแก้วนาแสง ( Fiber Opitc ) และตวั กลางท่ีไมส่ ามารถกาหนดเสน้ ทางของสัญญาณไดเ้ ช่น สญุ ญากาศ นา้ และช้นั บรรยากาศ เป็นต้น 3

1.1.2 องค์ประกอบของการส่อื สารขอ้ มลู ประกอบดว้ ย 1.ผู้สง่ ( Sender) หรอื ต้นทางของแหลง่ ขอ้ มูล ( Source ) 2.ผรู้ บั ( Receiver ) หรือเปา้ หมายปลายทาง ( Destination ) 3.ข่าวสาร ( Message ) ทตี่ อ้ งส่ง 4.สอ่ื กลาง ( Media ) ในการเช่ือมโยงการติดตอ่ 5.ข้อตกลงในการรบั – สง่ ( Protocol) เพ่อื ใหส้ ื่อสารระหวา่ งกนั ได้อยา่ งถูกต้อง 6.ซอฟต์แวร์ ( Software ) ผู้ส่งหรอื อุปกรณส์ ง่ ข้อมูล ( Sender ) ขอ้ มูลต่างๆทอี่ ย่ตู น้ ทางจะตอ้ งจัดเตรยี มนาเขา้ สู่อปุ กรณส์ าหรับส่งขอ้ มลู ซง่ึ ไดแ้ ก่ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ ทรพั ยกรอนื่ ๆ ในเครอื ขา่ ย โมเดม็ ( MODEM ) จานไมโครเวฟ จานดาวเทียม ซึ่งขอ้ มลู เหล่าน้ันถูกเปลย่ี นให้อยใู่ นรูแปบบทสี่ ามารถสง่ ขอ้ มูลได้ กอ่ น ผู้รับหรืออุปกรณ์รับข้อมูล ( Receiver ) ขอ้ มูลท่ถี ูกสง่ จากอปุ กรณ์ส่งข้อมลู ตน้ ทาง เมือ่ ถึงปลายทางก็จะมอี ปุ กรณส์ าหรบั รบั ข้อมูลเหล่าน้ันเพ่ือนาข้อมลู น้ันเพือ่ นาข้อมูลไปใชป้ ระโยชน์ตอ่ ไป อุปกรณ์ เหลา่ นี้ ได้แก่ เคร่ืองพิมพค์ อมพวิ เตอร์โมเดม็ ( MODEM ) ไมโครเวฟ จาน ดาวเทียม ฯลฯ 4

ข่าวสาร ( Message ) เป็นรายละเอยี ดซึง่ อยู่ในรูปต่างๆ ท่จี ะสง่ ผ่านระบบการส่อื สารซึ่งมหี ลายรปู แบบ ดังน้ี 1)ข้อมูล ( Data ) เป็นรายละเอียดของสิ่งต่างๆ ซ่ึงถูกสร้างและจัดเก็บด้วย คอมพิวเตอร์ รูปแบบแน่นอน เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคล ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า เป็นต้น ข้อมูล สามารถนบั จานวนได้ และสง่ ผา่ นระบบสอื่ สารได้เร้ว 2)ข้อความ ( Text ) อยู่ในรูปของเอกสารหรือตัวอักขระ ไม่มีรูแบบท่ีแน่นอนชัดเจน นับจานวนไดค้ อ่ นขา้ งยาก และมคี วามสามารถในการส่งปานกลาง 3)รูปภาพ (Image) เปน็ ขา่ วสารท่ีอยูใ่ นรปู ของภาพกราฟคิ แบบตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ ภาพนงิ่ ภาพเคล่ือนไหว ภาพวีดีโอ ซ่ึงข้อมูลชนิดน้ีต้องอาศัยสื่อสาหรับเก็บ และใช้หน่วยความจาเป็น จานวนมาก 4)เสียง (Voice) อยู่ในรูปของเสียงพูด เสียงดนตรี หรือเสียงอื่น ๆ ข้อมูลชนิดน้ีจะ กระจัดกระจายไมส่ ามารถวดั ขนาดทแี่ น่นอนได้ การสง่ จะทาไดด้ ้วยความเรว็ ค่อนข่างตา่ ส่อื กลาง(Medium) ตัวกลางหรือส่ือกลางท่ีทาหน้าที่นาข่าวสารในรูปแบบต่าง ๆ จากผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่ง ต้นทางไปยังผู้รับหรืออุปกรณ์รับปลายทาง ซ่ึงมีหลายรูปแบบ ได้แก่ สายไฟ ขดลวด สาย เคเบลิ สายไฟเบอร์ออฟตกิ ตวั กลางอาจจะอย่ใู นรปู ของคลน่ื ทสี่ ่งผ่านทางอากาศ เช่น คลืน่ ไมโครเวฟ คลื่นดาวเทียม หรอื คลืน่ วิทยุ เป็นต้น โปรโตคอล (Protocol) โปรโตคอล คอื กฎระเบียบ หรือวธิ ีการที่ใช้เป็นข้อกาหนดสาหรับการสื่อสารเพื่อให้ ผู้รับและผู้ส่งเข้าใจกันได้ ซ่ึงมหี ลายชนิดให้เลือกใช้ เชน่ TCP/IP , X25 , SDLC เปน็ ต้น ซอฟต์แวร์ ( Software ) การส่งข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์จาเป็นต้องมีโปรแกรมสาหรับดาเนินการและควบคุม การสง่ ขอ้ มลู เพอ่ื ใหไ้ ด้ขอ้ มลู ตามที่กาหนดไว้ ไดแ้ ก่ Novell’s Netware, UNIX,Windows NT ฯลฯ 5

1.1 ชนิดของการส่ือสาร การส่ือสารขอ้ มูลระหว่างผู้รับกับผูส้ ง่ สามารถแบ่งไดเ้ ปน็ 3 ประเภท 1.2.1 การส่ือสารขอ้ มูลทิศทางเดยี ว ( Simplex Transmission ) เป็นการติดต่อสอ่ื สารเพยี งทิศทางเดียว คอื ผสู้ ง่ จะส่งขอ้ มลู ฝั่งเดยี วโดยฝง่ั รับไมม่ ีการตอบ กลบั เชน่ การกระจายเสียงของสถานวี ิทยุ การส่ง E-mail เปน็ ตน้ แสดงดังรปู ท่ี 1.3 รูปท1่ี .3 แสดงการสื่อสารขอ้ มูลทิศทางเดียว 1.2.2 การสอื่ สารข้อมูลสองทิศทางสลบั กัน (Half Duplex Transmission) เปน็ การส่ือสาร 2 ทศิ ทางแตล่ ะเวลากัน เช่น วิทยสุ ื่อสาร เป็นตน้ แสดงดงั รูป ที่ 1.4 รูปท่ี 1.4 แสดงการส่ือสารขอ้ มูลสองทิศทางสลบั กนั 5

1.2.3 การสอื่ สารขอ้ มูลสองทศิ ทางพรอ้ มกัน (Full Duplex Transmission) เปน็ การส่ือสาร 2 ทิศทาง โดยสามารถในเวลาเดยี วกันได้ เชน่ การคุยโทรศัพท์ เป็นต้นแสดงดังรูปที่ 1.5 รูปท่ี 1.5 แสดงการสื่อสารขอ้ มูลสองทิศทางพร้อมกนั 1.3 การส่อื สารข้อมลู ทางคอมพิวเตอร์ การสอื่ สารขอ้ มลู ทางคอมพิวเตอร์ หมายถงึ การโอนถ่าย (Transmission) ข้อมูลหรือการแลกเปลย่ี นข้อมลู ระหว่างผสู้ ่งต้นทางกบั ผรู้ บั ปลายทาง ทง้ั ข้อมลู ประเภทข้อความ รูปภาพ เสียง หรอื ข้อมูลสอ่ื ผสม โดยผสู้ ง่ ต้นทางส่งขอ้ มลู ผ่านอุปกรณ์อเิ ลก็ ทรอนกิ สห์ รือคอมพิวเตอร์ซ้งึ มหี น้าท่แี ปลงขอ้ มลู เหลา่ นั้นใหอ้ ยู่ในรปู สัญญาณทางไฟฟา้ ( Electronicdata)จากน้นั ถึงสง่ ไปยังอปุ กรณ์หรอื คอมพวิ เตอร์ ปลายทาง ประเภทของสัญญาณ ขอ้ มลู ท่ใี ช้ในการสื่อสารขอ้ มลู ทางคอมพิวเตอรต์ ้องเป็นขอ้ มูลทอี่ ยูใ่ นรปู สัญญาณ ทางไฟฟา้ ซ่งื สามารถจาแนกสัญญาณได้ 2 ลกั ษณะ 1.3.1 สัญญาณแบบดจิ ทิ ลั ( Digitals Signal ) เปน็ สญั ญาณทีถ่ ูกแบง่ เปน็ ช่อง ๆ อยา่ งไมต่ ่อเนอ่ื ง (Discrete) โดย ลกั ษณะสญั ญาณจะแบง่ ออกเป็นสองระดบั เพอ่ื แทนสถานะสองสถานะ คอื สถานะของ คอมพิวเตอร์ใช้สญั ญาณดิจทิ ัล 6

รูปที่ 1.6 แสดงสญั ญาณคล่ืนแบบดิจิทลั 1.3.2 สญั ญาณอนาลอ็ ก (Analog Signal) เป็นสัญาญาณคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้าท่มี ีความต่อเนื่องของสญั ญาณ โดยไม่ เปลยี่ นแปลงแบบทันทที ันใดเหมอื นกบั สัญญาณดิจิทลั เช่น เสยี งพดู หรอื อณุ หถมู ิในอากาศเมื่อ เทยี บกับเวลาทเี่ ปลยี่ นแปลงอยา่ งตอ่ เนอื่ ง 1.3.2 สัญญาณอนาลอ็ ก (Analog Signal) เปน็ สัญาญาณคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้าท่ีมีความต่อเนื่องของสัญญาณ โดยไม่ เปลย่ี นแปลงแบบทันทที ันใดเหมอื นกับสญั ญาณดจิ ทิ ัล เชน่ เสยี งพูด หรอื อุณหถมู ใิ นอากาศเม่อื เทยี บกับเวลาท่ีเปลีย่ นแปลงอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง รูปที่ 1.7 แสดงสญั ญาณแบบอนาลอ็ ก 7

1.4 สือ่ กลางการส่อื สาร ( Transmission Media ) การสง่ ข้อมูลจากผ้สู ง่ ไปยงั ผู้รับใหค้ รบถ้วนและถูกต้องจาเป็นต้องอาศัย สื่อกลางในการเชื่อมตอ่ ซ่ึงสื่อกลาง ( Medium ) ทาหน้าที่เปน็ เส้นทางเดนิ ของขอ้ มลู โดย คณุ ภาพของสญั ญาณทถี่ กู ต้องออกไปจะเกิดการสญู เสยี ความเข้มของสญั ญาณระหว่าง เสน้ ทางการสื่อสารทาให้ขอ้ มลู ฝงั รบั เกิดขอ้ ผดิ พลาดและเปน็ การทดทอนประสิทธภิ าพของ การสือ่ สารลง ซ่งึ สื่อทใี่ ช้ 1.4.1 สอ่ื กลางแบบมสี าย (Guide Media) เปน็ ส่ือซงึ่ อาศยั วัสดทุ ี่จบั ต้องได้เป็นตวั ส่งผา่ น สญั ญาณ เชน่ สายทองแดง สายคตู่ เี กลยี ว (Twisted Pair) 1.4.1.1Twisted Pair ( สายคู่ตเี กลียว ) สายคตู่ ีเกลยี วแบ่งออกเป็นสายคตู่ เี กลยี วไม่หุม้ ฉนวนเรียกสั้นๆว่า UTP( Unshielded Twisted Pair ) และสายคู่ตเี กลียวหุ้มฉนวน ( Shielded Twisted Pair ) UTP ( Unshielded Twisted Pair ) คู่สายในสายคตู่ เี กลียวไมห่ ุ้มฉนวนคลา้ ย สายโทรศพั ท์ มีหลายเส้น ซึ่งแตล่ ะเส้นกจ็ ะมสี แี ตกตา่ งไปและตลอดท้งั สายนั้นถูกหมุ้ ดว้ ยพลา สตดิ ( Plastic Cover )ซงึ่ การตเี กลยี วลักษณะน้ีจะชว่ ยใหม้ ีคณุ สมบัติในการป้องกันสัญญาณ รบกวนจากอปุ กรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ เช่น จากเคร่ืองถ่ายเอกสารทอ่ี ยู่ใกล้ๆเปน็ ตน้ ปจั จุบันเปน็ สายท่ี ไดร้ บั ความนิยมมากทส่ี ดุ เน่ืองจากราคาถกู และติดตัง้ ได้งา่ ยแสดงดังรูปที่ 1.8 รูปที่ 1.8 UTP ( Unshielded Twisted Pair )- STP (Shield Twited Pair) 8

สายคู่ตีเกลยี วหุม้ ฉนวน ( Shielded Twisted Pair )เป็นสายคู่ลกั ษณะคลา้ ยกันกบั สาย UTP แต่มีฉนวนปอ้ งกันสัญญาณรบกวน สายคู่ตเี กลยี วห้มุ ฉนวนที่เปน็ โลหะถกั เป็นรา่ งแหโลหะหรือฟอยส์ ซ่ึงรา่ งแหนจ้ี ะมีคณุ สมบัติเป็นเกราะในการปอ้ งกันสญั ญาณ รบกวนตา่ งๆภาษาเทคนิคเรยี กเกราะนวี้ ่าซิลด์ ( Shield )จะใช้ในกรณที ่ีเชือ่ มต่อเปน็ ระยะทางไกลเกินกว่าระยะทางทจ่ี ะใชส้ าย UTP รูปท่ี 1.9 สายคู่ตีเกลียวหุม้ ฉนวน ( Shielded Twisted Pair ) 1.4.1.2 สายโคแอกเชยี ล ( Coaxial Cable ) สายโคแอกเชียล ( Coaxial Cable ) มลี ักษณะแกนกลางของสายเปน็ ทองแดง แลว้ หุม้ ด้วยพลาสติกสว่ นชนั้ นอกหุม้ ด้วยโลหะหรอื ฟอยลท์ ีถ่ ักเปน็ ร่างแหเพอ่ื ป้องกนั สญั ญาณ รบกวน สายโคแอกเชียลมี 2 แบบ คอื แบบหนา ( Thick ) และแบบบาง ( Thin ) ส่วนใหญใ่ ช้ กบั ระบบเครอื ข่ายแบบ Ethernet แบบเดิม ซ่งึ ใช้เช่ือมต่อระหวา่ งเคร่ืองคอมพวิ เตอรโ์ ดยตรงไม่ ต้องใชอ้ ุปกรณ์รวมสาย ( Hub ) แตใ่ นปัจจบุ นั มีการใช้น้อยลงเนอ่ื งจากถูกแทนท่ดี ้วย สาย UTP ทม่ี รี าคาถูกกวา่ และสามารถตดิ ต้ังได้งา่ ยกว่าแสดงดังรูปที่ 1.10 รูปท่ี 1.10 สายโคแอกเชียล ( Coaxial Cable ) 9

1.4.1.3 ใยแก้วนาแสง ( Fiber – Optic ) ลกั ษณะของใยแกว้ นาแสงจะส่งสญั ญาณแสงวงิ่ ผา่ นท่อแก้วหรือท่อ พลาสติกเลก็ ๆ ซ่งึ ทอ่ แกว้ นจี้ ะถกู หุม้ ดว้ ยเจลหรือพลาสติก เพอ่ื ป้องกันความเสยี หาย และการสญู เสยี ของสัญญาณ มขี อ้ ดตี รงท่สี ง่ สญั ญาณไดร้ ะยะทางไกลโดยไมม่ ี สญั ญาณรบกวน รูปท่ี 1.11 ใยแกว้ นาแสง ( Fiber – Optic ) 1.4.2 สายกลางแบบไร้สาย ( Ungบบสu่ ided Media ) เปน็ สอ่ื กลางประเภททไ่ี มใ่ ช้วัสดุใดๆ ในการนาสญั ญาณ ซ่งึ จะไม่มกี ารกาหนดเสน้ ทางให้สญั ญาณเดนิ ทาง เชน่ คล่นื ไมโครเวฟ คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟา้ 1.4.2.1 ระบบคลน่ื ไมโครเวฟ ระบบสอ่ื สารดว้ ยคลื่นไมโครเวฟ มักใช้ในการเชือ่ มตอ่ เครอื ขา่ ยทีอ่ ยใู่ นพ้ืนท่ที ่เี ชอ่ื มต่อดว้ ยสือ่ ประเภทอ่ืนลาบาก เช่น มีแมน่ า้ ขวางกน้ั อยู่ หรือการสื่อสารขา้ มอาคาร เป็นตน้ การส่งสัญญาณ ข้อมลู ไปกับคล่ือนไมโครเวฟเปน็ การส่งสญั ญาณขอ้ มลู แบบรบั ชว่ งต่อๆกันจากสถานรี ับส่ง สัญญาณหน่ึงไปยังอีกสถานนีหนง่ึ โดยสามารถเกดิ สญั ญาณรบกวน ซึ่งสภาพดินฟ้าอากาศมผี ล ตอ่ การสง่ คลน่ื ไมโครเวฟพอสมควร เชน่ ถา้ สภาพอากาศมีฝนหรอื ควนั มาก สัญญาณไมโครเวฟ จะถกู รบกวนได้ ด้วยเหตุนีท้ าให้เคร่อื งสง่ รบั ไมโครเวฟส่วนใหญจ่ ะถกู ออกแบบมาให้ทางานใน สภาพอากาศต่างๆท่แี ตกตา่ งกัน แสดงดงั รูปท่ี 1.12 10

รูปที่ 1.12 ระบบคล่ืนไมโครเวฟ 1.4.2.2 ระบบดาวเทียม การสอ่ื สารผา่ นดาวเทียมเปน็ การส่อื สารที่สถานรี ับ – สง่ ทีอ่ ยูบ่ นพน้ื ดิน ส่งตรงไปยงั ดาวเทียม แลว้ ส่งกลับมายงั ตัวรับปลายทางทพี่ ื้นดนิ อีกครัง้ หนงึ่ ลักษณะการสื่อสารระบบดาวเทียมเหมาะสาหรับ การตดิ ตอ่ สอื่ สารระยะไกลที่ระบบส่อื สารอนื่ ๆ เข้าถึงลาบาก เช่น เดนิ เรืออยูก่ ลางทะเล แสดงดังรปู ที่ 1.13 รูปท่ี 1.13 ระบบดาวเทียม สัญญาณรบกวนและสภาพดินฟา้ อากาศนบั ว่ามผี ลตอ่ การสง่ ขอ้ มลู จากสถานพี ้นื โลกกับ ดาวเทยี มอย่พู อสมควรร เพราะว่าสภาพอากาศที่แปรปรวนจะรบกวนสัญญาณให้ผิดเพยี้ น ไปได้ โดยสว่ นใหญ่ดาวเทียมจะถกู ออกแบบมาให้ชดเชยการรบกวนของสภาพอากาศท่ี แปรปรวนเหล่าน้นั เชน่ ฝน หรอื หมอก เปน็ ตน้ 11

เครอื ขา่ ย เครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ (Computer Network) เครือข่ายสามารถจาแนกออกไดห้ ลายประเภทแล้วแตเ่ กณฑท์ ใี่ ช้ คล้ายกบั การจาแนก ประเภทของรถยนต์ ถ้าใชข้ นาดเป็นเกณฑ์ ก็จะแบ่งได้เปน็ รถยนต์ขนาดเลก็ รถสิบล้อ เปน็ ต้น หรือถ้าเป็นลกั ษณะการใช้งานเป็นเกณฑก์ จ็ ะแบง่ ไดเ้ ป็นรถโดยสาร รถบรรทุกสนิ คา้ รถสว่ น บุคคล เปน็ ต้น เครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ก็เช่นกนั สามารถจาแนกไดห้ ลายวิธี ข้นึ อยู่กับเกณฑท์ ใ่ี ช้ โดยทวั่ ไปการจาแนกประเภทของเครอื ขา่ ยมีอยู่ 3 วธิ ี คือ · เครือขา่ ยท้องถนิ่ LAN (Local Area Network) · เครอื ข่ายระดบั เมือง MAN (Metropolitan Area Network) · เครือข่ายระดับประเทศ WAN (Wide Area Network) ระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ แบ่งตามลักษณะการเช่อื มต่อทางภูมศิ าสตร์ หรือระยะทางการ เชื่อมตอ่ สามารถแบง่ ไดเ้ ปน็ 3 ประเภท คือ 1. เครอื ขา่ ยทอ้ งถ่นิ LAN (Local Area Network) รูปท่ี 2.1 เครือข่ายทอ้ งถ่ิน 12

2. เครือข่ายระดับเมือง MAN (Metropolitan Area Network) รปู ท่ี 2.2 เครอื ขา่ ยระดบั เมอื ง ระบบเครือข่ายระดับเมอื ง (Metropolitan Area Network : MAN) หมายถึง การเชื่อมตอ่ เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอรท์ ่ีมรี ะยะทางการเชื่อมตอ่ ไกลกวา่ ระบบเครือขา่ ยทอ้ งถน่ิ (LAN) แตร่ ะยะทาง ยังคงใกลก้ วา่ ระบบ WAN (Wide Area Network) ไดแ้ ก่ เครอื ข่ายคอมพวิ เตอรท์ ี่เชอ่ื มตอ่ กนั ภายในเมอื งเดียวกนั หรือจังหวัดเดียวกนั ในเขตเดียวกัน เปน็ ตน้ 3. เครือข่ายระดบั ประเทศ WAN (Wide Area Network) รูปที่ 2.3 เครือข่ายระดบั ประเทศ 13

ระบบเครือข่ายระดับประเทศ (Wide Area Network : WAN) หมายถึง การเชือ่ มต่อ คอมพิวเตอร์ระยะไกล เช่น ระหว่างประเทศ การเชอ่ื มตอ่ เครือขา่ ยทั่วโลก เน่อื งจากเปน็ การติดตอ่ สื่อสารระยะไกล อตั ราการบั – สง่ ขอ้ มูลจึงต่า และมีโอกาสผิดพลาดไดส้ งู การ สือ่ สารระยะไกลจาเป็นตอ้ งมอี ปุ กรณแ์ ปลงสัญญาณ คอื โมเดม็ ชว่ ยในการติดต่อสอื่ สาร และสามารถนาเครือขา่ ย LAN มาเช่ือมต่อกนั เปน็ เครอื ขา่ ยระยะไกลได้ ตัวอย่างของ เครือขา่ ยระยะไกล เชน่ อินเทอร์เน็ต เครอื ข่ายระบบงานธนาคารทัว่ โลก เครือขา่ ยของสาย การบนิ เปน็ ต้น สาหรบั เครือขา่ ยระดับประเทศนสี้ ามารถรองรับความเร็วท่แี ตกต่างกันได้ ตั้งแต่ 56 กโิ ลบิตตอ่ วินาที หรือน้อยกว่าจนสามารถขยายขดี สูงสดุ ดว้ ยความเรว็ ถงึ 10 กิโลบิตตอ่ วนิ าที รูปแบบและการทางานของระบบเครอื ขา่ ยไรส้ าย ระบบเครือข่ายไร้สาย เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดเลก็ ที่ ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ไม่มากนัก และมกั จากัดอยูใ่ นอาคารหลังเดียวหรอื อาคารในละแวกเดียวกัน การใชง้ านท่ีนา่ สนใจทีส่ ดุ ของเครือข่ายไร้สาย คือ ความสะดวกสบายที่ไมต่ ้องติดอยู่กบั ท่ี ผูใ้ ชส้ ามารถเคลอ่ื นที่ไปมาได้โดยทย่ี งั ส่ือสารอยใู่ นระบบเครอื ขา่ ย รปู แบบการเชือ่ มต่อของระบบเครอื ข่ายไรส้ าย 1) Peer-to-Peer (ad hoc mode) รูปแบบการเชื่อมต่อระบบแลนไร้สายแบบ Peer to Peer เปน็ ลกั ษณะการเชื่อมตอ่ แบบ โครงขา่ ยโดยตรงระหว่างเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์จานวน 2 เคร่ืองหรอื มากกว่านัน้ เป็นการใช้งาน ร่วมกันของ wireless adapter cards โดยไมไ่ ด้มกี ารเชอ่ื มตอ่ กับเครือขา่ ยแบบใช้สายเลยโดยท่ี เคร่ืองคอมพิวเตอรแ์ ตล่ ะเคร่ืองจะมคี วามเทา่ เทยี มกัน สามารถทางานของตนเองไดแ้ ละขอใช้ บรกิ ารเครอ่ื งอน่ื ได้ เหมาะสาหรบั การนามาใช้งานเพอ่ื จดุ ประสงคใ์ นด้านความรวดเร็วหรือติดตง้ั ไดโ้ ดยง่ายเมอื่ ไมม่ ีโครงสรา้ งพนื้ ฐานท่ีจะรองรบั ยกตัวอยา่ งเชน่ ในศนู ยป์ ระชมุ หรอื การประชมุ ท่ี จดั ขน้ึ นอกสถานที่ 14

2) Client/server (Infrastructure mode) ระบบเครือขา่ ยไรส้ ายแบบ Client/server หรอื Infrastructure Mode เป็นลักษณะการ รบั สง่ ข้อมลู โดยอาศยั Access Point (AP) หรอื เรยี กว่า “Hot spot” ทาหนา้ ทเี่ ป็นสะพาน เชอื่ มตอ่ ระหวา่ งระบบเครอื ข่ายแบบใช้สายกบั เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ลูกขา่ ย (Client) โดยจะกระจาย สญั ญาณคลืน่ วทิ ยเุ พอื่ รบั – สง่ ขอ้ มลู เปน็ รศั มโี ดยรอบ เครอื่ งคอมพวิ เตอร์ท่อี ย่ใู นรัศมีของ AP จะ กลายเป็นเครอื ขา่ ยกลมุ่ เดยี วกันทันที โดยเครื่องคอมพวิ เตอร์จะสามารถติดตอ่ กนั หรือติดตอ่ กบั Server เพอ่ื แลกเปลีย่ นและคน้ หาข้อมลู ได้ โดยตอ้ งติดต่อผา่ น AP เทา่ นัน้ ซ่ึง AP 1 จุด สามารถให้บรกิ ารเคร่ืองลูกขา่ ยไดถ้ ึง 15-50 อุปกรณ์ของเครอ่ื งลกู ขา่ ยแบบใช้สายเดิมในออฟฟิศ หอ้ งสมุด หรือในห้องประชมุ เพื่อเพม่ิ ประสิทธภิ าพในการทางานให้มากขึน้ 3) Multiple access points and roaming โดยท่ัวไปแล้วการเชือ่ มตอ่ สญั ญาณระหวา่ งเครอ่ื งคอมพิวเตอรก์ ับ Access Point ของ เครอื ขา่ ยไร้สายจะอยใู่ นรัศมปี ระมาณ 500 ฟุต ภายในอาคาร และ 1,000 ฟุต ภายนอกอาคาร หากสถานทีท่ ตี่ ิดตัง้ มีขนาดกว้างมาก ๆ เช่น คลังสนิ คา้ บรเิ วณภายในมหาวทิ ยาลยั สนามบิน จะต้องมกี ารเพ่ิมจดุ การติดตงั้ AP ใหม้ ากขึ้น เพ่อื ให้การรับ – สง่ สัญญาณในบริเวณของเครอื ข่าย ขนาดใหญ่เป็นไปอยา่ งครอบคลมุ ทวั่ ถึง รูปที่ 2.4 รูปแบบการวางระบบ Wireless LAN 15

· Wireless LAN เปน็ ระบบเน็ตเวิร์คแบบไมต่ ้องต่อสาย · การใช้ Access Point (AP) เปน็ ตัวกลางนัน้ สามารถเทยี บไดก้ บั Ethernet Hub ซ่งึ มคี วามเรว็ 10 Mbps ท่ีแชรก์ ันใช้ระหวา่ งอปุ กรณ์ท่เี ชอ่ื มตอ่ ทั้งหมดแบบ half- duplex (คอื ในเวลาใดเวลาหน่งึ สามารถรบั - ส่งไดท้ ลี ะอปุ กรณ์สลบั กนั ไป โดยมรี ะบบควบคมุ การรบั -สง่ ด้วย Carrier Sense Multiple Access with Collision Detection (CSMA- CD)) ส่วน Wireless LAN นน้ั สามารถรบั – สง่ ข้อมลู ได้ทีละหนึง่ อุปกรณส์ ลบั กันไป เหมอื นกนั โดยมีแบนดว์ ธิ 11 Mbps เมอ่ื อุปกรณ์ใดต้องการส่งข้อมลู อปุ กรณ์นน้ั จะ ตรวจสอบและรอการสง่ ข้อมลู เม่ือมีชอ่ งสัญญาณว่าง และ Wireless LAN นนั้ ใช้ Carrier Sense Multiple Access with Collision Avoidance · มาตรฐาน 802.11 ทางานในระดั MAC และ PHY (หรอื Layer 1 และ Layer 2) ดังน้ัน Wireless LAN จงึ สามารถรองรับ Protocol ต่าง ๆใน ระดบั Network และ LAN ได้ เช่น IP, IPX, Apple Talk, NetBEUI และอ่ืน ๆ รูปท่ี 2.5 การวางระบบ Wireless LAN โดยใช้ Access Point · Basic Coverage Area (BSA) เป็นพนื้ ท่ที ส่ี ญั ญาณ RF ของ Access Point ครอบคลุม · Access Point นัน้ เช่อื มต่อกับ Network Backbone · หาก Access Point ตัวเดียวไม่สามารถครอบคลุมพน้ื ที่สาหรบั รองรับอปุ กรณ์ตา่ ง ๆ ได้ สามารถนา Access Point มาเพิม่ ในระบบได้ โดยพ้ืนท่ีทค่ี รอบคลมุ ทัง้ หมดเรียกวา่ “Extended Service Area(ESA)” · โดยปกติควรวางระบบใหม้ ีพน้ื ที่ของ AP ต่าง ๆ ซ้อนทับกนั ประมาณ 10-15% เพอื่ ปอ้ งกนั ไม่ใหผ้ ใู้ ชห้ ลุดการเชื่อมตอ่ · AP ท่ีติดกนั ควรกาหนด Channel ท่ตี า่ งกัน และเปน็ Channel ท่ีไมซ่ อ้ นทบั กนั เพ่ือ ประสทิ ธิภาพการทางานทสี่ งุ สุด 16

รูปที่ 2.6 การวางระบบที่ประกอบไปดว้ ย Repeater · ในกรณที จี่ าเปน็ ต้องเพิ่มพืน้ ที่รองรับการทางาน แตไ่ มส่ ามารถเพ่มิ Network Backbone เข้า ไปใกล้ ๆ ได้ หรืออาจไม่สะดวก สามารถใช้ Wireless Repeater ได้ โดย Repeater เป็นอปุ กรณ์ท่ี ทางานเป็น AP ได้โดยไม่ต้องมกี ารเชอื่ มต่อกบั Backbone · การตดิ ตั้ง ควรให้มพี ื้นทซี่ ้อนทับกันประมาณ 50% กบั AP ที่เชื่อมต่อ กบั Backbone และ Wireless Repeater · อัตราการรบั -สง่ ข้อมูลอาจลดลงไดเ้ นื่องจากมีการรบั และสง่ ขอ้ มลู ซา้ (สาหรบั repeater ของ Cisco สามารถใช้ไดถ้ ึง 6 hops หรือใช้ Repeater ไมเ่ กนิ 5 ตวั ) รูปที่ 2.7 การใชง้ านแบบ Peer – to – Peer · เป็นการใชง้ าน Wireless LAN โดยไมต่ อ้ งใช้อุปกรณอ์ ่ืน นอกจากอุปกรณท์ ี่มี Wireless network card จานวนสองหรือมากกวา่ (ไมจ่ าเปน็ ต้องใช้ AP) · เหมาะกบั สานักงานขนาดเล็ก (หรอื โฮมออฟฟิศ) เช่น การแชรไ์ ฟลใ์ หก้ บั ผู้ใช้หลาย ๆ คน 17

มาตราฐานการเชื่อมตอ่ เครอื ขา่ ย 1. แบบจาลอง OSI Model การเชอื่ มตอ่ คอมพิวเตอรเ์ ป็นระบบเครอื ข่ายในยคุ แรกจะมีลกั ษณะเฉพาะตัวตาม บริษทั ผผู้ ลติ อุปกรณ์เครอื ขา่ ยนนั้ ๆ ทาให้เกิดปญั หาความเขา้ กันไดข้ องอปุ กรณท์ ผ่ี ลติ จากตา่ ง บรษิ ัทกัน ดังนนั้ หนว่ ยงานมาตรฐานสากล (International Standard Organization) หรอื ISO จึงได้กาหนดโครงสรา้ งมาตรฐานในการรบั – ส่งขอ้ มลู ในเครือข่าย คอมพิวเตอร์ใหเ้ ป็นแบบเดียวกนั เพื่อให้ใชง้ านรว่ มกันได้ เรยี กวา่ แบบจาลอง OSI Model (Open System Interconnection Model) เพ่ือใช้เป็นแบบอ้างองิ ในการผลติ ทาใหอ้ ุปกรณ์ เครือขา่ ยตา่ งบรษิ ัทกนั สามารถใช้งานร่วมกันได้โดยไม่มปี ัญหา แบบจาลอง OSI Model จะแบ่ง การเช่ือมต่อในเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ออกเปน็ ช้ันย่อย ๆ จานวน 7 ชั้น ลักษณะการเช่ือมตอ่ คอื แตล่ ะชั้นหรือแตล่ ะเลเยอร์ (Layer) จะเสมอื นเช่ือมตอ่ ถงึ กนั และกันแต่ ในสว่ นของการเชอ่ื มต่อจรงิ ทางกายภาพจะมเี พยี งช้ันล่างสุดคอื Physical Layer เท่านั้นที่ เช่ือมต่อถึงกนั ส่วนช้นั อน่ื ๆ จะไม่ได้เชื่อมต่อถึงกนั จริง เพยี งแตเ่ สมอื นวา่ เชื่อมต่อกันโดยผ่าน กลไกในระบบเครอื ข่ายเทา่ นน้ั หนา้ ทขี่ องแต่ละชน้ั จะเป็นดงั นี้ 1.1 Application Layer ทาหน้าที่ในการเชื่อมต่อขอ้ มูลระหว่างผ้ใู ช้งานกับโปรแกรมใชง้ าน โดยจะแบง่ คาสัง่ ตา่ ง ๆ ทผี่ ู้ใชก้ าหนดผา่ นทางเมนู หรือการคลกิ เมาส์ ส่งใหโ้ ปรแกรมใช้งาน ซึ่งโปรแกรมใช้ งานจะไปเรยี กฟังกช์ ั่นท่ใี ห้บริการจากระบบปฏบิ ตั กิ ารอีกตอ่ หนึง่ ดังนน้ั คาสั่งหรอื ขอ้ มลู ทผี่ ้ใู ช้สง่ มาให้จะต้องถกู ตอ้ งตามกฎเกณฑ์ของระบบปฏบิ ตั กิ ารน้นั ๆ หากมีข้อผิดพลาดฟังก์ชันที่เรยี กใช้ งานกจ็ ะแจง้ กลบั มายงั โปรแกรม และโปรแกรมใชง้ านก็จะแสดงข้อความการผิดพลาดใหก้ ับผู้ใช้อกี ตอ่ หน่งึ ลกั ษณะการทางานส่วนใหญ่ในชั้นน้ี ไดแ้ ก่ การระบุตาแหน่งของเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ ปลายทาง การกาหนดสทิ ธใิ นการเขา้ ถึงขอ้ มลู ตวั อยา่ งเชน่ การเข้าใชง้ านระบบ E-Mail การถา่ ย โอนไฟล์ในเครือขา่ ย 18

1.2 Presentation Layer เปน็ ชัน้ ท่ที าหน้าท่ีเปน็ สว่ นติดต่อระหว่างช้ัน Application และ Session ให้ เข้าใจกัน โดยจะเปน็ การสรา้ งขบวนการย่อย ๆ ในการทางานระหว่างกัน และจดั รปู แบบการ นาเสนอขอ้ มลู ในการส่อื สารใหเ้ ข้าใจกันได้ เช่น การแปลงรหสั ขอ้ มลู การเข้ารหสั (Encrypt) และ การถอดรหสั (Decrypt) 1.3 Session Layer เป็นช้นั ท่ที าหนา้ ท่ีสรา้ งสว่ นตดิ ต่อ (Session) ในการสอ่ื สารขอ้ มลู โดย กาหนดจังหวะในการรับ – ส่งขอ้ มลู ว่าจะทางานในแบบผลดั กนั สง่ (Half Duplex) หรือสง่ รบั พรอ้ มกัน (Full Duplex) โดยจะสร้างเปน็ ส่วนของชดุ ขอ้ มลู โตต้ อบกัน 1.4 Transport Layer ทาหน้าที่แบ่งข้อมลู ทม่ี ขี นาดใหญ่เกินมาตรฐานการรับ – สง่ ออกเปน็ ส่วนย่อย ๆ ให้เหมาะสมกบั การทางานทางฮาร์ดแวรข์ องอปุ กรณ์ในระบบเครอื ขา่ ยตามมาตรฐานที่ใช้งาน 1.5 Network Layer ทาหนา้ ท่เี ชอ่ื มต่อและกาหนดเส้นทางในการรบั – ส่งขอ้ มลู ผ่านระบบ เครือขา่ ย โดยจะนาขอ้ มูลในช้ันบนทส่ี ง่ มาในรปู ของ Package หรือ Frame ซง่ึ มเี พยี งแอดเดรส ของผู้รับ – ผสู้ ่ง ลาดับการ รับ – สง่ ข้อมลู และส่วนของขอ้ มลู นอกจากนี้ยังทา หน้าทใี่ นการสถาปนาการเชือ่ มต่อในครัง้ แรก (Call Setup) และการยกเลกิ การติดต่อ (Call Clearing) 1.6 Data Link Layer ทาหน้าท่ใี นการจัดเตรียมขอ้ มลู ในการเชอ่ื มตอ่ ให้กับอปุ กรณ์ทางฮาร์ดแวร์ โดยหลงั จากท่ไี ด้รบั ขอ้ มลู จากชั้น Network Layer ท่ีกาหนดเสน้ ทางในการติดตอ่ และทาการ ตรวจสอบขอ้ ผิดพลาดในการรับ – ส่งขอ้ มูล เพอ่ื ใหข้ ้อมลู ทีร่ บั – สง่ กันตรงกบั มาตรฐานการรับ – ส่งขอ้ มูลในระดับฮาร์ดแวร์ เช่น มาตรฐานอเี ทอรเ์ นต็ (Ethernet) มาตรฐานโทเค็นรงิ (Token Ring) เปน็ ต้น 1.7 Physical Layer เป็นชั้นลา่ งสดุ ของแบบจาลอง OSI Model และเป็นชัน้ ท่ีมกี ารเชื่อมต่อจรงิ ทางกายภาพ ในช้นั น้จี ะเปน็ สว่ นทใ่ี ชก้ าหนดคุณสมบตั ิทางกายภาพของอปุ กรณท์ ่ีจะนามาเชอ่ื มต่อ กนั เช่น จะใชข้ ว้ั ตอ่ สญั ญาณแบบใด ใช้การรับ – สง่ ขอ้ มลู แบบใด ความเรว็ ในการรบั – สง่ ขอ้ มูล ท่ีจะใช้เปน็ เทา่ ใด ขอ้ มลู ในชัน้ น้ีจะอยู่ในรูปของสญั ญาณทางไฟฟา้ แบบดจิ ิตอล 19

รปู แบบการเช่ือมต่อเครอื ขา่ ย 2. โปรโตคอลในการสื่อสารข้อมูล โปรโตคอล (Protocol) คือ ขอ้ ตกลงร่วมกันระหว่างผู้รับและผสู้ ง่ เพ่ือใหส้ ามารถ ส่ือสารกันได้อย่างเข้าใจ เหมือนการใชภ้ าษาในการสอื่ สารเดียวกัน โปรโตคอลท่ีใชใ้ นการสื่อสาร ขอ้ มูลมอี ยู่หลายชนิด แต่ที่พบเห็นกนั ทวั่ ไป มีดังนี้ 2.1 โปรโตคอล IPX/SPX โปรโตคอล IPX/SPX เปน็ โปรโตคอลทพี่ ัฒนาขึน้ โดยบรษิ ัท Novell และ นาไปใช้ในเครอื ขา่ ยเนต็ แวร์ (Netware) ซง่ึ เปน็ ระบบปฏบิ ตั กิ ารเครอื ข่ายทนี่ ยิ มกนั อยา่ งมากใน สมัยก่อน โปรโตคอล IPX/SPX ประกอบดว้ ย 2 สว่ นหลกั คอื โปรโตคอล IPX (Internet work Package Exchange) ซง่ึ เปน็ โปรโตคอลในลักษณะไมร่ ับประกนั ในการส่ง (Connection less Network Service) คือ รบั ขอ้ มลู เขม้ าแล้วส่งไปไปยงั ปลายทางทนั ที และโปรโตคอล SPX (Sequenced Package Exchange) ซง่ึ เปน็ โปรโตคอลทมี่ กี ารรบั ประกนั การส่งข้อมลู ว่าขอ้ มูล จะถกู สง่ ถงึ ผ้รู ับอยา่ งแนน่ อน ซึ่งถ้าผรู้ ับยังไมไ่ ด้รบั ขอ้ มลู หรอื ไดร้ บั ขอ้ มูลไม่ครบถ้วนก็จะมกี าร สง่ ข้อมูลซา้ จนกวา่ ผรู้ บั จะไดร้ บั (Connection-Oriented Network Service) ทาใหส้ ่งได้ แนน่ อนกว่า แต่จะสง่ ไดช้ า้ กวา่ การส่งโดยใชโ้ ปรโตคอล IPX 2.2 โปรโตคอล NetBEUI โปรโตคอล NetBEUI (Net Bios Extended User Interface) เปน็ โปรโตคอลทพ่ี ัฒนาโดยบรษิ ทั ไมโครซอฟต์ ซึง่ พัฒนามาจากโปรโตคอล NetBIOS (Network Basic Input Output System) ของบริษัทไอบเี อม็ อกี ตอ่ หน่งึ โปรโตคอล NetBEUI เปน็ โปรโตคอลขาดเล็ก และใชว้ ธิ ีกาหนดการติดต่อในลกั ษณะของชือ่ เครอ่ื ง (Host) และชอ่ื เครือข่าย (Workgroup) ขอ้ ดขี องโปรโตคอลชนิดน้คี อื มีความเรว็ ในการทางานสงู และใชง้ านได้งา่ ย แต่ขอ้ จากัดคือใชไ้ ดเ้ ฉพาะเครือข่ายทีใ่ ชร้ ะบบปฏบิ ัตกิ าร Windows เท่านนั้ นอกจากน้ียังไม่มี ความสามารถในการคน้ หาเสน้ ทาง จงึ ใช้เฉพาะเครอื ข่ายแบบ Peer to Peer 20

2.3 โปรโตคอล TCP/IP โปรโตคอล TCP/IP (Transmission Control Protocol / Internet Protocol) เปน็ โปรโตคอลทีน่ ยิ มใช้งานแพรห่ ลายมากทีส่ ุด ถูกใช้เปน็ โปรโตคอลในการรบั – สง่ ข้อมลู ในเครอื ข่าย Internet จุดเดน่ คอื ความสามารถในการว่ิงหาเสน้ ทางใหมใ่ นการสง่ ขอ้ มลู ไป ยงั ปลายทางได้ อกี ทั้งยังเปน็ เทคโนโลยเี ปิด (Open Source) จงึ สามารถใช้งานไดโ้ ดยไม่ต้องเสีย ค่าลิขสิทธแ์ิ ตอ่ ย่างใด 2.4 โปรโตคอล Apple Talk โปรโตคอล Apple Talk เปน็ โปรโตคอลทีส่ ร้างข้ึนโดยบรษิ ทั Apple Computer เพอ่ื ใช้ในเครอื ขา่ ยของเคร่อื งคอมพิวเตอร์ Apple ทใ่ี ช้ระบบปฏบิ ัติการ Mac OS ซึ่ง มจี ดุ เดน่ คอื สามารถเชือ่ มโยงเป็นเครอื ขา่ ยไดง้ า่ ยโดยไมต่ อ้ งซอื้ อปุ กรณ์หรือซอฟตแ์ วร์เครือขา่ ย มาเพมิ่ เตมิ แตข่ อ้ จากดั คือ ใชใ้ นเครอื ขา่ ยที่ใช้เครือ่ งคอมพวิ เตอร์ Apple เทา่ นั้น 3. โปรโตคอล TCP/IP โปรโตคอล TCP/IP (Transmission Control Protocol / Internet Protocol) เป็นมาตรฐาน ท่ีเกิดข้ึนก่อนการกาหนดมาตรฐาน OSI Model และมีการใชง้ านแพร่หลายบนเครือข่าย อินเตอรเน็ต นอกจากน้ียงั ไม่ตอ้ งเสียค่าลิขสิทธ์ิในการใช้ จึงทาใหเ้ ป็นมาตรฐานถือวา่ มีการใช้ งานมากที่สุดในปัจจุบนั ช้นั Application ของ TCP/IP จะเสมือนรวมช้นั Application ช้นั Presentation และ ช้นั Session เขา้ เป็นช้นั เดียวกนั โดยมีหนา้ ท่ีเป็นส่วนในการติดต่อระหวา่ งผใู้ ชง้ านกบั ส่วน บริการต่าง ๆ เช่น การโอนยา้ ยไฟล (FTP), การรับส่งจดหมายอิเลก็ ทรอนิกส (SMTP) หรือ บริการในการควบคุมเครื่องระยะไกล (Telnet) ช้นั Transport ของ TCP/IP จะทาหนา้ ที่เช่นเดียวกบั Transport ของ OSI Model คือ จดั เตรียมขอ้ มูลในการรับ – ส่ง เพื่อควบคุมการรับ – ส่งขอ้ มูลใหม้ ีเสถียรภาพเช่ือถือได้ รวมท้งั การตดั แบ่งขอ้ มูลเป็นส่วนยอ่ ย ส่วนช้นั Internet จะทาหนา้ ที่เช่นเดียวกบั ช้นั Network ของ OSI Model ในการเลือก เสน้ ทางการส่งขอ้ มูลรวมท้งั การสร้างสภาวะการเช่ือมต่อ และสภาวะยกเลิกการเชื่อมต่อ ช้นั Host to Network จะทาหนา้ ที่แปลง IP Address เป็นหมายเลขประจาตวั ทาง ฮารดแวรของอุปกรณเครือข่ายเพ่ือใชใ้ นการรบั – ส่งขอ้ มูลตามมาตรฐานทางฮารดแวรท่ีใช้ เช่น ระบบอีเทอรเน็ตหรือ โทเคน็ ริง ซ่ึงคลา้ ยกบั การรวม ช้นั Data Link และ ช้นั Physical ของ OSI Model เขา้ ดว้ ยกนั โปรโตคอล TCP/IP 21

1. ลักษณะการเชื่อมโยงเครือข่าย ลักษณะการเชือ่ มโยงเครอื ขา่ ยในทน่ี ้หี มายถึง การสรา้ งเส้นทางหรอื ล้งิ ค์ (Link) เพอื่ เชอื่ มโยงระหว่างอปุ กรณใ์ หส้ ามารถสอ่ื สารกันได้ ซงึ่ มีอยู่ 2 ลกั ษณะ ด้วยกัน คอื 1.1 การเชอื่ มโยงเครือข่ายแบบจุดต่อจดุ (Point to Point) เปน็ การเชอื่ มตอ่ ระหว่างอุปกรณ์ 2 อปุ กรณ์ท่ีมกี ารเชื่อมโยงถงึ กัน เทา่ นั้น โดยช่องทางการส่อื สารจะถูกจับจองสาหรบั อปุ กรณ์ 2 อปุ กรณ์เพือ่ ใช้สื่อสาร ระหวา่ งกนั อย่างไรกต็ าม หากโหนดคใู่ ดท่ไี มม่ สี ายสง่ ถึงกนั กส็ ามารถสอื่ สารผา่ นโหนดที่ อยู่ตดิ กนั เพ่อื ส่งทอดตอ่ ไปเรื่อย ๆ จนถงึ โหนดปลายทางท่ีตอ้ งการ เช่น จากรูป โหนด A ตอ้ งการสอ่ื สารกับโหนดปลายทาง คือ โหนด D ซึ่งมลี ง้ิ ค์ ระหว่าง A กบั D ดังนนั้ โหนด A จึงต้องพงึ่ พาล้ิงค์ C เพอื่ สง่ ทอดข้อมูลไปยงั โหนด D เปน็ ตน้ รูปที่ 4.1 การเชื่อมโยงเครือข่ายแบบจุดต่อจุด 22

2 การเช่ือมโยงเครือข่ายแบบหลายจุด (Multi Point) เป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายท่ีใชเ้ ส้นทางหรือลิ้งค เพอื่ การสื่อสารร่วมกนั กล่าวคือ อุปกรณต่าง ๆ สามารถส่ือสารระหวา่ งกนั ไดด้ ว้ ยการใชล้ ิ้งคหรือสายส่ือสาร เพยี งเสน้ เดียว ดงั น้นั วธิ ีการเชื่อมโยงชนิดน้ีทาใหป้ ระหยดั สายส่งขอ้ มูลกวา่ แบบแรกมาก โดยระบบเครือข่าย คอมพิวเตอรส่วนใหญ่แลว้ จะใชว้ ธิ ีการเชื่อมโยงแบบหลายจุด รูปท่ี 4.2 การเชื่อมโยงเครือข่ายแบบหลายจุด รูปแบบการเชอื่ มโยงเครือขา่ ย (Topologies) . ลกั ษณะการเช่ือมต่อทางกายภาพระหว่างเครอ่ื งคอมพิวเตอรใ์ นระบบเครอื ข่าย ซงึ่ แบง่ ออกตามหลักวิชาการตงั้ แตส่ มัยกอ่ นนั้น แบ่งไดเ้ ป็น 4 แบบ คือ · โครงสรา้ งแบบบสั (Bus Topology) · โครงสรา้ งแบบสตาร์ (Star Topology) · โครงสรา้ งแบบวงแหวน (Ring Topology) · โครงสร้างแบบผสม (Hybrid Topology) 1. โครงสร้างแบบสตาร์ (Star Topology) ลกั ษณะการเชอ่ื มตอ่ ของโครงสร้างแบบสตาร์นดี้ ไู ปแลว้ จะคล้าย ๆ ดาวกระจาย คอื จะมีอปุ กรณ์ เช่น ฮับ หรือสวติ ซ์ เปน็ ศนู ย์กลาง ซ่ึงการเชอื่ มตอ่ แบบนีม้ ปี ระโยชน์คอื ถา้ มีสายเส้นใดเสน้ หนง่ึ หลุดหรอื เสยี ก็จะไม่มผี ลกระทบตอ่ การทางานของระบบ 23

รูปท่ี 4.3 การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบดาว 1. โครงสร้างแบบบสั (Bus Topology) เป็นการเชอ่ื มตอ่ เครอื่ งคอมพวิ เตอร์และอปุ กรณ์ทัง้ หมดบนสายสอื่ สารเพยี งเส้นเดยี ว เชน่ สายคู่บิดเกลยี ว สายโคแอกเชียล หรือสายใยแกว้ นาแสง โดยสญั ญาณท่ีถูกส่งออกมาจาก อุปกรณห์ รือคอมพิวเตอรต์ ัวใดก็ตามจะเป็นลักษณะการกระจายขา่ ว (Broadcast) คือ สง่ ออก ไปทัง้ 2 ทิศทางไปยังทกุ ส่วนของระบบเครอื ข่ายน้ัน โดยมซี อฟต์แวรท์ ่ตี ดิ ตงั้ กับอุปกรณแ์ ต่ละ ตวั เป็นตัวควบคุมการสอ่ื สาร รูปที่ 4.4 การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบบสั 25

โครงสรา้ งแบบรงิ (Ring Topology) เป็นการเช่ือมตอ่ ทม่ี ลี ักษณะเป็นวงแหวน การรบั – สง่ ขอ้ มลู จะเป็นไปใน ทิศทางเดยี วโดยใช้ Token ซ่ึงเปน็ ตวั อนญุ าตใหค้ อมพิวเตอรต์ วั ใดมีสทิ ธิสง่ ขอ้ มลู เพอื่ ไมใ่ หเ้ กิดการชนกนั ของข้อมลู โดยถา้ คอมพวิ เตอร์ตัวใดต้องการสง่ ขอ้ มลู ก็จะไปจับ Token มา และใส่ข้อมูลไปกับ Token ซง่ึ ในขณะที่ Token ไม่ วา่ ง คอมพวิ เตอรต์ ัวอ่นื กไ็ ม่สามารถสง่ ขอ้ มลู ได้ จงึ จาเปน็ ตอ้ งรอให้ Token ว่าง ซ่งึ Token จะวา่ งก็ตอ่ เมือ่ ส่งข้อมูลไดถ้ ูกต้องเรียบรอ้ ยแล้ว แสดงดังรูปท่ี 4.5 รูปท่ี 4.5 การเช่ือมต่อเครือข่ายแบบริง 26

โครงสร้างแบบผสม (Hybrid Topology) คอื การนาเครือขา่ ยยอ่ ย ๆ ที่มโี ครงข่ายตามแบบที่กลา่ วข้างตน้ ท้งั 3 แบบมา รวมกัน หรือเช่อื มตอ่ กันใหม้ ขี นาดใหญ่ขึน้ ลกั ษณะแบบนี้ยังมชี อื่ เรยี กเฉพาะอกี ดว้ ย เชน่ โครงสร้างแบบต้นไม้ (Tree หรือ Hierachical หรือ Mesh) คอื เครอื ขา่ ยผสมท่ี เกดิ จากการนาเอาเครือขา่ ยทมี่ โี ครงสร้างแบบบสั และแบบสตารม์ าผสมกัน หรอื โครงสร้างแบบไรร้ ูปแบบ (Mesh) คอื โครงสร้างแบบสตาร์ผสมกบั บัสทเี่ ชือ่ มต่อกนั แบบไม่มีโครงสรา้ งแน่นอน แสดงดังรปู ท่ี 4.6 รูปท่ี 4.6 การเช่ือมต่อเครือข่ายแบบผสม 27

อุปกรณ์ในระบบเครอื ขา่ ย 1. อุปกรณใ์ นเครือข่าย 11. โมเดม็ (Modem) โมเดม็ เป็นฮาร์ดแวร์ทีท่ าหนา้ ท่ีแปลงสัญญาณอนาลอ็ กใหเ้ ปน็ สญั ญาณดิจติ ัล 28

1.2 การ์ดเครือข่าย (Network Adapter) หรอื การด์ LAN สารระหว่างเครอ่ื งตา่ งกันไมไ่ ด้ ไม่จาเป็นต้องเป็นร่นุ หรอื ยี่หอ่ เดยี วกนั แตห่ ากซ่ือพรอ้ มๆ กนั ก็แนะนาซ่ือรุน่ และยห่ี อ่ เดยี วกนั จะดกี วา่ และควรเป็นการ์ดแบบ PCI เพราะสามรถส่ง ข้อมลู ไดเ้ รว็ กวา่ แบบ ISA และเมนบอร์ดรุน่ ใหมๆ่ มักจะไมม่ ี Slot ISA ควรมีการ์ดทม่ี ี ความเรว็ 100 Mbps ซึง่ จะมีราคามากกวา่ การ์ด แบบ 10 Mbps ไมม่ ากนัก แต่สง่ ขอ้ มูล ไดเ้ รว็ กว่า นอกจากนี้คณุ ควรคานึงถงึ ข้วั ตอ่ หรอื คอนเน็กเตอร์ของการด์ ด้วย โดยทว่ั ไปคอน เนก็ เตอร์ของการ์ด LAN จะมีหลายแบบ เชน่ BNC, RJ-45 เปน็ ต้น วึ่งคอนเน็กเตอรแ์ ตล่ ะ แบบก็ขจะใชส้ ายทีแ่ ตกตา่ งกนั 1.3 เกตเวย์ (Gatway) เกตเวย์ เป็นอุปกรณอ์ เิ ลก็ ทรอนิกสอ์ กี อยา่ งหนึ่งที่ชว่ ยในการสอื่ สาร ข้อมลู คอมพิวเตอร์ หนา้ ท่ีหลกั ทชี่ ว่ ยเหลอื คอื ช่วยให้เครือขา่ ย คอมพิวเตอร์ 2 เครอื ขา่ ย หรือมากกวา่ ซง่ึ มลี กั ษณะไม่เหมือนกนั สามารถ ตดิ ตอ่ ส่อื สารกนั ได้เหมอื นเปน็ เครือขา่ ยเดยี วกัน 29

1.4 เร้าเตอร์ (Router) เรา้ เตอร์เปน็ อุปกรณใ์ นระบบเครือขา่ ยทท่ี าหน้าทีเ่ ปน็ ตวั เช่ือมโยงใหเ้ ครอื ขา่ ยทมี่ ขี นาดหรือ มาตรฐานในการสง่ ขอ้ มลู ต่างกนั สามารถตดิ ตอ่ แลกเปล่ียนข้อมลู ระหว่างกนั ได้ เรา้ เตอรจ์ ะทางาน อยู่ชั่น Network หนา้ ท่ขี องเร้าเตอร์ก็คือ ปรับโปรโตคอล (Protocol) (โปรโตคอลเป็นมาตรฐานใน การส่ือสารขอ้ มลู บนเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์) ทต่ี ่างกันใหส้ ามารถสอ่ื สารกนั ได้ 1.5 บริดจ์ (Bridge) บรดิ จจ์ ะมลี กั ษณะคลา้ ยเครอื่ งขยายสญั ญาณ บรดิ จ์จะทางานอย่ใู นชนั่ Data Link บรดิ จ์ ทางานคล้ายเคร่ืองตรวจตาแหนง่ ของข้อมลู โดยบรดิ จ์จะรับข้อมลู จากต้นทางและส่งใหก้ บั ปลายทาง โดยทีบ่ รดิ จ์จะไม่มกี ารแก้ไขหรอื เปล่ยี นแปลงใดๆ แกข่ ้อมลู บรดิ จ์ทาให้การ เชอ่ื มตอ่ ระหว่างเครอื ขา่ ยมปี ระสทิ ธิภาพลดการชนกันของข้อมลู ลง บรดิ จ์จึงเปน็ สะพาน สาหรบั ข้อมูลสองเครอื ขา่ ย 30

6 รีพตี เตอร์ (Repeater) รีพตี เตอร์ เป็นเคร่อื งทบทวนสญั ญาณข้อมลู ในการส่งสญั ญาณขอ้ มลู ในระยะทางไกลๆ สาหรบั สัญญาณอนาล็อกจะตอ้ งมีการขยายสญั ญาณข้อมลู ทเี่ ริ่มเบาบางลงเนอ่ื งจาก ระยะทาง และสญั ญาณดจิ ติ ลั ก็จะมีการทบทวนสญั ญาณเพอ่ื ปอ้ งกันการขาดหายของ สัญญาณเนอื่ งจากการส่งระยะทางไกลๆเช่นกัน รพี ีตเตอร์จะทางานอยใู่ นช่นั Physical 1.7 สายสญั ญาณ เป็นสายสาหรับเช่ือมต่อเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ตา่ งๆ ในระบบเขา้ ดว้ ยกัน หากเปน็ ระบบที่มี จานวนเครื่องมากกวา่ 2 เครื่อง จะตอ้ งผา่ นฮับอกี ทีหนง่ึ โดยสายสัญญาณสาหรับเช่ือมตอ่ เครอ่ื ง

1.8 ฮบั (HUB) เป็นอปุ กรณ์ช่วยกระจายสญั ญาณไปยงั เครอ่ื งต่างๆ ที่อยู่ในระบบ หากเปน็ ระบบเครอื ขา่ ยที่ มี 2 เครือ่ งก็ไมจ่ าเป็นจะตอิ งใช้สายฮบั สามารถใชส้ ายสญั ญาณเชือ่ มต่อถงึ กันไดโ้ ดยตรง แต่ ถา้ หากเปน็ ระบบท่มี มี ากกว่า 2 เคร่ืองจาเป็นต้องมฮี ับเพ่อื ทาหนา้ ทีเ่ ปน็ ตวั กลาง ในการเลอื ก ซอ่ื ฮบั ควรเลอื กฮบั ที่มคี วามเร็วของการ์ด เช่น การ์ดมคี วามเร็ว 100 Mbps ด้วย ควรเป็นฮับท่ี มีจานวนพอรต์ สาหรับต่อสายทเี่ พียงพอกับเครอ่ื งใชใ้ นระบบ หากจานวนพอร์ตต่อสายไม่ เพียงพอกส็ ามารถตอ่ พ่วงได้ แนะนาว่าควรเลือกซ่อื ฮบั ที่สามารถต่อพว่ งได้ เพื่อรองรับการ ขยายตวั ในอนาคต

ผ้จู ดั ทา นางสาวณัฐกานต์ นันทธ์ นัย ปวช.1/1 แผนกเทคโนโลยสี ารสนเทศ

เครอื ข่ายคอมพวิ เตอรเ์ บื้องตน้ (Introduction to Computer Networks)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook