Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โครงงาน is

โครงงาน is

Published by 22272, 2019-09-20 23:10:49

Description: โครงงาน is

Search

Read the Text Version

โครงงาน is เรอื่ ง โคมไฟจากกะลามะพร้าว นางสาวเมธาพร เสาวป์ ญั ญา เลขที่20 นายพันธกานต์ สารเทพ เลขท่ี34 นายศภุ เรศ คาเขือ่ น เลขท่ี35 นางสาวธนัชชา มบี ญุ เลขที่36 นางสาวอาทติ ยา เข่ือนเมือง เลขที่40 ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 5/8 ครทู ป่ี รกึ ษาโครงงาน นายดารงค์ คันธะเรศย์ โรงเรียนปวั อาเภอปัว จงั วดั น่าน สานกั งานเขตพื้นที่การศกึ ษามธั ยมศกึ ษานา่ นเขต 37

ก คานา รายงานฉบับน้เี ปน็ ส่วนหน่ึงของรายวชิ า IS1 รหสั วชิ า I30201 เพอื่ เป็นประโยชนต์ ่อผ้ทู ่ีสนใจจะ ศึกษาเกย่ี วกบั เร่อื งโคมไฟกะลามะพร้าวประหยัดพลังงาน ซึ่งคณะผ้จู ัดทาไดจ้ ดั ทาเพ่ือครู นักเรียน และ ผูท้ ีส่ นใจไดใ้ ชเ้ ป็นเอกสารอา่ นเพม่ิ เติมตอ่ ไป คณะผูจ้ ัดทาหวงั เปน็ อย่างย่งิ ว่า รายงานฉบบั น้จี ะเป็นประโยชนต์ อ่ ผทู้ ส่ี นใจเร่ืองโคมไฟ กะลามะพร้าวประหยดั พลังงาน ซงึ่ ทาให้ทราบถงึ การใชก้ ะลามะพร้าวมาใช้ทาประโยชน์ ทไี่ ดว้ เิ คราะห์ให้ ผู้อ่านนามาใช้ประโยชนไ์ ด้ต่อไป หากมีข้อบกพรอ่ งประการใด คณะผจู้ ัดทาขออภยั ไว้ ณ โอกาสนด้ี ว้ ย คณะผ้จู ัดทา

สารบัญ ข เรอ่ื ง หน้า คานา สารบญั ก บทที่ 1 บทนา ข ที่มาและความสาคญั ของโครงงาน 1 วัตถุประสงคข์ องการศกึ ษาค้นคว้า 1 สาเหตแุ ละสมมตุ ฐิ าน 2 ขอบเขตของการทาโครงงาน 2 วิธดี าเนินการ 2 ประโยชน์ทไ่ี ด้รับ 2 บทท่ี 2 เอกสารท่เี กีย่ วขอ้ ง โคมไฟ 3 มะพรา้ ว 4 หลอดไฟฟา้ 7 สว่านไฟ 9 กระดาษทราย 10 แลคเกอร์ 10 สายไฟฟ้า 11 กาวร้อน 11 บทท่ี 3 วิธีการจัดทาโครงงาน วัสดุ/ อปุ กรณใ์ นการทาโคมไฟกะลา 12 ขัน้ ตอนการทา 12 ภาคผนวก 13

1 บทที่ 1 บทนา 1. ทีม่ าและความสาคัญของโครงงาน ประเทศไทยถือเป็นประเทศท่มี ีอาหารขน้ึ ช่อื มากมายซึ่งสว่ นใหญ่ก็จะใช้กะทิในการประกอบอาหาร ประเภทอาหารคาวหรืออาหารหวานกล็ ว้ นท่จี ะใช้กะทิในการประกอบอาหารทง้ั นัน้ จงึ ทาให้กะลามะพรา้ ว เหลอื ใชจ้ ากการประกอบอาหารต่างๆของมนุษยม์ ากขึน้ กะลามะพร้าวเป็นสิ่งทส่ี ามารถนามาเเปรรปู ได้งา่ ย เพอื่ ให้เกดิ ความสวยงามและใช้สอยได้สามารถนามาประดษิ ฐเ์ พ่ือจาหน่ายหารายได้เสริมก็ได้มะพรา้ วหาง่าย คณะผู้จัดทาจงึ ได้ทาโคมไฟจากกะลามะพรา้ วขน้ึ เพอื่ นากะลามะพร้าวท่ีเหลือใชม้ าทาเป็นโคมไฟเพือ่ ชว่ ยลด ปริมาณของกะลามะพรา้ วและช่วยเพิ่มคณุ คา่ ของกะลามะพรา้ วอีกด้วยโคมไฟยังเปน็ อุปกรณใ์ ห้แสงสว่างใน ทม่ี ืดและตวั โคมไฟยงั สามารถนาไปเป็นของประดับเพ่อื ความสวยงามกไ็ ด้โคมไฟเปน็ อุปกรณใ์ ชส้ าหรบั อ่าน หนังสอื แตป่ จั จบุ นั คนไทยนิยมบางคนนาโคมไฟมาเป็นเฟอรน์ เิ จอรต์ กแตง่ บ้าน ซึง่ โคมไฟจะมรี ปู ที่แตกตา่ งกัน ออกไปตามแตว่ สั ดทุ ่ีนามาประดษิ ฐ์การผลิตโคมไฟสามารถใช้วัสดุได้หลายชนิดเช่นพลาสติก เหล็ก อะลมู ิเนยี ม ซึง่ มกั จะมีราคาแพงแตค่ วามเป็นจริงแล้วโคมไฟสามารถผลติ จากวัสดอุ ย่างอนื่ ไดเ้ ช่นกะลามะพรา้ วไม้หรอื สว่ นประกอบของต้นไม้ เชน่ รากไม้ กงิ่ ไม้ เปน็ ต้นโคมไฟจากกะลามะพรา้ วเป็นการนาสง่ิ ของที่เหลือใช้หรือไม่ ใช้แล้วมาทาการประยุกตใ์ หมเ่ พ่ือให้มคี ุณคา่ และมีความน่าสนใจมากข้ึนและยังสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ จริงนอกจากจะเปน็ การลดปริมาณขยะได้แลว้ ยังเป็นการใชเ้ วลาว่างใหเ้ กิดประโยชน์และอาจใชเ้ ปน็ ช่องทาง สรา้ งรายไดใ้ หก้ ับตนเองหรอื อาจจะประดิษฐเ์ พ่ือใช้สอยในครอบครวั หรอื ในชวี ิตประจาวนั เพราะแสงสว่างถือ เปน็ ปจั จัยสาคญั และมีความจาเป็นอย่างมากในการดารงชวี ิตแต่งตกแตง่ บ้านได้ดีอีกดว้ ยคณะผูจ้ ดั ทาโครงงาน จึงไดป้ ระดิษฐโ์ คมไฟจากกะลามะพร้าวเพือ่ ให้สามารถให้คนในปจั จุบนั หนั มาประดิษฐ์ได้รจู้ ักการประหยัดเงิน และเห็นคณุ คา่ ของสิ่งของเหลือใช้ 2. วัตถุประสงค์ของการศึกษาค้นคว้า 1. เพื่อศกึ ษาข้ันตอนในการทโคมไฟกะลา 2. เพ่อื ให้เกดิ ประสบการณ์ในการทาโคมไฟกะลา 3. เพื่อนาสง่ิ ของเหลือใช้มาทาให้เกดิ มลู คา่ 4. เพือ่ ใชเ้ วลาว่างให้เกดิ ประโยชน์ 5. เพอ่ื กอ่ ใหเ้ กิดรายไดจ้ ากการดาเนินงาน 6. เพือ่ ให้เกิดประสบการณด์ า้ นการขาย และการทาบัญชี

2 3.สาเหตุและสมมตุ ฐิ าน การตง้ั ปญั หา 1. โคมไฟกะลามะพรา้ วมีประสิทธภิ าพ มากหรือนอ้ ยกวา่ โคมไฟในทอ้ งตลาดหรอื ไม่ 2. วสั ดอุ ะไรบ้างทจ่ี ะนามาทาเปน็ โคมไฟจากกะลามะพรา้ ว การตง้ั สมมตุ ฐิ าน ถา้ โคมไฟกะลามะพร้าวมผี ลต่อการประหยัดพลงั งา ข้นึ อยู่กบั วตั ถขุ องโคมไฟชนดิ ของหลอดไฟ 4. ขอบเขตของการทาโครงงาน  กะลามะพร้าวแก่ และ กะลามะพรา้ วหนมุ่  ประชากร นักเรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5/8  ตวั แปรต้น คณุ ภาพของโคมไฟกะลามะพรา้ วแก่และกะลามะพร้าวหนุ่ม  ตวั แปรตาม ความแข็งแรง ทนทาน ความสวา่ ง 5.วิธีดาเนินการ 1.ศกึ ษาขน้ั ตอนการทาโคมไฟจากกะลามะพรา้ ว 2.ออกแบบสง่ิ ประดษิ ฐ์ 3.จดั เตรยี มวสั ดุอุปกรณ์ 4.ลงมอื ปฏิบัติงาน 5.จัดทารายงานโครงการ 6.ประโยชนท์ ี่ไดร้ บั 1. สามารถประดษิ ฐโ์ คมไฟจากกะลามะพรา้ วได้ 2. สามารถสรา้ งรายได้ระหว่างเรยี นได้ 3. สามารถสบื สานให้คนรุ่นหลงั หันมาประยกุ ตใ์ ช้ส่งิ ของเหลอื ใชเ้ พื่อให้เกดิ ประโยชนส์ ูงสุดได้

3 บทที่ 2 เอกสารทีเ่ ก่ยี วข้อง 1. โคมไฟ โคมไฟฟ้าทาหน้าทบี่ งั คับทศิ ทางแสงของหลอดใหไ้ ปในทิศทางท่ีต้องการ โคมไฟฟ้ามใี ชก้ ันมากมาย หลายชนิดขน้ึ อยู่กับการใช้งาน สาหรับโคมไฟฟ้ากบั การประหยัดพลังงาน ในที่นี้จะกล่าวถงึ โคมไฟฟ้าทีใ่ ช้ ภายในอาคาร เพราะมีการนามาใช้งานกนั มาก จาเปน็ ตอ้ งเลอื กโคมไฟฟ้าที่สามารถประหยัดพลงั งานและมี คณุ ภาพทด่ี ี นบั แต่สมัยโบราณ ยามคา่ คืน ไมม่ แี สงสว่างจากไฟฟา้ มีเพียงแตแ่ สงดาว แสงจันทร์ และคบเพลงิ ซ่งึ จากคบเพลงิ ไม้ กไ็ ด้นาไปส่โู คมไฟ เพอ่ื ใช้เป็นแสงสว่างยามค่าคนื โคมไฟถกู สรา้ งขึน้ น่าจะรบั อทิ ธิพลมาจาก ประเทศจนี ซึ่งปจั จุบันโคมไฟทีไ่ ดร้ บั ความนิยม อันดับต้นๆ เลยก็คือ โคมไฟไม้สกั ซึ่งมีความสวยงาม คงทน แขง็ แรง แตม่ ีความคลาสสกิ ในตัวของโคมเองลักษณะของดวงโคม 1. ดวงโคมไฟเพดานเปน็ ดวงโคมไฟท่ีตดิ เหนือศีรษะ บริเวณฝ้าเพดาน หรือห้องลงมาจากเพดาน เช่น โคมไฟหอ้ ยเพดานหรือไฟช่อระย้า ท่มี ีรูปแบบต่าง ๆ ให้เลือกมากมาย ท้ังทท่ี าจากแกว้ พลาสติก โลหะหรอื เซรามิค มที ัง้ แบบโคมไฟธรรมดา ราคาไม่แพงไปจนถึงโคมไหแชนเดอเลียรท์ ีป่ ระกอบไปด้วยหลอดไฟเล็ก ๆ มากมาย สวยงาม ให้แสงสวา่ งและความร้อนมาก กนิ ไฟมาก ราคาแพง ไฟติดเพดาน มที ้งั แบบดวงโคมท่ยี ดึ ตดิ กบั ฝ้าเพดาน ประกบอไปดว้ ยที่ครอบ หรอื โปะ๊ ทาจากแก้วหรือพลาสติกคลุมหลอดไฟเพ่ือชว่ ยในการกระจาย แสง เช่น โคมไฟโปะ๊ กลมสาหรบั หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์หรือโคมไฟซาลาเปาสาหรบั หลอดไส้ เป็นต้น และ แบบทีต่ ิดตง้ั โดยเจาะฝ้าเพดานฝังซอ่ นดวงโคมไว้ภายใน ทเี่ ราเรยี กกันวา่ ไฟดาวน์ไลท์ (Down light) ซงึ่ ให้ แสงสวา่ งไดด้ ีสามารถเลือกใชช้ นดิ ของหลอดไห ลกั ษณะของแสงทสี่ อ่ งลงมา และทศิ ทางการส่องของสาแสงได้ หลายแบบเปน็ ได้ทัง้ ไฟพน้ื ฐานและไฟสรา้ งบรรยากาศ 2. ดวงโคมไฟผนังเป็นชนดิ ที่ใช้ยดึ ตดิ กบั ผนัง มีให้เลือกหลากหลายรปู แบบเชน่ กนั การกระจายแสง สว่ นใหญข่ น้ึ อยูก่ ับลกั ษณะของโปะ๊ มที ัง้ แบบใหแ้ สงส่องออกมาตรง ๆหรือแบบสะท้อนเขา้ ผนงั เพ่ือสรา้ ง บรรยากาศให้กับหอ้ ง เปน็ ต้น 3. ดวงโคมไฟตงั้ พื้น ต้งั โตะ๊ เป็นดวงโคมไฟแบบลอยตัวทีช่ ่วยในการให้แสงสว่างตามจุดต่าง ๆเป็น พิเศษ เชน่ ในบริเวณท่นี ่ังอ่านหนังสือโตะ๊ ทางาน หรือโต๊ะหวั เตยี งและยังใชเ้ ป็นของประกอบการตกแต่งในห้อง ชุดร่วมกับชุดเฟอรน์ เิ จอร์อน่ื ๆ อกี ดว้ ย เช่น ชดุ รับแขก ชุดทานอาหาร เป็นต้น มรี ูปแบบและวสั ดใุ ห้เลอื ก มากมายหลายหลายราคา

4 4. ลกั ษณ์โคมไฟจากกะลามะพรา้ วมีลกั ษณเ์ ดยี วกบั โคมไฟตั้งพืน้ ต้งั โตะ๊ แต่สามารถออกแบบได้หลาย แบบสสี ันสามารถทาไดหลายสีแต่ทีน่ ิยมคอื สเี นอ้ื ไม้ 2.มะพร้าว มะพร้าว เป็นพืชยนื ตน้ ใบมีลักษณะเปน็ ใบประกอบแบบขนนก ผลประกอบด้วยเอพคิ ารป์ (epicarp) คือเปลือกนอก ถดั ไปขา้ งในจะเป็นมโี ซคาร์ป (mesocarp) หรือใยมะพร้าว ถดั ไปขา้ งในเปน็ สว่ น เอนโดคารป์ (endocarp) หรือกะลามะพร้าว ซ่ึงจะมรี ูสีคล้าอยู่ 3 รู สาหรบั งอก ถดั จากส่วนเอนโดคารป์ เข้า ไปจะเป็นสว่ นเอนโดสเปิรม์ หรือทเี่ รียกว่าเน้อื มะพร้าว ภายในมะพร้าวจะมนี า้ มะพรา้ ว ซ่งึ เมอ่ื มะพรา้ วแก่ เอน โดสเปิร์มก็จะดดู เอาน้ามะพร้าวไปหมด ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ มะพร้าว มชี อื่ วิทยาศาสตร์วา่ Cocos nucifera L. อยู่ในตระกูล Palmae มรี ะบบรากเป็นรากฝอยมี ขนาดเทา่ ๆ กัน แผก่ ระจายออกรอบต้น ลาตน้ มีลาตน้ เดียว ไมแ่ ตกแขนง มีรอยแผลจากการหลดุ รว่ งของใบตลอดลาต้น สามารถ คานวณอายุของตน้ มะพร้าวไดจ้ ากรอยแผลน้ี คอื ในปีหนึ่งมะพร้าวจะสร้างใบประมาณ 12- 14 ใบ ดังนน้ั ใน 1 ปี จะมีรอยแผลท่ีลาตน้ 12 – 14 รอยแผล ใบ เป็นใบประกอบ ออกอยตู่ ามส่วนของลาตน้ ประกอบดว้ ยกา้ นทาง ( rechis ) มีขนาด ใหญ่และยาว และมใี บย่อย ( leaflet ) บนก้านทางประมาณ 200 – 250 ใบ ดอก ออกเป็นชอ่ ชนดิ พานิเคลิ มีทง้ั ดอกตัวผูแ้ ละดอกตัวเมยี อยู่ในช่อเดยี วกัน ดอกมีกลบี ดอก 6 กลีบ สีครมี หรือสเี หลอื งนวล ไมม่ ีก้านดอกยอ่ ยดอกตัวเมยี จะมีกลบี ดอกหนาและแข็งกว่ากลีบ ดอกตวั ผู้ ผล มะพร้าวเป็นชนดิ ไฟบรัสดรุป ( fibrous drupe ) เรยี กว่า นัท ( nut ) มีเปลือก 3 ช้นั คือ 1. เปลือกช้ันนอก ( exocarp ) เปน็ เสน้ ใยทีเ่ หนยี วและแขง็ เม่ือแก่อาจมีสเี ขยี ว แดง เหลอื งหรอื น้าตาล 2. เปลือกชัน้ กลาง ( mesocarp ) มลี ักษณะเป็นเส้นใย มคี วามหนาพอประมาณ

5 3. เปลอื กช้นั ใน ( endocarp ) มีลกั ษณะแขง็ หรอื ทเ่ี รยี กกนั ว่า กะลา ( shell ) เมลด็ ( seed of kernel ) คอื เนือ้ มะพรา้ ว ภายในเมลด็ เปน็ ช่อกลวงขณะผลอ่อนจะมนี ้าอยู่ เต็ม ผลแกน่ า้ มะพรา้ วจะแหง้ ไปบางสว่ น พนั ธ์ุ มะพรา้ วเปน็ พชื ผสมขา้ มพนั ธุ์ แต่ละตน้ จงึ ไมเ่ ปน็ พันธ์ุแท้ อาศยั หลกั ทางการผสมพันธุท์ ี่ เปน็ ไปโดยธรรมชาติ อาจแบ่งมะพรา้ วออกเปน็ 2 ประเภท คือ ประเภทต้นเต้ียและประเภทตน้ สูง ประเภทตน้ เต้ยี มะพร้าวประเภทนี้ มกี ารผสมตัวเองคอ่ นข้างสงู จึงมกั ใหผ้ ลดกและไมค่ อ่ ย กลายพนั ธ์ุ สว่ นใหญน่ ิยมปลูกไว้เพ่ือรบั ประทานผลอ่อน เพราะในขณะท่ีผลยงั ไม่แก่ อายุ ประมาณ 4 เดือน เน้อื มีลักษณะอ่อนนมุ่ และน้ามีรสหวาน บางพันธนุ์ า้ มีคุณสมบัติพิเศษ คอื มกี ลน่ิ หอม ประเภทตน้ สูง ตามปกติมะพรา้ วตน้ สูงจะผสมขา้ มพนั ธ์ุ คอื ในแต่ละชอ่ ดอก (จ่ัน) หน่ึง ๆ ดอกตวั ผ้จู ะค่อย ๆ ทยอยบาน และร่วงหล่นไปหมดกอ่ นท่ีดอกตวั เมยี ในจ่ันนั้นจะเร่ิมบาน จึงไม่มี โอกาสผสมตัวเอง มะพร้าวประเภทน้เี ปน็ มะพรา้ วเศรษฐกิจสว่ นใหญป่ ลูกเป็นสวนอาชีพ เพือ่ ใช้เนื้อ จากผลแก่ไปประกอบอาหาร หรือเพื่อทามะพร้าวแห้งใชใ้ นอุตสาหกรรมน้ามันพืช การเพาะปลูก การเตรยี มผลพนั ธ์กุ อ่ นเพาะ ปาดเปลือกทางดา้ นหัวออกขนาดประมาณเทา่ ผลส้มเขยี วหวานเพ่ือให้ น้าซึมเข้าได้สะดวกใน ระหว่างเพาะ และช่วยให้หนอ่ งอกแทงออกมาไดง้ ่าย ถ้าเปน็ ผลทย่ี ังไมแ่ กจ่ ดั เปลือกมีสี เขียวปนเหลอื ง ใหน้ าไปผงึ่ ไว้ในทร่ี ม่ โดยวางเรียงให้ รอยปาดอยดู่ า้ นบน ผ่ึงไวป้ ระมาณ 15-30 วัน จนเปลอื ก เปลี่ยนเปน็ สนี า้ ตาล เตรยี มผลพันธไ์ุ ว้ประมาณ 2 เท่าของจานวนหนอ่ ทตี่ ้องการเพราะในขณะเพาะจะมีพันธุ์ที่ ไม่ งอกและเม่อื งอกแลว้ กต็ ้องคัดหนอ่ ท่ีไมแ่ ข็งแรงออก การเตรยี มแปลงเพาะ แปลงเพาะควรอยกู่ ลางแจง้ ใกลแ้ หล่งน้าและมีการระบายน้าดี ไมเ่ ป็นแหลง่ ทเี่ คยมีโรคและแมลง ระบาดมากอ่ น พ้ืนแปลงควรเป็นทรายหยาบ เพอ่ื สะดวกในการเพาะและย้ายกล้า ปราบวัชพืชออกให้หมด ถ้า พน้ื ดินเปน็ ดนิ แข็งควรไถดินลกึ 15-20 ซม. ถ้าแปลงกว้างมาก ควรแบ่งเป็นแปลงยอ่ ย ขนาดกว้าง ประมาณ 2.50 เมตร ยาวตามความต้องการ เวน้ ทางเดนิ ระหว่างแปลง 50 ซม. ในแตล่ ะแปลงยอ่ ยขดุ เปน็ รอ่ ง ลึกประมาณ 10 ซม. กวา้ งเท่าขนาดของผลมะพร้าว ยาวตลอด พนื้ ที่ แตล่ ะแปลงจะเพาะมะพร้าวได้ 10 แถว

6 วิธกี ารเพาะ วางผลมะพรา้ วตามแนวนอนลงในรอ่ งท่เี ตรยี มไว้ หนั ดา้ นทีป่ าดขึน้ ขา้ งบนเรยี งไปตามทศิ ทาง เดียวกัน ให้แตล่ ะผลตดิ กนั หรือหา่ งกนั ไม่เกนิ 5 ซม. กลบทรายหรอื ดนิ ใหส้ ว่ นของผลมะพร้าวโผล่พ้นผิวดนิ ประมาณ 1/3 ของผล ถ้าฝนไม่ตก รดน้าใหช้ มุ่ อย่เู สมอ โดยสงั เกตจากความชน้ื ตรงบรเิ วณรอยปาด คอยดแู ล กาจดั วชั พืช โรค-แมลงต่าง ๆ หลงั จากเพาะแลว้ ประมาณ 2-3 สปั ดาหห์ น่อจะเริ่มงอก ในระยะแรก ๆ จะงอกน้อย เมือ่ เลย 4 สปั ดาหไ์ ปแลว้ หนอ่ จะงอกมากข้ึน มะพร้าวท่ีไมง่ อกภายใน 10 สัปดาห์ หรือ 70 วนั ควรคัดทงิ้ หรอื นาไปทามะพร้าวแห้ง เพราะถ้าปลอ่ ยทิง้ ไวใ้ ห้งอกกจ็ ะได้หน่อทไ่ี ม่ดี ตามปกตมิ ะพร้าวจะ งอกประมาณรอ้ ย ละ 60 ภายใน 10 สัปดาห์ เมอ่ื หน่อยาวประมาณ 1-3 น้ิว ควรยา้ ยลงแปลงชา ในการค้าจะไม่ย้ายลงแปลงชา ทีละน้อย แต่จะรอยา้ ยพร้อมกนั ในคราวเดยี ว ในกรณีที่ทาการเพาะมะพรา้ วเปน็ จานวนไม่มากนกั อาจทาการเพาะโดยไมต่ ้องนาลงแปลงชา ก็ได้ แต่ ในการเพาะจะตอ้ งขยายระยะใหก้ วา้ งขึ้น โดยวางผลหา่ งกันประมาณ 45-50 ซม. เพ่ือใหห้ น่อเจริญไดด้ ี จะได้ หนอ่ ทอ่ี ว้ นและแข็งแรง เมื่อหน่อมีใบประมาณ 4-6 ใบ กค็ ัดไป ปลกู ได้ วิธีการชา เตรยี มแปลงชาเชน่ เดยี วกับแปลงเพาะ แปลงชาควรอยู่ใกลก้ ับแปลงเพาะ เพ่อื สะดวกในการขนยา้ ย หน่อ ถ้าดนิ ไมด่ ีให้ใสป่ ุย๋ คอกไร่ละ 24 ปี๊บ (240 กก.) หวา่ นใหท้ ว่ั แปลงแล้วไถกลบ ขุดหลมุ ขนาดเทา่ ผล มะพร้าว ระยะระหว่างหลุม 60 ซม. อาจวางผังการทาแบบสามเหลีย่ มดา้ นเทา่ หรือแบบสเี่ หลยี่ มจตุรสั ก็ได้ ย้ายหนอ่ มะพรา้ วจากแปลงเพาะลงชาในหลุมใหห้ น่อตั้งตรง กลบดินหนาประมาณ 2/3ของผล เพือ่ ไม่ใหด้ นิ ทับ สว่ นคอของหน่อพันธ์ุ ใชท้ างมะพร้าวหรอื หญา้ แหง้ คลุมแปลง (อาจใช้วัสดอุ ืน่ ก็ได)้ เพื่อรกั ษาความชุ่มชนื้ ถา้ ฝนไมต่ ก รดน้าให้ชมุ่ อยเู่ สมอ โรคและแมลงในมะพรา้ ว แมลงท่เี ป็นศตั รพู ืชกบั มะพรา้ วคอื ดว้ งแรด เป็นแมลงปกี แขง็ ตวั ใหญม่ ีสนี ้าตาลเขม้ บนหัวมนี อ เหมือนแรด ตวั แก่กัดกินยอดและใบอ่อนทาใหด้ ว้ งงวงมาวางไข่ สามารถจะป้องกันและกาจดั ได้ท้ังในระยะทีเ่ ปน็ ตวั หนอนและตัวเต็มวยั โดยปฏบิ ัติดงั น้ี

7 รกั ษาสวนให้สะอาด เป็นการทาลายแหล่งวางไข่ เพราะดว้ งแรดชอบวางไขใ่ นกองขยะ กองปุ๋ยหมัก กองเศษไม้ ตอไมผ้ ุ ฯลฯ ถา้ เหน็ ใบยอดขาดเปน็ ร้วิ ๆแสดงว่าถูกด้วงแรดกดั ใหใ้ ชต้ ะขอหรือเหล็กแหลมแทง ดงึ เอาตัวออกมาทาลาย ใช้สารเคมี เชน่ 1. ออลดริน ชนิดนา้ 5 ชอ้ นแกง ผสมนา้ 1 ป๊บี ราดท่ีคอมะพรา้ วทกุ 2 เดอื น 2. อโซดรนิ 3 ชอ้ นแกง ผสมนา้ 1 ปบี๊ ราดทค่ี อมะพรา้ วเดอื นละครัง้ 3. ออลดรนิ ชนดิ ผงคลุกกับข้ีเลื่อยในอตั รา 1 ช้อนแกง ตอ่ ขี้เล่ือย 8 กระป๋องนม โรยทค่ี อมะพร้าวต้น ละ 1 กระปอ๋ งนม ทุก 2 เดอื น 4. สาหรบั ตน้ มะพรา้ วทมี่ ลี าต้นสูงมาก ใช้พวก นวู าครอนหรืออโซดรินฉดี เขา้ ลาต้น โดยเอาสวา่ นเจาะ ลาต้นใหเ้ ป็นรจู านวน 2 รู อย่ตู รงข้ามกัน ใชเ้ ขม็ ฉีดยาดดู สารเคมี 10 ซีซี ฉดี ใสใ่ นรูทเ่ี จาะไวข้ ้าง ละ 5 ซซี ี จะมีฤทธิ์อยูน่ านประมาณ 30 วนั วธิ นี ้หี ้ามเกบ็ ผลมะพรา้ วก่อนครบกาหนดหลังจากฉดี สารเคมแี ลว้ อยา่ งนอ้ ย 30 วัน 3. หลอดไฟฟา้ หลอดไฟฟา้ ที่มีใช้กันอยมู่ ีหลายชนิดดว้ ยกัน หลอดแตล่ ะชนดิ กม็ คี ณุ สมบตั ทิ างแสงและทางไฟฟ้า ตา่ งกนั ในการเลือกหลอดเพอื่ การประหยดั พลงั งานไฟฟ้า ตอ้ งเลอื กหลอดท่ีมีประสิทธผิ ล (ลูเมนต่อวัตต)์ สูง อายกุ ารใช้งานนาน และคุณสมบตั ทิ างแสงของหลอดด้วย แตง่ านบางอยา่ งก็ตอ้ งเลือกใชห้ ลอดท่ไี มป่ ระหยัด พลงั งาน ฉะนั้นการนาหลอดไปใชง้ านต้องพจิ ารณาความเหมาะสมในการนาไปใช้ คา่ คุณสมบัติของหลอดไฟ 1. ค่าฟลกั ซก์ ารสอ่ งสว่าง (Luminous Flux) เป็นปริมาณแสงสวา่ งทัง้ หมดทีไ่ ดจ้ ากแหล่งกาเนิดแสง มีหน่วยวัดเป็นลูเมน (lm) 2.ค่าความสวา่ ง (llluminance) เปน็ ปริมาณแสงสว่างทีต่ กกระทบบนวัตถุ (lumen) ตอ่ 1 หนว่ ย พน้ื ท่ี มหี น่วยเปน็ lm/sq.m. หรอื lux นัน่ เอง โดยทั่วไป อาจเรยี กวา่ ระดบั ความสวา่ ง (Lighting level) จึงเป็นตวั ทบี่ อกว่าแสงทไ่ี ด้เพยี งพอหรือไม่

8 3. ค่าความเขม้ การส่องสวา่ ง (Luminous Intensity) เป็นความเขม้ ของแสงท่ีส่องออกมาจากวตั ถุ โดยทั่วไปจะวัดเป็นจานวนเท่าของความเข้มทีไ่ ด้จากเทียนไข 1 เลม่ จงึ มีหนว่ ยเปน็ แคนเดลา (Candela, cd) 4. คา่ ความส่องสว่าง (Luminance) เป็นตัวทบ่ี อกปริมาณแสงท่ีสะท้อนออกมาจากวตั ถุ (candela) ตอ่ 1 หนว่ ยพ้ืนที่ มีหน่วยเปน็ cd/sq.m. บางคร้งั จึงอาจเรยี กว่าความจ้า (Brightness) 5. ค่าประสทิ ธผิ ล (Efficacy) เปน็ ปริมาณแสงสว่างทอ่ี อกมาตอ่ กาลงั ไฟฟ้าทใี่ ช้ (watt) มีหนว่ ยวัด เป็น lm/w หลอดทีม่ ีคา่ ประสทิ ธผิ ลสูงแสดงวา่ หลอดนีใ้ หป้ รมิ าณแสงออกมามากแตใ่ ชก้ าลังไฟฟ้า น้อย 6. คา่ ความถกู ตอ้ งของสี (Colour Rendering, Ra หรือ CRI) เปน็ ค่าทใี่ ชบ้ อกว่าหลอดไฟประเภท ต่างๆ เม่อื แสงสอ่ งสีไปบนวตั ถุจะทาให้สีของวัตถุนน้ั ผดิ เพ้ียนจากความเป็นจรงิ มากน้อยเพยี งใด ไมม่ ี หน่วยแต่มักเรยี กเป็น % ตามค่าความถูกตอ้ งค่ะ แสงอาทิตย์มีค่า Ra = 100 เพราะแสงอาทิตย์ให้ สเปกตรมั ครบทุกสี เมื่อส่องไปบนวตั ถจุ ะไมเ่ หน็ ความผดิ เพี้ยนของสี 7. ค่าอุณหภมู สิ ขี องแสง (Color Temperatrre TK) สขี องแสงที่ไดจ้ ากหลอดไฟเทยี บกับสที ีเ่ กดิ จาก การเผาวัตถุดาอดุ มคตใิ ห้รอ้ นทอี่ ณุ หภูมินน้ั มหี น่วยเป็นเคลวนิ (k) อุณหภมู ิสเี ปน็ ตวั ท่บี อกวา่ แสงท่ีได้ มคี วามขาวมากนอ้ ยแคไ่ หน ถา้ มคี า่ อุณหภูมิสีของแสงตา่ แสงทไี่ ดจ้ ะออกมาในโทนเหลืองหรอื แดง ถ้า มคี ่าอุณหภมู สิ ขี องแสงสงู แสงที่ได้จะออกมาในโทนขาวกวา่ ในทอ้ งตลาดทั่วไปมใี ห้เลือก 3 โทนสี ข้อควรการเลอื กซื้อหลอดไฟฟา้ 1. กาหนดวา่ จะใช้หลอดรูปทรงแบบไหน เพื่อกาหนดการใช้งาน ทิศทางการให้แสง และองศาของแสง 2. ข้ัวหลอดที่ใชก้ บั โคมเดิม เปน็ แบบไหน เปน็ ขวั้ เกลียว ขวั้ เกลียวเลก็ ข้ัวเข็ม หรือขว้ั เสยี บ 3. ต้องมีอุปกรณ์ใดท่ีใชก้ ับหลอดไฟ หรอื โคมไฟ เช่น หม้อแปลง บัลลาสต์ สวิสตห์ รีไฟ 4. สิ่งสาคญั ต่อมา คอื พิจารณาคุณสมบตั ิของหลอดไฟ เพราะว่าบางคร้ังหลอดไฟทีใ่ ช้อยู่นั้นอาจไม่ เป็นทถ่ี ูกใจ หรือเหมาะสมกับการใช้งาน ใหแ้ สงที่จ้าเกินไป ให้แสงท่ขี าวเกนิ ไปเปน็ ต้น จดุ น้ีแหละท่ี

9 ทาให้ไอเดียอยูส่ บายแนะนาค่าคุณสมบตั ิของหลอดไฟใหเ้ พ่ือนๆได้ร้จู ักกนั ก่อนตอนต้น เพ่อื นๆจะได้ เลอื กจากข้างกล่องหรือฉลากกากับผลิตภณั ฑ์ได้อย่างเหมาะสม 5. และเลอื กใชห้ ลอดไฟทมี่ ีความแม่นยาของแสงของสี ควรเลอื กซอื้ หลอดไฟที่มคี ่าความถูกต้องของ สี Ra=80 เปน็ ต้นไป 6. อายกุ ารใช้งานของหลอดไฟ เลือกหลอดไฟประเภททม่ี อี ายุการใช้งานทีย่ าวนานหน่อย จะไดไ้ ม่ต้อง ดแู ลรกั ษามาก 7. ราคา คา่ ซ้อื หลอด คา่ เปลี่ยนและดูแลหลอด ราคามกั จะสมั พันธ์กับอายุการใช้งาน อายกุ ารใช้งาน ยาวนานมักมีราคาค่าหลอดไฟที่แพงกวา่ สว่ นท่อี ายุการใช้งานส้นั กต็ อ้ งเปลยี่ นบอ่ ย ราคาหลอดถูก กวา่ ก็จริง แตอ่ าจจะต้องไปเสียค่ารถ คา่ เสียเวลาในการไปซอื้ หรือซือ้ มาตนุ นี่ย่งิ แล้วใหญ่ ลองเลอื กดู นะคะ แต่แนะนาว่าอยา่ เสยี น้อยเสยี ยาก เสยี มาเสยี ง่ายเลย 8. เลือกย่ีหอ้ ที่เปน็ ทรี่ ้จู ัก และได้การรบั รองมาตราฐานสนิ ค้า ดไู ดจ้ ากสัญลักษณ์ที่กากบั ข้างกลอ่ ง ผลิตภณั ฑ์ 4. สว่านไฟ สว่าน คือเครือ่ งมอื ชนดิ หน่ึง ใช้สาหรบั เจาะรบู นวสั ดหุ ลายประเภท เป็นเครือ่ งมอื ท่ใี ชบ้ ่อยในงานไม้ และงานโลหะ ประกอบด้วยสว่ นสาคญั คือดอกสวา่ นท่ีหมุนได้ ดอกสว่านยึดอยู่กับเดือยด้านหนง่ึ ของสวา่ น และถกู กดลงไปบนวัสดทุ ี่ต้องการจากนัน้ จงึ ถูกทาให้หมนุ ปลายดอกสว่านจะทางานเปน็ ตวั ตดั เจาะวัสดุ กาจดั เศษวสั ดรุ ะหวา่ งการเจาะ (เชน่ ขีเ้ ล่ือย) หรอื ทางานเป็นตวั สบู อนภุ าคเล็กๆ (เชน่ การเจาะนา้ มัน) สว่านไฟฟา้ ใช้กาลงั ชว่ ยขบั มอเตอรห์ มุนสว่าน ตวั ท่ีใหก้ าลังขับแกส่ ว่าน คือมอเตอร์แบบยนู ิ เวอร์ ซ่งึ เป็นมอเตอร์ต่อกบั ชุดเฟืองซึ่งทดความเรว็ ของมอเตอรล์ งทาให้สว่านหมุนช้ากว่ามอเตอร์ และเกดิ แรงบดิ มากขน้ึ เพราะรอบท่ชี า้ ลง สวา่ นจะมีชดุ ปรบั รอบและทิศทาง สามารถปรับรอบการหมุนของหวั สว่าน ได้ตั้งแต่ 10 รอบ ต่อนาที ถึง 1,000 รอบตอ่ นาที แลว้ แตก่ ารใช้งานเจาะวัสดตุ า่ ง ๆ กัน เช่น โลหะ ไม้ พลาสตกิ นอกจากน้ี ยังสามารถต่อกับอุปกรณป์ ระกอบ เพ่อื ทางานอย่างอน่ื ๆ ไดอ้ ีก เช่น ใช้ต่อกับจานขดั , แผน่ ขัดมนั ,ลอ้ เจยี ระไน และตอ่ เปน็ ไขควงไฟฟา้ ก็ได้ด้วย

10 5. แลคเกอร์ แลคเกอร์ หรืออนิ าเมล (enamel) เป็นของเหลวทม่ี ีส่วนประกอบหลักคอื เรซินของโอลีโอเรซนิ สั (oleoresinous) หรอื สารประกอบของไวนลิ (vinyl) หรืออีพ็อกซี (epoxy) หรอื ฟนิ อลิก (phenolic) หรือ พอลเิ อสเตอร์ (polyester) และตัวทาละลาย ใชเ้ คลือบโลหะทใ่ี ชท้ ากระป๋องบรรจอุ าหาร มีวัตถปุ ระสงค์เพอื่ ป้องกัน (protective coating) การเปลี่ยนแปลง สีเคลือบแลคเกอรน์ ัน้ เปน็ สที เี่ ราจะพบเห็นได้มากทส่ี ุด หาซื้อได้ง่าย มีทัง้ ในแบบที่ตอ้ งเอามาผสมกบั ทนิ เนอร์ก่อนใช้และแบบเปน็ สสี เปร์ย สเี คลอื บแลคเกอรน์ นั้ มีคณุ สมบตั ใิ นการ เคลอื บ และยึดเกาะชน้ิ งาน คอ่ นขา้ งตา่ แห้งเรว็ ใหเ้ นือ้ สคี ่อนข้างน้อย ไมค่ ่อยใส กระเทาะงา่ ย ใชไ้ ปนานๆ สีจะออกเหลืองๆ สว่ นมากจะ ใชใ้ นงานทีต่ อ้ งการความสะดวก รวดเร็ว แตไ่ มเ่ หมาะกับใชก้ บั ชน้ิ งานที่ต้องการความเงางาม คงทน แตก่ ม็ มี ี แลคเกอร์อกี แบบหนง่ึ ท่ีมคี ณุ สมบตั ิคอ่ นขา้ งดี เปน็ แลคเกอรท์ ีใ่ ชใ้ นการเคลอื บสรี ถยนต์ ภาษาชา่ งเรยี กว่าหวั แลคเกอร์ ให้ความแข็งแรงและเงางาม ในระดับที่ดี แต่มขี อ้ เสยี ทมี่ ีหายาก ราคาแพง ตอ้ งผสมกบั ทินเนอร์ของ มันโดยเฉพาะ และใช้งานคอ่ นขา้ งยาก 6. กระดาษทราย กระดาษทราย (อังกฤษ: Sandpaper) คือกระดาษรปู แบบหน่ึงซึ่งมีสารขดั ถูตดิ หรือเคลอื บอยบู่ นหน้า ของกระดาษ ใชส้ าหรบั ขดั พน้ื ผิวของวัสดอุ ืน่ เพอื่ ใหว้ ัสดุนั้นเรยี บ หรือขัดใหช้ ั้นพน้ื ผิวเก่าหลดุ ออก หรือบางครง้ั อาจทาใหพ้ ืน้ ผิวขรขุ ระมากข้ึนเพื่อเตรียมการติดด้วยกาว เปน็ ตน้ ประวตั ิ กระดาษทรายเร่ิมมีใชค้ ร้ังแรกในประเทศจนี ตง้ั แตค่ รสิ ต์ศตวรรษท่ี 13 กระดาษทรายในยุคนนั้ ทาจาก เปลือกหอยบดละเอียด เมล็ดพชื และทราย ติดไว้บนหนังสัตว์ดว้ ยยางธรรมชาติ บางครัง้ มกี ารใช้ผวิ ของปลา ฉลามแทนกระดาษทราย เดมิ กระดาษทรายรจู้ กั กนั ในช่อื กระดาษแกว้ เนื่องจากใชก้ ากของแก้วเป็น ส่วนประกอบ (มิใช่กระดาษแกว้ ในปจั จุบัน) เกล็ดหยาบบนฟอสซลิ ของปลาซลี าแคนท์ (Coelacanth) ซง่ึ เปน็ ปลาดกึ ดาบรรพท์ ีเ่ กือบจะสูญพันธุ์ เคยถกู ใชเ้ ปน็ กระดาษทรายโดยชนพ้นื เมอื งในประเทศคอโมโรส กระดาษทรายถูกผลติ ข้นึ ดว้ ยเครอ่ื งจักรเปน็ ครงั้ แรกโดยบริษัทของจอหน์ โอคยี ์ (John Oakey) ใน ลอนดอนเมอ่ื พ.ศ. 2376 (ค.ศ. 1833) ซงึ่ ได้พฒั นาเทคนคิ และกระบวนการยดึ ติดของสารขดั ถูสาหรับการผลิต

11 ในปรมิ าณมาก สว่ นกระบวนการผลิตกระดาษทรายดว้ ยเครือ่ งจักรได้รบั การจดสทิ ธิบัตรในสหรฐั อเมริกาเม่ือ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2377 (ค.ศ. 1834) โดยไอแซก ฟสิ เชอร์ จูเนียร์ (Isaac Fischer Jr.) จากเมืองสปรงิ ฟลิ ด์ รฐั เวอร์มอนต์ ในปี พ.ศ. 2459 (ค.ศ. 1916) สามเอม็ (3M) ได้คิดค้นกระดาษทรายกันนา้ ภายใต้ ยี่ห้อ Wetordry™ และการใช้งานครงั้ แรกน้นั เพือ่ ตกแต่งการทาสี 7. กาวรอ้ น กาว หรอื วสั ดปุ ระสาน คอื สว่ นผสมของของเหลวหรอื วัสดุกงึ่ ของเหลวทสี่ ามารถเช่ือมติด หรอื ประสานวัสดสุ องชิ้นเขา้ ดว้ ยกัน กาวมีอยู่หลากหลายรปู แบบทั้งมาจากธรรมชาตหิ รอื สารเคมสี ังเคราะห์ ซงึ่ การ ใชง้ านมกั จะขึ้นอยกู่ ับวสั ดทุ ่ีจะนามาติดกนั กาวนิยมใช้ตดิ วัสดุท่มี ีลกั ษณะบาง หรอื วัสดทุ ่ีแตกตา่ งกัน[3] โดยกาวจะแตกตา่ งจากการเชอ่ื มวสั ดุ แบบอื่นคือ กาวจะใชเ้ วลาในการประสาน โดยกาว จะมหี ลากหลายประเภท ขึ้นอยกู่ ับการใช้งานทแ่ี ตกตา่ งกนั 8. สายไฟฟา้ สายไฟฟ้า เปน็ อปุ กรณท์ ่ีใชส้ ง่ พลงั งานไฟฟ้าจากท่หี น่งึ ไปยงั อกี ทห่ี นงึ่ โดยกระแสไฟฟา้ จะ เปน็ ตวั นา พลงั งานไฟฟา้ ผา่ นไปตามสายไฟจนถึงเคร่อื งใชไ้ ฟฟ้า สายไฟทาดว้ ยสารทยี่ อมใหก้ ระแสไฟฟา้ ผา่ นได้ เรียกวา่ ตัวนาไฟฟา้ และตวั นาไฟฟา้ ทใี่ ช้ทาสายไฟเปน็ โลหะท่ียอมให้กระแสไฟฟ้าผา่ นได้ดี ลวดตัวนาแต่ละชนดิ ยอมให้ กระแสไฟฟ้าผา่ นไดต้ า่ งกัน ตวั นาไฟฟา้ ท่ียอมใหก้ ระแสไฟฟ้าผ่านไดม้ ากเรียกวา่ มีความนาไฟฟ้ามากหรอื มี ความตา้ นทานไฟฟา้ น้อย ลวดตวั นาจะมีความต้านทานไฟฟ้าอยูด่ ว้ ย โดยลวดตัวนาทมี่ ีความตา้ นทานไฟฟ้า มากจะยอม ใหก้ ระแสไฟฟ้าผ่านได้น้อย

12 บทที่ 3 วิธกี ารจัดทาโครงงาน 1. วสั ด/ุ อปุ กรณใ์ นการทาโคมไฟกะลา ( 1 ชิน้ งาน ) 1 กะลามะพรา้ ว 2 ไมไ้ ผ่ 3 หลอดไฟ 4 สายไฟ 5 สวิตซ์+ปลั๊กไฟ 6 แลคเกอร์ (สาหรับเคลือบเงา) 7 กระดาษทราย 8 กาวร้อน 9 เลอื่ ยฉลุ/ใบเลอ่ื ย 10 สวา่ นเจาะ 11 ดนิ สอ / วงเวยี น 12 เชือกตกแต่ง (ตามทต่ี ้องการ) 2. ขนั้ ตอนการทา 1. เลอื กขนาดของกะลามะพร้าวใหพ้ อเหมาะ 2. นากะลามะพร้าวมาวาดใหเ้ ปน็ ลวดลายตามท่ตี ้องการ จากนน้ั นามาเจาะรูตามทร่ี า่ งแบบไว้ 3. นากะลามาขดั ด้วยกระดาษทราย ให้กะลามผี วิ เรียบทสี่ ุด 4. นากะลาทเี่ จาะรูเรยี บรอ้ ยแล้วมาเคลือบเงาแลคเกอร์ ให้มคี วามมันวาว 5. นาหลอดไฟมาประกอบเขา้ กบั กะลามะพร้าว 6. นาแผงมาประกอบเขา้ กับสายไฟ 7. นาอปุ กรณ์ทุกอย่างมาประกอบใหเ้ ข้ากนั และตกแตง่ ด้วยเชอื ก จากนน้ั จะได้โคมทส่ี วยงาม

13 ภาคผนวก

14


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook