Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โสดาบัน

โสดาบัน

Published by DHARMA Sawaddee, 2021-08-26 03:16:06

Description: โสดาบัน
ใครเป็นโสดาบันบ้าง
ยากไหมที่จะเป็นโสดาบัน ?

Keywords: โสดาบัน

Search

Read the Text Version

มูลนิธิพระพุทธสันตธิ รรม โสดาบนั โดย ดร.บุญเสริม บุญเจริญผล

มลู นิธพิ ระพุทธสันตธิ รรม พนั ธกิจ มลู นิธิพระพทุ ธสนั ติธรรม สรา้ งธรรมสถาน เผยแผพ่ ระธรรม อปุ ถมั ภพ์ ระสงฆ์ สงเคราะหผ์ ยู้ ากไร้ ให้ปัญญาแก่ประชาชน



โสดาบนั ใครเป็นโสดาบนั บา้ ง ยากไหมที่จะเป็นโสดาบนั ?

คาํ นํา เพ่อื ใหเ้ ขา้ ใจลกั ษณะของโสดาบนั ไดถ้ ูกตอ้ ง เราควรไดท้ ราบเร่อื งอนั เป็นพน้ื ฐานทจ่ี ําเป็นบางเร่อื ง ไดแ้ ก่ ส่วน ประกอบของชวี ติ มรรค 8 และ ศลี เสยี ก่อน มฉิ ะนัน้ จะเขา้ ใจไม่จรงิ ไดเ้ พยี งพดู ตามตําราว่าไว้ อ่านถูก พูดถูกดูดี แต่ก็ไม่เขา้ ใจจรงิ และท่เี กดิ ผลเสยี คอื เขา้ ใจว่าตนเองรู้แล้ว รู้ แลว้ กร็ แู้ บบพดู ตรงตามตํารา อธบิ ายเรอ่ื งไมไ่ ด้ ฉะนนั้ ในตอนแรก ขอทาํ ความเขา้ ใจเรอ่ื งชวี ติ เสยี ก่อน

บทท่ี 1 ส่วนประกอบของชีวิต ชวี ติ ประกอบดว้ ยกายและใจ พุทธศาสนากก็ ล่าวอย่างน้ีเช่นเดยี วกนั แต่ ไดแ้ ยกใจออกเป็น 4 ส่วน แต่ละส่วนทําหน้าทเ่ี ฉพาะ แต่บางทตี อ้ งอาศยั กนั ดว้ ยเป็นทมี จงึ ทาํ งานได้ รวมแลว้ ชวี ติ จงึ มี 5 ส่วน เรยี กว่า “ขนั ธ์ 5” จําศพั ท์คาํ น้ีไวห้ น่อย เพราะ เราตอ้ งอ่านเร่อื งพทุ ธศาสนาอกี มาก จะไดไ้ มเ่ ครยี ด พวกหมอผไี ดใ้ ชค้ าํ น้ีไปหากนิ มารบั ขนั ธ์หา้ กนั หน่อย เพ่อื ไล่ลดความซวยจากชวี ติ แลว้ ก็ เรยี กเงนิ จากคนเคราะหร์ า้ ยไปงา่ ยๆ ส่วนประกอบชวี ติ ได้แก่ ร่างกาย และใจอกี ส่สี ่วน คอื ส่วนความจํา ส่วน อารมณ์ สว่ นแต่งเรอ่ื ง และ สว่ นรเู้ รอ่ื ง 1.ส่วนความจาํ ส่วนน้ีทําหน้าทจ่ี ําเร่อื งราวทผ่ี ่านเขา้ มาในใจเรา บางเร่อื ง จําไดน้ าน บางเร่อื งจําไดไ้ ม่นาน เร่อื งทจ่ี ําไวเ้ ป็นขอ้ มลู ในการคดิ ส่วน ความจําน้ีคดิ ไม่เป็น จําเร่อื งไว้อย่างเดยี ว คนท่ีเป็นโรคความจําเส่ือม สมองสว่ นทท่ี าํ หน้าทน่ี ้เี สยี ไปมากน้อยตามสภาพการป่วย ถา้ ส่วนความจําไมด่ ี กไ็ ม่มขี อ้ มลู เก่ามาประกอบใหค้ ดิ จงึ คดิ น้อย พดู น้อย มกั พดู เฉพาะเมอ่ื ถูกถาม 1

สว่ นความจาํ น้ี ทางพทุ ธศาสนาเรยี กวา่ “สญั ญา” ไม่ใช่สญั ญากูเ้ งนิ สญั ญาเชา่ บา้ น ฯลฯ สญั ญาแปลวา่ ความจาํ ระวงั คนไทยชอบพดู มี สรอ้ ย พดู วา่ “จาํ ไดห้ มายร”ู้ ไมไ่ ดน้ ะ มนั เป็นสองเรอ่ื งเลย ไมใ่ ชค่ วามจาํ เรอ่ื งปัญหาภาษาสาํ คญั มาก 2.ส่วนอารมณ์ เป็นความรสู้ กึ ทางใจ ชอบใจ หรอื ไมช่ อบใจ ซง่ึ จะทาํ ให้ เกดิ ผลเป็นรกั เกลยี ด โกรธ อารมณ์เปรยี บเสมอื นเครอ่ื งปรงุ รสในอาหาร ใหเ้ ปรย้ี ว หวาน มนั เคม็ เผด็ แกงจงึ อรอ่ ยถูกใจตดิ ใจ หรอื ไมช่ อบใจก็ เขด็ ไปเลย อารมณ์เกดิ ขน้ึ เมอ่ื เราไดฟ้ ัง ไดเ้ หน็ ไดก้ นิ ไดก้ ลน่ิ ไดจ้ บั ไดค้ ดิ ฟุ้ง แลว้ เรากเ็ กดิ ความรสู้ กึ ชอบไมช่ อบตอ่ ไป โดยมใี จสว่ นรเู้ รอ่ื งหรอื รตู้ วั เขา้ ประกอบดว้ ย คาํ วา่ อารมณ์ ทางพทุ ธศาสนาเรยี กวา่ “เวทนา” ระวงั กนั หน่อย เวทนา ไมใ่ ช่น่าสมเพชเวทนาตามความหมายชาวบา้ น 3.ส่วนแต่งเรอื่ ง ใจส่วนนี้จะนําเร่อื งท่ีจาํ ไว้บางเรื่องและท่ีพบเหน็ ใหม่ บา้ ง มาเป็นข้อมลู แต่งเป็นเร่อื งราวฟ้งุ ไปเรอื่ ยๆ เป็นความคิด ฟ้งุ ซ่านน่าราํ คาญใจเป็นส่วนมาก ใช้เวลาหมดไปมาก ที่แต่งเร่ือง เป็นงานเป็นการกม็ ี แต่เป็นห้วงสนั้ กว่าฟ้งุ ซ่าน ถ้าเรารวู้ า่ มนั แต่ง เร่อื งฟ้งุ ซ่านออกมา กท็ ิ้งมนั ไปเสีย อยา่ รบั มนั มาคิดต่อให้เป็นความ ทกุ ข์ ความรวู้ า่ ฟ้งุ ซ่านมนั เกิดขึน้ หลงั จากมนั ฟ้งุ ซ่านไปนานพอควร และหยดุ ลงแลว้ กไ็ มเ่ ป็นไร แมร้ ชู้ ้า รแู้ ลว้ กท็ ิ้งไปเสีย 2

3

เป็นเรอ่ื งน่าประหลาดวา่ ความคดิ ฟุ้งซ่านน้มี นั อยเู่ ดย่ี วๆไมส่ ามารถ คดิ แตง่ เรอ่ื งอะไรขน้ึ มาไดเ้ ลย มนั ตอ้ งอาศยั ใจทร่ี ู้ มาเป็นองคป์ ระกอบ มนั จงึ แตง่ เรอ่ื งได้ ใจทร่ี กู้ เ็ ป็นทาสรบั ใชม้ นั รบั ออกหน้าออกตาวา่ น่ีฉนั คดิ น้เี ป็นความคดิ ของฉนั ทงั้ ทฉ่ี นั ถูกเชญิ มาเป็นประธานเทา่ นนั้ เอง ฉนั ไมไ่ ด้ ทาํ อะไรเลย ใจส่วนแตง่ เรอ่ื งอาศยั ใจสว่ นรเู้ รอ่ื ง กเ็ หมอื นไวรสั ตอ้ งอาศยั ตดิ เขา้ กบั เซลลค์ นหรอื สตั ว์ ใจสว่ นแตง่ เรอ่ื งน้ี พทุ ธศาสนาเรยื กวา่ “สงั ขาร” สงั ขารแปลวา่ ความคดิ แต่งเรอ่ื ง ระวงั คาํ วา่ สงั ขารในทอ่ี น่ื หมายถงึ อะไรกไ็ ดท้ ถ่ี กู ปรุงแตง่ ประกอบขน้ึ มา ไมเ่ ฉพาะแต่เรอ่ื งใจ 4. สว่ นรเู้ รอ่ื งหรอื รบั รหู้ รอื รตู้ วั เป็นสว่ นสาํ คญั ทส่ี ุดเทา่ กบั เป็นประธาน ของใจทเ่ี ดยี ว เม่อื ใดทเ่ี รารตู้ วั ไมใ่ จลอย ไมว่ า่ นงั ่ นอนยนื เดนิ ทาํ งาน หากใจ ไมฟ่ ุ้ง รวู้ า่ เรานงั ่ อยู่ เรานอนอยู่ เราเดนิ อยู่ เราทาํ งานอยู่ อาการรอู้ ยา่ งนนั้ แหละเป็นผลของความรตู้ วั เมอ่ื ใดทค่ี วามคดิ ฟุ้งซา่ นเกดิ ขน้ึ ความรตู้ วั ถูก นําไปใชห้ มกไวเ้ ป็นพลงั ใหค้ ดิ เป็นเรอ่ื งได้ จงึ ไมร่ ตู้ วั วา่ คดิ ฟุ้งซา่ น บางที เดนิ ไปคดิ ฟุ้งไป จนชนตน้ ไม้ ถา้ เดนิ ไปไมใ่ จลอย กร็ วู้ า่ กาํ ลงั เดนิ ถา้ พบวา่ มขี ห้ี มา เดนิ ออ้ มไปเสยี อยา่ งน้มี คี วามรตู้ วั แมเ้ รอ่ื งอารมณ์ เกดิ ขน้ึ เป็นเรอ่ื งเป็นราวได้ กต็ อ้ งอาศยั สว่ นรตู้ วั เขา้ ไปรว่ ม จงึ คดิ ชอบ-ไมช่ อบ โดยสว่ นรตู้ วั ไดเ้ ป็นลกู น้องรบั ใชอ้ ารมณ์ไปแลว้ 4

ถา้ เรานงั่ คอยใครอยรู่ มิ ทาง ใจลอยบา้ ง รตู้ วั บา้ ง มคี นเดนิ ผา่ นมาสห่ี า้ คน เรามองเหน็ ทุกคน เพราะว่าทางแคบ แต่เราไม่ได้สนใจทุกคน ครนั้ มคี น ถามว่า “เม่อื ก้มี ลี ุงใส่เส้อื สขี าวผ่านมาไหม?” เราตอบว่า “ไม่เหน็ ” อกี คนหน่ึงมาถามเราว่า “เหน็ ผูห้ ญงิ สวมกางเกงสนั้ ๆ เปิดสะดอื ผ่านมาบ้าง ไหม?” เราตอบวา่ “อ๋อ... เหน็ เป็นเดก็ สาวนะ” ฉะนนั้ ขณะทล่ี ุงผา่ นเรา เราไม่มวี ญิ ญาณรบั รู้ เพราะว่ากําลงั ใจลอย ความคดิ ฟุ้งแต่งเร่อื งทํางาน เตม็ ทโ่ี ดยยดึ ครองใจสว่ นรเู้ รอ่ื งไป เราจงึ ไมเ่ หน็ ขณะทเ่ี ดก็ สาวผา่ น เรา กําลงั รตู้ วั เราจงึ รู้ เราควรใชค้ วามรตู้ วั ใหเ้ ป็นประโยชน์ แต่ละขณะ ถา้ เรารตู้ วั เรากไ็ ม่ทุกข์ สบายใจ ทํางานกไ็ ม่ผดิ พลาด มปี ัญหากแ็ กไ้ ด้ และ เกดิ ความคดิ ดๆี มาช่วยพจิ ารณาว่า อย่างน้ีดคี วรทํา อย่างน้ีชวั ่ อย่าทําจะ เดอื ดรอ้ น ถ้าเราอยู่กบั ความรูต้ วั ใหม้ ากทส่ี ุดหรอื ตลอดเวลา ความทุกข์ จะน้อย และ มสี ง่ิ ดๆี เขา้ มาสชู่ วี ติ เรอ่ื ยๆ ความรูต้ วั น้ี พุทธศาสนาเรยี กว่า “วญิ ญาณ” ไม่ไดแ้ ปลว่าผหี รอื ใจของ คนตาย สรปุ เร่ืองส่วนประกอบของชีวิต ชวี ติ เรามี ร่างกาย และ มใี จ ใจแบ่งเป็น 4 ส่วน 1.ส่วนความจํา 2.ส่วน อารมณ์ 3.สว่ นแตง่ เรอ่ื ง 4..สว่ นรู้ รวมเป็น 5 สว่ น 5

ภาษาพทุ ธศาสนา เรยี กวา่ ชวี ติ เรามี รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร และ วญิ ญาณ (ผมขอสลบั อธบิ ายเอาสญั ญาขน้ึ ก่อน เพราะว่า ทําใหเ้ ขา้ ใจง่าย กวา่ ) รวมเป็น 5 สว่ น เรยี กรวมวา่ “ขนั ธห์ า้ ” ไมใ่ ชข่ นั หา้ ลกู และไมใ่ ชท่ ่ี เขาเอาไปทาํ ไสยศาสตร์ เม่อื เราพจิ ารณาส่วนประกอบทงั้ หา้ ส่วนแลว้ มสี ่วนใดอย่ไู ดย้ งั่ ยนื ไม่สลาย หายไป มบี า้ งไหม? ไมม่ สี กั อยา่ งเลยใช่ไหม? ...................... 68

7

บทที่ 2 มรรค 8 ความรพู้ น้ื ฐานทจ่ี ําเป็นเพอ่ื รเู้ รอ่ื งโสดาบนั อกี เรอ่ื งหน่งึ คอื มรรค 8 หรอื บางท่านเรยี กวา่ มรรคมอี งค8์ หรอื อรยิ มรรค กเ็ รอ่ื งเดยี วกนั มรรค 8 เป็นวธิ กี ารปฏบิ ตั ิ เพอ่ื เขา้ สอู่ รยิ บคุ ลถงึ ขนั้ อรหนั ต์ คอื เขา้ สสู่ ภาวะ นิพพาน ทพ่ี ระพุทธเจา้ กล่าวถงึ บ่อยกวา่ วธิ อี ่นื ๆ ผทู้ ป่ี รารถนาเพยี งแค่ โสดาบนั กป็ ฏบิ ตั เิ หมอื นกนั อยา่ งเดยี วกนั แตอ่ อกผลแคผ่ ลเบอ้ื งตน้ ถา้ พยายามตอ่ ไปเรอ่ื ยๆกไ็ ดผ้ ลสงู สดุ เป็นอรหนั ต์ การปฏบิ ตั มิ รรค 8 ต้องปฏบิ ตั ใิ หค้ รบทงั้ 8 ประการ มใิ ช่เลอื กเอาเร่อื งสอง เรอ่ื ง เมอ่ื ปฏบิ ตั คิ รบจงึ จะไดผ้ ลสมบรู ณ์ หวั ขอ้ มรรค 8 มดี งั ต่อไปน้ี 1. สัมมาทิฐิ รู้จักผิดชอบชวั่ ดี 2. สมั มาสงั กัปปะ ตัง้ เจตนาจะหลุดจากทุกข์เข้าสู่สภาวะ นิพพาน 3. สมั มาวาจา พูดโดยไม่ทาํ ให้ผู้อ่ืนเดือดร้อน พูดให้เกิด ประโยชน์แก่ผู้อ่ืน 4. สมั มากมั มนั ตะ กิจกรรมทางกายทุกอย่างต้องไม่ทาํ ให้ผู้อ่ืน เดือดร้อน แต่ให้เป็นประโยชน์แก่คนและสตั ว์ 5. สมั มาอาชีวะ ทาํ อาชีพท่ีไม่เดือดร้อนแก่คนและสตั ว์ 6. สัมมาวายามะ พยายามจริงจังกับการปฏิบัติในข้อต่างๆ โดยเฉพาะ ข้อ 7 และ 8 7

7. สมั มาสติ ตรวจตรา วเิ คราะหป์ รบั ปรงุ ความคดิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในใจของ ตนมใิ หม้ คี วามคดิ ชวั ่ รา้ ยหรอื ความคดิ ทท่ี าํ ใหใ้ จขนุ่ มวั เกดิ ขน้ึ ในใจ 8. สมั มาสมาธิ ทาํ ใจวา่ ง รตู้ วั ไมใ่ หเ้ กดิ ความคดิ ฟุ้งซ่าน คําแปลน้ี อาจไม่ถูกใจนักทฤษฎีศาสนาหลายท่าน แต่เหมาะสําหรบั นําไปใชใ้ นการปฏบิ ตั ฝิ ึกฝนตนเองใหห้ ลดุ พน้ จากทุกข์ เรื่องควรสนใจพิเศษในมรรค 8 สมั มาสมาธิทาํ งานรว่ มกบั สมั มาสติ สตจิ ะเกดิ ขน้ึ ได้ ใจตอ้ งรตู้ วั ถา้ ใจฟุ้งซา่ น สตจิ ะเกดิ ไมไ่ ด้ ขณะทเ่ี รารตู้ วั อยู่ เมอ่ื มกี เิ ลสเกดิ ขน้ึ เช่น โกรธขน้ึ มาทนั ที เม่อื เราตงั้ ใจรตู้ วั ไวไ้ ม่ใจลอย พอ ความโกรธหยุด เรากร็ วู้ ่า เราโกรธแลว้ สตกิ ท็ าํ งานต่อ บอกวา่ โกรธน้ีไม่ ดหี รอก เป็นกเิ ลส ทง้ิ มนั ไป อย่าคดิ ต่อ เรากจ็ ะไม่โกรธต่อ ดดั นิสยั โกรธ ของตนเอง ทําใหเ้ ป็นคนไม่โกรธง่าย หากเรารูต้ วั อยู่ มนั จะโกรธอกี แลว้ คราวน้ีเรารู้ มนั จะมาแลว้ แสดงออกทางปากสนั่ ใจสนั่ ก่อน แลว้ กเ็ รม่ิ คดิ ฟุ้ง เป็นเร่อื งเหตุผลออกมา เรารูท้ นั ความโกรธมนั ก็เลกิ ไป ใช้ความรูต้ วั สงั เกตไว้ จบั ไดเ้ มอ่ื ไร สตกิ จ็ ะมาไล่มนั ไป สตอิ าศยั ความรตู้ วั ไม่รตู้ วั สติ ไม่เกดิ สตไิ ม่เกดิ กบั ความคดิ ฟุ้งซ่าน ความรูต้ วั น้ี คอื สมาธิ ในแง่ของ มรรค 8 และ ความคดิ ปราบไลก่ เิ ลส คอื สติ เป็นของคกู่ นั 8

สมมตุ มิ คี นเดนิ ชนเราเซไป ถา้ เราอยใู่ นสภาวะใจลอย เราตกใจ แลว้ ด่าไป เลย “ตาบอดหรอื ไง เดนิ ไม่ดูคนเลย” แลว้ ความทุกขใ์ จเร่ารอ้ นกเ็ ขา้ มาสู่ ชวี ติ ตรงขา้ ม ถา้ เรากําลงั รตู้ วั เมอ่ื ถูกชน เรากจ็ ะมองดวู ่าอะไรกนั ไม่ ด่าไมโ่ กรธ แลว้ สตกิ บ็ อกเราใหอ้ ภยั ไมต่ อ้ งโกรธ ถา้ ไมม่ สี ตเิ กดิ ความคดิ ฟุ้งซ่านมาครองชวี ติ เรากโ็ กรธเกลยี ดได้ จําไวว้ า่ ใจทร่ี ตู้ วั โกรธไมเ่ ป็นดา่ ไม่เป็น ใจของเรานัน้ สะอาด ท่านทดลองดงึ ใจใหร้ ตู้ วั แลว้ คดิ เกลยี ดใคร สกั คน ท่านทําไม่ได้หรอก ใจของท่านสะอาด ท่ไี ม่สะอาดไม่ใช่ใจของ ท่าน เป็นใจปีศาจเจา้ ของกเิ ลส มนั คดิ ชวั่ หรอื คดิ ใหเ้ ราเสยี ใจอยเู่ นืองๆ 9

นับแต่วนิ าทนี ้ีไป ขอให้ท่านดึงความรู้ตวั ใหเ้ กิดข้นึ ทุกวนิ าทีตลอดเวลา ทงั้ วนั ทงั้ คนื แลว้ เมอ่ื มปี ัญหาทําใหใ้ จรุม่ รอ้ นจาก ความเกลยี ด-โกรธ เศรา้ กงั วล ฟุ้งซ่าน จงใหส้ ตเิ ตอื นใจท่านว่าไม่ดี ไม่เอา เราไม่เอาแลว้ เราจะ เดินเข้าเส้นทางอริยะ ไม่เอาของสกปรกพวกน้ีแล้ว ขอให้ท่านทําไป เร่อื ยๆใหเ้ ป็นนิสยั แล้วท่านจะมนั่ ใจในวธิ กี ารน้ี และ ต้องไม่ลมื ศลี และ ทาน ใหค้ รบเครอ่ื งมรรค 8 ดว้ ย จงึ สาํ เรจ็ ไดส้ งู ขอใหท้ า่ นโชคดี พบความสขุ อนั วเิ ศษ และมนั่ ใจในวธิ กี ารน้ี .............................. 10

บทที่ 3 ศีลท่ีมีประโยชน์ ศลี ของพทุ ธศาสนา แปลตามศพั ทว์ า่ “ความปกตขิ องกายและวาจา” เป็น ข้อห้ามท่ีต้องประพฤติให้เป็นปกติ มิให้เบียดเบียนกันทางกายและวาจา เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความสงบสขุ แกส่ งั คม ผใู้ ดประพฤตติ ามศลี ไมม่ เี วรภยั แก่ผใู้ ด จติ ใจของผูน้ นั้ ย่อมสงบสุข จงึ ทาํ ให้ จติ มสี มาธดิ ี ในโลกน้ีมผี ูบ้ ญั ญตั หิ า้ มเร่อื งต่างๆไวม้ ากมาย จงึ มที งั้ ศลี เลวและศลี ดี คอื ศลี ทเ่ี กดิ ประโยชน์และเกดิ โทษ ศีลห้า ของพุทธศาสนาไม่มีโทษแก่ผู้ใดทงั้ ผู้ประพฤติศีลและคนสตั ว์โดย รอบตวั คอื เมอ่ื ประพฤตศิ ลี แลว้ คนอน่ื สตั วอ์ น่ื กไ็ มถ่ กู เบยี ดเบยี น สาํ หรบั ผปู้ ระพฤตศิ ลี เองกไ็ ดป้ ระโยชน์ 3 ประการ 1. มอี นาคตดไี มต่ กต่าํ ไมเ่ คยมผี ปู้ ระพฤตศิ ลี ผใู้ ดมสี ภาพชวี ติ ตกต่าํ ทนทกุ ขน์ ่าทุเรศ 2. ไมอ่ ดอยากขาดแคลนของกนิ ของใช้ จะมขี องกนิ ของใชม้ าสู่ ไมอ่ ดอยาก จาก 2 ขอ้ น้ี ศลี หา้ เป็นเกราะป้องกนั ความทกุ ขท์ างกายไดส้ ว่ นหน่งึ 11

3. เป็นเหตหุ น่ึงใหส้ สู่ ภาวะนิพพาน นบั เป็นแรงบุญทแ่ี รงมาก ฉะนนั้ ไมต่ อ้ ง หว่ งวา่ ศลี หา้ จะไมช่ ว่ ยใหไ้ ดส้ ภาวะโสดาบนั ประโยชน์ทงั้ สามขอ้ น้ี พระสงฆ์ได้กล่าวเม่อื บอกศลี ห้าทลี ะข้อ พวกเรา กล่าวตามทลี ะขอ้ จบแลว้ พระสงฆก์ ก็ ลา่ วประโยชน์สามประการของศลี ดงั ไดก้ ลา่ วไวข้ า้ งบน หลกั ปฏบิ ตั ศิ ลี หา้ ของพทุ ธศาสนา 5 ขอ้ มดี งั น้ี 1.ไม่ฆ่าคนและสตั ว์ ไม่สง่ หรอื ขายใหเ้ ขาเอาไปฆ่า รวมถงึ ไม่ทรมาน ไมก่ กั ขงั ไมท่ าํ รา้ ยรา่ งกาย และ ไมข่ ม่ เหงจติ ใจ แต่ชว่ ยเหลอื เกอ้ื กลู คนและ สตั วใ์ หพ้ น้ ทกุ ขม์ คี วามสขุ 2. ไม่ประสงคท์ รพั ย์ของผูอ้ ่นื อย่างไม่เป็นธรรม เช่น ลกั ขโมย วงิ่ ราว ชงิ ทรพั ย์ จ้ี ปลน้ ยกั ยอก ฉ้อโกง คอรปั ชนั ปลอมปน หลอกลวง กดราคา ซ้ือ โก่งราคาขาย เป็นต้น แต่ใหท้ รพั ย์ ใช้กําลงั กายช่วยเหลอื และให้ คาํ แนะนํา เพอ่ื ใหเ้ ขาไมเ่ สยี ทรพั ยห์ รอื พน้ ความยากจน 3. ไม่ข่มเหงผู้อ่ืนเก่ียวกบั เร่อื งเพศ เช่น ไม่แย่งชิงคู่ครองผู้อ่ืน ไม่ ข่มขนื ไม่ฉุดคร่า ไม่อนาจาร ไม่หลอกลวง ไม่ล่อลวงไปขายกาม ไม่เอา เปรยี บสตรเี พศ 12

4. ไมข่ ม่ เหงผอู้ น่ื ดว้ ยคาํ พดู รวมทงั้ เขยี น ไดแ้ ก่ • ไมพ่ ดู หลอกลวงเอาประโยชน์จากผอู้ ่นื • ไมพ่ ดู หยาบคาย ไมด่ ่าวา่ ต่อหน้า, ไมพ่ ดู นินทาลบั หลงั • ไมพ่ ดู ยุยงใหเ้ ขาแตกกนั • ไมพ่ ดู สรา้ งเรอ่ื งเลา่ เอาเอง โดยตนเองไมร่ จู้ รงิ แต่จงใชค้ ําพดู ช่วยใหเ้ กดิ ประโยชน์แก่ผูอ้ ่นื เช่น แนะนํา ใหเ้ ขาพน้ ความยุง่ ยากเดอื ดรอ้ น แนะความเจรญิ ใหเ้ ขา 5.ไมด่ ่มื น้ําเมา ไม่เสพสง่ิ มนึ เมา ทงั้ ทเ่ี ป็นของแขง็ ของเหลว ไอระเหย ดว้ ยวธิ ตี ่างๆ ซง่ึ สงิ่ เหล่าน้ีเป็นอนั ตรายตอ่ สุขภาพ ทาํ ใหค้ วามรตู้ วั ผดิ ชอบ ชวั่ ดบี กพร่อง แลว้ ก่อการววิ าท หรอื ทาํ การเป็นอนั ตรายต่อผอู้ ่นื เช่น ขบั รถ ทําให้คนบาดเจ็บหรอื ตาย ท่นี ่ากลวั อกี ส่วนหน่ึงคอื ถ้าตดิ น้ําเมาหรอื สง่ิ เสพตดิ อ่นื ๆ สมองจะโง่ในขณะมนึ เมาจะก่อภพทเ่ี หมาะสมขน้ึ มา คอื ภพ เดรฉาน เร่อื งน้ีน่ากลวั มาก โดยเฉพาะถ้าขาดใจตายในขณะมนึ เมา เช่น ขบั รถเกดิ อุปัทวเหตุ หวั ใจวาย เสน้ เลอื ดสมองแตก ถูกฆา่ กเ็ ป็นหวงั ไดว้ ่า ไปเกดิ เป็นสตั วเ์ ดรฉาน เม่ือเราไม่ด่ืมน้ําเมาและสิ่งเสพมึนเมาแล้ว ก็ไม่สนับสนุนชักชวน อาํ นวยความสะดวกใหผ้ อู้ ่นื กระทาํ ไม่ซ้อื มาให้ ไมจ่ ดั หา ไมส่ รา้ งประเพณี ด่มื เสพ ชว่ ยแนะนําใหเ้ หน็ โทษของน้ําเมาและสง่ิ เสพตดิ ตา่ งๆ 13

ศีลและพิธีกรรมอนั ไร้สาระ ศลี อนั ไรส้ าระ คอื ขอ้ หา้ มทไ่ี มม่ ปี ระโยชน์ และ ทาํ อนั ตรายต่อคนและสตั ว์ เช่น ห้ามช่วยเหลอื คนต่างศาสนา หา้ มใหอ้ าหารสตั ว์ หา้ มโกนหนวด เครา หา้ มอาบน้ํา หา้ มเกบ็ เสอ้ื ผา้ ผหู้ ญงิ จากราวตากผา้ ฯลฯ ศลี เช่นน้ีไม่ มปี ระโยชน์ มแี ตโ่ ทษ พธิ กี รรมอนั ไรส้ าระ ไม่มปี ระโยชน์ บางทมี โี ทษดว้ ย คอื เดอื ดรอ้ นแก่คน และสตั ว์ มใี หเ้ หน็ มากมาย การไหวส้ ตั วป์ ระหลาด ไหวต้ น้ ไมแ้ ปลก ฆา่ สตั ว์ฆ่าคนบูชาเทพ ฆ่าตวั ตายบูชาพระพุทธเจ้า ยนื ขาเดยี วบูชาเทวดา ฯลฯ ศลี และพธิ กี รรมอนั ไรป้ ระโยชน์ ไมม่ คี ณุ ประโยชน์ตอ่ การหลุดพน้ ในเสน้ ทาง อรยิ ะ เป็นความบา้ ป่าเถ่อื นอยา่ งเดยี ว ไมค่ วรประพฤตติ าม ศลี ทด่ี มี คี ุณ คอื ศลี หา้ ในพทุ ธศาสนา ............................. 14

บทท่ี 4 คณุ สมบตั ิข้อ 1 ของผเู้ ป็นโสดาบนั เราไดม้ คี วามรเู้ บอ้ื งตน้ 3 เรอ่ื ง คอื สว่ นประกอบของชวี ติ มรรค 8 และ ศลี ทมี ปี ระโยชน์ มาแลว้ หากไดเ้ ขา้ ใจทอ่ี ่านมาแล้วทงั้ หมด ก็ง่ายท่จี ะเขา้ ใจ เร่อื งคุณสมบตั ิ ของโสดาบนั ผู้เป็นโสดาบนั ต้องมคี ุณสมบตั ิ 3 ประการ ดงั น้ี 1.มคี วามเขา้ ใจอยา่ งชดั เจนวา่ ชวี ติ ของเราแลของใครๆไมย่ งั่ ยนื ตอ้ ง สลายทาํ ลายไปในทส่ี ดุ ในทส่ี ดุ กไ็ มม่ เี ราในโลกน้ี 2.มคี วามแน่วแน่จรงิ จงั มนั่ คงในการปฏบิ ตั เิ พ่อื การหลุดพน้ ทุกข์ โดย ไมม่ คี วามลงั เลสงสยั ในผลทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ จากการปฏบิ ตั ทิ ก่ี ระทาํ อยู่ 3.ปฏบิ ตั ศิ ลี หา้ ของพุทธศาสนาอย่างครบถ้วนจรงิ จงั ไม่ปฏบิ ตั ศิ ลี หรอื พธิ กี รรมทไ่ี มม่ ปี ระโยชน์ต่อการหลดุ พน้ ทุกข์ จะกล่าวทําความเขา้ ใจในแต่ละขอ้ ซง่ึ ตอ้ งอา้ งความรพู้ น้ื ฐาน 3 เร่อื งทก่ี ล่าว มาแลว้ ทา่ นทย่ี งั มไิ ดอ้ ่าน ขอใหย้ อ้ นกลบั ไปอ่านใหค้ รบ 3 เรอ่ื ง ขอกลา่ วถงึ คุณสมบตั โิ สดาบนั ขอ้ 1 เสยี กอ่ น คอื คุณสมบตั ิข้อ 1.มีความเข้าใจอย่างชดั เจนว่า ชีวิตของเราและของ ใครๆไม่ยงั่ ยนื ต้องสลายทาํ ลายไปในท่ีสดุ ในที่สดุ กไ็ ม่มีเราในโลกนี้ 15

ชวี ติ ประกอบดว้ ยกายกบั ใจ ใจมสี ว่ นประกอบ 4 สว่ น ดงั กล่าวแลว้ คอื 1. ส่วนความจํา 2.ส่วนอารมณ์ชอบชงั 3.ส่วนแต่งเร่อื ง และ 4.ส่วนรู้เร่อื ง กายของเรา ยงั่ ยนื หรอื ไม่? ไม่ยงั่ ยนื ใช่หรอื ไม่ เรามคี นรู้จกั ญาตพิ ่นี ้อง เพ่อื นร่วมงาน คู่ครอง สตั วเ์ ล้ยี ง ท่ตี ายใหเ้ ราเหน็ อยู่เร่อื ยๆ เราเองดว้ ย วนั หน่ึงกต็ าย ฉะนนั้ รา่ งกายเราไมย่ งั่ ยนื ตอ้ งสลายไปในทส่ี ดุ อาจมคี นคดิ อุตรวิ า่ เขาไม่ มวี นั ตาย ซง่ึ เป็นความคดิ เหลวไหลเป็นไปไมไ่ ด้ แลว้ ใจของเราหรอื ของใครกต็ าม เป็นอยา่ งไร ใจสว่ นความจาํ ยงั่ ยนื หรอื ไม?่ กใ็ ม่ยงั่ ยนื แมอ้ ยากจาํ กล็ มื เพยี งเมอ่ื วานซนื ทานอาหารกลางวนั อะไร กจ็ าํ ไม่ไดแ้ ลว้ ใจส่วนอารมณ์ชอบชงั ก็ไม่ยงั่ ยนื เราเคยชอบอะไรสกั อย่างในอดตี เดยี๋ วน้ีความรู้สกึ ชอบเหมอื นเดมิ หรอื ไม่? สามภี รรยาตอนท่รี กั กนั ใหม่ๆ เคยชอบกันปานจะกลืนกิน เดีย๋ วน้ียงั มีอารมณ์ชอบเหมือนเดิมเท่าเดิม หรอื ไม่? กไ็ ม่เหมอื นเดมิ เพราะความชอบไม่ยงั่ ยนื คนทเ่ี ราเคยเกลยี ด ชงั เมอ่ื สบิ ปีทแ่ี ลว้ วนั น้ยี งั เกลยี ดเขาเหมอื นเดมิ หรอื ไม?่ กไ็ มเ่ กลยี ดเทา่ เดมิ แลว้ สงิ่ ของรกั หวงแหนทเ่ี คยมี เดยี๋ วน้ียงั หวงยงั ชอบเหมอื นเดมิ หรอื ไม?่ กไ็ มเ่ ทา่ เดมิ ไมเ่ อาไมอ่ ยากไดแ้ ลว้ ฉะนนั้ อารมณ์ชอบชงั ยอ่ มไมย่ งั่ ยนื ใจสว่ นทฟ่ี ุ้งซ่านแต่งเรอ่ื ง ยงั่ ยนื หรอื ไม?่ ไมย่ งั่ ยนื เลย เมอ่ื เรารตู้ วั ขน้ึ มา ความฟุ้งซ่านกห็ ายไปแลว้ 16

ใจส่วนที่รู้เร่ืองยงั ่ ยนื หรอื ไม่? ไม่ยงั ่ ยนื เลย เม่ือมคี วามฟุ้งซ่าน เกดิ ข้นึ ก็ดงึ ยดึ เอาใจส่วนรู้เร่อื งไปเป็นบรวิ ารใช้งานเป็นพลงั งานสาํ หรบั คดิ ฟุ้งซ่านโดยไม่รู้เลยว่าเรากําลงั แต่งเร่อื งอย่างฟุ้งซ่าน ใจท่ีรู้เร่อื งจม หายเขา้ ไปในใจฟุ้งซ่านเสยี โดยส้ินเชงิ ใจส่วนท่ีรู้เร่ืองจงึ ไม่ยงั ่ ยนื เพยี ง ใจลอย ใจรูเ้ ร่ืองก็หายไปแล้ว เม่ือทราบอย่างนี้ พจิ ารณาใหเ้ หน็ ชดั อย่างน้ี ก็ทราบอย่างมนั่ ใจได้ว่า กายก็ไม่ยงั่ ยนื ใจทงั้ สส่ี ่วนก็ไม่ยงั่ ยนื ใครมคี วามรู้สกึ อย่างแท้จรงิ อย่างนี้ ก็ได้คุณสมบตั ิโสดาบนั ขอ้ 1 ไว้ เรยี บรอ้ ยแล้ว ภาษาพุทธศาสนาเรยี กว่า ละสกั กายทฏิ ฐิได้แล้ว สกั กาย แปลว่า กายและใจ คอื ขนั ธ์ 5 ท่ีเราได้อ่านมาแล้ว ทฏิ ฐิ แปลว่า ความ เช่อื ความคดิ เหน็ ผมเช่อื ว่า คนไทยส่วนมากมคี ุณสมบตั ิขอ้ 1 แล้ว แล้วท่านล่ะ คุณสมบตั ิ ขอ้ 1 น้ี ท่านได้หรอื ยงั ถ้าได้แล้ว โปรดตรวจคุณสมบตั ิโสดาบนั ขอ้ 2 ต่อไป 17

บทท่ี 5 คุณสมบตั ิข้อ 2 ของผ้เู ป็ นโสดาบนั คุณสมบตั ขิ อ้ 2 ของโสดาบนั คอื มคี วามแน่วแน่จรงิ จงั มัน่ คงในการ ปฏบิ ตั ิเพื่อการหลุดพ้นจากทุกข์ โดยไม่มคี วามลงั เลสงสยั ในวธิ กี าร ปฏบิ ตั ิท่ปี ฏบิ ตั ิอยู่ ท่านท่ปี รารถนาเป็นอรยิ บุคคลตงั้ แต่โสดาบนั ถึงอรหนั ต์ ย่อมแสวงหาวธิ ี ปฏบิ ตั ิตนเพ่ือบรรลุเป้าหมายที่ตัง้ ใจไว้ แต่ถ้าหากไม่แน่ใจว่า วธิ ที ี่ตน ปฏบิ ตั ิอยู่นัน้ เป็นวธิ ที ี่จะได้รบั ผลสมปรารถนาหรอื ใม่ ก็เกิดความลงั เล แล้วก็ย่อหย่อนในการปฏบิ ตั ิตามวธิ กี ารนัน้ หรอื ล้มเลกิ ไปเลย จงึ เสยี โอกาสไปอย่างน่าเสยี ดาย มสี าเหตุ 2 ประการท่ีจะเกิดความมนั ่ ใจว่า วธิ ปี ฏบิ ตั ิสู่อรยิ บุคคลดงั กล่าว เป็นวธิ ที ่ถี ูกต้องแน่ๆ คอื 1. วธิ นี ้ีใครเป็นผู้คดิ ขน้ึ แล้วนํามาสอน เราจะ ไว้ใจผูน้ ัน้ ได้หรอื ไม่ ครูเจ้าของวธิ กี ารนัน้ น่าเชื่อถือได้เพยี งใด และ 2. เท่าท่ีได้ทดลองปฏบิ ตั ิวธิ กี ารนัน้ มาแล้ว เกิดผลอย่างไรบ้าง ถ้าปฏบิ ตั ิ แล้วเกิดผลดพี อควร ก็พอมนั่ ใจได้ว่า วธิ กี ารนัน้ ใช้ได้แล้ว ในเหตุผลท่ี 1 เราต้องมนั่ ใจว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้สอนวธิ เี ดนิ เขา้ สู่สภาวะ หลุดพ้นทุกข์ เราชาวพุทธก็ทราบประวตั ิของท่านว่าท่านมปี ัญญาสูง เยีย่ มจากการตรสั รู้ และท่านเสยี สละสงั ่ สอนประชาชนให้พน้ ทุกขต์ ลอด พระชนม์ชพี คาํ สอนแต่ละเร่อื งก็มเี หตุผล ท่านเป็นครูท่เี ราไว้ใจได้ เรา จงึ ต้องใหท้ ่านเป็นที่พึ่งของเราโดยไม่ต้องลงั เล คอื ใหถ้ อื พระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์ เป็นท่พี ง่ึ ของเราตลอดเวลา 18

พุทธงั ธมั มงั สงั ฆงั สะระณัง คจั ฉามิ (สะระณัง แปลว่า เป็นท่พี ่งึ คจั ฉามิ แปลว่า ขอถอื เอา) ในเหตุผลที่ 2 วธิ กี ารฝึกตนเข้าสู่วถิ อี รยิ ะนัน้ พระพุทธเจ้าทรงเน้นหลายครัง้ ให้ใช้ มรรค 8 เป็นหลกั ผู้ที่ปรารถนา ความพน้ ทุกข์ ต้องปฏบิ ตั ติ ามมรรค 8 ใหค้ รบทัง้ 8 ขอ้ ไม่ใช่เลอื ก ปฏบิ ตั บิ างขอ้ ใน มรรค 8 มี ศลี -ทาน-ภาวนา อยู่ครบทงั้ สามประการ เพยี งแต่พระพุทธเจ้าท่านเน้นแยกเอาศลี มาใหเ้ ห็นชดั เจนอกี ขอ้ หนึ่ง ต่างหาก เป็นหลกั บงั คบั ท่ลี ะเมดิ ไม่ได้ ผูใ้ ดปฏบิ ตั มิ รรค 8 อย่างเขม้ งวดสม่ําเสมอแล้ว ย่อมเหน็ ผลปรากฏแก่ ตนเอง เช่น ไม่มศี ตั รู มคี วามอบอุ่นใจได้รบั จากคนทัง้ หลายที่พบเหน็ เป็นที่รกั ของคนและสตั ว์ ปัญหาชวี ติ ที่มอี ยู่ก็ลดลงหรอื หมดไปอย่าง ง่ายดาย จติ ใจโปร่งโล่งสบาย ความเกลยี ดโกรธ-อยาก-เศรา้ โศก-กงั วล- ฟุ้งซ่าน หายลงไปมาก มสี ตปิ ัญญาเหนือเหตุผลท่คี นทงั้ หลายเขา้ ใจ มี ความรู้สกึ เหมอื นอยู่อีกโลกหน่ึงต่างจากชวี ติ ในอดตี ท่ผี ่านมา ผูใ้ ดปฏบิ ตั ิ ตามมรรคอย่างจรงิ จงั ย่อมเหน็ ผลดงั กล่าว เมื่อได้รบั ผลดดี งั กล่าว พอควร ย่อมมคี วามมัน่ ใจในวธิ ที ี่ปฏบิ ตั ิอยู่ ไม่ลงั เลสงสยั จนต้อง เปล่ยี นไปหาวธิ อี ่นื คุณสมบตั ิขอ้ 2 ของโสดาบนั มดี งั กล่าวขา้ งบนนี้ ภาษาพุทธศาสนา เรยี กว่า “ละวจิ กิ ิจฉาได้แล้ว” ท่านใดได้ทําและเหน็ ผลตามนี้ ย่อมได้ คุณสมบตั ิขอ้ 2 สาํ หรบั โสดาบนั แล้ว ..................... 19

บทท่ี 6 คณุ สมบตั ิข้อ 3 ของผเู้ ป็นโสดาบนั คณุ สมบตั ิขอ้ 3. ของผเู้ ป็นโสดาบนั ปฏิบตั ิศีลห้าของพทุ ธศาสนาอยา่ ง ครบถ้วนจริงจงั ไม่ปฏิบตั ิศีลหรือพิธีกรรมท่ีไม่มีประโยชน์ต่อการ หลดุ พ้นทุกข์ ศลี ในท่นี ้ีหมายถงึ ความประพฤตพิ น้ื ฐานของผูน้ ับถอื พุทธศาสนา ซ่งึ เป็น คุณสมบตั ทิ ่จี ําเป็นอกี ขอ้ หน่ึงของผูท้ เ่ี ป็นโสดาบนั คอื ต้องปฏบิ ตั ศิ ลี และ ศลี นัน้ ไม่ใช่ศลี อะไรก็ได้ ต้องเป็นศลี ท่เี ป็นประโยชน์ต่อการหลุดจากทุกข์ พระพทุ ธเจา้ กล่าวว่า ศลี หา้ ทเ่ี รารจู้ กั กนั น้ี ทาํ ใหผ้ ปู้ ฏบิ ตั มิ ใี จเป็นสมาธิ คอื ใจสงบ 20

ฉะนัน้ ศลี สําหรบั โสดาบนั หรอื อรยิ บุคคลสูงกว่า คอื ศลี หา้ นัน่ เอง เม่อื เรา ปฏบิ ตั ศิ ลี หา้ เรากเ็ ป็นผูม้ ใี จเมตตา ไม่คดิ รา้ ยคนและสตั ว์ ไม่มศี ตั รู เป็น หน่ึงเดยี วกบั ทุกชวี ติ ทงั้ คนและสคั ว์ จงึ มใี จสงบ ไม่ฟุ้งซ่านง่าย ใจทไ่ี ม่ ฟุ้งซ่าน คอื ใจท่เี ป็นสมาธใิ นทางปฏบิ ตั ิ คอื มคี วามรูต้ วั พร้อมท่จี ะใหส้ ติ เกดิ มากําจดั กเิ ลสได้ทนั ท่วงที ฉะนัน้ ใจของผูป้ ฏบิ ตั ศิ ลี จงึ ถูกพฒั นาไป เร่อื ยๆส่สู ภาวะเป็นอรยิ บุคคล ดงั ทก่ี ล่าวว่า ศลี เป็นปัจจยั สู่สภาวะนิพพาน ซง่ึ กเ็ ป็นประโยชน์ต่อโสดาบนั นนั้ เอง สาํ หรบั ผทู้ ป่ี ฏบิ ตั ศิ ลี และพธิ กี รรมทไ่ี รป้ ระโยชน์ต่อความหลดุ พน้ คอื ไมเ่ ป็น เหตุใหใ้ จโล่งว่างรูต้ วั คอื ใจเป็นสมาธแิ ละมใี จเมตตาเป็นหน่ึงกบั มนุษยแ์ ละ สตั ว์ทุกชีวติ แต่เป็น ศีลแบบทําร้ายคนหรอื สตั ว์ หรอื บูชาเทพเจ้าใดๆ กไ็ มเ่ ป็นศลี เพอ่ื ความหลดุ พน้ เป็นการถอื เอาศลี ทผ่ี ดิ จงระวงั ว่า ไมใ่ ช่เอาศลี อะไรกไ็ ดม้ าปฏบิ ตั ิ ตอ้ งเป็นศลี ทถ่ี ูกทางมปี ระโยชน์ ดว้ ย จงึ เป็นโสดาบนั ได้ 21

ผู้ใดปฏบิ ตั ศิ ลี หา้ ของพุทธศาสนาอย่างสมบูรณ์ทุกขอ้ ตลอดเวลา ย่อมเป็น ลกั ษณะหน่งึ ขอ้ ของโสดาบนั ภาษาพทุ ธศาสนากล่าววา่ ไดล้ ะ ”สลี พั พตป รามาส” แลว้ สลี พั คอื ศลี พต คอื ขอ้ ปฏบิ ตั ิ ปรามาส คอื ถอื ผดิ (ถา้ แปลวา่ ลบู คลาํ ศลี กไ็ มส่ อ่ื ความหมายอะไร) ……………… 22

บทท่ี 7 สรปุ การวดั ความเป็นโสดาบนั ใครอยากทราบว่า ตนเป็ นโสดาบันหรือยัง หรือ สูงเลยกว่านัน้ ให้ ตรวจสอบคุณสมบตั ขิ องตนเองวา่ มคี วามประพฤติ 3 ประการครบถว้ นแลว้ หรอื ยงั ดงั น้ี 1.รู้แน่ชดั ว่า ร่างกายและจิตใจคนและสตั ว์ทงั้ หลายไม่คงทนถาวร โดยเฉพาะตวั เรา ในทส่ี ดุ กต็ าย 2.มีใจเคารพต่อพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ และ ปฏิบัติมรรค 8 ครบถว้ นทุกขอ้ จนเหน็ ผลเกดิ ขน้ึ แก่ตนเอง 3.ปฏบิ ตั ิศลี ห้าของพุทธศาสนา ครบถ้วนทุกขอ้ โดยไม่มขี อ้ อ้างใดๆ เพอ่ื หลกี เลย่ี งไมป่ ฏบิ ตั ิ แต่กเ็ ป็นเรอ่ื งยากทใ่ี ครจะบอกไดว้ า่ ฉนั ไดป้ ฏบิ ตั บิ รบิ ูรณ์ทงั้ สามขอ้ แลว้ หรอื ยงั จงึ ขอใหข้ อ้ สงั เกตเพม่ิ เตมิ หลงั จากเช่อื ว่าปฏบิ ตั ติ นดแี ลว้ โดยดผู ลการ เปลย่ี นแปลงทเ่ี กดิ ขน้ึ แก่ตนเอง ดงั น้ี พบว่าความรูส้ กึ นึกคดิ ของเราเปลย่ี นไปมาก ใจเยน็ สบายโล่งว่างรูต้ วั ไไม่ ฟุ้งซ่าน ไม่เกลยี ดคนและสตั ว์ ไม่เป็นคนเจ้าอารมณ์ ไม่โกรธใครง่ายๆ ไมจ่ จู้ ้ี มคี วามเมตตามากขน้ึ มจี ติ ใจอยเู่ หนือเหตผุ ลไมเ่ ทย่ี วชถ้ี กู จบั ผดิ กบั คนและสตั ว์ ไม่หวงสงิ่ ของ คดิ ทําประโยชน์ใหผ้ ูอ้ ่นื โดยไม่รอการขอรอ้ ง ทําความดหี รอื ทําบุญใดๆไม่หวงั ได้บุญหวงั เพยี งใหผ้ ูอ้ ่นื พน้ ทุกข์ ผลดที ่ี เกดิ แกเ่ ราดงั น้ี ยอ่ มทาํ ใหม้ นั่ ใจวา่ ทเ่ี ราปฏบิ ตั มิ านนั้ ถูกทางแลว้ 23

และจะปฏบิ ตั ดิ ตี ่อไปเร่อื ยๆ ถา้ ท่านผใู้ ดมคี วามรสู้ กึ อย่างน้ี กท็ ายไมผ่ ดิ วา่ เป็นโสดาบนั หรอื สงู กวา่ นนั้ เป็นสกทิ าคามี หรอื อนาคามี เพราะวา่ สภาพ โสดาบนั นัน้ เป็นสถานีผ่านเพยี งชวั ่ คราว การปฏบิ ตั ทิ ถ่ี ูกทาง ย่อมทําให้ จติ ใจไหลเล่อื นขน้ึ สู่สภาวะทส่ี ูงขน้ึ เองโดยอตั โนมตั ิ และจะหาขอ้ ปฏบิ ตั ใิ ห้ ก้าวหน้าขน้ึ เองโดยธรรมชาติ เหมอื นต้นไม้ท่ดี ูแลถูกวธิ อี ย่างเดมิ ก็เจรญิ ตอ่ ไปไดเ้ รอ่ื ยๆ ท่านท่หี วงั เพยี งโสดาบนั ก็จะไม่หยุดอยู่ในสภาวะนัน้ แต่จะสูงข้นึ ไปเอง เรอ่ื ยๆ ขอให้ท่านตงั้ ใจปฏิบตั ิตามความร้ทู ี่ได้มานี้ จะต้องได้รบั ผลแน่นอน ขอให้ท่านโชคดี ……………….. 24

25



ประวตั ิยอ่ ดร. บญุ เสริม บญุ เจริญผล • เกดิ พ.ศ. 2481 ท่ี จ. ฉะเชงิ เทรา • จบชนั้ ประถมศกึ ษา รร. ไพบลู ยป์ ัญญา วดั สามรม่ ฉะเชงิ เทรา • จบชนั้ มธั ยมศกึ ษา รร. เบญจมราชรงั สฤษฎิ์ ฉะเชงิ เทรา • จบชนั้ เตรยี มนายรอ้ ย ท่ี รร. เตรยี มนายรอ้ ย • จบปรญิ ญาตรี วทิ ยาศาสตร์ รร. นายรอ้ ยพระจุลจอมเกลา้ รุน่ 9 • จบ ป.โท พฒั นาการเศรษฐกจิ ท่ี ม. เกษตรศาสตร์ • จบ ป.โท เศรษฐศาสตร์ ภาคภาษาองั กฤษ ท่ี ม. ธรรมศาสตร์ • จบ ป.เอก เศรษฐศาสตร์ ท่ี ม. ธรรมศาสตร์ ประวตั ิการทาํ งาน • กองทพั อากาศไทย ยศเรอื อากาศเอก พ.ศ. 2505 - 2513 • คณะเศรษฐศาสตร์ ม. เกษตรศาสตร์ หวั หน้าสาขาเศรษฐศาสตรเ์ ชงิ ปรมิ าณ พ.ศ. 2513 - 2535 • สาํ นกั นายกรฐั มนตรี ทป่ี รกึ ษารฐั มนตรปี ระจาํ สาํ นกั นายกรฐั มนตรี พ.ศ. 2535 - 2536 • มหาวทิ ยาลยั เกรกิ คณบดคี ณะเศรษฐศาสตร์ พ.ศ. 2536 - 2548 • ปัจจุบนั ผเู้ ขยี นบทความธรรมะและปรชั ญาชวี ติ รวมถงึ เป็นวทิ ยากร ผบู้ รรยายธรรมะ

ดร.บญุ เสริม บญุ เจริญผล เขียน ขอบคณุ รปู ภาพจาก www.canva.com



มลู นิธพิ ระพุทธสันตธิ รรม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook