ทฤษฎีการเรียนรู้ของฮลั ล์ (Hull’s Systematic Behavior Theory) กฎการเรียนรู้ 1.กฎแหวงสมรรถภาพในการตอบสนอง (Law of Reactive Inhibition) หรือ การยับยงั้ ปฏกิ ริ ิยา คือถ้ารวางกายเกดิ ความเหน่ือยล้า การตอบสนองหรือ การเรียนรู้จะลดลง 2. กฎแหวงการลาดับกลวุมนิสัย (Law of Habit Hierarchy) เม่ือมีส่งิ เร้ามา กระตุ้น แตวละคนจะมีการตอบสนองตวางๆ กัน ในระยะแรกการแสดงออกมี ลักษณะงวาย ๆ ตวอเม่ือเรียนรู้มากขนึ้ กส็ ามารถเลือกแสดงการตอบสนองใน ระดบั ท่สี ูงขนึ้ หรือถกู ต้องตามมาตรฐานของสังคม
3. กฎแหวงการใกล้จะบรรลุเป้าหมาย (Goal Gradient Hypothesis) เม่ือ ผู้เรียนย่งิ ใกล้บรรลุเป้าหมายเทวาใดจะมีสมรรถภาพในการตอบสนองมาก ขนึ้ เทวานัน้ การเสริมแรงท่ใี ห้ในเวลาใกล้เคียงเป้าหมายจะชววยทาให้เกิดการ เรียนรู้ได้ดที ่สี ุด นักคิดในกลวุมนีม้ องธรรมชาตขิ องมนุษย์ในลักษณะท่เี ป็ นกลาง คือ ไมวดี–ไมวเลว การกระทาตวางของมนุษย์เกิดจากอทิ ธิพลของส่งิ แวดล้อม ภายนอก พฤตกิ รรมของมนุษย์เกดิ จากการตอบสนองตวอส่งิ เร้า (stimulus response) การเรียนรู้เกดิ จากการเช่ือมโยงระหววางส่งิ เร้าและการตอบสนอง กลวุมพฤตกิ รรมนิยมให้ความสนใจกับ ”พฤตกิ รรม” มากเพราะพฤตกิ รรม เป็ นส่งิ ท่เี หน็ ได้ชัด
ทฤษฏีการเรียนรู้ของฮัลล์ (Hull’s Systematic Behavior Theory) มี ความเช่ือววาถ้ารวางกายเม่ือยล้า การเรียนรู้จะลดลง การตอบสนองตวอ การเรียนรู้จะเกดิ ขนึ้ ได้ดีท่สี ุดเม่ือได้รับแรงเสริมในเวลาใกล้บรรลุเป้าหมาย หลักการจดั การเรียนการสอนตามทฤษฎนี ีจ้ งึ มักคานึงถงึ ความพร้อม ความสามารถและเวลาท่ผี ู้เรียนจะเรียนได้ดที ่สี ุด การจัดการเรียนการสอน ควรให้ทางเลือกท่หี ลากหลายเพ่อื ตอบสนองระดบั ความสามารถของผู้เรียน
นอกจากนีย้ ังมีองค์ประกอบอ่ืนท่จี าเป็ นในการเรียนรู้ของฮลั ล์ คือ ก. ความสามารถ (Capacity) แตวละบุคคลมีความสามารถในการเรียนรู้ ตวางกันขนึ้ อยวูกับปัจจัยหลายอยวางเชวน เชาว์ปัญญา ความถนัด เป็ นต้น ข. การจงู ใจ (Motivation) เป็ นการชววยให้เกดิ พฤตกิ รรมการเรียนรู้ขนึ้ โดย การสร้างแรงขับให้เกดิ ขนึ้ ในตัวผู้เรียน ค. ความเข้าใจ (Understanding) การเรียนรู้โดยสร้างความเข้มใจในเร่ือง ท่เี รียน เม่ือประสบปัญหาท่คี ล้ายคลงึ กันกส็ มารถจะทาความเข้าใจโดย อาศัยประสบการณ์เดมิ
การนาไปใช้ในการเรียนการสอน การนาไปใช้ในการเรียนการสอน จากกฎการเรียนรู้ตามแนวความคดิ ของ ฮลั ล์ สามารถนามาใช้ในการจดั การเรียนการสอนได้ คอื 1. ผู้สอนสร้างแรงขับให้เกดิ ขนึ้ มาก ๆ แกวผู้เรียนแล้วเม่ือมีการตอบสนอง ตามท่ตี ้องการ ต้องรีบเสริมแรงทนั ที จงึ จะทาให้พฤตกิ รรมการเรียนรู้ เข้มข้นและคงทนถาวรอยวเู ร่ือย ๆ 2.เม่ือผู้เรียนเกดิ ความเหน่ือยล้าในบทเรียน ควรจะมีเวลาพกั กวอนแล้วจงึ เรียนตวอไป ระยะเวลาท่เี หมาะสาหรับผู้เรียนในวัยผู้ใหญวแล้ว ท่ไี มวทาให้เกดิ ความเหน่ือยล้า ประมาณชววงเวลาละ 50 นาที
3.เม่ือผู้เรียนใกล้จะเรียนรู้และมีความตัง้ ใจมาก ควรจะให้การเสริมแรงถ่ขี นึ้ 4.ควรให้พยายามเรียนรู้ด้วยตนเอง จะทาให้เข้าใจใจส่งิ ท่เี รียนมากขนึ้ และ สามารถ ตอบสนองได้หลายรูปแบบ 5.การให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนรู้ท่ดี ีต้องพจิ ารณาถงึ ส่งิ ตวอไปนี้ คือ ความสามารถของผู้เรียนใจแตวละบุคคล การสร้างความเข้าใจให้เกดิ ขนึ้ มาก ๆ ในบทเรียนเม่ือเรียนรู้แล้วต้องให้ผู้เรียนคดิ หรือกระทาบวอย ๆ เพ่อื ป้องกันการลืม และพยายามให้ผู้เรียนรู้จกั ถวายโยงการเรียนรู้ในส่งิ ท่ี คล้ายคลงึ กันจากบทเรียนหน่ึงไปสวูอีกบทเรียนหน่ึง
3.ทฤษฎีการเรียนรู้กลวุมมนุษยนิยม ทศิ นา แขมมณี (2550) ได้กลวาวถงึ ทฤษฎนี ีว้ วานักคดิ กลวุมมนุษยนิยม ให้ ความสาคัญของการเป็ นมนุษย์ และมองมนุษย์ววามีคุณควา มีความดีงาม มี ความสามารถ มีความต้องการ และมีแรงจูงใจภายในท่จี ะพฒั นาศักยภาพ ของตน หากบคุ คลได้รับอิสรภาพและเสรีภาพ มนุษย์จะพยายามพฒั นา ตนเองไปสวูความเป็ นมนุษย์ท่สี มบรู ณ์ นักจติ วทิ ยาคนสาคัญในกลวุมนีค้ ือ มาสโลว์ (Maslow) รอเจอร์ส (Rogers) โคมส์ (Knowles) แฟร์ (Faire) อิลลิช (illich) และนีล(Neil)
1. ทฤษฎีการเรียนรู้ของมาสโลว์ (Maslow,1962) ทฤษฎีการเรียนรู้ 1.มนุษย์ทุกคนมีความต้องการพนื้ ฐานตามธรรมชาตเิ ป็ นลาดบั ขัน้ คือ ขัน้ ความต้องการางรวางกาย (physical need) ขัน้ ความต้องการความม่ันคงปลอดภยั (safety need) ขัน้ ความต้องการความรักและความเป็ นเจ้าของ (love/Belonging) ขัน้ ความเคารพนับถอื (Esteem) หากความต้องการขัน้ พนื้ ฐานดรี ับการตอบสนองอยวางพอเพยี ง สาหรับตนในแตวละขัน้ มนุษย์จะสามารถพฒั นาตนไปสวูขัน้ ท่สี ูงขนึ้
2.มนุษย์มีความต้องการท่จี ะรู้จกั ตนเองและพฒั นาตนเอง ประสบการณ์ท่ี เรียกววา “peak experience”เป็ นประสบการณ์ของบุคคลท่อี ยวูในภาวะ ด่มื ด่าจากการรู้จกั ตนเองตรงตามสภาพความเป็ นจริง มีลักษะนวาต่ืนเต้น เป็ นความรู้สึกปี ติ เป็ นชววงเวลาท่บี ุคคลเข้าใจเร่ืองหน่ึงอยวางถวองแท้ เป็ น สภาพท่สี มบูรณ์ มีลักษณะผสมผสานกลมกลืน เป็ นชววงเวลาแหวงการ รู้จักตนเองอยวางแม้จริง บุคคลท่มี ีประสบการณ์เชวนนีบ้ วอยๆจะสามารถ พฒั นาตนไปสวูความเป็ นมนุษย์ท่สี มบูรณ์
หลักการจดั การศกึ ษา/การสอน (มาสโลว์) 1.เข้าใจถงึ ความต้องการพนื้ ฐานของมนุษย์ สามารถชววยให้เข้าใจพฤติกรรม ของบุคคลได้ เน่ืองจากพฤตกิ รรมเป็ นการแสดงออกของความต้องการ ของบุคคล 2.จะสามารถชววยให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนรู้ได้ดี จาเป็ นต้องตอบสนอง ความต้องการพนื้ ฐานท่เี ขาต้องการเสียกวอน 3.ในกระบวนการเรียนการสอน หากรู้ สามารถหาได้ววาผู้เรียนแตวละคนมี ความต้องการอยวูในระดับใดขัน้ ใด ครูสามารถใช้ความต้องการพนื้ ฐานของ ผู้เรียนนัน้ เป็ นแรงจงู ใจชววยให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนรู้ได้
4. การชววยให้ผู้เรียนได้รับการตอบสนองความต้องการพนื้ ฐานของตนอยวาง พอเพยี ง การให้อสิ รภาพและเสรีภาพแกวผู้เรียนในการเรียนรู้ การจัด บรรยากาศท่เี อือ้ ตวอการเรียนรู้ จะชววยสวงเสริมให้ผู้เรียนเกดิ ประสบการณ์ ในการรู้จักตนเองตรงตามสภาพความเป็ นจริง
2. ทฤษฎีการเรียนรู้ของรอเจอร์ส (Rogers,1969) ทฤษฎีการเรียนรู้ มนุษย์จะสามารถพฒั นาตนเองได้ดหี ากอยวใู นสภาพการณ์ท่ผี วอนคลาย และเป็ นอิสระ การจดั บรรยากาศการเรียนท่ผี วอนคลายและเอือ้ ตวอการเรียนรู้ (supportive atmosphere) และเน้นให้ผู้เรียนเป็ นศูนย์กลาง (student- centered teaching) โดยครูใช้วธิ ีการสอนแบบชีแ้ นะ(non-directive) และ ทาหน้าท่อี านวยความสะดวกในการเรียนรู้ให้แกวผู้เรียน (facilitator) และ การเรียนรู้จะเน้นกระบวนการ (process learning) เป็ นสาคัญ
หลักการจัดการศกึ ษา/การสอน (รอเจอร์ส) 1.การจดั สภาพแวดล้อมทางการเรียนให้อบอวุน ปลอดภยั ไมวนวาหวาดกลัว นวาไว้วางใจ จะชววยให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนรู้ได้ดี 2.ผู้เรียนแตวละคนมีศักยภาพและแรงจูงใจท่จี ะพฒั นาตนเองอยวแู ล้ว ครูจงึ ควรสอนแบบชีแ้ นะ(non-directive) โดยให้ผู้เรียนเป็ นผู้นาทางใน การเรียนรู้ของตน (self- directive) และคอยชววยเหลือผู้เรียนให้ เรียนอยวางสะดวกจนบรรลุผล 3.ในการจดั การเรียนการสอนควรเน้นการเรียนรู้กระบวนการ (process learning) เป็ นสาคัญ เน่ืองจากกระบวนการเรียนรู้เป็ นเคร่ืองมือสาคัญ ท่บี ุคคลใช้ในการดารงชีวติ และแสวงหาความรู้ตวอไป
3. แนวคดิ เก่ียวกับการเรียนรู้ของโคมส์ (Combs) แนวคดิ เก่ียวกับการเรียนรู้ ความรู้สกึ ของผู้เรียนมีความสาคัญตวอการเรียนรู้มาก เพราะความรู้สกึ และเจตคตขิ องผู้เรียนมีอทิ ธิพลตวอกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน หลักการจัดการศกึ ษา/การสอน การคานึงถงึ ความรู้สึกของผู้เรียน การสร้างเจตคตทิ ่ดี ตี วอการเรียนรู้เหน็ ส่งิ สาคัญท่จี ะชววยให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนรู้ได้ดี
4.แนวคดิ เก่ียวกับการเรียนรู้ของ โนลส์ (Knowles) แนวคดิ เก่ียวกับการเรียนรู้ 1. ผู้เรียนจะเรียนรู้ได้มากหากมีสววนรววมในการเรียนรู้ด้วยตนเอง 2.การเรียนรู้ของมนุษย์เป็ นกระบวนการภายใน อยวูในความควบคุมของ ผู้เรียนแตวละคน ผู้เรียนจะนาประสบการณ์ ความรู้ ทกั ษะและควานิยม ตวางๆเข้ามาสวูการเรียนรู้ของตน 3.มนุษย์จะเรียนรู้ได้ดหี ากมีอสิ ระท่จี ะเรียนในส่ิงท่ตี นต้องการและด้วย วธิ ีการท่ตี นพอใจ
4.มนุษย์ทุกคนมีลักษณะเฉพาะตน ความเป็ นเอกัตบคุ คลเป็ นส่ิงท่มี ีคุณควา มนุษย์ควรได้รับการสวงเสริมในการพฒั นาความเป็ นเอกัตบุคคลของตน 5.มนุษย์เป็ นผู้มีความสามารถและเสรีภาพท่จี ะตัดสินใจ และเลือกกระทา ส่งิ ตวางๆตามท่ตี นพอใจ และรับผิดชอบในผลของการกระทานัน้
หลักการจัดการศกึ ษา/การสอนของโนลส์ 1. การให้ผู้เรียนมีสววนรวมในการเรียน รับผิดชอบรววมกันในกระบวนการ เรียนรู้ จะชววยให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนรู้ได้ดี 2. ในกระบวนการเรียนรู้ ควรเปิ ดโอกาสและสวงเสริมให้ผู้เรียนนา ประสบการณ์ ความรู้ ทกั ษะ เจตคติ และควานิยมตวางๆของตน เข้ามาใช้ใน การทาความเข้าใจส่ิงใหมว ประสบการณ์ใหมว 3.ในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แกวผู้เรียน ควรเปิ ดโอกาสให้ผู้เรียน ได้เลือกส่งิ ท่เี รียนและและวธิ ีเรียนด้วยตนเอง
4. ในกระบวนการเรียนการสอน ครูควรเข้าใจและสวงเสริมความแตกตวาง ระหววางบุคคล ควรเปิ ดโอกาสและสวงเสริมให้ผู้เรียนได้พฒั นา คุณสมบตั เิ ฉพาะตน ไมวควรปิ ดกัน้ เพยี งเพราะเขาไมวเหมือนคนอ่ืน 5. ในกระบวนการเรียนรู้ ควรเปิ ดโอกาสและสวงเสริมให้ผู้เรียนตัดสินใจ ด้วยตนเอง ลงมือกระทา และยอมรับผลของการตดั สิใจหรือ การกระทานัน้
5. แนวคดิ เก่ียวกับการเรียนรู้ของแฟร์ (Faire) แนวคดิ เก่ียวกับการเรียนรู้ เปาโล แฟร์(Faire) เช่ือในทฤษฎีของผู้ถูกกดข่ี (Pedagogy of the oppressed) เขากลวาวววา ผู้เรียนต้องถูกปลดปลวอยจาการขดข่ีของครูท่สี อน แบบเกวา ผู้เรียนมีศักยภาพและมีความคดิ ริเร่ิมสร้างสรรค์ท่จี ะกระทาส่งิ ตวางๆด้วยตนเอง หลักการจดั การศึกษา/การสอน ระบบการจัดการศกึ ษา ควรเป็ นระบบท่ใี ห้อิสรภาพและเสรีภาพใน การเรียนรู้แกวผู้เรียน
6. แนวคดิ เก่ียวกับการเรียนรู้ของอลิส (Illich) แนวคดิ เก่ียวกับการเรียนรู้ อวิ าน อลิ ลิช (Ivan Illich) ได้เสนอแนวคดิ เก่ียวกับการล้มเลิกระบบ โรงเรียน (deschooling) ไว้ววา สังคมแหวงการเรียนรู้เป็ นสังคมท่ตี ้องล้มเลกิ ระบบโรงเรียน การศกึ ษาควรเป็ นการศกึ ษาตลอดชีวติ แบบเป็ นตาม ธรรมชาติ โดยให้โอกาสในการศกึ ษาเลวาเรียนแกวบุคคลอยวางเตม็ ท่ี หลักการจัดการศกึ ษา/การสอน การจัดการศกึ ษาไมวจาเป็ นต้องจัดทาในลักษณะระบบของโรงเรียนควร จดั ในลักษณะท่เี ป็ นการศกึ ษาตวอเน่ืองไปตลอดชีวิตตามธรรมชาติ
7. แนวคดิ เก่ียวกับการเรียนรู้ของนีล (Neil) แนวคดิ เก่ียวกับการเรียนรู้ นีล (Neil) กลวาวววา มนุษย์เป็ นผู้มีศักด์ศิ รี มีความดีโดยธรรมชาตหิ าก มนุษย์อยวูในสภาพแวดล้อมท่อี บอวุน บริบูรณ์ไปด้วยความรัก มีอสิ รภาพและ เสรีภาพมนุษย์จะพฒั นาไปในทางท่ดี ีตวอตนเองและสังคม หลักการจัดการศกึ ษา/การสอน การให้เสรีภาพอยวางสมบูรณ์แกวผู้เรียนในการเรียน เรียนเม่ือพร้อมท่จี ะ เรียน จะชววยให้ผู้เรียนพฒั นาไปตามธรรมชาติ
4.ทฤษฎีการเรียนรู้กลวุมผสมผสาน (Eclecticism) โรเบริ ์ต กาเยว (Robert Gagne) เป็ นนักปรัชญาและจติ วทิ ยาการศึกษา ชาวอเมริกา (1916-2002) ได้เสนอแนวความคิดเก่ียวกับการสอน คือ ทฤษฎีเง่อื นไขการเรียนรู้ (Condition of Learning) โดยทฤษฎีการเรียนรู้ ของกาเยวจดั อยวูในกลวุมผสมผสาน (Gagne’s eclecticism) ซ่งึ เช่ือววาความรู้ มีหลายประเภท บางประเภทสามารถเข้าใจได้อยวางรวดเร็วไมวต้องใช้ ความคดิ ท่ลี ึกซงึ้ บางประเภทมคี วามซับซ้อนจาเป็ นต้องใช้ความสามารถใน ขัน้ สูง
ทฤษฎีการเรียนรู้ของกาเยว อธิบายววาการเรียนรู้ มีองค์ประกอบ 3 สววน คือ หลักการและแนวคดิ วตั ถปุ ระสงค์ และ กระบวนการเรียนการสอน ก. หลักการและแนวคดิ 1) ผลการเรียนรู้หรือความสามารถด้านตวางๆ ของมนุษย์ ซ่งึ มีอยวู 5 ประเภท คือ - ทกั ษะทางปัญญา (Intellectual skill) ซ่งึ ประกอบด้วยการจาแนก แยกแยะ การสร้างความคดิ รวบยอด การสร้างกฎ การสร้างกระบวนการหรือ กฎชัน้ สูง - กลวธิ ีในการเรียนรู้ (Cognitive strategy) - ภาษาหรือคาพดู (verbal information)
- กลวธิ ีในการเรียนรู้ (Cognitive strategy) - ภาษาหรือคาพดู (verbal information) - ทกั ษะการเคล่ือนไหว (motor skills) - และเจตคติ (attitude) 2) กระบวนการเรียนรู้และจดจาของมนุษย์ มนุษย์มีกระบวนการจัดกระทา ข้อมูลในสมอง ซ่งึ มนุษย์จะอาศัยข้อมูลท่สี ะสมไว้มาพจิ ารณาเลือกจดั กระทาส่ิงใดส่ิงหน่ึง และในขณะท่กี ระบวนการจดั กระทาข้อมูลภายใน สมองกาลังเกดิ ขนึ้ เหตกุ ารณ์ภายนอกรวางกายมนุษย์มีอทิ ธิพลตวอการ สวงเสริมหรือการยับยงั้ การ เรียนรู้ท่เี กดิ ขนึ้ ภายในได้
ดงั นัน้ ในการจดั การเรียนการสอน กาเยว จงึ ได้เสนอแนะววา * ควรมีการจัดสภาพการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับการเรียนรู้แตวละ ประเภท ซ่งึ มีลักษณะเฉพาะท่แี ตกตวางกนั และ * สวงเสริมกระบวนการเรียนรู้ภายในสมอง โดยการจดั สภาพภายนอกให้ เอือ้ ตวอกระบวนการเรียนรู้ภายในของผู้เรียน
ข. วัตถุประสงค์ เพ่อื ชววยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้เนือ้ หาสาระตวางๆ ได้อยวางดี รวดเร็ว และสามารถจดจาส่งิ ท่เี รียนได้นาน
ค. กระบวนการเรียนการสอน กาเยว ได้นาเอาแนวความคิดมาใช้ในการเรียนการสอน โดย ยดึ หลักการนาเสนอเนือ้ หาและจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ จากการมีปฏสิ ัมพนั ธ์ หลักการสอน 9 ประการ ได้แกว
1. เรวงเร้าความสนใจ (Gain Attention) 2. บอกวัตถุประสงค์ (Specify Objective) 3. ทบทวนความรู้เดมิ (Activate Prior Knowledge) 4. นาเสนอเนือ้ หาใหมว (Present New Information) 5) ชีแ้ นะแนวทางการเรียนรู้ (Guide Learning) 6) กระตุ้นการตอบสนองบทเรียน (Elicit Response)
7. ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Provide Feedback) 8. ทดสอบความรู้ใหมว (Assess Performance) และ 9. สรุปและนาไปใช้ (Review and Transfer)
1.เรว งเร้ าความสนใจ กระต้นุ หรือเร้า ผู้เรียนให้สนใจ บทเรียน/เนือ้ หา อาจทาได้โดย การจดั การใช้เสียง การใช้ภาพ สภาพแวดล้อม
2.การบอกวัตถปุ ระสงค์ จะทาให้ผู้เรียนสามารถมวุง ความสนใจไปท่เี นือ้ หา บทเรียนท่เี ก่ยี วข้อง สามารถเลือกเนือ้ หาเฉพาะท่ตี นยังขาดความเข้าใจ
3. ทบทวนความรู้เดมิ (Activate Prior Knowledge) การทบทวนความรู้เดมิ ชววยกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้เนือ้ หา ใหมวได้รวดเร็วย่งิ ขนึ้ EX : รูปแบบการทบทวนความรู้เดมิ ในบทเรียน ทาได้หลายวธิ ี เชวน - กจิ กรรมการถาม-ตอบคาถาม หรือ - การแบวงกลวุมให้ผู้เรียนอภปิ รายหรือสรุปเนือ้ หาท่ไี ด้เคยเรียนมาแล้ว เป็ นต้น
รูปภาพ เสียง วีดีทศั น์ 4.การนาเสนอ กราฟฟิ ก เนือ้ หาใหมว Four shards
5.ชีแ้ นะแนวทางการเรียนรู้ (Guide Learning) หมายถงึ : การชีแ้ นะให้ผู้เรียนสามารถนาความรู้ท่ไี ด้เรียนใหมวผสมผสานกับ ความรู้เกวาท่เี คยได้เรียนไปแล้ว เพ่อื ให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนรู้ท่ี รวดเร็วและมคี วามแมวนยามากย่งิ ขนึ้
6. กระตุ้นการตอบสนองบทเรียน (Elicit Response) ผ้ ูเรียนได้ มีโอกาสรว วมคดิ รววมกจิ กรรมในสววนท่เี ก่ียวกับเนือ้ หา รว วมตอบคาถาม สวงผลให้มีความจาดีกววาผู้เรียน ท่ใี ช้วธิ ีอวาน
7.ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Provide Feedback) 1.ให้ข้อมูลย้อนกลับ ทนั ทหี ลังจากผู้เรียนโต้ตอบ 2. บอกให้ผู้เรียนทราบววาตอบถูกหรือผิด โดยแสดงคาถาม คาตอบ และ ข้อมูลย้อนกลับบนเฟรมเดียวกัน 3. ถ้าใช้ภาพ ข้อมูลย้อนกลับ ควรเป็ นภาพท่งี วายท่เี ก่ียวข้องกบั เนือ้ หา 4. หลีกเล่ียงผลทางภาพ (Visual Effects) หรือการให้ ข้อมูลย้อนกลับท่ตี ่นื ตาหากผู้เรียนทาผิด การให้ข้อมูลย้อนกลับถือววาเป็ นเคร่ืองมือท่ี ใช้ในการพฒั นาผู้เรียน เพ่อื ให้เรียนรู้ เปล่ียนแปลงพฤตกิ รรม หรือแก้ไขพฤตกิ รรมท่ไี มว เหมาะสม
8. ทดสอบความรู้ใหมว (Assess Performance) การทดสอบความรู้ความสามารถผู้เรียนเป็ นขัน้ ตอนท่สี าคัญอีก ขัน้ ตอนหน่ึง เพราะทาให้ทงั้ ผู้เรียนและผู้สอนได้ทราบถงึ ระดับความรู้ ความเข้าใจท่ผี ู้เรียนมีตวอเนือ้ หาในบทเรียนนัน้ ๆ การทดสอบความรู้ใน บทเรียนสามารถทาได้หลายรูปแบบ เชวน - ข้อสอบแบบปรนัยหรืออัตนัย - การจดั ทากจิ กรรมการอภปิ รายกลวุมใหญวหรือกลวุมยวอยเป็ นต้น
9. สรุปและนาไปใช้ (Review and Transfer) เป็ นสววนสาคัญในขัน้ ตอนสุดท้าย ท่บี ทเรียนจะต้องสรุปมโนคตขิ อง เนือ้ หาเฉพาะประเดน็ สาคัญ ๆ รวมทงั้ ข้อเสนอแนะตวาง ๆ เพ่อื เปิ ด โอกาสให้ผู้เรียนได้มีโอกาสทบทวนความรู้ของตนเองหลังจากศกึ ษาเนือ้ หา ผวานมาแล้ว ในขณะเดยี วกนั บทเรียนต้องชีแ้ นะเนือ้ หาท่เี ก่ียวข้องหรือให้ข้อมูล อ้างองิ เพ่มิ เตมิ เพ่อื แนะแนวทางให้ผู้เรียนได้ศกึ ษาตวอในบทเรียนถดั ไป หรือนาไปประยุกต์ใช้กบั งานอ่นื ตวอไป
ใบกิจกรรมท้ายบท ในการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน มคี วามเก่ยี วข้องกบั ทฤษฎีการเรียนรู้ ท่หี ลากหลาย ให้นักศกึ ษา ยกตวั อยวางทฤษฎีการเรียนรู้อยวางน้อยมา 2 ทฤษฎี พร้อมแนวทางการนาไปใช้การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ อธิบายให้ ละเอียด
แหลวงค้นคว้าเพ่มิ เตมิ https://transformativelearningku.files.wordpress.com/2018/07/feedback-
Search