Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แนวคิดและค่านิยมที่สะท้อนจากวรรณคดีเรื่องสุภาษิตสอนหญิง

แนวคิดและค่านิยมที่สะท้อนจากวรรณคดีเรื่องสุภาษิตสอนหญิง

Published by Nattichaa1234, 2021-01-29 01:39:43

Description: แนวคิดและค่านิยม

Search

Read the Text Version

แนวคดิ และค่านยิ มท่ีสะท้อนจากวรรณคดีเร่อื งสุภาษิตสอนหญงิ คณะผจู้ ดั ทำ นางสาวเจสสกิ ้าบัว โดเลส เลขที่ ๓๓ นางสาวกนกพร สขุ ไตรรตั น์ เลขท่ี ๓๔ นางสาวณัฐธิชา สงั ขแ์ กว้ เลขท่ี ๓๕ นางสาวพัตธติ า อาดหมาด เลขที่ ๓๗ ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ ๖/๒ ผูส้ อน นายธิรพงษ์ คงด้วง รายงานฉบบั นเี้ ปน็ สว่ นหนงึ่ ของรายวิชา ภาษาไทย (ท ๓๓๑๐๒) ภาคเรยี นที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๓ โรงเรยี นทปี ราษฎรพ์ ทิ ยา จงั หวัดสุราษฎรธ์ านี

คำนำ โครงงานเรื่องแนวคิดและค่านิยมท่ีสะท้อนจากวรรณคดีเรื่องสุภาษิตสอนหญิงจัดทำ ขึ้นตามความ สนใจของสมาชิกในกลุ่มโดยการศึกษาเอกสารตำราท่ีเก่ียวข้องกับวรรณคดีเรื่องสุภาษิตสอนหญิงโดยมี วตั ถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างของค่านิยมท่ีสะท้อนจากวรรณคดีเรื่องสุภาษิตสอนหญิง และแนวคดิ และค่านิยมของคนไทยในปจั จบุ ัน คณะผู้จัดทำได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อเป็นประโยชน์กับการศึกษา การต่อยอดโครงงานต่อไป คณะ ผจู้ ัดทำหวังว่าโครงงานเร่ืองแนวคิดและค่านิยมท่ีสะทอ้ นจากวรรณคดีเร่ืองสุภาษิตสอนหญิงจะเป็น ประโยชน์ กบั ผู้อ่านนักเรียนนักศึกษาหรือผู้ท่ีอยากศึกษาหรือท่ีกำลังหาข้อมูลในเรอ่ื งน้ี หากมีข้อแนะนำหรือข้อผิดพลาด ประการใดคณะผจู้ ัดทำขอนอ้ มรบั ไว้และขออภยั มา ณ ทน่ี ีด้ ้วย คณะผจู้ ดั ทำ

กติ ติกรรมประกาศ โครงงานนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีเพราะความกรุณาจากอาจารย์ธิรพงษ์ คงด้วง อาจารย์ท่ีปรึกษา โครงงานที่ได้ให้คำเสนอแนะ แนวคิด ตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ มาโดยตลอด คณะผู้วิจัยตระหนักถึง ความตงั้ ใจจริงและความทุ่มเทของอาจารย์และขอกราบขอบพระคุณเปน็ อย่างสงู ไว้ ณ ทนี่ ี้ ขอขอบพระคุณผู้ให้ข้อมูลทุกท่านท่ีสละเวลาในการให้สัมภาษณ์ จนคณะผู้วิจัยได้ข้อมูลที่เพียงพอต่อ การเขียนโครงงานนี้จนสำเร็จเรียบร้อย ขอขอบคุณเพ่ือนๆ ทุกคนท่ีให้กำลังใจและให้ความช่วยเหลือในการ จัดทำโครงงานเป็นอย่างดี และสุดท้ายน้ีขอขอบพระคุณ ทุกๆท่าน รวมท้ังท่านมิได้กล่าวนามมาในที่นี้ ซึ่งมี สว่ นชว่ ยใหโ้ ครงงานน้ีสำเร็จลงไดอ้ ย่างสมบรู ณ์ คุณค่าและประโยชน์ของงานวจิ ัยนี้ ขอมอบแดต่ นเองและผู้มพี ระคณุ ทกุ ท่านทใ่ี ห้ความช่วยเหลือตัง้ แต่ เรม่ิ จนถงึ ปจั จบุ นั เจสสิกา้ บวั โดเลส กนกพร สขุ ไตรรตั น์ ณฐั ธิชา สงั ข์แกว้ พัตธติ า อาดหมาด

สารบญั หนา้ ก เรือ่ ง ข คำนำ ค สารบญั ตาราง ๑ กิตตกิ รรมประกาศ ๑ บทที่ ๑ บทนำ ๑ ๒ ๑.๑ ความเปน็ มาและความสำคญั ของการศึกษา ๒ ๑.๒ วัตถปุ ระสงคใ์ นการศึกษาคน้ คว้า ๒ ๑.๓ ขอบเขตของการศึกษา ๓ ๑.๔ ประโยชนท์ คี่ าดวา่ จะไดร้ บั ๓ ๑.๕ นิยามศัพท์เฉพาะ ๓ บทท่ี ๒ เอกสารทเี่ ก่ียวข้อง ๘ ๒.๑ ความรู้เก่ียวกับสุภาษิตสอนหญงิ ๘ ๑๑ -สภุ าษติ สอนหญิง ๑๑ ๒.๒ ความรเู้ กย่ี วกบั ประวตั ิของสนุ ทรภู่ ๑๒ ๑๒ -ประวตั สิ นุ ทรภู่ ๑๒ ๒.๓ ความรู้เกย่ี วแนวคิดและค่านิยมของคนสมยั กอ่ นเกย่ี วกับผู้หญงิ ๑๓ -แนวคิดของคนสมยั ก่อนเก่ียวกบั ผูห้ ญิง -คา่ นิยมของคนสมยั ก่อนเกีย่ วกบั ผ้หู ญิง ๒.๔ ความร้เู ก่ยี วแนวคิดและคา่ นยิ มของคนในปัจจบุ นั เก่ยี วกบั ผหู้ ญงิ -แนวคิดของคนในปจั จุบนั เกี่ยวกับผ้หู ญิง -คา่ นิยมของคนในปจั จบุ นั เกี่ยวกบั ผหู้ ญิง

เร่ือง หน้า บทท่ี ๓ วธิ ีการดำเนินงาน ๑๖ ๑๖ ๓.๑ แหลง่ ขอ้ มลู ๑๖ ๓.๒ เกณฑ์ประเด็นในการวเิ คราะห์ ๑๗ ๓.๓ เกณฑ์การวิเคราะหก์ ารใชภ้ าพพจน์ ๑๗ ๓.๔ เกณฑก์ ารวิเคราะห์คำสอนจากเรื่องสภุ าษิตสอนหญงิ ๑๘ ๓.๕ การเก็บรวบรวมข้อมูล ๑๙ ๑๙ -ขน้ั ตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม ๒๐ -ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง ๒๐ -การเก็บรวบรวมขอ้ มูล ๒๑ ๓.๖ การวิเคราะหข์ ้อมลู ๒๒ ๓.๗ ระยะเวลาในการดำเนินงาน ๒๒ บทที่ ๔ วเิ คราะห์ขอ้ มลู ๒๓ ๔.๑ เกณฑก์ ารวเิ คราะหก์ ารใชภ้ าพพจน์ ๒๔ ๔.๒ การวิเคราะห์คำสอนจากเร่ืองสภุ าษติ สอนหญงิ ๒๔ ๔.๒.๑ การครองตน ๒๔ ๔.๒.๒ กริ ยิ ามารยาท ๒๔ ๔.๒.๓ การปฏบิ ัตติ อ่ บดิ ามารดา ๒๕ ๔.๒.๔ การเลือกคู่ครอง ๒๘ ๔.๒.๕ การปฏิบตั ิตอ่ สามี ๒๘ บทท่ี ๕ สรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ ๒๙ ๕.๑ สรุปผลการศกึ ษาคน้ ควา้ ๕.๒ ขอ้ เสนอแนะ

เรื่อง หน้า บรรณานุกรม ๓๐

สารบัญตาราง หนา้ ๒๐ ตารางที่ ๒๑ ตารางท่ี ๓.๕ ตอนท่๑ี ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ๒๕ ตารางท่ี ๓.๗ ระยะเวลาในการดำเนนิ การ ๒๖ ตารางท่ี ๔.๓ การครองตน ๒๖ ตารางที่ ๔.๔ กิริยามารยาท ๒๗ ตารางที่ ๔.๕ การปฏบิ ตั ิต่อบิดามารดา ๒๗ ตารางท่ี ๔.๖ การเลอื กคู่ครอง ตารางที่ ๔.๗ การปฏิบัติตอ่ สามี

๑ บทที่ ๑ บทนำ ๑.๑ ความเปน็ มาและความสำคัญของการศกึ ษา วรรณคดี คือ เป็นวรรณกรรมหรืองานเขียนท่ีได้รับยกย่องว่าแต่งดี มีศิลปะในการประพันธ์ ให้คุณค่า ควรแก่การรักษา เป็นส่วนหน่ึงของงานศิลปะ และเป็นส่วนหน่ึงของวัฒนธรรมที่มีลักษณะสำคัญ ๒ ประการ คือลักษณะเฉพาะและลักษณะสากล ซงึ่ มีความสำคัญเท่ากัน ลักษณะเฉพาะแสดงเผ่าพันธุ์ เช้อื ชาติ วัฒนธรรม และความเป็นปัจเจกบุคคล ส่วนลักษณะสากลสะท้อนความเป็นมนุษย์และปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสง่ิ อ่ืน เช่น ธรรมชาติ ความเช่ือ สังคม รวมถึงมนุษย์ด้วยกันเองโดยไม่มีกรอบเงื่อนของวิถีสังคมและมิติของเวลาเป็น เคร่ืองกำกับ เป็นบันทึกทางสังคมและสะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในยุคน้ันๆ ผ่านตัวละครท่ีสร้างตาม จนิ ตนาการของผ้แู ต่ง สุภาษิตสอนหญิง แต่งด้วยกลอนสุภาพ จำนวน ๒o๑ บท ปรากฏนามผู้แต่งว่าช่ือ ภู่ ไม่ปรากฏปีที่ ประพันธ์อย่างชัดเจน โดยเน้ือหาเป็นหลักประพฤติในการปฏิบัติตนของสตรีตามค่านิยมของสังคมไทยดั้งเดิม เป็นคำสอนที่ใช้กับสตรีทุกชนชั้น มีท้ังข้อห้าม ข้อควรปฏิบัติ ทั้งในเรื่องการวางตัว กิริยามารยาท การพูดจา การแต่งกาย การเลือกคู่ครอง การดูแลบ้านเรือน เป็นต้น ซ่ึงคำสอนตา่ งๆ นี้ เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต ของสตรีตามเป็นที่นับถือและแพร่หลายสืบต่อกันมาช้านาน เป็นสิ่งท่ีสะท้อนค่านิยมของสังคมไทยที่มีต่อสตรี และค่านยิ มเหลา่ นีย้ ังคงปรากฏและสืบทอดมาจนปัจจุบนั ในปัจจุบันโลกของเรามีการเปล่ียนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จึงทำให้แนวคิดค่านิยมต่างๆในสังคมไทยใน ปัจจบุ ันได้มีการเปล่ียนแปลงไปอย่างมากมายตามกาลเวลา สาเหตุท่ีสำคัญส่วนหน่ึงเป็นผลสืบเน่ืองมาจากการ ไดร้ บั อิทธิพลจากต่างประเทศ การปรับเปล่ียนให้เป็นสากลมากยิง่ ข้ึน การปรบั เปลยี่ นใหเ้ หมาะสมกบั ยุคสมัยที่ เปลี่ยนไปด้วยเหตุนี้คณะผู้จัดทำจึงได้มีความคิดท่ีจะศึกษาและจัดทำโครงงานเรื่องแนวคิดและค่านิยมท่ี สะท้อนจากวรรณคดีเรอ่ื งสภุ าษิตสอนหญงิ มาเปรยี บเทียบใหเ้ ห็นถึงความแตกต่างของแนวคิดและคา่ นิยมของ คนไทยในปัจจุบันข้ึนเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างของค่านิยมท่ีสะท้อนจากวรรณคดีสอนหญิงและ แนวคดิ และค่านิยมของคนไทยในปัจจุบนั ๑.๒ วตั ถุประสงคใ์ นการศึกษาค้นควา้ ๑.เพ่ือเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างของแนวคิดและค่านิยมท่ีสะท้อนจากวรรณคดีเรื่องสุภาษิต สอนหญงิ และแนวคิดและคา่ นยิ มของคนไทยในปจั จบุ นั ๒. เพ่ือศึกษาแนวคิดและคา่ นยิ มทสี่ ะทอ้ นจากวรรณคดีเรื่องสภุ าษติ สอนหญิง ๓. เพื่อศกึ ษาแนวคิดและคา่ นิยมของคนไทยในปจั จบุ นั

๒ ๑.๓ ขอบเขตของการศกึ ษาค้นคว้า ผู้ศึกษากำหนดขอบเขตของการศกึ ษาเปรียบเทียบเรื่องสุภาษิตสอนหญิงไว้ดังน้ี ๑. ขอ้ มูล คือ วรรณคดีเร่อื งสภุ าษิตสอนหญิง ฉบบั สมบูรณ์ ๒. ศึกษาเปรียบเทยี บความแตกต่างของความคิดและคา่ นยิ มในอดีตและปัจจุบัน ๓. ศกึ ษาทีม่ าและประวัตขิ องวรรณคดีเรอื่ งสุภาษติ สอนหญิง ๔. สอบถามความคดิ และคา่ นยิ มของคนไทยในปัจจบุ ันทม่ี ตี ่อวรรณคดีเรื่องสุภาษติ สอนหญงิ ๑.๔ ประโยชน์ที่คาดวา่ จะไดร้ บั ๑.ได้เปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างของแนวคิดและค่านิยมในอดีตและปัจจุบันท่ีสะท้อนจาก วรรณคดีเร่อื งสภุ าษิตสอนหญิง ๒. ได้ศึกษาและทราบถึงแนวคดิ และคา่ นยิ มทส่ี ะท้อนจากวรรณคดีเร่ืองสภุ าษิตสอนหญงิ ๑.๕ นิยามศัพทเ์ ฉพาะ ๑. สภุ าษติ สอนหญิง หมายถึง เป็นผลงานกวีนิพนธ์แบบกลอนประพันธ์โดยสุนทรภู่ ไม่ปรากฏแน่ชดั ว่า ประพันธเ์ รือ่ งนี้ขนึ้ เมอื่ ใด เนือ้ หาเป็นการสอนสตรใี นดา้ นตา่ งๆ เชน่ การวางตัว การเจรจา การเลือกคู่เปน็ ต้น ๒.สนุ ทรภู่ หมายถงึ สุนทรภู่เป็นกวีไทยทไี่ ดร้ ับการยกย่องให้เป็นกวเี อกของโลกจากองคก์ ารยูเนสโกเมือ พ ศ. ๒๕๒๙ เน่อื งในโอกาสท่ีครบรอบ ๒oo ปีชาตกาล ผลงานของสนุ ทรภู่ทีป่ รากฏในสายธารวรรณกรรมไทย น้ันมมี ากมายท้งั วรรณกรรมนิทาน วรรณกรรมนิราศ วรรณกรรมบทละคร บทเหก่ ลอ่ มพระบรรทม บทเสภา ๓.แนวคิด หมายถึง การกล่าวสิ่งใดสิ่งหนึ่งซ่ึงใช้ความเช่ือ ความรู้สึก ทัศนคติ แง่คิด ความรู้และ ประสบการณ์เข้าร่วมอาจจะเป็น บทความ เป็นข่าว เป็นข้อเสนอแนะ หรือความคิดจากใครที่เช่ียวชาญก็ได้ แนวคดิ อาจจะถูกหรือผดิ กไ็ ด้ ๔. ค่านิยม หมายถึง ทัศนะของคนหรือสังคมท่ีมีต่อส่ิงของความคิดและเหตุการณ์ที่เก่ียวข้องกับความ ปรารถนาเป็นคณุ ค่านำความสุขให้หรือเปน็ ความเช่ือที่บุคคลหรอื สงั คมน้ันๆเห็นว่าเป็นสง่ิ ดีเหมาะแก่การนำไป ประพฤติปฏิบัตแิ ละเปน็ สงิ่ ท่ีควรปลูกฝังใหส้ มาชกิ ของสงั คมยดึ ถือในการดำเนินชีวิต

๓ บทท่ี ๒ เอกสารและงานวิจยั ทีเ่ กย่ี วขอ้ ง ในการวจิ ัยเร่อื ง แนวคดิ และคา่ นยิ มที่สะท้อนจากวรรณคดเี ร่ืองสภุ าษติ สอนหญิง คร้งั น้ผี วู้ ิจัยได้ศึกษา เอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ กยี่ วขอ้ ง โดยจำแนกเป็นความรูห้ ลักๆได้ดงั น้ี ๒.๑ ความร้เู กีย่ วกบั สุภาษติ สอนหญงิ ๒.๒ ความรู้เก่ยี วประวตั ิสนุ ทรภู่ ๒.๓ แนวคิดและค่านยิ มของคนสมยั กอ่ นเกยี่ วกบั ผหู้ ญงิ ๒.๔ แนวคดิ และคา่ นยิ มของคนในปัจจบุ ันเก่ยี วกับผูห้ ญงิ ๒.๑ ความรเู้ ก่ยี วกับสุภาษิตสอนหญงิ สุภาษติ สอนหญิง ทรูปลกู ปญั ญา(ออนไลน)์ ได้ให้ความหมายของ “สุภาษติ สอนหญงิ ” ไวว้ า่ ในสมัยก่อนมีการเปรียบผู้หญิงเหมือนผ้าขาวสะอาด ซึ่งถ้าเปรอะเปื้อนสิ่งใดแม้แต่น้อย ก็เกิดเป็น จุดตำหนเิ สียแล้ว และตำหนิทวี่ า่ น้กี ็เกิดไดโ้ ดยง่ายนัก ดังนนั้ คนสมยั ก่อนจงึ จำเป็นต้องหาทางป้องกันในกรณีท่ี ยังไม่เกิดตำหนิในผ้าขาว และหาทางแก้ไขในกรณีที่ได้เกิดขึน้ แล้ว จึงได้มีสุภาษิตหรือสุภาษิตสอนหญิงเกิดขึน้ ในสมัยนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ป้องกันแก้ไขตำหนิต่างๆได้เป็นอย่างดี สุภาษิต ได้แก่คำพูดที่พูดออกมา ไม่ว่าจะเป็น ทำนองสำนวนโวหาร หรือคำพงั เพย แต่มเี นื้อความหรอื ความหมายท่ีดี เปน็ คำตกั เตือนสง่ั สอน และสะกิดใจให้ ระลึกถงึ อยเู่ สมอ มีอยู่ 2 ประเภท คือ 1.คำสุภาษติ ประเภทท่ี พูด อา่ น หรือเข้าใจเนือ้ ความไดท้ นั ที โดยไม่ต้อง แปลความหมาย ตีความหมายเช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว 2.คำสุภาษิตประเภทที่ พูด อ่าน หรือฟังแล้วยังไม่ เข้าใจเนื้อความนั้นในทันที ต้องนึกตรึกตรอง ต้องแปลความ ตีความหมายเสียก่อนจึงจะทราบเนื้อแท้ของคำ เหล่านั้น เช่น ผีบ้านไม่ดีผีป่าก็พลอย สุภาษิตสอนหญิง เป็นที่รวมเเห่งคติในการครองตัวของหญิงตาม วัฒนธรรมไทยดง้ั เดิม เป็นที่ยกกยอ่ งเเพร่หลายสืบต่อกันมาช้านาน สว่ นมากคงถือปฏบิ ัตทิ ุกวันนี้ จะมีเลิกถอน ตามคตนิ ิยมอยา่ งใหม่บ้างเพียงบ้างประการ เช่นการกราบเทา้ สามีเม่อื เข้านอน หรอื การรบั ประทานอาหารหลัง สามีเป็นต้น

๔( สภุ าษติ สอนหญงิ ใบบุญ วจนอกั ษร(๒๕๖๑:ออนไลน์) ไดอ้ ธบิ าย “สภุ าษติ สอนหญงิ ” ไว้วา่ ๑.วัยสาวแรกรนุ่ : วางตัวให้สมฐานะ ทง้ั การแต่งกายและกริ ยิ ามารยาท เปน็ สาวแซ่แร่รวยสวยสะอาด กห็ มายหมาดเหมือนมณอี นั มคี า่ แม้แตกรา้ วรานร่อยถอยราคา จะพลอยพาหอมหายจากกายนาง แปล: ได้กล่าวถึง “สาวแซ่” ซึ่งน่าจะมีความหมายเดียวกับ “สาวแส้” ที่หมายถึงสาวแรกรุ่น ว่า เปรียบเสมือน ‘มณี’ หรอื แก้วหนิ มีคา่ สีแดงจำพวกทับทมิ ทหี่ ากไม่ได้ดูแลให้ดี ปลอ่ ยใหแ้ ตกรา้ วหรอื มีตำหนิ ก็ ยอ่ มเสยี ราคา จะนงุ่ หม่ ดูพอสมศักดิ์สงวน ให้สมควรรับพักตรต์ ามศกั ดศ์ิ รี จะผัดหนา้ ทาแป้งแตง่ อินทรยี ์ ดฉู วีผิวเน้อื อย่าเหลือเกิน แปล: ถึงแม้จะเปรยี บผหู้ ญงิ เป็นของมีคา่ แต่หากไมไ่ ด้มียศถาบรรดาศักดิ์หรืออยู่ในสกลุ สูง ก็ไม่ต้อง พยายามทำตัวใหเ้ ป็นชนชนั้ สูง มฐี านะอยา่ งไรกแ็ ต่งให้สมศักดิ์ศรตี ามนัน้ ท้งั หนา้ ผมและเครื่องแต่งกาย อย่าเดินกรายย้ายอกยกผ้าหม่ อย่าเสยผมกลางทางหว่างวิถี อย่าพูดเพ้อเจอ้ ไปไม่ส้ดู ี เหย้าเรอื นมีกลับมาจงึ หารอื แปล: รู้จักแต่งเนื้อแต่งตัวให้สมศักดิ์ศรีและสมฐานะ คุณสมบัติของหญิงสาวที่เปรียบเสมือน “มณีอันมีค่า” ยังต้องประกอบด้วยกิริยามารยาทที่ ‘สมหญิง’ ทั้งการวางตัวให้เรียบร้อยสง่างาม ไม่กระโดก กระเดก ตลอดจนการระวังคำพดู คำจาในที่สาธารณะ

๕ อนึง่ เนตรอย่าสังเกตให้เกนิ นัก จงรูจ้ ักอาการประมาณหมาย แม้นประสบพบเหลา่ เจา้ ชชู้ าย อยา่ ‘ชม้ายทำชะมอ้ ย’ ตะบอยแล แปล: เราไม่ควรส่งสายตาให้กับผชู้ ายควรท่จี ะรกั ษาอาการกิรยิ าของตนเอง ๒.วยั สาวสะพรั่ง: ร้ทู นั เชิงชาย อย่าชงิ สกุ ก่อนหา่ ม เลือกสามีใหเ้ ปน็ อนั ท่ีจรงิ หญิงชายยอ่ มหมายรกั มิใชจ่ กั ตดั ทางที่สร้างสม แม้นจักรักรกั ไวใ้ นอารมณ์ อย่ารกั ชมนอกหนา้ เป็นราคี แปล: ผ่านพน้ วยั สาวนอ้ ยก็ย่อมเข้าสู่วัยสาวสะพร่งั ความสนใจในเพศตรงข้ามยอ่ มเป็นเร่ืองปกติแม้ บทประพนั ธ์จะพรำ่ อบรมให้หญงิ สาวเปน็ กุลสตรี แตก่ ็ไม่ได้หา้ มวา่ ต้องไมส่ นใจชาย แม้นชายใดหมายประสงค์มาหลงรัก ให้รู้จักเชงิ ชายทหี่ มายม่ัน อันความรักของชายนี้หลายชั้น เขาวา่ รกั รักนน้ั ประการใด แปล: สนใจได้ แต่อย่าออกนอกหน้า หากชอบพอใครก็ให้สงวนกิริยาท่าทีไว้ก่อน เพราะในช่วง เริ่มต้นความสัมพันธ์ ไม่ว่าใครก็ต้องนำเสนอแต่ด้านดีเข้าหากัน พอ ‘หมดโปรฯ’ แล้วลายถึงเพิ่งออกจึงควร ศึกษาดูนิสยั ใจคอให้รู้แนเ่ สยี ก่อนจะตกหลมุ รัก มฉิ ะน้นั จะกลายเป็นตกหลุมพรางไป จะหาคู่สู่สมภิรมย์หวงั จงระวังชัว่ ชา้ อัชฌาสยั ที่ชายดนี ั้นกม็ ีอยู่ถมไป ใช่วิสัยเขาจะช่ัวไปทั่วเมือง แตใ่ จคนมักรนไปหาผดิ ครั้นได้คิดจิตตรอมออกผอมเหลือง

๖( ตอ้ งเดือดดิ้นกินน้ำตาอยูน่ องเนือง สุดจะเปล้ืองราคนิ จนสิ้นคาว แปล: แม้จะบอกว่าให้ระวังผู้ชายไว้ อย่าใจเร็วด่วนได้ แต่ท่านก็ว่าผู้ชายที่ดีก็ยังมีอยู่มาก แต่ที่ห า ยากก็เพราะบางคนดูคนผิด หรือสมัยนี้ก็อาจจะตีความได้วา่ ผู้หญิงหลายคนก็ชอบ ‘แบดบอย’ซึ่งถ้าหาก แบด เฉพาะคาแรก็ เตอรก์ ย็ งั พอทำเนา แตถ่ ้าซึมลกึ ไปถงึ นิสยั ใจคอด้วย กย็ อ่ มนำความเดอื ดร้อนมาสู่ตน จงรักนวลสงวนนามห้ามใจไว้ อยา่ หลงใหลจำคำทรี่ ่ำสอน คดิ ถงึ หนา้ บดิ าและมารดร อยา่ รบี ร้อนเรว็ นักมักไมด่ ี เมือ่ สกุ งอมหอมหวานจงึ ควรหลน่ อยกู่ บั ต้นอยา่ ใหพ้ รากไปจากที่ อย่าชงิ สกุ ก่อนห่ามไมง่ ามดี เม่ือบญุ มคี งจะมาอย่างปรารมภ์ แปล: ทั้งเมื่อตกลงปลงใจจะคบกับใครแล้ว ก็ให้รักนวลสงวนตัว อย่าชิงสุกก่อนห่าม หากมีวาสนา ต่อกันจรงิ ก็ย่อมไมแ่ คล้วกนั อยา่ คิดเลยค่เู ชยคงหาได้ อตุ ส่าหท์ ำลำไพ่เก็บประสม อยา่ เกยี จคร้านงานสตรีจงนิยม จะอดุ มสินทรัพยไ์ ม่อับจน แปล: หากใครยงั ไม่มี ทา่ นก็ว่าอยา่ ไปคิดมาก ใหท้ ำงานหาเงินเก็บออมไว้ หรืออย่างในปัจจุบันก็มัก พูดติดตลกกนั ว่า ถ้ามีเงินเด๋ยี วผชู้ ายก็มาเอง ๓.วัยสาวเตม็ ตัว: ดแู ลครอบครัว ประกอบอาชีพชอบ มีวฒุ ิภาวะ เม่อื พอ่ แม่แกเ่ ฒา่ ชรากาล จงเลีย้ งท่านอย่าให้อดระทดใจ …

๕๗ ถา้ เราดีมีจิตคดิ อปุ ถมั ภ์ กุศลล้ำเลิศเท่าภูเขาหลวง จะปรากฏยศยิง่ ส่งิ ท้ังปวง กวา่ จะล่วงลถุ ึงซึง่ พิมาน แปล: วัยสาวเต็มตัวในที่นี้ หมายถึงวัยที่มีความเป็นผู้ใหญ่ มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ เทียบกับผู้หญิง สมยั นก้ี เ็ ท่ากับสาววัยทำงาน หลายคนพอเริ่มทำงานก็มักแบ่งเงินเดือนให้พ่อแม่ ซ่งึ สุภาษติ นย้ี กยอ่ งว่าเป็นส่ิงท่ี ควรทำ นับเป็นเกียรตแิ หง่ ตน และถงึ แม้ตายไปกไ็ ดข้ ึ้นสวรรคต์ ามคติทางพทุ ธ เปน็ มนุษย์สดุ นิยมเพียงลมปาก จะได้ยากโหยหวิ เพราะชวิ หา แมน้ พดู ดีมีคนเขาเมตตา จะพูดจาจงพิเคราะห์ใหเ้ หมาะความ แปล: การทำงานให้ราบรื่นก็มีการสอนเอาไว้ในเรื่องการพูดจา ซึ่งแม้ในปัจจุบันอาชีพหลักของ ผหู้ ญงิ จะไม่ได้จำกดั อยู่แค่การคา้ ขายเหมือนอย่างสมัยก่อน แตด่ ว้ ยงานเกือบทัง้ หมดต้องติดต่อกับผู้คน ทักษะ การเจรจาก็ยังถือเปน็ เร่อื งจำเป็น จะพูดจาปราศรัยกับใครนัน้ อยา่ ตะค้ันตะคอกให้เคอื งหู ไมค่ วรพูดออ้ื องึ ขึ้นมงึ กู คนจะหลลู่ ว่ งลามไม่ขามใจ แปล: เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ควรมีวุฒิภาวะ สุขุมรอบคอบ สามารถวางตัวได้เหมาะสม เป็นที่น่า เคารพเกรงใจของคนทว่ั ไป ๔.วัยครองเรอื น: เปน็ ภรรยาท่ดี ี อยู่ในกรอบศีลธรรม อยสู่ ถานบ้านชอ่ งน้นั ตอ้ งคดิ ให้รกู้ ิจการหญิงทกุ สิง่ สา เผ่อื มผี ัวพลเรือนเหมือนกนั นา จะได้หาเลี้ยงกนั จนวันตาย

๘( แปล: เน้นเรื่องการบ้านการเรอื นเป็นหลัก ทั้งหุงหาอาหาร ดูแลห้องหับ จัดสำรับให้สามี เนื่องจาก ค่านยิ มในสงั คมสมัยน้นั ให้ผ้หู ญิงเปน็ ชา้ งเทา้ หลัง สว่ นผชู้ ายออกไปทำงานนอกบา้ น แม้นผัวเดอื ดเจ้าจงดบั ระงบั ไว้ อยา่ พอใจขึน้ เสยี งเถียงประสม เขาเป็นไฟเราเป็นนำ้ คอ่ ยพรำพรม แม้นระดมขน้ึ ท้ังค่จู ะววู่ าม แปล: การทำหนา้ ทขี่ องภรรยาใหด้ ี คอ่ ยๆ ประคบั ประคองความสัมพนั ธ์ให้คงทน จงซื่อตอ่ ภัสดาสวามี จนชีวีศรสี วสั ด์ิเจา้ ตัดษัย อย่าใหม้ รี าคนิ ที่กินใจ อุปไมยเหมือนอนงค์องค์สดี า แปล: เนน้ เรอ่ื งการประพฤติตนใหอ้ ย่ใู นกรอบศีลธรรม โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การซ่ือสัตย์ต่อค่คู รอง ถึงที่สุดทดลองกท็ องแท้ ดว้ ยนางแน่อยู่ในสัจอธษิ ฐาน์ หญงิ เดย๋ี วน้ีแมน้ มีสตั ยา ภสั ดากย็ ่งิ รักขนึ้ หนกั ครัน แปล: เปรียบภรรยาท่หี นักแน่นในความซอ่ื สตั ย์เป็นด่ัง ‘ทองแท’้ ซ่ึงจะทำใหภ้ ัสดาหรือ ‘ผวั ’ ยงิ่ รัก สรุปได้ว่า “สุภาษิตสอนหญิง” คือ คำสอนเตือนใจให้ผู้หญิงอยู่ในกรอบของวัฒนธรรมอีกทั้งยังถือ ปฏบิ ตั อิ ย่างเคร่งครัดต่อกนั มาอยา่ งชา้ นาน ๒.๒ ความรู้เกย่ี วกบั ประวัติสนุ ทรภู่ ประวตั ิสุนทรภู่ กลมุ่ สารสนเทศ สนผ.(ออนไลน)์ ไดอ้ ธบิ ายถึงชีวประวัตขิ อง ”สนุ ทรภู่” ไว้ว่า สุนทรภู่ เป็นกวีเอกคนหนงึ่ ของกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ เกิดเมอ่ื วันจันทร์ เดือน 8 ขึน้ 1คำ่ ปมี ะเมีย ตรงกับ วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ.2329 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1) บิดาเป็นชาวบ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง มารดาเป็นคนจังหวัดไหนไม่ปรากฏ ตั้งแต่สุนทรภู่ยังเด็ก

๙๕ บิดากลับไปบวชที่เมืองแกลง ส่วนมารดามีสามีใหม่มีลูกผู้หญิงอีก 2 คน ชื่อฉิมกับนิ่ม ต่อมามารดาได้เป็นแม่ นมของพระองคเ์ จ้าจงกล พระธิดาของกรมพระราชวงั หลัง สนุ ทรภจู่ ึงเข้าไปอยูใ่ นวังกบั มารดา ตอนยงั เปน็ เด็ก สุนทรภู่ได้เล่าเรียนที่วัดชีปะขาว (วัดศรีสุดาราม) โตขึ้นก็เข้ารับราชการเป็นนายระวางพระคลังสวน ไม่นานก็ ลาออกเพราะไม่ชอบงานนี้ ชอบแตก่ ารแตง่ กลอน และแต่งสกั วาเทา่ นนั้ ตอ่ มาสุนทรภู่ มสี ัมพนั ธ์รกั กบั สาวชาววัง ชือ่ \"จนั \" จงึ ถกู จองจำท้ังคู่ ครนั้ พ้นโทษ แล้วก็ได้แต่งงานกัน และถวายตัวเป็นมหาดเล็กของพระองค์เจา้ ปฐมวงศ์ พระโอรสของพระราชวังหลัง สุนทรภู่มีบุตรชายกับจันช่ือ พัด ชีวิตคู่ของสุนทรภู่ไม่ราบรื่นเลยมักระหองระแหงกันเสมอ จนในที่สุดก็เลิกร้างกัน แล้วสุนทรภู่ก็ได้เข้ารับ ราชการกบั พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หล้านภาลัย (รัชกาลท่ี 2) เปน็ ที่โปรดปรานมากจดได้รับการแต่งตั้งให้ เป็น ขุนสุนทรโวหาร เวลาที่ทรงพระราชนพิ นธ์บทกลอนติดขัดก็มกั ให้ สุนทรภู่แต่งต่อให้ ระยะนี้เองสนุ ทรภ่กู ็ ไดภ้ รรยาใหม่ช่ือ \"นิม่ \" มีบตุ รดว้ ยกนั ชื่อ \"ตาบ\" น่ิมเสียชีวิตไปตั้งแต่ตาบยังเล็กอยู่ 4 คราวหน่ึงสุนทรภู่เมาสุรา แล้วทำรา้ ยญาตผิ ู้ใหญ่จนบาดเจ็บจึงถูกจำคกุ ในระหว่างตอ้ งโทษนี้เอง ที่สุนทรภูแ่ ต่งนิทานเร่ือง พระอภัยมณี เพ่อื ขายเอาเงนิ มาเลี้ยงชีวิต จำคกุ ไดไ้ มน่ านก็พน้ โทษออกมารบั ราชการตามเดมิ พอสิ้นราชการที่ 2 สุนทรภู่ก็ออกจากราชการเพราะไม่เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระนั่ง เกล้าเจ้าอยหู่ วั (รัชกาลท่ี 3) ออกจากราชการแล้วสุนทรภู่ก็บวชเปน็ พระภิกษุอยู่ในวัดราชบรู ณะ บวชได้ราว 3 พรรษา กต็ อ้ งอธิกรณ์ (โทษ) ถูกขับไล่ออกจากวัดในข้อหาเสพสุรา จงึ ไปอยทู่ ี่วดั อรุณราชวราราม ไม่นานก็ย้าย ไปที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ และวัดสุดท้ายคือวัดเทพธิดาราม แล้วก็สึก ออกมา รวมเวลาบวชเป็นพระภิกษุประมาณ 18-20 ปี จากนั้นก็ตกยากจนไม่มีบ้านอยู่ต้องลอยเรือรอ่ นเร่แต่ง กลอนขาย ปลายรัชกาลที่ 3 เจา้ ฟา้ กรมขุนอศิ เรศรงั สรรคโ์ ปรด ฯ ใหส้ นุ ทรภไู่ ปอยูท่ ่ีราชวงั ของพระองค์ คร้ันได้รับ สถาปนาเป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รชั กาลท่ี 4) ก็โปรดเกลา้ ให้สนุ ทรภู่เข้ารบั ราชการเปน็ เจา้ กรมอาลักษณ์ มีบรรดาศกั ด์เิ ป็นพระสนุ ทรโวหาร รบั ราชการเพียง 5 ปีกถ็ งึ แก่กรรม พ.ศ. 2398 รวมอายุได้ 69 ปี ผลงานของสุนทรภู่เป็นที่กล่าวขาน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ผู้แต่ง ประวตั ิสนุ ทรภโู่ ดยพิสดารไว้ กล่าวว่า ได้ทรงค้นพบมี ประมาณ ๒๔ เร่ือง โดยแยกประเภทดังน้ี ๑.นิราศ ๙ เรื่อง ๑.๑)นริ าศเมืองแกลง ๑.๒)นิราศพระบาท ๑.๓)นริ าศภเู ขาทอง ๑.๔)นริ าศวัดเจ้าฟ้า

๑(๐ ๑.๕)นิราศอเิ หนา ๑.๖)นริ าศสพุ รรณ ๑.๗)นริ าศพระประธม ๑.๘)นริ าศเมอื งเพชร ๒.นทิ าน ๕ เรอื่ ง ๒.๑)เร่อื งโคบุตร (๘ เลม่ สมุดไทย) ๒.๒)เรื่องพระอภัยมณี (๙๔ เลม่ สมดุ ไทย) ๒๓)เรอื่ งพระไชยสุรยิ า (๑ เล่มสมดุ ไทย) ๒.๔)เร่อื งลักษณวงศ์ (๙ เลม่ สมุดไทย มแี ต่งต่ออกี ๑o เล่ม ด้วยสำนวนผูอ้ นื่ ) ๒๕)เรือ่ งสิงหไตรภพ (๑๕ เล่มสมดุ ไทย) ๓.สภุ าษติ ๓ เร่ือง ๑.สวัสดิรกั ษา ๒.เพลงยาวถวายโอวาท ๓.สุภาษติ สอนหญิง ๔.บทเหก่ ลอ่ ม ๔ เร่อื ง ๔.๑)เห่เร่อื งจับระบำ ๔.๒)เหเ่ รื่องกากี ๔.๓)เหเ่ รือ่ งพระอภัยมณี ๔.๔)เหเ่ รื่องโคบุตร สรุปได้ว่า “ประวัติสุนทรภู่” คือ สุนทรภู่เกิดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๙ เป็นกวีเอกคนหน่ึง ของกรุงรตั นโกสินทร์ทีม่ ีบทประพันธ์มากมาย เชน่ นิราศภเู ขาทอง นิทาน สุภาษติ และบทเห่กลอ่ ม อีกท้ังยังมี ผลงานที่มีชื่อเสียงจนกลายมาเป็นที่นิยมอย่างกว้างขว้างจนถึงปัจจุบัน เช่น นิราศภูเขาทอง นิราศสุพรรณ เพลงยาวถวายโอวาท กาพยพ์ ระไชยสุริยา และพระอภยั มณี

๑๕๑ ๒.๓ ความร้เู ก่ียวกับแนวคดิ และคา่ นิยมของคนสมัยก่อนเกยี่ วกบั ผู้หญงิ แนวคดิ ของคนสมยั ก่อนเกย่ี วกบั ผ้หู ญิง จงจติ ต์ โศกนคณาภรณ์.(๒๕๖๑: ออนไลน์)ไดอ้ ธบิ าย “แนวคิดของคนสมัยก่อนเก่ียวกบั ผูห้ ญิง” ไว้วา่ หญงิ ไทยอยูใ่ นสถานะทดี่ ้อยโอกาสในทุกดา้ นไมว่ ่าเศรษฐกิจ สงั คม การเมือง สถานภาพทางสังคมของผู้ หญิงไทย จะอยู่ในฐานะต่ำต่อยกว่าผู้ชาย ผู้หญิงอยู่ในฐานะภรรยาก็ดี ลูกสาวก็ดี ถูกปฏิบัติติเป็นเหมือนวัตถุ ถูกครอบครองโดยผู้ชายที่อยู่ในฐานะพ่อหรือสามี จากตัวอย่างในสมัยโบราณผู้หญิงถูกบังคับให้แต่งงาน ถูก จำนำจำนองถูกโบยตี ถกู นำไปขาย หรือแมแ้ ต่ถกู ลงโทษ ถงึ ฆา่ ให้ตาย หากพบวา่ มีชู้สชู่ าย ในดา้ นศาสนาก็ไม่มี โอกาสบวชเป็นภิกษุณี ในด้านการศึกษาก็ไม่มีโอกาสได้รับการศึกษาก็ไม่มีโอกาสได้รับการศึกษาเท่าเทียมกับ ชาย โลกของหญงิ ไทย คอื การอยกู่ ับเหย้ากับเรือน ใช้ชวี ติ ส่วนใหญใ่ นพืน้ ที่ของครอบครวั ดแู ลสามี เล้ียงลูก รับผิดชอบกับงานบ้านและเมื่อมีโอกาสที่ออกไปทำงานนอกบ้าน ก็ยังต้องรับผิดชอบกับภาระงานบ้าน แม้ สังคมไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงสถานภาพของผู้หญิงไทยดูดีขึ้นภายหลังขึ้นในระยะหลัง และการคาดหวังใน บทบาทของผู้หญิง รวมทั้งสถาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคสังคมอุตสาหกรรมแบบทุนนิยมที่ ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก เกิดกระแสบริโภคนิยม ส่งผลกระทบสถานภาพและบทบาทของผู้หญิงไทยให้ตก ต่ำลงทำให้เป็นผู้หญิงไทยถูกทำให้เป็นวัตถุทางเพศ ปรากฎการณ์ทางสังคมหลายกรณีผู้หญิงกลายเป็นเหย่ือ เห็นได้จากปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นควบคู่ไปกับความทันสมัย เช่น ปัญหาการข่มขืน ปัญหาการถูกล่อลวงให้ คา้ ประเวณี ปญั หาถกู ลว่ งละเมดิ ทางเพศ ปญั หาถกู ทำทารุณกรรมจากสามี เปน็ ตน้ ซง่ึ แนวคดิ สงั กล่าวสะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยในอดตี เหน็ ว่าสตรีไม่จำเป็นต้องมีความรู้มากนัก ไม่ต้อง เรียนสูง ทำให้สตรีส่วนใหญ่ขาดโอกาสที่พัฒนาความรู้ความสามารถให้เต็มศักยภาพที่มีอยู่ จวบจน ในรัช สมัยของพระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นับว่าเป็นเร่ืองท่ีดีของสตรีไทย ที่พระองค์ทรงตระหนกั ดวี ่า การกำจัดโอกาสทางการศึกษาของสตรีไทยเป็นอุปสรรคต่อของสตรีไทยต่อการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ ดงั ทท่ี รงพระราชนิพนธ์ไว้ในเรื่อง “เครอ่ื งหมายแห่งความร่งุ เรืองคือสถาพภาพแหง่ สตรี วา่ กฎหมายธรรมเนียม และประเพณีทั้งปวง ผู้ชายบัญญัติสำหรับความสะดวกของผู้ชายเท่านั้น การที่จะแก้ไขสถานภาพสตรีให้ดีขึ้น ต้องแก้ทั้งประเพณีและกฎหมายแผ่นดิน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสตรีไทยจึงได้รับการศึกษาเสมอบุรุษและมี โอกาสสูงข้ึน (เทวสี ตรีไทย,๒๕๔๑.หนา้ ๑๒) สรุปได้ว่า “แนวคิดของคนสมัยก่อนเกี่ยวกับผู้หญิง” คือ สังคมสมัยก่อนมีการยกผู้ชายเป็นช้างเท้า หน้าและให้ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง เพราะเนื่องจากสมัยก่อนผู้ชายต้องมีการรับราชการและทำหน้าให้การหา เงินทองเข้าบ้านทั้งยังมีอำนาจในการตัดสินใจในทุกๆเรื่อง ส่วนผู้หญิงมีหน้าหน้าที่แค่เลี้ยงลูกและดูแลความ สะอาดบา้ นเทา่ นั้น

๑( ๒ ค่านิยมของคนสมยั กอ่ นเก่ียวกับผหู้ ญงิ ภาวการณ์ทางเพศ (ออนไลน์)ไดอ้ ธบิ าย “ค่านยิ มของคนสมยั ก่อนเกย่ี วกบั ผู้หญงิ ” ไว้วา่ ในอดีตสังคมไทยมคี วามเคร่งครดั เกย่ี วกบั พฤติกกรมทางเพศและค่ามนี ิยมเก่ยี วกับการรักนวลสงวนตัว ของหญงิ ไทย เชน่ สุภาษติ สอนหญงิ ทพี่ ยายามจะส่งั สอนอบรมใหห้ ญิงไทยประพฤตปิ ฏิบตั ิอยู่ในกรอบประเพณี ลูกผู้หญิงจึงถูกอบรมอย่างเข้มงวดกวดขันงวดกว่าลูกผู้ชาย เนื่องจากเมื่อเกิดความพลาดพลั้งทางเพศขึ้นมา ฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายเสียเปรยี บ เพราะจะเป็นฝ่ายต้ังครรภ์ เสียการเรียน เสียอนาคต ตรงกันข้ามกับฝ่ายชายที่ ไม่ถือเป็นเรื่องเสียหาย ในปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงค่านิยมทางเพศ โดยกฎหมายได้ลงโทษฝ่ายชายที่มี เพศสมั พันธ์ก่อนวยั แล้วไม่รบั ผดิ ชอบฝา่ ยหญิงหรอื บงั คบั ทำแท้งด้วย...” จงจติ ต์ โศกนคณาภรณ์.(๒๕๖๑:ออนไลน์)ไดอ้ ธิบาย “ค่านยิ มของคนสมยั ก่อนเกีย่ วกบั ผูห้ ญิง” ไวว้ า่ วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ได้ถูกสืบทอดจากสังคมยุคหนึ่งไปยงั อีกยุคหน่ึง เพือ่ ปกป้องความสูงต่ำทางเพศ ในสงั คม ผู้หญิงอยู่ในสภาพท่กี ดขี่ทั้งจากระบบทนุ นิยมและชายเปน็ ใหญ่ ผหู้ ญงิ ถูกนิยมวา่ เป็นแมท่ ำให้เป็นผ้หู ญิงตอ้ งผูกตดิ กบั การทำงานบา้ นที่ไม่ไดร้ ับค่าตอบแทน เพราะงาน บ้านในสังคมทุนนิยมไม่ใช่งานการผลิตจึงไม่มีตอบแทน ส่วนผู้หญิงที่ออกไปทำงานนอกบ้านก็ได้รับ ค่าตอบแทนต่ำ เพราะเพศที่ด้อยกว่าและไม่เคยถูกนิยามว่าเป็นคนทำงาน จึงพยายามสร้างนิยามใหม่ว่าแม่ผู้ ทำงาน โดยที่ผู้หญิงยงั ไม่สามารถหลุดออกจากนยิ ามของระบบชายเปน็ ใหญ่ สรปุ ไดว้ ่า “คา่ นิยมของคนสมัยกอ่ นเกีย่ วกบั ผู้หญงิ ” คือ ผหู้ ญงิ ตอ้ งไม่ได้รบั การศกึ ษาและอยู่กับบ้าน เลี้ยงลูกทำความสะอาดบ้านและไม่มีหน้าที่ในการหาเงินทองเขา้ บา้ น หรือถา้ หากผหู้ ญิงออกไปทำงานข้างนอก บ้านกจ็ ะไดร้ บั ค่าตอบแทนต่ำเพราะด้วยสถานะเพศท่ีเป็นรอง ๒.๔ แนวคดิ และค่านิยมของคนในปัจจุบนั เก่ียวกับผหู้ ญงิ แนวคิดของคนในปัจจบุ นั เกย่ี วกบั ผู้หญงิ อรอนงค์ โฆษติ พิพฒั น์(๒๕๖๒:ออนไลน์)ไดอ้ ธิบาย “แนวคดิ ของคนในปจั จุบันเกยี่ วกบั ผหู้ ญิง” ไว้วา่ การแสดงออกของผู้หญิงหลังสมัยใหม่จะยึดหลักความคิดของตนเป็นแนวทาง จึงมีลักษณะกิริยา ท่าทางทเี่ ปิดเผยไมส่ นใจสายตาของบุคคลรอบขา้ งว่าจะมองหรือตีค่าให้เปน็ ตนเองเปน็ อยา่ งไร แสดงท่าท่ีมั่นใจ เสมอไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ใดๆ ก็ตามแสดงความสามารถเหนือผู้ชาย ผู้หญิงสามารถทำงานของ ผู้ชายและผู้ชายก็สามารถแบ่งเบาภาระหน้าที่ที่เคยถูกกำหนดให้ผู้หญิงได้เช่นกัน ที่ทางของผู้หญิงก็ไม่ได้ถูก จำกัดให้อยู่กับที่มีการเปิดกว้างให้ผู้หญิงเข้าไปอยู่ในพื้นที่สาธารณะมากขึ้น ลักษณะการตัดสินใจของผู้หญิง ขน้ึ อยกู่ ับความคิดและความเชื่อของผ้หู ญงิ เองเป็นสำคัญยอมรับความคดิ ของผูอ้ ื่นเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ เลือกท่ี จะทำและเชื่อในส่ิงที่ตนเองวา่ เหมาะหรือสอดคล้องกบั ความคดิ ของตน แต่ไม่พบการแสดงพฤติกรรมท่ีขัดแย้ง กับสงั คม กลา้ ท่จี ะเปลี่ยนแปลงตนเองให้ทันตามยคุ สมัย มงุ่ มั่นที่จะทำตามความปรารถนาการทำงานท่ีดี และ

๑๕๓ สิ่งที่พบคือผู้หญิงที่มีแนวทางในการดำเนินชีวิตท่ียดึ ความเสมอภาคกับผู้ชาย เมื่อล้มก็สามารถลุกขึ้นมายืนอยู่ ในสงั คมไดเ้ หมือนเดิม มองตนเองว่ามีความสามารถและศักย์ภาพ ทำใหเ้ กิดความเชื่อมัน่ ในตนเองสูงเลือกท่ีใช้ ชีวิตตามความต้องการของตน มีวิถีการดำเนินชีวิตความคิดที่ก้าวหน้าและกล้าฉีกตัวเองออกจากค่านิยมของ สังคมได้ เช่น ใช้การหย่าร้างเป็นแรงผลักให้ผู้หญิงหลุดออกจากระบบสังคมแบบผู้ชายเป็นใหญ่ และสามารถ บทบาทเดียวกนั กับผูช้ ายได้ คอื การมีบทบาทของการเปน็ พ่อเพิม่ ด้วย เมื่อสังคมของความเป็นจริงมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสทุนนิยมที่เข้ามาในสังคมสังคมตะวันตก บทบาทหนาที่ของคนย่อมเปลี่ยนตามไปผู้หญิงก็ออกมาทำงานนอกบ้านมากขึ้น แต่ผู้หญิงก็ยังไม่พันเรื่องของ การกดข่แี ละไม่ได้รับการพฒั นาตนให้เท่าเทียมกับผู้ชาย ผหู้ ญิงก็ยังเป็น “รอง” จากผ้ชู าย เนื่องจากด้วยจำกัด ทางเพศที่เปน็ ตวั แปรสำคญั ท่ที ำใหเ้ กดิ ความไมเ่ ท่าเทยี มกัน แนวคิดสตรีนิยมมองเห็นว่า “ความเป็นแม่นัน้ มิได้ความหมายความเพียงว่า “แค่มีลูกก็เป็นแม่ได้” ยัง หมายรวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ ที่รวมตัวเป็น “ความเป็นแม่” นั้นก็หมายถึงสัญลักษณ์ตา่ งๆ ของความเป็นแม่ พื้นที่ของแม่(บ้าน) การทำงานของแม่(เพื่อลูก) การดูแลลูก และแม่ที่ทำตัวดีในสายตาสังคมเท่านั้น จึงจะเป็น แมด่ ี หรือแมใ่ นอดุ มคติ ในอุดมการณข์ องความเป็นแม่ ความเป็นแม่ก็เป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนงึ่ ในสังคมทุน นิยมอุตสาหกรรมที่หล่อหลอมให้ผู้หญิงเชื่องและอยู่ในบ้านทำหน้าที่ดูแลลูกให้เติบใหญ่ ลูกกลายเป็นแก้วตา ดวงใจของพอ่ แม่ ซง่ึ หากผูห้ ญิงคนใดไม่ทำหน้าท่ดี งั กลา่ วกจ็ ะถูกตราหนา้ วา่ เป็นแม่เลว สรุปได้ว่า “แนวคิดของคนในปัจจุบันเกี่ยวกับผู้หญิง” คือ ผู้หญิงในปัจจุบันมีความกล้าที่จะ แสดงออกมากขึ้นจากอดีต มีความเชื่อมั่นในตังเองสูง อีกทั้งผู้หญิงเริ่มมีความคิดในการพึ่งพาตนเองมากกว่า การพึง่ พาผู้อนื่ เชน่ การทำงานนอกบ้าน หารายไดใ้ นการเลย้ี งครอบครวั ค่านยิ มของคนในปจั จบุ ันเกย่ี วกบั ผหู้ ญงิ วีรพงษ์ พลนิกรกิจ และนิศาชล จำนงศรี(๒๕๕๔:ออนไลน์)ได้อธิบาย “ค่านิยมของคนในปัจจุบัน เก่ียวกบั ผู้หญงิ ” ไวว้ า่ การแสดงความคิดเห็นตอบโตก้ ับเก่ียวกบั ภาพลักษณ์ของหญงิ ไทยกเ็ พิ่มจำนวนมากขึ้นเรือ่ ยๆ สะท้อน มุมมองของผู้ชายท่ีมีตอ่ ผหู้ ญิงตะวนั ออกเปน็ เพียงวัตถทุ างเพศและการนำเสนอเพียงลักษณะเดียวและฉาบฉวย ละเลยต่อลักษณะท่ีหลากหลายของผู้หญงิ ไทย ทั้งที่ผู้หญงิ แต่ละคนต่างมปี ระวตั ิศาสตร์ของตนมีประสบการณ์ ชวี ติ ที่หลากหลาย เรือ่ งการแสดงออกทางเพศสัมพนั ธ์และพบว่าค่านยิ มและทศั นคตขิ องการยอมรับในการแสดงออกทาง เพศสมั พนั ธ์อยา่ งเสรที ั้งหญิงละชาย ดา้ นค่านิยมและทัศนคติทางด้านความสมั พันธร์ ะหว่างเพศเชิงสังคมกระทู้ ตั้งที่พบมากทีส่ ุดใกล้เคียงกันคือเรื่อง การเลิกราหรือหย่าร้าง การให้คุณค่ากับความบริสุทธข์ องเพศหญิง และ การนอกใจ และพบว่ามีค่านิยมและทัศนคติของการยอมรับการเลิกราเมื่อเกิดปัญหาชีวิตคู่และการยอมรับ ผู้หญิงท่ีไมบ่ ริสทุ ธ์ รวมทั้งการไม่ยอมรับพฤตกิ รรมนอกใจในชีวติ คู่

๑( ๔ แนวคิดของคนในปัจจบุ ันเกย่ี วกบั ผู้หญิง วรรณชะนี(PLOY THUNYATHORN)(๒๕๖๒:ออนไลน์) ได้อธิบาย “ค่านิยมของคนในปัจจุบัน เกี่ยวกบั ผ้หู ญิง” ไว้วา่ ปัจจุบันมีการเปิดกว้างเรื่องทางเพศมากขึ้นคนส่วนใหญ่สามารถมีเพศสัมพันธ์กันได้ถ้าทั้งคู่เต็มใจและ ยินยอม แต่ถ้าเราเลือกที่จะไปมีเพศสัมพันธ์กับหลายคนไดไ้ หม ? จะเห็นได้ว่าคนส่วนใหญ่ยังมองว่าการที่ไปมี เพศสัมพันธ์กับหลายคน ถ้าเป็นมุมที่ผู้หญิงกระทำอย่างนั้นคือผู้หญิงที่ผ่านผู้ชายมาเยอะเป็นเรื่องผิด ดูเป็น ผู้หญิงสกปรก ใจง่าย แย่ ถูกมองไปในทางลบ มีคำหยาบคายมาใช้เรียกการกระทำท่ีผู้หญงิ ผ่านผู้ชายมาหลาย คนมากมาย แต่ในมุมผู้ชายการที่ผู้ชายไปมีอะไรกับผู้หญิงหลายคนกลับถูกเชิดชู ถูกมองเป็นเรื่องดี หรือก็ดูท่ี จะไปเรอื่ งปกติทผ่ี ้ชู ายทำได้ ถูกเรยี กวา่ เป็น เสอื ผู้หญงิ หรือคาสโนวา่ ปัจจุบันในสังคมไทย ค่านิยมเรื่องการเก็บพรหมจรรย์ของผู้หญิงยังคงถูกพบเห็นอยู่ทั่วไป คนในสังคม ทัง้ หญิงและชายมักจะมองว่าผูห้ ญิงทีบ่ ริสทุ ธ์มิ ีค่ามากกว่าผหู้ ญิงท่เี สียพรหมจรรย์ไปแล้ว อาจกล่าวได้ว่า ไม่ว่า เวลาจะผ่านไปกี่ปี กี่ยุคสมัย คนในสังคมไทยเราก็ยังคงให้คุณค่ากับการรักษาพรหมจรรย์ของผู้หญิง ส่วนหนึง่ อาจเป็นเพราะค่านิยมที่คนไทยถือสืบต่อกันมาแต่โบราณ อย่างในสุภาษิตสอนหญิง ของสุนทรภู่ ที่เราจะเห็น ได้วา่ มีการเน้นยำ้ และปลูกฝงั ใหผ้ ูห้ ญงิ รกั นวลสงวนตวั และไมร่ ีบชิงสุกก่อนห่าม นอกจากเรื่องการรักนวลสงวนตัว อีกสิ่งหนึ่งที่แม้ว่าจะดูเหมือนจางหายไปจากสังคมไทยแล้ว แต่ก็ ยังคงหลงเหลืออยู่อย่างปฏิเสธไม่ได้นั้นก็คือ ค่านิยมของการคลุมถุงชน ที่ตกทอดกันมาตั้งแต่อดีต ซึ่งเรายัง สามารถเห็นได้ในปัจจุบันโดยค่านิยมเรื่องการคลุมถุงชนนั้นได้ปรากฎอยู่ในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง ดังเช่น พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง เงาะป่า ที่ได้บรรยายถึงความทุกข์ของนาง ลำหบั ทไ่ี มส่ ามารถเลอื กคูค่ รองทต่ี นรกั ได้ ผู้หญิงคืออะไรในสังคมไทย ? เป็นมนุษย์เฉด บุรุษเพศ หรือเป็นเพียง 'สิ่งของ' ที่ครอบครัวหรือวงศ์ ตระกลู ใช้เพอ่ื แสวงหาผลประโยชน์ แน่นอนอย่แู ลว้ ว่าผูห้ ญงิ เป็นมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย และไม่ต้องตั้งคำถาม ใด ๆ เกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ของสตรีเพศ แต่การกระทำของสังคมที่สวนทางกับความมั่นคงในความเป็น มนษุ ยข์ องผูห้ ญิงทำใหเ้ กดิ คำถามท่ีไม่ควรถามขึ้น ความเหน็ จากกระทู้ \"ผูช้ ายชอบผู้หญิงเวอร์จน้ิ เหรอคะ ?\" ใน พันทิป ซึ่งสามารถตีแผ่คุณค่าความเป็นหญิงของสตรีเพศในสังคมออกมาได้เรียบง่าย แต่เห็นภาพที่ชัดเจน กล่าวคือ เป็นการยืนยันว่า สังคมมองผู้หญิงเป็นเพียงสิ่งของ ด้วยการเปรียบผู้หญิงบริสุทธิ์หรือผู้หญิงครอง พรหมจรรย์เป็น 'ของมือหนึ่ง' ที่ผู้ชายหวังจะเป็นคน 'ใช้' ค่านิยมความเป็นสิ่งของของผู้หญิงนี้ปรากฎใน วรรณคดีหลาย ๆ เรื่อง เช่น มัทนะพาธา กต็ ามประเพณี พระบดิ าประสาทให้ มาเพ่ือประพันธ์ไม- ตฺรริ ะหวา่ งประเทศสอง (จาก บทละครคำพูดคำฉนั ทเ์ ร่อื งมัทนะพาธา)

๑๕๕ บทนี้เป็นบทที่ชัยเสนเน้นย้ำกับจัณฑีว่า การที่จัณฑีได้มาเป็นเหสีของชัยเสนเพราะพ่อของทั้งสองต้องการผูก มติ รกัน เปน็ การ 'มอบ' ลกู สาวใหอ้ ีกฝา่ ย ใชล้ กู สาวเปน็ 'เคร่ืองต่อรอง' หรอื คลา้ ย ๆ สนธิสัญญา บทนี้แสดงให้ เหน็ การมองผหู้ ญิงเป็นวตั ถุ และใช้วัตถุนเ้ี พอ่ื ผลประโยชน์ แม้สังคมจะหมุนเปลี่ยนไปตามเวลาและเกิดแนวคิดการเห็นคุณค่าในความเป็นมนุษย์มากขึ้น แต่ คา่ นยิ มเก่าท่ลี ดทอดคุณค่าเหล่านยี้ ังคงปรากฎอยู่ในสงั คม แมต้ ัวอยา่ งเหตุการณ์ในปัจจุบันที่มองว่าผู้หญิงเป็น สิ่งของที่ยกมาจะไม่ได้เกี่ยวกับการคลุมถุงชนหรือการจำนำผู้หญิงอย่างในวรรณคดีทั้งสองเรื่อง แต่แนวคิดที่ ยกตัวอย่างน้ี คอื ความเป็นวัตถขุ องสตรเี พศ ท่ีถกู นำเสนอในรปู แบบท่ตี ่างกันตามบรบิ ทของสงั คมทแี่ ตกตา่ ง ในสังคมปัจจุบัน เราสามารถพบเห็นการคุกคามทางเพศจากผู้ชายที่กระทำต่อผู้หญิงในรูปแบบต่าง ๆ โดยอ้างว่าเป็น \"เรื่องปกติ\" แต่คำว่าปกติที่ใช้อ้างกันนั้น เป็นเพียงคำอ้างที่มาจากมาตรฐาน ความคิด และ ค่านิยมของฝ่ายชายท่ีเป็นผู้กระทำเท่านั้น เพราะ ฝ่ายหญิงทีเ่ ปน็ ผู้ถกู กระทำหลาย ๆ ท่านรู้สึกไม่สบายใจ อึด อดั และเป็นกังวลกับการกระทำดงั กลา่ ว เช่น ผหู้ ญงิ รสู้ ึกไม่สบายใจทตี่ นเองถกู พนักงานชายแซว ขอเบอร์ หรอื แม้กระทั่ง หลอกจับมือ ทำให้ตนต้องหาวิธีทางแก้ไขกับปัญหาดังกล่าว ซึ่งแท้ที่จริงแล้วปัญหาเหล่านี้ควรเปน็ ฝ่ายชายที่จะต้องหยุดการคุกคามทางเพศไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมและเลิกหาข้ออ้างในกา รกระทำ ดงั กลา่ ว ซงึ่ การคกุ คามทางเพศภายใตข้ ้ออ้างตา่ ง ๆ นานาจนถูกมองข้ามไปว่ากำลังทำให้ผู้หญงิ คนหน่ึง ๆ เจ็บ ชำ้ นำ้ ใจ นอกจากนั้นค่านิยมนี้ยังมบี ทบาทตอ่ การกำหนดสถานะในครอบครัว โดยจะเห็นได้ว่าฐานะของสามีที่ ปรากฎในสังคมจะอย่สู ูงกว่าภรรยา ซึ่งเปน็ การตอกย้ำให้เหน็ ถึงสังคมแบบปิตาธปิ ไตยทแ่ี ทจ้ รงิ จิตสำนึกความ เหนือกว่าของสามีนั้นฝังอยู่ในความคิดของคนไทยมาตั้งแต่อดีต อันเห็นได้จากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน พลายแก้วได้เป็นขุนแผน ขุนช้างได้นางวันทอง โดยเป็นเรื่องในตอนที่ขุนแผนพานางลาวทองมาหานางวัน ทองที่บา้ น นางวันทองเกิดความหงึ หวงจงึ มีปากเสยี งกับนางลาวทอง จนสดุ ท้ายขุนแผนต้องเข้ามาปราม สรุปได้ว่า “ค่านิยมของคนในปัจจุบันเกี่ยวกับผู้หญิง” คือ ในสังคมปัจจุบันมีการเปิดกว้างเรื่องของ ทางเพศมากขึ้นกว่าในอดีตที่พามา เช่น ผู้หญิงสามารถเลือกคนที่จะคบหา หรือ คนที่จะสร้างครอบครัวของ ตนเองได้ โดยที่ไม่มีการถูกบังคับที่จะต้องแต่งงานหรือ สร้างครอบครัวกับคนที่เราไม่ได้รัก หรือแม้กระทั้ง ผู้หญิงจะคบกับผู้ชายกี่คนก็ได้ โดยไม่ต้องกลัวสายตาของคนในสังคมว่าเป็น นางหลายใจ มีสามีหลายคน ใน ขณะเดยี วกนั กย็ ังมสี ังคมชายท่ีมองวา่ ผู้หญิงต้องมีสามเี ดียว ใจเดียว และยังไมเ่ คยผ่านมือชายคนใดมาก่อน ถ้า หากผู้หญิงคนใดที่ผ่านมือชายหลายคน กลายเป็นเรื่องที่ผู้หญิงดูสกปรก ใจง่าย แย่ ถูกมองไปในทางลบ มีคำ หยาบคายมาใช้เรียกการกระทำทผ่ี ู้หญิง แตใ่ นขณะเดยี วกนั ถา้ ผ้ชู ายผา่ นมือผ้หู ญงิ มาหลายคน กลับกลายเป็น เร่ืองท่ีน่าเชดิ ชู มองเปน็ เรอ่ื งดีหรอื ก็ดทู จี่ ะไปเร่อื งปกติทผี่ ู้ชายทำไดถ้ ูกเรยี กว่าเปน็ เสอื ผหู้ ญงิ หรอื คาสโนวา่

๑๖ บทท่ี ๓ วิธดี ำเนนิ การวจิ ยั การศึกษาเรือ่ งแนวคิดและค่านิยมที่สะท้อนจากวรรณคดเี รื่องสภุ าษิตสอนหญิง มีวัตถุประสงคเ์ พื่อ แสดงให้ เห็นถึงความแตกต่างของแนวคดิ และค่านิยมเกย่ี วกับผ้หู ญิงของคนไทยในอดีตและปัจจุบัน โดยมขี ้นั ตอนการศึกษา คน้ ควา้ ดงั น้ี ๑. การเลอื กหวั ข้อศกึ ษาค้นคว้าทีท่ างกลมุ่ สนใจ ๒. ศกึ ษาเอกสาร ตำรา ทีเ่ กี่ยวข้องกับวรรณคดีเรื่องสภุ าษิตสอนหญงิ ๓. วางแผนขอบเขตของข้อมูลและขอบเขตของหัวข้อทที่ศึกษาคน้ คว้า ๔. รวบรวมข้อมูล(แนวคิดและค่านิยมที่สะท้อนจากวรรณคดีเรื่องสุภาษิตสอนหญงิ จากสื่ออินเทอร์เน็ตแล้ว บนั ทกึ ตามหมวดหมทู่ ่ไี ดจ้ ัดไว้ และจากการสำรวจแบบสอบถามเก่ียวกับคา่ นิยมจากเรือ่ งสภุ าษิตสอนหญิง ๕. ดำเนนิ การวิเคราะห์ข้อมลู การศึกษาค้นคว้า ๖. สรุปและอภิปรายผลขอ้ มูลการศกึ ษาค้นควา้ ๗. จัดทำรูปเล่มรายงานการศึกษาค้นคว้า ๘. นำเสนอผลการศึกษาคน้ ควา้ ๓.๑ แหล่งข้อมลู แหล่งขอ้ มูลที่ใชใ้ นการศึกษาค้นคว้าครงั้ นี้ไดแ้ ก่ บทความเร่ืองสภุ าษิตสอนหญิงโดยมีผู้แต่งคือสุนทรภู่ในช่วง ระหว่างปีพ.ศ.๒๓๔๐-๒๓๘๓จากสื่ออินเทอร์เน็ต และจากการสำรวจแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับค่านิยม และแนวคิดของสงั คมไทยในปจั จุบันโดยอ้างอิงหลกั คำสอนจากเรื่องสุภาษิคสอนหญิง ๓.๒ เกณฑป์ ระเด็นในการวิเคราะห์ เกณฑ์ในการวิเคราะห์แนวคิดจากเรื่องสุภาษิตสอนหญิงนี้มีทั้งหมด ๒ เกณฑ์แบ่งเป็น เกณฑ์การวิเคราะห์ การใชภ้ าพพจน์ และเกณฑ์การวเิ คราะห์คำสอนจากเร่ืองสุภาษติ สอนหญิง ดงั มรี ายละเอยี ดต่อไปนี้

๑๗ ๓.๓ เกณฑก์ ารวเิ คราะหก์ ารใชภ้ าพพจน์ เกณฑ์ในการวิเคราะขอ้ มูลท่ีคณะผูจ้ ัดทำนำมาใชว้ ิเคราะห์การใช้ภาพพจนใ์ นสุภาษิตสอนหญิง โดยการใช้ ภาพพจน์ ๓ ชนิดได้แก่ ๑. อปุ มา (simile) ๒. อปุ ลักษณ(์ metaphor) ๓. สญั ลกั ษณ(์ symbol) ๓.๔ เกณฑ์การวิเคราะห์คำสอนจากเรอื่ งสุภาษติ สอนหญิง เกณฑใ์ นการวเิ คราะห์คำสอนจากเรือ่ งสภุ าษติ สอนหญิง ได้ใช้เกณฑ์ของพชั นี อยั ราวงษ์ จากงานวจิ ัย จริยศึกษาของสตรีไทยในสุภาษิตสอนหญิงคำกลอน กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๑.โดยมี เกณฑใ์ นศกึ ษาดงั น้ี ๑.การครองตน ๑.๑ การรจู้ ักประมาณตน ๑.๒ การรูจ้ กั เลอื กคบเพื่อน ๑.๓ การรู้จกั รักนวลสงวนตัว ๑.๔ การรู้จกั เสริมคณุ ค่าใหแ้ กต่ นเอง ๒. กิริยามารยาท ๒.๑ การเดิน ๒.๒ การนอน ๒.๓ การนง่ั ๒.๔ การมอง ๒.๕ การพูด ๓. การปฎบิ ตั ิตอ่ บดิ ามารดา ๓.๑ เลย้ี งดูทา่ นเมือ่ แก่เฒ่า

๑๘ ๓.๒ เช่ือฟังบดิ ามารดา ๓.๓ ไม่ทำใหบ้ ดิ ามารดาอับอายขายหนา้ ๓.๔ เคารพบูชาบิดามารดา ๔. การเลือกคู่ครอง ๓.๑ อยา่ เชอ่ื คำคนโดยง่าย ๓.๒ ลกั ษณะชายชวั่ ท่ไี มค่ วรเลือกมาเป็นสามี ๓.๓ อย่าจบั ปลาสองมือ ๓.๔ อย่าชงิ สุกก่อนห่าม ๓.๕ ใหฝ้ า่ ยชายมาสขู่ อต่อบิดามารดา ๕. การปฎิบัตติ ่อสามี ๕.๑ ซ่อื สตั ย์ตอ่ สามีผู้เดียว ๕.๒ ปรนนบิ ตั สิ ามี ๕.๓ เชื่อฟงั สามี ๕.๓ ไมแ่ สดงอาการโกรธตอบสามี ๕.๔ หลกี เล่ยี งการกระทำช่ัวร้ายตอ่ สามี ๓.๕ การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ คณะผู้จัดทำได้รวบรวมข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์การศึกษาเรื่องแนวคิดและ ค่านิยมทสี่ ะท้อนจากวรรณคดเี รื่องสุภาษติ สอนหญงิ ซึง่ มขี ัน้ ตอนการดำเนนิ การดังตอ่ ไปนี้ ๑. ศึกษาเอกสาร ตำรา เว็ปไซต์ที่เก่ยี วขอ้ งกบั สุภาษติ สอนหญงิ เอกสารที่เกี่ยวข้องกับกลวิธีการใช้คำ การใช้ภาพพจน์และการแปลความหายของคำสอนจากเรื่องสุภาษิต สอนหญงิ เพอื่ ใช้เปน็ แนวทางในการศกึ ษาและวิเคราะหข์ ้อมูล ๒. ศกึ ษาและแปลความหมายสภุ าษิตสอนหญิงจากสือ่ อินเทอรเ์ นต็ สารนิพนธข์ องนวพรคำเมอื ง และจากการ สำรวจแบบสอบถาม

๑๑๗๙ ๓. วเิ คราะห์การใช้ภาพพจน์และการนำเสนอเรอ่ื งตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ๔. รวบรวมผลการวเิ คราะห์แล้วบันทึกไวต้ ามหมวดหมู่เพ่ือใชส้ รุปและอภปิ รายผลต่อไป ข้นั ตอนการเก็บรวบรวมขอ้ มูลจากแบบสอบถาม วิธีการศึกษาค้นคว้าเรื่องความคิดเห็นเกี่ยวกับค่านิยมจากเรื่องสุภาษิตสอนหญิง คณะผู้จัดทำได้ ดำเนินการศกึ ษาค้นควา้ โดยลำดับดงั นี้ ๑. ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง ๒. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง ประชากรทใ่ี ช้ในการศึกษาค้นคว้าในเร่ืองนี้ ได้แก่ นักเรียนและบุคลากรที่มชี ว่ งอายตุ ั้งแต่๑๖-๕๕ปีของ โรงเรียนทีปราษฎร์พิทยา ปีการศึกษา ๒๕๖๓ จำนวน ๗๐ คน สรุปผลการวิเคราะห์แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ดังน้ี ส่วนที่ ๑ ข้อมลู ท่วั ไปของผูต้ อบแบบสอบถาม ส่วนที่ ๒ ความคิดเหน็ ของผตู้ อบแบบสอบถาม ใน ๕ หวั ข้อ ดังน้ี หัวขอ้ ท่ี ๑ เรือ่ งของการรักนวลวงวนตัว หัวข้อที่ ๒ เร่ืองของการปฏบิ ตั ิต่อบิดามารดา หวั ขอ้ ท่ี ๓ เรื่องของกริ ยิ ามารยาท หวั ข้อที่ ๔ เรื่องของการเลือกคคู่ รอง หัวข้อที่ ๕ เร่อื งหนา้ ทีข่ องภรรยา

๑๒๘๐ ตอนท่ี ๑ ข้อมูลทั่วไปของผตู้ อบแบบสอบถาม ตัวแปร จำนวน(คน) ร้อยละ ๑. อายุ ๗๐ ๑๐๐ ๑.๑ ๑๖-๒๔ ปี ๓๖ ๕๑.๔๓ ๑.๒ ๒๕-๔๐ ปี ๒๖ ๓๗.๑๔ ๑.๓ ๔๑-๕๕ ปี ๘ ๑๑.๔๓ การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้ศึกษาได้ดำเนินการเก็บรวบรวมโดยวิธีการสอบถามความคิดเห็นด้วยตนเองซึ่งมีขั้นตอนการ ดำเนนิ งาน ดังนี้ ๑.) สร้างแบบสอบถามและจัดพมิ พแ์ บบสอบถาม ๒.) ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธีการสอบถามความคิดเห็นจากนักเรียนและบุคลกรของ โรงเรยี นทปี ราษฏรพ์ ิทยา ปีการศึกษา ๒๕๖๔ จำนวน ๗๐ คน และเกบ็ รวบรวมข้อมูลกลบั ดว้ ยตนเอง ๓.๖ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ๑. นำข้อมูลจากการสำรวจท่เี กบ็ รวบรวมขอ้ มลู ไดม้ าวิเคราะห์ข้อมูลตามเกณฑ์ ท่ีกำหนดไว้ในเคร่อื งมือท่ีใช้ในการวิจยั ๒. นำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ การใช้ภาพพจนแ์ ละการวเิ คราะห์คำสอนมาเรียบเรียงแบบอธิบายพร้อม ยกตวั อย่างประกอบ ๓. สรปุ ผล และอภิปรายผล เสนอแนวทางการนำไปประยกุ ต์ใชใ้ นการจัดการเรียนการสอนรายวิชา ภาษาไทย รวมทงั้ เสนอข้อเสนอแนะในการวจิ ยั คร้งั ตอ่ ไป

๑๒๗๑ ๓.๗ ระยะเวลาในการดำเนนิ การ ในการศึกษาเร่ืองการศึกษาเรื่องแนวคดิ และค่านยิ มท่ีสะท้อนจากวรรณคดเี ร่อื งสภุ าษติ สอนหญงิ มา เปรยี บเทียบใหเ้ หน็ ถึงความแตกตา่ งของแนวคิดและคา่ นยิ มของคนไทยในปจั จุบัน มีระยะเวลาในการดำเนนิ การซึ่ง แบ่งได้ ดงั นี้ ลำดบั ท่ี ขนั้ ตอนการศกึ ษา ชว่ งเวลา ผรู้ บั ผิดชอบ ๑. รวบรวมข้อมูลเอกสารและงานวิจัยท่ี เก่ียวข้อง วนั ท่ี ๑๔-๒๐ ธนั วาคม พ.ศ.๒๕๖๓ ๒. รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการวิเคราะห์ การวิเคราะห์การศึกษาเรื่องแนวคิด และค่านิยมที่สะท้อนจากวรรณคดี เรื่องสุภาษิตสอนหญิง มา เปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่าง ของแนวคดิ และคา่ นยิ มของคนไทยใน ปัจจบุ นั วันท่ี ๒๑-๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ๓. วิเคราะห์ข้อมลู วนั ที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๔ ๔. สรปุ และอภิปรายข้อมลู วนั ที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๔ ๕. ตรวจทานและแกไ้ ขข้อมูลจัดทำ รปู เล่มรายงานการศึกษาค้นคว้า วันท่ี ๒๕-๒๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๔ ๖. นำเสนอผลงานการศึกษาค้นคว้า วนั ท่ี ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๔ ๗. ส่งรายงานการศึกษาค้นคว้าฉบับ สมบูรณ์ วนั ที่ ๒๖-๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๔

๒๒ บทที่ ๔ การวิเคราะหข์ ้อมลู การศึกษาค้นคว้าเร่ืองแนวคิดและค่านิยมท่ีสะท้อนจากวรรณคดีเร่ืองสุภาษิตสอนหญิง มา เปรยี บเทยี บใหเ้ หน็ ถงึ ความแตกต่างของแนวคดิ และค่านิยมของคนไทยในปัจจุบนั มวี ตั ถุประสงคเ์ พอ่ื แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความแตกต่างของแนวคดิ และค่านิยมเก่ยี วกบั ผู้หญิงของไทยในอดตี และปัจจุบนั โดย คณะผจู้ ดั ทาไดแ้ บ่งการวเิ คราะหข์ อ้ มูลออกเป็น ๓ ประเดน็ ตามวตั ถุประสงคใ์ นการศกึ ษาคน้ ควา้ ไดแ้ ก่ เกณฑก์ ารวเิ คราะหล์ กั ษณะการแต่งกลอนสุภาพ เกณฑ์การวเิ คราะห์การใช้ภาพพจน์ และเกณฑ์การ วเิ คราะหค์ าสอนจากเร่อื งสุภาษติ สอนหญงิ ซง่ึ มรี ายละเอยี ดการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ดงั น้ี ๔.๑ เกณฑก์ ารวิเคราะห์การใช้ภาพพจน์ การวเิ คราะหก์ ารใชภ้ าพพจน์น้ี คณะผจู้ ดั ทาไดใ้ ชเ้ กณฑก์ ารวเิ คราะหข์ องวจิ ยั นามาใชว้ เิ คราะห์ การใชภ้ าพพจน์ในสุภาษติ สอนหญงิ ไดแ้ ก่ เกณฑก์ ารวเิ คราะหก์ ารใชภ้ าพพจน์ของจุไรรตั น์ ลกั ษณะศริ ิ และวรี วฒั น์อนิ ทรพร(๒๕๕๖ : ๖๘ - ๗๓) จากหนงั สอื ภาษาไทยเพอ่ื การสอ่ื สาร ดงั น้ี ๑. อปุ มา (simile) ๒. อุปลกั ษณ์(metaphor) ๓. สญั ลกั ษณ์(symbol) โดยรายละเอยี ดการวเิ คราะห์นัน้ ศกึ ษาพบว่าการใช้ภาพพจน์ในสุภาษติ สอนหญิงนัน้ มกี ารใช้ ทงั้ สน้ิ ๓ ประเภท ซงึ มรี ายละเอยี ดในการวเิ คราะห์ ไดแ้ ก่ ภาพพจน์แบบอปุ มา,อปั ลกั ษณ์,สญั ลกั ษณ์ ซง่ึ มรี ายละเอยี ดและตวั อยา่ งการใชภ้ าพพจน์ในการใชภ้ าพพจน์สุภาษติ สอนหญงิ ดงั น้ี อปุ มา (simile) อุปมา คอื การเปรยี บเทียบสงิ่ หน่ึงกบั อกี สงิ่ หน่ึงท่โี ดยธรรมชาตแิ ล้วมสี ภาพท่แี ตกต่างกนั แต่มี ลกั ษณะเด่นร่วมกนั และใช้คาท่มี คี วามหมายว่า เหมอื นหรอื คล้าย เช่น ดุจ ดงั่ ราวกบั คล้าย เป็นคา แสดงการเปรยี บเทยี บเพอ่ื เน้นใหเ้ หน็ จรงิ วา่ เหมอื นอยา่ งไร ในลกั ษณะใด จากการศกึ ษาสภุ าษติ สอนหญงิ น้ี พบวา่ มกี ารใชภ้ าพพจน์อปุ มาดว้ ยเช่นกนั ดงั ตวั อย่างการใช้ อุปมา เช่น เป็นสาวแซแ่ ร่รวยสวยสะอาด กห็ มายมาดเหมอื นมณอี นั มคี ่า แมน้ แตกรา้ วรานร่อยถอยราคา จะพลอยพาหอมหายจากกายนาง ใครเหน็ น้องตอ้ งนิยมชมไม่ขาด วา่ ฉลาดแต่งร่างเหมอื นอยา่ งหงส์ ถงึ รปู งามทรามสงวนนวลอนงค์ ไม่รจู้ กั แตง่ ทรงกเ็ สยี งาม ” ทางไกลตาอปุ มาเหมอื นเสยี เนตร สุดสงั เกตเทจ็ จรงิ ทุกสงิ่ สรรพ์ เขาจะนาไปใหต้ ายกต็ ายพลนั คนทกุ วนั เช่อื มนั ยากปากมนั โกง ” อนั ตวั ต่าแลว้ อย่าทาใหศ้ กั ดิ ์ เขาจะมกั เหมน็ ปากเหมอื นซากผี เปรยี บเหมอื นเกลอื เจอื ปนกบั ชลธี มนั กม็ แี ต่จะจดื ไมย่ ดื ยาว ”

๒๒๗๓ อปุ ลกั ษณ์ (metaphor) อุปลักษณ์ คือ การเปรียบเทียบด้วยการกล่าวว่าสิ่งหน่ึงเป็ นอีกส่ิงหน่ึง โดยใช้แสดงการ เปรยี บเทยี บว่า เป็น หรอื คอื จากการศกึ ษาและวเิ คราะหส์ ภุ าษติ สอนหญงิ อปุ ลกั ษณ์ เชน่ อนั แม่สอ่ื คอื ปีศาจทอ่ี าจหาญ ใครบนบานเขา้ สกั หน่อยกพ็ ลอยโผง อยา่ เชอ่ื นกั มกั ตบั จะคบั โครง มนั ชกั โยงอยากกนิ แตส่ นิ บน แมน้ รูจ้ กั รกั ร่างเป็นอย่างยง่ิ จะเพรศิ พรง้ิ สมสวาทเป็นราชหงส์ จงกาหนดอุตสา่ หร์ กั ษาทรง อย่าลุ่มหลงดว้ ยอุบายของชายพาล สญั ลกั ษณ์ (symbol) สญั ลกั ษณ์ คอื การเปรยี บเทยี บทเ่ี รยี กสงิ่ หน่ึงสงิ่ ใดโดยใชค้ าอ่นื แทน คาทใ่ี ชเ้ รยี กนนั้ เกดิ จากการ เปรยี บเทยี บและตคี วามซง่ึ ใชก้ นั มานานจนเป็นทเ่ี ขา้ ใจกนั โดยทวั่ ไป จากการศกึ ษาและวเิ คราะหส์ ุภาษติ สอนหญงิ พบวา่ มกี ารใช้ ดงั น้ี สญั ลกั ษณ์ เช่น น่เี กดิ มาเป็นนารไี ม่มคี า่ จะเกดิ มาทาไมใหห้ มองหมาง เหมอื นกรวดทรายปรายเลน่ ไม่เวน้ วา่ ง จะเอาอย่างนางโมราฤๅว่าไร ๔.๒ การวิเคราะห์คาสอนจากเร่ืองสุภาษิตสอนหญิง การวเิ คราะห์คาสอนจากเร่อื งสุภาษิตสอนหญิงน้ี คณะผู้จดั ทาได้ใช้เกณฑ์การวเิ คราะหข์ องคา สอนจากเร่อื งสุภาษติ สอนหญงิ ไดใ้ ชเ้ กณฑข์ องพชั นี อยั ราวงษ์ จากงานวจิ ยั จรยิ ศกึ ษาของสตรไี ทยใน สุภาษิตสอนหญิงคากลอน กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๑.โดยมีหวั ข้อการ วเิ คราะห์ ไดแ้ ก่ ๔.๒.๑ การครองตน ๔.๒.๒ กริ ยิ ามารยาท ๔.๒.๓ การปฏบิ ตั ติ อ่ บดิ ามารดา ๔.๒.๔ การเลอื กค่คู รอง ๔.๒.๕ การปฏบิ ตั ติ อ่ สามี โดยรายละเอยี ดนัน้ มาจากคาสอนจากเร่อื งสุภาษิตสอนหญิงโดยรวมแล้วมาจากคุณค่าด้าน เน้อื หา แนวคดิ และทางดา้ นสงั คมการสะทอ้ นชวี ติ ความเป็นอยู่ ซง่ึ มรี ายละเอยี ดการวเิ คราะหด์ งั น้ี

๒๒๗๔ ๔.๒.๑ การครองตน จากการวเิ คราะหพ์ บว่า มหี ลกั การและความหมายในหลายรูปแบบทงั้ การรู้จกั ประมาณตน การ รู้จกั เลอื กคบเพ่อื น การรู้จกั รกั นวลสงวนตวั และการรู้จกั เสรมิ คุณค่าให้แก่ตนเอง จากการศึกษาและ วเิ คราะหส์ ภุ าษติ สอนหญงิ พบวา่ มหี ลกั คาสอนดงั น้ี หลกั คาสอนการครองตน เช่น จงรกั นวลสงวนนามหา้ มใจไว้ อยา่ หลงใหลจาคาทร่ี ่าสอน คดิ ถงึ หน้าบดิ าและมารดร อยา่ รบี รอ้ นเรว็ นกั มกั ไม่ดี ๔.๒.๒ กิรยิ ามารยาท จากการวิเคราะห์พบว่า กิริยามารยาทในสุภาษิตสอนหญิงสอนหญิงคือหลักคาสอนท่ีเป็น พน้ื ฐานทผ่ี หู้ ญงิ ควรรู้ ประจบกริ ยิ ามารยาทการเดนิ ,การนอน,การนงั่ ,การมอง,และการพดู จากการศกึ ษา และวเิ คราะหส์ ุภาษติ สอนหญงิ พบว่ามหี ลกั คาสอนดงั น้ี หลกั คาสอนกริ ยิ ามารยาท เชน่ จะนุ่งหม่ ดพู อสมศกั ดสิ ์ งวน ใหส้ มควรรบั พกั ตรต์ ามศกั ดศิ ์ รี จะผดั หน้าทาแป้งแต่งอนิ ทรยี ์ ดฉู วผี วิ เน้อื อย่าเหลอื เกนิ ๔.๒.๓ การปฏิบตั ิต่อบิดามารดา จากการวเิ คราะหพ์ บว่า การปฏบิ ตั ติ ่อบดิ ามารดาคอื สงิ่ ทค่ี นไทยใหก้ ารเคารพและยกย่อเป็นอย่าง มากเพราะบดิ ามาดาเปรยี บเสมอื นพระในบ้าน ตามทค่ี นรุ่นก่อนๆพูดกนั มหี ลกั คาสอนโดยทวั่ ไป ไดแ้ ก่ การเลย้ี งดทู ่านเม่อื แก่เฒา่ ,การเช่อื ฟังบดิ ามารดา,การไม่ทาใหบ้ ดิ ามารดาอบั อายขายขห้ี น้า,การเคารพ บชู าบดิ ามารดา เป็นตน้ จากการศกึ ษาและวเิ คราะหส์ ุภาษติ สอนหญงิ พบวา่ มหี ลกั คาสอนดงั น้ี หลกั คาสอนการปฏบิ ตั ติ อ่ บดิ ามารดา เช่น ถา้ เราดมี จี ติ คดิ อปุ ถมั ภ์ กุศลลา้ เลศิ เทา่ ภเู ขาหลวง จะปรากฏยศยง่ิ สง่ิ ทงั้ ปวง กว่าจะล่วงลุถงึ ซง่ึ พมิ าน ๔.๒.๔ การเลือกค่คู รอง จากการวเิ คราะหพ์ บว่า การเลอื กคู่ครองในฉบบั สุภาษิตสอนหญิงกล่าวไว้ว่าความสนใจในเพศ ตรงขา้ มยอ่ มเป็นเร่อื งปกติ แมบ้ ทประพนั ธ์จะพร่าอบรมใหห้ ญงิ สาวเป็นกุลสตรี แตก่ ไ็ ม่ไดห้ า้ มว่าตอ้ งไม่ สนใจชาย จากการศกึ ษาและวเิ คราะหส์ ุภาษติ สอนหญงิ พบว่ามหี ลกั คาสอนดงั น้ี หลกั คาสอนการเลอื กค่คู รอง เช่น อนั ทจ่ี รงิ หญงิ ชายยอ่ มหมายรกั มใิ ช่จกั ตดั ทางทส่ี รา้ งสม แมน้ จกั รกั รกั ไวใ้ นอารมณ์ อย่ารกั ชมนอกหน้าเป็นราคี

๒๒๗๕ ๔.๒.๕ การปฏิบตั ิต่อสามี จากการวเิ คราะหพ์ บว่า การปฏบิ ตั ใิ นรูปแบบหลกั คาสอนของสุภาษติ สอนหญงิ เน่อื งจากค่านิยมใน สงั คมสมยั นัน้ ให้ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหน้า ส่วนผูช้ ายออกไปไปทางานนอกบ้านแต่เม่อื บรบิ ททางสงั คม เปลย่ี นไป ‘‘กจิ การหญงิ ทุกสง่ิ สา’’ ทค่ี วรทากค็ วรเปล่ยี นแปลงตามความเหมาะสม เพ่อื ทจ่ี ะไดช้ ่วยแบ่ง เบาภาระซง่ึ กนั และกนั จากการศกึ ษาและวเิ คราะหส์ ุภาษติ สอนหญงิ พบว่ามหี ลกั คาสอนดงั น้ี หลกั คาคาสอนการปฏบิ ตั ติ ่อสามี เชน่ จงซ่อื ตอ่ ภสั ดาสวามี จนชวี ศี รสี วสั ดเิ ์จา้ ตกั ษยั อยา่ ใหม้ รี าคนิ ทก่ี นิ ใจ อปุ ไมยเหมอื นอนงคอ์ งคส์ ดี า การนาเสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู การศกึ ษาคน้ ควา้ เรอ่ื งแนวคดิ และค่านิยมทส่ี ะทอ้ นจากวรรณคดี เร่อื งสุภาษติ สอนหญงิ ผศู้ กึ ษาไดน้ าเสนอการวเิ คราะหข์ อ้ มลู และการแปลผลขอ้ มลู ตามลาดบั ดงั น้ี ๑. ขนั้ ตอนนาเสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ๒. ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ขนั้ ตอนนาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู ตอนท่ี ๑ เป็นผลการวเิ คราะหเ์ กย่ี วกบั ขอ้ มลู ทวั่ ไปของกลมุ่ ตวั อยา่ ง ตามช่วงอายุ ตอนท่ี ๒ เป็นผลการวเิ คราะหเ์ กย่ี วกบั แนวคดิ และค่านิยมของคนไทยใน ปัจจบุ นั ทม่ี ตี ่อวรรณคดเี รอ่ื งสุภาษติ สอนหญงิ ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล ตอนท่ี ๑ เป็นผลการวเิ คราะหเ์ กย่ี วกบั ขอ้ ทวั่ ไปของกลุ่มตวั อยา่ งแสดงไวใ้ น ตารางท่ี ๑ ดงั น้ี ตารางท่ี ๑ จานวนและรอ้ ยละของกลุ่มตวั อย่าง จาแนกตามช่วงอายุ ๔.๓ การครองตน ช่วงอายุ ( ปี ) จานวน เหน็ ด้วย ร้อยละ ไม่เหน็ ด้วย ร้อยละ รวม ( คน ) ๑๖-๒๔ ๓๖ ๑๓ ๓๖.๑๑ ๒๓ ๖๓.๘๙ ๑๐๐ ๒๕-๔๐ ๔๑-๕๕ ๒๖ ๑๗ ๖๕.๓๘ ๙ ๓๔.๖๒ ๑๐๐ ๘ ๘ ๑๐๐ ๐ ๐ ๑๐๐ รวม ๗๐ จากตารางท่ี ๑ การครองตน แสดงใหเ้ หน็ วา่ ช่วงอายุ ๑๖-๒๔ ปี จานวน ๓๖ คน เหน็ ดว้ ย ๑๓ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๓๖.๑๑ ไม่ เหน็ ดว้ ย ๒๓ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๖๓.๘๙ ช่วงอายุ ๒๕-๔๐ ปี จานวน ๒๖ คน เหน็ ดว้ ย ๑๗ คน คดิ เป็น รอ้ ยละ ๖๕.๓๘ ไม่เหน็ ดว้ ย ๙ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๓๔.๖๒ และช่วงอายุ ๔๑-๕๕ ปี เหน็ ดว้ ย ๘ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๑๐๐ ไม่เหน็ ดว้ ย ๐ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๐

๔.๔ กิริยามารยาท รอ้ ยละ ไม่เหน็ ร้อยละ ๒๒๗๖ ช่วงอายุ ( ปี ) จานวน( คน ) เหน็ ด้วย ด้วย ๕.๕๖ ๙๔.๔๔ รวม ๑๖-๒๔ ๓๖ ๒ ๔๒.๓๑ ๓๔ ๕๗.๖๙ ๒๕-๔๐ ๒๖ ๑๑ ๒๕.๐๐ ๑๕ ๗๕.๐๐ ๑๐๐ ๔๑-๕๕ ๘ ๒ ๖ ๑๐๐ ๑๐๐ รวม ๗๐ จากตารางท่ี ๒ กริ ยิ ามารยาท แสดงใหเ้ หน็ ว่า ช่วงอายุ ๑๖-๒๔ ปี จานวน ๓๖ คน เหน็ ดว้ ย ๒ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๕.๕๖ ไม่ เหน็ ดว้ ย ๓๔ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๙๔.๔๔ ช่วงอายุ ๒๕-๔๐ ปี จานวน ๒๖ คน เหน็ ดว้ ย ๑๑ คน คดิ เป็น รอ้ ยละ ๔๒.๓๑ ไมเ่ หน็ ดว้ ย ๑๕ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๕๗.๖๙ และช่วงอายุ ๔๑-๕๕ ปี เหน็ ดว้ ย ๒ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๒๕ ไม่เหน็ ดว้ ย ๖ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๗๕ ๔.๕ การปฏิบตั ิต่อบิดามารดา ช่วงอายุ ( ปี ) จานวน เหน็ ด้วย ร้อยละ ไม่เหน็ ด้วย รอ้ ยละ รวม ( คน ) ๒๘ ๑๐๐ ๑๖-๒๔ ๓๖ ๒๒ ๗๗.๗๘ ๘ ๒๒.๒๒ ๑๐๐ ๒๕-๔๐ ๒๖ ๘ ๑๐๐ ๔๑-๕๕ ๘ ๘๔.๖๒ ๔ ๑๕.๓๘ ๑๐๐ ๐ ๐ รวม ๗๐ จากตารางท่ี ๓ การปฏบิ ตั ติ ่อบดิ ามารดา แสดงใหเ้ หน็ ว่า ช่วงอายุ ๑๖-๒๔ ปี จานวน ๓๖ คน เหน็ ดว้ ย ๒๘ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๗๗.๗๘ ไมเ่ หน็ ดว้ ย ๘ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๒๒.๒๒ ชว่ งอายุ ๒๕-๔๐ ปี จานวน ๒๖ คน เหน็ ดว้ ย ๒๒ คน คดิ เป็น รอ้ ยละ ๘๔.๖๒ ไม่เหน็ ดว้ ย ๔ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๑๕.๓๘ และช่วงอายุ ๔๑-๕๕ ปี เหน็ ดว้ ย ๘ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๑๐๐ ไมเ่ หน็ ดว้ ย ๐ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๐

๔.๖ การเลอื กค่คู รอง ๒๗ ช่วงอายุ จานวน ( คน ) เหน็ ดว้ ย รอ้ ยละ ไม่เหน็ ดว้ ย รอ้ ยละ รวม ( ปี ) ๒๘ ๗๗.๗๘ ๘ ๒๒.๒๒ ๑๐๐ ๑๖-๒๔ ๓๖ ๒๒ ๘๔.๖๒ ๔ ๑๕.๓๘ ๑๐๐ ๒๕-๔๐ ๒๖ ๗ ๘๗.๕๐ ๑ ๑๒.๕๐ ๑๐๐ ๔๑-๕๕ ๘ รวม ๗๐ จากตารางท่ี ๕ การเลอื กคคู่ รอง แสดงใหเ้ หน็ ว่า ช่วงอายุ ๑๖-๒๔ ปี จานวน ๓๖ คน เหน็ ดว้ ย ๒๘ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๗๗.๗๘ ไม่เหน็ ดว้ ย ๘ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๒๒.๒๒ ช่วงอายุ ๒๕-๔๐ ปี จานวน ๒๖ คน เหน็ ดว้ ย ๒๒ คน คดิ เป็น รอ้ ยละ ๘๔.๖๒ ไม่เหน็ ดว้ ย ๔ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๑๕.๓๘ และช่วงอายุ ๔๑-๕๕ ปี เหน็ ดว้ ย ๗ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๘๗.๕๐ ไมเ่ หน็ ดว้ ย ๑ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๑๒.๕๐ ๔.๗ การปฏิบตั ิต่อสามี ช่วงอายุ ( ปี ) จานวน ( คน ) เหน็ ด้วย รอ้ ยละ ไม่เหน็ ด้วย รอ้ ยละ ๑๖-๒๔ ๓๖ ๘ ๒๒.๒๒ ๒๘ ๗๗.๗๘ ๒๕-๔๐ ๒๖ ๓ ๑๑.๕๔ ๒๓ ๘๘.๔๖ ๔๑-๕๕ ๘ ๐ ๘ ๑๐๐ ๐ รวม ๗๐ จากตารางท่ี ๕ การปฏบิ ตั ติ ่อสามี แสดงใหเ้ หน็ ว่า ช่วงอายุ ๑๖-๒๔ ปี จานวน ๓๖ คน เหน็ ดว้ ย ๘ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๒๒.๒๒ ไม่ เหน็ ดว้ ย ๒๘ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๗๗.๗๘ ช่วงอายุ ๒๕-๔๐ ปี จานวน ๒๖ คน เหน็ ดว้ ย ๓ คน คดิ เป็น รอ้ ยละ ๑๑.๕๔ ไม่เหน็ ดว้ ย ๒๓ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๘๘.๔๖ และช่วงอายุ ๔๑-๕๕ ปี เหน็ ดว้ ย ๐ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๐ ไมเ่ หน็ ดว้ ย ๑๐๐ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๐

๓๐ บทที่ ๕ สรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ สรปุ ผลการศกึ ษาคน้ ควา้ จากการที่คณะผู้จัดทำได้มีความสนใจศึกษาวรรณคดีเร่ืองสุภาษิตสอนหญิงตามวัตถุประสงค์คือเพ่ือ เปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างของค่านิยมท่ีสะท้อนจากวรรณคดีเร่ืองสอนหญิงและแนวคิดและค่านิยม ของคนไทยในปัจจุบันโดยการศึกษาเอกสารตำราท่ีเก่ียวข้องกับวรรณคดีเร่ืองสุภาษิตสอนหญิงและสอบถาม แนวคิดของคนไทยในปัจจุบันเกี่ยวกับวรรณคดีเรื่องสุภาษิตสอนหญิงจากนักเรียนและบุคลากร โรงเรียนทีป ราษฎรพ์ ิทยา จำนวน ๗๐ คน สามารถสรปุ ได้ดังน้ี ๑. ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู ท่ัวไปของผ้ตู อบแบบสอบถาม จากผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประชากรช่วงอายุ ๑๖-๒๔ ปี จำนวน ๓๖ คน คิด เป็นร้อยละ ๕๑.๔๓ ช่วงอายุ ๒๕-๔๐ คิด เป็นร้อยละ ๓๗.๑๔ ปี จำนวน ๒๖ คน และช่วงอายุ ๔๑-๕๕ ปี จำนวน ๘ คน คิดเป็นรอ้ ยละ ๑๑.๔๓ ตามลำดับ ๒. ผลการวิเคราะหแ์ นวคดิ และค่านยิ มของคนไทยปัจจบุ ันทีม่ ตี ่อวรรณคดีเรื่องสภุ าษิตสอนหญิง ซ่ึงมี ๕ หัวข้อ ดงั น้ี หวั ข้อท่ี ๑ เรอ่ื งของการรักนวลสงวนตัว หวั ขอ้ ท่ี ๒ เรอื่ งของการปฏิบตั ติ อ่ บิดามารดา หัวขอ้ ที่ ๓ เรอ่ื งของกริ ยิ ามารยาท หัวขอ้ ท่ี ๔ เร่อื งของการเลอื กคูค่ รอง หวั ขอ้ ที่ ๕ เรอ่ื งหน้าทข่ี องภรรยา มปี รากฏผล ดังน้ี ช่วงอายุ ๑๖-๒๔ ปี หัวข้อท่ี ๑. เร่ืองของการรักนวลสงวนตัว เห็นด้วย ๑๓ คน ไม่เห็นด้วย ๒๓ คน หัวข้อที่ ๒. เร่ืองของการปฏิบัติต่อบิดามารดา เห็นด้วย ๒๘ คน ไม่เห็นด้วย ๘ คน หัวข้อที่ ๓. เรื่องของ กิริยามารยาท เห็นด้วย ๒ คน ไม่เห็นด้วย ๓๒ คน หัวข้อท่ี ๔. เร่ืองของการเลือกคู่ครอง เห็นด้วย ๒๘ คน ไม่ เห็นดว้ ย ๘ คน หวั ข้อท่ี ๕. เรือ่ งหนา้ ทข่ี องภรรยา เหน็ ด้วย ๘ คน ไม่เหน็ ดว้ ย ๒๘ คน

๓๑ ช่วงอายุ ๒๕-๔๐ ปี หัวข้อที่ ๑. เร่ืองของการรักนวลสงวนตัว เห็นด้วย ๑๗ คน ไม่เห็นด้วย ๗ คน หัวข้อท่ี ๒. เร่ืองของการปฏิบัติต่อบิดามารดา เห็นด้วย ๒๒ คน ไม่เห็นด้วย ๔ คน หัวข้อที่ ๓. เร่ืองของ กิริยามารยาท เห็นด้วย ๑๑ คน ไม่เห็นด้วย ๑๕ คน หัวข้อที่ ๔. เร่ืองของการเลือกคู่ครอง เห็นด้วย ๒๒ คน ไมเ่ หน็ ด้วย ๔ คน หวั ข้อท่ี ๕. เร่ืองหนา้ ท่ขี องภรรยา เห็นดว้ ย ๓ คน ไม่เหน็ ด้วย ๒๓ คน ช่วงอายุ ๔๑-๕๕ ปี หัวข้อที่ ๑. เรื่องของการรักนวลสงวนตัว เห็นด้วย ๘ คน ไม่เห็นด้วย ๐ คน หัวข้อท่ี ๒. เรื่องของการปฏิบัติต่อบิดามารดา เห็นด้วย ๘ คน ไม่เห็นด้วย ๐ คน หัวข้อท่ี ๓. เร่ืองของ กิริยามารยาท เห็นด้วย ๒ คน ไม่เห็นด้วย ๖ คน หัวข้อท่ี ๔ เร่ืองของการเลือกคู่ครอง เห็นด้วย ๗ คน ไม่เห็น ด้วย ๑ คน หัวขอ้ ท่ี ๕. เร่ืองหนา้ ทขี่ องภรรยา เห็นด้วย ๐ คน ไมเ่ หน็ ดว้ ย ๘ คน จากการทำโครงงาน เรื่องแนวคิดและค่านิยมที่สะท้อนจากวรรณคดีเร่ืองสุภาษิตสอนหญิง อภิปราย ผลได้ ดงั นี้ ๑. ในการศึกษาข้อมูลทั่วไปพบวา่ กลมุ่ ตัวอยา่ งทต่ี อบแบบสอบถามสว่ นใหญม่ ชี ่วงอายุ ๑๖-๒๔ ปี ๒. จากการศึกษาสอบถามแนวคิดและค่านิยมของคนไทยในปัจจุบันท่ีมีต่อวรรณคดีเรื่องสุภาษิตสอน หญิง จากนักเรียนและบคุ ลากร โรงเรียนทีปราษฎรพ์ ิทยา จำนวน ๗๐ คน ซึ่งมี ๕ หัวข้อ หัวข้อท่ี ๑. เร่ืองของ การรักนวลสงวนตัว โดยภาพรวมส่วน ใหญ่เห็นด้วย หัวข้อท่ี ๒. เร่ืองของการปฏิบัติต่อบิดามารดา โดย ภาพรวมส่วนใหญ่ เหน็ ด้วย หัวข้อที่ ๓. เรื่องของกิริยามารยาท โดยภาพรวมส่วนใหญ่ ไม่เห็นด้วย หัวข้อที่ ๔. เรอื่ งของการเลือกคูค่ รอง โดยภาพรวมส่วน ใหญ่เห็นด้วย หัวข้อท่ี ๕. เรอ่ื งหน้าที่ของภรรยา โดยภาพรวมส่วน ใหญไ่ มเ่ ห็นดว้ ย ข้อเสนอแนะ ๑. ควรจะศกึ ษาแนวคิดและค่านยิ มทีส่ ะท้อนจากวรรณคดีเรื่องสุภาษิตสอนหญิงเปรียบเทียบกับแนวคิด และค่านิยมในอนาคตต่อไป ๒. ควรมกี ารศกึ ษาแนวคิดและค่านยิ มกบั วรรณคดีเรอื่ งอนื่ ๆ

๓๐ บรรณานกุ รม กุหลาบ มัลลิกะมาส.(๒๕๒๖)//วรรณกรรมไทย.//สืบค้นเมื่อ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๔/จาก/ https://sites.google.com/site/suphasitlady/8-haelng-khnkhwa-pheim-teim เ น ี ย ง . ( ๒ ๕ ๖ ๑ ) / / ม ต ิ ช น ส ุ ด ส ั ป ด า ห์ . / / ส ื บ ค ้ น เ ม ื ่ อ ๒ ๓ ม ก ร า ค ม ๒ ๕ ๖ ๔ / จ า ก / https://www.matichonweekly.com/in-depth/article_102775 บ้านบางคราม.(๒๕๖๑)//ประวัติวันสุนทรภู่.//สืบค้นเมื่อ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๔/จาก/ http://data.bopp-obec.info/emis/news/news_view.php?ID_New=72873 ใบบุญวจนอักษร.(๒๕๖๓)//สุภาษิตสอนสตรี ความร่วมสมัยในคำสอนโบราณคร่าครึ.//สืบค้นเมื่อ ๒๖ ม.ค ๒๕๖๔/จาก /https://becommon.co/culture/thai-woman-guide/ สุภาษิตสอนหญิง.(๒๕๖๓)// สุภาษิตสอนหญิง.//สืบค้นเมื่อ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๔/จาก/ https://sites.google.com/site/suphasitlady/7-khunkha-thi-di-rab สุภาษิตสอนสตรี.(๒๕๖๒)//สุภาษิตสอนสตรี.//สืบค้นเมื่อ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๔/จาก/ http://www.arts.chula.ac.th/~complit/etext/supasit.pdf วีรพงษ์ พลนิกรกิจ และนิศาชล จำนงศรี.(๒๕๕๔)//มองผูห้ ญิงกับสื่อใหม่ในสังคมไทย ผ่านงานวิจัยแนว สตรีนยิ มไซเบอร.์ //สบื คน้ เมอื่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๔/จาก/งานวิจัยออนไลน์ วรี พงษ์ พลนกิ รกจิ และนิศาชล จำนงศรี.(๒๕๕๔)//คา่ นิยมของคนในปัจจบุ ันเก่ียวกับผหู้ ญิง.//สืบค้นเม่ือ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๔/จาก/งานวจิ ัยออนไลน์ วีรพงษ์ พลนิกิจ และนิศาชล จำนงศรี.(๒๕๕๔)//การศึกษาเรื่องแนวคิดและค่านิยมที่สะท้อนจาก วรรณคดเี รอื่ งสภุ าษิตสอนหญิง.//สืบค้นเมอ่ื ๒๔ มกราคม ๒๕๖๔/จาก/งานวจิ ัยออนไลน์ วีรพงษ์ พลนกิ จิ และนิษากจิ จำนงศรี.(๒๕๕๔)//แนวคดิ และค่านิยม.//สืบคนเม่ือ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๑/ จาก/งานวจิ ัยออนไลน์ อรอนงค์ โฆษิตพิพัฒน์.(๒๕๖๒)//แนวคิดสตรีนิยม:การสื่อสารเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของสตรีในการ พฒั นาทอ้ งถิ่น.//สบื ค้นเมื่อ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๔/จาก/งานวจิ ยั ออนไลน์ Thanchanokprisri.(๒๕๖๓ )// ว รรณคดีไทย . // สืบค้นเมื่อ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๔ /จาก/ https://sites.google.com/site/thanchanokprisri/bth-thi2-wrrnkhdi-kha-sxn/suphasit-sxn-hying Ploy Thunyathorn.(๒๕๖๒)//วรรณชะนี:ค่านิยมเกี่ยวกับผู้หญิงในวรรณคดีที่อยู่คู่สังคมไทย.//สืบค้น เม่ือ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๔/จาก/https://minimore.com/b/E9JIp/1