ประวัติความเปน็ มาของธงชาตไิ ทย ธงไตรรงค์ ชื่อธง ธงไตรรงค์ สดั สว่ นธง 2:3 ประกาศใช้ 28 กันยายน พ.ศ. 2460 (99 ปี) (มผี ลบังคับใช้ 30 วัน หลงั จากประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา) ลกั ษณะ ธงสามสหี ้าแถบ พน้ื แดง-ขาว-นา้ เงิน-ขาว-แดง แถบกลาง กวา้ งเป็น 2 เทา่ ของแถบสีแดงและขาว ออกแบบโดย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว ธงไตรรงค์ในรปู แบบตา่ ง ๆ ชอ่ื ธง ธงราชนาวี การใช้ 000001 สัดส่วนธง 2:3 ประกาศใช้ 28 กนั ยายน พ.ศ. 2460 (มีผลบังคบั ใช้ 30 วนั หลังจาก ประกาศในราชกจิ จานุเบกษา) ลักษณะ ธงชาติ กลางเปน็ วงกลมสแี ดง มรี ปู ชา้ งเผอื กทรงเครือ่ งยืน แทน่ หันหนา้ เขา้ เสา ธงชาตไิ ทย หรือเรียกอกี อยา่ งหนง่ึ ว่า ธงไตรรงค์ มีลกั ษณะเป็นธงสเี่ หล่ยี มผนื ผา้ ใช้สหี ลกั ในธง 3 สี คอื สีแดง ขาว และสีน้า เงินขาบ ภายในแบง่ เปน็ แถบ 5 แถบ แถบในสดุ สีน้าเงนิ ถดั มาดา้ นนอกทัง้ ด้านบนและลา่ งเปน็ สขี าวและสแี ดงตามล้าดบั แถบ สนี ้าเงินมีขนาดใหญก่ ว่าแถบสอี ืน่ เป็น 2 เท่า ความหมายสา้ คัญของธงไตรรงคน์ ั้นหมายถึงสถาบันหลักทง้ั สามของประเทศไทย คือ ชาติ (สแี ดง) ศาสนา (สีขาว) และพระมหากษัตรยิ ์ (สีน้าเงนิ ) สีท้งั สามนเี้ องคอื ทม่ี าของการเรยี กช่อื ธงน้ีว่าธงไตรรงค์ (ไตร = สาม, รงค์ = ส)ี
พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยูห่ ัว ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหใ้ ชธ้ งนี้เป็นธงชาตไิ ทย[1] (ขณะน้นั ยงั เรียกช่อื ประเทศ วา่ สยาม) เมอ่ื ช่วงปลายปี พ.ศ. 2460 เพื่อแกไ้ ขปญั หาการชักธงช้างเผือก (ซึง่ ใช้เปน็ ธงชาตมิ าต้ังแต่รชั กาลที่ 4) กลบั ด้าน และ เพือ่ เป็นอนุสรณ์ในการเขา้ รว่ มสงครามโลกคร้งั ท่ี 1 กบั ฝา่ ยสัมพันธมติ ร[2] เน้ือหา 1 ประวัติ o 1.1 กา้ เนิดธงสยาม o 1.2 รชั กาลท่ี 1 - 3 o 1.3 รชั กาลที่ 4 - พ.ศ. 2459 o 1.4 ธงแดงขาว 5 ร้วิ (พ.ศ. 2459) o 1.5 ธงไตรรงค์ (พ.ศ. 2460 - ปจั จบุ ัน) 2 พัฒนาการของธงชาติไทยโดยสรปุ 3 ลกั ษณะธงตามกฎหมาย 4 ความหมายของธง 5 การชกั ใช้ และแสดงธงชาตไิ ทย o 5.1 การชักธงชาติในราชอาณาจกั ร o 5.2 กา้ หนดเวลาชักธงชาติ o 5.3 การประดบั ธงชาติ o 5.4 การเคารพธงชาติ o 5.5 การใชธ้ งชาตกิ ับผเู้ สยี ชีวติ 6 การกระทา้ อันไมส่ มควรต่อธงชาติและบทกา้ หนดโทษ 7 ธงอนื่ ท่ดี ดั แปลงลักษณะจากธงชาติ 8 อ้างอิง o 8.1 บรรณานกุ รม 9 ดเู พิ่ม 10 แหลง่ ข้อมลู อ่ืน ประวัติ กาเนดิ ธงสยาม ประวตั ิศาสตร์การใช้ธงเป็นสญั ลักษณ์ของประเทศไทย สามารถสืบได้แต่เพยี งความว่า มกี ารใชธ้ งส้าหรบั เป็นเครอื่ งหมายของ กองทพั กองละสีและใชธ้ งสีแดงเปน็ เครื่องสา้ หรบั เรอื ก้าปั่นเดนิ ทะเลทัว่ ไปมาแตส่ มยั กรงุ ศรอี ยุธยาเปน็ ราชธานี และยังไมม่ ีธง ชาตไิ วใ้ ช้ดงั ทีเ่ ข้าใจในปจั จุบนั [3] ในพระนิพนธ์ของสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดา้ รงราชานภุ าพ ไดก้ ลา่ วตามความในจดหมายเหตตุ ่างประเทศแหง่ หนง่ึ ว่า ในรชั สมยั สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 2199 - พ.ศ. 2231) เรอื ค้าขายของฝรงั่ เศสลา้ หน่งึ ได้ เดินทางมากรุงศรีอยุธยา เมือ่ มาถงึ ท่ีปอ้ มวิชัยประสทิ ธ์ิของไทย เรือฝรัง่ เศสก็ชักธงชาติของตัวเองขน้ึ ฝ่ายไทยยงิ สลุตค้านับตาม ธรรมเนยี ม แตเ่ ม่อื ฝา่ ยไทยชกั ธงข้นึ ตอบบ้าง ฝ่ายฝร่ังเศสกลับไม่ยิงสลตุ คา้ นับตอบ เพราะได้ชกั เอาธงชาตฮิ อลนั ดา (ปัจจบุ นั คือประเทศเนเธอร์แลนด)์ ข้นึ เหนือปอ้ มด้วยเหตวุ า่ ไทยไม่มีธงชาติของตนใช้ (ขณะนั้นฝรัง่ เศสกบั ฮอลนั ดาเป็นศัตรกู ัน) ฝ่าย ไทยได้แกป้ ญั หาโดยชกั ผา้ สีแดงข้ึนแทนธงชาติฮอลนั ดา ฝรง่ั เศสจงึ ยอมยงิ สลตุ คา้ นับตอบ เหตุการณด์ งั กลา่ วจงึ ถอื กนั วา่ เปน็ จดุ เรมิ่ ตน้ ของประวตั ิศาสตร์ธงชาตไิ ทย[4]
รชั กาลที่ 1 - 3 ในสมยั ตน้ กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ ทั้งเรือหลวงและเรอื ค้าขายของเอกชนยังคงใชธ้ งสีแดงลว้ นเปน็ เครอื่ งหมายเรอื สยาม จงึ ได้มกี าร น้าสญั ลักษณต์ า่ ง ๆ มาประดับบนธงพนื้ สแี ดงเพม่ิ เตมิ เพอ่ื ใชเ้ ปน็ ธงสา้ หรบั เรือหลวง ในกฎหมายธงสมยั รัชกาลท่ี 5 ไดก้ ลา่ วว่า \"พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลก ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้เพมิ่ รูปจักรสีขาวลงในธงแดง สาหรบั ใช้เป็นธงของเรอื หลวง\" ต่อมาในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลัย พระองคท์ รงได้ชา้ งเผือกเอก 3 ชา้ ง คอื พระยาเศวตกญุ ชร พระยาเศวตไอยรา และพระยาเศวตคชลักษณ์ นับเปน็ เกยี รติยศยิง่ ต่อแผ่นดนิ จงึ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เพม่ิ รปู ชา้ งเข้า ภายในวงจักรของเรือหลวงไว้ดว้ ย อนั มีความหมายวา่ พระเจา้ แผน่ ดินอนั มีช้างเผอื ก แต่ธงชา้ งอยูใ่ นวงจกั รใช้แตเ่ รอื หลวง เทา่ นน้ั เรือพ่อค้ายังคงใชธ้ งแดงตามเดมิ ธงแดงเกลย้ี ง สา้ หรบั ใชเ้ ป็นทหี่ มายของเรือสยามโดยทั่วไป (ยังไมใ่ ชธ่ งชาติสยาม) นบั ตัง้ แตส่ มัยกรงุ ศรอี ยธุ ยา ธงเรอื หลวงในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช ธงเรือหลวงในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หลา้ นภาลัย รชั กาลท่ี 4 - พ.ศ. 2459 ในรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อย่หู ัว ประเทศไทยมีการทา้ สนธิสญั ญากับชาติตะวันตกมากข้นึ อนั เป็นผลตอ่ เน่อื ง จากการท้าสนธสิ ัญญาเบารง่ิ กบั สหราชอาณาจักรใน พ.ศ. 2398 พระองค์จึงมีพระราชด้าริวา่ สยามจา้ เปน็ ตอ้ งมีธงชาตใิ ชต้ าม ธรรมเนยี มชาตติ ะวนั ตก จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้ใช้ธงพน้ื สีแดงมรี ูปช้างเผอื กเปล่าอยตู่ รงกลางเปน็ ธงชาติสยามแต่เอา รูปจกั รออก เนือ่ งจากมเี หตุผลวา่ จกั รเป็นเคร่อื งหมายเฉพาะพระองค์พระมหากษตั รยิ แ์ ละธงพนื้ สแี ดงท่ีเอกชนสยามใชท้ ัว่ ไป ซ้ากับประเทศอ่ืนในการติดตอ่ ระหวา่ งประเทศ ธงนที้ รงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ได้ทั่วไปท้งั เรือหลวงและเรอื เอกชน แต่
เรอื หลวงนน้ั ทรงกา้ หนดให้ใช้พน้ื เป็นสนี า้ เงนิ ขาบชกั ขนึ้ ท่ีหวั เรือ เพอ่ื เป็นเคร่ืองหมายสา้ หรบั แยกแยะว่าเปน็ เรอื หลวงด้วย ธงน้ี มีช่ือวา่ ธงเกตุ (ตอ่ มาไดว้ ิวฒั นาการมาเปน็ ธงฉานของกองทัพเรือไทยในปจั จบุ ัน) \"ธงชา้ งเผือก\" ธงชาติสยามในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว \"ธงเกต\"ุ ส้าหรบั ชักท่ีหัวเรือหลวง (ตอ่ มาใชเ้ ป็นธงฉานของกองทพั เรือไทย) ธงแดงขาว 5 ริว้ (พ.ศ. 2459) ธงช้างเผอื กเปลา่ ได้ใชเ้ ป็นธงชาตสิ ยามสืบมาจนกระท่งั ในปี พ.ศ. 2459 เม่อื พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยหู่ ัว รัชกาลท่ี 6 ได้เสด็จพระราชดา้ เนนิ ไปยังเมอื งอทุ ัยธานี ซึ่งขณะน้ันประสบเหตุอทุ กภยั และทอดพระเนตรเห็นธงชา้ งของราษฎรซ่ึงตงั้ ใจ รอรบั เสด็จไวถ้ ูกติดกลบั หวั พระองคจ์ งึ มีพระราชด้ารวิ ่า ธงชาตติ อ้ งมีรปู แบบท่ีสมมาตรเพ่ือไมใ่ หเ้ หตกุ ารณ์เชน่ นเ้ี กดิ ขึ้นอีก นอกจากน้ี มพี ระราชดา้ รวิ า่ ธงชา้ งท้ายากและไม่ใครไ่ ดท้ า้ แพรห่ ลายในประเทศ โดยธงชา้ งที่ขายตามทอ้ งตลาดน้นั มกั จะเปน็ ธงทีผ่ ลติ จากตา่ งประเทศและประเทศท่ที า้ ไมร่ จู้ ักชา้ ง ดงั นัน้ รูปร่างของช้างที่ปรากฏจึงไม่นา่ ดู จึงทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ใหเ้ ปลย่ี นรูปแบบธงชาตอิ กี ครั้ง โดยเปลยี่ นเปน็ ธงรูปสีเ่ หลีย่ มผนื ผา้ มีแถบยาวสแี ดง 3 แถบ สลบั กบั แถบสีขาว 2 แถบ ซึ่ง เหมือนกบั ธงชาติไทยในปจั จุบัน แต่มเี พียงสแี ดงสเี ดียว ซึ่งธงนเ้ี รียกวา่ ธงแดงขาว 5 ริว้ (ช่ือในเอกสารราชการเรยี กว่า ธง ค้าขาย) ท้งั น้ี สา้ หรบั หนว่ ยงานราชการของรัฐบาลสยามยงั คงใช้ธงช้างเผือกเป็นสญั ลกั ษณ์ แตใ่ ช้รปู ช้างเผอื กแบบทรงเคร่อื ง ยืนแทน่ ซงึ่ แต่เดิมธงนีเ้ ป็นธงสา้ หรบั เรอื หลวงมาต้ังแต่ พ.ศ. 2440และมีฐานะเป็นธงราชการอยูก่ ่อนแล้วต้ังแต่ พ.ศ. 2453 ธงค้าขาย พ.ศ. 2459
ธงราชการ พ.ศ. 2459 ธงไตรรงค์ (พ.ศ. 2460 - ปัจจบุ นั ) ล่วงมาถึง พ.ศ. 2460 แถบสแี ดงทีต่ รงกลางธงค้าขายไดเ้ ปลีย่ นเปน็ สีนา้ เงนิ ขาบ หรือสนี ้าเงนิ เข้มเจอื มว่ งดังปรากฏอย่ใู น ปจั จบุ นั เหตุทร่ี ัชกาลท่ี 6 ทรงเลือกสนี เ้ี พราะสขี าบเปน็ สีประจ้าพระองคท์ ่โี ปรดมาก เนือ่ งจากเป็นสปี ระจ้าวันพระราชสมภพ คือวนั เสาร์ ตามคตโิ หราศาสตรไ์ ทย และอีกประการหน่ึง สีน้าเงนิ ยงั แสดงถงึ ชยั ชนะและความเปน็ หนงึ่ เดียวของฝ่าย สัมพนั ธมิตรในสงครามโลกครัง้ ท่ีหน่งึ เชน่ ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมรกิ า เปน็ ตน้ ซ่งึ ใช้สแี ดง ขาว น้าเงนิ เป็นสีในธง ชาตเิ ป็นส่วนใหญด่ ้วย ธงชาติแบบใหม่นไ้ี ดร้ ับพระราชทานนามวา่ \"ธงไตรรงค\"์ และอวดโฉมตอ่ สายตาชาวโลกครั้งแรกใน สงครามโลกครั้งท่หี น่ึง ซ่ึงกองทหารอาสาของไทยไดใ้ ช้เชญิ ไปเป็นธงไชยเฉลิมพลประจา้ หนว่ ย ทหารอาสาของไทยในสงครามโลกครง้ั ทหี่ น่ึง รว่ มการสวนสนามฉลองชยั ชนะ ท่ีประเทศฝรัง่ เศส เมอ่ื 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2462 โดยเชิญธงไตรรงคเ์ ปน็ ธงไชยเฉลมิ พลประจ้ากองทหาร อยา่ งไรกต็ าม ธงไตรรงคท์ ี่สรา้ งข้ึนส้าหรบั กองทหารอาสาในสงครามโลกครั้งท่หี นง่ึ น้ันไม่ใชล่ ักษณะอยา่ งธงไตรรงคต์ ามท่ี ก้าหนดให้ใชใ้ นปจั จบุ ันและโดยทวั่ ไป แต่มกี ารเพิม่ รปู สญั ลักษณ์พิเศษลงในธงดว้ ย โดยด้านหน้าธงนนั้ เปน็ รปู ชา้ งเผอื ก ทรงเคร่ืองยืนแทน่ ในวงกลมพืน้ สีแดง ลักษณะอยา่ งเดยี วกับธงราชนาวีไทย (ท้ังนก้ี ้าหนดแบบใหมใ่ ห้ใชพ้ ร้อมกันในคราว ประกาศเปลีย่ นธงชาติด้วย) ด้านหลังเป็นตราพระปรมาภไิ ธยย่อ ร.ร. ๖ สขี าบ ภายใต้พระมหามงกฎุ เปล่งรศั มสี ีเหลืองใน วงกลมพ้ืนสีแดง ทแี่ ถบสีแดงท้ังแถบบนแถบล่างทง้ั สองดา้ นจารกึ พทุ ธชยั มงคลคาถาบทแรก (ภาษาบาล)ี เพอื่ ความเปน็ สริ ิ มงคลแก่กองทหารอาสาของไทยในสงครามโลกครั้งทีห่ น่ึง โดยพระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยหู่ ัวได้พระราชนพิ นธ์แกไ้ ข ในตอนท้ายจาก \"ตนเฺ ตชสา ภวตุ เต ชยมงคฺ ลานิ\" (ด้วยเดชแหง่ ชัยชนะนัน้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน) เป็น \"ตนเฺ ตชสา ภวตุ เม ชยสทิ ธฺ ินจิ จฺ \"้ (ดว้ ยเดชแห่งชยั ชนะนน้ั ขอชยั ชนะจงมแี กข่ ้าพเจ้าเสมอ)
ธงไตรรงค์ นับต้ังแต่ พ.ศ. 2460 เปน็ ต้นมา ธงชยั เฉลิมพลกองทหารอาสาในสงครามโลกครง้ั ทีห่ นงึ่ ดา้ นหนา้ ธงชยั เฉลิมพลกองทหารอาสาในสงครามโลกคร้งั ที่หนึ่ง ด้านหลัง พ.ศ. 2470 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจา้ อยู่หวั มพี ระราชดา้ ริว่า ธงชาติไทยไดม้ กี ารเปลยี่ นแปลงมาหลายครงั้ แล้ว ควรหา ขอ้ ก้าหนดเร่อื งธงชาติใหเ้ ป็นการถาวร จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้มีพระราชบันทกึ พระราชทานไปยงั องคมนตรี เพือ่ ให้ เสนอความเห็นของคนหมู่มากวา่ จะคงใช้ธงไตรรงคด์ งั ทใี่ ชอ้ ยูเ่ ปน็ ธงชาตติ ่อไป หรอื จะกลบั ไปใชธ้ งช้างแทน หรอื จะปรบั ปรุง เปลี่ยนแปลงลักษณะธงชาติ กับวธิ ีใช้ธงไตรรงคอ์ ยา่ งไร[5] ผลปรากฏวา่ ความเหน็ ขององคมนตรแี ตกตา่ งกระจายกนั มาก จงึ มไิ ด้ กราบบงั คมทูลขอ้ ชขี้ าด ดงั นนั้ จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้มีพระบรมราชวนิ จิ ฉยั ลงวนั ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2470 ใหค้ ง ใชธ้ งไตรรงคเ์ ปน็ ธงชาตติ อ่ ไป[6] หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 รฐั บาลต่าง ๆ ยงั คงรับรองใหใ้ ช้ธงไตรรงคเ์ ป็นธงชาตอิ ยเู่ ช่นเดิม โดยมี การออกพระราชบญั ญตั ิธงฉบับ พ.ศ. 2479[7] เป็นกฎหมายรบั รองฐานะของธงไตรรงค์ และหลังจากเปลีย่ นชือ่ ประเทศจาก สยามเปน็ ไทยในปี พ.ศ. 2482 รัฐบาลตา่ ง ๆ กย็ ังคงรับรองให้ใช้ธงไตรรงคเ์ ปน็ ธงชาตอิ ยเู่ ชน่ เดิม และรับรองมาจนถึงปจั จบุ นั โดยมีการออกพระราชบญั ญตั ิธงฉบบั พ.ศ. 2522[8] เปน็ กฎหมายรับรองฐานะของธงไตรรงค์ ตอ่ มาวนั ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2559 ในการประชุมคณะรัฐมนตรีทปี่ ระชมุ ซึ่งนา้ โดย พลเอกประวิตร วงษส์ วุ รรณ รอง นายกรฐั มนตรแี ละรฐั มนตรีวา่ การกระทรวงกลาโหม รกั ษาราชการแทนนายกรฐั มนตรีไดม้ ีมติเห็นชอบใหว้ นั ที่ 28 กนั ยายน ของทุกปีเป็น วันพระราชทานธงชาติไทย (องั กฤษ: Thai National Flag Day) โดยใหเ้ ร่มิ ในวันท่ี 28 กันยายน พ.ศ. 2560 เป็นปแี รก แตไ่ มถ่ อื เป็นวันหยดุ ราชการ[9]
พฒั นาการของธงชาติไทยโดยสรุป ภาพธง ระยะเวลาการใช้ การบังคบั ใช้ธง ลกั ษณะ หมายเหตุ สมัยอยุธยา - พ.ศ. 2325 ใชเ้ ปน็ ธรรมเนยี มสืบมา ธงส่ีเหลีย่ มผืนผ้าแดงเกล้ียง ไมร่ ะบวุ า่ (ธงเรอื หลวง) ตงั้ แต่สมยั สมเดจ็ พระ ใชค้ รั้ง นารายณม์ หาราช แรก สมยั อยธุ ยา - พ.ศ. 2398 เมือ่ ไร (ธงเรือเอกชน) พ.ศ. 2325 - 2360 พระบรมราชโองการใน ธงสเี่ หล่ียมพื้นแดง ตรงกลาง ใชเ้ ฉพาะ พระบาทสมเดจ็ พระพุทธ มรี ปู วงจกั รสขี าว บนเรือ ยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช หลวง พ.ศ. 2360 - 2398 พระบรมราชโองการใน ธงส่ีเหลี่ยมพื้นแดง ตรงกลาง ใช้เฉพาะ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธ มรี ปู ชา้ งเผือกในวงจักรสีขาว บนเรือ เลิศหลา้ นภาลัย หลวง พระบรมราชโองการใน พระบาทสมเด็จพระจอม พ.ศ. 2398 - 2459 เกล้าเจา้ อยู่หวั ธงสี่เหลี่ยมพืน้ แดง ตรงกลาง ใช้บน พ.ศ. 2459 - 2460 พระราชบัญญตั วิ ่าด้วย มีรูปชา้ งเผอื กเปล่าหนั หนา้ แผน่ ดิน พ.ศ. 2459 - 2460 แบบอยา่ งธงสยาม รศ. 110 เข้าหาเสาธง เปน็ ธง แรก พระราชบัญญัติธง ร.ศ. 116 พระราชบญั ญตั ิธง ร.ศ. 118 พระราชบญั ญัติธง ร.ศ. 129 พระราชบญั ญตั ิธง ร.ศ. 129 (ธงราชการ) พระบรมราช ธงสี่เหลย่ี มพน้ื แดง ตรงกลาง ส้าหรับ โองการ ประกาศเพิ่มเตมิ มีรปู ชา้ งเผอื กทรงเครื่องยนื ราชการ และแกไ้ ขพระราชบญั ญตั ิธง แทน่ หนั หนา้ เข้าหาเสาธง ร.ศ. 129 พ.ศ. 2459 พระบรมราชโองการ ธงส่ีเหล่ยี มผืนผ้ายาว 9 สว่ น ส้าหรบั ประกาศเพมิ่ เตมิ และแกไ้ ข กว้าง 6 ส่วน แบง่ ออกเป็น สามญั ชน พระราชบัญญัติธง ร.ศ. 129 แถบสแี ดงกว้างแถบละ 1 พ.ศ. 2459 (ในชือ่ \"ธง ส่วน แถบสีขาวกว้างแถบละ คา้ ขาย\") 1 ส่วน แถบสีแดงตรงกลาง กวา้ ง 2 สว่ น
พ.ศ. 2460 - ปัจจุบัน พระราชบญั ญตั แิ กไ้ ข ธงสี่เหล่ยี มผนื ผา้ กว้าง 6 สว่ น พระราชบัญญตั ธิ ง พระ ยาว 9 สว่ น แบ่งออกเปน็ พทุ ธศักราช 2460 แถบสแี ดงกวา้ งแถบละ 1 ใช้ท่วั พระราชบญั ญตั ิธง พ.ศ. ส่วน แถบสขี าวกวา้ งแถบละ ประเทศ 2479 1 ส่วน แถบสนี ้าเงนิ ขาบตรง พระราชบัญญตั ธิ ง พ.ศ. กลางกว้าง 2 สว่ น 2522 ลกั ษณะธงตามกฎหมาย ตามความในมาตรา 5 (1) ของพระราชบญั ญตั ิธง พุทธศกั ราช 2522 ซง่ึ เป็นพระราชบญั ญตั ิธงฉบบั ทบี่ งั คับใช้อย่ใู นปัจจุบัน ได้ กล่าวถึงลักษณะธงชาตไิ วด้ งั น้ี ภาพแสดงสดั สว่ นธงชาตไิ ทยทถ่ี กู ต้อง ธงชาติ มลี กั ษณะเป็นรปู สีเ่ หลย่ี มผืนผา้ กว้าง 6 สว่ น ยาว 9 สว่ น ดา้ นกว้างแบง่ เปน็ 5 แถบตลอดความยาวของ ผืนธง ตรงกลางเปน็ แถบสีนา้ เงินแกก่ ว้าง 2 สว่ น ตอ่ จากแถบสนี ้าเงินแกอ่ อกไปทัง้ 2 ข้างเป็นแถบสขี าวกวา้ งข้าง ละ 1 ส่วน ตอ่ จากแถบสขี าวออกไปทั้ง 2 ขา้ งเป็นแถบสีแดงกว้างข้างละ 1 สว่ น[8] ความหมายของธง ในพระราชนิพนธ์ \"เคร่อื งหมายแห่งไตรรงค\"์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยหู่ ัวทรงพระราชนิพนธ์เมือ่ พ.ศ. 2464 ได้ นยิ ามความหมายของธงไตรรงค์ไวว้ ่า สีแดง หมายถึง เลือดอนั ยอมพลใี หแ้ ก่ชาติ สีขาว หมายถงึ ความบรสิ ุทธแ์ิ ห่งธรรมะอนั เป็นหลักคา้ สอนทางพระพทุ ธศาสนา สนี ้าเงิน หมายถึง สสี ว่ นพระองค์ขององค์พระมหากษัตริย์ [10] แมน้ ิยามดงั กลา่ วจะไม่ใช่ ค้าอธบิ ายที่ทรงประกาศให้ใช้อยา่ งเป็นทางการ แตท่ ้งั สามสิง่ น้คี ืออดุ มการณร์ ฐั ที่พระองคท์ รงปลกู ฝัง เพ่อื ให้คนไทยเกดิ ส้านกึ ความเปน็ ชาตนิ ยิ มมาตลอดรัชสมยั ของพระองค์[11] ตอ่ มาเมื่อพระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจา้ อยหู่ ัว โปรดเกลา้ ฯ ใหม้ ีบนั ทกึ เร่ืองธงชาติ ใน พ.ศ. 2470 เพ่ือรวบรวมความคดิ เห็น ในเร่ืองการเปล่ยี นแปลงธงชาติจากบคุ คลกลมุ่ ตา่ ง ๆ เพอ่ื ท่ีจะไดไ้ มต่ อ้ งมกี ารเปล่ยี นธงชาตหิ ลายครั้ง กรมราชเลขาธิการได้ รวบรวมความเหน็ เรอ่ื งนี้จากท่ตี ่าง ๆ รวมท้งั ในหนังสอื พิมพ์ เพื่อประกอบพระบรมราชวินิจฉัย ซง่ึ ในบรรดาเอกสารดังกล่าว ปรากฏว่าในหมผู่ ทู้ ี่สนับสนุนใหใ้ ชธ้ งไตรรงคเ์ ปน็ ธงชาตติ อ่ ไป ได้มีการให้ความหมายของธงทีก่ ระชับกวา่ เดมิ กลา่ วคือ สแี ดง หมายถงึ ชาติ สขี าวหมายถึงพุทธศาสนา สนี า้ เงินหมายถงึ พระมหากษตั รยิ ์ ซ่ึงคลาดเคล่ือนไปจากพระราชนพิ นธ์ของรัชกาลที่ 6 ไปเล็กน้อย แตย่ งั ครอบคลมุ อดุ มการณ์ \"ชาติ ศาสนา พระมหากษัตรยิ ์\" ที่พระองค์ทรงกา้ หนดไวเ้ ชน่ เดิม และยังเปน็ ทีจ่ ดจา้ สบื ตอ่ กนั มาจนถึงปัจจบุ นั [12]
การชัก ใช้ และแสดงธงชาติไทย ตัวอย่างของกฎหมายเกี่ยวกับธงทไี่ ด้รเิ ริม่ มกี ารจดั ระเบยี บในสมยั รัชกาลที่ 5: (ซ้าย) พระราชบญั ญัตวิ า่ ดว้ ยแบบอย่างธงสยาม รัตนโกสนิ ทรศก 110 ตราไวเ้ มอ่ื พ.ศ. 2434, (ขวา) พระราชบญั ญตั ธิ ง รตั นโกสนิ ทรศก 118 ตราไว้เมื่อ พ.ศ. 2442 ในสมัยกอ่ นเปล่ยี นแปลงปกครองน้นั การประดับ ชกั ใช้ และแสดงธงชาติดว้ ยวธิ กี ารตา่ ง ๆ มกั เปน็ ไปตามธรรมเนยี มที่ใชส้ ืบ ตอ่ กันมา ไมม่ กี า้ หนดกฎเกณฑ์ทแี่ นน่ อน แมจ้ ะเรมิ่ มีการจดั ระเบยี บธงดว้ ยกฎหมายตา่ ง ๆ นับต้งั แต่ พ.ศ. 2434 เปน็ ต้นมา ก็ ยงั ไม่มขี อ้ ก้าหนดเกย่ี วกับการชกั ใช้ และแสดงธงอยา่ งชดั เจนนกั จนกระทัง่ ในปี พ.ศ. 2479 รัฐบาลไทยจึงเรมิ่ จัดระเบยี บการใช้ธงชาติข้ึนอยา่ งชดั เจนเปน็ ครง้ั แรก โดยออกระเบียบการชักธง ชาติสยามประกอบอยู่ในพระราชบญั ญัติธง พทุ ธศักราช 2479 ปรากฏในในมาตรา 17-20 บทบังคบั ทั่วไปได้กลา่ วถงึ ระเบียบ การชักธงชาติ และข้อควรปฏิบตั ิตอ่ ธงชาติ และในบทกา้ หนดโทษ ทา้ ยพระราชบญั ญตั ิ ในมาตรา 21-23 ก็ไดก้ ้าหนดโทษของ ผูฝ้ า่ ฝนื หรือไมป่ ฏบิ ตั ิตามบังคับ มีทง้ั ปรับเปน็ เงนิ จา้ คุก หรือทง้ั ปรับท้งั จา้ หนักเบา แลว้ แต่ความผดิ ท่ไี ดก้ ระทา้ [7] ซึง่ ต่อมา ก็ ได้มีการแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ โดยออกเปน็ ประกาศสา้ นกั นายกรฐั มนตรีฉบบั ต่าง ๆ อีกหลายฉบับ อาทิ ประกาศส้านักนายกรัฐมนตรี เรอื่ ง ประกาศส้านกั นายกรฐั มนตรี เร่ือง ระเบยี บการชกั ธงชาติ[13] ระเบยี บการชกั ธงชาติ พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๘[14] เป็นตน้ โดย ก้าหนดให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกจิ และหนว่ ยงานอ่ืน ๆ ของรัฐ ต้องใชธ้ งชาตสิ า้ หรบั ชกั ขน้ึ และลงตามทร่ี าชการก้าหนด รวมท้งั ต้องประดบั ธงชาตไิ ว้ ณ สถานที่อนั สมควรเปน็ การถาวรและสมา่้ เสมอ สา้ หรับภาคเอกชนและบา้ นเรอื นของประชาชน ทั่วไปนัน้ ใหอ้ นุโลมดา้ เนินการไปในทางเดยี วกนั [15][16] ระเบียบเก่ียวกบั ธงชาตทิ ี่บังคบั ทว่ั ไปในปจั จุบันนี้ บงั คบั ใช้ตามระเบยี บสา้ นักนายกรฐั มนตรี วา่ ดว้ ยการใช้ การชัก หรอื การ แสดงธงชาติ และธงของตา่ งประเทศ ในราชอาณาจกั ร พ.ศ. 2529 (แกไ้ ขเพ่มิ เตมิ อีก 3 ครงั้ เม่อื พ.ศ. 2546 พ.ศ. 2547 และ พ.ศ. 2560) [17][18][19][20] ซงึ่ มเี นอื้ หาทสี่ า้ คัญบางขอ้ ดังนี้ การชกั ธงชาตใิ นราชอาณาจกั ร โอกาสและวันพธิ สี ้าคญั ท่ีต้องมีการชกั และประดบั ธงชาติ มวี นั และระยะเวลาดังต่อไปน้ี วนั ขึ้นปีใหม่ วนั ที่ 1 มกราคม 1 วัน วนั มาฆบชู า 1 วัน วนั พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชและวันท่รี ะลึกมหาจกั รีบรมราชวงศ์ 1 วัน วันสงกรานต์ วันที่ 13 เมษายน 1 วนั วนั พชื มงคล 1 วนั วนั วิสาขบูชา 1 วัน วันอาสาฬหบชู า 1 วัน วนั เขา้ พรรษา 1 วัน วนั เฉลมิ พระชนมพรรษาสมเด็จพระเจา้ อย่หู วั มหาวชริ าลงกรณ บดนิ ทรเทพยวรางกรู วันท่ี 28, 29 กรกฎาคม 2 วนั
วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระบรมราชนิ ีนาถ ในรชั กาลที่ 9 วันที่ 12 สิงหาคม 1 วัน วันพระราชทานธงชาติไทย วนั ที่ 28 กนั ยายน 1 วนั วนั สหประชาชาติ วันท่ี 24 ตลุ าคม 1 วนั วันคลา้ ยวนั เฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดลุ ยเดช บรมนาถบพติ ร วันชาติ และวนั พ่อแห่งชาติ วนั ที่ 5, 6 ธันวาคม 2 วัน วนั รัฐธรรมนญู วันที่ 10 ธันวาคม 1 วนั การชักธงและประดับธงชาตใิ นโอกาสและวนั พิธีสา้ คัญอน่ื ๆ ทางราชการจะประกาศให้ทราบเป็นคราว ๆ ไป สว่ นการลดธงครง่ึ เสานั้น นายกรฐั มนตรจี ะส่ังการผ่านสา้ นักเลขาธิการคณะรัฐมนตรเี ปน็ คราว ๆ ไป[17] เช่น เมอื่ สมเด็จพระเจา้ พ่ีนางเธอ เจา้ ฟ้ากลั ยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สนิ้ พระชนม์เมื่อวนั ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2551 ไดม้ ปี ระกาศ ส้านกั นายกรฐั มนตรีให้สถานท่รี าชการ รฐั วสิ าหกิจ และสถานศกึ ษาทุกแห่งลดธงครงึ่ เสาเปน็ เวลา 15 วัน และใหข้ า้ ราชการ และพนกั งานรัฐวสิ าหกจิ ไว้ทุกข์ มกี ้าหนด 15 วนั ตัง้ แตว่ นั ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2551 เปน็ ตน้ ไป เพ่ือเปน็ การถวายความอาลยั ในการสิ้นพระชนมข์ องพระองค์ หรือในกรณีพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดุลยเดชสวรรคต รัฐบาลกส็ ง่ั ให้ สถานศึกษาลดธงครง่ึ เสา 30 วนั ข้าราชการและรัฐวสิ าหกจิ ไว้ทกุ ข์มีกา้ หนด 1 ปี ตงั้ แตว่ นั ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เป็นตน้ ไป [21] การประดบั ธงชาติไทยประจ้าสถานท่รี าชการในโอกาสปกติ การลดธงครึ่งเสา
กาหนดเวลาชักธงชาติ โดยปกติแล้ว ตามสถานทีร่ าชการตา่ ง ๆ จะเชญิ ธงชาตขิ ึน้ สยู่ อดเสาในเวลา 8.00 น. และเชญิ ธงลงในเวลา 18.00 น. เปน็ ประจ้าทุกวัน (ในภาพ เป็นการเชิญธงชาติประจ้าวนั ของเจ้าหน้าทดี่ บั เพลงิ ของกรงุ เทพมหานคร) เวลาชกั ธงชาติโดยปกติ กา้ หนดใหช้ ักธงขึน้ ในเวลา 8.00 น. และชกั ธงลงเวลา 18.00 น. สา้ หรับอาคารสถานทแี่ ละ ยานพาหนะฝา่ ยทหารน้ัน ใหป้ ฏิบตั ติ ามระเบยี บหรอื ขอ้ บังคับของฝา่ ยทหาร สว่ นในเรือเดนิ ทะเลนั้น ใหป้ ฏบิ ตั ติ ามธรรมเนยี ม ชาวเรอื [17] สา้ หรบั การชกั ธงชาตใิ นโรงเรยี นและสถานศึกษาน้ัน ปจั จบุ นั น้ีได้ปฏบิ ตั ิตามระเบยี บกระทรวงศกึ ษาธิการ ว่าด้วยการชักธงชาติ ในสถานศึกษา พ.ศ. 2547[22] ซง่ึ กา้ หนดให้โดยปกติแล้ว ใหส้ ถานศึกษาชกั ธงข้นึ เวลาเขา้ เรยี น และชักธงลงเวลา 18.00 น. ใน วนั เปิดเรยี น สว่ นวนั ปิดเรยี นนัน้ ใหช้ ักธงขน้ึ ในเวลา 8.00 น. และชักธงลงเวลา 18.00 น. หากสถานศกึ ษาใดมีความจ้าเป็นไม่ อาจชกั ธงขึน้ ลงตามก้าหนดทก่ี ลา่ วมา ให้หัวหนา้ สถานศึกษาเปน็ ผมู้ อี ้านาจพจิ ารณาตามความเหมาะสม โดยต้องสอดคล้องกบั ระเบียบส้านักนายกรัฐมนตรี วา่ ดว้ ยการใช้ การชัก หรอื การแสดงธงชาตแิ ละธงของต่างประเทศในราชอาณาจกั ร พ.ศ. 2529[17] การประดับธงชาติ การประดับธงชาติไทยคหู่ รอื รว่ มกบั ธงอน่ื ยกเวน้ ธงพระอิสริยยศ โดยหลักแล้วธงชาติไทยจะตอ้ งอยู่ในระดบั ทไี่ ม่ตา้่ วา่ ธงอ่นื ๆ และโดยปกตใิ หจ้ ดั ธงชาตอิ ยู่ทีเ่ สาธงแรกด้านขวา (เมอื่ มองดอู อกมาจากภายใน หรอื จุดของสถานที่ทใ่ี ช้ชัก แสดง หรอื ประดบั ธงเป็นหลกั ) ถา้ หากเป็นการประดบั ในงานพธิ ซี ึ่งมีแทน่ หรอื มที ่สี ้าหรบั ประธาน ธงชาตจิ ะต้องอยู่ทางขวามอื เสมอ ในกรณีที่ ประดบั กบั ธงอ่นื ซ่ึงรวมกันแลว้ ไดจ้ ้านวนเป็นเลขค่ี ธงชาติไทยจะต้องอยู่ตรงกลาง ถา้ รวมกนั แลว้ เป็นเลขคู่ ธงชาตไิ ทยต้องอยู่ กลางขวา หลักการเช่นนอี้ นุโลมใชก้ บั การประดบั ธงชาตไิ ทยคู่กับธงตา่ งประเทศดว้ ย เว้นแต่ว่าจะข้อตกลงระหว่างประเทศ ก้าหนดไปเป็นอย่างอ่ืน กใ็ ห้ปฏบิ ตั ิตามข้อตกลงระหวา่ งประเทศนั้นเปน็ กรณไี ป การประดบั ธงชาติในการแขง่ ขันกีฬาระหวา่ งประเทศ โดยปกตใิ ห้เปน็ ไปตามระเบยี บขอ้ บงั คบั ของสมาคมกีฬาระหวา่ งประเทศ หรอื ตามหลักสากลทยี่ อมรบั กนั ในนานาอารยประเทศ ส้าหรบั การประดบั ธงชาติคู่หรอื ร่วมกบั พระพทุ ธรปู หรือพระบรมรปู ในงานพิธีตา่ ง ๆ ธงชาติต้องอยูท่ างขวาของพระพทุ ธรปู พระบรมรูปนัน้ ต้องอยดู่ า้ นซ้าย[17]
การเคารพธงชาติ การแสดงความเคารพต่อธงชาติของทหารซงึ่ มิได้อยูใ่ นแถวโดยการท้าวนั ทยาหตั ถ์ขณะทา้ พธิ ธี งลง Play media ชาวไทยแสดงความเคารพต่อชาตดิ ว้ ยการหยดุ น่ิงในอาการสา้ รวมในระหวา่ งการบรรเลงเพลงชาติ แมจ้ ะไมเ่ ห็นการชกั ธงชาตกิ ็ ตาม การเคารพธงชาติในปจั จบุ นั ไดย้ ึดถอื หลักการตามระเบียบสา้ นักนายกรฐั มนตรวี ่าดว้ ยการใช้ การชัก หรอื การแสดงธงชาติ และ ธงของต่างประเทศ ในราชอาณาจกั ร พ.ศ. 2529 กล่าวคอื เมอื่ มกี ารชกั ธงชาติขนึ้ และลง ใหแ้ สดงความเคารพโดยการยืนตรง หันไปทางเสาธง อาคาร หรอื สถานทที่ ม่ี กี ารชักธงชาตขิ ้ึนและลง จนกวา่ จะเสรจ็ การ ในกรณีทไี่ ด้ยินเพลงชาตหิ รอื สญั ญาณการ ชักธงชาติ จะเหน็ หรือไม่เห็นการชักธงชาติก็ตาม ให้แสดงความเคารพโดยหยดุ นง่ิ ในอาการสา้ รวม จนกว่าการชักธงชาตหิ รือ เสียงเพลงชาติ หรอื สญั ญาณการชกั ธงชาติจะสนิ้ สดุ ลง[17] สา้ หรบั การเคารพธงชาตขิ องทหารน้นั เม่ือมกี ารชกั ธงชาติข้นึ และลง นายทหารสญั ญาบตั รทกุ นาย ใหแ้ สดงความเคารพโดย การยืนตรงท้าวนั ทยาหตั ถ์ ไมว่ ่าจะอย่ใู นแถวหรอื นอกแถว สว่ นนายทหารประทวนและพลทหาร ใหท้ ้าวันทยาหตั ถข์ ณะยืนอยู่ นอกแถวทหารเท่าน้นั หากอยู่ในแถวทหาร ใหใ้ ช้ทา่ ตรง ส่วนแถวทหารทมี่ อี าวธุ นายทหารผู้ควบคุมแถวจะสง่ั แสดงความ เคารพโดยการทา้ วันทยาวุธ และสง่ั เรียบอาวุธเมอื่ ธงชาติข้นึ สยู่ อดเสาเรียบรอ้ ยแลว้ พธิ ีกร เมอ่ื อยูใ่ นแถวเคารพธงชาติ สวด มนต์ สงบนิง่ ให้กา้ วออกไป 1 กา้ ว สง่ั แล้วใหถ้ อยกลับเข้าท่ี การใชธ้ งชาติกบั ผูเ้ สยี ชีวติ ธงชาตนิ น้ั สามารถใชเ้ ป็นเครือ่ งประกอบเกยี รติยศศพหรอื อฐั ไิ ด้ โดยบคุ คลทส่ี ามารถใชธ้ งชาตปิ ระกอบเกยี รตยิ ศได้นนั้ [17] ไดแ้ ก่
ประธานองคมนตรี ประธานรฐั สภา นายกรัฐมนตรี ประธานศาลฎกี า ผูไ้ ดร้ บั พระราชทานเครอ่ื งราชอสิ รยิ าภรณ์อนั เป็นโบราณมงคลนพรตั นราชวราภรณ์ ผู้เสยี ชีวติ จากการปฏิบัตหิ นา้ ทีห่ รอื ชว่ ยเหลือในการสรู้ บ หรือเพือ่ ปกปอ้ งอธปิ ไตยหรอื รักษาความสงบเรียบรอ้ ยของ ประเทศ หรือเพอื่ ปราบปรามการกระทา้ ผดิ ตอ่ ความมนั่ คงของรฐั และพระมหากษัตรยิ ์ ผเู้ สยี ชวี ติ จากการแสดงความกลา้ หาญชว่ ยเหลอื เจ้าหนา้ ทรี่ ัฐ บคุ คลทีท่ างราชการเห็นสมควร ส่วนการใชธ้ งชาตคิ ลุมศพนน้ั สามารถใชใ้ นการพิธีรบั พระราชทานน้าอาบศพหรือพิธีรดนา้ ศพ หรอื ระหวา่ งการเคลอื่ นย้ายศพ เพื่อไปประกอบพิธที างศาสนา หรือในพิธปี ลงศพตามประเพณีของทหารเรอื [17] การกระทาอนั ไมส่ มควรต่อธงชาติและบทกาหนดโทษ ตามระเบยี บสา้ นักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการใช้ การชกั หรือการแสดงธงชาตแิ ละธงของต่างประเทศในราชอาณาจักร พ.ศ. 2529 ขอ้ 19 การกระท้าตอ่ ธงชาตโิ ดยไมใ่ ห้ความเคารพ มดี งั น[้ี 23] 19.1 การกระท้าอันเป็นการเหยียดหยามต่อธงชาติ ไดแ้ ก่ การกระทา้ ต่อธงชาติรูปจ้าลองของธงชาติ หรือแถบสีธง ชาติ ด้วยเจตนาเหยยี ดหยามประเทศชาติ เชน่ ฉีกทา้ ลาย ถ่มน้าลายรด ใช้เท้าเหยียบ วางเป็นผ้าเช็ดเทา้ ซึง่ เป็นการ แสดงความดถู ูกดหู มิ่นเหยยี ดหยามชาติไทย 19.2 การกระท้าทไ่ี มส่ มควรตอ่ ธงชาติ รูปจ้าลองของธงชาติ หรือแถบสธี งชาติ เช่น o (1) การประดษิ ฐ์รปู ตัวอกั ษร ตวั เลข หรอื เคร่ืองหมายอน่ื ในผนื ธงรปู จ้าลองของธง หรอื แถบสขี องธง o (2) การใช้ ชัก หรือแสดงธง รปู จ้าลองของธง หรอื แถบสขี องธงอนั มีลักษณะตามข้อ (1) o (3) การใช้ ชัก หรอื แสดงธง รปู จา้ ลองของธง หรอื แถบสขี องธงไว้ ณ สถานท่หี รือวธิ อี ันไมส่ มควร o (4) การประดษิ ฐธ์ ง รปู จา้ ลองของธง หรอื แถบสธี งไว้ ณ ท่ีหรอื สง่ิ ใด ๆ โดยไมส่ มควร o (5) แสดงหรือใช้สง่ิ ใด ๆ ท่มี รี ูปธง รปู จา้ ลองของธง หรือแถบสีธงอนั มลี กั ษณะตามขอ้ (4) การกระท้าการต่อธงชาตโิ ดยไมใ่ หค้ วามเคารพมคี วามผดิ ต้องระวางโทษตามกฎหมายดงั น[้ี 24][17] 1. กระทา้ การใด ๆ ต่อธงชาติหรือเครอ่ื งหมายอนื่ ใด อนั มคี วามหมายถงึ รฐั เพอ่ื เหยียดหยามประเทศชาติ ตอ้ งระวาง โทษจา้ คุกไมเ่ กนิ 2 ปี หรอื ปรับไมเ่ กิน 4,000 บาท หรือทัง้ จ้าท้ังปรับ (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 118) 2. กระทา้ การใด ๆ ต่อธงชาติ รูปจา้ ลองของธงชาติ หรอื แถบสีของธงชาติ ตามระเบยี บส้านกั นายกรัฐมนตรีข้อ 19.2 ข้างตน้ (ข้อความดงั กล่าวลอกมาจากพระราชบญั ญัตธิ งอีกทีหนง่ึ ) ตอ้ งระวางโทษจา้ คุกไมเ่ กนิ 1 ปี หรอื ปรบั ไมเ่ กิน 2,000 บาท หรอื ท้ังจ้าทัง้ ปรับ (พระราชบญั ญตั ิธง พ.ศ. 2522 มาตรา 53) 3. ผู้ใดกระทา้ การกระท้าใด ๆ อันมลี กั ษณะเปน็ การเหยียดหยามต่อธง รูปจ้าลองของธงชาติ หรอื แถบสีของธงชาติ ต้องระวางโทษจา้ คกุ ไม่เกิน 6 เดือน หรือปรบั ไมเ่ กิน 1,000 บาท หรือทง้ั จ้าทัง้ ปรับ (พระราชบญั ญัติธง พ.ศ. 2522 มาตรา 54) ธงอื่นทด่ี ดั แปลงลกั ษณะจากธงชาติ โดยท่วั ไปแล้ว การกา้ หนดธงอย่างอ่นื ทค่ี วามหมายถงึ ชาตขิ องประเทศตา่ ง ๆ ล้วนมีการดัดแปลงลกั ษณะมาจากธงชาติเกือบธง หมด เชน่ ธงราชนาวีของกองทัพเรอื ไทย ซ่ึงตามพระราชบัญญตั ธิ ง พ.ศ. 2522 นับเปน็ ธงทมี่ คี วามหมายถงึ ชาตเิ ชน่ เดยี วกบั ธง ชาติไทย มีลกั ษณะเปน็ ธงไตรรงค์ ตรงกลางเปน็ รปู ช้างเผอื ก ทรงเครอ่ื งยนื แทน่ มีรปู ชา้ งเผอื กทรงเครื่องยนื แทน่ อยูต่ รงกลางใน วงกลมสีแดง ปลายขอบวงกลมสแี ดงนน้ั จดกับขอบแถบสแี ดงพอดีทง้ั สองดา้ น ตามข้อมลู อยา่ งเปน็ ทางการของกองทพั เรอื ไทย
นั้น ถอื วา่ ธงนี้พฒั นามาจากธงแดงและธงเรือหลวงของสยามในสมัยต่าง ๆ ก่อนทจ่ี ะมลี กั ษณะที่แตกตา่ งจากธงชาติไปเล็กน้อย นบั ต้งั แต่ พ.ศ. 2434 เปน็ ต้นมา แบบธงท่ปี รากฏอยใู่ นปจั จบุ นั นี้ก้าหนดใหใ้ ช้พรอ้ มกับธงไตรงคซ์ ึ่งเปน็ ธงชาติเมอื่ พ.ศ. 2460[25] แม้ธงฉาน ซง่ึ เป็นธงในราชการทหารที่ใชส้ า้ หรบั ชกั ท่หี วั เรอื รบและใช้เป็นเครอ่ื งหมายของเรอื พระทนี่ ัง่ และเรอื หลวง ก็มพี ้นื เป็นธงไตรรงค์เช่นกัน แตว่ า่ ได้เพิ่มตราสมอสอดวงจักรภายใตพ้ ระมหาพชิ ยั มงกุฎ ซึ่งเปน็ เคร่อื งหมายราชการของ กองทัพเรอื ไว้ เพือ่ ใหต้ า่ งจากธงชาติอย่างชดั เจน[25] ธงของทหารอกี อยา่ งหน่ึงซ่งึ ทหารทกุ คนถือว่าเป็นธงท่ีส้าคญั ยงิ่ และเป็นธงที่จะต้องรักษาเอาไว้ด้วยชีวติ คือ ธงชัยเฉลิมพล ธง นี้เปน็ ธงประจ้ากองทหารซงึ่ ได้รบั พระราชทานจากพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัว ใชเ้ ชิญไปในพิธีการสา้ คัญทางทหารที่เปน็ เกียรตยิ ศของชาตแิ ละเชิญออกไปกับหนว่ ยทหารในยามท้าสงคราม โดยถอื ว่าเม่อื ธงชัยเฉลมิ พล ไปปรากฏ ณ ที่ใดเสมอื นหนงึ่ พระมหากษตั รยิ ไ์ ดเ้ สดจ็ พระราชดา้ เนินไปในกองทพั ทหารนนั้ ด้วย[26] ลักษณะโดยรวมนน้ั เป็นรปู ธงไตรรงคส์ เี่ หล่ียมจัตรุ สั หรอื สเ่ี หลย่ี มผนื ผ้า (ข้ึนอยกู่ ับลกั ษณะที่ก้าหนดไว้โดยละเอยี ดในพระราชบญั ญัตธิ ง และกฎกระทรวงตามกฎหมายดังกล่าว) แตต่ รง กลางมีรปู เครือ่ งหมายประจา้ กองทัพทสี่ งั กดั และจารึกชื่อของหนว่ ยทหารไว้ ทีบ่ รเิ วณมมุ ธงชัยเฉลิมพลของทกุ หน่วย (ยกเว้น ธงชัยเฉลมิ พลของหนว่ ยทหารเรือ) มีเครอื่ งหมายพระปรมาภไิ ธยยอ่ เปลง่ รศั มีสีฟา้ และเลขหมายประจ้ารัชกาลของ พระมหากษตั ริยผ์ ูพ้ ระราชทานธงภายใตพ้ ระมหาพิชัยมงกุฎ ส่วนทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์จะใชธ้ งอกี แบบหนึง่ ซ่งึ ก้าหนด ขน้ึ เปน็ ธงชัยเฉลมิ พลของหน่วยทหารมหาดเลก็ รกั ษาพระองค์โดยเฉพาะ[8] ธงราชนาวีไทย ธงฉานกองทพั เรือไทย ธงชยั เฉลมิ พลหนว่ ยทหารบก (ในภาพ เปน็ ธงชัยเฉลมิ พลของกองพลทหารอาสาสมัครของประเทศไทยในสงคราม เวียดนาม ขณะรบั การประดบั แพรแถบกล้าหาญจากกองทัพสหรัฐอเมรกิ าจากการร่วมรบในสงครามดงั กล่าว)
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: