รายงาน การตั้งช่ือนนั้ สาคัญไฉน จัดทาโดย น.ส.อฏิ ฐาพร มณีเนตร เลขท่ี 15 เลขท่ี 23 น.ส.ชัญญานชุ วงษ์อามาตย์ เลขที่ 24 น.ส.ณชั ชาฑินีย์ วงศเ์ สรีวฒั นา ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 5/2 เสนอ อาจารยศ์ ุภลกั ษณ์ พลเรอื ง รายงานฉบบั น้ีเปน็ ส่วนหนงึ่ ของรายวิชาภาษาไทย ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนราชสีมาวทิ ยาลยั
คานา รายงานเรือ่ ง การตัง้ ช่ือนั้นสาคญั ไฉน เป็นส่วนหนึ่งของวชิ า ภาษาไทย รหัสวชิ า ท32102 ชั้นมัธยมศกึ ษา ปีท่ี 5 มีวตั ถุประสงค์เพือ่ ศึกษาหลกั การตัง้ ของคน ซ่ึงรายงานฉบบั น้ีมีเนอ้ื หาเกยี่ วเนือ่ งกับอิทธิพลของภาษาทม่ี ตี ่อ การต้งั ชื่อ ผจู้ ดั ทาหวังเป็นอย่างย่ิงวา่ เนื้อหาในรายงานฉบบั น้ีที่ไดเ้ รียบเรียงมาจะเปน็ ประโยชนต์ ่อผ้สู นใจเปน็ อย่างดี หากมสี งิ่ ผิดผลาดประการใด ผจู้ ดั ทาขอน้อมรับในข้อชแ้ี นะและจะนาไปปรับปรุงแก้ไขและพฒั นาใหถ้ ูกต้อง สมบูรณต์ อ่ ไป คณะผ้จู ดั ทา 1 มีนาคม 2564
สารบญั 1 3 ความเป็นมาของการตัง้ ช่ือคนไทย 4 ศาสตรแ์ ห่งการตั้งช่อื 5 หลกั การตงั้ ช่ือเบ้ืองต้น 9 ภาษากับประเพณเี เละความเช่ือเกี่ยวกบั การตั้งชอื่ 10 ความเช่ือเรอ่ื งการเปล่ียนแปลงชอื่ ของคนไทย คาแนะนาในการตง้ั ชอื่
1 ความเป็นมาของการตง้ั ชื่อคนไทย วิถีชีวิตของคนไทยมีความผูกพนั กับการตง้ั ช่ือมายาวนาน จากอดตี กาลจวบจนปัจจบุ ัน การตัง้ ช่อื มี ความสาคัญและจาเป็นอยา่ งย่ิง ในท่ีนีข้ อเรมิ่ ตน้ ตง้ั แต่สมัยสุโขทยั เนอื่ งจากเป็นสมัยแรกทคี่ นไทยได้รวมชาติ เป็น ปึกแผ่นและได้ปรากฎหลักฐานทเี่ ปน็ ลายลักษณอ์ ักษรจนถึงสมยั รัตนโกสินทรใ์ นระบอบประชาธปิ ไตย ปจั จบุ นั ดงั พอสรปุ รายละเอียดไดด้ ังน้ี ชื่อในสมัยสโุ ขทัย ชือ่ ทพ่ี บส่วนมากจะเปน็ คาพยางค์เดียว ภาษาทใ่ี ชใ้ นการต้ังชอื่ นนั้ นา่ จะเป็นภาษาไทยทัง้ หมด โดย ความหมายของชือ่ ไดส้ ะทอ้ นถึงแนวความคิดของคนในยคุ นน้ั คือ “ยุคสรา้ งชาติแปลงเมือง” 2 ประการ คือ แนวคิดความเชอ่ื ของการตงั้ ช่ือในเรื่องความผูกพนั สมั พันฉันญาติ เช่น อ้าย ย่ี ไส ฯลฯ และแนวคิดความเช่อื ของการตง้ั ชื่อในเรื่องการมุ่งเอาความปลอดภยั มน่ั คงและความเจรญิ ของชมุ ชนเป็นหลักรว่ มกนั เช่น คง จิด จอด ผากอง ฯลฯ ช่อื ในสมัยอยธุ ยาและธนบุรี ชื่อทีพ่ บมกั จะเปน็ คาาพยางค์เดยี วถึง 2 พยางค์ ภาษาท่ใี ช้ในการต้ังชื่อส่วนใหญ่เปน็ ภาษาไทย นอกจากน้เี ป็นภาษาบาลี สันสกฤตและภาษาบาลี สันสกฤตผสมภาษาไทย โดยความหมายของช่อื มัก แสดงเปน็ รปู ธรรมทีส่ มั พนั ธ์กับชีวิตประจาาวัน เช่น จนั (ตน้ ไม้) ทอง(ธาตุ) ฯลฯ หรือมีความหมายที่แสดงถึง กริ ิยา อาการทางเคล่ือนไหวท่ีกระทาาอยอู่ ย่างปกติ เช่น มา พูน เล่ือน ฯลฯ ช่ือในสมัยรตั นโกสินทรใ์ นระบอบสมบูรณาญาสิทธริ าชย์ ชอื่ ทพ่ี บมักจะเป็นคาาพยางค์เดียวถึง 2พยางค์ ภาษาท่ีใช้ในการตงั้ ชอ่ื ส่วนใหญเ่ ป็นภาษาไทยนอกนัน้ เป็น ภาษาบาลีสนั สกฤต ภาษาบาลี สันสกฤตผสมภาษาไทย และภาษาเขมร โดยความหมายของช่อื สะทอ้ นคติ นิยม และวิถีทางในการดาเนินชีวิต คล้ายคลึงกบั สมยั อยุธยาและธนบรุ ี ชือ่ ในสมัยรัตนโกสินทรใ์ นระบอบประชาธปิ ไตยระยะต้น ช่อื ที่พบมักจะเป็นคาาพยางค์เดียวถงึ 2 พยางคภ์ าษาที่ใชใ้ นการตงั้ ช่อื ส่วนใหญย่ งั คงเป็นภาษาไทย แต่มี ปริมาณการใชล้ ดลงและเพ่มิ การใช้ภาษาบาลี สนั สกฤต โดยความหมายของชอ่ื มีลกั ษณะแตกต่างจากคตนิ ิยมเดิม คอื มีช่ือท่ีมีความหมายในเรื่องอานาจชัยชนะและการสงครามเพม่ิ ขึน้ มาก เชน่ เฉลมิ พล ณรงค์ ฯลฯ และมชี อื่ ท่ีแสดงความหมายเก่ยี วกับความรู้ ความฉลาด การศึกษา ซึ่งไม่ปรากฎเปน็ ช่ือ ในสมยั ที่ผ่านมา เช่น โกวทิ ปรีชา สุธี ฯลฯ
2 ช่อื ในสมัยรตั นโกสนิ ทร์ในระบอบประชาธิปไตยปจั จุบัน ช่ือทพ่ี บส่วนใหญ่มกั จะเป็นคา 2 พยางค์ข้ึนไปภาษาทใี่ ช้ในการตงั้ ชอื่ นยิ มใชภ้ าษาบาลี สันสกฤต เป็น อยา่ งมากนอกนนั้ เปน็ ภาษาไทยและภาษาบาลี สันสกฤตผสมภาษาไทย นอกจากนย้ี งั นิยมสรรหาชอื่ ทมี่ ี เอกลักษณ์ ไมเ่ หมือนคนอ่นื จงึ ปรากฎชื่อท่ีมรี ปู ลักษณ์ทางภาษาแปลกๆ หรือมหี ลายพยางคม์ ากกวา่ สมัยท่ีผา่ นมา โดย ความหมายของชอื่ จะลดความนิยม ช่อื ทม่ี ีความหมายเปน็ รปู ธรรมและมคี วามหมายเปน็ นามธรรมมากขึน้ เช่น ชือ่ ทม่ี ีความหมายแสดงอานาจชัยชนะ ความงาม ความเจริญ หรือศิรมิ งคล การต้ังชอ่ื ของคนไทย ตัง้ แตส่ มัยสุโขทยั สมยั อยธุ ยาและธนบุรี สมยั รัตนโกสนิ ทร์ใน ระบอบ สมบูรณาญาสิทธริ าชยส์ มัยรัตนโกสนิ ทรใ์ นระบอบประชาธิปไตยระยะต้นตลอดจนสมัยรัตนโกสินทร์ ในระบอบ ประชาธปิ ไตยปัจจุบันแตล่ ะสมัยช่อื ของคนไทยมีจานวนพยางคเ์ พิ่มขน้ึ หรือยาวข้ึน สาเหตุสาคญั มา จากการขยาย ชมุ ชน เมอ่ื ชุมชนใหญข่ ้ึนประชาชนมากข้นึ ชอ่ื ย่อมมีโอกาสซา้ กันมาก และเนื่องจากชือ่ เกิดขนึ้ เพราะความจาเปน็ ในการสอื่ สารใหส้ ะดวกและถูกต้องจึงตอ้ งมชี อื่ ที่บง่ บอกเฉพาะลงไป เพ่ือกาหนดการเรยี ก ขานตัวกนั อยา่ ง ชดั เจนไมส่ ับสน การตั้งชื่อให้ยาวข้ึนจึงเป็นทางออกอีกวิธีหนง่ึ นอกจากการตั้งชอ่ื ให้ยาว ขึ้นแลว้ การตง้ั ชือ่ ให้แปลก ใหมก่ เ็ ปน็ อกี วธิ หี น่งึ เพ่ือหลกี เลย่ี งการตงั้ ชอ่ื ซา้ ซึ่งพบมากขึ้นเรอื่ ยๆ ในปัจจุบนั ความสาคัญของการตั้งชือ่ อยทู่ จ่ี ะ แสดงลกั ษณะเด่นของผเู้ ปน็ เจ้าของชื่อให้เปน็ ที่ร้จู ักจาได้งา่ ย เชน่ เสยี งแปลก สะกดแปลก ฯลฯ ฉะน้ันถึงแมว้ า่ จะมีความหมายหรอื ไม่มคี วามหมาย จึงไมน่ ่าจะถือวา่ เป็นเรื่องที่สาคัญ ปัจจุบนั ในการตัง้ ชื่อ ผูต้ ้ัง ชอ่ื มกั จะต้องคานึงถงึ เงื่อนไขตา่ งๆก่อนทจ่ี ะตั้งชอ่ื ไดแ้ ก่ เพศของ ทารกวัน เวลาเกิด ความหมายของชือ่ ความ ไพเราะของชือ่ ความแปลกใหม่ของชอื่ ความคล้องจองชอ่ื ของ บคุ คลในครอบครวั เดยี วกันนามสกลุ การเลียนแบบ ช่อื ผ้อู นื่ และเสียงต่างๆในช่ือท่ีอาจเกดิ ปัญหา โดยสว่ นใหญ่บดิ ามารดามักนิยมตั้งช่อื ให้ด้วยตนเองเพราะถือวา่ เปน็ บุคคลทปี่ ระเสริฐท่สี ุดและเลือกชอื่ จากสื่อแนะนาการตั้งชอื่ กฎหมายข้อบังคับเกยี่ วกับการตัง้ ช่อื -นามสกลุ ตามพระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 ระบุไวว้ ่าบุคคลสญั ชาติไทยต้องมีชอ่ื ตวั และช่อื สกุล และอาจมี ช่อื รองด้วยก็ไดท้ ้ังนไี้ ด้อธบิ ายความหมายของช่ือตวั ชื่อสกลุ และชือ่ รองไว้ดังน้ี ชื่อตัว หมายความว่า ช่ือประจาาบคุ คล ชื่อรอง หมายความว่า ช่ือประกอบถัดจากชอ่ื ตัว ชอ่ื สกุล หมายความว่า ชอื่ ประจาวงศ์สกุล หลกั เกณฑ์การตั้งช่ือตัว และช่ือรอง ตอ้ งไมพ่ ้องหรือมงุ่ หมายใหค้ ล้ายกบั พระปรมาภิไธยหรอื พระนามของพระราชนิ ี หรือ ราชทนิ นาม ต้องไมเ่ ป็นคาหยาบหรอื มีความหมายหยาบคาย ตอ้ งไม่มเี จตนาในทางทจุ รติ
3 ผูท้ ่ีไดร้ บั หรอื เคยได้รบั พระราชทานบรรดาศักด์ิ โดยมิไดถ้ ูกถอดจะใช้ราชทนิ นามตามบรรดาศักดิ์ เปน็ ชอ่ื ตัวจริงหรือช่ือรองก็ได้ หลักเกณฑก์ ารตง้ั นามสกุล ไมพ่ ้องหรือมงุ่ หมายใหค้ ลา้ ยกับพระปรมาภิไธยหรอื พระนามของพระราชินี ไม่พ้องหรือมงุ่ หมายให้คลา้ ยกับราชทินนาม เวน้ แตร่ าชทินนามของตนของบุพการี หรือ ของ ผสู้ บื สันดาน ไมซ่ ้ากบั ชื่อสกลุ ท่ีไดร้ ับพระราชทานจากพระมหากษตั ริย์หรือ ชื่อสกุลที่ได้จดทะเบียนไวแ้ ล้ว ไม่มีคาหรือความหมายหยาบคาย มพี ยญั ชนะไมเ่ กนิ กว่าสบิ พยัญชนะ เวน้ แต่กรณีใชร้ าชทนิ นาม เป็นชื่อสกลุ ศาสตร์แหง่ การตั้งชื่อ ชือ่ เป็นส่ิงสาคัญอย่างยิง่ ต้งั แต่เกดิ จนกระทง่ั ลาจากโลกนีไ้ ปแล้ว ช่อื ของคนดกี ย็ ังจารึกไวใ้ นความ ทรงจา ของผ้คู นทวั่ ไป คุณพ่อคุณแมจ่ งึ ต่างจดั เตรยี มชอื่ ให้กบั ลูกน้อยของตนเองต้งั แต่ยงั ไมอ่ อกจากครรภ์เลย ทเี ดียว บ้างก็ให้พระทา่ นต้ังให้ ท้ังให้ผ้เู ฒา่ ผแู้ กใ่ นบา้ นตง้ั ให้ และบ้างก็ใหญ้ าติผู้ใหญ่ท่เี คารพนบั ถือต้ังใหต้ าม ความ เหมาะสม นนั้ แสดงถึงความสาคัญของชื่อที่ตง้ั ที่มีต่อคนเราเสมอมา ในการตัง้ ชอ่ื ในสมยั ก่อนจนถึงปจั จบุ นั ได้มี พัฒนาการอยา่ งต่อเน่ือง และมีรูปแบบท่หี ลากหลาย ซ่ึงในแตล่ ะรปู แบบกม็ หี ลักยดึ ปฏิบัติทแี่ ตกต่างกนั ตามถิ่นฐาน ที่อยู่และการดาเนินชีวติ ตลอดจนความเช่อื ปฏิบัตสิ บื ต่อกันมาโดยทั้งหมดตา่ งตอ้ งการใหเ้ กดิ ความเป็นสิริมงคงแก่ ชีวติ เปน็ ที่นิยมยกย่องและความเจริญรุง่ เรืองกับชีวติ ของเจ้าของชื่อเปน็ หลัก ถึงแม้ว่าศาสตร์แห่งการตั้งชือ่ จะ ได้รับการศึกษาและสัง่ สอน สืบทอดกันมาแต่โบราณ หากแต่ไม่มีการกาหนดชอ่ื เรยี กอยา่ งเป็นมาตรฐาน บา้ งเรยี ก “ศาสตรแ์ ห่งการ ตั้งชือ่ ” บ้างก็เรยี ก “วชิ านามลกั ษณ์” บ้างก็เรียก “นามศาสตร์” แลว้ แตผ่ ศู้ กึ ษาและไดร้ บั การประสทิ ธิ ประสาทวิทยาในที่นีผ้ ้เู ขียนขอเรียกวา่ “ศาสตร์แหง่ การต้งั ช่ือ” บทความพเิ ศษท่ีทา่ นผู้อ่านกาลงั อา่ นอยู่ ผู้เขียนจะขอกลา่ วถงึ การตั้งชื่อจากทกั ษะ ซง่ึ หมายถึง อัฏฐ เคราะห์ หรอื พระเคราะห์ ท้งั 8 ได้แก่ พระอาทติ ย์ พระจนั ทร์ พระองั คาร พระพุธ พระเสาร์ พระพฤหัสบดีพระ ราหู และพระศุกร์ ทนี่ ับว่าเป็นสิริมงคล มีอยู่ 8 อย่างดว้ ยกนั คือ 1.บรวิ าร หมายถึง บุตร สามี ภรรยา ข้าทาสบรวิ ารชายหญงิ คนในบ้าน ผูท้ อ่ี ยูใ่ นอุปการะ ผ้ใู ตบ้ ังคบั บัญชารวมไปถึงเพ่ือนและมติ รสหายของตน 2.อายุ หมายถงึ อายุ ความเปน็ อยู่การดาเนินชีวติ ทต่ี ้องการเพอ่ื ใหม้ ีอายุยืนยาวหรือมีอายุมน่ั ขวัญ ยืน หากนาอักษรท่ีมีทักษาอายุมาตั้งเชอ่ื กันวา่ มีอายุยนื ยาว 3.เดช หมายถึง อานาจวาสนา บารมี เกยี รตยิ ศ และชือ่ เสียงตาแหนง่ หน้าที่การงาน อานภุ าพ อิทธิพลท่ีทาให้คนเคารพยาเกรง มคี วามสามารถในการควบคุม บงั คบั บัญชาคนเหล่านี้ 4. ศรี หมายถึง สงิ่ ท่เี ป็นสริ มิ งคลแกช่ วี ิต หลกั ทรพั ย์ โชคลาภ เสนห่ ท์ ี่ทาใหค้ นรักใครเ่ มตตา และ ศรทั ธา ในตัวเรา
4 5. มูละ หมายถงึ ทนุ ทรพั ยห์ รือมรดก ราคาและคณุ คา่ ทจ่ี ะเพ่ิมพูนให้กับตนเอง ในปจั จบุ ันและภาย ภาค หน้า 6. อตุ สาหะ หมายถงึ ความขยนั หม่นั เพียร การประกอบกิจการคา้ หรอื การเกษตรกรรม อุตสาหกรรมให้เกดิ ผลสาเร็จจากความมีมานะ อุตสาหะ และความพยายามของตนเอง 7. มนตรี หมายถึง ความเป็นใหญห่ รอื ประสบความสาเร็จท่ีไดร้ บั ความอุปถัมภค์ ้าชู ไดร้ ับการสงเคราะห์ เกอื้ หนุนจากผู้ใหญ่ ไดร้ บั การสง่ เสริมในการดาาเนินชีวติ และหนา้ ที่การงาน 8. กาลกิณี หมายถงึ โชครา้ ย อัปมงคล ความเป็นเสนยี ด ศัตรคู ่แู ขง่ อปุ สรรค ในการดาเนินชวี ิต หลักการต้ังช่ือเบือ้ งตน้ การตั้งชอ่ื นนั้ หลายๆคนบอกว่าไม่ใช่เรื่องยาก ผู้เขียนมีความรสู้ ึกว่ามนั ดูเหมือนง่ายกจ็ ริงเพราะการ ท่ีจะ ตั้งชือ่ ดเี พื่อให้ชวี ิตคนดีข้ึนนั้นมนั ยากมากเลยทีเดียว ฉะนัน้ ในการตงั้ ชอ่ื แต่ละช่ือน้นั ควรท่จี ะตัง้ ใจศกึ ษา ใหด้ กี ่อน อย่ามองแตว่ า่ เกดิ วนั อะไรแล้วกใ็ ส่อกั ษร เดช/ศรี เขา้ ไปเลยอกี ทั้งตอ้ งดคู วามหมาย หลักการตง้ั ชื่อเบอื้ งต้นควรยึด หลักปฏิบตั ิดงั น้ี 1. ตอ้ งยึดหลักความถูกตอ้ งของภาษา ต้องเขยี นและสะกดให้ถกู ต้องตามหลักภาษาไทย 2. ฟังดแู ลว้ ไพเราะสละสวย ไมต่ ะกุกตะกัก ไม่ยดื ยาวหรอื แปลกประหลาดมหศั จรรยจ์ นเกินไป 3. เหมาะสมกบั เพศ-วัย และยคุ สมัย ชอ่ื ทีด่ ีควรฟังดูแลว้ สอดคล้องกบั บุคลกิ -วยั และบอกเพศได้ 4. มคี วามหมายเปน็ มงคล ถ้าแปลแลว้ ไมเ่ ข้าท่ากไ็ มค่ วรนามาตั้ง เช่น “รัลลุกา” แปลว่า ปลิง 5. ไมค่ วรสูงเกนิ วาสนา เช่น คล้องจองกับชื่อเทพเจ้า ลัทธิตา่ งๆ หรอื คลอ้ งจองกับเจ้าฟา้ เจา้ แผน่ ดิน 6. ยึดความถูกตอ้ งตามหลักโหราศาสตร์ ช่วงประมาณ 40 ปมี าน้ี มศี าสตรเ์ ก่ยี วกบั การตง้ั ช่ือ เกดิ ขน้ึ มากมายแตท่ เี่ ปน็ ท่นี ยิ มมากๆ เห็นจะมี 2-3 ศาสตร์น้ี 6.1 หลักของทักษาปกรณ์ศาสตร์น้ีถอื ว่าเปน็ แม่บทแหง่ การตงั้ ชื่อ มีคนใชก้ ันมายาวนานท่ีสดุ และใชม้ ากที่สุด โดยจะเน้นการตัง้ ชื่อของบคุ คลใหม้ ีอกั ษรเปน็ วรรคเดช, วรรคศรี, วรรค มนตรี ไมใ่ ห้มอี ักษรท่ี เปน็ กาลกณิ ปี ะปนในชื่อ 6.2 หลกั โหราเลขศาสตร์ ถอื ว่าเปน็ ศาสตร์ทีท่ รงอิทธพิ ลมากที่สดุ เพราะไม่ไดใ้ ชแ้ ต่เฉพาะที่ ประเทศไทย แต่มใี ช้เป็นสากลทั่วโลก เพียงแตค่ าพยากรณ์คงเขียนแตกต่างกันออกไปตาม วัฒนธรรมแตล่ ะเช้ือชาติ ศาสตรน์ ก้ี ล่าวถงึ เรื่องกาลงั ของตวั เลข โดยจะตรวจอักษรทกุ ตัวให้ ความสาคญั ท้ังชื่อตัว, ช่ือกลาง , ชอ่ื นามสกุล เมอ่ื ผอู้ ่านเข้าใจและทราบความหมายของหลกั การตั้งชอ่ื เบ้ืองต้นและวธิ กี ารตั้งชื่อให้เปน็ มงคลนาม แลว้ ก็ สามารถนาไปใช้ได้ตามความประสงคแ์ ละถูกตอ้ งตามหลักของการตั้งชือ่ แต่ ศาสตร์แหง่ การตั้งชื่อ ฉบับ นี้
5 ท่ีขึ้นหวั เร่ืองวา่ “ชอ่ื น้ันสาคัญจริงหรอื ” มตี ่อในฉบับหน้าทเี่ ก่ยี วกบั หลกั การตง้ั ชอื่ ตามแนวทางการตงั้ ช่ือตาม วนั ท่ี เกดิ และตวั อยา่ งหรือแนวทางการต้ังชอ่ื พร้อมความหมายของช่ือเรยี งตามตัวอักษร ภาษากับประเพณเี เละความเช่ือเกี่ยวกับการตงั้ ชื่อ เรอ่ื งการตั้งชื่อเด็กนน้ั เก่ียวข้องกบั ประเพณีและความเชอื่ เีก่ยวกบั การเกดิ แต่ทน่ี ามากล่าวแยกไว้ เน่อื งจากการต้ังีช่อนัน้ มีรายละเอียดมากมาย สามารถพิจารณาการต้ังีช่อของคนในอดตี และปจั จบุ ันวา่ มีความนิยม เเตกต่างกันอยา่ งไรเเละทาให้เราทราบถึงวัฒนธรรมเเละคา่ นยิ มของคนในสังคมซ่ึงสะท้อนออกมาใหเ้ หน็ ไดจ้ าาการ ใช้ภาษาในการต้งั ช่ือ การตั้ง ีชอ่ เด็กนั้น ไมก่ าหนดเวลาแน่นอน บางคนเม่ือโกนผมไฟก็ต้ังช่ือไปพรอ้ มกนั หรือบาง คนก็ จดวนั เวลาตกฟากไปให้ผู้รหู้ รอื พระต้ังให้ซ่ึงงในปจั จบุ ันพธิ ีกรรมทีเ่ ีกย่ วเนอ่ื งกับการเกิดเร่ิมน้อยลงไป เน่ืองจากความรู้ ความทนั สมัยในวงการแพทย์แ ละคนมีการศกึ ษาเพ่ิมมากีขน้ ความเีชอ่ ในเรือ่ งผสี างก็ลดน้อยลง ไป แตส่ ง่ิ ีทย่ งั คงอย่คู ือพ่อแม่นิยมตง้ั ชื่อลูกตามความเีช่อทางศาสนาพราหมณห์ รือหลักโหราศาสตร์โดยนา วนั เดอื น เวลา ปเี กิดของลกู ไปต้ังชอ่ื ให้ มคี วามหมายทด่ี งี าม ลกั ษณะการตง้ั ชอื่ ของคนไทยสะท้อนใหเ้ หน็ คา่ นยิ มความเชอ่ื อนั เป็นสว่ นหนงึ่ ของวัฒนธรรมไทยดังน้ี 1. ในสมัยกอ่ นคนสามญั ไม่พถิ ีพิถนั ในการตั้งีช่อส่วนมากจะตัง้ ชอ่ื ตามพอ่ แม่และมักเป็นคาไทยเเท้ พยางค์ เดียว เชน่ อนิ ทอง แกว้ หรือตง้ั ช่อื ทม่ี ลี ักษณะเป็นไปในทางนา่ เกลียดเพ่ือหลอกผเี มื่อรอดแลว้ จึง มาตง้ั ีช่อีทเ่ ปน็ มงคลแก่ตัว เช่น ช่อื เดิม “เหมน็ ” แต่เมื่อโตอาจเปล่ยี นีช่อเปน็ “บุญมี” 2. เจา้ นายและขุนนนางในสมัยกอ่ นจะพิถพี ิถันในการตั้งชื่อมากกวา่ คนสามัญโดยมีพราหมณ์คิดพระนาม ถวายเช่นเจา้ ฟา้ นราธิเบศร์ เจ้าฟา้ นรินทร์ เจ้าฟ้าเทพ เจ้าฟ้าสุริยวงศ์ 3. ในสมยั กอ่ น แมว้ ่า การตั้งีชอ่ ของคนไทยจะไดร้ บั อทิ ธพิ ลอินเดยี แต่ในทางปฏิบตั จิ ะไม่เหมอื นกบั อนิ เดยี คือ อินเดียนยิ มใชช้ ่ือเทพเจ้ามาตง้ั เช่น ราม นรนิ ทร์ สยมภู (พระผู้เป็นเองหรอื พระอิศวร) สว่ นคน ไทยแต่ เดมิ จะไม่นาชือ่ ที่มคี วามหมายถงึ พระพทุ ธเจ้า เทพ และพระเจ้าแผ่นดนิ มาต้ัง เปน็ ชื่อตน ยกเว้นแตใ่ นฝ่ายราช สกลุ เน่ืองจากถือว่าเป็นคาสงู แตใ่ นปัจจบุ นั มีช่อื ลกั ษณะีน้มใิ ช่นอ้ ย เช่น อมุ าพร ศิวะ ศิวรินทร์ อนิ ทรา โกสนิ ทร์ (พระอนิ ทร์) 4. การตั้งช่ือมีการเปลย่ี นแปลงตามระยะเวลา เห็นได้ชัดเมื่อไทยไดร้ บั อทิ ธิพลตะวันตก การต้ังชอื่ ใน ลกั ษณะเดิมจึงเปลีย่ นไป คือ คนสามญั จะนาไวพจน์พระนามของพระพุทธเจา้ เทพเจ้า หรอื กษัตรยิ ์ มาใช้ในการตัง้ ชือ่ เชน่ สรรเพช็ ญ ทศพล กฤษณะ หรือตัง้ ชื่อจรงิ หรือช่อื เล่นโดยใชภ้ าษาอังกฤษ เชน่ เเอนนา นาเดยี บอลลนู เบส 5. การตัง้ เปลย่ี นแปลงไปตามสภาพสังคม ในสมยั ก่อนคนไทยจะไมม่ ีการแยกเพศด้วยการตง้ั ชือ่ การบอก เพศจะใช้คาวา่ “อ”ี และ “อ้าย” เติมหน้าช่อื เช่น อีปริก อีช้อย อา้ ยจ้อย อ้ายม่ัน
6 การตัง้ ชอ่ื ในสมัยปจั จบุ นั จะแบง่ แยกเพศระหว่างผู้ชายและผ้หู ญิงอยา่ งชัดเจน คือ ผู้ชายจะต้งั ช่อื ท่ีมี ความหมายทบี่ ่งบอกถึงอานาจ ชยั ชนะ เชน่ ประยทุ ธ์ แกล้วกลา้ ส่วนผหู้ ญิงก็จะต้งั ช่ือที่มคี วามหมายท่บี ง่ บอกถึง ลกั ษณะท่ีงาม เช่น เลอลกั ษณ์ โฉมฉาย เพลนิ พิศ -ถา้ เปน็ ูผ้ชายจะนิยมต้ังชื่อที่มีความหมายดงั น้ี 1. ชอื่ ทม่ี ีควาหมายแสดงถงึ อานาจหรอื ชยั ชนะ เช่น อติชัย (อติ=ย่ิง , พิเศษ, มาก) ครรชิต (กกึ กอ้ ง บันลือเสยี ง) ณรงค์พล ชัยชนะ 2. ชอ่ื ที่มีความหมายแสดงถึงความเจริญหรอื บญุ เช่น อภวิ ัฒน์ จริวตนั ์ (จิร- =นาน, ชา้ ) บุญมี 3. ชื่อทม่ี ีความหมายแสดงถึงคุณลักษณะหรือความประพฤติ เช่น สุธรรม ชธู รรม ธีรยทุ ธ์ (ธีร- =ฉลาด ไหวพริบ มี ปัญญา) 4. ชื่อทีม่ คี วามหมายแสดงถึงความสุข เชน่ สุขสนั ต์ ปรีดา ยอดปรีดา -สว่ นผหู้ ญงิ จะนิยมต้ังช่อื ทีม่ ีความหมายดงั นี้ 1. ชอื่ ท่มี คี วามหมายแสดงถึงความงามหรือลกั ษณะงาม เช่น วมิ ลวรรณ วิไลลักษณ์ วจิ ิตร โสภา 2. ชอ่ื มีความหมายแสดงถงึ ความเจริญหรอื บญุ เชน่ ขวญั ทวี พรวัฒนา เจรญิ ศี 3. ชอื่ ทม่ี คี วามหมายแสดงถึงธาตุ เชน่ เพชรพริ้ง นพมาศ พลอยไพลิน 4. ชอ่ื ทมี่ ีความหมายแสดงถึงธรรมชาติ เช่น กิง่ เดือนเดอื นเพ็ญ ศศธิ ร แขไข จนั ทรา ปานตะวัน 5. ชือ่ ทม่ี ีความหมายแสดงถึงคณุ ลักษณะหรือความประพฤติ เชน่ จริยา มารยาท อารรี ักษ์ ปาจรยี ์ 6. ชอ่ื ทม่ี ีความหมายแสดงถึงต้นไม้หรอื ดอกไม้ เชน่ แคทลียา จงกลรตั นา อบุ ลทิพย์ มาลี 7. ชอ่ื ที่มีความหมายแสดงถึงจติ ใจ เช่น จิตดี ดวงกมล รุง่ ฤทยั หทยั รัตน์ 8. ช่อื ทม่ี ีความหมายแสดงถึงความสุข เชน่ เปรมสขุ เปรมกมล สุขใจ พนูสุข 9. ชอ่ื ที่มีความหมายแสดงถึงเทพ เช่น ศวิ พร อุมาพร 6. ความยาวของช่ือ เดิมมักจะนยิ มคาพยางค์เดียว แต่ปัจจุบนั คามากพยางค์ คือ 3-4 พยางค์ เพราะมีความรสู ึก กันว่าราบรื่นๆ น่าฟงั เช่น ชอ่ื เดมิ อาจมพี ยางคีเ ดียว ไดแ้ ก่ ศรี ย่ิง ยศ แต่ในปัจจุบนั เปลี่ยนแปลง ให้ ยาวขน้ึ ไดแ้ ก่ ศรีวรรณ ย่ิงยศ ยศศักดิ์
7 7. มีการต้ังช่ือเลน่ ขึ้นแทนช่ือจริง ซง่ึ สว่ นใหญ่ชอ่ื เลน่ จะเป็นคาพยางคเ์ ดยี ว การตัง้ ช่ือเล่นน้เี กดิ ขน้ึ เพราะช่ือจรงิ เป็นคาหลายพยางค์ ทาใหีเรยี กไมส่ ะดวก จึงมีการต้งั ชอื่ เล่นเรยี กแทน ซึ่งอาจมีวิธีการ ดังน้ี - ต้งั ช่อื เล่นโดยเลอื กพยางคใ์ ดพยางค์หน่ึงของช่อื จรงิ อาจเปน็ พยางค์หนา้ หรือพยางค์ ท้าย เชน่ ชอื่ จรงิ ช่อื “นง นชุ ” ชือ่ เล่นชอื่ “นชุ ” ช่ือจริงช่ือ “สภุ าพร” ช่ือเล่นช่ือ “สุ” - ตง้ั ช่ือเล่นตามลาดับของพี่น้อง เช่น หน่งึ สอง สาม สี่ - ต้งั ชื่อเล่นตามชื่อผลไม้ ดอกไม้ เชน่ ส้ม กลว้ ย ออ้ ย แก้ว มะลิ - ตง้ั ช่ือเลน่ ตามลกั ษณะของเดก็ เชน่ อว้ น ปอ้ ม นยุ้ ย้ิม -ต้ังชอื่ เล่นเปน็ ภาษาอังกฤษ เช่น แทน เบริ ด์ เอ บี บอล - ตั้งชอ่ื เลน่ สอดคล้องกับความนยิ มของคนท้องถ่ินนน้ั ๆ เช่น ภาคเหนอื และภาคอีสานมักต้งั ชือ่ เล่นวีา “บัว ” หรือ “คา” สว่ นภาคใต้ ช่อื เลน่ มักจะใชช้ ือ่ “นยุ้ ” “เอียด” “ไข่” หลกั เกณฑก์ ารูต้งชื่อ การตงั้ ช่อื ของคนไทยมหี ลักเกณฑ์หลายประการ ซึง่ สามารถสะทอ้ น ความคดิ ความเชื่อ ค่านิยมและภมู ิปัญญาของ คนไทยไว้อย่างชดั เจนดังน้ี 1 . การต้ังชอื่ ตามเวลา วัน เดือน ปที ีเ่ กิด เพื่อเตอื นความจา หรอื เพ่ือระลกึ ถงึ วนั เกดิ ของตน เช่น จันทรแ์ รม เมษ กนั ยา ตุลย์ วิสาขา เมษา ปใี หม่ 2.การตัง้ ชื่อตามสถานทเี่ กดิ เพือ่ ระลึกถึงถิ่นกาเนิดหรอื เป็นสถานทีส่ าคัญ หรือสถานทป่ี ระทบั ใจ ของพ่อ และแม่ เชน่ สหรฐั สุพรรณ อุดร ทกั ษิณ 3.การต้ังีช่อตามลาดับในการเกดิ เชน่ หีนง่ สอง สาม พี่ น้อง กนษิ ฐา เชษฐา อนุษา 4.การีตง้ ีช่อตามลกษั ณะของลกู เชน่ นิลเนตร เนตรทราบ งามตา แก้มยุ้ย แกม้ ีบ๋ม 5. การต้งั ีชอ่ โดยการนาอกั ษรหรอื เสียงของชื่อพอ่ และแม่มารวมกัน เพ่ือแสดงถึงความผูกพัน ความรักระหวา่ ง พ่อ แม่ และลูก เช่น พ่อีชอ่ “วิสทุ ีธ์” แม่ช่ือ “ชฎาพร” ีตง้ ชื่อลูกวา่ “วิสฎุ า” , พ่อชอ่ื “ดุสิต” แมช่ ื่อ “ศรวี ริ ัตน์” ต้ัง ีชอ่ ลกู วีา “ศสติ ” 6. การตัง้ ช่ือโดยนาช่อื ของบรรพบรุ ุษมาดัดแปลง เพ่ือแสดงถึงความกตญัญูและระลึกบรรพบรุ ษุ ของตนเช่นปี่ชื่อ “รักษ”์ ตั้ง ีชอ่ หลานวา่ “อนุรักษ์” ย่า ีชอ่ “ศร”ี ตั้ง ชอ่ื หลานวีา “ศรสี ง่า”
8 7. การตัง้ ช่ือใหค้ ลอง้ จองกนั ระหว่างพนี่ ้อง เพ่ือแสดงถึงความไพเราะของภาษาและแสดงถงึ ความผูกพนั ระหวา่ ง พน่ี ้อง ช่อื จริง จะต้งั ใหค้ ล้องจองกัน คือ มีสัมพสั สระหรือสัมผสั อักษร เช่น พ่ชี ื่อ “กฤตภาส” น้องชอ่ื “กฤตพร” หรือ พ่ี ชือ่ “อนชุ ิต” น้องช่ือ “ขนิษฐา” ชือ่ เล่น มกั จะตั้งใหค้ ล้องจองกนั คอื มีสัมผัสสระหรอื สัมผัส อักษร เช่น นดิ หนอ่ ย นอ้ ย, ีบ๋ม ีจ๋ม, ปอ้ ง ปี้น ปูน 8. การตัง้ ช่ือตามชื่อของตวั ละครเอกในนิทาน วรรณคดี หรือวรรณกรรม ีซง่ แสดงวา่ คนไทยรกั การอ่าน เช่น สดี า ราม ลักษณ์ บุษบา จนิ ตะหรา รจนา องั ศุมาลิน ปรศิ นา พจมาน 9.การต้งั ีช่อตามเหตกุ ารณส์ าคัญ ีซง่ ตรงกับวนั เกิดของลกู เช่น ปิยะ รัฐธรรมนูญ ปฏวิ ตั ิ 10. การต้ังชอ่ื ตามอาชีพของพ่อ แม่ เพี่อแสดงถงึ ความผูกพนั ระหว่างพ่อแม่และลูก เชน่ นาวี อักษร นติ ิกร วิศวะ 11. การต้ังชื่อให้นา่ เกลียดเพื่อป้องกันผมี าเอาชีวติ ส่วนใหญจ่ ะเปน็ ีชอ่ ของคนสมัยก่อนหรอื ชอ่ื เล่น เชน่ เหล่ หมา ผี ทองเหมน็ ีซ่งสะท้อนให้เห็นความเีช่อของคนไทยสมยั กอ่ นว่า เช่ือเร่ืองผีสางเทวดา และแสดงให้เหน็ ถงึ ความรกั ความหว่ งใยีทม่ ีต่อลกู ของตน ความเช่ือเรือ่ งการเปลยี่ นแปลงชื่อของคนไทย ความเช่ือเรอ่ื งการเปลี่ยนชอื่ ของคนไทยมีมานานแล้ว ดัง ปรากฏในวรรณคดเี ร่ือง “ขนุ ช้างขุนแผน” ตอนทีน่ าง พมิ พิลาไลยต้องเปลีย่ นีชอ่ เป็นวนั ทอง ดงั ความว่า ๏ ครานั้นจงึ ทา่ นขรัวตาจู พิเคราะหจ์ บั ยามดหู าชา้ ไม่ คร้นั ดรู ปู้ ระจกั ษ์ก็ทกั ไป ออพิมพลิ าไลยน่เี คราะห์ร้าย มนั ตกลงทนี่ ง่ั นางสีดา เม่อื ทศพักตร์ลกั พาไปสญู หาย ถา้ เเม้นไม่จากผัวตัวจะตาย ถ้ายกั ย้ายเเกเเก้ไขไม่เป็นไร ผลดั ช่อื เสยี พลันว่าวันทอง จะครอบครองทรัพย์สนิ ท้งั ปวงได้ โรคนน้ั พลนั จะคลายหายไป หาบรรลัยไมด่ อกสกี ายาย ฯ จะเหน็ ได้ว่า คนไทยมีความเชื่อเรอ่ื งโหราศาสตรเ์ เละการคานวณวัน เดอื น ปี เกิด ฉะน้นั ถา้ ชอ่ื ดีเป็นมงคล หรอื ความหมายไม่ดี ไมเ่ หมาะสมกบั เจา้ ของชอ่ื ก็ตอ้ งมกี ารเปลย่ี นชือ่ เเละความเชื่อดังกลา่ วยงั สง่ อทิ ธพิ ลมาถึง ปัจจบุ ัน ตัวอย่างเชน่ ไมม่ ีใครต้งั ชอ่ื ว่าพมิ พลิ าไลย หรือวันทองเพราะเป็นช่ือของตวั ละครท่มี ีจดุ จบไมด่ ี เพราะเช่ือ ว่าจะมีสภาพชวี ิตทเี่ หมือนกบั นางวันทอง
9 การตั้งีช่อทก่ี ลา่ วมาข้างต้น เป็นเพียงตวั อย่างท่ีช้ีให้เห็นว่า การีต้งีช่อของไทยสะทอ้ นใหเ้ ห็น ประเพณี ความคดิ ความเช่ืออนั เปน็ สว่ นหีนง่ ของวัฒนธรรมนน่นั เอง นบั แต่โบราณมา คนไทยสมัยก่อนมีวธิ ีการตั้งช่ือมงคล สืบทอดกันมายาวนานเหมือนสว่ นหนง่ึ เปน็ การสบื ทอดมรดกทางภาษา และวัฒนธรรมแห่งความเปน็ ไทย การต้งั ช่ือของคนไทย จะมคี วามเชือ่ ว่า \"ชื่อมงคล\" นน้ั จะ ชว่ ยเสริมความเป็นสริ มิ งคล ส่งเสริมดวงชะตาให้ดี โดดเดน่ ตามความหมายของช่อิ นัน้ ๆ ตามหลกั โหราศาสตร์ หรอื แม้กระทั่งการหวงั ผลในทางจิตวิทยา เช่น ความไพเราะของชื่อ ดังน้นั หลักการต้งั ชอ่ื ของไทยโดยส่วนใหญ่จะยึดหลกั ตามทกั ษาซึ่งเกย่ี วข้องกบั โหราศาสตรไ์ ทยด้วยเช่นกัน คาแนะนาในการตงั้ ชื่อ 1. การตง้ั ช่ือให้คานงึ ถงึ หลกั ภาษา หมายความวา่ ช่ือทจ่ี ะต้ังจะต้องเขียนถูกต้องตามหลกั ภาษา มคี วามหมายดี ขอ้ น้เี ปน็ เรื่องสาคัญที่พึงปฏิบตั ิ ไมค่ วรตั้งชอ่ื ที่ไม่มีความหมาย หรือมคี วามหมายในทางไม่ดี หรอื เป็นภาษาวิบตั ิ โดยส่วนใหญจ่ ะเนน้ ที่ความหมายดีเป็นหลกั เพราะเชอื่ กันวา่ จะส่งเสริมให้คนผู้นัน้ ดีตามชอ่ื ไปดว้ ยนน่ั เอง 2. ถ้าจะใช้หลกั โหราศาสตร์มาเก่ียวข้อง พงึ ใช้แคห่ ลกั ทักษา คือหลักวา่ เกิดวันใด อกั ษรใดเปน็ กาลกิณี หลกี เลี่ยง อกั ษรกาลกิณเี ท่านนั้ ก็นา่ จะเพียงพอ ไมต่ อ้ งให้ความสาคญั ว่า หากเปน็ ชายต้องต้ังช่ือนาหนา้ ด้วยอกั ษรวรรคเดช หรือเปน็ หญงิ ต้องต้งั ชื่อนาหน้าด้วยอักษรวรรคศรี 3. ถา้ จะนาตาราเลขศาสตร์มาใช้ กใ็ ห้ตงั้ ชื่อที่คิดค่าตัวเลขออกมาแล้วดี ช่ือทไี่ พเราะ ถูกต้องตามหลกั ภาษา บางครัง้ อาจอาจมีคา่ ตัวเลขทีไ่ ม่ดีกไ็ ด้ ดังน้ันหากจะใช้ระบบเลขศาสตร์จรงิ ๆ ควรคานึงถึงหลักของโหราศาสตร์ วา่ ดว้ ยดาวทใ่ี ห้อิทธิพลกับเจ้าชะตาประกอบดว้ ย ตามหลกั ทว่ี ่า ดาวของใครกเ็ ป็นของคนนั้น 4.ตอ้ งไม่ลืมว่า ชีวิตคนเราขนึ้ อย่กู ับเงื่อนไขปจั จยั หลายๆ อย่าง พระท่านวา่ คนเราจะดีเลวอย่างไรนัน้ เพราะกรรม ท่เี ราทาไว้ท้ังในอดตี และปจั จบุ ัน มันจะเปน็ แรงสง่ ทีส่ าคญั ให้ชีวิตเราไปดี หรือไม่ดี มากหรอื น้อย แลว้ แต่กรรม เรียกวา่ เราทาอย่างไรก็จะได้อย่างน้ัน 5. การต้ังชื่อ หรือการเปลีย่ นชื่อ ส่งิ ทไ่ี ด้อนั ดับแรกคือ ได้ช่ือใหม่ เมื่อได้ชื่อใหมท่ ี่ไพเราะ มคี วามหมายดี ผลที่ ตามมาคือ ความสบายใจ เปน็ ผลทางจิตวิทยา ทาใหร้ ้สู ึกเป็นคนใหม่ พร้อมที่จะเปลยี่ นแปลงตัวเองไปสู่ส่งิ ท่ีดีข้ึน มีความนั่ ใจในตัวเองมากขนึ้ ปราถนาที่จะทาชีวิตให้ดีขึน้ ตามชื่อใหม่ท่ีดขี ึ้นน้นั เอง
10 บรรณานกุ รม มหาวิทยาลยั ราชัฏสวนสนุ นั ทา. (ม.ป.ป.). ภาษากับวัฒนธรรมในลกั ษณะประเพณีและความเชื่อ. [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก : http://www.elfhs.ssru.ac.th/nopphawan_ng/pluginfile.php. (วันที่ ค้นขอ้ มลู : 1 มีนาคม 2564). ศาสตร์แห่งการตงั้ ช่ือตามความเชือ่ โบราณ. (2561, 23 กุมภาพันธ)์ . [ออนไลน์]. เขา้ ถึงได้จาก : https://www.sanook.com/horoscope/57693/?fbclid. (วนั ทค่ี ้นข้อมลู : 1 มนี าคม 2564). ศิวรี วงนิตินันท.์ (ม.ป.ป.). ตง้ั ช่ืออะไรดี. นนทบุรี: โรงพมิ พ์จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . ส. ศิวโรจน.์ (2559). คู่มอื ตง้ั ช่อื ลูกรกั เพื่อเป็นสิริมงคล นาพาชวี ติ ใหร้ ุง่ เรอื ง. ม.ป.ท.: ซิซินี อินเตอร์ เนช่ันแนล บริษทั จากัดมหาชน. สหไทย ไชยพันธแ์ ละอาไพ วชิรอาไพ. (ม.ป.ป.). ชอ่ื นนั้ สาคัญจรงิ หรอื ..(ศาสตร์แห่งการตัง้ ช่ือ). [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก : file:///C:/Users/CCS/Downloads/90-1370-1-PB-2.pdf. (วนั ทค่ี ้นข้อมลู : 1 มนี าคม 2564).
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: