นโยบายและความเปน็ มา สืบเน่ืองจากการปฏิรูปการศึกษาซึ่งเป็นผลมาจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ซึ่งได้บัญญัติให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติเพ่ือเป็นกฎหมายแม่บทในการบริหาร จัดการการศึกษาที่นาไปสู่การปฏิรูปการศึกษาอย่างจริงจัง และต่อมาได้มีการประกาศใช้ “พระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒” เป็นกฎหมายหลักในการบริหารจัดการการศึกษาข้ึน จากพระราชบัญญัติ ดังกล่าวนาไปสู่การดาเนินการปฏิรูปการศึกษารอบแรกขึ้นในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๔๒-๒๕๕๑ ซ่ึงกระทรวง ศึกษาธิการ ได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐานพุทธศักราช ๒๕๔๔ แต่ผลของการปฏิรูปกลับพบว่า ระบบการศึกษาของไทยยังไม่สามารถพัฒนาผู้เรียน ให้มีคุณภาพได้ตามท่ีกาหนดไว้ จนนามาสู่การปฏิรูป การศึกษารอบสอง ห รือท่ี เรียกว่าการปฏิ รูปการศึกษ า ในทศวรรษท่ี สองพ .ศ. ๒ ๕ ๕ ๒ -๒ ๕ ๖ ๑ กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ประกาศให้ใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ ให้ สถานศึกษาทุกแห่งใช้ในปีการศึกษา ๒๕๕๓ พร้อมกันทั่วประเทศ เพื่อมุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกาลังของ ชาติให้เป็นมนุษย์ท่ีมีความสมดุลและต่อมากระทรวงศึกษาธิการมีคาสั่ง ท่ี สพฐ. ๑๒๓๙ /๒๕๖๐ ลงวันท่ี ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ เร่ือง ให้ใช้มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชวี้ ัด กลุม่ สาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และ สาระภูมิศาสตร์ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ด้วยเหตุผลที่ต้องการจะปรับปรุงหลักสูตรให้ สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สภาพแวดล้อมและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีท่ีเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเป็นการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคนของช าติให้สามารถเพ่ิมขีด ความสามารถในการแข่งขันของประเทศการยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ให้มีคุณภาพและ มาตรฐานระดับสากลสอดคล้องกับประเทศไทย ๔.๐ โลกในศตวรรษที่ ๒๑ และทัดเทียมกับนานาชาติผู้เรียนมี ศักยภาพในการแขง่ ขันและดารงชวี ิตอย่างสร้างสรรคใ์ นประชาคมโลกตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง หลักสูตรถือได้ว่ามคี วามสาคัญอยา่ งยง่ิ ต่อการจัดการศึกษาเพราะเปน็ สิ่งท่ีกาหนดเป้าหมายและกรอบ ทิศทางท่ีจะทาให้การจดั การเรียนการสอนบรรลุตามจดุ มงุ่ หมายท่ีตั้งไว้และดว้ ยเหตุท่โี ลกมกี ารเปล่ียนแปลงอยู่ ตลอดเวลาทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เกิดนวัตกรรมและวิทยาการใหม่ๆ อยู่เสมอ หลักสูตรจึงต้องมี การปรับปรุงพัฒนาไม่หยุดน่ิง เพ่ือให้สามารถพัฒนาคนในชาติ ให้ดารงชีวิตและก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลง ต่างๆ ที่เกิดข้ึนในโลกยุคปจั จบุ ัน ดังนั้นการศึกษาต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปล่ียนแปลงที่เกิดขึ้นกระทรวงศึ กษาธิการโดยสานักงาน คณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานจึงได้ดาเนินการทบทวนหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ โดยนาข้อมูลทิศทางเป้าหมายความต้องการพัฒนาประเทศจากยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๗๙) แผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ.๒๕๖๐ – ๒๕๗๙) และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ พ.ศ. (๒๕๖๐ – ๒๕๖๔) มาใช้เป็นกรอบและทิศทางในการพัฒนาหลักสูตรให้มีความ เหมาะสมชัดเจน ย่ิงข้ึน ในระยะสั้นเห็นควรปรับปรุงหลักสูตรในกลุ่มสาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภูมิศาสตรใ์ นกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ซึ่งมีความสาคัญต่อการพัฒนา ประเทศ และเป็นรากฐานสาคัญท่ีจะช่วยให้มนุษย์มีความคิดริเร่ิม สร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างรอบคอบและถี่ถ้วน สามารถนาไปใช้ในชีวิตประจาวัน ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการบูรณาการกับความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เพื่อ แก้ปัญหาหรือพัฒนางานด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมที่นาไปสู่การคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ หรือสร้าง นวัตกรรมต่าง ๆ ท่ีเอ้ือประโยชน์ต่อการดารงชีวิต การใช้ทักษะการคิดเชิงคานวณ ความรู้ทางด้านวิทยาการ คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีและการส่ือสารในการแก้ปัญหาท่ีพบในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมท้ังใช้
ความรู้ ความสามารถ ทักษะ กระบวนการ และเครื่องมือทางภมู ิศาสตรเ์ รียนร้สู ิ่งตา่ ง ๆ ท่ีอยู่รอบตัวอย่างเขา้ ใจ สภาพท่ีเป็นอยู่และการเปลี่ยนแปลง เพ่ือนาไปส่กู ารจัดการและปรบั ใช้ในการดารงชีวิตและการประกอบอาชีพ อยา่ งสร้างสรรค์ การประชุมเชิงปฏิบัติการการสร้างความเข้าใจ เรื่อง “การนามาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด กลุ่ม สาระการเรียนร้คู ณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) ไปจัดทาหลักสูตร สถานศึกษาเพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานและตัวช้ีวัดท่ีกาหนดขึ้น โดยการปรับปรุงหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระ ภูมิศาสตร์ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม รวมทั้งเทคโนโลยีในกลุม่ สาระการเรียนรู้ การงานอาชีพและเทคโนโลยี เพื่อให้สถานศึกษานามาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดกลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์ในกลมุ่ สาระการเรียนรู้สงั คมศึกษาศาสนาและวฒั นธรรม (ฉบับ ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ไปจดั ทาหลักสตู รสถานศกึ ษาเพอื่ พัฒนาผู้เรยี นให้บรรลุมาตรฐานและตวั ชี้วดั ท่ีกาหนด อนึ่งการปรับปรุงหลักสูตรครั้งนี้ ยังคงใช้หลักการและโครงสร้างเดิมของหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ คือ ประกอบด้วย ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้ แต่มุ่งเน้นการปรับปรุงเนื้อหาให้มี ความทันสมัย ทันต่อการเปล่ียนแปลงและ ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการต่าง ๆ คานึงถึงการส่งเสริมให้ ผู้เรียน มีทักษะท่ีจาเป็นสาหรับการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี ๒๑ เป็นสาคัญ เพื่อเตรียมผู้เรียนให้มีความพร้อมที่จะ เรียนรู้ส่ิงต่าง ๆ พร้อมที่จะประกอบอาชีพ เม่ือจบการศึกษา หรือสามารถศึกษาต่อในระดับท่ีสูงข้ึน สามารถ แขง่ ขันและอยรู่ ว่ มกบั ประชาคมโลกได้ กรอบในการปรับปรุง คือ ให้มีองค์ความรู้ท่ีเป็นสากลเทียบเท่านานาชาติ ปรับมาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชี้วัดให้มีความชัดเจน ลดความซ้าซ้อน สอดคล้องและเช่ือมโยงกันภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้ และ ระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้ ตลอดจนเช่ือมโยงองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีเข้า ด้วยกัน จัดเรียงลาดับความยากง่ายของเน้ือหาในแต่ละระดับช้ันตามพัฒนาการแต่ละช่วงวัย ให้มีความ เช่อื มโยง ความร้แู ละกระบวนการเรยี นรู้ โดยใหเ้ รยี นรผู้ ่านการปฏิบตั ทิ ี่ส่งเสริมใหผ้ ู้เรยี นพัฒนาความคิด สาระสาคัญของการปรบั ปรงุ หลกั สตู ร มีดงั น้ี ๑. กลมุ่ สาระการเรียนรคู้ ณติ ศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ๑.๑ จัดกลุ่มความรู้ใหม่และนาทักษะกระบวนการไปบูรณาการกับตัวชี้วัด เน้นให้ผู้เรียนเกิด การคิดวเิ คราะห์ คดิ แก้ปัญหาและมีทกั ษะในศตวรรษที่ ๒๑ ๑.๒ กาหนดมาตรฐานการเรียนรูแ้ ละตัวช้ีวัดสาหรับผูเ้ รยี นทุกคน ท่ีเป็นพ้นื ฐานท่เี กย่ี วข้องกับ ชวี ิตประจาวัน และเปน็ พื้นฐานสาคัญในการศกึ ษาตอ่ ระดบั ทส่ี งู ขึน้ ๑.๓ ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๔ – ๖ กาหนดตัวช้ีวัด เป็นรายปี เพื่อเป็นแนวทางให้สถาน ศึกษาจัดตามลาดับการเรยี นรู้ อย่างไรก็ตามสถานศกึ ษาสามารถพิจารณาปรับเลื่อนไหลระหว่างปีได้ตามความ เหมาะสม ๒. กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ได้เพ่ิมสาระเทคโนโลยี ซ่ึงประกอบด้วยการ ออกแบบและ เทคโนโลยี และวิทยาการคานวณ ท้ังนี้เพ่ือเอ้ือต่อการจัดการเรียนรู้บูรณาการสาระทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี กบั กระบวนการเชงิ วศิ วกรรม ตามแนวคิดสะเตม็ ศกึ ษา ๓. สาระภูมิศาสตร์ ซงึ่ เป็นสาระหน่ึงในกลุ่มสาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรมไดป้ รับ มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชี้วัดใหม้ ีความชัดเจน สอดคลอ้ งกบั พัฒนาการตามช่วงวยั มีองค์ความรู้ท่เี ป็นสากล เพิ่มความสามารถ ทักษะและกระบวนการทางภูมิศาสตร์ ทชี่ ัดเจนข้นึ
การบริหารจัดการหลกั สตู รสถานศึกษา ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน้ ๑. สถานศึกษาสามารถจัดรายวิชาพ้ืนฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ได้ตาม ความเหมาะสม ในแตล่ ะกล่มุ สาระการเรียนรอู้ าจจดั ไดม้ ากกว่า ๑ รายวชิ า ในแต่ละภาค/ปี กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ นามาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด สาระท่ี ๑ จานวนและ พีชคณิต สาระท่ี ๒ การวัดและเรขาคณิต และสาระท่ี ๓ สถิติและความน่าจะเป็น ไปจัดทาเป็น รายวชิ าพน้ื ฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ นามาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วดั สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตร์ ชีวภาพ สาระที่ ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ สาระท่ี ๓ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ และสาระที่ ๔ เทคโนโลยี ไปจดั ทาเป็นรายวชิ าพน้ื ฐาน ๒. สถานศึกษาสามารถจัดรายวิชาเพ่ิมเติมได้ตามความพร้อม จุดเน้นของสถานศึกษา ความต้องการ และความถนัดของผู้เรียน และเกณฑ์การจบ โดยจัดเป็นรายภาค ตามโครงสร้างเวลาเรียนที่ กาหนด และกาหนดผลการเรียนรขู้ องรายวชิ าน้นั ๆ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๑. สถานศึกษาสามารถจัดรายวิชาพ้ืนฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ได้ตาม ความเหมาะสม ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้อาจจัดได้มากกว่า ๑ รายวิชา โดยภายใน ๓ ปี ต้อง ครบทกุ ตวั ช้ีวดั ที่กาหนด กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ นามาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด สาระที่ ๑ จานวนและ พีชคณิต สาระท่ี ๒ การวัดและเรขาคณิต และสาระท่ี ๓ สถิติและความน่าจะเป็น ไปจัดทาเป็น รายวชิ าพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ นามาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชี้วัด สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตร์ ชีวภาพ สาระท่ี ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ สาระที่ ๓ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ และสาระที่ ๔ เทคโนโลยี ไปจดั ทาเป็นรายวชิ าพน้ื ฐาน ๒. สถานศึกษาสามารถจัดรายวิชาเพิ่มเติมได้ตามความพร้อม จุดเน้นของสถานศึกษา ความต้องการ และความถนัดของผู้เรียน และเกณฑ์การจบ โดยจัดเป็นรายภาค ตามโครงสร้างเวลาเรียนที่ กาหนด และกาหนดผลการเรียนรู้ของรายวิชานั้น ๆ สาหรับผู้เรียนที่มีศักยภาพด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ เพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ทักษะที่ จาเป็นในการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี ๒๑ การดารงชีวิต การประกอบอาชีพ และการศึกษาต่อใน วิชาชีพท่ีต้องคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ สถานศึกษาควรพิจารณานาผลการเรียนรู้ที่กาหนดไว้ ในคณิตศาสตร์เพ่มิ เติมและวิทยาศาสตรเ์ พ่ิมเตมิ ไปจดั ทารายวชิ าเพ่ิมเติม ๓. สถานศึกษาสามารถนาตัวชี้วัดและผลการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์และ วิทยาศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ โดยอาจจัดให้ตรงตามชั้นปีที่กาหนด หรือยืดหยุ่นระหว่างชั้นปี ซึ่ง อาจจดั ไมต่ รงตามชน้ั ปีท่กี าหนดได้ตามความเหมาะสมและตามศกั ยภาพของผเู้ รียน การจัดการเรยี นการสอน ๑. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เน้นการเช่ือมโยงความรู้กับทักษะ กระบวนการ ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี ๒๑ ทักษะสาคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ ใช้ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้และแก้ปัญหาท่ีหลากหลาย เน้นการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียน พัฒนาความคิด มีสว่ นรว่ มในการเรียนรู้ทกุ ข้ันตอน มีการทากจิ กรรมด้วยการลงมือปฏบิ ัติจริงอย่างหลากหลาย
เหมาะสมกบั ระดับช้ัน ตามบรบิ ท ความต้องการ ความเหมาะสม ความพร้อมของสถานศึกษาและศักยภาพของ ผู้เรียน ๒. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เทคโนโลยี สถานศึกษาควรวางแผนการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับ บริบท ความต้องการ ความพร้อมของสถานศึกษาและศักยภาพของผู้เรียน โดยอาจพิจารณาดาเนินการจาก แนวทางการจัดกจิ กรรม ดังน้ี ๒.๑ บูรณาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยนา มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี กับสาระอื่น ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มา บูรณาการการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ๒.๒ บูรณาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์กับกลุ่มสาระ การเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี โดยนามาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี กลุ่ม สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่มีความสอดคล้อง หรือเชื่อมโยงกับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด สาระท่ี ๒ การออกแบบและเทคโนโลยี และสาระท่ี ๓ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สาร กลมุ่ สาระการเรียนรู้การงาน อาชพี และเทคโนโลยี มาบูรณาการการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้และนาผลการประเมินไปใชป้ ระกอบการตัดสนิ ผล การเรียนไดท้ ั้งสองกลุ่มสาระการเรียนรู้ ๒.๓ การจัดการเรียนการสอนในรายวิชาพ้ืนฐานในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เพื่อพัฒนา ผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพ สถานศึกษาสามารถพิจารณานาผลการเรียนรู้ในคณิตศาสตร์เพิ่มเติม และ วทิ ยาศาสตร์เพ่ิมเติมท่ีสอดคล้องกับตัวชี้วัดในรายวิชาพื้นฐานมาจัดการเรยี นรู้ เพื่อต่อยอด หรือเสริมศักยภาพ ของผเู้ รียนไดต้ ามความเหมาะสมและศักยภาพของผู้เรยี น การบริหารจัดการเวลาเรียน ให้สถานศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐานทกุ แหง่ ดาเนนิ การจัดโครงสรา้ งเวลาเรยี นที่มีความยืดหย่นุ ดังนี้ ๑) จัดเวลาเรียนพ้ืนฐานตามที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กาหนด และสอดคลอ้ งกับเกณฑ์การจบหลักสูตร ๒) จดั เวลาเรียนเพ่ิมเติม โดยจดั เป็นรายวิชาเพิ่มเติม หรอื กจิ กรรมเพ่มิ เติมให้สอดคลอ้ งกับจุดเน้นและ ความพรอ้ มของสถานศึกษาเกณฑ์การจบหลักสตู ร ๓) จัดเวลาสาหรับกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ตามที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กาหนด ๔) จัดเวลาเรยี นรวมทั้งหมด ให้เปน็ ไปตามความเหมาะสมของสถานศกึ ษา ทั้งนี้ ควรคานงึ ถงึ ศักยภาพ และพฒั นาการตามชว่ งวยั ของผูเ้ รยี นและเกณฑก์ ารจบหลกั สูตร การจัดการเรียนการสอนหนา้ ท่พี ลเมอื ง เพอ่ื ให้เป็นไปตามนโยบายคณะรักษาความสงบแหง่ ชาติ (คสช.) และนโยบายรัฐบาลที่ตอ้ งการใหม้ ีการ ส่งเสริมเด็กและเยาวชนของชาติเป็นพลเมืองดีในระบบประชาธิปไตย มีความปรองดองสมานฉันท์ เพอ่ื สันติสุข ในสังคมไทย จึงกาหนดให้สถานศึกษาทุกสังกัด ทุกระดับช้ันและทุกช่วงช้ันของการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน นอกจาก จัดการเรียนการสอนสาระหน้าที่พลเมือง วัฒนธรรมและการดาเนินชีวติ ในสังคม ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรมแล้ว ให้ดาเนนิ การส่งเสริมการสร้างความเป็นพลเมืองดีขอลชาติตามความพร้อม และบริบทของสถานศกึ ษา โดยพจิ าณราทางเลอื กดังนี้ ๑) เพิ่ม “วิชาหน้าท่ีพลเมือง” ในหลักสูตรสถานศึกษา โดยจัดเป็นรายวิชาเพิ่มเติมในกลุ่มสาระการ เรยี นรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม หรอื
๒) บูรณาการกับการเรียนรู้ในรายวิชาอ่ืนทั้งรายวิชาพ้ืนฐาน หรือรายวิชาเพ่ิมเติมในกลุ่มสาระการ เรยี นรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม หรอื ๓) บูรณาการกบั การเรียนรู้ในรายวชิ าพื้นฐาน หรือรายวิชาเพมิ่ เติมในกลุ่มสาระการเรยี นร้อู ่นื หรอื ๔) บูรณาการกับการเรียนรู้กับกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน หรือกิจกรรม/โครงการ/โครงงาน หรือวิถี ชวี ติ ประจาวนั ในโรงเรียน เกณฑ์การจบการศึกษาตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ ๑. เกณฑก์ ารจบระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น - ผู้เรยี นเรยี นรายวชิ าพื้นฐานและเพ่ิมเติม โดยเปน็ รายวิชาพน้ื ฐาน ๖๖ หน่วยกติ และ รายวชิ าเพิม่ เติมตามทส่ี ถานศึกษากาหนด - ผเู้ รยี นตอ้ งได้หนว่ ยกิตตลอดหลกั สูตรไม่น้อยกวา่ ๗๗ หนว่ ยกติ โดยเปน็ รายวิชาพื้นฐาน ๖๖ หน่วยกิตและรายวชิ าเพม่ิ เตมิ ไมน่ ้อยกวา่ ๑๑ หน่วยกติ - ผเู้ รียนมีผลการประเมนิ การอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนในระดบั ผ่านเกณฑ์การประเมิน ตามทส่ี ถานศึกษากาหนด - ผเู้ รียนมีผลการประเมินคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ในระดับผา่ นเกณฑ์การประเมินตามท่ี สถานศึกษากาหนด - ผ้เู รยี นเขา้ ร่วมกิจกรรมพัฒนาผเู้ รียนและมผี ลการประเมินผา่ นเกณฑ์การประเมนิ ตามท่ี สถานศกึ ษากาหนด ๒. เกณฑก์ ารจบระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย - ผเู้ รยี นเรยี นรายวชิ าพื้นฐานและเพิ่มเตมิ โดยเปน็ รายวชิ าพืน้ ฐาน ๔๑ หน่วยกติ และ รายวิชาเพิ่มเตมิ ตามทส่ี ถานศึกษากาหนด - ผู้เรียนตอ้ งได้หนว่ ยกิตตลอดหลกั สตู รไม่น้อยกวา่ ๗๗ หนว่ ยกติ โดยเปน็ รายวชิ าพนื้ ฐาน ๔๑ หน่วยกิตและรายวิชาเพ่มิ เติมไมน่ ้อยกว่า ๓๖ หนว่ ยกิต - ผู้เรียนมีผลการประเมนิ การอ่าน คดิ วิเคราะห์ และเขียนในระดับผา่ นเกณฑ์การประเมิน ตามท่ีสถานศกึ ษากาหนด - ผูเ้ รียนมผี ลการประเมนิ คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ในระดับผ่านเกณฑ์การประเมินตามท่ี สถานศกึ ษากาหนด - ผู้เรยี นเข้ารว่ มกจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รยี นและมผี ลการประเมินผา่ นเกณฑ์การประเมินตามท่ี สถานศกึ ษากาหนด การสร้างหลกั สูตรสถานศกึ ษา หลักสูตรสถานศึกษาจะต้องสนองตอบการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกจิ สังคม การเมืองและส่ิงแวดล้อม เพื่อสนองตอบการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ผู้สอนต้องปรับปรุงกระบวนการสอนและประเมินกระบวนการสอน ของตน ให้สนองตอบความต้องการของผู้เรียนท่ีเปลี่ยนแปลงไปด้วยผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทาง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม การศึกษาจะเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น ถ้ามีการปรับปรุงหลักสูตรตลอดเวลา สถานศกึ ษาจงึ ควรดาเนนิ การในการจัดทาหลักสูตร ดังนี้ ๑. กาหนดวสิ ยั ทัศน์ สถานศึกษาจาเป็นต้องกาหนดวิสัยทัศน์เพ่ือมองอนาคตว่า โลกและสังคมรอบ ๆ จะเปลี่ยนแปลงไป อย่างไร สถานศึกษาจะต้องปรับตัว ปรับหลักสูตรอย่างไร จึงจะพัฒนาผู้เรียนให้เหมาะสมกับยุคสมัย
สถานศึกษาต้องมีวิสัยทัศน์ในการสร้างหลักสูตรสถานศึกษา หมายความว่า ผู้บริหารและบุคลากรของ สถานศึกษาสามารถมองเหน็ และคาดการณ์ไดว้ ่า จะเกดิ อะไรข้ึนในอนาคตท่จี ะมีผลตอ่ ความต้องการของผ้เู รียน และชุมชน อันจะนาไปสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลักสูตร การศึกษาค้นคว้า และการติดตามความ เปลย่ี นแปลงของสิ่งแวดลอ้ มในด้านต่าง ๆ ของสถานศึกษาจะทาให้สถานศึกษาเกิดวิสัยทัศน์ขน้ึ ได้ นอกจากน้กี ารกาหนดวิสัยทศั น์ของสถานศึกษาจาเป็นจะต้องอาศัยประสบการณ์และความรว่ มมอื ของ ชุมชน บิดามารดา ผู้ปกครอง ครูผู้สอน ผู้เรียน ภาคธุรกิจ ภาครัฐในชุมชน ร่วมกันกับคณะกรรมการ สถานศึกษา ในการแสดงความประสงค์หรือวิสัยทัศน์ที่ปรารถนาให้สถานศึกษาเป็นสถาบันพัฒนาผู้เรียนที่มี พนั ธกจิ หรือภาระหน้าท่ี ร่วมกันในการกาหนดงานหลักที่สาคัญของสถานศึกษา พรอ้ มดว้ ยเปา้ หมาย มาตรฐาน แผนกลยุทธ์ แผนปฏิบัติการและการติดตามผล ตลอดจนจัดทารายงานแจ้งสาธารณชน และส่ง ผลย้อนกลับ ให้สถานศกึ ษาเพอื่ ปฏบิ ตั ิงานท่เี หมาะสมและได้มาตรฐานสอดคล้องกับหลักสตู รการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐานของชาติ ๒. การจัดทาหลกั สตู รสถานศกึ ษา จากวิสัยทัศน์ เป้าหมาย และมาตรฐานการเรียนรู้ท่ีสถานศึกษาได้กาหนดไว้ สถานศึกษาจะต้องจัดทา สาระการเรยี นรู้ จากช่วงช้ันให้เป็นรายปีหรือรายภาค พร้อมกาหนดผลการเรียนรู้ไว้ให้ชดั เจน เพื่อให้ครทู ุกคน นาไปออกแบบการเรยี นการสอน การบูรณาการโครงการร่วม เวลาเรียน การมอบหมาย/โครงงาน แฟ้มผลงาน หรือการบ้าน โดยวางแผนร่วมกันทั้งสถานศึกษา หลักสูตรดังกล่าวจะเป็นหลักสูตรสถานศึกษาท่ีครอบคลุม ภาระงานการจัดการศกึ ษาทกุ ดา้ นของสถานศึกษา ๓. การกาหนดสาระการเรยี นรู้ และผลการเรียนรรู้ ายปหี รือรายภาค สถานศึกษาวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงช้ันของกลุ่มสาระต่าง ๆ จากหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาข้ันพื้นฐาน และกาหนดสาระการเรียนรู้และผลการเรียนรู้เป็นรายปีหรือรายภาคให้สอดคล้องกับ มาตรฐานการเรียนรู้ทกี่ าหนดไวต้ ามเปา้ หมายและวสิ ัยทศั น์ของสถานศึกษาดว้ ย พิจารณากาหนดวิธกี ารจดั การ เรียนการสอน การวัดและประเมินผล พร้อมทั้งพิจารณาใช้ภูมิปัญญาท้องถ่ิน แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น และ สามารถกาหนดในลกั ษณะผสมผสานบูรณาการ จัดเปน็ ชุดการเรียนแบบยดึ หวั ข้อเรอื่ ง หรอื จัดเปน็ โครงงานได้ ๔. การออกแบบการเรยี นการสอน จากสาระการเรียนรู้และผลการเรียนรู้รายปีหรือรายภาค สถานศึกษาตอ้ งมอบหมายให้ครผู ู้สอนทกุ คน ออกแบบการเรียนการสอน โดยคาดหวงั ว่าผู้เรยี นสามารถทาอะไรได้ในแต่ละช่วงช้ัน เช่น ช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๑-๓ นน้ั ผูเ้ รียนจะเรียนรู้สาระของแต่ละเรอื่ งทีก่ าหนดไดใ้ นระดับใด ๕. การกาหนดเวลาเรยี นและจานวนหนว่ ยกิต การจัดการศึกษาภาคบังคับ ๙ ปี สถานศึกษาต้องตระหนักถึงความจาเป็นท่ีจะต้องจัดการศึกษาขั้น พื้นฐานให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ โดยเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะในด้านการอ่าน การเขียน การ คิดเลข การคิดวิเคราะห์ และการใช้คอมพิวเตอร์ ด้วยวิธีการสอนที่ยึดหัวข้อเร่ืองจากกลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์หรือสังคมศกึ ษาเป็นหลักตามความเหมาะสมของท้องถ่ิน บูรณาการการเรียนร้ดู ้วยกลมุ่ สาระต่างๆ เขา้ กบั หัวขอ้ เรื่องท่ีเรยี นอย่างสมดลุ ควรกาหนดจานวนเวลาเรียนสาหรับสาระการเรยี นรรู้ ายปี ดงั น้ี ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๑-๓ ซ่ึงเป็นช่วงสุดท้ายของการศึกษาภาคบังคับ เป็นการเรียนที่มุ่งพัฒนา ความสามารถ ความถนัดและความสนใจของผู้เรียน นอกจากสถานศึกษาจะทบทวนการเรียนรู้ในกลุ่มสาระ ตา่ ง ๆ ท่ีไดเ้ รียนรู้ตามมาตรฐานการเรยี นรู้ที่กาหนดไว้แล้ว จะต้องจัดการเรียนแบบบรู ณาการเปน็ โครงงานมาก ข้ึน เป็นการเริ่มทาให้ผู้เรียนได้เข้าใจการศึกษาสู่โลกของการทางานตามความต้องการของท้องถิ่นและสังคม นวัตกรรมด้านการสอนและประสบการณ์ในการทางานด้านต่าง ๆ แม้แต่การเรียนภาษาก็สามารถเป็นชอ่ งทาง ส่โู ลกของการทางานได้ ตอ้ งชี้แจงให้ผู้เรียนได้ทราบว่าสังคมในอนาคตจะอยู่บนพ้ืนฐานของความรู้ สถานศกึ ษา
จึงต้องจัดบรรยากาศให้มีสภาพแห่งการเรียนรู้ท่ีสมบูรณ์ เป็นตัวอย่างแก่สังคม และควรจัดรายวิชาหรือ โครงงานทส่ี นองความถนดั ความสนใจของผเู้ รียนเพิ่มขึ้นด้วย ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ ๔-๖ ซ่ึงเป็นชว่ งสุดท้ายของการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน สถานศกึ ษาต้องจดั การเรียนรเู้ พื่อ เตรียมตวั ให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการศกึ ษาต่อในระดับท่ีสูงข้ึนหรือการประกอบอาชีพ ดังนั้นสถานศึกษาควร จดั การเรยี นการสอนเพื่อมุง่ สง่ เสรมิ ความถนดั และความสนใจของผู้เรียนในลักษณะรายวชิ าหรือโครงงาน แนวทางการจัดทาหลักสตู รสถานศึกษา เพื่อให้การจัดทาหลักสูตรสถานศึกษาดาเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุตามที่คาดหวัง กระทรวงศึกษาธกิ ารจึงกาหนดแนวทางการดาเนินงานดังนี้ ๑. การจัดทาสาระของหลกั สตู ร มีขนั้ ตอนดงั น้ี ๑.๑ กาหนดผลการเรียนรู้รายปีหรือรายภาค โดยวิเคราะห์จากมาตรฐานการเรียนรู้ที่กาหนดไว้ในแต่ ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ และจัดเป็นผลการเรียนรู้ การกาหนดการเรียนรู้รายปีหรือรายภาคควรระบุถึงความรู้ ความสามารถของผ้เู รยี นซึ่งจะเกดิ ขึ้นหลงั จากการเรยี นรู้ในแตล่ ะปีหรือแตล่ ะภาคนนั้ ๆ การกาหนดผลการเรียนรู้รายปีหรือรายภาคของสาระการเรียนรู้ของรายวิชาที่มีความเข้ม (Honour Course) ให้สถานศกึ ษากาหนดไดต้ ามความเหมาะสม สอดคล้องกบั การจดั รายวิชา ๑.๒ กาหนดสาระการเรียนรู้รายปีหรือรายภาค โดยวิเคราะห์จากผลการเรียนรู้รายปีหรือรายภาคท่ี กาหนดไว้ใน ๑.๑ ให้สอดคล้องกับสาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงช้ัน รวมท้งั สอดคล้องกับสภาพและความตอ้ งการของท้องถ่นิ และของชมุ ชน ๑.๓ กาหนดเวลาและหรอื จานวนหน่วยกิตสาหรับสาระการเรียนรู้รายภาคทั้งสาระการเรียนรู้พื้นฐาน และสาระการเรยี นรทู้ ส่ี ถานศกึ ษากาหนดเพิ่มเติมข้นึ ๑.๔ จัดทาคาอธิบายรายวิชา ทาไดโ้ ดยนาผลการเรียนรู้รายปีหรือรายภาค สาระการเรียนรู้รายปีหรือ รายภาค รวมท้ังเวลาและจานวนหน่วยกิตท่ีกาหนดไว้นามาเขียนเป็นคาอธิบายรายวิชา ประกอบด้วยชื่อ รายวชิ า จานวนเวลาหรอื จานวนหนว่ ยกติ มาตรฐานการเรยี นรู้ และสาระการเรียนร้ขู องรายวิชานน้ั ๆ แนวทางในการกาหนดชื่อรายวชิ าคือ ชอื่ รายวิชาของสาระการเรียนร้ใู ห้ใชต้ ามช่อื กลุ่มสาระการเรยี นรู้ ส่วนชื่อท่ีสถานศึกษาจัดทาเพิ่มเติม สามารถกาหนดได้ตามความเหมาะสม ท้ังน้ีต้องส่ือความหมายได้ชัดเจน และสอดคลอ้ งกับสาระการเรยี นรทู้ ่ีกาหนดไว้ในรายวิชานัน้ ๑.๕ จัดทาหน่วยการเรียนรู้ โดยนาสาระการเรียนรู้รายปีหรือรายภาคที่กาหนดไว้บรู ณาการจัดทาเป็น หน่วยการเรียนรู้หน่วยย่อย ๆ เพ่ือสะดวกในการจัดการเรียนรู้และผู้เรียนได้เรียนรู้ในลักษณะองค์รวม หน่วย การเรียนรู้แต่ละหน่วยประกอบด้วย มาตรฐานการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ และจานวนเวลาสาหรับการจัดการ เรียนรู้ เม่ือเรียนครบทุกหน่วยย่อยแล้ว ผู้เรียนสามารถบรรลุตามผลการเรียนรู้รายปีหรือรายภาคของทุก รายวิชา ในการจัดทาหน่วยการเรียนรู้ อาจบูรณาการทั้งภายในสาระการเรียนรู้กลุ่มเดียวกัน เช่น บูรณาการ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์กับเคมี ชีววิทยาและฟิสิกส์ เป็นต้น และระหว่างสาระการเรียนรู้ เช่น อาจจะ บูรณาการระหว่างสาระการเรียนรู้ของวิทยาศาสตร์กับสังคมและคณิตศาสตร์ เป็นต้น หรือบูรณาการเฉพาะ เรื่องตามลกั ษณะสาระการเรยี นรู้ หรือบูรณาการให้สอดคล้องกับวิถีชวี ิตของผเู้ รียน โดยพิจารณาจากมาตรฐาน การเรียนร้ทู เี่ ก่ยี วเนือ่ งสมั พันธก์ นั การจดั การเรยี นรู้สาหรับหนว่ ยการเรยี นรู้ในแตล่ ะช่วงช้นั สถานศกึ ษาต้องจัด ให้ผเู้ รยี นได้เรยี นรโู้ ดยการปฏิบัติโครงงานอย่างน้อย ๑ โครงงาน
๒. การจดั กจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนเข้าร่วมกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัย วุฒิภาวะ และความแตกต่าง ระหวา่ งบุคคลของผูเ้ รยี น โดยคานงึ ถึงสิ่งต่อไปนี้ ๒.๑ จัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อเก้ือกูลส่งเสริมการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ เช่น การบูรณาการ โครงงาน องคค์ วามรจู้ ากกลุม่ สาระการเรียนรู้ เปน็ ตน้ ๒.๒ จัดกิจกรรมตามความสนใจ ความถนัดตามธรรมชาติ ความสามารถ และความต้องการของผู้เรยี น และชมุ ชน เชน่ ชมรมทางวิชาการตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ ๒.๓ จัดกจิ กรรมเพ่ือปลูกฝังและสรา้ งจิตสานึกในการทาประโยชน์ตอ่ สงั คม เช่น กิจกรรมลกู เสือ เนตร นารี เปน็ ตน้ ๒.๔ จดั กจิ กรรมประเภทบรกิ ารด้านต่าง ๆ ฝึกการทางานทเี่ ปน็ ประโยชนต์ ่อตนเองและส่วนรวม ๒.๕ ประเมนิ ผลการปฏบิ ัตกิ ิจกรรมอยา่ งเปน็ ระบบ ๓. การกาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ สถานศึกษาต้องร่วมกับชุมชนกาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อเป็นเป้าหมายในการพัฒนา ผเู้ รียนด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม และค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมท่ีสถานศึกษาจะกาหนดเป็นคุณลักษณะอันพึงประสงค์น้ัน สามารถ กาหนดข้ึนได้ตามความต้องการ โดยให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความจาเป็นท่ีจะต้องปลูกฝังคุณธรรม จรยิ ธรรมและค่านิยมดังกลา่ วใหแ้ กผ่ เู้ รียนเพ่มิ จากท่กี าหนดไวใ้ นกลุ่มสาระการเรยี นรตู้ ่าง ๆ ในแต่ละภาคเรียนหรือปีการศกึ ษา ครูผสู้ อนต้องวดั และประเมนิ ผลรวมด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ของผ้เู รยี นโดยประเมินเชงิ วนิ ิจฉัยเพื่อปรับปรุงพัฒนาและส่งตอ่ ทงั้ นี้ควรประสานสมั พันธ์กบั ผเู้ รยี น ผู้ปกครอง และผเู้ กย่ี วข้อง ร่วมกันประเมินคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงคเ์ ป็นรายปหี รือรายภาค สถานศึกษาต้องจัดให้มีการวัดและประเมินผลรวมด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน เพ่ือให้ ทราบความกา้ วหน้าและพัฒนาการของผู้เรยี น และนาไปกาหนดแผนกลยุทธ์ในการปรับปรุงพัฒนาคุณลักษณะ ของผู้เรียนให้เป็นไปตามเปา้ หมาย เอกสารที่ไดร้ บั ๑) เอกสารประกอบการประชุมปฏบิ ัตกิ ารฯ จานวน ๑ เลม่ ๒) เอกสารตัวช้วี ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้คณติ ศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) จานวน ๑ เล่ม ๓) เอกสารตวั ชีว้ ัดและสาระการเรียนร้แู กนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) จานวน ๑ เลม่ ๔) เอกสารการเทยี บเคียงตวั ชี้วัดและผลการเรียนรู้ กลุม่ สาระการเรยี นรู้คณติ ศาสตร์ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ และสาระเทคโนโลยี (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) จานวน ๑ เล่ม ๒. ประโยชนท์ ไี่ ด้รับ พฒั นางานให้มีคุณภาพและผลสมั ฤทธ์ิยิ่งขึน้ พัฒนาตนเอง พัฒนาผเู้ รียน เพิ่มพูนประสบการณ์
ภาคผนวก
คำส่งั สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำข้ันพน้ื ฐำน ที่ 921/๒๕๖๑ เรื่อง ยกเลกิ มำตรฐำนกำรเรยี นรู้และตวั ชี้วัด สำระที่ ๒ กำรออกแบบและเทคโนโลยี และ สำระที่ ๓ เทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสื่อสำร ในกล่มุ สำระกำรเรียนร้กู ำรงำนอำชพี และเทคโนโลยี ตำมหลักสตู รแกนกลำงกำรศึกษำขนั้ พื้นฐำน พุทธศกั รำช 2551 และเปล่ียนชื่อกลุ่มสำระกำรเรียนรู้ -------------------------------------- อนุสนธิคำสั่งกระทรวงศึกษำธิกำร ท่ี สพฐ. 1239/2560 สั่ง ณ วันที่ 7 สิงหำคม 2560 เรอื่ ง ใหใ้ ช้มำตรฐำนกำรเรยี นร้แู ละตวั ชวี้ ัด กลุ่มสำระกำรเรียนรูค้ ณิตศำสตร์ วิทยำศำสตร์ และสำระภมู ิศำสตร์ ในกลุ่มสำระกำรเรียนรู้สังคมศึกษำ ศำสนำ และวัฒนธรรม (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตำมหลักสูตร แกนกลำงกำรศึกษำข้ันพื้นฐำน พุทธศักรำช 2551 และคำสั่งสำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำข้ันพื้นฐำน ที่ 30/2561 สั่ง ณ วันท่ี ๕ มกรำคม 2561 เรอื่ ง ใหเ้ ปลี่ยนแปลงมำตรฐำนกำรเรยี นรู้และตวั ชีว้ ดั กล่มุ สำระ กำรเรียนรู้คณิตศำสตร์ และวิทยำศำสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตำมหลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำ ข้นั พืน้ ฐำน พุทธศักรำช 2551 เพ่อื ให้สถำนศึกษำพัฒนำผู้เรยี นให้มีศักยภำพในกำรแขง่ ขนั และดำรงชวี ติ อย่ำง สรำ้ งสรรคใ์ นประชำคมโลก ตำมหลักปรัชญำของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ฉะนั้น อำศัยอำนำจตำมคำสั่งกระทรวงศึกษำธิกำร ท่ี สพฐ. 293/2551 เรื่อง ให้ใช้ หลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน พุทธศักรำช 2551 ให้เลขำธิกำรคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน โดยควำมเห็นชอบของคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพ้ืนฐำน มีอำนำจในกำรยกเลิก เพ่ิมเติม เปล่ียนแปลง หลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำข้ันพ้ืนฐำน พุทธศักรำช 2551 ให้เหมำะสมกับกลุ่มเป้ำหมำยและวิธีกำรจัด กำรศึกษำ ดังน้ัน เพื่อเป็นกำรลดควำมซ้ำซ้อนของเนื้อหำสำระเก่ียวกับเทคโนโลยี โดยควำมเห็นชอบของ คณะกรรมกำรกำรศึกษำข้ันพ้ืนฐำน ในครำวประชุมคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพ้ืนฐำน คร้ังท่ี ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันท่ี ๒๐ เมษำยน ๒๕๖๑ จึงใหด้ ำเนนิ กำรดงั น้ี ๑. ยกเลิกมำตรฐำนกำรเรียนรู้และตัวช้ีวัด สำระท่ี ๒ กำรออกแบบและเทคโนโลยี และสำระที่ ๓ เทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรส่ือสำร ในกลุ่มสำระกำรเรียนรู้กำรงำนอำชีพและเทคโนโลยี ตำมหลักสูตร แกนกลำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน พุทธศักรำช 2551 คงเหลือ ๒ สำระ คือ สำระท่ี ๑ กำรดำรงชีวิตและครอบครัว และสำระที่ 4 กำรอำชีพ ๒. เปลีย่ นชอ่ื สำระที่ 4 กำรอำชพี เป็น สำระท่ี ๒ กำรอำชพี ในกลุม่ สำระกำรเรยี นร้กู ำรงำนอำชีพ และเทคโนโลยี ตำมหลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำข้นั พ้นื ฐำน พทุ ธศกั รำช 2551 เงอื่ นไขและระยะเวลำกำรยกเลกิ และเปลีย่ นช่อื สำระ ตำมขอ้ ๑ และ ขอ้ 2 ให้เปน็ ไปดงั น้ี ๒ / ๑.ปีกำรศกึ ษำ...
๒ ๑. ปีกำรศึกษำ ๒๕๖๑ ให้ยกเลิกและเปล่ียนช่ือสำระในชั้นประถมศึกษำปีที่ ๑ และ ๔ และ ช้ันมธั ยมศึกษำปที ่ี ๑ และ ๔ ๒. ปีกำรศึกษำ ๒๕๖๒ ให้ยกเลิกและเปล่ียนช่ือสำระในชั้นประถมศึกษำปีที่ ๑ ๒ ๔ และ ๕ และชั้นมธั ยมศึกษำปที ี่ ๑ ๒ ๔ และ ๕ ๓. ต้ังแต่ปีกำรศึกษำ ๒๕๖๓ เปน็ ต้นไป ให้ยกเลิกและเปลีย่ นชอ่ื สำระทกุ ชนั้ เรียน ๔. ตั้งแต่ปีกำรศกึ ษำ ๒๕๖๓ ใหเ้ ปล่ียนช่อื กลุม่ สำระกำรเรียนรู้ ดงั น้ี ๔.๑ กลุม่ สำระกำรเรียนรู้กำรงำนอำชีพและเทคโนโลยี เป็น กลุ่มสำระกำรเรยี นรู้กำรงำนอำชพี ๔.๒ กลุ่มสำระกำรเรยี นรู้วทิ ยำศำสตร์ เป็น กลุ่มสำระกำรเรยี นรู้วทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี ทั้งนี้ ตงั้ แตบ่ ัดนีเ้ ปน็ ตน้ ไป ส่ัง ณ วันท่ี 3 พฤษภำคม พ.ศ. 25๖๑ (นำยบญุ รักษ์ ยอดเพชร) เลขำธิกำรคณะกรรมกำรกำรศึกษำข้นั พ้นื ฐำน
คำสง่ั สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขนั้ พื้นฐำน ท่ี 922/๒๕๖๑ เร่อื ง กำรปรับปรงุ โครงสรำ้ งเวลำเรยี น ตำมหลกั สตู รแกนกลำงกำรศึกษำขัน้ พื้นฐำน พทุ ธศกั รำช 2551 ---------------------------------------- อนุสนธิคำสั่งกระทรวงศึกษำธิกำร ที่ สพฐ. 1239/2560 ส่ัง ณ วันที่ 7 สิงหำคม 2560 เรอ่ื ง ใหใ้ ช้มำตรฐำนกำรเรยี นรู้และตัวชวี้ ดั กลุ่มสำระกำรเรียนรู้คณิตศำสตร์ วทิ ยำศำสตร์ และสำระภูมศิ ำสตร์ ในกลุ่มสำระกำรเรียนรู้สังคมศึกษำ ศำสนำ และวัฒนธรรม (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตำมหลักสูตร แกนกลำงกำรศึกษำข้ันพ้ืนฐำน พุทธศักรำช 2551 และคำสั่งสำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน ที่ 30/2561 สั่ง ณ วันท่ี ๕ มกรำคม 2561 เร่ือง ให้เปล่ียนแปลงมำตรฐำนกำรเรียนรู้และตัวช้ีวัด กลุ่มสำระ กำรเรียนรู้คณิตศำสตร์ และวิทยำศำสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตำมหลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำ ข้ันพื้นฐำน พุทธศักรำช 2551 เพื่อให้สถำนศึกษำพัฒนำผู้เรียนให้มีศักยภำพในกำรแข่งขันและดำรงชีวิต อย่ำงสร้ำงสรรค์ในประชำคมโลก ตำมหลักปรัชญำของเศรษฐกจิ พอเพียง ฉะนั้น อำศยั อำนำจตำมคำส่ังกระทรวงศึกษำธิกำรท่ี สพฐ. 293/2551 เร่ือง ให้ใช้หลักสูตร แกนกลำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน พุทธศักรำช 2551 ให้เลขำธิกำรคณะกรรมกำรกำรศึกษำข้ันพ้ืนฐำน โดย ควำมเห็นชอบของคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน มีอำนำจในกำรยกเลิก เพ่ิมเติม เปล่ียนแปลงหลักสูตร แกนกลำงกำรศึกษำขั้นพ้ืนฐำน พุทธศักรำช 2551 ให้เหมำะสมกับกลุ่มเป้ำหมำยและวิธีกำรจัดกำรศึกษำ ดังน้ัน เพ่ือให้สถำนศึกษำสำมำรถบริหำรจัดกำรเวลำเรียนได้เหมำะสมกับบริบทและจุดเน้นของสถำนศึกษำ โดยควำมเห็นชอบของคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำขั้นพ้ืนฐำน ในครำวประชุมคณะกรรมกำรกำรศึกษำข้ันพ้ืนฐำน คร้ังท่ี ๔/๒๕๖๑ เมอ่ื วันที่ ๒๐ เมษำยน ๒๕๖๑ จึงปรับปรงุ โครงสร้ำงเวลำเรยี นใหม้ คี วำมยดื หยุน่ ดังนี้ ๑. ระดบั ประถมศกึ ษำ 1) ปรับเวลำเรียนพื้นฐำนของแต่ละกลมุ่ สำระกำรเรียนรูไ้ ด้ตำมควำมเหมำะสม สอดคล้องกับ บริบท จุดเน้นของสถำนศึกษำ และศักยภำพของผู้เรียน โดยจัดเวลำเรียนพื้นฐำนสำหรับสำระประวัติศำสตร์ ๔๐ ช่ัวโมงต่อปี ท้ังนี้ ต้องมีเวลำเรียนพื้นฐำนรวม จำนวน 840 ช่ัวโมงต่อปี และผู้เรียนต้องมีคุณภำพ ตำมมำตรฐำนกำรเรียนรแู้ ละตัวชวี้ ัดทก่ี ำหนด 2) จัดเวลำเรยี นเพ่ิมเตมิ โดยจดั เปน็ รำยวิชำเพม่ิ เตมิ หรือกจิ กรรมเพ่มิ เติมให้สอดคลอ้ งกับ จุดเน้นและควำมพร้อมของสถำนศึกษำ และเกณฑ์กำรจบหลักสูตร เฉพำะระดับช้ันประถมศึกษำปีที่ ๑ – ๓ สถำนศึกษำอำจจัดให้เป็นเวลำสำหรับสำระกำรเรียนรู้พ้ืนฐำนในกลุ่มสำระกำรเรียนรู้ภำษำไทยและกลุ่มสำระ กำรเรยี นรู้คณิตศำสตร์ 3) จัดเวลำสำหรับกจิ กรรมพฒั นำผู้เรียน จำนวน ๑๒๐ ชั่วโมงต่อปี 4) จัดเวลำเรียนรวมทั้งหมด ให้เป็นไปตำมควำมเหมำะสมของสถำนศึกษำ ทั้งน้ี ควรคำนึงถึง ศักยภำพและพัฒนำกำรตำมช่วงวัยของผู้เรียนและเกณฑก์ ำรจบหลักสตู ร ๒ / ๒.ระดบั มัธยมศกึ ษำตอนต้น...
๒ 2. ระดับมธั ยมศกึ ษำตอนตน้ 1) ปรบั เวลำเรียนพื้นฐำนของแต่ละกลุ่มสำระกำรเรยี นรู้ได้ตำมควำมเหมำะสม สอดคล้องกับ บริบท จุดเน้นของสถำนศึกษำ และศักยภำพของผู้เรียน โดยจัดเวลำเรียนพื้นฐำนสำหรับสำระประวัติศำสตร์ ๔๐ ช่ัวโมงต่อปี หรือ ๑ หน่วยกิตต่อปี ทั้งน้ี ต้องมีเวลำเรียนพ้ืนฐำนรวม จำนวน 880 ชั่วโมงต่อปี หรือ 22 หน่วยกิตต่อปี และผู้เรียนต้องมีคุณภำพตำมมำตรฐำนกำรเรียนรู้และตัวช้ีวัดท่ีกำหนด และสอดคล้องกับ เกณฑ์กำรจบหลักสตู ร 2) จดั เวลำเรียนเพม่ิ เติม โดยจัดเปน็ รำยวชิ ำเพ่ิมเติม หรอื กจิ กรรมเพม่ิ เติมให้สอดคลอ้ งกับ จดุ เน้นและควำมพร้อมของสถำนศึกษำ และเกณฑก์ ำรจบหลกั สูตร 3) จดั เวลำสำหรับกจิ กรรมพัฒนำผูเ้ รยี น จำนวน ๑๒๐ ชัว่ โมงต่อปี 4) จัดเวลำเรียนรวมทั้งหมด ให้เป็นไปตำมควำมเหมำะสมของสถำนศึกษำ ท้ังน้ี ควรคำนึงถึง ศกั ยภำพและพฒั นำกำรตำมชว่ งวยั ของผเู้ รียนและเกณฑ์กำรจบหลักสูตร ๓. ระดับมธั ยมศกึ ษำตอนปลำย 1) ปรบั เวลำเรยี นพื้นฐำนของแต่ละกลมุ่ สำระกำรเรยี นรู้ได้ตำมควำมเหมำะสม สอดคล้องกับ บริบท จุดเน้นของสถำนศึกษำ และศักยภำพของผู้เรียน โดยจัดเวลำเรียนพ้ืนฐำนสำหรับสำระประวัติศำสตร์ รวม ๓ ปี จำนวน 8๐ ช่ัวโมง หรือ ๒ หนว่ ยกิต ทั้งนี้ ต้องมีเวลำเรียนพื้นฐำนรวม 3 ปี จำนวน 1,640 ช่ัวโมง หรือ 41 หน่วยกิต และผู้เรียนต้องมีคุณภำพตำมมำตรฐำนกำรเรียนรู้และตัวชี้วัดที่กำหนด และสอดคล้องกับ เกณฑก์ ำรจบหลกั สูตร 2) จดั เวลำเรียนเพ่ิมเตมิ โดยจดั เปน็ รำยวชิ ำเพมิ่ เตมิ หรอื กิจกรรมเพ่ิมเติมใหส้ อดคลอ้ งกับ จดุ เน้นและควำมพรอ้ มของสถำนศกึ ษำ และเกณฑก์ ำรจบหลักสูตร 3) จัดเวลำสำหรบั กิจกรรมพัฒนำผู้เรียน รวม ๓ ปี จำนวน ๓๖๐ ชั่วโมง 4) จัดเวลำเรียนรวมท้ังหมด ให้เป็นไปตำมควำมเหมำะสมของสถำนศึกษำ ท้ังนี้ ควรคำนึงถึง ศักยภำพและพัฒนำกำรตำมชว่ งวัยของผู้เรียนและเกณฑก์ ำรจบหลกั สตู ร ทงั้ น้ี ต้งั แตบ่ ัดนี้เป็นต้นไป สัง่ ณ วันท่ี 3 พฤษภำคม พ.ศ. 25๖๑ (นำยบญุ รกั ษ์ ยอดเพชร) เลขำธกิ ำรคณะกรรมกำรกำรศึกษำขัน้ พื้นฐำน
Search
Read the Text Version
- 1 - 30
Pages: