Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เนื้อหา 1

เนื้อหา 1

Published by Saranjit Pombubpha, 2021-01-24 03:47:34

Description: เนื้อหา 1

Search

Read the Text Version

พนิ อนิ 拼音 พินอินคืออะไร ก่อนที่เราจะไปเรยี นภาษาจนี กันแบบจริงจงั จะอธิบายความหมายของ “พนิ อนิ ” ให้ทุกคนเขา้ ใจกอ่ น “Pinyin พนิ อิน 拼音” คือตวั ชว่ ยใหเ้ ราอา่ นออกเสยี งภาษาจนี ได้อยา่ งถูกต้อง เพราะบางครั้งเวลาใช้ ภาษาไทยในการจดคำอา่ นภาษาจีน มนั อาจจะทำให้อ่านผิดเพ้ียนหรอื อ่านไดไ้ ม่ถกู ต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ พินอนิ มี ลกั ษณะเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ ซง่ึ ผู้เรียนสามารถเข้าใจ และจดจำได้งา่ ย และในเนื้อหาน้ีกจ็ ะใช้เปน็ พินอนิ ท้ังหมด เพ่ือความง่ายและถกู ตอ้ ง ถ้าเทยี บกับภาษาไทยแล้ว พินอนิ กเ็ ปรียนเสมือนสระและพยญั ชนะของภาษาจนี พินอิน หรอื Pinyin คือ ตวั หนังสือจนี เปน็ ตัวหนงั สือรปู ภาพ ไม่ใชต่ ัวหนังสือที่เกิดจากการประสม พยญั ชนะแบบภาษาไทยหรอื อังกฤษ ทำใหช้ าวต่างชาติท่ีเร่ิมเรยี นภาษาจนี ประสบปญั หาการเรยี นมาก แมก้ ระท่งั คนจีนเองกเ็ ชน่ กัน การจะจำตวั หนังสอื ให้ได้มากๆ ไมใ่ ชเ่ ร่ืองงา่ ย เพอื่ อำนวยความสะดวกในการเรยี นตัวหนงั สือจนี คนจีนจึงได้ประดษิ ฐช์ ุดอักษรที่ใชใ้ นการสะกดเสยี งตวั หนังสือจีนหรือ “สทั อักษร”ขนึ้ มา ปัจจุบนั นม้ี ีสทั อักษรใชก้ ันอยู่สองแบบใหญ่ๆคือ แบบ จอู้ นิ ZhuYin และแบบ พินอนิ PinYin โดยจู้อินนน้ั นยิ มใชใ้ นไตห้ วัน สงิ คโปร์ ส่วนพนิ อิน นิยมใชก้ ันมากในจีนแผน่ ดนิ ใหญ่ และประเทศอืน่ ๆที่มกี ารติดตอ่ กับจนี แผ่นดินใหญ่ หรอื ขออาจารย์จากจนี แผ่นดนิ ใหญ่ไปช่วยสอน รวมถึงประเทศไทยดว้ ย ทุกวันนก้ี ารสอนภาษาจีน สว่ นใหญ่ในประเทศไทยก็ใชพ้ ินอนิ บางคนอาจจะยงั ไม่รวู้ า่ จริงๆแลว้ ภาษาจนี นั้นมีแบง่ อยู่2 แบบ ไดแ้ ก่ แบบจนี และ แบบไตห้ วนั ถา้ เปน็ แบบไตห้ วนั เขายังคงยดึ แบบดั้งเดิมของจีนที่ใชก้ นั มาชา้ นาน นั้นก็คอื ตัวอักษรจนี แบบตวั เตม็ และใช้ระบบจู้อนิ Zhuyin ( 注音) ในการสะกดคำ แต่ ณ ปัจจบุ นั นี้ ในประเทศจนี ได้เปล่ียนแปลงมาใช้ระบบพนิ อนิ Pinyin (拼 音) ซ่งึ เป็นระบบทใ่ี ช้อกั ษรโรมันมาใชเ้ ปน็ สญั ลักษณใ์ นการสะกดคำ ซึ่งมันทำใหง้ า่ ยต่อการเรียภาษาจนี มากขึ้น ซ่ึงทำให้ระบบนเี้ ปน็ ที่แพรห่ ลายมากกวา่ ระบบจู้อิน ที่ใชต้ วั อักษรทค่ี ดิ ค้นขนึ้ มาเอง และในวันน้เี ราจะมาเรียนการ สะกดคำงา่ ยๆแบบ Pinyin กัน จูอ้ ิน และ พนิ อนิ มหี ลักการใช้งานเหมอื นกันเพียงแตส่ ญั ลักษณ์ท่นี ำมาใช้ไม่เหมือนกันเท่าน้ัน พนิ อินใช้ ตัวอกั ษรโรมัน เช่น a, b, c เป็นตน้ มาเปน็ ตวั พยัญชนะและสระ คนสว่ นมากจะค้นุ เคยกับตัวอักษรนี้อยู่แลว้ ไม่

จำเปน็ ตอ้ งท่องจำเพมิ่ เตมิ ส่วนจู้อิน เป็นสัญลกั ษณพ์ เิ ศษเฉพาะ ผเู้ รยี นต้องท่องจำตวั สัญลักษณจ์ ู้อนิ เพ่ิมเติม ใน ท่นี ีจ้ ะเรยี กไดว้ ่า พินอินคือคำออกเสียงภาษาจีนกลางน่ันเอง ทำไมเรียนภาษาจนี ตอ้ งเรม่ิ เรียนพินอนิ กอ่ นเปน็ อันดบั แรก เนอื่ งจากอักษรจนี เปน็ อกั ษรทพ่ี ัฒนามาจากรูปภาพ และได้ววิ ัฒนาการจนมาเปน็ อกั ษรเฉกเช่นปจั จบุ ัน เพราะฉะน้ันแค่ มองตวั อักษรเราจะไมร่ ้วู า่ มันสะกดยงั ไง ต้องใช้ความจำเพยี งอยา่ งเดยี ว “ตายละ่ ใครจะไปจำได้ ตวั อกั ษรเยอะแยะตาแปะขายไข่ ขนาดน้นั ” เพราะฉะน้นั เราถึงต้องเรยี นวิธีเขียนอา่ นตัวสะกดภาษาจนี เอาไว้ หรือทเี่ รยี กวา่ พินอินซึง่ เปรียบเสมอื น ก.ไก่ ข.ไข่ ใน ภาษาไทยน่นั เอง มนั จะช่วยทำใหช้ าวตา่ งชาตอิ ยา่ งเราเขียนอา่ นภาษาจนี ไดส้ ะดวก แลว้ ยังช่วยเราออกเสยี งได้อย่างถูกตอ้ ง ด้วย นอกจากน้นั ใครทร่ี พู้ ินอินแลว้ กส็ ามารถพมิ พ์ภาษาจีนได้อยา่ ง่ายดาย พินอนิ ไมใ่ ชก่ ารถอดเสยี งแบบภาษาองั กฤษ หลายๆคนคงคิดว่าพินอนิ คือการถอดเสียงแบบภาษาอังกฤษ งา่ ยๆไม่เหน็ จำเป็นตอ้ งเรยี น ขอให้คิดใหม่ได้ เลยยย จริงๆแล้วมันแค่ยมื อกั ษรโรมนั มาแทนเสียงตัวสะกด เชน่ อกั ษร q ในระบบพินอินเป็นเสียง “ช” ไมต่ รงกับ ในภาษาอังกฤษเลย และยงั มีกฏอกี มากมาย เชน่ การผสมคำ และการใสเ่ สยี งวรรณยุกต์ท่ีแตกต่างจากระบบการ ออกเสยี งในภาษาอังกฤษอยา่ งส้ินเชิง

องคป์ ระกอบของสทั อกั ษรพินอนิ 1. พยางค์ หนว่ ยเสียงพ้นื ฐานของระบบเสียงภาษาจีนกลางปจั จบุ นั คือพยางค์ แต่ละพยางค์ประกอบขึน้ จากหน่วย เสียง 3 สว่ น ได้แก่ พยญั ชนะ สระและวรรณยกุ ต์ โดยท่ัวไปแลว้ ตวั อกั ษรจนี หน่งึ ตัวจะอ่านออกเสียงหนึ่งพยางค์ 2. พยัญชนะ zh พยญั ชนะคือเสียงนำท่ีขนึ้ ตน้ ในแต่ละพยางค์ ในภาษาจนี กลางมีพยัญชนะทั้งหมด 23 เสียง ได้แก่ b pm f d t n l g k h j q x ch sh r z c s y w พยัญชนะ วธิ ีการออกเสยี ง b p ป m พ f ม d ฟ t เตอ n เทอ l เนอ เลอ

g เกอ k เคอ h เฮอ j จี q ชี x ซี z จอื c ชือ s ซือ zh จรือ(อา่ นเปน็ เสียงเดียว) ch ชรือ(อา่ นเปน็ เสียงเดยี ว) sh ซรอื (อ่านเปน็ เสยี งเดยี ว) r ยรือ(อ่านเปน็ เสียงเดยี ว) y ยี w อู

3. สระ สระ หมายถึง เสยี งท่ีออกตามหลงั พยญั ชนะในแตล่ ะพยางค์ สระในภาษาจีนแบ่งออกเป็นเสยี งสระล้วน และเสียงทปี่ ระกอบขน้ึ จากเสียงสระเปน็ หลัก(เน่ืองจากระบบเสยี งภาษาจนี กลางไดร้ วมเอาเสยี งตัวสะกดไว้กบั เสียงสระ สระประเภทนจ้ี งึ หมายถึงเสียงสระที่ประสมรวมกับเสยี งสะกด ซ่งึ เทยี บไดก้ ับเสียงตัวสะกดแม่กน /n/ และแม่กง/ng/ ในภาษาไทย) สระจำนวนหน่งึ สามารถประสมกนั กลายเปน็ สระประสม และเมื่อเรานำสระมา ประสมไว้หลังพยญั ชนะกจ็ ะกลายเปน็ พยางค์ในระบบสัทอักษรพินอนิ ในภาษาจีนกลางมสี ระทง้ั หมด 36 เสียง ไดแ้ ก่ เสียงสระ 韵母 ท้ัง 36 เสียงของภาษาจีน 1. สระเดย่ี ว มี 6 เสียง สระเดยี่ ว วิธีการออกเสียง a o อา e โอ i เออ u อี ü อู อวี(อา่ นเป็นเสยี งเดียว) 2. สระผสม มี 30 เสยี ง • a) ai ao an ang

• o) ou ong • e) er ei en eng • i) ia iao ie iu ian in iang ing iong • u) ua uo uai ui uan un uang ueng • ü) üe üan ün วิธีการผสมเสยี ง(พยัญชนะ+สระ) วิธีการผสมเสยี งตอ้ งประกอบดว้ ย พยัญชนะ + สระ + เสียงวรรณยุกต์ 1. พยญั ชนะ รวมกบั สระเดีย่ ว 1 ตวั เช่น P + a = Pa 2. พยญั ชนะ รวมกบั สระผสม เชน่ • สระผสม 2 ตวั เชน่ bai gei hao tou ฯลฯ • สระผสม 3 ตัว เช่น ban g teng tong ฯลฯ • สระผสม 4 ตัว เชน่ xiong liang lieng ฯลฯ 4. การอ่านรวมเปน็ พยางค์ ในภาษาจีนกลาง มีพยัญชนะและสระอย่จู ำนวนหน่ึงทีป่ ระสมรวมกนั เปน็ เสียงพยางคเ์ ฉพาะ เวลาอ่านเรา จะไมส่ ะกดแบ่งพยางค์ประเภทนี้ออกเปน็ เสยี งพยัญชนะและเสียงสระ แตจ่ ะอ่านรวมออกมาเป็นพยางค์ พยางค์ เฉพาะเหล่านี้มีทั้งหมด 16 เสียง ไดแ้ ก่ zhi chi shi ri zi ci si ye yi yin ying wu yu yue yun yuan 5. พยางค์ทไ่ี ม่มีเสยี งพยญั ชนะ

นอกจากน้หี น่วยเสียงจำนวนหนงึ่ ในระบบเสียงภาษาจนี กลางจะไม่มีเสียงพยัญชนะ พยางค์ประเภทน้ี เรียกวา่ พยางค์ทไ่ี มม่ ีเสยี งพยัญชนะ เชน่ ān 安 (สงบสุข) a 啊 (คำช่วยน้ำเสียง) 6.เครอ่ื งหมายค่นั เสียง เม่ือพยางค์ทีข่ ้ึนตน้ ดว้ ยเสียง a, o, e อยูห่ ลงั พยางค์อ่ืน และทำให้การสะกดแบ่งพยางคไ์ มช่ ัดเจน เราจะ ใชเ้ ครือ่ งหมายคนั่ เสียง(’)มาคัน่ ระหว่างพยางค์ เช่น jī'è 饥饿 (หิวโหย) ถ้าหากไม่ใสเ่ คร่ืองหมาย(’)จะกลายเปน็ jiè 借 (ยืม) míng'é 名额 (จำนวนโควตา้ ) ถา้ หากไม่ใสเ่ คร่ืองหมาย(’)จะกลายเปน็ mín'gē 民歌 (เพลงพน้ื บ้าน) 7. แม่สะกดในภาษาจนี ท่ีต้องตามหลงั เสยี งสระ • -n เหมอื นแม่กนและกงในภาษาไทย • -ng เหมอื นแม่กง • r มไี วแ้ สดงเสยี งเอ้อ ตอ้ งเอาปลายลิน้ งอข้ึนไปแตะทีเ่ พดานปาก สระ u (อู) ไมใ่ ช้ กับพยญั ชนะ y, j, q, x สระ ü อวี -ถา้ ใช้ควบคู่กับพยัญชนะ y, j, q, x จะต้องตัดจุดสองจดุ ท่ีอยู่ข้างบนของ ü ออกไป เชน่ ü –> yu üe –> yue -ถ้าใชค้ วบค่กู ับพยญั ชนะ l, n จะละสองจุดไม่ได้ ไม่นั้นจะไปซ้ำกบั เสยี งu (อ)ู ทำใหเ้ กดิ การสับสนได้ กฎการเขยี นสัทอกั ษรพินอิน

โดยทั่วไป สัทอักษรพินอนิ ของพยางคต์ า่ งๆ ประกอบขน้ึ จากการสะกดรวมของเสียงพยัญชนะและสระ จากนนั้ จงึ ใสเ่ สียงวรรณยกุ ตป์ ระกอบเข้าไป กฎการเขียนและสะกดพยางค์ของพยญั ชนะและสระมีดงั น้ี 1. เสียงวรรณยุกต์พน้ื ฐาน เสยี งวรรณยุกตพ์ ้ืนฐานในภาษาจนี กลางมี 4 เสียง ไดแ้ ก่ เสยี งหน่งึ เป็นเสยี งสงู เสียงสอง เป็นเสียงขน้ึ เสยี งสาม เปน็ เสยี งต่ำ เสยี งสี่ เปน็ เสียงตก เสยี งวรรณยกุ ตท์ ง้ั สใี่ ช้เคร่ืองหมาย ˉ, ˊ,√ และ ˋ แทนตามลำดบั เครอ่ื งหมายวรรณยุกต์ทงั้ สี่จะ เขียนไวบ้ นเสยี งหลกั ของสระในแตล่ ะพยางค์ (เสียงหลักของสระหมายถึงเสียงที่ต้องอ้าปากกวา้ งและออกเสยี งดงั ท่ี สุดในบรรดาเสยี งท่ปี ระกอบขึ้นเป็นสระ) เช่น

qiāng, qiáng, qiǎng, qiàng tuī, tuí, tuǐ, tuì เสียงวรรณยกุ ต์ในภาษาจนี กลางมคี ุณสมบัตใิ นการแยกความหมาย ดงั นน้ั หากเสียงวรรณยกุ ตต์ ่างกัน ความหมาย กจ็ ะต่างไปด้วย 2. เสยี งเบา พยางคป์ ระเภทหนึง่ เมื่ออย่หู ลังพยางค์อืน่ แลว้ จะต้องอ่านออกเสยี งสน้ั และเบา พยางค์ประเภทน้เี รียกว่า เสยี งเบา เวลาเขยี นพยางค์ท่ีเป็นเสียงเบาจะไม่ใชเ้ คร่ืองหมายวรรณยุกต์ใดๆ กำกบั เชน่ hǎo ma? 好吗 (ดีไหม) bō li 玻璃 (แก้ว, กระจก) 3. การกลายเสยี ง ในบางครั้งการอ่านพยางคห์ ลายๆ พยางค์ตดิ กัน เสียงวรรณยกุ ต์บางพยางค์จะเกดิ การเปลีย่ นแปลง เสยี ง อ่านจะไมเ่ หมือนกบั เวลาอา่ นพยางค์นน้ั โดยลำพัง การเปล่ียนแปลงของเสยี งวรรณยกุ ตแ์ บบนีเ้ รยี กว่า การกลาย เสยี ง รปู แบบการกลายเสียงมี 3 แบบดว้ ยกนั คอื • เมอื่ วรรณยุกต์เสียงสามอยูต่ ิดกันสองพยางค์ เสียงวรรณยกุ ต์ของพยางค์หน้าจะกลายเสียงเปน็ วรรณยกุ ต์เสียง สอง (แต่เวลาเขยี น ให้คงเคร่ืองหมายวรรณยุกต์เดิม คือ เครอื่ งหมายวรรณยุกตเ์ สียงสามไว้) เชน่ 你好“nǐ hǎo” ก็ต้องออกเสยี งเป็น “ní hǎ • เม่อื พยางค์วรรณยกุ ต์เสียงสามอยู่หน้าพยางค์วรรณยกุ ต์เสียงหนง่ึ เสียงสอง เสียงสแ่ี ละพยางคเ์ สียงเบาสว่ นใหญ่ จะต้องกลายเสยี งวรรณยกุ ต์เปน็ เสยี ง “คร่ึงเสยี งสาม” วรรณยุกต์เสยี ง “คร่ึงเสียงสาม”ก็คือ การออกเสียงสาม เพียงครึง่ เสียงแรกที่เป็นเสียงตก เช่น

lǎo shī 老师 (ครู, อาจารย)์ yǔ yán 语言 (ภาษา) • คำวา่ “不” และ “一” ในภาษาจนี กลางจะมีการกลายเสียงเฉพาะ กลา่ วคือ เม่ือ “不” และ “一” อยหู่ น้า พยางคเ์ สยี งส่หี รือพยางค์เสยี งเบาท่ีกลายมาจากเสียงส่ี จะต้องออกเสยี งว่า “bú” และ “yí” ตามลำดบั เชน่ bú shì 不是 ; yí gè 一个 แตห่ ากสองคำน้ีอย่หู น้าพยางคเ์ สยี งหนึง่ เสยี งสองและเสยี งสาม ก็ยังคงออกเสียงเปน็ เสียงสี่ตามเดิมว่า “bù” และ “yì” เช่น bù shuō 不说 ; bù lái 不来 ; bù hǎo 不好 yì tiān 一天 ; yì nián 一年 ; yì qǐ 一起 4. พยางคเ์ สริมท้ายด้วยเสียง er พยางค์เสรมิ ทา้ ยด้วยเสียง er หมายถึง พยางค์ทเี่ กิดจากการเพ่มิ เสียง er(-r) ต่อข้างทา้ ยเสยี งสระ ใน ภาษาจีนกลางมีคำจำนวนมากทม่ี ีการเสริมท้ายด้วยเสยี ง er เวลาเขียนสัทอักษรพนิ อินใหเ้ พิม่ ตัว r ต่อท้ายสระ หากเขยี นเป็นตวั อกั ษรจีนใหเ้ ขียนตัว “儿” ต่อทา้ ยคำ เชน่ gēr 歌儿 (เพลง) ; huār 花儿 (ดอกไม้) หากเป็นพยางคม์ สี ระท่ลี งท้ายด้วยเสยี ง –i หรือ –n เมอ่ื จะประกอบเปน็ พยางค์เสริมท้ายดว้ ยเสียง er ก็จะไม่ออก เสยี ง –i หรือ -n เช่น xiǎo háir 小孩儿 (เดก็ ) ; wánr 玩儿 (เลน่ ) การอา่ นพยัญชนะ https://www.youtube.com/watch?v=B1PWm--tdP4&t=16s การอ่านสระ https://www.youtube.com/watch?v=ko5rKtoB9xw


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook