Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Natthaporn Montree-006

Natthaporn Montree-006

Published by booky231242, 2021-09-20 16:08:26

Description: Natthaporn Montree-006

Search

Read the Text Version

สรปุ ประมวลความรูท้ ่ไี ด้จากการเรยี นในรายวชิ า สัมมนาวทิ ยาศาสตร์

จดั ทาโดย นางสาวณัฐพร มนตรี รหัสนกั ศึกษา 61003161006 กลุ่มเรียน 6100316101 สาขา : การสอนวทิ ยาศาสตรท์ วั่ ไป คณะครศุ าสตร์

ความหมายของวทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หมายถงึ ความรู้เกี่ยวกับสง่ิ ต่าง ๆ ในธรรมชาตทิ ้ังท่ีมชี ีวติ และ ไม่มีชวี ติ รวมทง้ั กระบวนการประมวลความรูเ้ ชงิ ประจกั ษ์ ที่เรียกว่า กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และกลมุ่ ขององคค์ วามรทู้ ไ่ี ดจ้ ากกระบวนการ ดังกลา่ ว ความสาคัญของวทิ ยาศาสตร์ ความสาคัญของวทิ ยาศาสตร์ ทาใหค้ นไดพ้ ฒั นาวิธคี ดิ ทั้งความคิดเป็นเหตุ เป็นผล คิดสรา้ งสรรค์ คดิ วเิ คราะห์ มีทักษะสาคัญในการค้นคว้าหาความรู้ มีความสามารถในการแก้ปญั หาอยา่ งเปน็ ระบบ

ความหมายของการวิจัย การวิจัย หมายถงึ กระบวนการคน้ ควา้ หาองค์ความรอู้ ย่างเป็น ระบบแบบแผน มีความนา่ เชือ่ ถือ และมีวัตถุประสงคท์ ช่ี ดั เจนแน่นอน เพ่ือใหไ้ ดร้ บั ความรู้ ความจรงิ ที่น่าเชอ่ื ถือ ถกู ตอ้ ง ความสาคญั ของการวิจยั เพ่อื เพม่ิ พนู ความรใู้ หม่ ๆ ทางวชิ าการ เป็นการแสดวงหาความรคู้ วามจริง เพอ่ื สร้างเปน็ กฎ สูตร ทฤษฎี ใน แต่ละศาสตร์วชิ า

ระเบียบวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ 1.ขั้นกาหนดปญั หา เกดิ จากการสงั เกต โดยการใชป้ ระสาทสมั ผสั ท้งั 5 ซ่งึ การกาหนด ปญั หาตอ้ งมคี วามชัดเจน 2. ขนั้ ต้ังสมมติฐาน เปน็ การคิดหาคาตอบล่วงหน้า กอ่ นจะทาการทดลอง โดยอาศยั การสังเกตความรแู้ ละประสบการณเ์ ดิม 3. ขน้ั ทดลอง เปน็ การตรวจสอบสมมตฐิ าน 4. ขัน้ วิเคราะหข์ ้อมลู นาขอ้ มูลทีไ่ ดจ้ ากการสังเกต คน้ คว้า ทดลอง มาทา การวิเคราะห์ผล 5. ขน้ั สรุปผล เกดิ จากการนาขอ้ มูลหรอื ขอ้ เทจ็ จริงท่ีไดจ้ ากการทดลองมา วิเคราะห์ผลและหาความสัมพันธ์ระหว่างขอ้ มลู หรือขอ้ เทจ็ จริง เพ่อื นามาอธิบาย และตรวจดสู มมตฐิ าน วา่ ถกู ต้องหรอื ไม่

 ทม่ี าของปัญหาการวจิ ัย การเขยี นความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา จะต้องเขียนให้เหน็ ความสาคญั ของปญั หา หรอื หวั ข้อท่จี ะทาการวิจยั โดยเน้นใหเ้ ห็นประเด็นสาคัญต่าง ๆ ที่มสี ่วนเก่ยี วกับปญั หาทีท่ าการ วจิ ัยโดยตรง สิ่งทคี่ วรคานงึ ในการเขียนมี ดังนี้ 1. เขยี นใหต้ รงประเดน็ 2. ควรใช้ขอ้ มูลอา้ งองิ เพ่ือใหเ้ หตุผลน้นั ดมู ีน้าหนกั สมควรทจ่ี ะทาการวิจยั 3. เขยี นใหเ้ ขา้ ใจง่าย โดยนาเสนอเป็นประเดน็ ๆ เปน็ ลาดับต่อเนื่อง  การต้งั คาถามการวจิ ยั - การต้ังคาถามประกอบดว้ ย ใคร ทาอะไร ทีไ่ หน อย่างไร และตรงประเด็น ในงานวจิ ยั หรอื ไม่

การตัง้ สมมตฐิ าน 1. ตั้งสมมตฐิ านจากการศึกษาค้นคว้า 2. ใชข้ อ้ ความทชี่ ัดเจน เข้าใจงา่ ย และสอดคล้องกับ จุดมุ่งหมายของงานวิจยั 3. สามารถอธิบายเหตผุ ลสนบั สนนุ สมมตฐิ านของ ตนเองได้ 4. ตั้งสมมตฐิ านในลักษณะทีเ่ ปน็ การยอมรบั / ปฏเิ สธ  ความจรงิ กับสมมติฐานแตกตา่ งกันหรือไม่ แตกต่างกนั ตรงทส่ี มมติฐานเปน็ การคาดการณ์ซึ่งอาจจะ เป็นไปตามที่คาดการณไ์ วห้ รอื ไม่กไ็ ด้

 ตวั แปรในการวิจยั 1. ตวั แปรอิสระ คือ ตวั แปรท่ีเกิดขน้ึ กอ่ น และส่งใหเ้ กดิ ผลตามมา 2. ตัวแปรตาม คอื ตัวแปรท่เี กดิ ขึ้นเนอ่ื งจาก ตวั แปรอสิ ระ

ความหมายและความสาคัญของการทดลองวทิ ยาศาสตร์ การทดลองวทิ ยาศาสตร์ คือ การออกแบบการทดลองเพื่อศึกษาหลักการ ความรู้ หา ข้อเทจ็ จริงทางวิทยาศาสตร์ การทดลองวทิ ยาศาสตร์ช่วยใหน้ กั เรยี นสามารถเรยี นรูด้ ้าน การปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์ สนกุ กับการทดลองหาคาตอบ เพราะการ เรียนรู้ทางทฤษฎีบางคร้ังจะกลายเป็นเร่ืองนา่ เบือ่ ดงั นั้นหากใหน้ กั เรียนมี การทดลองควบคู่กับการสอนทางทฤษฎี จะช่วยให้นกั เรยี นสามารถเขา้ ใจ ในเรือ่ งท่เี รียนได้ดีขึ้น การทดลองวทิ ยาศาสตรเ์ ป็นกระบวนการท่ีสามารถ ฝกึ ทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์ให้แกน่ กั เรียนได้เป็นอยา่ งดี

ข้ันตอนการทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ 1. ตั้งวัตถปุ ระสงค์ 2. เลอื กวิธกี าร 3. เลือกหนว่ ยทดลอง และกาหนดขนาดการทดลอง 4. เลอื กแผนการทดลองทมี่ ีประสิทธิภาพ 5. ดาเนินการทดลอง 6. วิเคราะหผ์ ลทางสถติ ิ และตีความหมาย

หลกั ในการเขยี นรายงานการวิจยั การเขียนรายงานการวจิ ยั แบบฉบับสมบูรณ์ เป็นการเขียนรายงาน อยา่ งละเอยี ด โดยท่ัวไปจะยึดตามหลกั สากลวา่ ควรประกอบด้วยหวั ข้อ อะไรบา้ ง แต่ถา้ เปน็ วทิ ยานิพนธ์หรืองานการคน้ คว้าอสิ ระ ผูว้ จิ ยั จะต้องยดึ ระเบียบการเขยี นของสถาบนั นั้น ๆ เพอ่ื ใหก้ ารเขยี นมีรปู แบบตามท่แี ต่ละ สถาบันกาหนดไวเ้ ปน็ หลัก ตามหลกั สากลสว่ นประกอบของรายงานการวิจยั แบบฉบบั สมบูรณ์ มกั จะประกอบด้วยสว่ นสาคัญ 3 ส่วน ดงั น้ี 1. สว่ นนา 2. ส่วนเนือ้ หา 3. สว่ นประกอบตอนท้าย

 สว่ นนา ประกอบดว้ ย 1. ปกนอก เปน็ ส่วนแสดงรายละเอยี ดของชอ่ื เร่ืองงานวจิ ัย ชื่อผูว้ ิจัย สถานท่ีทาวจิ ยั และปีท่ที าวจิ ัย 2. ปกใน แสดงรายละเอยี ดเหมือนกับปกนอกทกุ ประการ 3. คานา หรือกิตตกิ รรมประกาศ เป็นสว่ นแสดงรายละเอียดเกยี่ ว กับการขอบคุณผทู้ ี่มีสว่ นช่วยเหลอื ในการทาวิทยานิพนธ์ / การคน้ คว้า อิสระ โดยท่วั ไปการเขยี นคานาหรอื กิตตกิ รรมประกาศ ผู้วิจัยควร ขอบคณุ ผทู้ ่ีมีสว่ นช่วยเหลือในการทาวิจยั ตามลาดับความสาคญั จาก มากไปนอ้ ย 4. บทคดั ย่อ เป็นส่วนแสดงรายละเอียดเกีย่ วกับชอ่ื เรือ่ ง ชื่อผวู้ ิจยั ชือ่ ที่ปรึกษา (ถา้ ม)ี แหล่งทนุ (ถา้ ม)ี วัตถุประสงคก์ ารวจิ ยั วธิ ีดาเนนิ การวจิ ัยแบบยอ่ และผลของการวิจัย

5. สารบญั สารบัญตาราง และสารบัญภาพ เปน็ สว่ นแสดงรายละเอียดของหัวข้อเนอื้ หา ตาราง และ ภาพประกอบ พรอ้ มกบั มกี ารระบุหมายเลขหน้าท่มี หี ัวเรอ่ื ง ตาราง และภาพประกอบเหล่าน้ปี รากฏอยู่ 6. อักษรยอ่ และสัญลกั ษณ์ เป็นส่วนแสดงรายละเอียดเกยี่ วกับ อกั ษรย่อและสัญลกั ษณ์ต่าง ๆ ทใี่ ช้ในการวจิ ัย

 สว่ นเน้อื ความ ประกอบดว้ ย สว่ นเนอื้ ความเป็นส่วนสาคญั ทีใ่ หร้ ายละเอียดเก่ยี วกับการทาวิจยั ทง้ั หมด โดย ส่วนใหญง่ านวจิ ยั จะแบง่ เปน็ 5 บท ดังนี้ บทที่ 1 บทนา จะแสดงรายละเอยี ดตามหวั ขอ้ ตา่ ง ๆ ดงั น้ี 1. ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา เปน็ สว่ นทแ่ี สดงต้นตอของปัญหาใน การวิจยั ว่าเกิดจากอะไร ควรใช้ภาษาทเ่ี ขา้ ใจงา่ ย 2. วัตถปุ ระสงค์ เป็นส่วนท่บี อกวตั ถปุ ระสงค์ว่างานวิจยั เร่ืองนต้ี อ้ งการศึกษา อะไร 3. ขอบเขตของการวิจัย เป็นสว่ นแสดงขอบเขตของประชากร และขอบเขตของ เน้อื หาหรอื ตัวแปรที่เราสนใจศึกษา 4. สมมตฐิ าน เป็นส่วนทแ่ี สดงว่ากอ่ นลงมือปฏิบตั กิ ารวิจยั นัน้ ผวู้ ิจยั ไดค้ าดเดา คาตอบการวจิ ัยไว้วา่ อย่างไร

5. นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ เป็นส่วนทแ่ี สดงการอธบิ ายศพั ทบ์ างคาทใ่ี ช้กับงานวจิ ยั โดยทั่วไปจะเป็นศพั ท์เฉพาะสาขาวิชาที่ผอู้ ื่นไมค่ อ่ ยรู้จัก หรือเปน็ ศัพทท์ ่ใี ชเ้ ฉพาะในการ วิจัย 6. ประโยชนท์ ี่ไดร้ บั จากการวิจยั เป็นส่วนท่แี สดงประโยชนท์ ี่ไดจ้ าก งานวจิ ยั ประโยชนท์ ี่ได้รบั จากการวิจัย แบ่งเปน็ 2 ส่วน คือ (ก) ประโยชนใ์ นเชิงวชิ าการ คอื ประโยชน์ที่ได้คน้ พบจากการทาวจิ ยั เร่อื ง นี้ ซ่ึงสามารถดไู ดจ้ ากวัตถุประสงคข์ องงานวิจยั วา่ เราไดอ้ งคค์ วามรู้อะไรบา้ ง (ข) ประโยชนใ์ นการนาไปใช้ คอื ประโยชนส์ าหรับผู้ที่เกย่ี วข้องว่าจะนา ผลการวิจัยไปใช้ในด้านใดบ้าง

บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ที่เกย่ี วข้อง เอกสารและงานวิจยั ท่ีเก่ียวข้อง เปน็ ส่วนที่แสดง รายละเอยี ดเก่ียวกบั แนวคดิ และทฤษฎใี นเน้อื หาต่าง ๆ ท่ี เกี่ยวขอ้ งกับงานวจิ ัยเรอ่ื งนี้ ส่วนใหญใ่ นการเขยี นจะเขียนส่วน ท่ีเปน็ แนวคิดและทฤษฎกี อ่ น แล้วจึงตามดว้ ยส่วนทเี่ ปน็ งานวจิ ัยท่ี เกยี่ วขอ้ งกบั การทาวจิ ยั เรอื่ งนี้ อย่างไรกต็ าม การเขยี นเอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ กีย่ วขอ้ ง หวั ขอ้ ตา่ ง ๆ ทีก่ าหนดไว้ต้องสัมพันธ์กบั งานวิจัย ผู้วิจัยควรเขยี น ในแนวการวเิ คราะห์ สังเคราะห์ โดยในการเขยี นตอ้ งมีการอ้างองิ แหลง่ ทม่ี า และเขยี นการอา้ งองิ ท่ถี ูกตอ้ งตามหลกั การเขียน การอ้างอิง และควรใช้ภาษาที่เขา้ ใจงา่ ย ๆ

บทที่ 3 วธิ ดี าเนนิ การวิจยั วิธดี าเนินการวจิ ัย เปน็ ส่วนท่ีแสดงรายละเอยี ดตา่ ง ๆ เกีย่ วกบั การดาเนนิ การวจิ ยั ตามหวั ขอ้ ต่อไปน้ี 1. ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง/ แหล่งข้อมลู เปน็ สว่ นแสดงรายละเอยี ดว่า ประชากรทใี่ ชใ้ น การวจิ ยั ครัง้ น้ีหมายถงึ ใครบา้ ง ขอบเขตถึงไหน 2. เครอ่ื งมือในการวิจยั เป็นส่วนแสดงรายละเอยี ดว่ามีเครือ่ งมอื ทใี่ ช้ในการวิจยั กี่ชนิด แต่ละ ชนดิ มีลักษณะเป็นอยา่ งไร มีวธิ กี ารดาเนินการสร้างอยา่ งไร มีการหาคณุ ภาพและได้ผลเปน็ อย่างไร 3. การเก็บรวบรวมข้อมลู เปน็ ส่วนแสดงรายละเอียดเกี่ยว กับการรวบรวมขอ้ มลู ว่า ผ้วู จิ ยั ไดเ้ กบ็ รวบรวมขอ้ มลู ในแตล่ ะข้นั ตอน อย่างไร ในแตล่ ะขน้ั ตอนใชเ้ ครอื่ งมอื ชุดไหนในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู และใครเป็นผเู้ กบ็ รวบรวมข้อมลู 4. การวิเคราะหข์ อ้ มูลและสถติ ทิ ่ีใช้ เป็นสว่ นแสดงรายละเอยี ดเก่ียวกับการ วิเคราะห์ข้อมูลท้ังหมดในการทาวิจัยเร่ืองนี้

บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ในบทท่ี 4 เปน็ การแสดงรายละเอยี ดการวิเคราะห์ ข้อมูลในการวจิ ัยตามวัตถุประสงคข์ องการวิจัยที่ตง้ั ไว้ การ นาเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูลจะเขยี นตามลาดบั วัตถปุ ระสงค์ใน การวิจยั ในการนาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู อาจนาเสนอในรูป ขอ้ ความ ข้อความกึ่งตาราง หรือตาราง หรอื รูปภาพกไ็ ดต้ ามความ เหมาะสม ในการนาเสนอผลการ วิเคราะหข์ ้อมลู ผู้วจิ ัยจะต้องนาเสนอผลการ วิเคราะหไ์ ปตามความจริง การแปลผลควรแปลผล เฉพาะประเดน็ สาคญั ไม่เขียนวกวน ซ้าซ้อน ตอ้ ง ระมดั ระวังการคดั ลอกตวั เลขและการแปล ความ และท่ีสาคัญห้ามนาความคิดเหน็ ของ ผู้วจิ ยั เขา้ ไปอธบิ ายประกอบ

บทที่ 5 บทสรปุ บทสรปุ เป็นส่วนแสดงรายละเอียดเก่ียวกับบทสรปุ ผลการวจิ ยั อภิปรายผล และ ข้อเสนอแนะ ซึง่ เป็นบทสุดท้ายในสว่ นของเนอ้ื ความ รายละเอยี ดของบทนี้ ประกอบด้วย 1. สรปุ ผลการวจิ ัย เปน็ ส่วนแสดงบทสรุปความสาคญั จากงานวจิ ัย โดย สว่ นใหญ่จะแสดงวตั ถปุ ระสงค์งานวิจยั วิธีดาเนนิ การวจิ ัย และผลการวิจัย ท่ีค้นพบ 2. อภิปรายผล เป็นสว่ นแสดงการให้เหตผุ ลว่าทาไมงานวจิ ยั จงึ ไดผ้ ลเชน่ น้ัน ข้อคน้ พบเป็นไปตามสมมตฐิ านท่ตี ั้งไวห้ รอื ไม่ 3. ขอ้ เสนอแนะ เปน็ ส่วนของการนาเสนอความคดิ เหน็ ของผ้วู จิ ัยให้ผ้อู า่ นทราบวา่ เม่อื นางานวิจยั เร่อื งนีไ้ ปใช้ ผูว้ จิ ยั จะมีข้อเสนอแนะอะไรบา้ ง และหากจะวิจยั ในครั้งต่อไป ผู้วจิ ัยจะเสนอแง่มุมใหน้ ักวจิ ยั คนอ่ืน

 ส่วนประกอบตอนทา้ ย สว่ นประกอบตอนท้าย เป็นส่วนอา้ งองิ และสนับสนนุ เพ่ือให้งานวิจยั เร่ืองนี้ใหม้ ีความนา่ เชือ่ ถือ มีรายละเอยี ดตามหัวข้อต่าง ๆ ดงั นี้ 1. บรรณานกุ รม/ เอกสารอา้ งองิ เปน็ สว่ นแสดงรายชอื่ สิ่งพิมพ์ สอื่ ตา่ ง ๆ ที่ผู้วิจัยใช้ เปน็ หลักฐานอา้ งองิ ในงานวิจยั ทงั้ เลม่ การเขียนควรแยกรายชอื่ หนงั สอื เป็นกลุม่ ภาษาไทย และตามด้วยรายชอื่ หนังสือภาษาองั กฤษ 2. ภาคผนวก เปน็ สว่ นท่ีไดร้ วบรวมหลักฐานต่าง ๆ เพ่ือใหผ้ ู้อา่ นได้ใชป้ ระโยชน์หาก ต้องการรายละเอียดเพิ่มเตมิ จากส่วนเน้อื ความ ตัวอยา่ งของเอกสารหลักฐานทผี่ ้วู ิจัยมกั จะ แสดงไว้ในภาคผนวก คอื หนังสือราชการที่ขออนุญาตเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล รายช่อื ผ้เู ชย่ี วชาญที่ช่วยตรวจสอบเครอ่ื งมอื ในการวจิ ัย เครื่องมอื ทใี่ ช้ในการวจิ ยั ผลการวเิ คราะห์ คุณภาพของเครอ่ื งมือ แสดงข้อมลู ดิบที่มจี านวนไม่มากนกั สตู รและวธิ ีการคานวณ เปน็ ต้น

Thank you


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook