ความรเู้ กีย่ วกบั ภาษเี งินได้ บุคคลธรรมดา
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 สาระสาคัญ 1. ความหมายของภาษอี ากร “ภาษ”ี คอื สิง่ ท่ีรฐั บาลบังคบั จัดเก็บจากประชาชนผมู้ เี งินไดพ้ ึงประเมินถงึ เกณฑข์ ้ันต่าํ ที่ กฎหมาย กําหนด มีวัตถุประสงค์เพือ่ หารายไดม้ าใช้จ่ายในการพฒั นาดา้ นเศรษฐกจิ สังคม และความมั่นคงของประเทศ รายไดท้ ีส่ าํ คญั ของรัฐบาล ไดแ้ ก่ การจดั เก็บภาษอี ากร เงนิ กู้ รายได้รัฐพาณชิ ย์ หลักในการจัดเกบ็ ภาษี ตอ้ งเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจสังคมและความสามารถในการเสียภาษขี อง ประชาชน สามารถจดั เกบ็ ภาษีได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพและทว่ั ถงึ จัดเกบ็ ภาษีจากฐานเงนิ ได้ ฐานการบริโภค ฐานทรพั ยส์ นิ และฐานสทิ ธิพิเศษในการประกอบการ คาํ นวณกบั อตั ราภาษีที่เกยี่ วขอ้ ง คือ ภาษีที่ต้องเสีย หนว่ ยงานท่ีมีหนา้ ที่จดั เกบ็ ภาษี เช่น กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต กรมศลุ กากรและหน่วยงานอื่น ๆ ทม่ี ี หน้าที่เกีย่ วข้องในการจดั เกบ็ ภาษอี ากร
2. วัตถุประสงคใ์ นการจัดเกบ็ ภาษีอากร วัตถปุ ระสงค์หลักในการจดั เก็บภาษอี ากร คือการหารายได้มาใช้จ่ายในกิจการของรัฐและการดําเนนิ การให้ บรรลุเปา้ หมายทางเศรษฐกจิ ต่าง ๆ วตั ถปุ ระสงคข์ องการจัดเก็บภาษอี ากรมี ดังนี้ 1 เพอื่ หารายไดม้ าใชใ้ นการพฒั นาและบริหารประเทศรายจา่ ยของรัฐบาลทไี่ ด้นาํ มาพัฒนา ประเทศโดยสว่ นรวม เชน่ ความม่นั คง ความปลอดภยั การศึกษา กจิ การ สาธารณูปโภค เปน็ ต้น 2. เพ่อื กระจายรายไดข้ องประชาชนให้เปน็ ธรรม เช่น การสรา้ งงานในชนบท การจัดเก็บภาษีเงนิ ได้ ภาษีทรัพยส์ ิน ภาษีมรดก ผมู้ รี ายไดส้ งู เสยี ภาษสี งู หรอื ภาษที ่จี ดั เก็บในอัตราทสี่ ูงสาํ หรับ สินค้า ฟมุ่ เฟอื ย 3. เพ่อื ควบคมุ หรอื ส่งเสรมิ พฤติกรรมทางเศรษฐกิจ รฐั บาลไดใ้ ช้ระบบภาษีอากรในการควบคมุ การผลิต การบริโภค หรือการดาํ เนิน ธรุ กิจบางชนดิ ท่กี อ่ ใหเ้ กดิ ผลเสยี ตอ่ เศรษฐกิจโดยสว่ นรวม เชน่ สุรา บหุ รี่ หรือสินค้าฟ่มุ เฟือยต่าง ๆ โดยจัดเกบ็ ภาษีในอัตราท่สี ูงหรือจัดเกบ็ ภาษีสนิ ค้าที่มคี วามจําเปน็ ใน อตั ราตาํ่ หรือการไม่จัดเก็บภาษี อปุ กรณ์การศกึ ษาเพ่ือสง่ เสริม ประชาชนใหไ้ ด้รบั การศึกษาอยา่ งท่ัวถึง 4 . เพ่ือรกั ษาเสถียรภาพทางเศรษฐกจิ รัฐบาลใช้มาตรการ ทางภาษีอากรเปน็ เคร่อื งมอื ป้องกันภาวะเงนิ เฟ้อหรอื เงนิ ฝดื รัฐบาลจะปรับ เพิ่มหรอื ลดอัตราภาษี เพอ่ื กระต้นุ เศรษฐกจิ ไม่ใหส้ ง่ ผลกระทบต่อการ บรโิ ภค การลงทุน และการจับจ่ายใชส้ อย
3.กฎหมายภาษีอากรตามประมวลรษั ฎากร ประมวลรษั ฎากร เปน็ กฎหมายภาษอี ากรฉบับหนง่ึ ทม่ี กี ารบังคับใชม้ าตั้งแตป่ ี พ.ศ. 2481 ในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ สมยั รัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั อานนั ทมหดิ ล ไดอ้ อกพระราช บัญญัติใหใ้ ช้ บทบัญญัติแห่งประมวลรษั ฎากร พ.ศ. 2481 ได้มกี ารแก้ไขจนถงึ ปจั จุบนั ประมวลรษั ฎากรมกี ารบัญญตั ิ กฎหมายเกี่ยวกบั ภาษีอากรไว้ดงั นี้ 1. ภาษเี งินได้ ( Income Tax)ไดแ้ ก่ภาษีเงินไดบ้ คุ คลธรรมดา และ ภาษีเงนิ ได้นิติบุคคล 2. ภาษมี ลู ค่าเพม่ิ (Value Added Tax) 3. ภาษธี ุรกจิ เฉพาะ (Specification Business Tax) 4. ภาษอี ากรแสตมป์ (Stamp Duty) ในสมัยกรุงสโุ ขทยั เราได้รูจ้ กั ภาษีในรปู แบบของจงั กอบ หรือจกอบ ซง่ึ คาํ วา่ จงั กอบมาจากภาษาเขมร แปลว่า ภาษีชนิดหน่งึ ทจ่ี ดั เกบ็ จากสัตวแ์ ละสิ่งของไปขายในท่ตี า่ ง ๆ นอกราชอาณาจกั ร จดั เก็บภาษเี พอ่ื นาํ ไปใช้จ่ายในด้านการปกครอง ด้านศาสนา และดา้ นการทําศกึ สงคราม ในสมัยกรงุ ศรอี ยุธยา ไดย้ กเว้นการเกบ็ ภาษจี ังกอบ เรยี กจดั เกบ็ ภาษใี นรปู แบบต่าง ๆ เชน่ “สว่ ย” เปน็ ภาษที ่ีเรยี กเกบ็ จากเมอื งทอี่ ยู่ภายใตก้ ารปกครอง (เมอื งขึน้ ) หรือเปน็ เงินช่วยราชการทเ่ี ก็บจากราษฎร “ฤชา” เป็นภาษที เ่ี ก็บในลกั ษณะคา่ ธรรมเนยี มจากราษฎร “อากร” เป็นภาษีทเี่ กบ็ จากผลประโยชนท์ ี่ ราษฎรประกอบอาชีพ
4. ประเภทของภาษอี ากร “ภาระภาษี” หมายถงึ สว่ นของรายไดท้ ่ีแท้จริงท่ีลดลงเนือ่ งจากการจัดเกบ็ ภาษขี องรฐั บาล “การผลกั ภาระภาษี” หมายถงึ การที่ผูเ้ สยี ภาษตี ามกฎหมายสามารถถ่ายเทหรือแบ่งภาระบางสว่ น หรือท้งั หมดไปให้ผู้อ่นื จําแนกประเภทภาษอี ากรตามลักษณะการผลกั ภาระภาษี แบง่ เปน็ 2 ประเภท คือ 4.1 ภาษีทางตรง (Direct Tax) ภาษีทเ่ี รียกเก็บจากผ้มู ีเงนิ ไดพ้ งึ ประเมนิ ทผ่ี เู้ สียภาษไี มส่ ามารถผลกั ภาระภาษีให้กับผอู้ ่นื ได้ ไดแ้ ก่ ภาษี เงนิ ไดบ้ คุ คลธรรมดา ภาษี เงนิ ได้นติ ิบคุ คล และภาษีมรดก 4.2ภาษีทางอ้อม(Indirect Tax) ภาษีอากรทีผ่ ูเ้ สียภาษีสามารถผลกั ภาระภาษใี หผ้ ู้ซื้อ หรอื ผบู้ ริโภค เช่น ภาษมี ลู คา่ เพ่มิ ภาษธี รุ กจิ เฉพาะ ภาษีสรรพสามติ ภาษศี ุลกากร อากรแสตมป์ 5.ฐานภาษแี ละอตั ราภาษี 5.1 ฐานภาษี หมายถึงสง่ิ ทเี่ ป็นมูลเหตุข้นั ตน้ ทที่ าํ ใหบ้ ุคคลตอ้ งเสียภาษีอากร ในกรณภี าษเี งินได้ บุคคลธรรมดา ฐานภาษีก็คอื เงินไดส้ ุทธิซง่ึ หักคา่ ใชจ้ ่ายและหักคา่ ลดหย่อนต่าง ๆ ฐานภาษีที่สาํ คัญ ได้แก่ ฐานรายได้ (income) ฐานการบรโิ ภค (consumption) ฐานทรพั ย์สิน (property) และฐานสทิ ธิพเิ ศษในการประกอบการ (licence) 1)ฐานรายได้ บคุ คลหรอื นติ บิ คุ คลที่มีรายได้ถงึ เกณฑ์ขน้ั ตาํ่ ที่กฎหมายกําหนด ต้องเสยี ภาษี การจัดเกบ็ ภาษจี ากฐานรายได้เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินไดน้ ติ ิบคุ คล 2)ฐานการบริโภค การบริโภคสินค้าและบริการเปน็ ผลให้ทรัพยากรของสงั คมสิ้นเปลือง ไป ภาษีทีจ่ ดั เกบ็ จากฐานการบริโภค เชน่ ภาษมี ูลคา่ เพมิ่ ภาษศี ุลกากร ภาษสี รรพสามติ เปน็ ต้น 3)ฐานทรัพยส์ ิน ทรัพย์สินเปน็ ส่งิ วัดความสามารถในการเสยี ภาษขี องบุคคลเปน็ อย่างดี ภาษีจัดเกบ็ จากฐานทรพั ย์สนิ เชน่ ภาษีโรงเรอื นและที่ดิน ภาษรี ถยนต์ ภาษมี รดก ภาษีบํารุงท้องท่ี ภาษีเงินได้ จากการขายอสงั หารมิ ทรัพย์เปน็ ต้น
4) ฐานสทิ ธิพิเศษในการประกอบการ คา่ ธรรมเนยี มในการอนุญาตให้ประกอบ กิจการ เชน่ ค่าธรรมเนยี มในการใหส้ มั ปทานเดินรถ ค่าธรรมเนียมการผกู ขาดเกบ็ รงั นกอีแอน่ และ ค่าธรรมเนียมใน การให้สมั ปทานทําเหมืองแร่ เป็นต้น 5.2 อัตราภาษี หมายถงึ อตั ราท่ใี ช้เรียกเก็บภาษีจากฐานภาษโี ดยนาํ อตั ราภาษีไปคณู กบั ฐานภาษี จานวนเงินทเ่ี สยี ภาษี = ฐานภาษี อตั ราภาษี อตั ราภาษที ี่ใชใ้ นปัจจุบนั ไดแ้ ก่ 1)อัตราภาษีคงทห่ี รอื อตั ราภาษตี ามส่วน (Proportional tax rates) จะมีการจดั เกบ็ ภาษีในอัตราเดียวกนั ทง้ั หมด เช่น ภาษมี ลู ค่าเพิม่ ภาษีเงินได้นิตบิ ุคคล ภาษธี ุรกจิ เฉพาะ 2)อัตราภาษีกา้ วหน้า (Progressive tax rates) เรยี กเก็บตามข้นั ของเงินได้สทุ ธิแตล่ ะ ขัน้ อัตราภาษีจะเพม่ิ ขึ้นตามจํานวนฐานภาษีทีเ่ พ่มิ ขนึ้ เช่น อัตราภาษีเงนิ ได้บคุ คลธรรมดา 3) อัตราภาษถี อยหลงั (Regressive tax rates) เปน็ การเรยี กเกบ็ ภาษจี ากรายได้ของ ทรพั ย์สนิ อัตราภาษจี ะลดลงเมอื่ จํานวนฐานภาษเี พม่ิ ข้นึ เช่น ภาษบี าํ รุงทอ้ งท่ี ภาษีมรดก
6. ใครมหี นา้ ท่ีเสยี ภาษเี งนิ ได้บคุ คลธรรมดา ผ้มู หี น้าท่เี สียภาษีเงินไดบ้ ุคคลธรรมดา ไดแ้ ก่ ผู้ท่ีมเี งินไดเ้ กดิ ขน้ึ ระหว่างปที ผี่ า่ นมาโดยมสี ถานะ อย่างหน่งึ อย่างใด ดงั น้ี 1) บุคคลธรรมดา 2) ห้างหนุ้ สว่ นสามัญหรอื คณะบคุ คลท่ีมใิ ช่ นติ บิ ุคคล 3) ผู้ถึงแกค่ วามตายระหวา่ งปภี าษี 4) กองมรดกที่ยงั ไมไ่ ดแ้ บ่ง 5) วสิ าหกจิ ชมุ ชนตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการสง่ เสริม วสิ าหกิจชมุ ชน เฉพาะทเ่ี ป็นห้างหนุ้ ส่วนสามญั หรอื คณะบุคคลทม่ี ิใช่นิตบิ ุคคล ตัวอย่างท่ี 1 1. เดก็ ชายฟ้าขาวอายุ 5 ขวบ มเี งนิ ไดจ้ ากการแสดงภาพยนตร์ เดก็ ชายฟ้าขาวมีหนา้ ท่ี เสยี ภาษเี งนิ ไดบ้ คุ คลธรรมดา เงินได้ของบตุ รทไ่ี ดร้ ับเปน็ เงินไดข้ องบดิ า ในกรณีความเป็นสามภี รยิ ามี อยตู่ ลอดปภี าษี บิดาซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมทาํ หนา้ ทีย่ ่นื เสยี ภาษแี ทนบตุ ร 2. นายสงกรานต์ เปน็ ผ้ทู ี่ถกู ศาลส่ังใหเ้ ปน็ คนเสมือนไร้ความสามารถ มีเงนิ ไดจ้ ากดอกเบยี้ เงนิ ฝากประจาํ นายสงกรานต์เปน็ ผูม้ หี นา้ ทเี่ สียภาษเี งนิ ไดบ้ คุ คลธรรมดา ผทู้ ศ่ี าลสง่ั ใหด้ ูแล นายสงกรานต์และทาํ หน้าทย่ี ื่นเสยี ภาษแี ทนเรียกว่า “ผู้พิทกั ษ”์ 3. นางศรสี มร เปน็ ผู้ทถ่ี ูกศาลสง่ั ใหเ้ ป็นคนไรค้ วามสามารถ มีเงินไดจ้ ากเงินปันผลจากบริษัท แห่งหน่งึ นางศรีสมรเปน็ ผมู้ หี นา้ ทเี่ สยี ภาษเี งินได้บคุ คลธรรมดา ผู้ท่ีศาลส่งั ใหด้ แู ลนางศรีสมรและทํา หน้าทย่ี ่นื เสียภาษแี ทนเรยี กวา่ “ผอู้ นุบาล”
2.ผถู้ ึงแกค่ วามตายระหวา่ งปภี าษี (มาตรา 57 ทวิ) มีเงนิ ไดถ้ งึ เกณฑ์ขน้ั ตํา่ ตามท่ีประมวล รษั ฎากรกาํ หนด และได้ถึงแก่ความตายระหวา่ งปีภาษี (ระหว่างวนั ท่ี 1 มกราคม ถึง 31 ธนั ใหวา้ผค้จู มัด)การ มรดก หรอื ทายาท หรอื ผู้ครอบครองทรพั ยม์ รดก ผู้ยื่นเสียภาษแี ทนผ้ถู ึงแก่ความ ตาย 3. กองมรดกของผตู้ ายทีย่ ังมไิ ดแ้ บง่ (มาตรา 57 ทวิ) หมายถึง ทรพั ย์มรดกของตายทีย่ ังไมส่ ามารถ จัดแบ่งใหแ้ กท่ ายาทหลงั จากปีทตี่ ายแล้ว ผลประโยชนอ์ นั เกดิ จากกองมรดก เชน่ ดอกเบ้ยี เงนิ ปันผล เงินส่วนแบง่ กาํ ไร หรือเงนิ คา่ เชา่ เปน็ ต้น ถา้ มีเงนิ ไดถ้ ึงเกณฑ์ขั้นตํ่าตามท่ีประมวลรษั ฎากร กาํ หนด จะต้องทําการยืน่ แบบแสดงรายการเสยี ภาษจี ากกองมรดกของผ้ตู ายทีย่ งั มิไดแ้ บง่ โดยใหผ้ ู้จดั การ มรดก หรอื ทายาท หรอื ผู้ครอบครองทรัพย์มรดกแล้วแตก่ รณี มีหน้าท่ียน่ื เสียภาษีจากกองมรดกของผ้ตู าย ถา้ ทรัพย์มรดกได้แบ่งตกทอดไปยงั ทายาทแล้ว ทายาทแตล่ ะคนย่อมมีภาระในการที่จะเสยี ภาษีตอ่ ไป 4.ห้างห้นุ สว่ นสามญั หรือคณะบคุ คลทม่ี ิใช่นิติบุคคล (มาตรา 56 วรรคสอง) สามารถแยก พิจารณาเปน็ 2 สว่ น คือ 1) ห้างหุน้ สว่ นสามญั หมายถึง ห้างห้นุ สว่ นสามัญทม่ี ิได้จดทะเบียนนิตบิ ุคคล มีบุคคล ตัง้ แตส่ องคนขึน้ ไปตกลงท่ีจะประกอบธรุ กิจรว่ มกัน โดยมีวตั ถปุ ระสงค์ที่จะแบง่ ปนั ผลกําไรจากธุรกจิ น้ัน ตามอตั ราส่วนทีต่ กลงกันไว้ และผเู้ ป็นหนุ้ ส่วนทุกคนตอ้ งรว่ มกนั รับผิดชอบในหนสี้ ินของหา้ งหนุ้ สว่ นโดยไม่ จาํ กดั จาํ นวน หา้ งหุ้นสว่ นสามญั ท่มี ไิ ด้จดทะเบยี นเป็นนติ ิบคุ คลตอ้ งเสียภาษเงี นิ ไดบ้ คุ คลธรรมดา 2) คณะบุคคลท่มี ใิ ชน่ ติ ิบุคคล หมายถึง บุคคลตง้ั แต่สองคนขึ้นไปตกลงทาํ ธุรกิจรว่ มกนั คณะ บุคคลที่มิใชน่ ติ บิ ุคคลจะมีเหมือนกบั หา้ งหนุ้ ส่วนสามัญตา่ งกันในเรื่องวตั ถุประสงค์ โดยจะนาํ ผลกาํ ไรอัน เกิดจากการประกอบกิจการหรือธุรกิจน้นั ไปชว่ ยเหลือแก่บุคคลอ่ืน หรอื บรจิ าคแก่องคก์ ารสาธารณะกุศล ตา่ ง ๆ หรือมูลนธิ ิหรือสมาคมต่าง ๆ 7. แหล่งเงินไดท้ ่ตี ้องเสยี ภาษี การทีร่ ัฐบาลจัดเกบ็ ภาษีจากบคุ คลใดหรอื จากเงินไดใ้ ดนน้ั จําเปน็ ทจี่ ะตอ้ งมีความสัมพนั ธ์ ท่ีแนน่ อนระหวา่ งรัฐบาลกับบคุ คลนั้น หรอื ระหวา่ งรัฐบาลกบั เงนิ ไดน้ ้นั ตามหลักแหลง่ เงนิ ได้ หรอื หลักถ่ิน ทอี่ ยู่ หลกั แหล่งเงินได้ หมายถงึ แหลง่ กาํ เนดิ ของเงนิ ได้ ซึ่งบคุ คลผมู้ เี งนิ ได้จากแหล่งเงนิ ไดใ้นประเทศ ใดต้องเสยี ภาษใี หก้ บั ประเทศน้ัน โดยไม่คาํ นึงถึงสัญชาตใิ ด หรอื ถ่นิ ท่ีอยู่ในประเทศน้นั หลกั ถนิ่ ทีอ่ ยู่ หมายถึงบุคคลผู้มีเงนิ ไดม้ ีถนิ่ ทอี่ ยู่ในประเทศใด ตอ้ งเสยี ภาษีให้กบั ประเทศนนั้ โดยไม่คํานงึ ถึงสญั ชาติใดหรือถิ่นทอ่ี ยู่ในประเทศนน้ั
ผอู้ ยใู่ นประเทศไทย หมายถงึ บุคคลผ้อู ยู่ในประเทศไทยช่วั ระยะเวลาหนง่ึ หรอื หลายระยะ เวลารวมกันในปีภาษีเดยี วกันถงึ 180 วนั ให้ถอื วา่ ผู้นนั้ เป็นผู้อยใู่ นประเทศไทย ปภี าษี เร่มิ ตง้ั แต่ 1 มกราคม ถงึ 31 ธนั วาคม หลักแหลง่ เงนิ ได้ มาตรา 41 วรรค 1 แหง่ ประมวลรษั ฎากร ผมู้ เี งินไดท้ ี่เกดิ จากแหล่งใน ประเทศใดก็ตอ้ งเสียภาษีให้ประเทศนัน้ หลกั นมี้ ีเหตุผลวา่ การท่ีเงนิ ได้เกดิ จากแหลง่ ในประเทศนัน้ ยอ่ มแสดงวา่ ไดม้ กี ารใชท้ รัพยากรของประเทศน้ันใหส้ ้นิ เปลอื งไป การท่ีไดใ้ ชท้ รัพยากรของประเทศ ให้ ส้ินเปลอื งไปนี้เอง เปน็ เหตุใหเ้ กดิ สิทธหิ รอื อํานาจในการจดั เกบ็ ภาษขี องรฐั บาลนั้นข้ึนมาได้ โดยพจิ ารณา จากหลักเกณฑด์ งั นี้ 7.1เงินได้เกดิ จากแหลง่ เงนิ ได้ในประเทศ อันเนื่องมาจากดงั ตอ่ ไปนี้ 1) หนา้ ท่ีการงานหรอื กิจการในประเทศไทย หรือ 2) กิจการของนายจา้ งในประเทศไทย หรือ 3) ทรัพย์สินในประเทศไทย เงอ่ื นไข ผูม้ เี งินไดพ้ ึงประเมินตามมาตรา 40 ในปภี าษีทล่ี ่วงมาแลว้ จากแหล่ง เงนิ ไดใ้ นประเทศ มหี นา้ ที่ตอ้ งเสียภาษเี งินไดบ้ ุคคลธรรมดาตามประมวลรษั ฎากร ไมว่ า่ เงินได้จะจ่ายใน หรอื นอกประเทศกต็ าม ตวั อยา่ งท่ี 2 กรณีมหี นา้ ท่กี ารงานในประเทศไทย นายชลธีเป็นลกู จ้างทํางานบรษิ ทั จํากัดในกรงุ เทพฯ ไดร้ ับเงินเดอื นหรือผลประโยชน์ใด ๆ จาก บรษิ ทั นายชลธีต้องเสียภาษเี งนิ ได้จากหน้าทงี่ านทีท่ าํ ในประเทศไทยไมว่ ่าบรษิ ทั จะจ่ายเงนิ ใหแ้ ก่นายชลธี ในหรือนอกประเทศก็ตาม ตวั อย่างท่ี 3 กรณมี ีกิจการท่ีทาในประเทศไทย นายโจเซฟอยูใ่ นประเทศอังกฤษไดเ้ ปิดกิจการจาํ หน่ายเสอ้ื ผ้าในประเทศไทย มีเงนิ ได้จาก การ จําหน่ายเสอื้ ผา้ ในประเทศไทย นายโจเซฟจะต้องเสยี ภาษเี งนิ ไดใ้ หร้ ฐั บาลไทยจากกิจการงานท่ีทในําประเทศ ไทย ไม่ว่านายโจเซฟจะเข้ามาอย่ใู นประเทศไทยหรือไม่ก็ตาม
ตวั อยา่ งท่ี 4 กรณีกิจการของนายจา้ งอยใู่ นประเทศไทย นางสาวอมรรตั น์เปน็ ลูกจา้ งของบรษิ ทั A จาํ กดั ในประเทศไทย บริษทั ไดส้ ่งไปทํางาน ประจาํ ทีป่ ระเทศฝรัง่ เศส นางสาวอมรรตั น์ตอ้ งเสียภาษใี หร้ ัฐบาลไทยเพราะมีเงินไดจ้ ากกิจการ ของ นายจ้างประเทศอยู่ในไทย ตัวอย่างท่ี 5 กรณีทรัพย์สินในประเทศไทย นายโรนลั โด้อยู่ในประเทศบราซิลมบี า้ นพักอยจู่ งั หวัดกระบี่ โดยมอบให้นายประสบโชคเป็น ผ้ดู ูแลผลประโยชนเ์ กบ็ เงนิ คา่ เชา่ บ้านสง่ ไปให้ทปี่ ระเทศบราซิล นายโรนลั โดต้ อ้ งเสยี ภาษี ใหร้ ัฐบาลไทยเพราะมีเงินไดจ้ ากทรัพยส์ นิ ในประเทศไทย 7.2 เงินไดเ้ กิดจากแหลง่ เงนิ ได้นอกประเทศผู้อย่ใู นประเทศไทยท่มี เี งินได้พึงประเมนิ ตามมาตรา 40 ในปีภาษที ลี่ ่วงมาแล้ว เนื่องมาจากดงั ต่อไปนี้ 1) หนา้ ทีก่ ารงานหรอื กจิ การในต่างประเทศ หรอื 2) ทรัพยส์ นิ ที่อยู่ในต่างประเทศ เงื่อนไข ผู้มีเงินไดจ้ ากแหล่งเงินไดน้ อกประเทศในปีภาษลี ่วงมาแล้วนาํ เงินได้เขา้ มา ในประเทศไทย และผ้ใู ดอยใู่ นประเทศไทยชว่ั ระยะเวลาหนงึ่ หรือหลายระยะเวลารวมกันถงึ 180 วันในปภี าษี ใดใหถ้ อื ว่าผนู้ ้ันเปน็ ผทู้ ่อี าศัยอยู่ในประเทศไทยต้องเสยี ภาษใี หร้ ัฐบาลไทยแตถ่ ้าไม่นาํ เงินได้เขา้ มาในประเทศก็ ไม่ต้องเสยี ภาษี
เงนิ ได้พงึ ประเมินท่ตี ้องเสยี ภาษี เงินไดพ้ งึ ประเมินหมายความว่าเงนิ ไดอ้ นั เข้าลักษณะพงึ เสยี ภาษใี นหมวดน้ี เงนิ ได้ทีก่ ล่าวนใี้ ห้ หมายความรวมตลอดถึงทรพั ย์สนิ หรือประโยชนอ์ ยา่ งอ่ืนท่ไี ดร้ บั ซ่ึงอาจคิดคาํ นวณไดเ้ ปน็ เงินเงินคา่ ภาษีอากร ท่ีผู้จา่ ยเงนิ หรอื ผอู้ ่ืนออกแทนใหส้ าํ หรบั เงนิ ได้ประเภทตา่ ง ๆ ตามมาตรา 40 และเครดิตภาษี ตามมาตรา 47 ทวิ ด้วยไดแ้ ก่ 1. เงินหมายถงึ เงนิ ทผ่ี มู้ เี งนิ ได้ไดร้ บั แลว้ ในสว่ นทย่ี ังไมไ่ ด้รับจะยังไมถ่ อื เปน็ เงินได้พงึ ประเมิน 2. ทรัพย์สนิ ซึ่งอาจคดิ คาํ นวณไดเ้ ปน็ เงนิ ผ้มู ีเงินไดต้ ้องไดร้ บั แลว้ เชน่ กัน 3. ประโยชน์ ซงึ่ อาจคดิ คํานวณได้เป็นเงิน ผ้มู เี งนิ ได้ตอ้ งไดร้ บั แล้วเช่นเดียวกัน 4. เงินคา่ ภาษีอากรท่ผี ู้จ่ายเงนิ หรอื ผ้อู นื่ ออกแทนให้ 5. เครดิตภาษตี ามมาตรา 47 ทวิ หรอื เครดิตภาษเี งินปันผลหรอื เงินส่วนแบ่งกําไร ประเภทเงินได้พึงประเมิน 8 ประเภท ประเภทเงนิ ได้พงึ ประเมิน คาอธบิ าย เงินไดพ้ ึงประเมนิ ประเภทที่ 1 : มาตรา 40 (1) เงนิ ไดเ้ นอื่ งจากการจา้ งแรงงาน จะตอ้ งมสี ญั ญา การจ้างงานระหว่างนายจา้ งและลูกจ้าง การจา่ ย ค่าจา้ งจะจ่ายเม่ือถงึ กาํ หนดเวลาการจา้ งงาน โดย ไม่ได้ มงุ่ ผลสาํ เรจ็ ของงานเปน็ สําคัญ เกดิ ไดห้ ลาย ลกั ษณะ 1.1 เงนิ เดือน คา่ จ้าง เบีย้ เลีย้ ง โบนัส เบี้ย หวัด บาํ เหน็จบํานาญ 1.2 เงินคา่ เช่าบ้านทไ่ี ด้รบั จากนายจ้าง 1.3 เงินทคี่ าํ นวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่ บา้ น ซ่ึงนายจ้างใหอ้ ยู่โดยไมเ่ สียค่าเชา่ 1.4 เงนิ ที่นายจา้ งจ่ายชาํ ระหน้ใี ด ๆ ซ่ึง ลกู จ้างมหี น้าทีต่ อ้ งชําระ 1.5 เงิน ทรพั ย์สนิ หรอื ประโยชนใ์ ด ๆ บรรดาทไ่ี ดเ้ นือ่ งจากการจา้ งแรงงาน เช่น มูลค่า ของการไดร้ บั ประทานอาหาร
ประเภทเงินได้พึงประเมนิ คาอธบิ าย เงนิ ไดพ้ งึ ประเมนิ ประเภทท่ี 2 : มาตรา 40 (2) เงินไดเ้ นอ่ื งจากหนา้ ที่ หรอื ตําแหน่งงานทท่ี าํ หรอื จากการรบั ทํางานให้โดยมงุ่ ถึงผลสาํ เรจ็ ของงาน เงินไดพ้ ึงประเมนิ ประเภทที่ 3 : มาตรา 40 (3) เป็นสําคัญ งานเสรจ็ เงนิ ถึงได้ เกิดความสมั พนั ธข์ อง ผู้จ่ายเงนิ ได้ (ผ้วู า่ จา้ ง) กับผู้มเี งินได้ (ผรู้ ับจา้ ง) เกิด ไดห้ ลายลักษณะ 2.1 ค่าธรรมเนยี ม ค่านายหน้า คา่ สว่ นลด 2.2 เงินอดุ หนุนในงานทีท่ าํ เบย้ี ประชุม บาํ เหน็จ โบนสั 2.3 เงนิ คา่ เช่าบ้านทไี่ ด้รบั เนื่องจากหนา้ ที่ หรอื ตาํ แหนง่ งานท่ีทาํ หรือจากการรับทาํ งานให้ 2.4 เงนิ ที่คํานวณได้จากมลู ค่าของการไดอ้ ยู่ บา้ น ท่ผี จู้ า่ ยเงนิ ได้ใหอ้ ยู่โดยไมเ่ สยี คา่ เชา่ 2.5 เงินที่ผู้จ่ายเงนิ ไดจ้ า่ ยชําระหนี้ใด ๆ ซ่ึงผู้มี เงินได้มีหน้าทตี่ ้องชาํ ระ 2.6 เงนิ ทรัพย์สิน หรือประโยชนใ์ ด ๆ บรรดา ทีไ่ ด้เน่อื งจากหนา้ ทีห่ รอื ตาํ แหน่งงานที่ทํา หรือ จากการรบั ทาํ งานให้นั้น ไม่วา่ หน้าทีห่ รอื ตาํ แหนง่ งาน หรอื งานท่ีรบั ทําให้นนั้ จะเป็นการประจําหรือ ช่ัวคราว คา่ แห่งกดู๊ วิลล์ ค่าแหง่ ลขิ สทิ ธ์ิ หรอื สทิ ธิ อยา่ งอ่นื เงินท่ไี ด้รบั เป็นรายปีโดยทางราชการจา่ ยให้ (เช่น เงินปพี ระบรมวงศานุวงศ์) หรอื เงินไดท้ ี่มีลกั ษณะ เปน็ เงนิ รายปอี ันไดจ้ ากพินยั กรรม นิติกรรมอย่าง อ่ืน หรือคาํ พพิ ากษาของศาล
ประเภทเงินไดพ้ ึงประเมนิ คาอธบิ าย เงนิ ได้พงึ ประเมินประเภทท่ี 4 : มาตรา 40 (4) เงนิ ไดท้ ่เี กดิ จากการการลงทุน ไดแ้ ก่ (ก) ดอกเบย้ี รบั ไดแ้ กด่ อกเบี้ยพนั ธบตั ร ดอกเบยี้ เงนิ ได้พึงประเมนิ ประเภทท่ี 5 : มาตรา 40 (5) เงนิ ฝาก ดอกเบ้ยี หนุ้ กู้ ดอกเบี้ยเงนิ กู้ยืม เงนิ ไดพ้ ึงประเมินประเภทที่ 6 : มาตรา 40 (6) (ข) เงินปันผล เงนิ สว่ นแบง่ ของกาํ ไร หรอื ประโยชน์ อ่ืนใดท่ไี ด้จากบรษิ ทั หรอื หา้ งหุน้ สว่ นนติ ิบุคคล กองทุนรวม หรอื สถาบนั การเงนิ (ค) เงินโบนัสทจ่ี ่ายแกผ่ ูถ้ อื หนุ้ หรือผเู้ ปน็ หนุ้ สว่ นใน บรษิ ัทหรอื หา้ งหุ้นสว่ นนิตบิ คุ คล (ง) เงนิ ลดทุนของบริษทั หรอื ห้างหุ้นสว่ นนติ บิ คุ คล เฉพาะส่วนทจ่ี ่ายไม่เกินกว่ากาํ ไรและเงนิ ท่ีกัน ไว้ รวมกัน (จ) เงินเพิม่ ทนุ ของบรษิ ัทหรอื ห้างหุ้นส่วนนติ บิ ุคคล ซง่ึ ตง้ั จากกาํ ไรทไ่ี ดม้ าหรอื เงนิ ทก่ี นั ไว้รวมกนั (ฉ) ผลประโยชนท์ ไ่ี ด้จากการทบี่ รษิ ทั หรอื หา้ ง หนุ้ สว่ นนติ ิบุคคลควบเขา้ กันหรอื รบั ชว่ งกัน (ช) ผลประโยชน์ท่ไี ดจ้ ากการโอนการเป็นหุ้นส่วน หรอื โอนหุน้ หนุ้ กู้ พันธบตั ร หรอื ต๋ัวเงิน เงินได้หรอื ประโยชน์อยา่ งอน่ื ท่ไี ดจ้ าก (ก) การให้เช่าทรัพย์สินเชน่ 1)บา้ น โรงเรอื น ส่ิงปลกู สร้าง ฯลฯ 2) ท่ดี ินท่ใี ช้ในการเกษตรกรรม 3) ทด่ี นิ ทมี่ ิไดใ้ ช้ในการเกษตรกรรม 4) ยานพาหนะ และ 5) ทรัพย์สนิ อยา่ งอน่ื (ข) การผิดสญั ญาเช่าซอ้ื ทรพั ย์สิน (ค) การผิดสัญญาซ้อื ขายเงินผ่อน วิชากฎหมาย การประกอบโรคศิลปะ วิศวกรรม สถาปตั ยกรรม การบัญชี ประณตี ศลิ ปกรรม หรอื วิชาชีพ อสิ ระอ่ืน ซงึ่ จะมีพระราชกฤษฎีกากําหนด ชนิดไว้ การทาํ งานในวชิ าชีพนี้จะมีพระราชบญั ญตั ิ หรอื กฎหมาย เฉพาะควบคุมการทาํ งาน
ประเภทเงินไดพ้ งึ ประเมิน คาอธบิ าย เงินไดพ้ งึ ประเมนิ ประเภทท่ี 7 : มาตรา 40 (7) การจัดหาสัมภาระในสว่ นสาํ คัญนอกจากเครอ่ื งมอื (รับทํางานทง้ั ของและแรงงาน) เช่น เงนิ ไดพ้ ึงประเมินประเภทท่ี 8 : มาตรา 40 (8) (1) ผูร้ บั เหมาก่อสรา้ งตึกแถวด้วยทนุ ทรพั ย์ ของตนเอง (2) เงนิ ได้จากการรบั จา้ งทาสี ซอ่ มสี โดย ผู้รบั เหมาเป็นผจู้ ัดหาสัมภาระในส่วนสําคัญ นอกจาก เคร่อื งมอื เปน็ เงนิ ได้ตามมาตรา 40 (7) แห่งประมวลรษั ฎากร (3) การรับเหมาทําตู้ โตะ๊ หรอื เคร่ืองใช้ อลมู เิ นยี ม โดยผรู้ บั เหมาตอ้ งลงทนุ ดว้ ยการซอ้ื ของ เอง นอกจากเคร่อื งมอื ไมว่ า่ จะมีการตกลงราคา คา่ จ้างกันก่อนหรอื ภายหลงั ทง่ี านสาํ เร็จ เงนิ ได้จากการธรุ กจิ การพาณชิ ย์ การเกษตร การ อตุ สาหกรรม การขนสง่ หรือการอนื่ นอกจากทรี่ ะบุ ไวใ้ น 40 (1) ถึง 40 (8) ตามประมวลรษั ฎากร แบง่ ไว้เป็น 43 ประเภท
เงนิ ไดพ้ งึ ประเมินท่ไี ดร้ บั ยกเวน้ ภาษเี งนิ ไดบ้ คุ คลธรรมดา เงนิ ได้พึงประเมินที่ได้รบั ยกเวน้ ภาษีเงนิ ไดบ้ คุ คลธรรมดากฎหมายกไ็ ดบ้ ญั ญัติข้อยกเวน้ ไวห้ ลาย ประการด้วยกันซง่ึ พอจาํ แนกได้ คือ 1. บคุ คลทไี่ ดร้ บั ยกเว้นภาษเี งนิ ได้บคุ คลธรรมดาได้แก่ บุคคลตามขอ้ ผูกพันท่ีประเทศไทย เจา้ หนา้ ที่ หรอื ผ้เู ชี่ยวชาญขององคก์ ารสหประชาชาติ บคุ คลในคณะทตู คณะกงสุล บคุ คลที่ทํางานในประเทศทท่ี ํา อนุสัญญาวา่ ดว้ ยการเว้นการเกบ็ ภาษซี ้อน 2. เงินได้ทไ่ี ด้รบั ยกเวน้ ภาษเี งินได้บุคคลธรรมดาไดแ้ ก่ ยกเว้นตามประมวลรษั ฎากร มาตรา 42 และ พระราชกฤษฎกี าทีเ่ ก่ียวข้อง ยกเว้น ตามกฎกระทรวง ยกเวน้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 และพระราช กฤษฎีกาท่ีเกีย่ วข้อง ยกเวน้ ตามกฎกระทรวง (ฉบบั ที่ 126) และฉบับอ่ืนจนถึงปัจจุบันที่สําคญั ไดแ้ ก่ เงนิ ได้ จากกิจการของโรงเรยี นเอกชนซึง่ ตัง้ ขึ้นตามกฎหมายวา่ ดว้ ยโรงเรียนเอกชน การจาํ หนา่ ย หรอื สว่ นลดจากการ จาํ หน่ายสลากกินแบง่ ของรัฐบาล คา่ จ้างการทาํ งานในระหว่างเวลาปิดภาคการศึกษาของคนตา่ งดา้ ว ค่า รักษาพยาบาลท่นี ายจา้ งให้หรือจ่ายแทนลูกจ้าง เงินทที่ างราชการจา่ ยให้เป็นเงินค่าเช่าบา้ น เงินคา่ เชา่ บ้านท่ี ได้รับจากวสิ าหกิจ ซึง่ มิใชบ่ รษิ ทั หรอื ห้างหนุ้ สว่ นนิติบุคคล เงินชว่ ยการศกึ ษาบตุ ร เงนิ ช่วยเหลือบตุ ร เงนิ คา่ เบ้ียกันดาร รางวลั ที่ทางราชการจา่ ยให้เพ่อื ปอ้ งกนั มิให้มีการกระทําความผเิ กย่ี วกับภาษีอากร ดอกเบย้ี เงนิ สะสมท่ไี ด้รบั จากรัฐวสิ าหกจิ เงนิ ไดท้ เี่ จ้าหน้าท่ีของรัฐบาลต่างประเทศซึ่งปฏิบัตหิ นา้ ทใี่ นไทยได้รบั จากรัฐบาล ของตน เงนิ ไดท้ ี่ทางราชการจ่ายใหเ้ พื่อประโยชนใ์ นการรกั ษาความมั่นคงภายในราชอาณาจกั ร เงินไดจ้ ากการ ขายอสังหาริมทรพั ย์อันเป็นมรดกท่ีได้รับจากการให้โดยเสนห่ า เงนิ ได้จากการโอนกรรมสทิ ธหิ์ รอื สิทธิ ครอบครองในอสงั หารมิ ทรัพยใ์ หแ้ ก่บตุ ร ดอกเบีย้ เงนิ ฝากประเภทออมทรัพยข์ องธนาคารเพอื่ การเกษตรและ สหกรณ์การเกษตรเงินไดจ้ ากการขายหลักทรพั ยใ์ นตลาดหลักทรพั ยแ์ ห่งประเทศไทยแต่ไมร่ วมถึงเงินได้จาก การขายหลกั ทรพั ย์ทเี่ ป็นหุ้นกหู้ รือพันธบตั ร เป็นต้น
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: