Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore PLC_montree

PLC_montree

Published by krusunti101, 2018-03-23 03:56:22

Description: PLC_montree

Search

Read the Text Version

1! ชุมชนการเรียนรูว้ ิชาชพี : ความทา้ ทายต่อการเปลย่ี นตนเองของครู Professional Learning Community: Challenges in Self-Development of Teachers มนตรี แยม้ กสิกร* [email protected]บทคดั ยอ่ ชมุ ชนการเรียนรวู้ ิชาชีพ (Professional learning community: PLC) เปน็ นวตั กรรมการพัฒนาวิชาชีพครูทคี่ รไู ทยยงั ไมค่ ่อยคนุ้ เคย ขอ้ เขยี นนี้นำเสนอความหมาย ลกั ษณะสำคญั ของชุมชนการเรียนรวู้ ชิ าชพีแนวคิดสำคัญท่ีเป็นฐานคดิ กระบวนการสรา้ งชุมชนการเรียนรูว้ ชิ าชพี องคป์ ระกอบของกลุ่มการเรียนรวู้ ชิ าชพีการดำเนนิ กจิ กรรมของชุมชนการเรยี นรวู้ ชิ าชพีคำสำคญั : ชุมชนการเรียนรวู้ ชิ าชพีAbstract Professional Learning Community (PLC) is an innovative method for teachers'profession development. Currently, Professional Learning Community is not very wellknown among Thai teachers. This article illustrates its definition and important characteristicsas well as outlines the activities held in the Professional Learning Community.Keyword: Professional Learning Community1. บทนำ ความกา้ วหน้าของการปฏริ ปู การศึกษาข้นึ อยกู่ บั การพัฒนาครูเปน็ รายบุคคล การหลอมศกั ยภาพร่วมกันและเช่ือมโยงสกู่ ารนำไปสู่การยกระดบั การเรียนรขู้ องนกั เรียนอย่างกว้างขวางท่ัวท้งั โรงเรยี น เป็นร่องรอยของความสำเร็จท่ีได้รับการยืนยันแล้วในระดับนานาชาติ (Louise stoll and others. 2006: 211) การสรา้ งศักยภาพการทำงนร่วมกันของครูจึงเป็นเงื่อนไขสำคญั ซ่งึ ศกั ยภาพ (Capacity) เป็นสิ่งท่ีมคี วามซับซอ้ นการจะร่วมกันสร้างศกั ยภาพไดน้ นั้ เกีย่ วขอ้ งกับแรงจูงใจ ทักษะ การเรยี นรู้รว่ มกันแบบมองเชงิ บวก เงื่อนไขขององคก์ ร วัฒนธรรมองค์กร และโครงสรา้ งพ้นื ฐานขององค์กรทีจ่ ะเก้ือหนุน การนำปัจจยั เหลา่ นมี้ าเป็นเงอ่ื นไขในการสรา้ งกลุ่มการเรยี นรู้ร่วมกันของครู จงึ เปน็ เรอ่ื งทท่ี า้ ทายมาก แตห่ ลายประเทศกย็ นื ยันแลว้ วา่แนวทางการพฒั นาครดู ้วยแนวทางน้เี ปน็ การพฒั นาทยี่ ัง่ ยนื การพัฒนาครูของประเทศไทยทผ่ี ่านมาในระยะเกือบ 40 ปีทีผ่ า่ นมาเปน็ แนวคิดการพัฒนาแบบเชิญครกู ลบั มาสหู่ อ้ งเรยี น แล้วก็มีวิทยากรเปน็ ผูบ้ อกความรหู้ รอื อาจจะมีปฏบิ ัติการสร้างการมีสว่ นร่วมบ้างก็ตามที--------------------------------------------------------------*รองศาสตราจารย์ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพาการเรียนรขู้ องครเู กดิ ขนึ้ ทีห่ ้องฝึกอบรม ณ เวลานั้นและอาจจะมคี รูจำนวนหน่ึงเกดิ แรงบันดาลใจ นำความรู้ท่ีได้รับกลับไปปรับประยุกตส์ ่กู ารปฏบิ ตั ิท่ีห้องเรียนเมอ่ื สอนนกั เรยี นซ่ึงแนน่ อนว่า อาจมีการปฏบิ ตั ไิ ดบ้ า้ งไมไ่ ด้บ้าง หรือหากมปี ญั หาอุปสรรคมาก ๆ ขาดเพ่ือนชว่ ยคิด ในทีส่ ุดก็ลม้ เลิกไปกลับสวู่ ิธีการสอนทีค่ นุ้ เคย แต่ในสภาพการณป์ ัจจบุ ัน ผลกระทบจากโลกาภวิ ัตน์ และการเปลีย่ นแปลงที่รวดเร็วมาก ความตอ้ งการจำเป็นที่ตอ้ ง

2!มีวธิ ีการใหม่ ๆ ท่ีจะมาช่วยทำใหก้ ารปรบั เปลี่ยนวธิ ีการจัดการเรยี นรู้ไดท้ นั กับความเปลย่ี นแปลงไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ จงึ เปน็ ส่งิ ทจี่ ำเป็นมาก การสรา้ งชมุ ชนการเรียนร้รู ว่ มกันทงั้ โรงเรียนเปน็ สงิ่ ที่จำเป็น และเป็นแนวทางที่จะชว่ ยใหส้ ามารถคน้ หาแนวทางที่ดีทีส่ ุดทีจ่ ะกระตนุ้ การเรียนรูข้ องครทู ี่จะทำให้การจัดการเรยี นรู้เพื่อลกู ศษิ ยเ์ กดิ ประสิทธิภาพสูงสดุ2. ชมุ ชนการเรยี นรู้วชิ าชพี คอื อะไร ชุมชนการเรียนรู้วชิ าชีพ (Professional learning Community) หรือ กลุ่มการเรยี นรแู้ บบร่วมมือ(Collaborative learning communities) หรือกลุ่ม เพือ่ ร่วมวิเคราะห์ (วิจารณ์) (Critical friends groups)หรอื ชุมชนแหง่ การปฏิบตั ิ (Communities of practice) (http:22edglossary.org เขา้ ถงึ เม่ือ 25 มิถุนายน2559) หมายถงึ กลมุ่ ของบุคคลทมี่ กี ารแบง่ ปันความคดิ การพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์อยา่ งมีเหตุมีผลที่เกย่ี วกับการปฏิบตั ิ การสะท้อนคดิ การรว่ มมอื กนั การมองอยา่ งรอบคอบรอบด้าน ม่งุ สูก่ ารเรียนรู้ร่วมกัน ค้นหาแนวทางท่ีจะพฒั นาก้าวหนา้ (Mitehell & Sackney, 2000; Toole & Louis, 2002) เปา้ หมายของการดำเนินการชมุ ชนการเรยี นรวู้ ิชาชพี เป็นไปเพ่อื การยกระดับประสิทธภิ าพการจดั การเรียนรู้ทีจ่ ะเกดิ ผลตอ่ ตวันกั เรยี นทกุ คนเปน็ ประเดน็ สำคญั และต้องมีการดำเนนิ การอย่างต่อเน่อื ง หรือบางคร้งั จะเรียกวา่ ชุมชนแห่งการยกระดบั และสืบเสาะอย่างตอ่ เนอื่ ง (Communities of continuous inquiry and improvement)แนวคิดดั้งเดิมของการพัฒนาครู อาจจะมีการกลา่ วถงึ “วชิ าชพี ” และ “ชมุ ชน” ของครทู มี่ คี วามรว่ มมือกนัระหว่างครู ซง่ึ ชมุ ชนแบบประเพณดี ้งั เดมิ เป็นการทำงานร่วมกนั และมีกระบวนการใหข้ ้อมูลย้อนกลบั หรือเสรมิ แรงระหวา่ งกันและกนั ลักษณะของความรว่ มมือระหวา่ งครแู บบเดิมอาจจะมีลกั ษณะของการกระทำซำ้ทดลองปฏบิ ตั ิ แลว้ นำประสบการณม์ าแลกเปลี่ยนเรยี นรูร้ ะหว่างกนั หวั ใจสำคัญของชมุ ชนการเรยี นร้วู ิชาชพี จะไดไ้ ดม้ ุ่งไปท่ีการเรยี นรูข้ องครูเป็นรายบุคคล แตจ่ ะเป็นการเรียนรภู้ ายใตบ้ รบิ ทของชมุ ชนทีม่ ารว่ มกนั เรียนรู้ เปน็ ชมุ ชนของนกั เรยี นรู้ เป็นการเกบ็ รวมรวมสิ่งทไ่ี ด้เรยี นรรู้ ่วมกัน สะสมองคค์ วามรภู้ ายใตบ้ รบิ ทน้นั ๆ ร่วมกัน สงิ่ ทเี่ ปน็ ปัจจัย สะทอ้ นความเปน็ ชุมชนการเรยี นรู้วชิ าชพี มี 5 ประการ (Westheimer, 1999: 75) ประกอบดว้ ย การแบง่ ปนั ความเช่อื และความเขา้ ใจ,ปฏสิ มั พันธ์และการมสี ว่ นรว่ ม, การพึ่งพาอาศยั ซง่ึ กันและกนั การมที ่าท่ที ถี่ ้อยทถี อ้ ยอาศยั กนั ตระหนักนกึ ถงึมมุ มองของแต่ละคน และกลุม่ ทีเ่ หน็ ตา่ ง, และการสร้างความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งเพ่อื นอยา่ งมีความหมาย3. ลักษณะสำคญั ของชุมชนการเรียนรวู้ ิชาชีพ ชมุ ชนการเรียนรวู้ ชิ าชีพ มีลกั ษณะสำคญั อยา่ งน้อย 8 ประการ (Hord, 2004; Louis, et al, 1995;Louis, et al, 2006) ประกอบด้วย 3.1 การแบง่ ปนั วิสยั ทัศน์และคา่ นิยม (share values and vision) การทำงานร่วมกนั ของครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษา ท่ีจะมาเป็นทมี เดยี วกนั ได้น้นั ทกุ คนต้องมีมุมมองและค่านิยมท่ีคล้ายคลึงกนั ว่า การพฒั นาวชิ าชพี การยกระดบั คุณภาพการจัดการศกึ ษา การจดั การเรยี นการสอน เปน็ ประเด็นสำคัญทสี่ ดุ มีความมุ่งมั่นต้งั ใจทีจ่ ะพัฒนาตนเองรว่ มกันภายใตค้ วามร่วมมือระหวา่ งเพ่อื น ๆ 3.2 การแบง่ ปันความรับผดิ ชอบ (Collective responsibility) การดำเนนิ งานลกั ษณะท่เี ป็นชมุ ชนทกุ คนจะต้องร่วมกนั รบั ผิดชอบตามภารกิจท่ีมองหมาย อาทิ การออกแบบแผนจัดการเรียนรู้ การรว่ มกนัสะท้อนความคดิ ตอ่ แผนจดั การเรยี นรู้ การยอมรับฟงั ความคิดเห็นข้อเสนอของเพื่อนดว้ ยเหตุด้วยผล เป็นต้น

!3 3.3 การสบื เสาะสะท้อนความคิดอยา่ งมืออาชพี (Reflective professional inquiry) การสนทนารว่ มกนั ภายในกล่มุ ด้วยการสะท้อนความคิดตอ่ ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เปน็ เงื่อนไขสำคัญท่ีจะทำใหไ้ ด้มุมมองการเรียนรู้ใหม่ ๆ ร่วมกนั 3.4 ความรว่ มมอื (Collaboration) เป็นปจั จัยสำคัญทจ่ี ะทำให้ชมุ ชนการเรียนรูเ้ กดิ ขน้ึ ไดอ้ ย่างเขม้แขง็ และเขม้ ขน้ เพยี งใด การรว่ มมือกนั ภายในกล่มุ จะเปน็ ตวั ช้วี ดั ความสำเรจ็ ประการหนึ่ง 3.5 กลมุ่ (Group) การมคี รูท่เี ปน็ สมาชกิ อยู่ประมาณ 4-8 คน ในการเปน็ กลุ่มการเรียนรวู้ ชิ าชีพร่วมกัน 3.6 การยอมรับซึ่งกันและกนั (Mutual trust) การให้การยอมรบั ความเหน็ ซงึ่ กนั และกนั แบบถอ้ ยทีถอ้ ยอาศยั จะช่วยทำชมุ ชนเดินหนา้ ไดอ้ ย่างมีความสุข 3.7 การยอมรับนับถือและการสนบั สนนุ ซงึ่ กันและกัน (Respect and support among staffmembers) การทำงานรว่ มกันยอ่ มตอ้ งใหเ้ กยี รติ ยอมรบั นับถือ และสนบั สนุนซึง่ กันและกันในเชงิ สร้างสรรค์ 3.8 ความเปน็ สมาชกิ แบบท้งั ตัวและหวั ใจ (Inclusive membership) ชุมชนการเรียนรูแ้ บบวิชาชีพจะสำเรจ็ มากนอ้ ยเพยี งใดอยู่ทส่ี มาชิกจะรว่ มมอื ทกุ เท สนับสนุน แสดงภาวะผนู้ ำทางวชิ าการร่วมกันในการทำงานเพ่ือประโยชน์สูงสุดของลูกศิษย์ วตั ถปุ ระสงค์หลกั ของชมุ ชนการเรียนรู้วชิ าชพี คือ การมุ่งยกระดับประสิทธภิ าพของครใู หเ้ ปน็ ครูมอือาชีพ เพือ่ ผลประโยชนต์ ่อลูกศิษย์อยา่ งสงู สดุ ชมุ ชนการเรยี นรวู้ ชิ าชีพทีม่ ปี ระสิทธภิ าพ จะสะทอ้ นได้ด้วยการแสดงศกั ยภาพของกลมุ่ ทีช่ ่วยสง่เสริมและคงระดบั ของคณุ ภาพการเรยี นรทู้ ่ีเกย่ี วกบั วิชาชีพทัง้ หมดในสงั คมหรือบริบทของโรงเรยี นทัง้ โรงเรยี นดว้ ยการมงุ่ สูก่ ารยกระดบั การเรียนรขู้ องนกั เรียนทกุ คนได้อย่างสูงสดุ (Bolam et al, 2005, p.145) ชมุ ชนการเรยี นรวู้ ิชาชพี มีลกั ษณะท่สี อดคลอ้ งกบั แนวคดิ ความรว่ มมอื การพฒั นาวิชาชีพอยา่ งต่อเน่อื ง (Collaborative continuing professional development) (Cordingley, Bell, Rundell & Evans,2003) ซง่ึ ภายใตก้ ระบวนการเรยี นรดู้ ว้ ยชมุ ชนการเรยี นรู้วชิ าชีพ หรอื การพัฒนาครอู ย่างต่อเนื่อง จะม่งุ ให้ความสนใจในประเดน็ การใชห้ ลักสตู รวชิ าครูในชวี ิตจริง (Authentic pedagogy) การปรบั กระบวนการจดั การเรยี นการสอน การออกแบบกระบวนการเรียนรู้ทส่ี อดคล้องกบั ธรรมชาตขิ องผเู้ รยี นและบริบทของโรงเรยี นจริง4. แนวคิดสำคญั ทเี่ ปน็ ฐานคดิ แนวคิดสำคญั ทเ่ี ป็นฐานคดิ สำคญั ของชมุ ชนการเรียนรวู้ ิชาชพี มแี นวคดิ หลกั ดังนี้ (Richard Dufour; http://ascd.org เข้าถึง 25 มิถุนายน 2559) 4.1 มุ่งเป้าทีก่ ารเรยี นรู้ของนกั เรยี น (Ensuring that student learn) ภารกจิ สำคญั ของการดำเนนิกจิ กรรมชมุ ชนการเรยี นร้วู ิชาชพี มุ่งทจี่ ะสรา้ งกระบวนการเรียนรู้ท่ดี แี ละมีประสิทธิภาพสูงสดุ ของนกั เรยี น โดยมคี ำถามสำคญั ทีม่ ุ่งท่จี ะตอบ ประกอบดว้ ย 1) อะไรคอื สิ่งทีต่ ้องการให้นักเรยี นไดเ้ รยี นรู้ 2) เราจะรไู้ ดอ้ ยา่ งไรวา่ นกั เรยี นแตล่ ะคนไดเ้ กดิ การเรยี นรู้สงิ่ น้ันแลว้ 3) เราจะตอบสนองอย่างไรกับผู้เรยี นท่มี ปี ญั หากบั การเรียนรู้เรือ่ งน้ัน ๆ 4) เราจะทำอยา่ งไรกับผูเ้ รยี นทเ่ี รียนรเู้ รอ่ื งนั้น ๆ แล้ว 4.2 ม่งุ สร้างวัฒนธรรมแห่งความร่วมมือรว่ มใจ (A Culture of Collaboration) (Ben Jensen,2006: 41) การสรา้ งชมุ ชนการเรยี นรูว้ ชิ าชีพท่ีมคี ณุ ภาพ สิง่ สำคัญทเ่ี ปน็ เง่อื นไขคอื การร่วมมอื และรว่ มใจกันอย่างเป็นวถิ ีชวี ติ ปกติ การสร้างวิถขี องการทำงานท่ียอมรบั นับถอื ซ่งึ กนั และกนั ให้เกียรติกนั ถนอมน้ำใจ

!4ระหว่างเพอ่ื น เหน็ คณุ ค่าของความคิดของเพอ่ื น มองการกระทำของเพ่ือนในมุมบวก ไมเ่ อารัดเอาเปรยี บซ่งึ กันและกนั ชว่ ยกนั สรา้ งบรรยากาศแห่งความเปน็ มิตร มกี ารสอื่ สารระหวา่ งสมาชกิ ในกลุ่มอยา่ งเปน็ มติ ร มุง่ สร้างความรว่ มมือเพือ่ การยกระดับคุณภาพของโรงเรียนโดยภาพรวมเป็นสำคญั (Collaborating for schoolimprovement) พยายามขจดั ปญั หาอปุ สรรค ม่งุ สู่ความสำเร็จ (Removing barriers to success) 4.3 มงุ่ ท่ีผลทีเ่ กดิ ขึน้ (A focus on results) กลมุ่ การเรียนรู้วชิ าชีพ จะเป็นกลุ่มทีม่ ีคณุ ภาพ จะพิจารณาจากผลท่เี กิดขน้ึ จากการทำงานรว่ มกนัเปน็ สำคญั ซ่งึ จะมุง่ เป้าสำคญั ท่ีการยกระดบั คุณภาพการเรียนรขู้ องนักเรียนเป็นเปา้ หมายสงู สดุ และจะต้องทำให้การทำงานแบบกลมุ่ การเรียนรู้วิชาชพี กลายเปน็ งานประจำกบั ทกุ คนในโรงเรยี นให้ได้ ทกุ คนตอ้ งรว่ มกันทำงานหนักและมสี ัญญาใจร่วมกนั อยา่ งหนกั แนน่ ในการเดินส่เู ปา้ หมาย (Hard work and commitment)5. กระบวนการสรา้ งชมุ ชนการเรียนรวู้ ิชาชพี ควรทำอย่างไร? การสร้างชุมชนการเรยี นรู้วิชาชีพในโรงเรยี นมกี ระบวนการเสนอแนะ ดังนี้ 5.1 การพฒั นาผูน้ ำ การเรม่ิ ต้นของชุมชนการเรยี นรูว้ ิชาชพี จำเป็นตอ้ งมผี ูน้ ำที่มีภาวะผ้นู ำทางวชิ าการ ซึ่งบุคคลท่ีจะเป็นผู้นำทางวชิ าการอาจจะเปน็ ครู หรือครูอาวโุ ส (ครูที่มปี ระสบการณก์ ารสอนอยา่ งยาวนานและเป็นท่ียอมรบั ของครูร่นุ นอ้ ง ๆ) หรอื อาจเป็นผ้บู ริหารโรงเรียน ซึ่งวฒั นธรรมการทำงานของโรงเรียนในประเทศไทย ผู้อำนวยการโรงเรยี นเป็นตัวช้วี ัดทสี่ ำคัญมาก หากผู้บริหารโรงเรียนสง่ สญั ญาณให้ความสำคัญกบั เรื่องใดเรอ่ื งหนึง่ เร่อื งน้นั ๆ มกั จะประสบความสำเรจ็ 5.2 การสร้างกลมุ่ กลุ่มทจ่ี ะมารวมตัวกนั เปน็ เรอ่ื งทมี่ ีความละเอียดออ่ นและซับซ้อนมาก เพราะการท่คี รูจะมารวมตวัเปน็ เพ่ือนทจ่ี ะตอ้ งทำงานร่วมกนั อย่างต่อเน่ืองยาวนาน ต้องมีลกั ษณะนสิ ัยท่เี ข้ากันได้ มีวถิ คี ดิ ทีอ่ ยู่ในระดับที่ยอมรับซงึ่ กันและกันได้ มีน้ำใจระหวา่ งกนั และกัน ยอมรับและใหเ้ กียรตซิ ึง่ กันและกนั ชว่ ยเหลอื เกื้อกูลกนั ไม่เอารัดเอาเปรียบเพ่อื น การสรา้ งกลมุ่ โดยทั่วไปสมาชิกกลุ่มชุนชนการเรียนรู้วชิ าชพี จะมีประมาณ 4-8 คนต่อกลมุ่ สมาชิกกลุ่มควรเป็นกล่มุ ท่ีมีจดุ รว่ มกัน เช่น สอนกลุ่มสาระเดียวกัน สอนระดับชัน้ เดยี วกนั เป็นตน้ 5.3 ความเชอื่ ใจ และสร้างความสมั พันธ์การทำงานเชงิ บวก (Trust and positive workingrelationships) ระหว่างสมาชกิ ชมุ ชนการเรียนรวู้ ชิ าชพี เป็นปจั จยั สำคญั ที่จะทำใหช้ ุมชนการเรียนรูว้ ชิ าชพี มีความมั่นคง ย่ังยืน และกา้ วหนา้ ได้ 5.4 ความมพี ลวัตรของกลมุ่ (Group dynamics) การปฏริ ูปการศึกษาทข่ี าดความต่อเนือ่ ง ส่วนหนงึ่ เกิดจากความทไี่ มไ่ ด้ให้ความสนใจกบั พลงั ของความสัมพันธ์ เพราะจากเอกสารงานวิชาการยืนยนั วา่ ความเชอ่ื คา่ นยิ ม และปทัสถานทางสงั คม เป็นตวั ปจั จยัสำคญั ที่มีผลต่อค่านิยมขององคก์ ร การสรา้ งโอกาสและกจิ กรรมท่จี ะทำใหส้ มาชกิ ชมุ ชนการเรียนรู้วชิ าชีพไดม้ ีโอกาสเรียนรู้ ความเชอ่ื ค่านิยมของกันและกนั เพอ่ื ตรวจสอบว่าตนเองจะสามารถไปด้วยกันได้กบั สมาชิกในกล่มุ หรอื ไม่ 5.5 การบริหารจดั การทรัพยากรสนบั สนนุ การจัดส่ิงสนบั สนุนใหก้ ลุ่มครูไดเ้ กิดการรวมตัวกนั ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพและย่งั ยืน ปัจจยั ทีม่ ีผลได้แก่ 1) เวลา (Time)

!5 ผู้บรหิ ารโรงเรียนอาจส่งเสริมและใหโ้ อกาสแกค่ ณะครูได้มเี วลาไดพ้ บปะพูดคยุ รว่ มกัน ทั้งเปน็ทางการและไม่เป็นทางการ เพ่อื ทำใหเ้ กดิ บรรยากาศของความรว่ มมอื รว่ มใจ 2) พน้ื ที่ (Space) การสร้างพืน้ ทเ่ี ฉพาะเพอื่ ใหส้ มาชกิ ชุมชนการเรียนรวู้ ิชาชพี ไดใ้ ชเ้ ป็นสถานท่ีทำกิจกรรมร่วมกันและสถาปนาเปน็ ท่ีทำการของกล่มุ จะมีผลทงั้ ความสะดวกในการทำงานและยังมีผลทางจติ วิทยาตอ่ ความรูส้ กึการไดร้ ับการยอมรบั การสรา้ งการรบั รู้ทางสงั คมของสมาชิกในโรงเรียนทั้งหมดด้วย 5.6 ปฏสิ ัมพนั ธแ์ ละการเชอ่ื มโยงกับองค์กรภายนอก โรงเรียนไม่สามารถเดนิ หน้าไดเ้ พียงลำพงั แต่จำเป็นต้องมีความเช่ือมโยงกบั องค์กรภายนอก มีปจั จัยย่อยทีม่ ผี ล ไดแ้ ก่ 1) การสนับสนุน (Support) การมีระบบสนบั สนนุ จากหนว่ ยงานภายนอกจะเป็นกำลังใจสำคญัของกล่มุ ครู อาทิ การทำความรว่ มมือกับคณะครศุ าสตร์ ศึกษาศาสตร์ เพอ่ื การทำงานร่วมกันจะชว่ ยทำให้ครูรสู้ กึ อบอนุ่ และไดเ้ รียนรู้อย่างมน่ั ใจ ภาคภมู ิใจต่อผลงานของตนเอง 2) หุน้ สว่ น (Partnerships) โรงเรยี นจะตอ้ งพยายามสรา้ งหุ้นสว่ นทสี่ ำคัญท่ีมสี ว่ นส่งเสรมิสนบั สนนุ การพฒั นาวชิ าชีพของครูได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ ซ่งึ ผูท้ เี่ ป็นกล่มุ เป้าหมายของการดึงมาเป็นห้นุ ส่วนการเรยี นรู้วชิ าชีพ ไดแ้ ก่ ผู้ปกครอง คณะกรรมการโรงเรยี น สมาชกิ องค์กรปกครองส่วนท้องถน่ิ ขา้ ราชการปราชญช์ ุมชน นักธุรกจิ ผู้จดั การโรงงานอตุ สาหกรรม พระสงฆ์ เปน็ ต้น บคุ คลเหล่านถี้ ือเปน็ หุ้นส่วนสำคัญทจี่ ะมสี ่วนรบั รู้ และรว่ มเรยี นรูง้ านพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนร้ไู ปด้วยพรอ้ มกนั จะมีผลต่อภาพลกั ษณข์ องโรงเรียนดว้ ยไปพร้อมกนั 3) เครอื ข่าย (Networks) การทำงานในยุคศตวรรษท่ี 21 การมเี ครอื ข่ายความรว่ มมอื ระหวา่ งโรงเรียน เครือขา่ ยความร่วมมือระหว่างกล่มุ ชมุ ชนเรียนรวู้ ชิ าชีพ เป็นโอกาสดที ี่จะทำใหเ้ กิดการแลกเปลี่ยนเรยี นรู้ร่วมกนั เป็นการสรา้ งกำลงั ใจในการเอาชนะอุปสรรคซึง่ กันและกัน การสร้างเครอื ขา่ ยความร่วมมอื ในปจั จุบัน อาจเป็นเครือข่ายความรว่ มมือผา่ นการสอื่ สารอิเลคทรอนกิ ส์ก็ยอ่ มได้6. องคป์ ระกอบของกลุม่ การเรยี นร้วู ิชาชพี การจัดตั้งกลมุ่ ชมุ ชนการเรยี นรวู้ ิชาชีพ นบั เปน็ สิ่งท่ีมคี วามยากที่สดุ เพราะการทีจ่ ะทำใหค้ น (ครู)4-8 คนทม่ี ีความสนใจ คา่ นยิ ม ความเช่ือที่เขา้ กนั ได้ ทำงานรว่ มกันได้ เป็นส่ิงทีย่ ากมาก แตอ่ งคป์ ระกอบของกลุ่มการเรียนรวู้ ิชาชีพ อาจจะมีโครงสร้างเสนอแนะ ดงั นี้ 6.1 แบบที่หน่ึง เปน็ การรวมตัวของกลุ่มครจู ำนวน 4-8 คน ซึ่งมาจากกลมุ่ สาระการสอนเดียวกนัหรือใกลเ้ คยี งกนั และทำงานอยใู่ นโรงเรยี นเดียวกัน 6.2 แบบที่สอง เปน็ การรวมตวั ของกลุ่มครูจำนวน 4-8 คน ซึ่งมาจากกลุ่มสาระการสอนแตกต่างหลากหลาย แต่สอนระดับเดยี วกนั เช่น สอนระดับอนุบาล สอนระดบั ประถมศึกษา หรอื สอนระดบัมธั ยมศกึ ษา แตท่ ำงานอยู่ในโรงเรียนเดียวกนั 6.3 แบบท่สี าม เป็นการรวมตัวของกลุม่ ครู จำนวน 4-8 คน ซ่งึ มาจากกล่มุ สาระการสอนเดยี วกันแต่มีครมู าจากโรงเรยี นที่แตกต่างกนั ตง้ั แต่ 2 โรงเรียน ทำใหก้ ารติดตอ่ สือ่ สารอาจตอ้ งใช้การสอื่ สารผ่านระบบอิเลคทรอนกิ ส์มาเปน็ สอื่ กลาง 6.4 แบบท่สี ่ี เปน็ การรวมตัวของกลุ่มครู จำนวน 4-8 คน ซง่ึ มาจากกลมุ่ สาระการสอนแตกต่างหลากหลาย แต่สอนระดับเดียวกัน และอาจมาจากหลากหลายโรงเรยี น การตดิ ตอ่ สอ่ื สารอาจตอ้ งใชก้ ารสื่อสารผา่ นระบบอิเลคทรอนิกส์มาเป็นส่ือกลาง

!67. การดำเนนิ กจิ กรรมของชมุ ชนการเรยี นร้วู ชิ าชพี กิจกรรมของชุมชนการเรยี นร้วู ชิ าชีพ ควรมลี ำดับขั้นตอนการดำเนนิ กิจกรรม ดังนี้ 7.1 การกำหนดเป้าหมายการพฒั นา (Goal) เป้าหมายการพัฒนา หมายถึง พฤตกิ รรมของนักเรียนทไ่ี ด้รบั การเลอื กจากสมาชิกของกลุม่ วา่ จะมุ่งเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมน้นั ๆ โดยทว่ั ไปมกั จะเลือกพฤตกิ รรมทเ่ี ป็นปัญหาของโรงเรยี น หรอื อาจเป็นพฤติกรรมท่เี ป็นอตั ลกั ษณ์ของโรงเรียน พฤตกิ รรมของนักเรียน หมายถงึ การแสดงออกของนักเรยี นท่เี กิดการเปลยี่ นแปลงอยา่ งถาวร ตวั อย่างเชน่ ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ทักษะการคดิ เชิงระบบ ทกั ษะการใชข้ อ้ มูลเทคโนโลยสี ารสนเทศ หรือความรับผดิ ชอบ ความเสยี สละ ความเป็นผ้นู ำ จิตอาสา ความอดทน ความซ่อื สัตย์ และอืน่ ๆ สมาชิกชมุ ชนการเรียนรู้ จำเปน็ ต้องเลือกพฤตกิ รรมเปา้ หมาย เพ่ือเป็นเปา้ หมายของการออกแบบการเรยี นรู้ แล้วดำเนนิ การอย่างต่อเน่ือง เพอ่ื ทำให้พฤตกิ รรมเป้าหมายนนั้ บรรลผุ ลตามท่ีต้งั เปา้ ไวใ้ ห้ไดม้ ากท่ีสุด 7.2 การออกแบบกลยทุ ธ์การจัดการเรยี นรู้ (Learning Management Strategy) สมาชิกของกลมุ่ จะตอ้ งเปน็ เจา้ ภาพ สร้าง ออกแบบแผนการจัดการเรยี นรู้ (ออกแบบกลยุทธก์ ารเรียนรู้) โดยจะต้องตอบโจทยป์ ัญหาอยา่ งนอ้ ย 2 ประการ คือ การตอบโจทย์การพยายามทำใหเ้ ปา้ หมายการพฒั นาบรรลุผลไดม้ ากทสี่ ดุ และต้องตอบโจทยว์ ัตถุประสงค์การเรียนร้ตู ามสาระท่สี อนในครัง้ น้ัน ๆ ดว้ ย 7.3 การรว่ มกันสะทอ้ นคิดเพือ่ การพฒั นากลยทุ ธ์การจดั การเรยี นรู้ (Reflection forDevelopment) สมาชิกของกลุ่มชมุ ชนการเรียนรู้จะตอ้ งนำแผนการจดั การเรียนรู้ ท่เี พือ่ นคนหน่งึ ของกลุม่ ได้ออกแบบไปแล้วนน้ั มาพจิ ารณาถงึ ความเปน็ ไปไดข้ องการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ความเปน็ ไปไดข้ องโอกาสความสำเรจ็ ทจ่ี ะสามารถพัฒนาพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ เป้าหมายท่ีไดก้ ำหนดรว่ มกันไวแ้ ลว้ รวมถงึ ความเป็นไปไดข้ องการเรยี นรทู้ ี่จะบรรลุวัตถปุ ระสงค์การเรียนรเู้ ฉพาะตามสาระในคร้งั น้ัน ๆ ดว้ ย และจะต้องร่วมกนัพิจารณาในภาพรวมด้วยวา่ การจัดการเรยี นร้คู รัง้ น้นั มลี ักษณะโนม้ เอยี งไปในทางใดทางหนง่ึ มากเกินไปหรือไม่ เช่น เนน้ ความรูค้ วามจำมากไปจนละเลยกระบวนการคิดหรือไม่ แผนการจัดการเรยี นรูใ้ ห้ความสำคญั กับการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นรายคนดว้ ยไหม เปน็ ตน้ ผลจากการรว่ มกนั สะท้อนคดิ จากสมาชกิ ทุกคน จะถกูรวบรวมโดยครูท่ีเป็นเจา้ ภาพการสอนในครงั้ นน้ั นำข้อความเหน็ ท้งั หมดมาประมวล สรุป และปรับปรงุแผนการจดั การเรียนรู้ให้มีความสมบรู ณ์ พรอ้ มดำเนินการต่อไป ทงั้ นก้ี ระบวนการสะท้อนคิดตามขัน้ ตอนนี้อาจใชก้ ารส่ือสารผา่ นระบบอเิ ล็กทรอนิกส์เข้ามาชว่ ยการจัดการด้วยกไ็ ด้ จะทำให้การทำงานสอื่ สารระหว่างสมาชิกกลมุ่ สะดวกรวดเร็วมากข้นึ ดว้ ย 7.4 ปฏบิ ตั ิการจดั กจิ กรรมการเรยี นร้แู ละสงั เกตการณ์กระบวนการปฏิบัตจิ ริง (LearningActivities and Observation) หลังจากแผนการจัดการเรยี นรู้ได้รบั การปรับปรงุ จากการสะท้อนคดิ ของสมาชิกกลมุ่ จะถูกนำสู่การปฏิบตั กิ ารจัดกิจกรรมการเรียนรใู้ นห้องเรยี นจรงิ และระหวา่ งการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จะต้องมเี พ่อื นสมาชิกอยา่ งน้องหนง่ึ คนหรือมากกว่า ร่วมสงั เกตการณก์ ารจดั กิจกรรมการเรียนรู้ โดยจะตอ้ งมีบันทึกภาคสนาม (Field Note) ของการสังเกตการสอนอยา่ งเป็นระบบ และควรตอ้ งมกี ารบนั ทึกเป็นวีดิทัศนโ์ ดยเฉพาะช่วงเวลาท่ีสำคัญของแผนการจดั การเรียนรู้ ทง้ั นีส้ ิ่งทคี่ วรต้องบันทกึ ไว้ระหว่างการสังเกตการสอน ควรประกอบด้วย 1) ขอ้ มูลพน้ื ฐานของการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ไดแ้ ก่ กลมุ่ สาระที่สอน เรอ่ื ง กลุม่ นักเรยี น วนั ท่ีเวลาเร่มิ เวลาส้นิ สดุ ลักษณะสภาพทวั่ ไปของสถานที่จดั การเรียนรู้ อุปกรณ์ ส่อื สงิ่ อำนวยความสะดวก สง่ิรบกวน เป็นต้น 2) บรรยากาศการเริม่ ต้นการเรียนการสอน ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหว่างครูกับนกั เรยี น 3) การจัดการเรยี นการสอน เป็นไปตามลำดับของแผนการจัดการเรียนรู้หรือไม่ หากไม่เป็นไปตามแผน อะไรเปน็ สาเหตุ และครดู ำเนินการอย่างไรตอ่ ไป ส่งผลทำให้นักเรียนเกดิ การเรียนรู้ทด่ี ีข้ึนหรือสับสน

7! 4) มีนกั เรียนที่แสดงพฤตกิ รรมว่าไดเ้ กิดการเรยี นรู้ ทเ่ี ปน็ ไปตามเป้าหมายของการเรยี นการสอนบา้ งหรือไม่ และมีนักเรยี นทแี่ สดงว่ายังไมเ่ กิดการเรยี นรตู้ ามเป้าหมายบา้ งหรอื ไม่ จำนวน สดั ส่วนระหว่างนกั เรียนทั้งสองกล่มุ เปน็ อย่างไร 5) ครูมีการดำเนินการอยา่ งไรกบั นักเรียนทแ่ี สดงออกวา่ ได้เรยี นรู้เรื่องนั้นแลว้ และครดู ำเนนิ การอย่างไรกับนกั เรียนท่ยี งั ไมส่ ามารถเรียนรู้เรื่องน้นั ได้ 6) ระหวา่ งการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน มอี ะไรท่เี ปน็ การปฏบิ ัติที่ดีควรรกั ษาไว้ และอะไรที่เป็นจดุ ออ่ นที่ควรไดร้ ับการแก้ไขบา้ ง 7.5 การสืบเสาะ สรุปผลการปฏบิ ัตเิ พ่อื การพัฒนา (Debrief) สมาชิกกลมุ่ การเรียนรู้จะตอ้ งมารวมตัวกันสบื เสาะ ตง้ั คำถาม สะท้อนคิดต่อผลการปฏบิ ตั ิการสอนทผี่ ่านไปแล้ว โดยม่งุ ตอบคำถามอยา่ งน้อย 4ประเด็น คือ 1) มีนกั เรยี นไดเ้ รียนรูแ้ ละเกดิ พฤติกรรมตามเป้าหมายที่ตงั้ ไว้มากน้อยเท่าใด 2) รู้ได้อย่างไรวา่ นักเรียนเหล่านั้นเกิดการเรียนรู้ และ/หรอื มพี ฤตกิ รรมบรรลุตามเปา้ หมายนนั้แล้ว 3) มนี กั เรียนที่ไมส่ ามารถเรยี นรู้และยังไม่บรรลุพฤติกรรมตามเปา้ หมาย จะทำอย่างไรกบันักเรียนกลุ่มนีต้ อ่ ไป 4) นกั เรยี นที่เกิดการเรียนรูแ้ ละบรรลพุ ฤติกรรมตามเปา้ หมายแล้ว จะทำอยา่ งไรต่อไปกบันกั เรยี นกลุ่มนี้ สมาชกิ ของกลุม่ ตอ้ งรว่ มกนั แสดงความคดิ เหน็ เพ่อื ให้ครูทเ่ี ปน็ เจา้ ภาพ สรปุ ผลการจดั การเรียนรู้ทต่ี อบคำถามทั้ง 4 ประเดน็ รวมถงึ สง่ิ ท่ีเปน็ แนวการปฏบิ ัตทิ ีด่ ี และสงิ่ ทเี่ ป็นจุดอ่อนท่คี วรไดร้ บั การปรบั ปรงุ ในโอกาสตอ่ ไป 7.6 สรุปผลเรยี นรู้จากการปฏบิ ตั กิ ารนำสกู่ ารวางแผนการจัดการเรียนรรู้ อบใหม่ต่อไป (Next Step)ครูท่ีเป็นเจา้ ภาพการจดั การเรยี นรู้ จะตอ้ งนำผลสรปุ ทีไ่ ด้รวบรวม บนั ทกึ ผลไวใ้ หเ้ รียบร้อยอย่างเป็นทางการโดยจะมกี ารดำเนินการอย่างน้อย 2 เป้าหมาย คือ 1) บนั ทกึ ไวเ้ พื่อเป็นพฒั นาการของการพฒั นาการจัดการเรยี นรสู้ ู่เป้าหมายทไ่ี ด้กำหนดไว้รว่ มกนั(Goal) เพอ่ื สะท้อนวา่ กวา่ จะสามารถพัฒนาลกู ศษิ ยใ์ หบ้ รรลุตามพฤติกรรมเปา้ หมายได้นั้น มบี ทเรียนท่ไี ดเ้ รียนรู้รว่ มกนั อย่างไรบ้าง ส่วนน้จี ะเปน็ ขอ้ มูลสำคัญทีม่ ีคณุ คา่ อย่างยิง่ และถอื เป็นงานวิจยั ในชนั้ เรยี นท่ีมคี ุณภาพมาก 2) ผลทไี่ ด้จากการสรปุ จะต้องนำไปสูก่ ารวางแผนการจัดการเรยี นร้รู อบใหม่ ซึ่งเชื่อมั่นวา่ การจัดการเรยี นร้จู ะมีความแม่นตรงและมปี ระสทิ ธภิ าพมากกวา่ เดมิ 7.7 การเร่ิมดำเนินการวงรอบใหม่ของการจดั กจิ กรรมกลุม่ ชมุ ชนการเรยี นรูร้ ่วมกนั รอบที่ 2 รอบท่ี3 และรอบต่อ ๆ ไป และทกุ ๆ วงรอบ หากนำมารอ้ ยเรอ่ื งอย่างเปน็ ระบบจะกลายเป็นพฒั นาการเร่อื งเลา่ การพฒั นาการจดั การเรียนรูท้ ่ีมีความเฉพาะเจาะจงของนกั เรียนโรงเรียนน้นั ๆ ไดอ้ ย่างแจ่มชดั และการปฏบิ ตั ิลกั ษณะเช่นน้จี ะสร้างความเข้มแขง็ ของกลุ่มเรียนรูว้ ิชาชพี มากย่ิงขึ้น และจะมีความเปน็ “ครูมอื อาชพี ” มากขนึ้ อย่างแน่นอน8. บทสรุป ชมุ ชนการเรยี นรู้วิชาชีพ อาจเปน็ นวัตกรรมการพัฒนาคุณภาพการจดั การเรียนร้ทู คี่ รแู ละบุคลากรทางการศึกษาในประเทศไทย อาจจะยังไมค่ ่อยจะคนุ้ เคย และอาจจะมีความรู้สึกท่ขี ัดเขินทจ่ี ะต้องหันหน้า

!8เข้าหากัน จะต้องเปดิ แผนการจัดการเรียนรูข้ องตนเอง อาจจะรู้สกึ วา่ ตนเองอาจจะทำไม่ดี จะต้องเปิดชั้นเรยี นและพร้อมใหค้ นอืน่ เข้ามาสงั เกตการสอนของตนเอง ซง่ึ ไมใ่ ชว่ ฒั นธรรมของครูไทย หลังการสอนยังจะตอ้ งหาเวลามาน่งั สรุปสะทอ้ นคดิ กันอีก เสรจ็ แลว้ ยังตอ้ งมงี านตอ่ เน่ืองไปอกี ซงึ่ แน่นอนครูจำนวนหน่งึ อาจจะลกุ ข้ึนมาบอกวา่ “ แค่ทุกวนั น้ี สอนก็จะไมท่ นั อยูแ่ ล้ว งานอื่นกม็ ากมาย” จะทำกลุม่ ชมุ ชนการเรียนรูว้ ชิ าชพี อีก จะไหวหรอื แตก่ ารกระทำลกั ษณะเชน่ นีเ้ ปน็ ทศิ ทางทีด่ ี และพสิ ูจนแ์ ลว้ ในหลายประเทศว่า เปน็ เส้นทางการพฒั นาวชิ าชีพครูทจี่ ะส่งผลการพฒั นาตอ่ นักเรยี นอยา่ งแน่นอน กิจกรรมการเรยี นรวู้ ิชาชพี ในลกั ษณะการรวมตัวเปน็ กลมุ่ ชมุ ชนการเรียนรู้วชิ าชพี จะประสบความสำเร็จมากน้อยเพยี งใด ก็อยูท่ ่คี รูไทยจะยอมรับและเรม่ิการเปลีย่ นความคิดของตนเองได้เมอ่ื ใด และเปลย่ี นไดม้ ากแคไ่ หน ซงึ่ ท้งั หมดนี้ ต้องเกดิ การเปลย่ี นแปลงจากภายในตนเอง (Inside – Out) มากกว่าทจี่ ะใหใ้ ครไปบังคับใหค้ รูดำเนนิ การ ซึ่งจะเป็นลกั ษณะท่เี ปล่ียนแปลงจากภายนอก (Outside - In) ผลของความยงั่ ยนื และคณุ ภาพของงานย่อมแตกตา่ งกัน กไ็ ด้แต่หวงั ว่าครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษาจะยอมรับแนวคิดไปสกู่ ารปฏิบัติอย่างกว้างขวางมากขึน้ เรือ่ ย ๆ และทกุ ๆ ระดบัเอกสารอ้างอิงBen Jensen, Julie Sonnemann, Katie Roberts – Hull and Amelie Hunter. (2016). Beyond PD: Teacher Professional Learning in High – Performing System. Washington, DC: The National Center on Education and the Economy.Bolam, R., Mcmahon, A., Stoll, L., Thomas, S., Wallace,M., Greenwood, A., Hawkey, K., Ingram. M., Atkinson, A. & Smith, M. (2005). Creating and sustaining effective Professional learning communities. Research Report 637. London: DFES and University of Bristol.Charles Fadel, Maya Bialik, and Bernie Trilling. (2015). Four – Dimensional Education. Boston: The center for Curriculum Redesign.Cordingley, P., Bell, M., Rundell, B. & Evans, D. (2003). The impact of collaborative CPD on classroom teaching and learning. In: Researcher evidence in Education library. Version 1.1, London: EPPI Center, Social Science Research Unit, Institute of Education.Hord, S.M. (1997). Professional learning Communities; Communities of inquiry And improvement. Austin, Texas: Southwest Education Development Laboratory.Louise Stoll, Ray Bolam, Agnes Mcmahon, Mike Wallace and Sally Thomas. (2016). Professional Learning Communities: A Review of the literature in Journal Of Educational Change (2006). 7: 221 – 258; (http://schoolcentributions.cmswiki-wikispaces.net; Access on 25 June 2016).Louis, K.S., Kruse, S.D. & Associates. (1995). Professionalism and community: Perspectives on reforming urban school. Thousand Oaks, CA: Corwin Press Inc.Louis, K.S., Kruse, S. & Bryk, A.S. (1995). Professionalism and community: What is it And why is it important in urban school? In K.S. Louis, S. Kruse & Associates (1995). Professionalism and community: Perspectives and

!9 Reforming urban school. Long Oaks, CA: Corwin.Melanie S. Morrissey. (2000). Professional Learning Communities: An Ongoing Exploration. Texas: Southwest Educational Development Laboratory, (http://allthingsple.info/ Access on 25 June 2016.).Richard Dufour. (2004). what is a Professional Learning Community? : http://ascd.org. Access on 25 June 2016.Westheimer, J. (1999). Communities and consequences; Professional work. Educational Administration Quarterly. 35 (1), 71 – 105. ------------------------------------------------------


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook