Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ความรู้เกี่ยวกับอวัยวะรับความรู้สึก

ความรู้เกี่ยวกับอวัยวะรับความรู้สึก

Published by chaiwat1990na, 2021-06-10 03:10:13

Description: ความรู้เกี่ยวกับอวัยวะรับความรู้สึก

Search

Read the Text Version

ความรเู้ กีย่ วกบั อวัยวะรับความรู้สึก อวยั วะรบั ความรูส้ กึ ของรา่ งกายตอ้ งอาศยั องคป์ ระกอบ คอื ตวั รบั ความรูส้ กึ (Receptors) ทางรบั -สง่ กระแสความรูส้ กึ (Afferent path) และบรเิ วณบอกความรูส้ กึ (Sensory areas) ตา่ งๆ ใน Cerebrum ปกติแลว้ อวยั วะรบั ความรูส้ กึ (Sense organs) จะตอบสนองและรบั รูส้ งิ่ เรา้ จากสงิ่ ที่มนั สามารถจะรบั ได้ โดยเฉพาะเทา่ นนั้ เช่น ตารบั รูส้ งิ่ เรา้ จากแสง สวา่ ง หรู บั เสยี ง เป็นตน้ อวยั วะรบั ความรูส้ กึ นี้ จาแนกออกเป็น 1.การเห็น (Visual sensation) 2.การไดย้ ินและการทรงตวั (Sense of hearing and equilibrium) 3.การไดก้ ลนิ่ (Olfactory sense) 4.การรบั รส (Taste or Gustatory sense) 1.การเหน็ (Visual sensation) โครงสรา้ งของนยั นต์ า โครงสรา้ งของลกู ตา ผนงั ของลกู ตาประกอบดว้ ยเนอื้ เยือ่ 3 ชนั้ คอื 1.ช้นั นอกสุด ของลกู ตาเป็นเนอื้ เย่อื เก่ียวพนั fibrous coat แบง่ ออกเป็น 2 สว่ น คือ 1.1 ชนั้ sclera หรอื ตาขาว เป็นผนงั ตาชนั้ นอกซงึ่ หนา มีสขี าวทบึ แสงผา่ นไมไ่ ด้ สว่ นใหญ่ของตาขาวอยภู่ ายในเบา้ ตา ประมาณ 5/6 ทางดา้ นหลงั และมี optic nerve ทะลเุ ขา้ มา

1.2 สว่ น cornea หรอื กระจกตา เป็นสว่ นเย่อื ทีค่ ลมุ 1/6 ทางดา้ นหนา้ ของลกู ตา มีลกั ษณะใส โปรง่ แสง ไมม่ หี ลอดโลหติ สว่ นนมี้ ีประโยชน์ คอื สามารถใหแ้ สงผา่ นเขา้ ไปในลกู ตาได้ 2.ผนังตาชน้ั กลาง vascular coat มีลกั ษณะบางสาหรบั ใหเ้ สน้ เลอื ดและเสน้ ประสาทท่ตี าทอดผา่ นไป ชนั้ นี้ ประกอบดว้ ย 2.1 Choroid เป็นผนงั บางอยถู่ ดั จาก sclera เขา้ มา ในชนั้ นมี้ เี ซลลเ์ มด็ สี (Pigment cells) และเซลลอ์ ื่นๆ ประกอบเป็น รา่ งแห ทาใหม้ สี เี ขม้ ทบึ แสง ช่วยในการปอ้ งกนั การสะทอ้ นของแสง 2.2 Ciliary body อยตู่ อ่ จากสว่ น Choroid มาทางดา้ นหนา้ ประกอบดว้ ย cilary muscle และ ciliary process และที่ สว่ นปลายของ ciliary process นมี้ ี suspensory ligament ไปยดึ กบั เลนส์ (Lens) เมื่อมกี ารหดตวั ของ ciliary muscle ทาใหเ้ กิดการดงึ lens ซงึ่ จะสง่ ผลให้ lens มกี ารปรบั ความหนา ชว่ ยในการปรบั แสงใหผ้ า่ นไปตกยงั เรตินา ได้ พอดี นอกจากนี้ Ciliary body ยงั ทาหนา้ ทผ่ี ลติ Aqeous humor ดว้ ย 2.3 Iris หรอื มา่ นตา อยหู่ นา้ lens แตอ่ ยหู่ ลงั cornea มา่ นตาถกู ยดึ ดว้ ยกลา้ มเนอื้ 2 ชนดิ คือ – sphincter pupillae muscle ซงึ่ เป็นกลา้ มเนอื้ ที่อยบู่ รเิ วณตรงกลางของ iris ควบคมุ โดยระบบประสาท พาราซมิ พาเธ ตกิ มลี กั ษณะการทอดตวั ของใยกลา้ มเนอื้ เป็นวงกลม เม่อื มกี ารหดตวั ของกลา้ มเนอื้ นี้ จะทาใหร้ ูมา่ นตาหดเลก็ ลง (pupil constriction) เช่น ในกรณีทีม่ ีแสงผา่ นเขา้ ตามากเกินไป – dilator pupillae จะอยบู่ รเิ วณรอบนอกของ iris โดยเสน้ ใยกลา้ มเนอื้ จะเรยี งตวั กนั เป็นรศั มีออกจากจดุ ศนู ยก์ ลาง ควบคมุ โดย ระบบประสาทซมิ พาเธตกิ การหดตวั ของกลา้ มเนอื้ dilator pupillae ทาใหข้ นาดของรูมา่ นตาขยายใหญข่ นึ้ (Pupil dilatation) เช่น ในภาวะอยใู่ นท่ีทีม่ ีแสงนอ้ ย ซง่ึ กลไกการการขยายหรอื หดรูมา่ นตาตอ้ งอาศยั reflex ทเ่ี รยี กวา่ light reflex รว่ มกบั การทางานของระบบประสาทอตั โนมตั ิ สขี องตาขนึ้ อยกู่ บั จานวนเมด็ สี (Pigment) ในมา่ นตาดว้ ย ถา้ มเี มด็ สนี อ้ ยตาจะมีสฟี า้ ถา้ มเี มด็ สอี ยมู่ าก ตาจะเป็นสเี ทา สี นา้ ตาล หรอื สดี า 3. Retina เป็นสว่ นท่ีอยชู่ นั้ ในสดุ ของลกู ตา เป็นสว่ นที่ทาหนา้ ทใี่ นการรบั ภาพ (Receptor) ประกอบดว้ ยเซลลต์ า่ งๆ ที่ สาคญั ในการรบั แสง คอื rod cells และ cone cells Rod cells เป็นเซลลร์ ูปยาวทรงกระบอก มคี วามไวตอ่ แสงประกอบดว้ ยสที ี่เรยี กวา่ rhodopsin เป็นตวั รบั แสง ทา หนา้ ทใี่ นการรบั แสงหรอื ภาพ ขาว-ดา และจะทางานมากเมอื่ มองภาพในทส่ี ลวั หรอื ที่มแี สงนอ้ ย Cone cells เป็นเซลลร์ ูปกระสวย มหี นา้ ทใี่ นการรบั แสงสตี า่ ง จะทางานไดด้ ีในสถานท่ที มี่ ีแสงเพียงพอ เมอ่ื แสงผา่ นเขา้ มาในลกู ตาและตกกระทบท่ีเรตินา เซลลท์ งั้ สองชนดิ นจี้ ะทาหนา้ ทส่ี ่งกระแสประสาทผา่ นเซลลป์ ระสาทชนั้ ตา่ งๆ ทอ่ี ยใู่ นเรตนิ าไปยงั optic nerve ซงึ่ ทอดทะลไุ ปสเู่ ปลอื กสมอง (Cerebral cortex) สว่ นทีท่ าหนา้ ทแ่ี ปลเป็น สญั ญาณภาพใหเ้ ราไดเ้ หน็ เป็นภาพ

โครงสรา้ งและตาแหนง่ ของเซลลใ์ นชนั้ เรตินา กลไกการมองเหน็ เย่อื หมุ้ เซลลร์ ูปแทง่ จะมสี ารสมี ว่ งแดงช่ือ โรดอปซนิ (rhodopsin) ฝังตวั อยู่ สารชนิดนปี้ ระกอบดว้ ยโปรตนี ออ ปซิน (opsin) รวมกบั สาร เรตินอล (retinol) ซงึ่ ไวตอ่ แสงจะมกี ารเปลยี่ นแปลง ดงั แผนภาพท่ี 3 การเปลย่ี นแปลงโรดอปซนิ ในเซลลร์ ูปแทง่ เมือ่ แสงมากระตนุ่ เซลลร์ ูปแทง่ โมเรกลุ ของเรตนิ อลจะเปลย่ี นแปลงไปจนเกาะกบั โมเลกลุ ของออปซนิ ไมไ่ ด้ ขณะนเี้ องจะ เกิดกระแสประสาทเดินทางไปยงั เสน้ ประสาทสมองคทู่ ่ี 2 เพือ่ สง่ ไปยงั สมองใหแ้ ปลเป็นภาพ ถา้ ไมม่ แี สงออปซนิ และเรติ นอลจะรวมตวั เป็นโรดอปซินใหม่

สาหรบั เรตินอลเป็นสารท่รี า่ งกายสงั เคราะหข์ นึ้ ไดจ้ ากวติ ามินเอ ถา้ รา่ งกายขาดวติ ามินเอจะทาใหเ้ กิดโรคตาฟางใน ชว่ งเวลาท่ีมีแสงสวา่ งนอ้ ย เชน่ ตอนพลบค่า เซลลร์ ูปกรวยแบง่ ตามความไวตอ่ ช่วงความยาวคลนื่ ของแสงได้ 3 ชนดิ คือ เซลลร์ ูปกรวยท่ีไวตอ่ แสงสนี า้ เงิน เซลลร์ ูป กรวยท่ไี วตอ่ แสงสแี ดง และเซลลร์ ูปกรวยที่ไวตอ่ แสงสเี ขยี ว การท่สี มองสามารถแยกสตี า่ งๆ ได้ มากกวา่ 3 สี เพราะมีการกระตนุ้ เซลลร์ ูปกรวยแตล่ ะชนิดพรอ้ มๆ กนั ดว้ ยความเขม้ ของ แสงสตี า่ งกนั จึงเกิดการผสมของแสงสตี า่ งๆ ขนึ้ เช่น ขณะมองวตั ถสุ มี ว่ งเกดิ จากเซลลร์ ูปกรวยที่มคี วามไวตอ่ แสงสแี ดง และแสงสนี า้ เงินถกู กระตนุ้ พรอ้ มกนั ทาใหเ้ หน็ วตั ถนุ นั้ เป็นสมี ว่ ง เป็นตน้ ดงั ภาพที่ 4 การมองเหน็ แสงสตี า่ งๆ ความผดิ ปกตขิ องสายตา 1.สายตาสนั้ (Myopia) สว่ นใหญ่เกิดเนื่องจาก กระบอกตายาวเกินไป สว่ นนอ้ ย เกิดจากเลนส์ (Lens) หรอื cornea รวม แสงแลว้ ไมถ่ งึ retina ภาพไม่ focus บนจอตา ทาใหม้ องเหน็ ไมช่ ดั 2.สายตายาว (Hypermetropia) อาจเกิดเนอ่ื งจากกระบอกตาสนั้ เกินไป หรอื เพราะเลนส์ หรอื cornea แบน ทาใหแ้ สง ท่ีผา่ นเขา้ ลกู ตา ยาวเกิน retina ไมส่ ามารถ โฟกสั ไดบ้ นจอตา การแกไ้ ข ตอ้ งใชแ้ วน่ เลนสน์ นู ชว่ ย เพ่ือรวมแสงใหส้ นั้ เขา้ 3.สายตาเอยี ง (Astigmatism) เป็นภาวะทมี่ องเห็นภาพไมช่ ดั เน่ืองจากสว่ นโคง้ ของ cornea หรอื lens ไมเ่ ทา่ กนั ทาให้ การหกั เหของแสงตามแนวตา่ งๆ ไมเ่ ทา่ กนั การแกไ้ ขทาไดโ้ ดย ใชแ้ วน่ กาบกลว้ ย (Cylindrical lens) เพอ่ื ทาใหอ้ านาจการ หกั เหของแสงทกุ แนวเทา่ กนั ได้ 2.การได้ยนิ และการทรงตวั (Sense of hearing and equilibrium) หเู ป็นอวยั วะรบั สมั ผสั ทที่ าหนา้ ทท่ี งั้ การไดย้ นิ เสยี ง และการทรงตวั หขู องคนแบง่ ไดเ้ ป็น 3 สว่ น คอื หสู ว่ นนอก หสู ว่ นกลาง และหสู ว่ นใน ดงั ภาพท่ี 5

โครงสรา้ งภายในของหคู น หสู ่วยนอก ประกอบดว้ ยใบหแู ละช่องหซู ง่ึ นาไปสหู่ สู ว่ ยกลางใบหมู กี ระดกู ออ่ นคา้ จนุ อยู่ ภายในหมู ตี อ่ มสรา้ งไขมาเคลอื บ ไวท้ าใหผ้ นงั ช่องหไู มแ่ หง้ และปอ้ งกนั อนั ตรายไมใ้ หแ้ มลงและฝ่นุ ละอองเขา่ สภู่ ายใน ตา้ นการตดิ เชอื้ แบคทีเรยี และเชือ้ รา ได้ เม่อื มมี ากจะสะสมกลายเป็นขหี้ ซู ง่ึ จะหลดุ ออกมาเอง จงึ ไมค่ วรใหช้ ่างตดั ผมแคะหใู ห้ เพราะอาจเป็นอนั ตราย ทาใหเ้ ยือ่ แกว้ หขู าดและกลายเป็นคนหหู นวก ตรงรอยตอ่ ระหวา่ งหสู ว่ นนอกกบั หสู ว่ นกลาง มีเยือ่ บางๆกนั้ อยเู่ รยี กวา่ เยอ่ื แกว้ หู (ear drum หรอื tympanic membrane) ซง่ึ สามารถส่นั ไดเ้ มอ่ื ไดร้ บั คลน่ื เสยี ง เช่นเดียวกบั หนงั หนา้ กลองเม่อื ถกู ตีหู สว่ นนอกจึงทาหนา้ ทีร่ บั คลนื่ เสยี งและเป็นช่องใหค้ ลนื่ เสยี งผา่ น หูสว่ นกลาง มลี กั ษณะเป็นโพรง ติดตอ่ กบั โพรงจมกู และมีทอ่ ติดตอ่ กบั คอหอย ทอ่ นเี้ รยี กวา่ ท่อยสู เต เชียน (Eustachian tube) ปกติทอ่ นจี้ ะตีบ แตใ่ นขณะเคีย้ วหรอื กลนื อาหารทอ่ นจี้ ะขยบั เปิดเพอ่ื ปรบั ความดนั 2 ดา้ นของ เยื่อแกว้ หใู หเ้ ทา่ กนั นอกจากนเี้ มอื่ ความดนั อากาศภายนอกลดลงหรอื สงู กวา่ ความดนั ในหสู ว่ นกลางอยา่ งรวดเรว็ ความ แตกตา่ งระหวา่ งความดนั อากาศภายนอกและภายในหสู ว่ นกลางอาจทาใหเ้ ย่อื แกว้ หถู กู ดนั ใหโ้ ป่ งออกไป หรอื ถกู ดนั เขา้ ทาใหก้ ารส่นั และการนาเสยี งของเยอื่ แกว้ หลู ดลง เราจะรูส้ กึ วา่ หอู อื้ หรอื ปวดหู จึงมกี ารปรบั ความดนั ในชอ่ งหสู ว่ นกลาง โดยผา่ นแรงดนั อากาศบางสว่ นไปทางทอ่ ยสู เตเชียน นอกจากนภี้ ายในหสู ว่ นกลางประกอบดว้ ยกระดกู 3 ชิน้ ไดแ้ ก่ กระดกู คอ้ น (milieus)กระดกู ท่งั (incurs) และ กระดูกโกลน (stapes) ยดึ กนั อยเู่ มื่อมกี ารส่นั สะเทือนเกดิ ขนึ้ ท่ี เย่อื แกว้ หจู ะถ่ายทอดมายงั กระดกู คอ้ นและกระดกู ท่งั ทาใหก้ ระดกู หู 2 ชิน้ นเี้ คลอื่ นและเพมิ่ แรงส่นั สะเทือนและสง่ แรงส่นั สะเทือนนตี้ อ่ ไปยงั กระดกู โกลนเพ่อื เขา่ สหู่ สู ว่ นในตอ่ ไป คลน่ื เสยี งทผี่ า่ นเขา้ มาถงึ หสู ว่ นในจะขยายแอมพลจิ ดู ของ คลนื่ เสยี งเพมิ่ จากหสู ว่ นนอกประมาณ 22 เทา่ หูสว่ นใน(Middle ear) ประกอบดว้ ยประสาททเ่ี กย่ี วกบั การไดย้ ินและการทรงตวั ของรา่ งกาย รวมเรยี กวา่ Labyrinth ซงึ่ ประกอบดว้ ย 2 สว่ นคือ สว่ นทเี่ ป็นกระดกู (Osseous labyrinth) และสว่ นท่เี ป็นเนอื้ เยอ่ื (Membranous

labyrinth) โดยสว่ นที่เป็นกระดกู ประกอบดว้ ย Vestibule cochlea และ Semicircular canals มสี ว่ นทเี่ ป็นเนอื้ เยอ่ื อยู่ ภายใน Vestibule เป็นสว่ นกลางของ โบนลี าบีรนิ ธ์ ทางหลงั ตดิ ตอ่ กบั ช่อง เซมิเซอรค์ ลู าร์ และทางหนา้ ตดิ ตอ่ กบั ช่อง โคเคลยี ร์ Semicircular canal มี 3 ช่อง อยหู่ ลงั ชอ่ งเวสติบลู ทอ่ ทงั้ สามวางตงั้ ฉากซง่ึ กนั และกนั จงึ ใหม้ ีชื่อตามทอี่ ยู่ คอื อนั หนา้ (Anterior) อนั หลงั (Posterior) และอนั ใกลร้ มิ (Lateral) ช่องนอี้ ยใู่ นกระดกู ประมาณ 2/3 วงกลม ซงึ่ ปลาย หนง่ึ จะโป่ งออก เรยี กวา่ แอมพลู ลา (ampulla) แตแ่ อมพลู ลาจะมเี พียง 5 รู เน่ือง จากปลายใกลก้ ลางของช่องอนั หนา้ (Anterior) กบั ปลายบนของอนั หลงั (Posterior) รวมกนั Semicircular duct มลี กั ษณะเป็นทอ่ อยภู่ ายใน Semicircular canal บรเิ วณของ Semicircular duct สว่ น ใดโป่ ง Semicircular canal สว่ นนนั้ ก็โป่ งดว้ ยภายในทอ่ Semicircular duct ที่โป่ งออก มสี นั ขวางประกอบดว้ ยเซลลร์ บั ความรูส้ กึ เก่ยี วกบั การทรงตวั Cochlea เป็นโพรงคลา้ ยกน้ หอย ฐานกวา้ ง 9 มิลลเิ มตร จากฐานถงึ ยอดยาว 5 มิลลเิ มตร มกี ระดกู เป็น แกนกลางเรยี ก โมดิโอลสุ (modiolus) ยาว 3 มลิ ลเิ มตร โดยมชี อ่ งโค เคลยี รว์ นรอบโมดิโอลสุ ทอ่ ทงั้ หมดยาว 32 มลิ ลเิ มตร และมีเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 2 มลิ ลเิ มตรจากกระดกู แกน มแี ผน่ กระดกู บาง (osseus spiral lamina) ยนื่ ออกวนรอบโมดิโอลสุ คลา้ ยตะปคู วง ย่นื เขา้ ไปประมาณครงึ่ หนง่ึ ของช่องโคเคลยี ร์ จงึ แบง่ ชอ่ งโคเคลยี รอ์ อกเป็นสองช่อง แตไ่ มส่ มบรู ณจ์ ากปลายของแผน่ กระดกู วนรอบ มี แผน่ พงั ผดื บาสลิ าร์ (basilar membrane) ไปตดิ กบั ผนงั ของช่องโค เคลยี ร์ ทาใหแ้ บง่ ช่องโคเคลยี รเ์ ป็นสองช่องโดยสมบรู ณ์ Cocchlea duct เป็นทอ่ วนรอบอยภู่ ายในชอ่ งโคเคลยี ร์ เป็นทอ่ รูปสามเหลยี่ ม ดา้ นลา่ งเป็นแผน่ บาสลิ าร์ และดา้ นบนเป็น แผน่ เยื่อบาง ๆ อีกแผน่ หนง่ึ เรยี กวา่ แผน่ เวสติบลู าร์ (vestibular membrane) ขงึ จากดา้ นบนของ แผน่ กระดกู วนรอบไป ยงั ผนงั ของช่องโคเคลยี ร์ อกี ดา้ นหนงึ่ เป็นแผน่ เยอื่ ของ ชอ่ งโคเคลยี ร์ ดา้ นในชอ่ งโคเคลยี รท์ ่ดี า้ นบนของแผน่ บาสลิ ารม์ ี อวยั วะสาหรบั รบั เสยี ง (organs of corti) ซงึ่ มีเซลลส์ าหรบั รบั ความรูส้ กึ ในการไดย้ ิน

ลกั ษณะภายในของ Cocchlea การทรงตวั (Equilibrium) การทรงตวั จะเก่ียวขอ้ งกบั หสู ว่ นในเพราะมี Receptors อยทู่ บ่ี รเิ วณ vestibular และ semicircular canals ทมี่ ี hair cells ตดิ ตอ่ vestibular nerve (เป็นอีกแขนงหนงึ่ ของ vestibulocochlea nerve) และมี endolymph ซง่ึ อยภู่ ายใน ไหลไปกระตนุ้ hair cells ทาใหเ้ กิดกระแสประสาท ขนึ้ ไปตาม vestibular nerve เขา้ สู่ cerebellum ในสมองทาใหเ้ กิด ความรูส้ กึ เกีย่ วกบั การทรงตวั ของรา่ งกาย กลไกการได้ยนิ (Hearing) เม่อื คลน่ื เสยี งผา่ นมาทางใบหู รูหู และกระทบกบั เยือ่ แกว้ หู ทาใหเ้ กิดการส่นั สะเทอื น และไปกระทบกบั กระดกู หู ในหู สว่ นกลางทงั้ 3 ชิน้ กระดกู หู จะทาหนา้ ทป่ี รบั ระดบั คลนื่ เสยี ง แลว้ ถ่ายทอดไปยงั oval window ทาให้ perilymph ใน cochlea มกี ารเคลอ่ื นไหวเป็นระลอกคลน่ื ซง่ึ ทาให้ vestibular membrane มกี ารเคลอ่ื นไหว และตอ่ เน่อื งไปถงึ endolymph ที่จะไปกระตนุ้ ท่ี hair cells ของ organ of corti ท่อี ยใู่ นกระดกู รูปขดหอย Cocchlea เกิดการกระตนุ้ ของ ประสาท ซง่ึ แปลเป็นสญั ญาณประสาทสง่ ตอ่ ไปตาม cochlea nerve (เป็นแขนงหนงึ่ ของ vestibulocochlea nerve) เขา้ สู่ auditory area ในสมองแลว้ แปลผลเป็นเสยี งตา่ งๆ ทเี่ ราสามารถไดย้ ิน 3.การไดก้ ล่ิน (Olfactory sense) อวยั วะทีท่ าหนา้ ทเ่ี กี่ยวกบั การไดก้ ลน่ิ คือ จมกู (nose) บรเิ วณท่เี ก่ียวกบั การไดก้ ลน่ิ ยิ ทู่ ่ผี วิ ภายในจมกู สว่ นบนเรยี กวา่ Olfactory region ประกอบดว้ ยเยื่อบผุ วิ ทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั การไดก้ ลนิ่ เป็นแผน่ เลก็ ๆ มเี ยอ่ื จากเซลล์ เยื่อบจุ มกู มี เซลล์

ประสาทรับกลน่ิ (olfactory neuron) ทส่ี ามารถเปลย่ี นสารทท่ี าใหเ้ กิดกลน่ิ เป็นกระแสประสาทแลว้ สง่ ตอ่ ไป ตาม เสน้ ประสาทรับกลน่ิ (olfactory nerve) ซง่ึ เป็นเสน้ ประสาทสมองคทู่ ี่ 1 ผา่ นออลแฟกทอรบี ลั บ์ เพ่อื สง่ ตอ่ ไปยงั สมองสว่ นเซรบี รมั ใหแ้ ปลเป็นกลนิ่ ตอ่ ไปดงั ภาพที่ 7 โครงสรา้ งภายในของจมกู 4.การรับรส (Taste or Gustatory sense) อวยั วะทเี่ กี่ยวกบั การรบั รส คือ ลนิ้ (Tonque) ตรงบรเิ วณพนื้ ผวิ ของลนิ้ มี mucous membrane ทยี่ ่ืนนนู ออกมา ตมุ่ นนู นี้ เรยี กวา่ papillae จะประกอบดว้ ย ตมุ่ รบั รส (Taste buds) ใน papillae หนงึ่ อนั จะประกอบดว้ ย taste buds อยู่ ประมาณ 250 อนั เป็น receptors สาหรบั รบั รส การรบั รสตอ้ งอาศยั การเปลยี่ นแปลงทางเคมี ตอ่ taste buds ซงึ่ มเี ซลล์ ประสาทรบั รส คอื ประสาทสมองคทู่ ่ี 7 (Facial nerve) และคทู่ ่ี 9 (Glossopharyngeal nerve) ไปยงั ศนู ยก์ ลางการรบั รส ตงั้ อยดู่ า้ นลา่ งสดุ ของ Post central gyrus ใน cerebral cortex

ลกั ษณะของป่มุ รบั รส บน Papilla ของลนิ้ ตาแหน่งการรบั รส ตาแหนง่ รบั รส สว่ นใหญ่ของ taste buds พบที่ดา้ นหนา้ และดา้ นขา้ งของลนิ้ พบขา้ งบนตอ่ มทอนซิล และรอบๆ nasopharynx โดยท่วั ไปการรบั รสบนลนิ้ จะรบั รสได้ 4 ชนดิ คือ รสเปรีย้ ว (Sour) อยดู่ า้ นขา้ งของลนิ้ ทงั้ สองขา้ ง รสหวาน (Sweet) รบั ไดด้ ีทปี่ ลายลนิ้ รสเค็ม (Salt) รบั ไดท้ ี่ดา้ นขา้ งคอ่ นไปทางปลายลนิ้ ทงั้ สองขา้ ง รสขม (Bitter) อยกู่ ลางโคนลนิ้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook