Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ความหลากหลายทางชีวภาพ1

ความหลากหลายทางชีวภาพ1

Published by wavenonpang2, 2022-01-16 18:48:41

Description: ความหลากหลายทางชีวภาพ1

Search

Read the Text Version

ความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางชวี ภาพ (biodiversity) เเบ่งเป็น 3 ระดบั คือ 1.ความหลากหลายทางพนั ธกุ รรม (genetic diversity) เป็นความแปรผนั ทางพนั ธุกรรมท่ี เกิดขนึ้ ในประชากรของสงิ่ มีชวี ิตชนิดเดยี วกนั 2.ความหลากหลายทางชนดิ (species diversity) เป็นความแปรผนั ท่เี กิดขึน้ ในระดบั กลมุ่ ของ สงิ่ มชี ีวิต

3.ความหลากหลายทางระบบนิเวศ (ecological diversity) เป็นความหลากหลายของระบบ นิเวศแตล่ ะแหลง่ เช่น ระบบนเิ วศบนบก ระบบนิเวศเเหลง่ นา้ เน่อื งจากส่งิ มีชีวิตมจี านวนมากมายหลายชนดิ ดงั นนั้ วชิ าท่กี ลา่ วถึงการจดั ลาดบั จะเรียกวา่ อนกุ รมวิธาน (taxonomy) วิชาดงั กลา่ วประกอบดว้ ย 1.การจดั หมวดหม่ขู องส่งิ มชี วี ติ (classification) 2.การตงั้ ช่อื วทิ ยาศาสตรข์ องส่งิ มีชวี ิต (nomenclature) 3.การระบชุ ่อื วทิ ยาศาสตรข์ องสิง่ มีชวี ติ หรือหน่อยอนกุ รมวิธานของสง่ิ มีชีวติ (identification) 1. การจดั หมวดหมขู่ องสิง่ มีชีวติ (classification) นกั อนกุ รมวิธานจะมีการจดั ลาดบั ขนั้ ของกลมุ่ สง่ิ มชี ีวิตตามความสมั พนั ธท์ างววิ ฒั นาการและ ความเหมือนกนั ทงั้ ในดา้ นรูปรา่ ง สณั ฐานวิทยา และหลกั ฐานทางชวี โมเลกลุ โดยการจดั หมวดหมู่ ของสิ่งมีชีวติ จะมีลาดบั ขนั้ (hierarchy) ตา่ งๆดงั ตอ่ ไปนี้ แตล่ ะลาดบั ขนั้ อาจจะจดั ลาดบั ย่อยลงไปอกี เพ่อื เพิ่มรายละเอยี ดในการจดั จาแนก เชน่ subclass หรอื subphylum

การตงั้ ช่ือวทิ ยาศาสตรข์ องส่งิ มีชีวติ (nomenclature) ช่อื ของสง่ิ มีชวี ติ แบง่ ออกไดเ้ ป็น 3 ระบบหลกั คอื 1.ช่อื พนื้ เมือง (vernacular name) – ช่อื ท่ใี ชภ้ าษาทอ้ งถิ่นในการเรยี กสงิ่ มีชีวิตชนิดตา่ งๆ 2.ช่อื สามญั (common name) – ช่อื ภาษาองั กฤษของสง่ิ มีชวี ิตชนิดต่างๆ 3.ช่อื วทิ ยาศาสตร์ (scientific name) – ช่อื สากลท่ใี ชใ้ นการเรียกช่อื ของสิ่งมีชีวติ เพ่อื แกป้ ัญหา การสบั สนจากช่อื พืน้ เมอื งและช่อื สามญั ทาใหน้ กั วทิ ยาศาสตรส์ ามารถเขา้ ใจตรงกนั ได้ หลักการในการตงั้ ชอื่ วิทยาศาสตรข์ องส่งิ มชี ีวิตสรุปไดด้ ังนี้ 1.ใชเ้ ป็นภาษาละตินเป็นช่อื วิทยาศาสตร์ ถา้ เป็นภาษาอ่นื จะตอ้ งทาใหเ้ ป็นภาษาละตนิ ก่อน 2.ช่อื แรกเป็นช่อื ของจนี สั (generic name) สว่ นช่อื หลงั เป็นช่อื ระบชุ นิด (specific epithat) ตามหลกั binomial nomenclature ของลนิ เนียส 3.ช่อื ของจีนสั (generic name) พยญั ชนะตวั แรกเป็นตวั พมิ พใ์ หญ่ ช่อื ระบชุ นิด (specific epithat) จะใชต้ วั อกั ษรพิมพเ์ ลก็ ทงั้ หมด 4.การเขยี นช่อื วทิ ยาศาสตรท์ าได้ 2 แบบคอื เขียนโดยใชก้ ารขดี เสน้ ใตช้ ่อื วทิ ยาศาสตรท์ งั้ สอง สว่ นโดยท่เี สน้ ทง้ั สองไม่ติดกนั เชน่ Homo sapiens หรือ ใชต้ วั เอยี ง (italic) แทนได้ เช่นHomo sapiens 5.ช่อื ท่ถี กู ตอ้ งของสิ่งมีชวี ิตชนดิ หน่งึ ๆ (correct name) จะมีไดเ้ พียงช่อื เดยี ว หากตงั้ ซา้ ท่เี หลือ ช่อื จะเรียกว่า ช่อื พอ้ ง (synonym)

6.ถา้ ทราบช่อื ผทู้ ่ตี งั้ ช่อื (author name) จะตอ้ งลงช่อื ของผตู้ งั้ ช่อื ดว้ ยตวั พิมพธ์ รรมดาขนึ้ ตน้ ดว้ ยตวั พมิ พใ์ หญ่ แต่ไม่ตอ้ งเอยี งหรอื ขีดเสน้ ใต้ และใสป่ ีท่มี ีการตพี มิ พผ์ ลงานการคน้ พบทา้ ย ช่อื ค่นั ดว้ ยเครือ่ งหมายจลุ ภาค ช่อื วิทยาศาสตรข์ องส่งิ มชี ีวติ จานวนมากอาจจะมีการบอกลกั ษณะ แหลง่ ท่ีพบ หรอื ตงั้ ใหเ้ ป็น เกียรติกบั บคุ คลอ่นื ตวั อยา่ งเช่น ปเู จา้ พ่อหลวง Potamon bhumibol bhummibol ตงั้ ใหเ้ ป็นเกียติกบั พระเจา้ อย่หู วั หอยทากสยาม Cryptozona siamensis siamensis เป็นการบ่งบอกแหลง่ ท่ีอยใู่ นไทย การระบชุ ่อื วิทยาศาสตรข์ องสง่ิ มชี วี ติ (Identification) ไดโคโตมสั คีย์ (dichotomous key) เป็นเครอื่ งมือท่ีนกั อนกุ รมวิธานใชใ้ นการตรวจสอบช่อื วทิ ยาศาสตรห์ รอื กลมุ่ ของสงิ่ มีชวี ติ ท่กี าลงั ศกึ ษา โดยท่วั ไปไดโคโตมสั คยี จ์ ะประกอบดว้ ย 2 ทางเลือกโดยจะพจิ ารณาจากลษั ณะท่เี ห็นแตกต่างกนั อย่างชดั เจน ในบางครงั้ นกั อนกุ รมวิธาน จะใชเ้ ป็นรูปภาพแทนในการจดั จาแนกก็ได้ (pictorial key) การแบง่ กลุ่มส่งิ มชี วี ิตใหมก่ บั โดเมนทเี่ พมิ่ ขนึ้ มา ในอดีต การจดั สง่ิ มีชวี ิตเป็นหลกั โดยจะแบ่งออกเป็น 6 อาณาจกั รใหญ่ คอื 1.อาณาจกั รยแู บคทีเรีย (kingdom Eacteria) 2.อาณาจกั รอารเ์ คีย (kingdom Archaea) 3.อาณาจกั รโปรติสตา (kingdom Protista) 4.อาณาจกั รพืช (kingdom Plantae) 5.อาณาจกั รฟังไจ (kingdom Fungi) 6.อาณาจกั รสตั ว์ (kingdom animaia) เเตใ่ นปัจจบุ นั นกั วิทยาศาสตรใ์ ชห้ ลกั ฐานทางพนั ธุศาสตรร์ ะดบั โมเลกลุ ทาใหจ้ าแนกสง่ิ มีชวี ิต ออกเป็น 3 โดเมน คือ

1.โดเมนยแู บคทีเรยี (Domain Eubacteria) – แบคทเี รยี ท่วั ไปท่พี บในธรรมชาติ 2.โดเมนอารเ์ คยี (Domain Archaea) – แบคทีเรียโบราณท่พี บในสภาพแวดลอ้ มรุนแรง 3.โดเมนยคู าเรยี (Domain Eukarya) – โพรติสต์ ฟังไจ พืช และสตั ว์ อาราจักรยแู บคทเี รีย (kingdom Eubacteria) ลกั ษณะของส่ิงมีชวี ิตท่ีอย่ใู นอาณาจกั รยแู บคทีเรีย สรุปไดด้ งั นี้

มีเซลลเ์ ดยี วและมเี ซลลเ์ ป็นแบบโพรคารโิ อต DNA ท่มี ลี กั ษณะเป็นวงปิด (circular DNA) และ ไมม่ โี ปรตีนฮิสโตน มรี ูปทรง 3 แบบ คอื รูปทรงกลม (coccus) รูปทรงทอ่ น (bacilus) รูปทรง เกลยี ว (spirillum) ผนงั เซลลข์ องแบคทเี รยี เป็นสารประเภท peptidoglycan ยกเวน้ ใน แบคทีเรยี กลมุ่ mycoplasma ท่ไี มม่ ผี นงั เซลลเ์ ป็นองคป์ ระกอบ มกี ารดารงชีวติ ไดห้ ลากหลาย เช่น เป็นปรสติ หรอื สงั เคราะหด์ ว้ ยแสงได้ ตวั อยา่ งเช่น กลมุ่ ไซยาโนแบคทีเรีย (cyanobacteria) มีการสบื พนั ธแ์ บบไม่อาศยั เพศ (asexual reproduction) ดว้ ยการแบง่ ตวั ออกเป็น 2 (binary fission) แต่บางชนิดอาจจะมกี ารแลกเปลี่ยนสารพนั ธุกรรมได้ (conjugation) แบคทีเรยี สามารถแบ่งจาแนกออกไดเ้ ป็น 2 กลมุ่ หลกั ตามความสามารถในการยอ้ มติดสขี อง ผนงั เซลล์ คอื แบคทเี รียแกรมบวก (gram-positive bacteria) กลมุ่ ท่มี ชี นั้ peptidoglycan หนา ยอ้ มติดสีมา วงของ crystal violet แบคทเี รียแกรมลบ (gram-negative bacteria) กลมุ่ ท่มี ชี นั้ peptidoglycan บางค่นั อยรู่ ะหวา่ ง เมมเบรนสองชนั้ ยอ้ มติดสีแดงของ safanin-0

บทบาทของสิง่ มชี ีวิตในกลุ่มยแู บคทเี รีย ผยู้ อ่ ยสลาย (decomposer) ท่สี าคญั ในระบบนิเวศ ช่วยในการหมนุ เวียนสารตา่ งๆ แบคทีเรียบางกลมุ่ เช่น cyanobacteria สามารถสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงช่วยเพิ่มแก๊สออกซเิ จน แบคทีเรยี บางกลมุ่ สามารถเกิดการตรงึ แก๊สไนโตรเจน สามารถนามาใชป้ รบั ปรุงคณุ ภาพของ ดินแบคทเี รยี หลายชนิดถกู นามาใชใ้ นอตุ สาหกรรม เช่น การผลติ นา้ สม้ สายชู นมเปรยี้ ว เยแขง็ โยเกิรต์ ปลารา้ ปลาสม้ ผกั ดอง เป็นตน้ แบคทีเรยี ปัจจบุ นั ถกู นามาใชใ้ นทางพนั ธุวิศวกรรม (genetic engineering) ยแู บคทีเรยี แบง่ เป็นกลมุ่ ใหญ่ ๆ ดงั นี้ 1. กลมุ่ โพรทโี อแบคทเี รยี (Proteobacteria) -เป็นยแู บคทเี รยี แกรมลบท่พี บมากท่สี ดุ -มกี ระบวนการเมแทบอลซิ มึ ท่หี ลากหลาย เชน่ สงั เคราะหด์ ว้ ยเเสงไดเ้ อง - ตวั อยา่ งเช่น เพอเพิลซลั เฟอรแ์ บคทีเรยี (purple sulfur bacteria) Rhizobium sp. ในปมราก ของพชื ตระกลู ถ่วั เป็นตน้

2.กลมุ่ คลาไมเดยี (Chlamydias) -เป็นปรสิตในเซลลแ์ ละทาใหเ้ กิดโรคติดต่อทางเพศสมั พนั ธ์ เช่น โรคโกโนเรียหรอื หนองใน เป็น ตน้ 3 กลมุ่ สไปโรคีท (Spirochetes) -เป็นแกรมลบท่มี รี ูปทรงเกลยี ว มคี วามยาวประมาณ 0.25 มลิ ลิเมตร -เป็นสาเหตขุ อง โรคซิฟิลิส โรคฉี่หนู เป็นตน้ 4 แบคทเี รียแกรมบวก (Gram-Positive Bacteria) -พบแพรก่ ระจายท่วั ไปในดิน อากาศ -บางสปีชสี ส์ ามารถผลติ กรดแลกตกิ ได้ เชน่ Lactobacillus sp. จงึ นามาใชใ้ นอตุ สาหกรรม อาหารหลายชนดิ เช่น การทาเนย ผกั ดอง และโยเกิรต์ เป็นตน้ -ใชย้ าทาปฏชิ ีวนะ เช่น Streptomyces sp. 5. ไซยาโนแบคทเี รยี (Cyanobacteria) -สามารถสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงได้ มสี ารสีเช่น คลอโรฟิลลเ์ อ แคโรทนี อยด์ -พบแพรก่ ระจายในสภาพแวดลอ้ มท่หี ลากหลายทงั้ ในแหลง่ นา้ จดื นา้ เค็ม บางสปีชสี พ์ บในบอ่ นา้ พรุ อ้ น และภายใตน้ า้ แข็งของมหาสมทุ ร เป็นตน้ -จากหลกั ฐานซากดกึ ดาบรรพท์ าใหน้ กั วิทยาศาสตรค์ าดคะเนไดว้ า่ ไซยาโนแบคทเี รยี ทาให้ ออกซเิ จนในบรรยากาศเพมิ่ ขนึ้ มากขนึ้ ในโลกยคุ นนั้ และก่อใหเ้ กิดวิวฒั นาการของส่งิ มีชวี ติ ท่ี หายใจโดยใชอ้ อกซเิ จนในปัจจบุ นั

กาเนิดเซลลเ์ รม่ิ แรก ไดม้ ีการเสนอแนวคดิ 2 แนวทางเก่ียวกบั กาเนดิ เซลลเ์ ร่มิ แรกคอื 1. เช่ือกนั วา่ เซลลแ์ รกเรม่ิ นนั้ เกิดจากการท่โี มเลกลุ พนื้ ฐานของชวี ิต เชน่ กรดอะมิโนและ นา้ ตาลเชิงเด่ียว เป็นตน้ ถกู ชะลา้ งลงมาอยใู่ นมหาสมทุ รและมกี ารรวมกลมุ่ กนั จนมีขนาดใหญ่ แลว้ แตกตวั ออกซง่ึ ถือเป็นการเพิ่มจานวนใหไ้ ดโ้ มเลกลุ จานวนมากในความเขม้ ขน้ สงู เม่อื ระยะเวลาผา่ นไปโมเลกลุ เหลา่ นสี้ ามารถนาสารประกอบอ่นื เขา้ ไปสะสมภายในและถกู จากดั บรเิ วณดว้ ยดว้ ยโครงสรา้ งซง่ึ ต่อมาพฒั นาเป็นเย่อื หมุ้ เซลล์ 2. เซลลแ์ รกเร่มิ เกิดจากโมเลกลุ ท่มี ีความสามารถในการสรา้ งและเพิ่มจานวนตวั เองได้ เม่อื ระยะเวลาผ่านไป โมเลกลุ เหลา่ นจี้ ึงค่อยๆววิ ฒั นาการกระบวนการเมแทบอลซิ มึ และสรา้ ง เย่อื หมุ้ เซลลจ์ นเกิดเป็นเซลลข์ นึ้ ไดใ้ นท่สี ดุ เช่อื กนั ว่าโมเลกลุ พวกโพลนี วิ คลีโอไทด์ (กรดนิวคลอี กิ ) เช่น อารเ์ อน็ เอ นา่ จะเป็นโมเลกลุ เร่มิ แรกของการเกิดเซลล์

นกั วิทยาศาสตรส์ นั นษิ ฐานวา่ สง่ิ มชี ีวติ พวกแรกๆนนั้ นา่ จะเป็นสง่ิ มีชีวิตท่มี ีลกั ษณะคลา้ ยพวก โพรคารโิ อต (prokaryote) โพรคารโิ อตประกอบดว้ ย แบคทเี รยี และสาหรา่ ยสเี ขยี วแกมนา้ เงิน สงิ่ มชี ีวิตแรกเรม่ิ นไี้ ม่สามารถสรา้ งอาหารเองได้ ตอ้ งอาศยั อาหารจากสิง่ แวดลอ้ มภายนอก และดารงชีวิตโดยไมใ่ ชอ้ อกซิเจนเน่อื งจากบรรยากาศของโลกในยคุ นนั้ ยงั ไม่มีออกซิเจนหรือมี ออกซิเจนนอ้ ยมาก ต่อมาสิง่ มีชวี ติ จาพวกแบคทีเรียเร่มิ มวี วิ ฒั นาการในการสรา้ งอาหารเองได้ จากการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง สง่ ผลใหป้ รมิ าณออกซิเจนในบรรยากาศมีมากขนึ้ ทาใหส้ งิ่ มชี วี ติ รูปแบบใหมถ่ ือกาเนิดจนกลายเป็นสง่ิ มชี ีวติ พวกยคู ารโิ อต (eukaryote) ในท่สี ดุ จากการวิเคราะหล์ าดบั สารพนั ธกุ รรมในเซลลแ์ ละออรแ์ กเนล ทาใหเ้ ราทราบว่า จีโนมคลอโรพลาสตใ์ นพชื และจีโนมไมโทคอนเดรียท่พี บในพืชและสตั วน์ นั้ มคี วามใกลเ้ คยี งกบั จีโนมของแบคทีเรียซ่งึ เป็นพวกโพรคารโิ อต ทาใหส้ นั นษิ ฐานไดว้ า่ ไมโทคอนเดรยี และคลอโรพลาสตอ์ าจเคยเป็นเซลลโ์ พรคารโิ อตขนาดเลก็ ท่ีถกู เซลล์ ยคู ารโิ อตกินเขา้ ไปแต่ไม่ยอ่ ยและอย่รู วมในเซลลย์ คู ารโิ อตขนาดใหญ่ ความแตกต่างอย่ทู ่ี ไมโท คอนเดรียนนั้ มาจากเซลลโ์ พรคารโิ อตท่สี งั เคราะหด์ ว้ ยแสงไมไ่ ด้ แต่คลอโรพลาสตม์ าจากเซลล์ โพรคารโิ อตท่สี งั เคราะหด์ ว้ ยแสงได้

ยุคทางธรณีวทิ ยา เม่อื สง่ิ มชี วี ิตถือกาเนิดขนึ้ มาแลว้ กม็ ีววิ ฒั นาการจนมีความหลากหลายในธรรมชาติ เม่อื เวลา ผา่ นไปมที ง้ั การถือกาเนิดส่ิงมีชีวิตชนิดใหม่ขนึ้ และการสญู พนั ธไุ์ ปของสงิ่ มีชีวติ เดิมเชน่ กนั ในปัจจบุ นั นกั ธรณีวิทยาและนกั บรรพชีวนิ วิทยาสามารถแบง่ ยคุ ทางธรณีวทิ ยาออกเป็น 4 มหายคุ ตามชนดิ ของซากดกึ ดาบรรพท์ ่พี บไดด้ งั นี้ 1. มหายคุ พรีแคมเบรียน (Precambrian Era) เป็นช่วงของ 4,600 – 543 ลา้ นปีก่อน โลก ก่อกาเนดิ ขนึ้ เม่อื โลกเร่มิ เย็นตวั ลง จงึ เกิดสงิ่ มีชีวติ พวกแบคทีเรีย และเรม่ิ มีออกซเิ จนใน บรรยากาศซ่งึ เกิดจากการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงในพวกแบคทีเรยี สเี ขียวแกมนา้ เงนิ มีการเกิดขนึ้ ของสตั วห์ ลายเซลลท์ ่ไี มม่ ีกระดกู สนั หลงั ในนา้ เช่น ฟองนา้ 2. มหายคุ พาลีโอโซอิก (Paleozoic Era) เป็นช่วงของ 543 – 245 ลา้ นปีก่อน เรม่ิ มสี ตั วพ์ วก ท่ไี มม่ กี ระดกู สนั หลงั ซง่ึ มีทงั้ ท่อี าศยั อย่ใู นนา้ จืดและนา้ เค็ม เช่น ไตรโลไบต์ (trilobite) แอมโม ไนต์ (ammonite) หอย ปลา รวมทงั้ แมลง สตั วเ์ ลอื้ ยคลาน และสตั วค์ รงึ่ บกครง่ึ นา้ เร่มิ พบ สาหรา่ ย เห็ดรา พชื บกชนั้ ต่า เรม่ิ จากพืชไม่มีเนือ้ เย่ือลาเลยี ง เฟิรน์ ไปจนถงึ พชื มเี นอื้ เย่อื ลาเลยี ง มหายคุ พาลีโอโซอกิ สิน้ สดุ ลงเม่อื มีการสญู พนั ธคุ์ รงั้ ใหญ่ ซ่งึ อาจเกิดเน่อื งจากการเกิด ยคุ นา้ แขง็ ฉบั พลนั หรือเกิดภเู ขาไฟระเบดิ ทาใหม้ กี ารสญู พนั ธขุ์ องสิ่งมีชวี ติ ทงั้ ในทะเลและบน พนื้ ดินจานวนมาก 3. มหายคุ มีโซโซอิก (Mesozoic Era) เป็นช่วงของ 245 – 65 ลา้ นปีกอ่ น ไดโนเสารช์ นิดแรก เกิดขนึ้ และกลายเป็นกล่มุ เด่น ในยคุ นีเ้ ร่มิ มีสตั วเ์ ลีย้ งลกู ดว้ ยนมพวกมกี ระเป๋ าหนา้ ทอ้ งและรก รวมทง้ั แมลงตา่ งๆ และเกิดการกระจายพนั ธอุ์ ยา่ งมากมายของพืช ในชว่ งแรกของมหายคุ มีโซ โซอิกมีพืชเมลด็ เปลือยมาก ทง้ั เฟิรน์ และสน เกิดพืชดอกชนิดแรก เช่อื กนั ว่าภเู ขาไฟระเบดิ ครงั้ ใหญ่หรือการพงุ่ ชนของอกุ กาบาต ทาใหม้ ีการสญู พนั ธจุ์ านวนมากและมหายคุ มีโซโซอิกสนิ้ สดุ ลง

4. มหายคุ ซีโนโซอกิ (Cenozoic Era) เป็นชว่ งของ 65 ลา้ นปีกอ่ นจนถงึ ปัจจบุ นั การสญู พนั ธขุ์ องไดโนเสารเ์ ปิดทางใหเ้ กิดการกระจายพนั ธุข์ องสตั วเ์ ลยี้ งลกู ดว้ ยนมนานาชนดิ ทงั้ ขนาด เลก็ และขนาดใหญ่ เชน่ มา้ สนุ ขั และหมี พบลิงไมม่ ีหาง (ape) และในราว 5-1.8 ลา้ นปีกอ่ น พบบรรพบรุ ุษของมนษุ ย์ สว่ นบรรพบรุ ุษของมนษุ ยป์ ัจจบุ นั นนั้ พบในช่วง 1.8 ลา้ นปี - 11,000 ปีก่อน ในมหายคุ ซีโนโซอิกนพี้ ืชดอกกลายเป็นพชื กลมุ่ เดน่ ครงั้ ท่ี 1 เกิดขนึ้ ในชว่ งปลายยคุ แคมเบรยี นถึงยคุ ออรโ์ ดวิเชยี น (488 ลา้ นปีกอ่ น) ทาใหเ้ กิดการ สญู พนั ธขุ์ องส่ิงมีชีวิตในทะเลพวก brachiopod, conodont และ trilobite มากมาย สาเหตกุ าร สญู พนั ธุ์ อาจเน่อื งจากการเปลย่ี นแปลงสภาพอากาศ เกิดยคุ นา้ แขง็ ฉบั พลนั ทาใหป้ รมิ าณนา้ และออกซิเจนในนา้ นอ้ ยลงจงึ สง่ ผลอยา่ งมากต่อสง่ิ มีชวี ิตในนา้ ครงั้ ท่ี 2 เกิดขนึ้ ในชว่ งปลายยคุ ออรโ์ ดวเิ ชยี นถงึ ยคุ ซิลเู รียน (447-444 ลา้ นปีก่อน) ทาใหเ้ กิด การสญู พนั ธขุ์ องส่ิงมีชวี ติ ท่มี ีความหลากหลายทงั้ พืช สตั วใ์ นทะเลมากมาย สาเหตกุ ารสญู พนั ธุ์

อาจเน่อื งจากการเกิดยคุ นา้ แข็ง ทาใหอ้ ากาศเปลี่ยนแปลง ปรมิ าณนา้ ทะเลลดลงสง่ ผลอยา่ ง มากตอ่ ส่ิงมีชีวติ ในนา้ นกั วิทยาศาสตรจ์ ดั ว่าการสญู พนั ธใุ์ นชว่ งนที้ าใหส้ ญู เสยี สง่ิ มชี ีวติ ในนา้ ครงั้ ใหญ่เป็นอนั ดบั สอง ครงั้ ท่ี 3 เกิดขนึ้ ในชว่ งปลายยคุ ดีโวเนียน (364 ลา้ นปีก่อน) เป็นการสญู พนั ธทุ์ ่ไี มไ่ ดเ้ กิดขนึ้ อยา่ ง ฉบั พลนั แต่เกิดอยา่ งต่อเน่อื งราว 20 ลา้ นปี สง่ ผลตอ่ การสญู พนั ธขุ์ องส่งิ มีชีวติ ในนา้ สาเหตุ การสญู พนั ธอุ์ าจเน่อื งจากการเปล่ยี นแปลงของสภาพอากาศท่หี นาวเยน็ ต่อเน่อื งมาจากยคุ ออร์ โดวิเชียน แต่บางแนวคดิ ยงั คงถกเถียงกนั วา่ อาจเป็นเพราะการพงุ่ ชนของอกุ กาบาตมายงั โลก ครงั้ ท่ี 4 เกิดขนึ้ ในชว่ งปลายยคุ เพอรเ์ มียนถึงยคุ ไทรแอสซกิ (251.4 ลา้ นปีก่อน) เป็นการ สญู พนั ธคุ์ รงั้ ท่รี ุนแรงท่สี ดุ สง่ ผลตอ่ การสญู พนั ธขุ์ องส่งิ มชี ีวติ ในนา้ ถึง 96% และสิง่ มชี วี ิตบนบก เช่น พืช แมลง สตั วม์ ีกระดกู สนั หลงั ตา่ งๆ ถงึ 70% สง่ ผลใหร้ ูปแบบของสิง่ มชี วี ติ บนโลก เปลี่ยนไป จนเกิดสตั วพ์ วกไดโนเสารข์ นึ้ มากมายบนโลกในยคุ ตอ่ มา สาเหตกุ าร สญู พนั ธยุ์ งั คงเป็นท่ถี กเถียง และเสนอสมมตฐิ านหลายแนวทาง เชน่ การสญู พนั ธอุ์ าจเกิดจาก การเปลย่ี นแปลงของแผน่ เปลือกโลก วตั ถนุ อกโลกพงุ่ ชนโลก ผลกระทบจาก ซุปเปอรโ์ นวาหรือการระเบดิ ครงั้ ใหญ่ของภเู ขาไฟ ครงั้ ท่ี 5 เกิดขนึ้ ในช่วงปลายยคุ ครีเทเชียสถึงยคุ เทอเทียรี (65.5 ลา้ นปีก่อน) เป็นการสญู พนั ธุ์ ครงั้ ท่รี ุนแรงเป็นอนั ดบั สองรองจากชว่ งปลายยคุ เพอรเ์ มียน สง่ ผลตอ่ การสญู พนั ธขุ์ องสิง่ มชี วี ติ ในทะเลจานวนมากและสิ่งมีชีวติ บนบกถึง 50% รวมทง้ั ไดโนเสารซ์ ่งึ เป็นสตั วก์ ลมุ่ เดน่ ใน ขณะนนั้ สง่ ผลใหย้ คุ ตอ่ มาเกิดการวิวฒั นาการของสตั วเ์ ลยี้ งลกู ดว้ ยนมเขา้ มาแทน สาเหตกุ าร สญู พนั ธมุ์ ีผเู้ สนอสมมตฐิ านหลายแนวทาง เช่น การเกิดภเู ขาไฟระเบิดครงั้ ใหญ่จึงทาใหเ้ ป็น สาเหตขุ องการเปล่ียนแปลงสภาพอากาศ หรือการมวี ตั ถนุ อกโลกพงุ่ ชนโลก ซง่ึ ในประเด็นหลงั ดู จะมีหลกั ฐานสนบั สนนุ ท่ีนา่ เช่อื ถือ เพราะในปี พ.ศ.2523 มีการพบแร่ อริ ีเดียมในชนั้ หินยคุ ครีเตเชยี ส ซง่ึ แรช่ นดิ นปี้ กตไิ ม่พบในโลก แต่จะพบมากในลกู อกุ กาบาต หรอื ดาวเคราะหน์ อ้ ย และในปี พ.ศ.2534 มี การคน้ พบหลมุ อกุ กาบาตขนาดยกั ษใ์ ตเ้ มือง ชิกชู ลบุ (Chicxulub) บรเิ วณอ่าวเมก็ ซิโก มีเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางประมาณ 180 กิโลเมตร ทาให้ สนั นิษฐานไดว้ า่ ในราว 65 ลา้ นปีกอ่ น มีดาวเคราะหน์ อ้ ยพ่งุ ชนโลก ทาใหเ้ กิดคลื่นยกั ษแ์ ละ

การฟงุ้ กระจายของฝ่นุ ผงจากพนื้ ผิวโลกในวงกวา้ ง ฝ่นุ เหลา่ นขี้ นึ้ ไปจบั กนั เป็นชนั้ หนาใน บรรยากาศชนั้ สงู อย่นู านสง่ ผลใหอ้ ณุ หภมู ขิ องผวิ โลกชนั้ ต่าลดลงและไม่มแี สงแดดสอ่ งมายงั ผวิ โลกดา้ นลา่ งเป็นเวลานาน เกิดการเปลีย่ นแปลงสภาพอากาศครงั้ ใหญ่จนทาใหไ้ ดโนเสารแ์ ละ ส่งิ มีชวี ติ สว่ นหนึ่งในยคุ นนั้ สญู พนั ธไุ์ ปในท่สี ดุ ในปัจจบุ นั เราจะเหน็ วา่ ในธรรมชาตมิ คี วามหลากหลายของส่ิงมีชีวติ สง่ิ มชี ีวิตบางชนิดมี ลกั ษณะบางอยา่ งท่คี ลา้ ยคลงึ กนั ดงั นนั้ ในอดตี นกั วิทยาศาสตรจ์ งึ ใชค้ วามคลา้ ยคลงึ กนั ของ สง่ิ มชี ีวติ เหลา่ นี้ อนั ไดแ้ ก่ลกั ษณะทางกายวภิ าค ลกั ษณะทางสณั ฐานวิทยาหรอื สารเคมีท่เี ป็น องคป์ ระกอบในส่ิงมีชีวติ เป็นตน้ ในการจดั หมวดหม่ขู องส่ิงมีชวี ติ และในปัจจบุ นั นกั วิทยาศาสตรไ์ ดใ้ ชข้ อ้ มลู จากการวเิ คราะหล์ าดบั เบสของสารพนั ธุกรรมหรือ DNA มาสรา้ ง เป็นภาพแสดงสายวิวฒั นาการของสิง่ มชี วี ิตในระดบั ท่เี หนือกวา่ อาณาจกั ร (kingdom) โดย สามารถแบง่ สง่ิ มชี วี ติ ออกเป็น 3 โดเมน (domain) ไดแ้ ก่ แบคทีเรีย (bacteria) อารเ์ คยี (archaea) และยคู าเรยี (eukarya) โดยโดเมนแบคทีเรียนนั้ ประกอบไปดว้ ยส่ิงมีชีวิตกลมุ่ โพร คารโิ อตท่เี รารูจ้ กั กนั เป็นสว่ นใหญ่แลว้ โดเมนอารเ์ คยี ประกอบดว้ ยกลมุ่ สิง่ มีชวี ติ พวกโพรคาริ โอตท่อี าศยั อยใู่ นสงิ่ แวดลอ้ มท่วั ๆไป และโดเมนยคู าเรยี ประกอบดว้ ยกลมุ่ ส่งิ มชี ีวติ ท่ใี นเซลล์ จะมนี ิวเคลียสท่แี ทจ้ รงิ ซ่งึ จะเห็นไดว้ ่าโดเมนนจี้ ะมีสิ่งมชี ีวิตอย่เู ป็นจานวนมาก ดงั แสดง รายละเอยี ดในภาพดา้ นบน

กลุ่มโพรแคริโอต โพรแคริโอต ( prokaryote) เป็นสิง่ มชี ีวติ ท่ีประกอบดว้ ยออรแ์ กเนลท่ไี มม่ ีเย่ือหมุ้ ไมม่ ีนิวเคลยี ส มกั เป็นสง่ิ มชี วี ิตเซลลเ์ ดียว คาว่า prokaryotes มาจาก ภาษากรีกโบราณ pro- ก่อน + karyon เมล็ด ซ่งึ หมายถึงนิวเคลียส + ปัจจยั -otos, พหพู จน์ -otes[1] ตวั อย่างของเซลลก์ ลมุ่ นไี้ ดแ้ ก่ แบคทีเรยี ประกอบดว้ ยเย่อื หมุ้ เซลล์ และไซโทพลาสซมึ โดยในไซโทพลาสซมึ จะมไี รโบโซม (ribosom) ไม่มีนิวเคลียส สว่ น DNA จะเป็นรูปวงแหวนพนั อย่กู บั โปรตนี อย่ใู นไซโทพลาสซมึ เรียกวา่ นิวคลอี อยด์ (neucleoid) ดา้ นนอกของเย่อื หมุ้ เซลล์ จะมีผนงั เซลลป์ ระกอบดว้ ยเปบทิ โดไกลแคน แบคทีเรียแกรมลบจะมีเย่อื หมุ้ ดา้ นนอกผนงั เซลล์ (outer membrane) อกี ชนั้ แต่ แบคทีเรียแกรมบวกไมม่ ี ทาใหย้ อ้ มตดิ สีแกรมต่างกนั อารเ์ คยี เป็นแบคทีเรียท่พี บในสภาพแวดลอ้ มท่ผี ิดธรรมชาตเิ ชน่ เป็นกรดจดั อณุ หภมู ิสงู องคป์ ระกอบของเย่อื หมุ้ เซลลแ์ ละผนงั เซลลต์ ่างจากแบคทเี รยี ท่วั ไป ไซยาโนแบคทเี รีย เป็นโพรแครโิ อตท่สี งั เคราะหแ์ สงได้

กลุ่มยูแคริโอต : กาเนิดเซลลย์ ูแครโิ อต กลุ่มยแู คริโอต : โพรทสิ ต์ ลกั ษณะท่เี ดน่ ชดั ของเซลลย์ คู ารโิ อตคือ มีสารพนั ธกุ รรมอยใู่ นนวิ เคลยี ส ซ่งึ แตกตา่ งจากเซลล์ โพรคารโิ อตท่สี ารพนั ธกุ รรมแขวนลอยในไซโทพลาซมึ นอกจากนใี้ นเซลลย์ คู ารโิ อตยงั พบ โครงสรา้ งอ่นื ๆท่สี าคญั เช่น ไมโทคอนเดรยี คลอโรพลาสตเ์ อนโด พลาสมกิ เรติคลู มั จากภาพแสดงการกาเนดิ ของเซลลย์ คู ารโิ อต พบวา่ การเจรญิ เตบิ โตของเย่อื หมุ้ เซลลเ์ ขา้ ไปใน เซลลล์ อ้ มรอบบรเิ วณท่มี ีสาร พนั ธกุ รรมอย่แู ลว้ จงึ พฒั นาเป็นนวิ เคลยี สทาใหเ้ ซลลย์ คู ารโิ อต และมีเอนโดพลา สมิกเรตคิ ลู มั ขณะท่ไี มโทคอนเดรียและคลอโรพลาสตเ์ กิดจากเซลลโ์ พคาริ โอตขนาดเลก็ เขา้ ไปอาศยั อย่ภู ายในเซลลโ์ พรคารโิ อตขนาดใหญ่น่นั เอง แนวคดิ นมี้ ีหลกั ฐาน สนบั สนนุ หลายอย่าง เช่น ไมโทคอนเดรยี และคลอโรพลาสตส์ ามารถแบง่ ตวั เพิม่ จานวนไดเ้ อง มีเย่อื ชนั้ ในท่บี รรจเุ อนไซมใ์ นกระบวนการถ่ายทอดอเิ ลก็ ตรอน มี DNA และไรโบโซมท่ี คลา้ ยคลงึ กบั แบคทีเรยี จากการกาเนดิ ของเซลลโ์ พรคารโิ อตและเซลลย์ คู ารโิ อต จนกระท่งั มี วิวฒั นาการเป็นความหลากหลายของสิ่งมชี ีวติ ในปัจจบุ นั

กลุ่มยูแครโิ อต : ฟังไจ อาณาจกั รฟังไจ (Kingdom Fungi) สง่ิ มีชวี ติ ในอาณาจกั รฟังใจเป็นเซลลย์ คู ารโิ อต สรา้ งอาหาร เองไม่ได้ (Heterotroph) สว่ นใหญ่ดารงชีวติ แบบภาวะยอ่ ยสลาย (Saprophytism) โดยการ ปลอ่ ยเอนไซมอ์ อกมาย่อยสลายซากสงิ่ มีชวี ติ แลว้ ดดู ซมึ เขา้ ไป กาเนดิ ของฟังไจ ขอ้ มลู จากบรรพชวี ินวิทยาและขอ้ มลู ในระดบั โมเลกลุ เสนอว่า ฟังไจและสตั ว์ เป็นอาณาจกั รท่อี ยใู่ กลช้ ิดกนั มากกวา่ ใกลช้ ดิ กบั พืชหรอื ยคู ารโิ อตอ่ืน ๆ จากหลกั ฐานทางสายสมั พนั ธเ์ ชิงววิ ฒั นาการ เสนอว่า ฟังไจวิวฒั นาการมาจากบรรพบรุ ุษท่มี ี แฟลเจลลา ถงึ แมฟ้ ังไจสว่ นใหญ่จะไมม่ แี ฟลเจลลา วิวฒั นาการของฟังใจท่ีเก่าแกห่ รือมี ววิ ฒั นาการต่าท่สี ดุ คอื ไคทดิ (chytrids) ซากดกึ ดาบรรพข์ องฟังใจท่มี อี ายเุ กา่ แกท่ ่สี ดุ ประมาณ 460 ลา้ นปี (ในยคุ ออรโ์ ดวิเชยี น) และยงั พบซากดกึ ดาบรรพข์ องพืชท่มี ที อ่ ลาเลียงใน ปลายยคุ ซิลเู รียนท่มี ีหลกั ฐานของไมคอรไ์ รซา (Mycorrhiza) อยแู่ สดงว่าฟังไจมคี วามสมั พนั ธ์ แบบซิมไบโอติก (Symbiotic) อยกู่ บั พชื มาตงั้ แตพ่ ืชมที อ่ ลาเลยี งไดว้ วิ ฒั นาการขนึ้ มาอย่บู นบก ปัจจบุ นั พบฟังใจแพรก่ ระจายอย่ทู ่วั ไปมปี ระมาณ 100,000 ชนดิ ลกั ษณะรูปรา่ งและการดารงชีวติ ของฟังไจ ลกั ษณะของฟังใจสว่ นใหญ่ ประกอบดว้ ย หลายเซลลเ์ รยี งต่อกนั เป็นเสน้ ใย เรยี กวา่ ไฮฟา (hypha) กลมุ่ ของเสน้ ใย เรียกว่า ไมซีเลยี ม (Mycelium) ทาหนา้ ท่ยี ดึ เกาะอาหารและสง่ เอนไซมไ์ ปยอ่ ยสลายอาหารภายนอกเซลลแ์ ละดดู ซมึ สารอาหารท่ยี ่อยไดเ้ ขา้ สเู่ ซลลไ์ มซเี ลยี มของฟังใจ บางชนดิ จะเจรญิ เป็นสว่ นท่โี ผลพ่ น้ ดิน ออกมา เรียกว่า ฟรุตติงบอดี (Fruiting body) เพ่อื ทาหนา้ ท่สี รา้ งสปอร์ สว่ นพวกท่เี ป็นเซลล์ เดยี ว ไดแ้ ก่ ยีสต์ เสน้ ใยของฟังใจประกอบดว้ ย ผนงั เซลล์ (ประกอบดว้ ยสารไคติน (Chitin) เป็นสว่ นใหญ่ มีสว่ นนอ้ ยท่เี ป็นเซลลโู ลส) เย่อื หมุ้ เซลล์ และโพรโทพลาซมึ

เสน้ ใยของรา แบ่งเป็น 2 แบบ คอื เสน้ ใยไม่มผี นังกนั (Non Septate Hypha หรือ Coenocytic Hypha) เสน้ ใยมลี กั ษณะเป็น ทอ่ ทะลถุ งึ กนั หมดโดยไม่มีผนงั (Septum) กนั้ ซ่งึ เกิดจากการแบง่ นวิ เคลียสโดยไมแ่ บ่งไซ โทพลาซมึ ทาใหไ้ ซโทพลาซมึ และนิวเคลยี สติดตอ่ กนั ไดห้ มด เส้นใยแบบทมี่ ีผนังกั้น (Septate Hypha) มีผนงั กนั้ แบ่งแต่ละเซลล์ โดยภายในเซลลอ์ าจมี นวิ เคลียสอนั เดยี ว หรอื มีนิวเคลยี สหลายอนั ในแต่ละเซลล์ ผนงั ท่กี นั้ ระหวา่ งเซลลเ์ ป็นผนงั ท่ไี ม่ สมบรู ณ์ เพราะมีรูอย่ทู ่ผี นงั อาจมรี ูเดียวหรือหลายรูท่ผี นงั ทาใหไ้ รโบโซม ไมโทคอนเดรยี หรอื นิวเคลียสไหลจากเซลลห์ นึ่งไปอกี เซลลห์ นึง่ ได้ เส้นใยของฟังไจ อาจแบง่ เป็น 2 ชนิดตามหนา้ ท่ี คือ เสน้ ใยท่ยี ดึ เกาะอาหารมีหนา้ ท่ดี ดู ซมึ อาหารท่ยี อ่ ยแลว้ และเสน้ ใยท่ยี ่นื ไปในอากาศ (Fruiting Body) ทาหนา้ ท่สี รา้ งสปอรเ์ พ่อื สืบพนั ธุ์ เสน้ ใยของฟังไจอาจเปลีย่ นแปลงรูปรา่ งเพ่อื ทาหนา้ ท่ีพเิ ศษ ไดแ้ ก่ ไรซอยด์ (Rhizoid) มีลกั ษณะคลา้ ยรากพืชย่นื ออกจากไมซีเลียมเพ่อื ยดึ ใหต้ ิดกบั ผิวอาหารและชว่ ยดดู ซมึ อาหารดว้ ย เช่น ราขนมปัง สว่ นฮอสทอเรียม (Haustorium) หรอื อารบ์ าสคิว (Arbuscules) เป็นเสน้ ใยท่ยี ่นื เขา้ เซลลโ์ ฮสต์ เพ่อื ดดู ซมึ อาหารจากโฮสต์ พบในราท่ีเป็นปรสิต ฟังไจมีการสืบพนั ธโุ์ ดยการสรา้ งสปอรท์ งั้ แบบอาศยั เพศ (sexual reproduction) ซ่งึ จะเกิดขนึ้ เม่อื อยใู่ นสภาพแวดลอ้ มท่ไี มเ่ หมาะสม และแบบไม่อาศยั เพศ (Asexual Reproduction) โดยการแตกหน่อการสรา้ งสปอรห์ รือการหลดุ จากกนั เป็นท่อน ๆ สว่ นใหญ่ ดารงชวี ิตแบบผยู้ ่อยสลาย บางชนิดดารงชีวิตเป็นปรสิต บางชนดิ ดารงชวี ติ รว่ มกบั สาหรา่ ย เรยี กวา่ ไลเคน (Lichen) สามารถจาแนกเห็ดและรา เป็นไฟลมั ตา่ ง ๆ โดยอาศยั การสรา้ งสปอร์ แบบอาศยั เพศเป็นเกณฑ์

ความหลากหลายของฟังไจ ไฟลมั ไคทรดิ ิโอไมโคตา (Phylum Chytridiomycota) สมาชกิ ในไฟลมั นเี้ รยี กว่า ไคทรดิ (Chytrid) หรือรานา้ เป็นฟังใจกลมุ่ แรกท่มี วี วิ ฒั นาการมาจากโพรทิสตท์ ่มี แี ฟลเจลลมั สว่ นใหญ่ อาศยั อย่ใู นนา้ ทง้ั นา้ จดื และนา้ เค็ม บางชนดิ อาศยั ในดนิ ชนื้ แฉะ บางชนดิ ทาหนา้ ท่เี ป็นผยู้ อ่ ย สลาย (Saprophytism) ช่วยย่อยสลายสารอนิ ทรยี ์ บางชนิดเป็นปรสติ ในพวกโพรทิสต์ พืช และ สตั ว์ ลกั ษณะสาคญั ของไคทรดิ คอื เป็นแทลลสั ขนาดเลก็ ท่พี บโดยสว่ นใหญ่จะไมม่ ีการสรา้ ง เสน้ ใย และเสน้ ใยไม่มผี นงั กนั้ (Coenocytic Hypha) มกี ารสรา้ ง sporangium และมีไรซอยด์ ทาหนา้ ท่ดี ดู อาหาร ผนงั เซลลข์ องฟังใจกลมุ่ นปี้ ระกอบดว้ ย สารโคทิน สปอรแ์ ละแกมีตมแี ฟล เจลลมั 1 เสน้ ท่ีเรยี กวา่ ซูโอสปอร์ (Zoospore) ชว่ ยในการเคล่อื นท่ี อาหารสะสมเป็นไกลโคเจน สืบพนั ธไุ์ ดท้ งั้ แบบอาศยั เพศและไม่อาศยั เพศตวั อยา่ งเช่น Allomyces sp, Chytridium sp. ปัจจบุ นั พบไคทรดิ แลว้ ประมาณ 1,000 ชนิด 2.ไฟลมั ไซโกไมโคตา (Phylum Zygomycota) ลกั ษณะเดน่ ของราในไฟลมั นคี้ อื ไฮฟาไม่มผี นงั กนั้ (Coenocytic Hypha) แต่จะพบผนงั กนั้ ในระยะท่จี ะสรา้ งเซลลส์ บื พนั ธจุ์ ึงเห็นนวิ เคลียส จานวนมาก ผนงั เซลลเ์ ป็นสารไคทิน

ถา้ การสบื พนั ธแุ์ บบอาศยั เพศ (Sexual Reproduction) จะสรา้ งเสน้ ใย 2 สาย ท่มี เี พศตรงขา้ ม กนั ย่นื สว่ นของเสน้ ใยออกมาหลอมรวมกนั สว่ นท่ีย่นื ออกมาเรยี กวา่ แกมแี ทนเจียม (Gametangium) โพรโทพลาซมึ จาก 2 สาย จะมารวมกนั อยู่ (plasmogamy) แลว้ สรา้ งผนงั กนั้ กลายเป็นไซโกสปอแรนเจียม (Zygosporangium) ภายในมนี วิ เคลียส (n) ต่างเพศเป็นจานวน มาก ตอ่ มาไซโกสปอแรนเจยี มมผี นงั หนาขนึ้ เพ่อื ใหท้ นสภาพไม่เหมาะสมได้ เม่ือ สภาพแวดลอ้ มเหมาะสมนวิ เคลยี สต่างเพศจะรวมกนั (Karyogamy) ไดเ้ ซลล์ 2n จานวนมาก แลว้ แบง่ เซลลแ์ บบไมโอซิสทนั ที เม่ือไซโกสปอแรนเกียมแตกออกจะงอกเป็นสปอแรนเจยี ม สปอแรนเกียมจงึ ปลอ่ ยไซโกสปอร์ (n) ออกไป สว่ นการสืบพนั ธแุ์ บบไมอ่ าศยั เพศ (Asexual Reprosuction) จะสรา้ งสปอแรนกิโอสปอร์ (Sporangiospore) อยใู่ นอบั สปอร์ (Sporangium) ฟังไจกลมุ่ นมี้ กี ารดารงชวี ิตอย่ใู นดนิ ท่มี คี วามชนื้ และซากสิ่งมีชวี ิตเป็นสว่ นใหญ่ ดูด สารอนิ ทรยี จ์ ากซากพชื ซากสตั ว์ แต่บางชนดิ ดารงชวี ิตโดยเป็นปรสติ ของสง่ิ มีชีวติ ขนาดเลก็ ใน ดนิ ปัจจบุ นั พบฟังใจในไฟลมั ไซโกไมโคตาแลว้ ประมาณ 600 ชนิด ตวั อย่างของราไฟลมั นี้ ไดแ้ ก่ เชน่ Rhizopus stolonifer ซง่ึ เป็นราท่ขี นึ้ บนขนมปังและ Rhizopus nigricans เป็นราท่ใี ช้ ในอตุ สาหกรรมการผลิตกรดฟมู ารกิ 3.ไฟลมั แอสโคไมโคตา (Phylum Ascomycota) เป็นฟังไจ ท่มี จี านวนชนิดมากท่สี ดุ มีรูปรา่ งทง้ั แบบเซลลเ์ ดยี วและหลายเซลลล์ กั ษณะของเสน้ ใยมผี นงั กนั้ (Septate Hypha) แตม่ ีรูทะลถุ ึงกนั ทาใหไ้ ซโทพลาซมึ และนิวเคลียสไหลถงึ กนั ได้ ผนงั เซลล์ ประกอบดว้ ยสารไคทิน อาจเรยี กราพวกนวี้ า่ ราถงุ (sac fungi) เพราะสปอรท์ ่ใี ชใ้ นการสบื พนั ธุ์ แบบอาศยั เพศท่เี รยี กวา่ แอสโคสปอร์ (Ascospore) เกิดอยใู่ นถงุ แอสคสั (ascus) ซ่งึ แอสคสั จะมีแอสโคสปอรป์ ระมาณ 4 หรือ 8 แอสโคสปอร์ และจะรวมกนั อย่ใู นโครงสรา้ งท่มี เี สน้ ใย เรยี กวา่ แอสโคคารป์ (ascocarp) ซง่ึ เป็นฟรุตติงบอดี มรี ูปรา่ งหลายแบบอาจเป็นรูปถว้ ยรูป

สว่ นการสบื พนั ธแุ์ บบไมอ่ าศยั เพศโดยสรา้ งสปอรท์ ่เี รียกว่าโคนเดยี (Conidia) เกิดท่ปี ลายไฮฟา บางชนิดไม่สรา้ งไมซเี ลียมแตอ่ ย่เู ป็นเซลลเ์ ด่ยี ว ๆ คือ ยีสต์ (Yeast) มกี ารสบื พนั ธแุ์ บบไม่อาศยั เพศโดยการแตกหนอ่ (Budding) การดารงชวี ิตพบว่ามีอย่ทู ง้ั ในทะเลและพืน้ ดนิ ปัจจบุ นั พบฟัง ไจกลมุ่ นแี้ ลว้ ประมาณ 30,000 ชนิด ตวั อย่างอ่นื ๆ ไดแ้ ก่ Saccharomyces cerevesiae ท่ใี ช้ ในการทาเบยี ร์ ไวน์ ขนมปัง สว่ นบางเซลลท์ ่เี ป็นดิพลอยดเ์ ซลล์ (2n) เจรญิ เป็นแอสคสั ภายใน แบง่ ไมโอซิสได้ 4 แอสโคสปอร์ (n) เม่อื แอสโคสปอรห์ ลดุ ออกจากแอสคสั กลายเป็นแฮพลอยด์ เซลล์ (n) ซ่งึ จะเพ่มิ จานวนโดยการแตกหน่อไดด้ ว้ ย มอเรล (morel, Morchella) ทรฟั เฟิล (truffle, Tuber) ราสีแดง (Monascus spp.) ท่ใี ชผ้ ลิตขา้ วแดงและเตา้ หรู้ า (เตา้ หยู้ )ี้ Neurospora sp. ท่เี ป็นสาเหตทุ าใหข้ นมปังเสียและพบขนึ้ ตามตอซงั ขา้ วโพด ราชนดิ นมี้ ี ความสาคญั ทางชีววทิ ยาเพราะใชศ้ กึ ษามากทางดา้ นพนั ธศุ าสตร์

ฟลมั เบสดิ ิโอไมโคตา (Phylum Basidiomycota) ฟังไจกลมุ่ นมี้ วี ิวฒั นาการสงู สดุ ซ่งึ ทาหนา้ ท่ี เป็นผยู้ ่อยอนิ ทรยี สารท่มี ีประสิทธิภาพของระบบนเิ วศมลี กั ษณะสาคญั คือมีเสน้ ใยท่มี ผี นงั กนั้ สมบรู ณม์ ีการสืบพนั ธแุ์ บบอาศยั เพศโดยสรา้ งสปอรท์ ่เี รียกว่าเบสดิ ิโอสปอร์ (basidiospore) จานวน 4 สปอร์ อยขู่ า้ งนอกเบสเิ ดยี ม (ฺBasidium) เหด็ ท่ีมีวิวฒั นาการสงู สดุ จะสรา้ งเบสเิ ดยี มบนโครงสรา้ งพิเศษหรือฟรุตตงิ บอดี (Fruiting Body) ท่เี รียกวา่ เบสดิ โิ อคารป์ (Basidiocarp) หรอื ดอกเหด็ ไดแ้ ก่ เห็ดชนิดต่าง ๆ เช่น เหด็ ฟาง (Volvaricella volvacea) เหด็ หอม (Lentinula edodes) ราสนมิ (Rusts) และราเขม่าดาหรือสมทั (Smuts) ท่ที าใหเ้ กิดโรค นกั ชีววทิ ยาไดจ้ าแนกเห็ดโดยใชล้ กั ษณะของเบสิเดยี มเป็นเกณฑแ์ บ่งออกเป็น 2 กลมุ่ คอื พวกท่มี ีเบสิเดียมเป็นสายสนั้ ๆ ประกอบดว้ ยเซลล์ 4 เซลล์ โดยแตล่ ะเซลลจ์ ะสรา้ ง 1 เบสิดโิ อ สปอร์ เช่น Puccinia granninis และ Ustilago maydis พวกท่มี เี บสิเดียมคลา้ ยกระบอง (Club-Shaped Basidium) มเี บสิดิโอสปอร์ 4 อนั ตดิ อยู่ บนสเตรกิ มา (Sterigma) มีเบสิดโิ อคารป์ หรอื ดอกเหด็ เด่นชดั จาแนกออกเป็น 2 กลมุ่ คือ เหด็ ท่มี ีครบี (Gill) มีเบสเิ ดยี มเรยี งเป็นระเบยี บอยทู่ ่คี รีบ เชน่ เห็ดโคน เห็ดฟาง อกี กลมุ่ หนึ่งคอื เห็ด ท่ไี มม่ ีครีบมเี บสเิ ดียมอยตู่ รงกลางเบสดิ ิโอคารป์ เชน่ เห็ดเผาะ เหด็ บางชนดิ มสี ารพษิ มกั มลี กั ษณะท่มี ีสีสนั สวยงามและมีวงแหวน (Annulus) ท่ี บรเิ วณกา้ นของดอกเหด็ ถา้ นาไปบรโิ ภคจะทาใหเ้ กิดอนั ตรายได้ ตวั อย่างเห็ดท่มี ีพษิ เชน่ Amanita muscaria เป็นเห็ดท่มี สี ารมสั คารนิ (Muscarine) ซง่ึ เป็นสารพิษท่ีมีฤทธิ์กระตนุ้ การ ทางานของระบบประสาทอตั โนมตั ิ ทาใหม้ ีอาการเหง่อื ออก นา้ ลายไหล คลน่ื ไส้ อาเจียน ชีพจร เตน้ ชา้ และหายใจไม่สะดวก สว่ นเห็ด Amanita phalloides เป็นเห็ดท่มี สี ารอะมานติ ิน (Amanitin) ซง่ึ เป็นสารพิษท่มี ฤี ทธิ์ทาลายเซลลข์ องรา่ งกาย โดยเฉพาะตบั หวั ใจ และไต ทาให้ มีอาการอาเจยี นอย่างรุนแรง ทอ้ งเสีย เป็นตะครวิ ความดนั โลหิตต่า และเสียชีวิตได้

fungi imperfection เป็นฟังไจท่ไี ม่พบระยะการสืบพนั ธแุ์ บบอาศยั เพศ แต่มกี ารสืบพนั ธแุ์ บบไม่ อาศยั เพศโดยการสรา้ งโคนิเดียม (Conidium) นกั ชวี วทิ ยาจงึ ไมจ่ ดั ฟังไจกลมุ่ นใี้ หอ้ ยใู่ นไฟลมั ท่ี กลา่ วมาขา้ งตน้ ตวั อย่างเชน่ Penicillium notatum ทนใชผ้ ลิตยาปฏชิ วี นะเพนิซิลลนิ Penicillium regueforti ใชผ้ ลติ เนยแข็ง Aspergillus niger ใชผ้ ลิตกรดซิตรกิ หรอื กรดสม้ จาก นา้ ตาล บางพวกเป็นปรสิตทาใหเ้ กิดโรคกบั พืชสตั วแ์ ละคน เชน่ ทาใหเ้ กิดโรคผิวหนงั กลาก เกลอื้ น โรคเป่ือยตามง่ามนวิ้ มอื นวิ้ เทา้ กลุ่มยูแครโิ อต : สัตว์ ยแู ครโิ อต (องั กฤษ: eukaryote) คือ ส่ิงมีชวี ติ ท่เี ซลลม์ ีนวิ เคลยี สและโครงสรา้ งอ่นื (ออร์ แกเนลล)์ อย่ภู ายในเย่อื หมุ้ เซลล์ ยแู ครโิ อตเป็นหน่วยอนกุ รมวิธาน ยคู ารย์ าหรือยแู ครโิ อตา อยา่ งเป็นทางการ เย่อื หมุ้ นิวเคลียสเป็นโครงสรา้ งท่ีนิยามเซลลย์ แู ครโิ อตแยกจากเซลลโ์ ปรแคริ โอต โดยภายในเย่อื หมุ้ นิวเคลยี สมีสารพนั ธกุ รรม การมีนวิ เคลยี สเป็นท่มี าของช่อื ยแู ครโิ อต ซง่ึ มาจากภาษากรีก εὗ (eu, \"ด\"ี ) และ κάρυον (karyon, \"ผลมเี มลด็ เดียว\" หรือ \"เมล็ด\") เซลลย์ ู แครโิ อตสว่ นใหญ่ยงั มีออรแ์ กเนลลท์ ่มี เี ย่ือหมุ้ อ่นื ดว้ ย เชน่ ไมโทคอนเดรยี หรือกอลจแิ อพ พาราตสั นอกเหนอื จากนี้ พชื และสาหรา่ ยยงั มคี ลอโรพลาสต์ สิ่งมชี วี ิตเซลลเ์ ดียวหลายชนดิ เป็นยแู ครโิ อต เช่น โปรโตซวั แตส่ ่ิงมีชีวติ หลายเซลลท์ กุ ชนิดเป็นยแู ครโิ อต ซ่งึ ไดแ้ ก่ สตั ว์ พชื และเหด็ รา

การแบ่งเซลลใ์ นยแู ครโิ อตแตกตา่ งจากสง่ิ มีชีวติ ท่ไี ม่มนี วิ เคลียส (โพรแคริโอต) มกี ระบวนการ แบง่ ตวั สองประเภท คอื ไมโทซสิ และไมโอซิส ไมโทซิสเป็นการท่เี ซลลห์ นง่ึ แบ่งตวั ไดเ้ ซลลท์ ่มี ี พนั ธุกรรมเหมือนกนั สองเซลล์ ในไมโอซิสซ่งึ จาเป็นในการสืบพนั ธแุ์ บบอาศยั เพศ เซลลด์ ิ พลอยดห์ นึง่ (ซ่งึ มโี ครโมโซมสองชดุ ชดุ หนึง่ มาจากพอ่ อีกชดุ หนง่ึ มาจากแม่) มีการจบั คู่ โครโมโซมจากพอ่ แมแ่ ต่ละค่ใู หม่ แลว้ ผ่านการแบ่งเซลลอ์ กี สองขนั้ ตอน จนไดเ้ ซลลแ์ ฮพลอยดส์ ี่ เซลล์ (เซลลส์ ืบพนั ธ)ุ์ เซลลส์ บื พนั ธแุ์ ตล่ ะเซลลม์ ีโครโมโซมชดุ เดียว ซง่ึ เป็นการผสมโครโมโซม จากพ่อแม่ค่เู ดยี วกนั โดเมนยแู ครโิ อตาดเู หมือนมาจากชาตพิ นั ธเุ์ ดยี ว (monophyletic) จงึ เป็นหน่งึ ในสามโดเมนของ ส่ิงมชี ีวติ อกี สองโดเมน ไดแ้ ก่ แบคทีเรียและอารเ์ คีย เป็นโปรแครโิ อตและไม่มีคณุ สมบตั ิท่กี ลา่ ว มาขา้ งตน้ ยแู ครโิ อตเป็นสิง่ มชี วี ิตสว่ นนอ้ ยมาก อยา่ งไรก็ดี เน่อื งจากยแู ครโิ อตมีขนาดใหญ่กวา่ มาก มวลชีวภาพรวมท่วั โลกจึงประมาณว่าเทา่ กบั มวลชีวภาพของโปรแครโิ อต[1] ยแู ครโิ อต อบุ ตั ิขนึ้ ครงั้ แรกเม่อื ประมาณ 1.6–2.1 พนั ลา้ นปีก่อน การจาแนกส่งิ มีชีวติ การจดั จาแนกสิง่ มีชีวิต (classification of organisms)การจดั จาแนกสง่ิ มชี ีวติ ออกเป็น หมวดหม่ไู ม่ใช่เพียงเป็นการบอกช่อื ชนิดของส่งิ มชี ีวิตเท่านนั้ แตจ่ ะตอ้ งสามารถบ่งบอกถึงลาดบั ของสงิ่ มชี วี ติ และตาแหน่งในการเกิดขนึ้ ของชนดิ ในขบวนการววิ ฒั นาการไดด้ ว้ ยการศกึ ษาชนดิ ความหลากหลายของสง่ิ มชี วี ิตและความสมั พนั ธใ์ นเชงิ วิวฒั นาการระหว่างสิ่งมชี วี ิตต่างๆ เรียกว่าอนกุ รมวธิ าน taxonomy หรืออาจเรียกวา่ systematics แต่นกั ชวี วทิ ยาบางสว่ นอาจจะ แยกทงั้ สองศาสตรน์ อี้ อกจากกนั โดยถือวา่ taxonomyเป็นการศกึ ษาเพ่อื ใหค้ าอธิบาย รายละเอยี ดเก่ียวกบั สิง่ มชี วี ติ นนั้ ๆ (description of species) สว่ น systematics เป็นการศกึ ษา เพ่อื จดั กลมุ่ ของส่งิ มีชวี ติ ท่มี วี วิ ฒั นาการมาเหมอื นกนั ใหอ้ ยใู่ นกลมุ่ เดียวกนั ซ่งึ สามารถ ใชใ้ น การอธิบายความสมั พนั ธข์ อง

ชาติวงศว์ านและนามาจดั เป็นประวตั ชิ าตพิ นั ธุ์ (phylogeny) ของส่ิงมชี วี ติ กลมุ่ ตา่ งๆได้ การ จดั ทาphylogeny ของสงิ่ มชี ีวิตสามารถทาไดใ้ นทกุ ระดบั ของส่ิงมีชีวติ เชน่ การทา phylogeny เพ่อื แสดงความสมั พนั ธข์ องส่งิ มีชีวิตท่อี ยใู่ น อาณาจกั รพืชอาณาจกั รสตั วแ์ ละความสมั พนั ธ์ ของสิง่ มชี วี ิตในระดบั อ่นื ๆเช่นในระดบั สกลุ (genus)การจาแนกสง่ิ มีชวี ติ มีหลายระบบ ดงั นี้ 1. Artificial system จดั จาแนกส่งิ มีชวี ิตโดยพิจารณาลกั ษณะภายนอกท่วั ๆ ไปเท่าท่ี สงั เกตได้ พวกท่มี ลี กั ษณะคลา้ ยกนั จดั ไวพ้ วกเดยี วกนั พวกท่ีมีลกั ษณะต่างกนั ก็แยกออกไป ระบบนนี้ ิยมใชใ้ นระยะ ค.ศ. ท่ี 17 - 18 2. Natural system จาแนกโดยอาศยั ลกั ษณะธรรมชาติ ลกั ษณะภายนอก ลกั ษณะภายใน พฤติกรรมและนิเวศนว์ ิทยา ระบบนใี้ ชร้ ะหว่างกลาง ค.ศ. ท่ี 18 – 19 3. Phylogenetic system พจิ ารณาถึงความสมั พนั ธท์ างววิ ฒั นาการของ สงิ่ มชี วี ิต และการมบี รรพบรุ ุษรว่ มกนั และไดน้ าความรูแ้ ผนใหม่ทางชวี วทิ ยาและวทิ ยา ศาสตรส์ าขาอ่นื ๆ เขา้ มาประกอบดว้ ย ระบบนไี้ ดร้ บั ความนิยมนามาใชจ้ านถึงปัจจบุ นั 4. Modern system ระบบนเี้ ป็นการผสมระหว่าง Natural system กบั Phylogenetic system เขา้ ดว้ ยกนั โดยรวมลกั ษณะภายนอก ลกั ษณะภายใน เอมบริ โอ ลกั ษณะทางชีวเคมี เช่นผนงั เซลลป์ ระกอบดว้ ยสารอะไรบา้ ง มอี าหารเก็บไวท้ ่ไี หน มรี งควตั ถอุ ะไร จานวนโครโมโซม รวมทง้ั สภาวะแวดลอ้ มของพชื และซากดกึ ดาบรรพ์ (fossil) มาเป็นเกณฑพ์ ิจารณา

ปรโยชนข์ องการจาแนกส่ิงมีชีวติ สงิ่ มีชีวิตในโลกนมี้ ีมากนบั หลายลา้ นชนดิ มคี วามหลากหลายทงั้ ลกั ษณะโครงสรา้ งท่ี เหมือนกนั และแตกต่างกนั วิธีการหาอาหาร วิธีการสบื พนั ธุ์ สภาพแวดลอ้ มการเจรญิ เติบโต และวิวฒั นาการท่ีแตกต่างกนั แต่เน่อื งจากสิ่งมีชวี ิตมอี ย่มู ากทง้ั เหมือนและแตกตา่ งกนั ดงั กลา่ วแลว้ จงึ มีการจดั หมวดหมขู่ องสงิ่ มชี ีวิตขนึ้ ซง่ึ การจดั หมวดหม่ขู องสง่ิ มีชวี ิตมี ประโยชน์ คือ 1. ทาใหส้ ะดวกในการศกึ ษาสง่ิ มชี วี ติ ชนิดตา่ ง ๆ 2. ทาใหร้ ูถ้ งึ ลกั ษณะโครงสรา้ งของสิ่งมีชวี ิตท่คี ลา้ ยคลงึ หรือตา่ งกนั 3. ทาใหร้ ูถ้ ึงความสมั พนั ธแ์ ละการอย่รู ว่ มกนั ของสง่ิ มชี วี ติ

หลกั เกณฑใ์ นการจาแนกส่งิ มีชวี ิต 1. ลกั ษณะโครงสรา้ ง ทง้ั ภายนอกนอกภายในของสิ่งมีชวี ติ ชนดิ ต่าง ๆ โครงสรา้ งท่มี ีตน้ กาเนดิ เดยี วกนั แต่ทาหนา้ ท่ตี า่ งกนั (Homologous structure) เชน่ แขนคน ขาสนุ ขั ปีกนก ครีบ ปลาวาฬ ครีบปลาต่าง ๆ จะเห็นวา่ ครีบปลาวาฬคลา้ ยแขนคนมากกวา่ ครีบปลา และ โครงสรา้ งต่างกนั แตท่ าหนา้ ท่อี ยา่ งเดียวกนั หรอื คลา้ ยคลงึ กนั (Analogous structure) เชน่ ปี กนกกบั ปีกผีเสือ้ เป็นตน้ 1.โครงสรา้ งมตี น้ กาเนิดเดียวกนั ทางานแตกตา่ งกนั 2.โครงสรา้ งมีตน้ กาเนิดตา่ งกนั ทางานเหมอื นกนั

2. แบบแผนการเจริญเตบิ โตของสง่ิ มชี ีวิต ตงั้ แต่ระยะเรม่ิ แรกเอมบริโอมี การเจรญิ คลา้ ยกนั เพยี งใด เช่น การเจริญของเอมบรโิ อของสตั วม์ กี ระดกู สนั หลงั จะตอ้ งมีชอ่ ง เหงือก (gill slits) ท่บี รเิ วณคอหอย แต่เม่อื เจรญิ เป็นตวั เตม็ วยั แลว้ จะปิดไปยกเวน้ ปลา จึง แตกต่างกนั ในระยะโตเต็มท่ี แบบแผนการเจรญิ เติบโตของสิ่งมีชวี ติ 3. ความสมั พันธท์ างววิ ฒั นาการของส่งิ มีชวี ิตนั้น ๆ สิง่ มีชีวิตท่มี าจาก บรรพบรุ ุษ เดยี วกนั ย่อมมคี วามสมั พนั ธก์ นั หรืออาจเปรยี บเทียบจากซากดกึ ดาบรรพ์ ความสมั พนั ธท์ างวิวฒั นาการ 4. การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม การสืบพนั ธุ์ การดารงชีพ และพฤติกรรมต่าง ๆ

5. ส่วนประกอบทางชีวเคมีของเซลลห์ รือสารทเ่ี ซลลส์ ร้างขึน้ และกระบวนการทาง สรรี วิทยาท่คี ลา้ ยคลงึ หรอื แตกต่างกนั ความสมั พนั ธท์ างเครือญาติและสว่ นประกอบทางเคมขี อง DNA ของลิงกบั มนษุ ย์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook