รายงาน ทฤษฎกี ารเรียนรูและทกั ษะการเรียนรใู นศตวรรษท่ี 21 โดย 1. นางสาวทิวาพร เยยี มยุทธภมู ิ 63741609 2. นางสาวพรพทิ ักษ์ 3. นางสาวฟาวลิ ัย โคตรท่าค้อ 63741612 4. นางสาววไิ ลวรรณ ทองสุข 63741616 กําแพงทิพย์ 63741620 ประกาศนียบตั รบณั ฑิตวชิ าชพี ครู Section 6 มหาวทิ ยาลัยราชภัฎเชยี งใหม่
คํานํา รายงานเล่มนีเปนสว่ นหนึงในรายวิชา การจัดการเรยี นรูแ้ ละการจัดการ ชนั เรยี น เกียวกับทฤษฎีการเรยี นรูแ้ ละทักษะการเรยี นรูใ้ นศตวรรษที 21 โดย มีเนือหาเกียวกับทฤษฎีการเรยี นรูท้ ีผู้จัดทําสนใจศึกษา และการนําไป ประยุกต์ใช้ ทังนียงั ได้นําเสนอคลิปวิดีโอเกียวกับการประยุกต์ใชท้ ฤษฎีในการ จัดการเรยี นการสอน และความสาํ คัญของทักษะการเรยี นรูใ้ นศตวรรษที 21 การจัดการเรยี นการสอนเพอื ให้ผู้เรยี นมีทักษะการเรยี นรูใ้ นศตวรรษที 21 ตามทัศนะคติของคณะผู้จัดทํา คณะผู้จัดทําหวังว่ารายงานเล่มนีจะเปนประโยชน์ต่อผู้สนใจไมม่ ากก็น้อย หากรายงานเล่มนีมีความผิดพลาดประการใด ทางคณะผู้จัดทําก็ขออภัยมา ณ ทีนีด้วย คณะผู้จัดทํา 5 กรกฎาคม 2564 ก
สารบัญ หน้า เรอื ง ก ข คํานํา สารบญั 1 1.ทฤษฎีการเรยี นรูแ้ ละการนําไปใชใ้ นการจัดการเรยี นรูใ้ น รายวิชาทีท่านสนใจ 4 5 ทฤษฎีการเรยี นรูแ้ บบรว่ มมือ (Theory of Cooperative or Collaborative Learning) 8 การนําไปประยุกต์ใช้ 8 2. คลิปวิดีโอทีนําทฤษฎีการเรยี นรูไ้ ปประยุกต์ใช้ 9 3. ความสาํ คัญของทักษะการเรยี นรูใ้ นศตวรรษที 21 ทักษะการเรยี นรูใ้ นศตวรรษที 21 ความคิดเห็นต่อความสาํ คัญของทักษะการเรยี นรูใ้ น ศตวรรษที 21 ต่อผู้เรยี น ความคิดเห็นต่อการนําทักษะการเรยี นรูใ้ นศตวรรษที 21 ไปใชใ้ นการจัดการเรยี นการสอน ข
1. จงสรุปถึงองค์ประกอบของแนวคิดหลักของทฤษฎีการเรยี นรูแ้ ละการนํา ไปใชใ้ นการจัดการเรยี นรูใ้ นรายวิชาทีท่านสนใจมาเพยี ง 1 ทฤษฎี ทฤษฎกี ารเรยี นรูแ้ บบรว่ มมอื (Theory of Cooperative or Collaborative Learning) การเรยี นรูเ้ ปนกล่มุ ยอ่ ยโดยสมาชกิ กล่มุ ทีมีความสามารถแตกต่างกันประมาณ 3 – 6 คน ชว่ ยกันเรยี นรูเ้ พอื ไปสเู่ ปาหมายของกล่มุ โดยผู้เรยี นมีปฏิสมั พนั ธร์ ะหว่างกันใน ลักษณะแขง่ ขนั กัน ต่างคนต่างเรยี นและรว่ มมือกันหรอื ชว่ ยกันในการเรยี นรู้ การจัดการ เรยี นการสอนตามทฤษฏีนีจะเน้นให้ผู้เรยี นชว่ ยกันในการเรยี นรู้ โดยมีกิจกรรมทีให้ผู้ เรยี นมีการพงึ พาอาศัยกันในการเรยี นรู้ มีการปรกึ ษาหารอื กันอยา่ งใกล้ชดิ มีการ สมั พนั ธก์ ัน มีการทํางานรว่ มกันเปนกล่มุ มีการวิเคราะห์กระบวนการของกล่มุ และมี การแบง่ หน้าทีรบั ผิดชอบงานรว่ มกัน สว่ นการประเมินผลการเรยี นรูค้ วรมีการประเมินทัง ทางด้านปรมิ าณและคณุ ภาพ โดยวิธกี ารที หลากหลายและควรให้ผู้เรยี นมีสว่ นรว่ มใน การประเมิน และครูควรจัดให้ผู้เรยี นมีเวลาในการวิเคราะห์การทํางานกล่มุ และ พฤติกรรมของสมาชกิ กล่มุ เพอื ให้กล่มุ มีโอกาสทีจะปรบั ปรุงสว่ นบกพรอ่ งของกล่มุ เดียว องค์ประกอบของแนวคิดหลักของทฤษฎกี ารเรยี นรูแ้ บบรว่ มมอื 1. การจัดกล่มุ (Teams) การจัดกล่มุ เด็กทีจะเขา้ รว่ มทํากิจกรรมด้วยกันเพอื ให้เกิดประสทิ ธผิ ลมากทีสดุ โดยแบง่ กล่มุ นักเรยี น 3-6 คน โดยสมาชกิ กล่มุ มีความสามารถทีแตกต่างกัน 2. ความมุง่ มัน (Will) ความมังมันและอุดมการณข์ องเด็กทีจะทํางานรว่ มกัน ซงึ จะต้องมีความมุง่ มันทีจะเรยี นรู้ และมีความกระตือรอื รน้ ในการทํากิจกรรมต่าง ๆ รว่ มกัน เพอื ให้เกิดประสทิ ธผิ ลรว่ มกัน สามารถสรา้ งความมุง่ มันรว่ มกันให้เกิดขนึ ได้โดยใชก้ ิจกรรมอืน ๆ ทีไมใ่ ชก่ ิจกรรมทาง วิชาการ เชน่ การเล่นเกม การสมั ภาษณ์ 3. การจัดการ (Management) การจัดการกล่มุ ให้สามารถทํากิจกรรม ได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ และรวมถึงการจัดการของ ครูการจัดการภายในกล่มุ เพอื ให้การทํากิจกรรมของกล่มุ ประสบผลสาํ เรจ็ อยา่ งมี ประสทิ ธภิ าพ 1
4. ทักษะทางสงั คม (Social Skills) การพฒั นาให้เด็กมีทักษะในการทํางาน ทํากิจกรรมรว่ มกัน ให้มีการรว่ มมือชว่ ยเหลือกันอยา่ ง จรงิ ใจ ให้กําลังใจกัน มีความสมั พนั ธท์ ีดีต่อกันและทีสาํ คัญทีสดุ คือ ต้องรบั ฟงความคิดเห็น ซงึ กันและกัน 5. กฎพนื ฐาน 4 ขอ้ (4 Basics Principles : PIES) หลักการพนื ฐานของการพนื ฐานการเรยี นรูแ้ บบรว่ มมือรว่ มใจกัน ซงึ จะต้องประกอบด้วยองค์ ประกอบทีสาํ คัญ 4 ประการ จะขาดอยา่ งหนึงอยา่ งใดไมไ่ ด้องค์ประกอบดังกล่าว ได้แก่ 1) การชว่ ยเหลือซงึ กันและกัน (P : Positive Interdependence) 2) การยอมรบั ความสามารถซงึ กันและกัน (I : Individual Accountability) 3) ความเสมอภาค (E : Equal Participation) 4) การมีปฏิสมั พนั ธอ์ ยา่ งต่อเนือง (S : Simultaneous) รูปแบบการจัดการเรยี นรูแ้ บบรว่ มมอื 1. ปรศิ นาความคิด (Jigsaw) ปรศิ นาความคิด เปนเทคนิคทีสมาชกิ ในกล่มุ แยกยา้ ยกันไปศึกษาหาความรู้ ในหัวขอ้ เนือหาทีแตกต่างกัน แล้วกลับเขา้ กล่มุ มาถ่ายทอดความรูท้ ีได้มาให้สมาชกิ กล่มุ ฟง วิธนี ี คล้ายกับการต่อภาพจิกซอร์ จึงเรยี กวิธนี ีว่า Jigsaw หรอื ปรศิ นาการคิด ลักษณะการจัด กิจกรรมผู้เรยี นทีมีความสามารถต่างกันเขา้ กล่มุ รว่ มกันเรยี กว่า กล่มุ บา้ น (Home Group) สมาชกิ ในกล่มุ บา้ นจะรบั ผิดชอบศึกษาหัวขอ้ ทีแตกต่างกัน แล้วแยกยา้ ยไปเขา้ กล่มุ ใหมใ่ น หัวขอ้ เดียวกัน กล่มุ ใหมน่ ีเรยี กว่า กล่มุ ผู้เชยี วชาญ (Expert Group) เมือกล่มุ ผู้เชยี วชาญ ทํางานรว่ มกันเสรจ็ ก็จะยา้ ยกลับไปกล่มุ เดิมคือ กล่มุ บา้ นของตน นําความรูท้ ีได้จากการ อภิปรายจากกล่มุ ผู้เชยี วชาญมาสรุปให้กล่มุ บา้ นฟง ผู้สอนทดสอบและให้คะแนน 2. กล่มุ รว่ มมือแขง่ ขนั (Teams – Games – Tournaments : TGT) เทคนิคกล่มุ รว่ มมือแขง่ ขนั เปนกิจกรรมทีสมาชกิ ในกล่มุ เรยี นรูเ้ นือหาสาระจากผู้สอนด้วย กัน แล้วแต่ละคนแยกยา้ ยไปแขง่ ขนั ทดสอบความรู้ คะแนนทีได้ของแต่ละคนจะนํามารวมกัน เปนคะแนนของกล่มุ กล่มุ ทีได้คะแนนรวมสงู สดุ ได้รบั รางวัล 3. กล่มุ รว่ มมือชว่ ยเหลือ (Team Assisted Individualization : TAT) เทคนิคการเรยี นรูว้ ิธนี ี เปนการเรยี นรูท้ ีเปดโอกาสให้สมาชกิ แต่ละคนได้แสดงความสามารถ เฉพาะตนก่อน แล้วจึงจับค่ตู รวจสอบกันและกัน ชว่ ยเหลือกันทําใบงานจนสามารถผา่ นได้ ต่อจากนันจึงนําคะแนนของแต่ละคนมารวมเปนคะแนนของกล่มุ กล่มุ ทีได้คะแนนสงู สดุ จะ เปนฝายได้รบั รางวัล 2
4. กล่มุ สบื ค้น (Group Investigation : GI) กล่มุ สบื ค้น เปนเทคนิคการจัดกิจกรรมที ให้ผู้เรยี นได้ฝกทักษะการศึกษาค้นคว้าแสวงหาความรูด้ ้วยตนเอง ผู้เรยี นแต่ละกล่มุ ได้รบั มอบหมายให้ค้นคว้าหาความรูม้ านําเสนอ ประกอบเนือหาทีเรยี น อาจเปนการทํางานตาม ใบงานทีกําหนด โดยทีทกุ คนในกล่มุ รบั รูแ้ ละชว่ ยกันทํางาน 5. กล่มุ เรยี นรูร้ ว่ มกัน (Learning Together : LT) กล่มุ เรยี นรูร้ ว่ มกัน เปนเทคนิคการจัดกิจกรรมทีให้สมาชกิ ในกล่มุ ได้รบั ผิดชอบ มี บทบาทหน้าทีทกุ คน เชน่ เปนผู้อ่าน เปนผู้จดบนั ทึก เปนผู้รายงานนําเสนอ เปนต้น ทกุ คนชว่ ยกันทํางาน จนได้ผลงานสาํ เรจ็ สง่ และนําเสนอผู้สอน 6. กล่มุ รว่ มกันคิด (Numbered Heads Together : NHT) กิจกรรมนีเหมาะสาํ หรบั การทบทวนหรอื ตรวจสอบความเขา้ ใจ สมาชกิ กล่มุ จะ ประกอบด้วยผู้เรยี นทีมีความสามารถเก่ง ปานกลาง และอ่อนคละกัน จะชว่ ยกันค้นคว้า เตรยี มตัวตอบคําถามทีผู้สอนจะทดสอบ ผู้สอนจะเรยี กถามทีละคน กล่มุ ทีสมาชกิ สามารถ ตอบคําถามได้มากแสดงว่าได้ชว่ ยเหลือกันดี 7. กล่มุ รว่ มมือ (Co – op Co - op) กล่มุ รว่ มมือเปนเทคนิคการทํางานกล่มุ วิธหี นึง โดยสมาชกิ ในกล่มุ ทีมีความสามารถและความ ถนัดแตกต่างกันได้ แสดงบทบาทตามหน้าทีทีตนถนัดอยา่ งเต็มที ทําให้งานประสบผลสาํ เรจ็ วิธนี ีทําให้ผู้เรยี นได้ฝกความรบั ผิดชอบการทํางานกล่มุ รว่ มกัน และสนองต่อหลักการของการ เรยี นรู้ และรว่ มมือทีว่า “ความสาํ เรจ็ แต่ละคน คือ ความสาํ เรจ็ ของกล่มุ ความสาํ เรจ็ ของกล่มุ คือ ความสาํ เรจ็ ของทกุ คน” 3
การนําไปประยุกต์ใช้ การนําทฤษฎีการเรยี นรูแ้ บบรว่ มมือไปประยุกต์ใชใ้ นการจัดการเรยี นรูใ้ นรายวิชา ภาษาอังกฤษ เรอื ง สตั ว์นา่ รู้ ชนั ป. 2 โดยใชร้ ูปแบบการจัดการเรยี นรูแ้ บบรว่ มมือ วิธกี ล่มุ รว่ มมือแขง่ ขนั (Teams – Games – Tournaments: TGT) ขนั ที 1 : ครูนําเสนอบทเรยี นเกียวกับคําศัพท์ภาษาอังกฤษเกียวกับสตั ว์นา่ รู้ ขนั ที 2 : จากนันจัดกล่มุ แบบคละกัน กล่มุ ละ 4 - 5 คน ขนั ที 3 : แต่ละทีมศึกษาคําศัพท์ภาษาอังกฤษเกียวกับสตั ว์นา่ รู้ ขนั ที 4 : การแขง่ ขนั โดยครูจะสมุ่ ถามคําศัพท์เปนภาษาไทย แล้วให้แต่ละกล่มุ ชว่ ยกัน ตอบคําศัพท์ภาษาอังกฤษเกียวกับสตั ว์นา่ รู้ ขนั ที 5 : สรุปคะแนนและให้รางวัลทีมทีชนะ 4
2. จงนําเสนอการจัดการเรยี นรูข้ องครูผู้สอนทีเปนชาวไทยหรอื ต่างประเทศ จากสอื โซเชยี ลมีเดียทีท่านคิดว่าได้ประยุกต์ใชท้ ฤษฎีใดทฤษฎีหนึง จาก 5 ทฤษฎีการเรยี นรูท้ ีกล่าวไว้ในบทเรยี นนี และให้อธบิ ายพรอ้ มยกตัวอยา่ ง ประกอบในการประยุกต์ใชท้ ฤษฎีของครูผู้สอนนัน คลิป “โรงเรยี นประถมที 1 ในญปี ุน : ดใู ห้รู้ Dohiru (22 เม.ย. 61)” คลิปดังกล่าวได้นํา ทฤษฎีการเรยี นรูแ้ บบรว่ มมือ และทฤษฎีการสรา้ งความรูด้ ้วยตนเอง ทมี า: https://www.youtube.com/watch?v=eldAmzkNxWM ทฤษฎกี ารเรยี นรูแ้ บบรว่ มมอื แนวคิดของทฤษฏีนี คือ เปนแนวคิดในการจัดการเรยี นการสอนเพอื ให้นักเรยี นได้รว่ มมือกัน เรยี นรูแ้ ละปฏิบตั ิกิจกรรมให้ประสบผลสาํ เรจ็ ตามจุดมุง่ หมาย โดยการเรยี นรูเ้ ปนกล่มุ ยอ่ ยมี สมาชกิ กล่มุ ทีมีความสามารถแตกต่างกันประมาณ 3 – 6 คนโดยผู้เรยี นมีปฏิสมั พนั ธร์ ะหว่าง กันในลักษณะแขง่ ขนั กัน จากคลิปได้นําทฤษฎีดังกล่าวมาประยุกต์ใชด้ ังนี 1. มีการแบง่ กล่มุ ของนักเรยี น โดยแบง่ คละกันระหว่างชายหญงิ 2. มีการจัดหาวัสดอุ ุปกรณใ์ นการทดลอง การเกิดกระแสไฟฟา 5
การประยุกต์ ทฤษฎกี ารสรา้ งความรูด้ ้วยตนเอง มีแนวคิดคือ 1. การสรา้ งองค์ความรูด้ ้วยตนเอง โดยให้ผู้เรยี นลงมือประกอบกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย ตนเองหรอื ได้ปฏิสมั พนั ธก์ ับสงิ แวดล้อมภายนอกทีมีความหมาย ซงึ จะรวมถึงปฏิกิริยา ระหว่างความรูใ้ นตัวของผู้เรยี นเอง ประสบการณ์และสงิ แวดล้อมภายนอก การเรยี นรู้ จะได้ผลดีถ้าหากว่าผู้เรยี นเขา้ ใจในตนเอง มองเห็นความสาํ คัญในสงิ ทีเรยี นรู้และ สามารถเชอื มโยงความรูร้ ะหว่างความรูใ้ หม่กับความรูเ้ ก่า(รูว้ ่าตนเองได้เรยี นรู้อะไร บา้ ง) และสรา้ งเปนองค์ความรูใ้ หม่ขนึ มา 2.หลักการทียดึ ผู้เรยี นเปนศูนยก์ ลางการเรยี นรู้ โดยครูควรพยายามจัดบรรยากาศการ เรยี นการสอน ทีเปดโอกาสให้ผู้เรยี นลงมือปฏิบัติกิจกรรมการเรยี นด้วยตนเองโดยมี ทางเลือกในการเรยี นรูท้ ีหลากหลาย(Many Choice) และเรยี นรูอ้ ยา่ งมีความสขุ สามารถเชอื มโยงความรูร้ ะหว่างความรูใ้ หมก่ ับความรูเ้ ก่าได้ สว่ นครูเปนผู้ชว่ ยเหลือ และคอยอํานวยความสะดวก 3.หลักการเรยี นรูจ้ ากประสบการณ์และสงิ แวดล้อม หลักการนีเน้นให้เห็นความสําคัญ ของการเรยี นรูร้ ว่ มกัน (Social value) ทําให้ผู้เรยี นเห็นว่าคนเปนแหล่งความรูอ้ ีกแหล่ง หนึงทีสาํ คัญ การสอนตามทฤษฎี Constructionism เปนการจัดประสบการณเ์ พอื เตรยี มคนออกไปเผชญิ โลก ถ้าผู้เรยี นเห็นว่าคนเปนแหล่งความรูส้ ําคัญและสามารถ แลกเปลียนความรูก้ ันได้ เมือเขาจบออกไปก็จะปรบั ตัวได้ง่ายและทํางานรว่ มกับผู้อืน อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ 4.หลักการทีใชเ้ ทคโนโลยเี ปนเครอื งมือการรู้จักแสวงหาคําตอบจากแหล่งความรู้ต่างๆ ด้วยตนเองเปนผลให้เกิดพฤติกรรมทีฝงแนน่ เมือผู้เรยี น “เรยี นรู้ว่าจะเรยี นรู้ได้อยา่ งไร (Learn how to Learn)” 6
ครูผู้สอนได้นําทฤษฎีการสรา้ งความรูด้ ้วยตนเองมาประยุกต์ใช้ ในการสอนดังนี - ครูผู้สอนได้ให้นักเรยี นได้ทดลองทํากิจกรรม การทําให้เกิดกระแสไฟฟา จากอุปกรณท์ ี กําหนดให้ - ครูคอยชว่ ยเหลือและอํานวยความสะดวกให้กับนักเรยี น - ครูให้เด็กสามารถพดู คยุ ถึงปญหา และชว่ ยกันทลลองโดยการลองผิดลองถกู จากการทํา กิจกรรม - เปดโอกาสให้เด็กแสดงวิธกี ระบวนการคิด ในการทีทําให้เกิดกระแสไฟฟา ซงึ ในแต่ละกล่มุ มี กระบวนการทํางานทีแตกต่างกัน 7
3. ตามทัศนะของท่าน ทักษะการเรยี นรูใ้ นศตวรรษที 21 มีความสาํ คัญ อยา่ งไรต่อผู้เรยี น และผู้สอนควรดําเนินการอยา่ งไร เพอื ให้ผู้เรยี นมีทักษะ ในการเรยี นในศตวรรษที 21 ทักษะการเรยี นรูใ้ นศตวรรษที 21 ประกอบไปด้วย 1. Critical thinking and problem solving คือ มีทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดอยา่ งมี วิจารณญาณและสามารถแก้ไขปญหาได้ 2. Creativity and innovation คือ การคิดอยา่ งสรา้ งสรรค์และคิดเชงิ นวัตกรรม 3. Cross-cultural understanding คือ ความเขา้ ใจในความแตกต่างของวัฒนธรรมและ กระบวนการคิดขา้ มวัฒนธรรม 4. Collaboration teamwork and leadership คือ ความรว่ มมือ การทํางานเปนทีม และ ภาวะความเปนผู้นํา 5. Communication information and media literacy คือ มีทักษะในการสอื สารและการรู้ เท่าทันสอื 6. Computing and IT literacy คือ มีทักษะการใชค้ อมพวิ เตอรแ์ ละรูเ้ ท่าทันเทคโนโลยี 7. Career and learning skills คือ มีทักษะอาชพี และการเรยี นรู้ 8. Compassion คือ มีความเมตตากรุณา มีคณุ ธรรม และมีระเบยี บวินัย จากทักษะดังกล่าวขา้ งต้นก่อให้เกิดความสาํ คัญต่อผู้เรยี นทีแตกต่างไปจากการเรยี นรูใ้ น อดีต ตามความคิดเห็นของหนู หนูมองว่านักเรยี นในศตวรรษที 21 นีจะถกู ปลกู ฝงให้เปนผู้ นทีมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปญหา รวมไปถึงทักษะด้านการสรา้ งสรรค์และ นวัตกรรม ทักษะด้านความเขา้ ใจต่างวัฒนธรรมต่างกระบวนทัศน์ ทักษะด้านความรว่ มมือ การทํางานเปนทีมและภาวะผู้นํา ทักษะด้านการสอื สาร สารสนเทศ และรูเ้ ท่าทันสอื เพราะ ในอนาคตจะเปนโลกทีไรพ้ รมแดนของขอ้ มูลขา่ วสารอยา่ งแท้จรงิ 8
ทําให้นักเรยี นต้องเรยี นรูท้ ีจะเลือกและเสพสอื อยา่ งมีสติ ทักษะด้านคอมพวิ เตอรแ์ ละ เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื สาร และทักษะอาชพี และทักษะการเรยี นรูก้ ็สาํ คัญต่อ นักเรยี นเปนอยา่ งมาก ท้ายนีหนูมองว่าทักษะโดยรวมแล้วจะสง่ เสรมิ ให้นักเรยี นในยุค ศตวรรษที 21 ทีพรอ้ มจะเรยี นรูต้ ลอดชวี ิตอยา่ งยดื หยุน่ เพอื ให้เกิดการเปลียนแปลงภายใน ตนเอง และจําเปนต้องมีความรบั ผิดชอบ ซงึ จะเปนพนื ฐานของการมีคณุ ธรรมและ จรยิ ธรรมต่อสงั คมสว่ นรวม ในความคิดของหนูหน้าทีและบทบาทของครูผู้สอนได้เปลียนจากการบรรยายหน้าชนั เรยี นเพยี งอยา่ งเดียวมาเปนการกล่าวนํา เขา้ สบู่ ทเรยี น ทํา หน้าทีเปนเพยี งผู้แนะนํา ให้คํา ปรกึ ษาและกระต้นุ ให้ผู้เรยี นฝกแก้ปญหาด้วยตนเอง วิธกี ารสอนก็ควรหลายหลากมากขนึ เชน่ มีการนําคอมพวิ เตอรม์ าใชใ้ นการเรยี นการสอน โดยผา่ นเครอื ขา่ ยอินเทอ เน็ต(Network) เพราะปจจุบนั ผู้เรยี นมีความสามารถติดต่อสอื สารแลกเปลียนความรูค้ วาม เขา้ ใจระหว่างผู้เรยี นและผู้สอนได้โดยไมจ่ ําเปนต้องอยูใ่ นชนั เรยี นเสมอไป สามารถหาความ รูไ้ ด้จากประสบการณต์ รงนอกห้องเรยี นด้วย รูปแบบการเรยี นการสอนจึงนา่ จะเปนแบบ สว่ นบุคคลมากขนึ เพราะนักเรยี นแต่ละคนก็มีความสนใจทีแตกต่างกันไป ซงึ รูปแบบนีจะ ทําให้ครูคนเดียวสามารถแนะนําความรูค้ วามเขา้ ใจเกียวกับวิชาชพี อืนๆ ทีเกียวขอ้ งกับบท เรยี นนันๆได้ นอกจากการทีครูต้องปรบั เปลียนและออกแบบการเรยี นรูใ้ หมด่ ังกล่าวแล้วครู ยงั ต้อง ชว่ ยแก้ไขและชแี นะความรูท้ ังถกู ผิดทีผู้เรยี นได้รบั จากสอื ภายนอกรวมทังสอนให้ รูจ้ ักการคิดวิเคราะห์กลันกรองความรูอ้ ยา่ งมีวิจารณญาณ ก่อนนําขอ้ มูลมาใชอ้ ยา่ งถกู ต้อง และเหมาะสมเชน่ สรา้ งความรูส้ กึ รบั ผิดชอบต่อสงั คมให้เกิดขนึ แก่นักเรยี นโดยการบอกถึง ผลกระทบจากการเลือกใชข้ อ้ มูลขา่ วสารทีผิด เปนต้น 9
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: