รายงานการวิจัยในช้นั เรียน การเพ่มิ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคร่ืองมือวัดไฟฟ้าและ อเิ ลก็ ทรอนิกสโ์ ดยการเรยี นการสอนแบบเพอ่ื นชว่ ยเพื่อน Increasing academic achievement in Electrical and Electronic Measuring Instruments by Peer-to-Peer Teaching นางสาวเพ็ญนภา สุขยอ้ ย PENNAPA SUKYOY แผนกวิชาชา่ งอิเล็กทรอนิกส์ วทิ ยาลัยเทคนิคมีนบรุ ี สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธิการ
ชือ่ เรือ่ งวิจัย การเพิ่มผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาเครื่องมือวัดไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยการเรยี นการสอนแบบเพ่ือนช่วยเพื่อน ชือ่ ผ้วู ิจัย Increasing academic achievement in Electrical and Electronic วุฒิการศกึ ษา Measuring Instruments by Peer-to-Peer Teaching ปีการศกึ ษาท่ีวิจยั นางสาวเพญ็ นภา สุขยอ้ ย ประเภทงานวิจยั ค.อ.บ.โทรคมนาคม ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 การเรยี นการสอน บทคดั ย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลจากการจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนสอนเพื่อน ที่มีผล ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาเครื่องมือวัดไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ของนักเรียนสาขาวิชา อิเล็กทรอนกิ ส์วิทยาลัยเทคนิคมีนบรุ ี ปกี ารศึกษา 2563 และเพอ่ื ศึกษาสภาพในการรบั คำปรึกษาของ นักเรียนที่ผ่านการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนโดยมีกลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้น ปวส. 1/1 กลุ่ม 2 สาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ โดยทำการสุ่มนักเรียนที่ได้คะแนนสอบกลางภาคน้อยกว่า 10 คะแนนจำนวน 5 คน โดยเครอ่ื งมอื ทใี่ ช้ ได้แก่ ข้อสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบบันทกึ การ ให้และรับคำปรึกษาในกลุ่มที่มีการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนของนักเรียนและอาศัยการ วเิ คราะหข์ อ้ มลู โดยการหาคา่ เฉล่ยี สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานและการหาความสัมพนั ธ์ ผลวิจัยพบว่านักเรียนกลุ่มตัวอย่างที่มีคะแนนน้อย มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้นโดย วิธีการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน จำนวนทั้งสิ้น 4 คน จากทั้งหมด 5 คน คิดเป็นร้อยละ 80 ระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยของผู้ทำแบบทดสอบทั้งหมดคือ 12.8 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 39 (เกณฑ์ในการแสดงถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้นได้จากการมีคะแนนทดสอบหลังเรียนเท่ากับหรือ มากกวา่ กอ่ นเรยี นคิดเป็น 30% ขนึ้ ไป) การศกึ ษาสภาพในการให้และรบั คำปรึกษาของนักเรียนท่ีผ่าน การเรียนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนพบว่า นักเรียนมีการขอรับคำปรึกษาจากเพื่อน โดยหัวข้อส่วนใหญ่ใน รับคำปรึกษาคือ มัลติมิเตอร์แบบเข็มและดิจิตอลมัลติมิเตอร์ และพบกว่าการศึกษาความสัมพันธ์ ระหว่างจำนวนครั้งในการรับคำปรึกษากับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเครื่องมือวัดไฟฟ้าและ อิเล็กทรอนกิ ส์ของนักเรียนทีผ่ ่านการเรียนการสอนแบบเพ่ือนช่วยเพื่อนพบวา่ มีความสัมพันธ์กันอย่าง มนี ยั สำคญั ทางสถติ ิ I
Title Learning management as a peer to teach a friend Researcher Ms.Pennapa Sukyoy Semester 1/2563 Abstract This research aimed to study the results of peer-to-peer learning management. Affecting academic achievement in electrical and electronic instrumentation subjects. Of electronics students, Minburi Technical College, academic year 2020 and to study the condition of counseling of students who have passed peer-to-peer teaching, with the sample group being Vocational Grade 1/1 students, group 2 in electronics. By randomly 5 students who score less than 10 points in the midterm exam, the tools used are Academic achievement exam And the recording of giving and counseling in the peer-to-peer teaching group and based on the analysis of the data by finding averages Standard deviation and correlation The research found that the sample group with low scores. Have better academic achievement by means of peer-to-peer teaching A total of 4 out of 5 people, representing 80 percent. The average academic achievement of all test takers was 12.8 points, or 39 percent (the criterion for showing better academic achievement was from having a score 30% or more of post-study test before study) A study of the giving and counseling conditions of students who were through peer-to-peer schooling found that Students have to seek advice from friends. With most topics in counseling are Analog multimeters and digital multimeters It was found that the relationship between the number of counseling sessions and the learning achievement in electrical and electronic measuring instrument subjects of students who passed peer-to-peer instruction found that there was a significant relationship between the number of counseling sessions and the learning achievement in electrical and electronic measuring instruments statistics. II
กติ ติกรรมประกาศ รายงานวิจัยในช้ันเรียน เรื่อง การจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนสอนเพื่อน ของนักเรียนระดับประกาศนีย- บตั รวิชาชพี ช้ันสูง ชั้นปที ่ี 1 สาขาวิชาอิเลก็ ทรอนิกส์ วิทยาลยั เทคนคิ มีนบุรี ขอขอบคุณท่านผู้อำนวยการ นายทวีศักดิ์ คิ้วทอง รองผู้อำนวยการ นางสิริวรรณ โตนิลอาจารย์ใน แผนกอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี ซึ่งเป็นผู้ที่ให้คำปรึกษาและเกี่ยวข้องกับการดำเนินการวิจัย ให้ คำปรึกษา คำแนะนำ ชว่ ยสนบั สนนุ ข้อมลู ด้านต่างๆ ตลอดจนนักเรยี นระดบั ประกาศนยี บัตรวิชาชีพช้ันสูง ชั้น ปที ี่ 1 สาขาวชิ าอิเลก็ ทรอนิกส์ วิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี ปีการศกึ ษา 2563 ทใ่ี หค้ วามรว่ มมือในการเก็บข้อมูลใน การวจิ ยั ครง้ั น้ีได้อย่างครบถ้วน คุณค่าและประโยชน์อันพึงมีจากงานวิจัยฉบับนี้ ผู้วิจัยขอมอบแด่ บิดา มารดา ญาติพี่น้องของผู้วิจัย และผู้มีพระคุณทกุ ท่านด้วยความเคารพยิ่ง หากมขี อ้ ผดิ พลาดประการใด ผู้วิจัยขออภยั มา ณ ที่น้ีดว้ ย เพ็ญนภา สขุ ย้อย III
สารบัญ หนา้ บทคัดย่อ............................................................................................................................. .................I Abstract........................................................................................................ .....................................II กิตตกิ รรมประกาศ……………………………………………………………………………………………………………….III สารบญั …………………………………………………………………………………………………………………………..….IV สารบัญตาราง……………………………………………………………………………………………………………………..VI บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1 1.2 วัตถปุ ระสงค์ของงานวจิ ยั 1 1.3 สมมติฐานของงานวจิ ัย 2 1.4 กรอบแนวคดิ ในการวิจัย 2 1.5 ขอบเขตของงานวิจยั 2 1.6 คำนิยามศพั ทเ์ ฉพาะท่ีใช้ในการวิจยั 3 1.7 ประโยชน์ท่ีไดร้ บั 3 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยทีเ่ กี่ยวขอ้ ง 4 2.1 วธิ ีการเรยี นรู้แบบเพือ่ นช่วยเพื่อน 8 2.2 ทฤษฎีการเรยี นรทู้ ่เี ก่ยี วขอ้ ง 12 2.3 งานวิจัยท่เี กี่ยวข้อง บทที่ 3 วธิ ีดำเนินการวจิ ัย 14 3.1 รูปแบบการวิจัย 14 3.2 ประชากรที่ศึกษา 14 3.3 เทคนิคและวิธีการเลือกตัวอยา่ ง 14 3.4 เครอ่ื งมือทใี่ ช้ในการวิจยั 15 3.5 การสร้างและตรวจสอบเคร่ืองมือวจิ ยั 15 3.6 ขนั้ ตอนและวธิ ีการรวบรวมข้อมูล 16 3.7 การวเิ คราะห์ข้อมลู 16 3.8 สถิติทใี่ ช้ IV
สารบญั (ต่อ) 17 18 บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 19 4.1 ขอ้ มลู ของกลมุ่ นักเรยี นตัวอย่าง 4.2 ผลการศึกษาผลสัมฤทธท์ างการเรยี น 21 4.3 ผลการศึกษาสภาพในการรับคำปรึกษาของนักเรียน 21 22 บทท่ี 5 สรุปผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ 5.1 สรุปผลการวิจยั 23 5.2 อภปิ รายผล 24 5.3 ข้อเสนอแนะ 33 บรรณานกุ รม ภาคผนวก ประวัติผู้วจิ ยั V
สารบญั ตาราง ตารางท่ี หนา้ 4.1 แสดงรายชื่อและคะแนนสอบก่อนการใช้เทคนิคเพื่อนสอนเพื่อนของนักเรียนกลุ่มเป้าหมายที่ได้ คะแนนนอ้ ย………………………………………………………………………………………………………………………17 4.2 แสดงรายช่ือและคะแนนสอบก่อนการใช้เทคนิคเพื่อนสอนเพ่ือนของนักเรยี นกลมุ่ เป้าหมายท่ไี ด้ คะแนนมาก 18 4.3 แสดงการจบั คู่กนั ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างทไี่ ด้คะแนนน้อย และกลุ่มตวั อย่างทีไ่ ด้คะแนนมาก 18 4.4 แสดงผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นวิชาเคร่อื งมือวดั ไฟฟา้ และอเิ ล็กทรอนิกสข์ องนกั เรยี นกลมุ่ ได้ คะแนนน้อยที่ผ่านการเรยี นการสอนโดยวิธกี ารแบบเพ่ือนชว่ ยเพ่ือน 19 4.5 จำนวนคร้ังในการรับคำปรึกษาของนักเรยี นกลุม่ คะแนนนอ้ ยท่ผี ่านการเรยี นแบบเพ่ือนชว่ ยเพ่ือน 19 4.6 หัวขอ้ ในการใหค้ ำปรึกษาของนักเรียนทผี่ า่ นการเรียนแบบเพอื่ นช่วยเพ่ือน 20 4.7 แสดงค่าความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนครง้ั ในการรับคำปรึกษากับผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนรายวชิ า เครอื่ งมือวดั ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกสข์ องนกั เรยี นที่ผา่ นการเรยี นแบบเพ่ือนช่วยเพอื่ น 20 VI
บทที่ 1 บทนำ ความเปน็ มาและความสำคญั ของปญั หา ในการเรียนการสอนของสาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ ได้มีการกำหนดให้รายวิชาเครื่องมือวัดไฟฟ้าและ อิเล็กทรอนิกส์ (30105-1002) จัดเป็นรายวิชาที่อยู่ในกลุ่มวิชาบังคับของหลักสูตรอิเล็กทรอนิกส์ นักเรียนทุก คนจะต้องเรียนวชิ าน้ี วิชาเครื่องมอื วดั ไฟฟ้าและอิเลก็ ทรอนิกส์เป็นวิชาหนง่ึ ซึ่งมีความสำคัญสำหรับนักเรียนแผ สาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์โดยวัตถุประสงค์ของรายวิชานี้เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษา การใช้เครื่องมือวัดพื้นฐานต่างๆ การแปลงหน่วยพื้นฐาน ตลอดจนทักษะการใช้เครื่องมือเพื่อประยุกต์ใช้ใน รายวชิ าอืน่ ทเี่ กีย่ วข้อง ซงึ่ โดยเน้ือหาวิชาเคร่ืองมอื วดั ไฟฟ้าและอิเลก็ ทรอนิกส์เป็นวิชาทตี่ ้องอาศัยความรู้ ความ เข้าใจและมี การจ ำ อย่ างมากแล ะจากการสังเ กต การ เรี ยน การส อน พบว่ า นั กเ รียน บางคน ไม่สามาร ถ ทำ แบบฝึกหัด แบบทดสอบและข้อสอบได้ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ได้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดจากการท่ีนักเรียนบาง คนเรยี นรู้ได้ชา้ และมีความสามารถในการเรยี นรู้ มีพื้นฐานความรูท้ ่ีไมเ่ ท่ากนั ซงึ่ วธิ กี ารเรยี นการสอนแบบเพ่ือน ชว่ ยเพอ่ื น เป็นวิธีการหนง่ึ ทจี่ ะช่วยกระต้นุ ให้นกั เรียนมีแรงจูงใจ มีความสนใจและกระตอื รือรน้ ในการเรียนมาก ยง่ิ ขึ้น ดังนั้นผู้วิจยั จึงสนใจทีจ่ ะศึกษาผลสมั ฤทธิ์ทางการศึกษาวิชาเครือ่ งมือวัดไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของ นักเรียนสาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ ในกลุ่มที่ใช้การเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนเพื่อเป็นแนวทางในการ พัฒนาการเรียนการสอนวิชาเครื่องมือวัดไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ให้มีความหลากหลายในวิธีสอนมากยิ่งข้ึน และมีประสทิ ธิภาพในการเรียนการสอนดียิ่งขึ้นไป วัตถุประสงค์ของการวิจยั 1. เพ่อื ศึกษาผลจากการจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนสอนเพื่อน ที่มีผลต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนในวิชา เครื่องมือวัดไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ของนักเรียนปวส. 1/1 กลุ่ม 2 สาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ วทิ ยาลยั เทคนิคมีนบรุ ี ปีการศึกษา 2563 2. เพื่อศึกษาสภาพในการรับคำปรึกษาของนักเรยี นที่ผ่านการเรยี นการสอนแบบเพ่ือนช่วยเพอื่ น
2 สมมตฐิ านของการวิจยั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาเครื่องมือวัดไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ของนักเรียนปวส. 1/1 กลุ่ม 2 สาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้การเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนมีประสิทธิภาพก่อนเรียนมากกว่าหลัง เรยี น กรอบแนวคิด ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนรายวชิ าเคร่ืองมอื วดั ไฟฟ้าและ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ การเรียนการสอนแบบเพอ่ื นช่วย เพือ่ น ขอบเขตและแนวทางการวจิ ัย ขอบเขตด้านเนอ้ื หา : ผู้วจิ ัยได้กำหนดขอบเขตเน้อื หาของการวจิ ยั ดังน้ี เนอ้ื หาวชิ าเครื่องมือวดั ไฟฟา้ และอิเล็กทรอนิกส์ 30105-1002 ตามหลกั สตู รสาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลยั เทคนคิ มนี บรุ ี โดยมคี ำอธิบายรายวชิ า คือ ศึกษาและปฏบิ ตั ิเก่ียวกับการวัด หน่วยของการวัดทางไฟฟา้ ความเที่ยงตรง และความแม่นยำในการวัด หลักการทำงานโครงสรา้ ง การขยายย่านวดั การตรวจซอ่ มและ บำรุงรักษามลั ตมิ ิเตอร์ วตั ตม์ เิ ตอร์ ฟรเี ควนซีมเิ ตอร์ บริดจ์มเิ ตอร์ อิเลก็ ทรอนิกสม์ ัลตมิ ิเตอร์ ออสซลิ โลสโคป การใช้ทรานสดิวเซอร์และเครื่องมือวัดอิเล็กทรอนิกสใ์ นงานอุตสาหกรรม ขอบเขตดา้ นประชากร : นักเรยี นชนั้ ปวส.1/1 กลุ่ม 2 ภาคเรียนที่ 1/2563 สาขาวิชาอเิ ลก็ ทรอนิกส์ วิทยาลยั เทคนิคมนี บุรี จำนวน 15 คน ตัวแปรที่ศกึ ษา : การจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรยี นการสอนแบบเพ่อื นสอนเพื่อน ตัวแปรต้น คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเร ียน ในวิช าเคร ื่องมือว ัดไฟฟ้าแล ะอิเล็กทร อน ิ กส์ ข อง ตัวแปรตาม คอื นักเรยี นปวส.1/1 กลุม่ 2 วทิ ยาลัยเทคนคิ มีนบรุ ี ปีการศกึ ษา 2563 : สาขาวชิ าอเิ ล็กทรอนกิ ส์ วทิ ยาลยั เทคนคิ มนี บุรี ขอบเขตด้านสถานที่ ขอบเขตด้านระยะเวลา : กรกฎาคม 2563 – ตลุ าตม 2563
3 นิยามศพั ท์เฉพาะ วิธกี ารเรียนร้แู บบเพอ่ื นชว่ ยเพ่ือน หมายถงึ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยมีการจบั ครู่ ะหว่างผู้เรียนที่ มีผลการเรียนที่ดีกว่าในวิชาเครือ่ งมือวัดไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์กับผู้ท่ีมีผลการเรียนตำ่ กว่า เพื่อช่วยเหลือซึง่ กันและกนั ในขณะทำการเรียนการสอน วิชาเครื่องมือวัดไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการวัด หน่วย ของการวัดทางไฟฟ้า ความเที่ยงตรง และความแม่นยำในการวัด หลักการทำงานโครงสร้าง การขยายย่านวัด การตรวจซ่อมและบำรุงรักษามลั ติมิเตอร์ วตั ตม์ ิเตอร์ ฟรเี ควนซีมิเตอร์ บรดิ จม์ ิเตอร์ อิเล็กทรอนกิ ส์มัลติมิเตอร์ ออสซิลโลสโคป การใชท้ รานสดิวเซอร์และเคร่อื งมอื วัดอเิ ล็กทรอนกิ ส์ในงานอุตสาหกรรม ประโยชนท์ ไี่ ดร้ ับจากการวิจัย 1. นกั เรยี นมีความสนใจในการเรยี นและเข้าใจเนอ้ื หาวชิ าเคร่ืองมือวัดไฟฟ้าและอิเลก็ ทรอนิกส์มากขึ้น 2. เพอ่ื ใหผ้ ูส้ อนทราบถึง วิธกี ารและรูปแบบการสอนทชี่ ่วยให้ ผเู้ รยี นมคี วามเข้าใจ และสนุกในการเรยี นย่ิงขน้ึ เพ่อื นำไปพัฒนารูปแบบการสอนในรายวิชาอนื่ ต่อไป
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง การวิจัยเรื่อง การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าเครื่องมือวัดไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์โดยการเรียน การสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนของนักเรียนสาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าแนวคิดทฤษฎีและ งานวจิ ัยที่เก่ยี วขอ้ งโดยแบ่งเป็นหวั ขอ้ ดงั นี้ 1.วธิ ีการเรียนรู้แบบเพื่อนชว่ ยเพือ่ น (Peer-Assisted Learning Strategies) 1.1 ความหมายกลวิธกี ารเรียนรู้แบบเพ่ือนชว่ ยเพื่อน 1.2 รูปแบบกลวิธีการเรียนร้แู บบเพ่อื นชว่ ยเพ่ือน 1.3 หลักการใช้กลวธิ กี ารเรียนรู้แบบเพ่ือนช่วยเพือ่ น 2. ทฤษฎกี ารเรียนรทู้ ีเ่ ก่ยี วข้อง 2.1 กฏการเรียนรูห้ ลัก 3 กฏ (Three Major Laws of Learning) 2.2 กฎการเรียนรยู้ อ่ ย 5 กฎ (Five Subordinate Laws) 3. งานวจิ ัยทีเ่ กีย่ วข้อง 3.1 ดา้ นการศึกษาผลสัมฤทธ์ขิ องการใชก้ ลมุ่ เพื่อนชว่ ยเพ่ือน 3.2 ดา้ นการพฒั นาแผนการจัดการเรียนรู้ 3.3 ด้านการใชก้ จิ กรรมในการพัฒนาทกั ษะ 1.วธิ กี ารเรยี นรู้แบบเพื่อนชว่ ยเพอื่ น (Peer-Assisted Learning Strategies) 1.1 ความหมายกลวธิ กี ารเรียนรู้แบบเพ่ือนช่วยเพอ่ื น กิจกรรมกลวิธกี ารเรียนรู้แบบเพือ่ นช่วยเพ่ือน เปน็ แนวความคดิ ท่ีเปดิ โอกาสใหน้ ักเรียนมีโอกาสเรียนรู้ ด้วยตนเองเป็นการกระจายบทบาทการสอนจากครูไปสู่นักเรียนนับว่าเป็นวิธีการสอนที่ยึดนักเรียนเป็น ศูนยก์ ลาง และ ได้มีผู้กลา่ วถงึ ความหมายไว้ดังน้ี ชูศรี วงศ์รัตนะ และคณะ (อ้างใน ประนอม ดอนแก้ว. 2550, หน้า 12) กล่าวว่า การเรียนรู้แบบ เพื่อนช่วยเพื่อน (Peer-Assisted Learning) เป็นการเรียนรู้โดยให้นักเรียนช่วยเพื่อนซึ่งกันและกัน แทนที่ครู จะเป็นผ้สู อนโดยตรงเป็นการสอนกันตัวต่อตวั ท่ีเพ่ือนอาจชว่ ยเหลือแนะนำเพื่อนโดยตรง หรือใช้ส่ือการเรียนรู้ อื่นมาประกอบ เช่น แบบฝึก หนังสือเรียนเล่มเล็ก บทเรียนสำเร็จรูป วีดีทัศน์คอมพิวเตอร์ช่วยสอน และการ เรยี นการสอนแบบเพอื่ นช่วยเพื่อนซ่ึงมีลักษณะเปน็ การเรยี นรู้ระหวา่ งกนั ถ้าครูผู้สอนและผเู้ รียนคนุ้ เคยกับการ เปลี่ยนแปลงเรยี นร้ซู ่งึ กนั และกนั โดยครูเป็นที่ปรกึ ษาและคอยดแู ลนกั เรียนตลอดเวลา สุคนธ์ สนิ ธพานนท์ และคณะ (อา้ งใน ประนอม ดอนแก้ว. 2550, หนา้ 12) กลา่ วว่า กลวิธกี ารเรียนรู้ แบบเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นวิธีการสอนวิธีหนึ่งที่สืบทอดเจตนารมณ์ของปรัญชาการศึกษาที่ว่า learning by doing ตามแนวทฤษฎีของ John Dewey โดยเน้นการให้นักเรียนมีการรวมกลุ่มเพื่อการทำงานร่วมกันหรือ
5 การปฏิบัติในกจิ กรรมการเรยี นการสอน อาจกลา่ วไดว้ า่ การสอนแบบเพ่ือนช่วยสอนน้นั เปน็ การสง่ เสริมระบอบ ประชาธิปไตย และยังมุ่งใหผ้ ู้เรยี นท่มี ผี ลสมั ฤทธ์ิอยู่ในเกณฑ์ตำ่ ไดร้ ับประโยชนจ์ ากเพื่อนนักเรียนท่ีเก่งกว่าหรือ มีผลสมั ฤทธใ์ิ นการเรียนอยใู่ นเกณฑ์สงู Imel (อา้ งใน ประนอม ดอนแก้ว. 2550, หน้า 12) กล่าวว่า กลวธิ กี ารเรยี นรแู้ บบเพ่ือนช่วยเพ่อื น หมายถึง กระบวนการเรยี นการสอนทใ่ี ห้ผเู้ รียนจับคู่สอนกันเอง Thomas (อ้างใน ประนอม ดอนแก้ว. 2550, หน้า 12) กล่าวว่า เป็นกระบวนการเรียนการสอนท่ใี ห้ ผู้เรียนที่มีความสามารถทางการเรียนสูงกว่าและได้รับการฝึกฝน รวมทั้งอยู่ภายใต้ความควบคุมจากครูผู้สอน ชว่ ยเหลอื ผูเ้ รยี นคนอืน่ ในการเรียน โดยเป็นผ้เู รยี นทีอ่ ยู่ระดับชนั้ เดยี วกนั Topping (อ้างใน ประนอม ดอนแก้ว. 2550, หน้า 13) กล่าวว่า กลวิธีการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วย เพื่อน หมายถึง การจัดกิจกรรมการสอนเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้และทักษะโดยการให้ความช่วยเหลือสนับสนุน จากเพื่อนร่วมชั้นที่ได้จากการจับคู่กัน โดยผู้เรียนทั้งคู่ช่วยเหลือกันเรียนและได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันโดยอาศัย การกระทำ ผู้เรียนมสี ว่ นร่วมในการเรยี น โดยรบั บทบาทเป็นนกั เรยี นผ้สู อนและนักเรียนผเู้ รียน อีกท้ังยังเป็นวิธี สอนที่ต้องอาศัยการวางแผนขั้นตอนการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ รวมถึงมีการฝึกหัดนักเรียนผู้สอนให้ทำ หนา้ ที่ของตนอย่างมปี ระสิทธภิ าพ Kohn and Vajda (1975, p. 379-390) ได้กล่าวสนับสนุนว่า วิธีสอนแบบใช้เพื่อนช่วยหมายถึง วิธี สอนท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมการเรียนเป็นคู่หรือกลุ่มย่อย โดยร่วมกันทำกิจกรรมทุกทักษะ เป็น การเปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นได้ชว่ ยเหลือกันและมปี ฏิสมั พันธ์กัน ได้ใชภ้ าษาในการส่ือสารเพอื่ เจรจาหาความหมาย ดว้ ยตนเอง ครูเป็นเพียงผู้ทำหน้าทีใ่ ห้ความชว่ ยเหลือให้คำแนะนำและช่วยจัดกระบวนการเรยี นการสอนในชั้น เรยี น โดยใหผ้ ู้เรียนรบั ผดิ ชอบกระบวนการเรียนเอง Maheady, Mallette, Harper, Sacca and Pomerantz (1994, p. 271) กล่าวถงึ วิธีการเรียนรแู้ บบ ใช้เพื่อนช่วยว่า เป็นวิธีสอนอีกวิธีทางเลือกหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมความรู้ความสามารถทาง วิชาการ (Academic Performance) แก่ผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้เนื่องจากเป็นวิธีสอนที่มีการ จดั กิจกรรมเพื่อกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม และสง่ ผลใหเ้ กดิ ความกระตือรือร้น ในการเรียนจากความหมายดังกล่าวข้างตน้ กลวิธกี ารเรยี นรแู้ บบเพื่อนชว่ ยเพื่อนหมายถึง การจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ โดยมีการจับคู่ระหว่างผู้เรียนที่มีทักษะการเคลื่อนไหวทางกายในการเล่นวอลเลย์บอลดีกว่ากับผู้ที่มี ทักษะการเคลื่อนไหวทางกายในการเล่นวอลเลย์บอลต่ำกว่า เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันในขณะทำกิจกรรม โดยผู้เรียนที่ทำหน้าที่เป็นนักเรียนผู้สอน ซึ่งได้รับการฝึกอบรมแนวทางการเคลื่อนไหวทางกาย ทักษะแต่ละ กิจกรรม การเสริมแรงทางบวก การให้กำลังใจ การให้รางวัล เพื่อช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในชั้นเรียนและ ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดี ต่อการเรียน รวมถึงมีการจัดทีมเพื่อแข่งขัน โดยผู้เรียนแต่ละคู่ทำกิจกรรมตาม แบบฝึกทักษะการเคลื่อนไหวทางกายในการเล่นวอลเลย์บอลจำนวน 10 กิจกรรม ผู้เรียนที่ทำหน้าที่เป็น นกั เรียนผูส้ อนเปน็ ผู้อธิบายและสาธิตให้กบั นักเรยี นผู้เรียนรวมทั้งนำฝกึ ทักษะแตล่ ะกจิ กรรมเม่ือนักเรียนผู้สอน เพิ่มทักษะแต่ละกิจกรรม ให้กับตนเอง และนักเรียนผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทักษะใหม่ให้กับตนเองด้วยแล้ว
6 ผู้เรียนแต่ละคู่ผลัดเปลี่ยนสลับบทบาทกันเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทำหน้ าที่เป็นทั้งนักเรียนผู้สอนและ นักเรยี นผ้เู รยี น 1.2 รูปแบบกลวธิ กี ารเรยี นร้แู บบเพื่อนชว่ ยเพ่ือน นักการศกึ ษาหลายคนได้ประมวลการสอนท่ีมีแนวคิดจากกลวิธีสอนการเรียนรแู้ บบเพื่อนช่วยเพ่ือนไว้ หลากหลาย รายละเอยี ดดงั น้ี Miller, Barbetta and Heron (อ้างใน ประนอม ดอนแก้ว. 2550, หน้า 14) ได้กล่าวถึง รูปแบบ กลวธิ กี ารเรียนรู้แบบเพ่ือนช่วยเพอ่ื นไวห้ ลายรปู แบบดังน้ี 1. การสอนโดยเพ่อื นร่วมชน้ั (Classwide-Peer Tutoring) เปน็ การสอนทีเ่ ปดิ โอกาสให้ผ้เู รียนทั้งสอง คนที่จับคู่กันมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน โดยให้ผู้เรียนทั้งสองสลับบทบาทเป็นทั้งนักเรียนผู้สอนที่คอย ถ่ายทอดความรใู้ หแ้ กน่ กั เรียนผเู้ รียน และนักเรียนผู้เรยี นซงึ่ เปน็ ผู้ทีไ่ ดร้ ับการสอน 2. การสอนโดยเพื่อนต่างระดับชั้น (Cross-Age Peer Tutoring) เป็นการสอนที่มีการจับคู่ระหว่าง ผูเ้ รยี นทีม่ ีระดับอายแุ ตกต่างกัน โดยใหผ้ เู้ รยี นท่ีมีระดับอายุสูงกวา่ ทำหน้าท่เี ป็นผู้สอนและให้ความรู้ ซึ่งผู้เรียน ทั้งสองคนไมจ่ ำเป็นต้องมีความสามารถทางการเรียนที่แตกตา่ งกนั มาก 3. การสอนโดยการจับคู่ (One-to-One Tutoring) เป็นการสอนที่ให้ผูเ้ รียนท่ีมีความสามารถทางการ เรียนสูงกว่าเลือกจับคู่กับผู้เรียนที่มีความสามารถทางการเรียนต่ำกว่าด้วยความสมัครใจของตนเอง แล้วทำ หนา้ ท่สี อนในเรอื่ งที่ตนมคี วามสนใจ มคี วามถนดั และมีทักษะทดี่ ี 4. การสอนโดยบุคคลทางบ้าน (Home-Based Tutoring) เป็นการสอนท่ีให้บุคคลที่บ้านของผู้เรียนมี ส่วนร่วมในการสอน ให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาความรู้ความสามารถแก่บุตรหลานของตนระหว่างที่บุตร หลานอย่ทู ่บี ้าน Maheady (1994, p. 269-289) ได้รวบรวมกลวธิ ีการเรยี นรูแ้ บบเพือ่ นชว่ ยเพื่อน ดังนี้ 1. การสอนโดยเพื่อนต่างระดับชั้น (Cross-Age Tutoring) เป็นการสอนที่มีการจับคู่ระหว่างผู้เรียนที่ มรี ะดบั อายุแตกต่างกัน โดยให้ผู้เรยี นท่ีอยู่ในระดับช้ันสูงกว่าหรือผเู้ รียนท่ีมีอายุกวา่ ซ่ึงอยู่ภายใต้การดูแลและ ความควบคุมของครูผสู้ อน เปน็ ผู้รบั ผดิ ชอบ ช่วยเหลือและถ่ายทอดความรู้แก่ผู้เรียนท่ีมีความสามารถทางการ เรยี นนอ้ ยกว่า 2. การสอนโดยการสลับบทบาท (Reverse-Role Tutoring) เป็นการสอนที่ให้ผู้เรียนจับคู่กันทำ กิจกรรม โดยเป็นการจับคู่ระหว่างผูเ้ รยี นท่ีมีระดบั อายุมากกว่าแต่เป็นผู้ที่มคี วามสามารถทางการเรียนต่ำกวา่ หรือเป็นผู้ที่มีความบกพร่องในการเรียนรู้ กับผู้เรียนที่อายุน้อยกว่า แต่มีระดับสติปัญญาที่อยู่ในระดับปกติ ผเู้ รียนทงั้ สองจะได้สลับบทบาทกันเป็นท้ังนักเรียนผูส้ อนซ่ึงเปน็ ผู้ที่ถ่ายทอดความรูแ้ ละนักเรียนผู้เรียนซึ่งเป็นผู้ ท่ไี ด้รบั การสอน การสอนนยี้ ังเป็นการสอนท่ีส่งเสรมิ ให้ผู้เรียนเกดิ ความรูส้ ึกมองเหน็ คุณค่าในตนเอง 3. การสอนโดยเพื่อนร่วมชั้น (Classwide-Peer Tutoring) เป็นการสอนที่มีการจัดกิจกรรมโดยครู แบ่งผู้เรียนออกเป็นสองทีม ภายในแต่ละทีมมีการจับคู่กันเพื่อร่วมกันทำกิจกรรม ผู้เรียนแต่ละคู่จะได้สลับ บทบาทกันเปน็ ทั้งนักเรยี นผู้สอนและนักเรยี นผู้เรียนในขณะทำกิจกรรม หากนักเรียนผู้เรียนทำสิ่งใดได้ถูกต้อง
7 จะไดร้ ับการเสริมแรงจากนักเรียนผู้สอนเพ่ือนเป็นการสรา้ งกำลังใจแกน่ ักเรียนผู้เรียน และการสอนนี้ยังเป็นวิธี สอนที่สร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียนอีกด้วย เนื่องจากมีการแข่งขันระหว่างทีม มีการประกาศทีมที่ชนะและมอบ ของรางวัลให้ จากรูปแบบการสอนเพื่อนช่วยเพื่อนดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่ารูปแบบกลวิธีการเรียนรู้แบบเพื่อน ช่วยเพื่อนมีหลากหลายรูปแบบ ผู้สอนสามารถเลือกรูปแบบกลวิธีการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับระดับ ความสามารถผู้เรียนไดโ้ ดยคำนงึ ถึงศักยภาพของผเู้ รียนในแต่ละคนแตล่ ะระดับช้ัน ซงึ่ ในที่น้ีผู้ศึกษาได้ปรับเอา รูปแบบกลวิธีการเรียนรูแ้ บบเพื่อนช่วยเพื่อนสอนโดยการจับคู่ (One-to-One Tutoring) ซึ่งเป็นการสอนทีใ่ ห้ ผู้เรียนที่มีความสามารถทางการเรียนสูงกว่าเลือกจับคู่กับผู้เรียนที่มีความสามารถทางการเรียนต่ำก ว่าด้วย ความสมัครใจของตนเอง แล้วทำหนา้ ท่ีสอนในเร่ืองท่ตี นมีความสนใจ มคี วามถนดั และมที กั ษะทีด่ ี 1.3 หลกั การใชก้ ลวธิ กี ารเรียนรู้แบบเพื่อนชว่ ยเพ่อื น Bender (2002, p. 115-139) กล่าวถึงหลักการใช้กลวิธีการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อว่าการให้เพื่อน ช่วยเพ่ือนจะมีประสิทธภิ าพสงู สดุ นนั้ ควรดำเนนิ ไปตามหลกั เกณฑ์ ดงั นี้ 1) เพื่อนผู้สอนจะต้องมีทักษะที่จำเป็น เช่น ความเข้าใจในจุดประสงค์ของการสอนจำแนกได้ว่า คำตอบที่ผิดและคำตอบที่ถูกต่างกันอย่างไร รู้จักการให้แรงเสริมแก่เพื่อนผู้เรียน รู้จักบันทึกความก้าวหน้าใน การเรยี นของเพอื่ นผู้เรยี น และมนุษยสัมพันธ์ทดี่ ีกบั เพอื่ นผเู้ รยี น 2) กำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมให้ชัดเจน ทั้งนี้เพื่อให้บุคคลทั้งสองชว่ ยกันบรรลุเป้าหมายในการ เรยี น 3) ครเู ปน็ ผ้กู ำหนดขนั้ ตอนในการสอนให้ชัดเจนและให้เพ่ือนผเู้ รียนดำเนินการตามขนั้ ตอนเหลา่ น้ัน 4) สอนทีละข้นั หรือทลี ะแนวคิดจนกว่าเพื่อนผเู้ รยี นเขา้ ใจดีแลว้ จึงสอนขน้ั ตอ่ ไป 5) ฝึกให้เพื่อผู้สอนเข้าใจพฤติกรรมการแสดงออกของเพื่อนผู้เรียนด้วยว่าพฤติกรรมใดแสดงว่าเพื่อน ผู้เรียนไมเ่ ข้าใจ ทัง้ นี้จะได้แก้ไขถูกตอ้ ง 6) เพื่อนผู้สอนควรบันทึกความก้าวหน้าในการเรียนของเพื่อนผู้เรียนตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมท่ี กำหนดไว้ 7) ครผู ู้ดแู ลรบั ผดิ ชอบจะต้องติดตามผลการสอนของเพอ่ื นผสู้ อนและการเรยี นของเพื่อนผูเ้ รยี นด้วยว่า ดำเนินการไปในลกั ษณะใด มปี ญั หาหรอื ไม่ 8) ครูให้แรงเสรมิ แก่ทงั้ 2 คนอยา่ งสม่ำเสมอ 9) ช่วงเวลาในการให้เพื่อนช่วยเพื่อนไม่ควรใช้เวลานานเกินไป งานวิจัยระบุว่าระยะเวลาที่มี ประสทิ ธภิ าพในการให้เพ่ือนช่วยเพ่อื นในระดับช้นั ประถมศกึ ษาอยู่ระหว่าง15– 30 นาที 10) เพื่อนผู้สอนมีการยกตัวอย่างประกอบการสอน จึงจะช่วยให้เพื่อนผู้เรียนเรียนเข้าใจเนื้อหาได้ดี ยิง่ ข้ึน
8 2. ทฤษฎีการเรยี นรูท้ เ่ี กี่ยวข้อง กฎการเรยี นรู้ (Law of Learning) Thorndike ไดส้ รปุ กฎของการเรียนร้อู อกเป็น 2 กฎใหญ่ ๆ ดงั ต่อไปนี้ (เตมิ ศกั ด์ิ คทวณชิ 2547, หนา้ 183-187) 2.1 กฏการเรยี นรู้หลกั 3 กฏ (Three Major Laws of Learning) ได้แก่ ก. กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) พฤติกรรมการเรียนรู้ จะเกิดขึ้นได้ถา้ บคุ คลน้นั มีความพร้อมทางร่างกายและความพร้อมทางจิตใจ ซึ่งหมายถึงความพึงพอใจที่จะเรียนรู้ในสิ่งนั้น ๆ กฎแห่ง ความพรอ้ มยังสามารถแบง่ เป็นกฎย่อยไดด้ งั นี้ 1) เมอ่ื บุคคลมคี วามพร้อมจะกระทำกจิ กรรมหรือเรียนรู้ ถ้าไดก้ ระทำหรือเรียนรู้ตาม ความตอ้ งการบคุ คลนนั้ จะเกิดความพึงพอใจจนทำให้เกดิ การเรยี นรู้ขึ้น 2) เมื่อบุคคลมีความพร้อมจะกระทำกิจกรรมหรือเรียนรู้ ถ้าไม่ได้กระทำหรือเรียนรู้ ตามความต้องการบคุ คลนน้ั จะเกดิ ความไม่พอใจ ไม่สบายใจ และหงดุ หงิดใจ 3) เม่อื บุคคลไมพ่ รอ้ มจะกระทำกิจกรรมหรือเรียนรู้ ถ้าถูกบังคบั ใหก้ ระทำหรอื เรียนรู้ จะทำให้เกดิ ความคบั ขอ้ งใจ ไม่สบายใจ เครยี ด และเกดิ ความไมพ่ อใจขน้ึ ได้ ข. กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) เมื่อบุคคลเกิดการเรียนรู้แล้วควรได้รับการฝึกฝน หรือกระทำซำ้ ๆ อยเู่ สมอ ๆ เพ่ือสร้างความสมั พนั ธ์เชื่อมโยงระหวา่ งสงิ่ เรา้ กบั การตอบสนองใหแ้ น่นแฟ้นมั่นคง ย่ิงขน้ึ กฎนแี้ ยกเป็น 2 กฎยอ่ ยดงั นี้ 1) กฎแหง่ การใช้ (Law of Use) หมายความว่า พฤติกรรมการเรียนรู้ใด ๆก็ตามเมื่อ เกิดขึ้นแล้วได้รับการกระทำซ้ำ ๆ อยู่เรื่อย ๆ จะเกิดความชำนาญและเป็นความเคยชินพฤติกรรมน้ันจะคงทน เปน็ ระยะเวลายาวนาน ย่งิ ฝกึ มากเท่าใดยิง่ ถูกตอ้ งมากขึน้ เท่ากนั 2) กฎแห่งการไม่ได้ใช้ (Law of Disuse) พฤติกรรมการเรียนรู้ใด ๆ ก็ตามที่เกิดข้ึน แล้วมีการเว้นระยะเวลานานและขาดการฝึกฝน พฤติกรรมเหล่านั้นจะลดประสิทธิภาพลงเรื่อย ๆ และมี แนวโนม้ ทพี่ ฤติกรรมการเรยี นรนู้ ้นั จะคอ่ ย ๆ เลอื นหายไปไดใ้ นท่ีสดุ ค. กฏแห่งผลการตอบสนอง (Law of Effect) กฏนี้มีใจความสำคัญที่ว่าพฤติกรรมใดก็ตาม เมื่อแสดงการตอบสนองแล้วได้รับความสุข ความพึงพอใจ และความภูมิใจร่างกายจะเลือกพฤติกรรมน้ัน กลับมาตอบสนองอีกครั้งเมื่อพบกับสิ่งเร้าหรือสถานการณ์เดิมแต่ถ้าพฤติกรรมใดก็ตามที่แสดงการตอบสนอง แล้วได้รับความทุกข์ ความไม่พอใจ และความผิดหวัง มีแนวโน้มว่าพฤติกรรมนั้นจะลดการตอบสนองลงจน หายไปในที่สุด ดังนั้นการใช้กฎข้อนี้จงึ ควรจะเกิดขึ้นหลังจากพฤติกรรมการเรียนรู้ได้เกิดขึ้นแล้ว หรือขณะอยู่ ในระยะของการฝึกฝนฝึกหัด ซึ่งจะมีผลต่อการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองให้แน่น แฟ้นยิ่งขึ้น พฤติกรรมการเรียนรูก้ ็จะมีความมั่นคงถาวรมากขึ้นด้วย กฎข้อนี้ของ Thorndike ได้รับความนิยม อย่างแพร่หลายโดยเฉพาะในวงการศึกษา ด้วยการใช้การเสริมแรงแก่ผู้เรียนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ แม้กระทั่ง Skinner เองก็นำกฎข้อนี้ไปอธิบายทฤษฎีการเรียนรู้ของตนโดย Skinner เรียกกฎแห่งผลการตอบสนองนี้ว่า เป็นการเสรมิ แรง (Reinforcement) นน่ั เอง
9 2.2 กฎการเรียนรู้ย่อย 5 กฎ (Five Subordinate Laws) เป็นกฎที่สนับสนุนกฎหลักแบ่งเป็น 5 กฏ ย่อย ไดแ้ ก่ ก. กฎแห่งการแสดงพฤติกรรมตอบสนองหลายรูปแบบ (Multiple Responses) เมื่อบุคคล พบกับส่ิงเร้าหรือสถานการณ์ที่เป็นปัญหา บุคคลจะแสดงพฤติกรรมตอบสนองออกมาหลายรูปแบบ และจะ แสดงพฤติกรรมตอบสนองไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพบพฤติกรรมที่สามารถแก้ปัญหาได้ถูกต้อง พฤติกรรม ตอบสนองจึงจะยุติลง จากนั้นบุคคลจะค่อยๆ ลดพฤติกรรมตอบสนองอื่น ๆ จนกระทั่งเหลือวิธีที่ถูกต้องท่ี สามารถแก้ปัญหาได้ดที สี่ ดุ เพยี งวธิ ีเดียว และเลือกวิธีการแก้ปญั หานน้ั ตลอดไปกับสถานการณ์น้นั ๆ ข. กฎแห่งการเตรียมพร้อมหรือทัศนคติ (Set of Attitude) Thorndike เชื่อว่าการที่บุคคล จะสามารถเรียนรู้สิ่งใด ๆ ได้ดีนั้น จะต้องเกิดความพร้อมหรือมีทัศนคติที่ดีต่อสิ่งนั้นเสียก่อน จึงจะทำให้การ เรียนรู้เกิดข้ึนได้งา่ ย และประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี มากกวา่ บคุ คลที่ขาดความพร้อมหรือมีทัศนคติท่ีไม่ ดีตอ่ ส่ิงท่ีจะเรยี นรู้ ค. กฎการเลือกพฤติกรรมตอบสนอง (Law of Partial Activity) เมื่อบุคคลเผชิญกับสิ่งเร้า หรือพฤติกรรมที่เป็นปัญหา บุคคลจะเลือกแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เห็นว่าเหมาะสมที่สุดเพื่อใช้ในการ ตอบสนองสถานการณ์นั้น และเมื่อค้นพบพฤติกรรมตอบสนองที่แก้ปัญหาได้แล้ว ก็จะหยุดพฤติกรรมลองผิด ลองถกู โดยหันไปเลอื กพฤติกรรมที่ได้ลองกระทำไปแล้ว จนกระทั่งค้นพบวิธที ่ีดีท่ีสุดในการแกป้ ัญหาได้แท้จริง บางครั้งถ้าวิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้องนั้นมีหลายวิธี บุคคลก็จะเลือกวิธีที่สะดวกและเสียเวลาน้อยที่สุดในการ แก้ปัญหานั้น ๆ เช่น ถ้าผู้เรียนได้พบวิธีแก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์ข้อหนึ่งได้หลายวิธี ผู้เรียนนั้นจะเลือกวิธีที่ งา่ ยทส่ี ดุ ในการแกป้ ญั หาโจทยข์ ้อนั้น ง. กฎแห่งการตอบสนอง โดยอาศัยประสบการณ์ที่มีความคล้ายคลึงหรือเกี่ยวข้องกัน (Law of Response Analogy) เมื่อบุคคลประสบกับสถานการณ์ที่เป็นปัญหาขึ้นบุคคลนั้นมีแนวโน้มที่จะนำเอา ประสบการณ์จากการแก้ปัญหาในอดีตที่มคี วามคล้ายคลงึ ใกล้เคียง หรือเกี่ยวข้องกันมาใชใ้ นการแก้ปัญหากับ สถานการณท์ ี่เป็นปัญหาใหม่ แตอ่ าจไม่ใช่เป็นการแสดงพฤติกรรมใหมท่ ั้งหมด ดงั นน้ั ในการเรียนรเู้ ร่ืองใด ๆ ก็ ตาม ถ้าเปน็ เรอ่ื งทม่ี ีความคลา้ ยคลึงกับเร่อื งท่ีเคยเรยี นรู้มาแลว้ ผูเ้ รียนจะเรยี นรูไ้ ดด้ ีและเร็วกวา่ เรื่องที่ยงั ไม่เคย เรียนรูม้ าเลย จ. กฏแห่งการถ่ายโยงจากสิ่งเร้าเก่าไปสู่สิ่งเร้าใหม่ (Law of Association Shifting) บุคคล จะเกิดการเรียนรู้ได้ง่ายและเร็วขึ้น ถ้าบุคคลนั้นมองเห็นสิ่งเร้าใหม่และสิ่งเร้าที่เคยประสบมีความสัมพันธ์กัน จะทำให้การเรียนรู้ส่ิงเรา้ ใหม่กระทำได้ง่ายขึ้น เนอื่ งจากผเู้ รยี นจะเกดิ การเชื่อมโยงสิ่งเร้าเก่าและสิ่งเร้าใหม่เข้า ด้วยกนั ทำใหม้ องเห็นทางในการแก้ปญั หาได้รวดเร็วขึน้ จากข้อความดังกล่าวข้างต้นสรุปได้วา่ การเรียนรู้เกิดจากการสร้างความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างสิ่ง เร้า (Stimulus) กบั พฤติกรรมการตอบสนอง (Response) ในระยะเวลาพอสมควร กล่าวคือ เม่ือมสี ถานการณ์ หรือสิ่งที่เป็นปัญหาเกิดขึ้น ร่างกายจะเกิดความพยายามที่จะแก้ปัญหานั้น โดยแสดงพฤติกรรมตอบสนอง ออกมาหลาย ๆ รูปแบบในลักษณะแบบลองผิดลองถูก (Trial and Error) จนกว่าจะพบวิธีที่ดีและเหมาะสม
10 ที่สุดในการแก้ปัญหา ซึ่งร่างกายจะเลือกพฤติกรรมตอบสนอง ที่พอใจที่สุดนั้นไว้เพียงวิธีเดียว และจะนำ พฤติกรรมตอบสนองดังกล่าวไปเชื่อมโยงกับสิ่งเร้าหรือปัญหานั้น ทำให้เกิดการเรียนรู้ขึ้นว่า ถ้ามีสิ่งเร้าหรือ ปัญหานั้น ทำให้เกิดการเรียนรู้ขึ้นว่า ถ้ามีสิ่งเร้าหรือปัญหาเช่นนี้อีกจะแสดงพฤติกรรมอบสนองเช่นไร สิ่ง สำคัญในการเรียนรู้ที่ Thorndikeให้ความสำคัญอย่างมาก ได้แก่ แรงเสริม (Reinforcement) คือความพึง พอใจที่ร่างกายได้รับ เพราะจะทำให้การเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับพฤติกรรมตอบสนองมีความแน่นแฟ้นมา กยงิ่ ขน้ึ นอกจากนี้ สุรางค์ โค้วตระกูล (2545, หน้า 238 – 247) กล่าวว่า คนเรามีปฏิสมั พันธ์ (Interact) กับ สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราอยู่เสมอ การเรียนรู้เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้ง ผู้เรียนและสิ่งแวดล้อมมีอทิ ธิพลต่อกันและกัน พฤติกรรมของคนเรา ส่วนมากจะเป็นการเรียนรู้โดยการสังเกต (Observational Learning) หรือการเลียนแบบจากตัวแบบ (Modeling) สำหรับตัวแบบไม่จำเป็นต้องเป็นตวั แบบที่มีชีวิตเท่านั้น แต่อาจจะเป็นตัวแบบสัญลักษณ์ เช่น ตัวแบบที่เห็นในโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์ หรือ อาจจะเป็นรูปภาพการ์ตูนหนังสือกไ็ ด้ นอกจากนี้คำบอกเลา่ ด้วยคำพูดหรอื ข้อมลู ที่เขียนเป็นลายลกั ษณ์อักษรก็ เป็นแบบได้ การเรียนรู้โดยการสังเกตไม่ใช่การลอกแบบจากสิ่งทสี่ ังเกต โดยผ้เู รียนไม่คดิ คุณสมบตั ิของผู้เรียนมี ความสำคัญ Bandura (1977, p. 125-139) ได้อธบิ ายกระบวนการท่ีสำคัญในการเรียนรโู้ ดยการสงั เกตหรอื การ เรียนรโู้ ดยตัวแบบวา่ มที ั้งหมด 4 อย่างคือ 1. กระบวนการความใส่ใจ (Attention) ความใส่ใจของผู้เรียนเป็นสิ่งสำคัญมากถ้าผู้เรียนไม่มีความ สนใจการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการเลียนแบบก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นการเรียนรู้แบบนี้ความใส่ใจจึงเป็นส่ิง แรกทผี่ ูเ้ รยี นจะต้องมี Bandura กล่าวว่า ผ้เู รียนจะต้องรับร้สู ่วนประกอบท่ีสำคญั ของพฤติกรรมของผู้ที่เป็นตัว แบบ องค์ประกอบที่สำคัญของตัวแบบที่มีอิทธิพลต่อความใส่ใจของผู้เรียนมีหลายอย่าง เช่น เป็นผู้ที่มีเกียรติ สูง (High Status) ความสามารถสูง (High Competence) หน้าตาดี รวมทั้งการแต่งตัว การมีอำนาจที่จะให้ รางวัลหรือลงโทษ คุณลักษณะของผู้เรียนก็มีความสัมพันธ์กับกระบวนการใส่ใจ ตัวอย่างเช่น วัยของผู้เรียน ความสามารถทางด้านพุทธิปัญญา ทักษะทางการใช้มือและส่วนต่าง ๆ ของร่างกายรวมทั้งตัวแปรทาง บุคลิกภาพของผูเ้ รยี น ตัวแปรเหล่านีม้ กั จะเป็นส่ิงจำกดั ขอบเขตของการเรียนรโู้ ดยการสงั เกต 2. กระบวนการการจดจำ (Retention) การที่ผู้เรียนหรือผู้สังเกตสามารถที่จะเลียนแบบหรือแสดง พฤตกิ รรมเหมอื นตวั แบบได้ก็เป็นเพราะผ้เู รียนบนั ทึกสงิ่ ท่ตี นสงั เกตจากตวั แบบไวใ้ นความจำระยะยาว ผสู้ ังเกต ที่สามารถอธิบายพฤติกรรม หรือการกระทำของตัวแบบด้วยคำพูดหรือสามารถมีภาพพจน์สิ่งท่ีตนสังเกตไว้ใน ใจจะเป็นผู้ที่สามารถจดจำสิ่งที่เรียนรู้โดยการสงั เกตได้ดีกว่าผู้ที่เพียงแต่ดูเฉย ๆ หรือทำงานอื่นในขณะที่ดูตัว แบบไปด้วย สรุปแลว้ ผสู้ ังเกตทส่ี ามารถระลกึ ถึงส่ิงที่สังเกตเป็นภาพพจน์ในใจ (Visual Imagery) และสามารถ เข้ารหัสด้วยคำพูดหรือถ้อยคำ (Verbal Coding) จะเป็นผู้ที่สามารถแสดงพฤติกรรมเลียนแบบจากตัวแบบได้ แมว้ ่าเวลาจะผา่ นไปนาน ๆ และนอกจากน้ี ถา้ ผูส้ งั เกตหรือผ้เู รียนมีโอกาสทจี่ ะได้เห็นตวั แบบแสดงสิ่งที่จะต้อง เรยี นรู้ซ้ำก็จะเปน็ การชว่ ยความจำใหด้ ียงิ่ ขึ้น
11 3. กระบวนการการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวอย่าง (Reproduction) กระบวนการการแสดง พฤติกรรมเหมือนตัวแบบเป็นกระบวนการที่ผู้เรียน แปรสภาพ (Transform) ภาพพจน์ (Visual Image) หรือ สิ่งท่ีจำเป็นการเขา้ รหัสเป็นถ้อยคำ (Verbal Coding) ในทสี่ ุดแสดงออกมาเปน็ การกระทำหรือแสดงพฤติกรรม เหมือนกับตวั แบบ ปจั จยั ทีส่ ำคัญของกระบวนการน้ีคือ ความพรอ้ มทางด้านรา่ งกายและทักษะท่ีจำเป็นจะต้อง ใชใ้ นการเลยี นแบบของผูเ้ รยี นถ้าหากผู้เรียนไมม่ ีความพร้อมกจ็ ะไม่สามารถท่ีจะแสดงพฤตกิ รรมเลียนแบบได้ 4. กระบวนการการจูงใจ (Motivation) แรงจูงใจของผู้เรียนที่จะแสดงพฤติกรรมเหมอื นตัวแบบท่ตี น สังเกต เนื่องมาจากความคาดหวังว่า การเลียนแบบจะนำประโยชน์มาให้เช่น การได้รับแรงเสริมหรือรางวัล หรืออาจจะนำประโยชนบ์ างส่ิงบางอย่างมาให้ รวมท้งั การคิดวา่ การแสดงพฤตกิ รรมเหมือนตวั แบบจะทำให้ตน หลีกเลี่ยงปัญหาได้ ในห้องเรียนเวลาครูให้รางวัลหรือลงโทษพฤติกรรมของนักเรียนคนใดคนหนึ่งนักเรียนทั้ง ห้องกจ็ ะเรียนรู้โดยการสังเกตและเป็นแรงจูงใจให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมหรือไม่แสดงพฤติกรรม เวลานักเรียน แสดงพฤติกรรมดี ซ่ึงสรุปได้ว่าปัจจัยทส่ี ำคญั ในการเรยี นรูโ้ ดยการสังเกต ไดแ้ ก่ 1. ผู้เรยี นจะตอ้ งมีความใสใ่ จ (Attention) ที่จะสงั เกตตวั แบบ ไมว่ า่ เปน็ การแสดงโดยตวั แบบ จริงหรือตัวแบบสัญลักษณ์ ถ้าเป็นการอธิบายด้วยคำพูดผู้เรียนก็ต้องตั้งใจฟังหรือถ้าจะต้องอ่านคำอธิบายก็ จะตอ้ งมีความตั้งใจท่จี ะอา่ น 2. ผูเ้ รียนจะต้องเข้ารหัสหรือบันทกึ สง่ิ ทีส่ งั เกตหรือสงิ่ ทีร่ บั รู้ไว้ในความจำระยะยาว 3. ผูเ้ รียนจะต้องมโี อกาสแสดงพฤตกิ รรมเหมือนตวั แบบ และควรจะทำซำ้ เพ่ือจะให้จำได้ 4. ผเู้ รยี นจะตอ้ งรจู้ กั ประเมินพฤติกรรมของตนเองโดยใช้เกณฑ์ (Criteria) ที่ตง้ั ขึน้ ดว้ ยตนเอง หรอื โดยบคุ คลอ่ืน จากทฤษฎีการเรียนรู้ดังกล่าวข้างต้นผู้ศึกษานำแนวคิด และกระบวนการจัดการเรียนรู้ในเรื่องการ สรา้ งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งส่ิงเร้า (Stimulus) กับพฤตกิ รรมการตอบสนอง (Response) โดยใหผ้ ู้เรียนได้แสดง พฤตกิ รรมตอบสนองออกมาหลายๆ รปู แบบ ส่งิ สำคญั ในการเรียนรู้คือ การให้การเสรมิ แรง (Reinforcement) เพราะจะทำให้การเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับพฤติกรรมตอบสนองมีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ประยุกต์ใช้ใน การปรับพฤติกรรมจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผูเ้ รยี นและสิ่งแวดลอ้ ม ซึ่งทั้งผู้เรยี นและส่ิงแวดล้อมมีอิทธิพล ต่อกนั และกัน ปรบั ใชก้ ับกระบวนจัดการเรยี นรู้ให้นกั เรียนแสดงพฤติกรรมการกระทำหลาย ๆ ตัวอย่างซ่ึงเป็น บุคคล และแบบฝึกทักษะใหค้ ำอธิบายควบคู่ไปกับการสาธิตทักษะแต่ละกิจกรรมช้ีแนะขั้นตอนของการเรียนรู้ โดยการสังเกตแก่นักเรียน จัดเวลาใหน้ ักเรียนมีโอกาสที่แสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ เพื่อจะได้ดูว่านักเรยี น สามารถทจี่ ะกระทำโดยการเลยี นแบบหรือไม่ถ้านักเรยี นทำได้ไม่ถูกต้องอาจจะต้องแก้ไขวิธสี อนหรืออาจจะแก้ ที่ตัวผู้เรียน ให้แรงเสริมแก่นักเรียนที่สามารถเลียนแบบได้อย่างถูกต้อง เพื่อจะให้นักเรียนมีแรงจูงใจและเป็น ตัวอย่างแก่นักเรยี น กล่าวโดยสรุปได้ว่า กระบวนการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่สำคัญมากในการดำเนินชีวิตซึ่งกว่าคนเรา จะเกิดการเรียนรู้ได้ดีและแสดงออกทางการกระทำนั้น จะต้องผ่านขั้นตอนและองค์ประกอบมากมาย รวมทั้ง
12 เกี่ยวเนื่องกับบุคคลหลายฝ่าย ได้แก่ บทบาทของครู ผู้ปกครองตัวเด็กเอง การนำหลักการเรียนรู้แบบการ สังเกตหรอื เลยี นแบบจากตวั แบบ ซง่ึ อาจจะเปน็ ได้ทงั้ ตัวบคุ คลจริง ๆ เชน่ ครู เพอื่ น 3. งานวิจยั ทีเ่ กย่ี วข้อง 3.1 ดา้ นการศกึ ษาผลสัมฤทธ์ิของการใช้กลุ่มเพ่ือนชว่ ยเพือ่ น งานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านการศึกษาผลสัมฤทธิ์ของการใช้กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนนั้น นุชนาฏ เทพพิทักษ์ ศักด์ิ (2542) ได้ศึกษาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านเร็ว วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วย วิธีการเรียนรู้แบบกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนและวิธีสอนแบบปกติ ผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์และความสามารถใน ด้านการอา่ นเรว็ วชิ าภาษาไทยชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 5 ของนักเรยี นที่เรยี นด้วยวิธสี อนแบบกลุ่มเพื่อนช่วยเพ่ือน และวิธีสอนแบบปกติ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยนักเรียนที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบ กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนมีผลสัมฤทธิ์สูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบปกติ และประภาพร อันสงคราม (2545) ศึกษาการพัฒนาการสอนและแบบฝึกทักษะภาษาไทย การสะกดคำและแจกลูกคำด้วยวิธีการเรียนรู้ แบบกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 และเพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการ สอนและแบบฝึกทักษะภาษาไทย ผลการศึกษาพบว่า แผนการสอนและแบบฝึกทักษะภาษาไทย การสะกดคำ ด้วยวิธีการเรียนรู้แบบกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่สร้างขั้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 83.40/86.16 และมีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ .49 แสดงว่าผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 49 นอกจากน้ี ชา ระวี ศรีนนท์ (2546) ศึกษาผลของการฝึกอบรมโดยใช้กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนเพื่อพัฒนาความสามารถในการ ป้องกนั การเสพยาบ้า ของนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรียนเทศบาล 4 วดั บางแพรกเหนอื จงั หวดั นนทบรุ ี ปกี ารศกึ ษา 2546 และเปรยี บเทียบผลของการฝึกอบรมความสามารถในการป้องกันการเสพยาบ้าของนักเรียน กลุ่มเสี่ยงจากกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน ผลการวิจัยพบว่าหลักจากได้รับการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาความสามารถใน การฝึกอบรมการป้องกนั การเสพยาบา้ นกั เรยี นกลุม่ เพ่ือนชว่ ยเพ่ือนมีความสามารถในการฝกึ อบรมเพื่อพัฒนา ความสามารถในการป้องกันการเสพยาบ้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และหลังได้รับการ ฝึกอบรมเพื่อพัฒนาความสามารถในการป้องกันการเสพยาบ้าจากกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน นักเรียนกลุ่มเสี่ยงมี ความสามารถในการปอ้ งกันการเสพยาบา้ เพิ่มขน้ึ อย่างมีนยั สำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3.2 ดา้ นการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้นั้นอารยันต์ แสงนิกุล (2546) ศึกษาการ พัฒนาแผนการเรียนรู้แบบกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องขุนช้างขุนแผนช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการศึกษาพบว่า แผนการเรียนรู้มีประสิทธิภาพเท่ากับ 88.00/86.86 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ทตี่ ้งั ไว้ นกั เรียนกล่มุ เรียนเกง่ ปานกลาง และอ่อน มีคะแนนเฉลี่ยหลงั เรียนเพ่ิมขน้ึ จากกอ่ นเรยี นเท่ากับ 27.14, 28.86, 29.14 คะแนนตามลำดับ และมีค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการเรียนรู้เท่ากับร้อยละ 81 นักเรียนมผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นหลงั เรียนสูงกว่าก่อนเรยี นอย่างมนี ัยสำคัญทางสถิติที่ระดบั .01 ดังนนั้ จึงควร นำการจัดกิจกรรมแบบกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนไปใช้กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในเรื่องอื่นต่อไป และ
13 สุนันทา โพธิ์ชัย (2547) ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน เรื่อง เศษส่วนวิชา คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผลการศึกษาพบว่า แผนการจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน เรื่อง เศษส่วน มีประสิทธิภาพ 80.80/76.80 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ และมีค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการ เรยี นร้แู บบกลมุ่ เพ่ือนชว่ ยเพอ่ื น มคี า่ เท่ากบั .49 3.3 ดา้ นการใชก้ ิจกรรมในการพฒั นาทกั ษะ งานวิจัยท่ีเก่ียวข้องด้านการใช้กิจกรรมในการพัฒนาทักษะนน้ั จนั ทร์เพญ็ บำรุง (2547) ได้ศึกษาการ พัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิคเพื่อนช่วยเพื่อนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียน บา้ นโคกตะเคียน อำเภอกาบเชิง จังหวดั สุรนิ ทร์ ผรู้ ่วมศึกษาค้นคว้าประกอบด้วยครูผสู้ อนภาษาองั กฤษจำนวน 2 คน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 เก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมด 3 วงจร วงจรละ 4 ชั่วโมง ผลการศึกษา พบว่านักเรียนสามารถพูดโต้ตอบโดยใช้ประโยคและออกเสียงได้ถูกต้องเป็นบางประโยคตามสถานการณ์ นักเรียนผู้นำมีความมั่นใจพร้อมช่วยเพื่อนมากขึ้น นักเรียนให้ความสนใจและสนุกสนานในการร่วมกิจกรรม เรียบเรยี งเนื้อหาในการพูดเป็นไปด้วยความเรยี บร้อยและ ศิวาณา พันธรุ ัตน์ (2549) ศกึ ษาการปรับพฤติกรรม ภาวะไม่อยู่นิ่งและสมาธสิ ัน้ ของเด็กออทิสติกในห้องเรยี นเรียนร่วม โดยใช้เทคนิคเพื่อนสอนเพื่อน โรงเรียนวดั ชา่ งเคย่ี น พบวา่ กรณีศกึ ษามีพฤติกรรมการว่งิ ออกนอกแถวขณะรว่ มกิจกรรมเคารพธงชาติลดลงหลังใช้เทคนิค เพื่อนสอนเพือ่ น สรุปงานวจิ ัยในประเทศดังกลา่ ว การใชก้ ลวิธกี ารเรยี นรู้แบบเพ่อื นชว่ ยเพื่อน เปน็ กระบวนการเรยี นรู้ที่ สามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนให้มีศักยภาพที่สูงขึ้นนอกจากนี้ยังปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่พึง ประสงค์ของผู้เรียนให้ดีขึ้น นักเรียนผู้นำมีความมั่นใจพร้อมช่วยเพื่อนมากขึ้น และผู้เรียนให้ความสนใจ กระตือรือร้น รวมทั้งสนุกสนานในการร่วมกิจกรรม ทำให้บรรยากาศการเรียนรู้เป็นที่น่าพึงพอใจ ทำให้ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผู้เรียนเพิ่มข้ึน
บทที่ 3 วธิ ีการดำเนนิ การวิจยั การวิจัยเรื่อง การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเครื่องมือวัดไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์โดยการเรียน การสอนแบบเพือ่ นชว่ ยเพอ่ื นของนกั เรียนแผนกชา่ งอิเลก็ ทรอนิกส์ ผู้วิจยั ไดด้ ำเนนิ การดงั นี้ 1. รูปแบบการวจิ ัย 2. ประชากรท่ีศึกษา 3. เทคนคิ และวิธกี ารเลอื กตวั อย่าง 4. เครอื่ งมอื ท่ใี ช้ในการวจิ ยั 5. การสร้างและตรวจสอบเครือ่ งมือวิจัย 6. ขั้นตอนและ วิธกี ารรวบรวมขอ้ มลู 7. การวเิ คราะหข์ ้อมูล 8. สถติ ทิ ีใ่ ช้ รปู แบบการวิจัย การวจิ ัยคร้งั นเ้ี ปน็ การวิจัยเชงิ ปฏบิ ัตกิ าร (Action Research) ประชากรทีศ่ ึกษาไดแ้ ก่ กลุ่มประชากรเปา้ หมาย คอื นกั เรยี น ปวส. 1/1 กลุ่ม 2 ภาคเรียนที่ 1/2563 สาขาวชิ าอิเล็กทรอนิกส์ วทิ ยาลยั เทคนคิ มีนบุรี จำนวน 15 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ ทำการเลือกนักเรยี นแบบสุม่ โดยนำนักเรียนทีม่ ีคะแนนมาก 5 คน และนักเรียนท่มี ี คะแนนนอ้ ยจำนวน 5 คน (คัดเลอื กนักเรียนท่ไี ด้คะแนนมากและน้อย จากคะแนนสอบกลางภาควิชาเคร่ืองมือ วัดไฟฟา้ และอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ภาคเรียนท่ี 1/2563) เคร่ืองมือทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย 1. ข้อสอบกลางภาค เพื่อแบ่งนักเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม (กลุ่มที่ได้คะแนนมากและกลุ่มที่ได้ คะแนนนอ้ ย) 2. ขอ้ สอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน 3. แบบบันทึกการให้และรับคำปรึกษาในกลุ่มที่มีการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนของ นักเรียน
15 การสร้างและตรวจสอบเคร่อื งมือวิจัย 1) ขอ้ สอบกลางภาค ผู้วจิ ัยจดั ทำขึน้ เองโดยครอบคลุมเน้ือหากลางภาคตามรายวิชาทสี่ อน ซงึ่ มีเนื้อหา คือ การวัด หน่วยของการวัดทางไฟฟา้ ความเที่ยงตรง และความแม่นยำในการวัด หลักการทำงานโครงสร้าง การขยายยา่ นวัด การตรวจซอ่ มและบำรงุ รักษามัลตมิ เิ ตอร์ แบบสอบถามนีม้ ีลักษณะเป็นแบบปรนยั เลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก จะมีคำตอบถูกเพียง 1 คำตอบจำนวน 30 ข้อ การให้คะแนน ถ้าตอบถูกให้ 1 คะแนน ถ้าตอบผดิ ให้ 0 คะแนน 2) ข้อสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน ผ้วู ิจยั จดั ทำขนึ้ เองโดยครอบคลุมเน้อื หาปลายภาคตามรายวิชา ทส่ี อน ซง่ึ มเี น้ือหาคือ วตั ต์มเิ ตอร์ ฟรีเควนซีมิเตอร์ บริดจม์ ิเตอร์ อเิ ล็กทรอนิกสม์ ัลตมิ ิเตอร์ ออสซิลโลสโคป การใชท้ รานสดิวเซอร์และเคร่ืองมือวดั อิเล็กทรอนิกส์ในงานอุตสาหกรรม แบบสอบถามน้มี ีลกั ษณะเปน็ แบบปรนัยเลือกตอบ 4 ตวั เลือก จะมีคำตอบถูกเพยี ง 1 คำตอบจำนวน 30 ข้อ การให้คะแนน ถ้าตอบถกู ให้ 1 คะแนน ถา้ ตอบผิดให้ 0 คะแนน 3) การตรวจสอบคณุ ภาพของเคร่อื งมอื การหาความตรงเชิงเน้ือหา (Content validity) ผู้วิจัยนำข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน ทำการพิจารณา ตรวจสอบความตรงของเนือ้ หา ความครอบคลุม ความชัดเจนและความเหมาะสมของภาษาที่ใช้ แล้วนำไปหา ดัชนีความสอดคล้องระหวา่ งข้อคำถามและวัตถุประสงค์ (Item-Objective Congruence Index: IOC) การหาความเชือ่ ม่ัน (Reliability) นำข้อสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน ไปทดลองใช้กับนักเรียน ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุม่ ตัวอย่าง ที่ศึกษา จำนวน 30 ราย แล้วนำการตอบแบบสอบถามมาหาค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สูตร Kuder–Richardson (KR-20) ไดค้ า่ ความเทยี่ ง (Reliability) เทา่ กบั 0.737 ขน้ั ตอนและ วธิ กี ารรวบรวมขอ้ มูล การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยไดด้ ำเนินการตามข้ันตอน ดงั น้ี 1) เก็บรวมรวมคะแนนกลางภาควิชาเครื่องมือวัดไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ภาคการศึกษาที่ 1/2563 เพอ่ื ใชแ้ ยกนักเรยี นออกเป็นสองกลุ่ม คือกล่มุ ทีไ่ ด้คะแนนมากและกลมุ่ ทไ่ี ด้คะแนนน้อย 2) ประชุมนักเรียนห้องที่มีการเรยี นการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน อธิบายขั้นตอนและหน้าที่ ของนักเรยี นแต่ละกล่มุ 3) บนั ทึกการเข้ารว่ มกจิ กรรมเพอื่ นช่วยเพ่อื นของนักเรียน 4) ประเมินผลการเรียนการสอน
16 การวเิ คราะหข์ ้อมูล ผู้วิจัยทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อวิเคราะห์หาค่าทาง สถิตดิ งั นี้ 1) วิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนการเรียนและหลังการเรียนของนักเรียนจากการเรียนการ สอนแบบเพื่อนสอนเพื่อนโดยค่าสถิติร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 2) วิเคราะห์สภาพในการให้และรับคำปรึกษาของนักเรียนที่ผ่านการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วย เพื่อน โดยหาคา่ ความถแ่ี ละรอ้ ยละ 3) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนครั้งในรับคำปรกึ ษากับผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรยี น ท่ีผ่านการเรยี นการสอนแบบเพื่อนชว่ ยเพือ่ น โดยใชค้ า่ ความสัมพนั ธ์ สถิตทิ ่ใี ช้ในการวจิ ัย - ค่าเฉลี่ย x = ∑X N x = ค่าเฉลี่ย ∑X = ผลรวมของขอ้ มลู ทง้ั หมด N = จำนวนข้อมลู ท้งั หมด - สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน N ∑ (xi- x )2 S.D. = i=1 N S.D. = ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน x = คะแนนท่ีได้ x = คา่ เฉล่ยี ∑ = ผลรวม N = จำนวนขอ้ มูลท้งั หมด - คา่ ความสมั พันธ์ โดยใชค้ ่าสถติ ิ Pearson correlatio
บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลจากการจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนสอนเพื่อน ที่มีผลต่อ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นในวิชาเครื่องมอื วัดไฟฟ้าและอเิ ลก็ ทรอนิกส์ ของนักเรียน ปวส 1/1 กลุ่ม 2 ภาคเรยี นท่ี 1/2563 แผนกอิเล็กทรอนิกส์ วทิ ยาลยั เทคนคิ มีนบุรี ปีการศึกษา 2563 และเพ่อื ศึกษาสภาพในการให้และรับ คำปรึกษาของนักเรียนที่ผ่านการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน ดังนั้นเพื่อตอบวัตถุประสงค์ผู้วิจัยเสนอ ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ จำนวน 3 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1 ขอ้ มลู ของนกั เรยี นกล่มุ ตวั อยา่ ง ส่วนที่ 2 ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเครื่องมือวัดไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ผ่านการเรียนการ สอนโดยวิธีการแบบเพ่ือนช่วยเพ่อื น สว่ นที่ 3 ผลการศึกษาสภาพในการรบั คำปรึกษาของนักเรยี นท่ผี า่ นการเรียนการสอนแบบเพ่ือนชว่ ยเพือ่ น โดยมรี ายละเอยี ดแตล่ ะสว่ นดังตอ่ ไปน้ี สว่ นท่ี 1 ขอ้ มลู ของนักเรียนกลุม่ ตวั อย่าง ข้อมลู ของนกั เรียนกลมุ่ ตวั อยา่ งทำไดโ้ ดยการคัดเลือกนักเรยี นกลุ่มเปา้ หมายปวส. 1/1 กลมุ่ 2 โดยทำการเลือก นักเรียนกลมุ่ ตวั อยา่ งออกเป็นสองกลมุ่ คือ กลุม่ ทไ่ี ด้คะแนนน้อย และกลุ่มทไี่ ดค้ ะแนนมากมา 5 คน ซง่ึ แสดงไว้ ในตารางที่ 1-2 ดังน้ี ตารางที่ 4.1 แสดงรายชื่อและคะแนนสอบก่อนการใช้เทคนคิ เพื่อนสอนเพื่อนของนักเรียนกลุ่มเป้าหมายที่ได้ คะแนนน้อย ลำดบั ที่ ช่ือ – นามสกลุ ผลคะแนนสอบกลางภาค (Pre – test) 1 นางสาวอดิษา สาสิม 8 2 นายเอกปรญิ ญ์ จ้อยรงุ่ 9 3 นางสาวอรสา ปา่ สนธิ 7 4 นายณฐั วุฒิ กางพรม 7 5 นายอธภัทร สขุ รุ่งเรอื ง 9 คะแนนเฉลีย่ (Mean) 8
18 จากตารางที่ 1 พบว่าประชากรกลุ่มตัวอย่างที่ได้คะแนนสอบน้อยมีคะแนนสอบเฉลี่ย คือ 8 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน) และมสี ว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานคือ 1 ตารางที่ 4.2 แสดงรายชื่อและคะแนนสอบก่อนการใช้เทคนิคเพื่อนสอนเพือ่ นของนักเรียนกลุ่มเป้าหมายที่ได้ คะแนนมาก ลำดับที่ ชือ่ – นามสกุล ผลคะแนนสอบกลางภาค (Pre-test) 1 นายกติ ติพัฒน์ ทองสขุ มาก 25 2 นายธรี เมธ อ่นุ ใจ 27 3 นายรตั นพล จนุ่ คต 23 4 นายวชริ วุฒิ ใจม่นั 26 5 นายณฐั พล เรืองบุตร 24 คะแนนเฉลี่ย (Mean) 25 จากตารางที่ 2 พบว่าประชากรกลุ่มตัวอย่างที่ได้คะแนนสอบมากมีคะแนนสอบเฉลี่ย คือ 43.42 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน) และมสี ว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานคือ 1.58 ตารางที่ 4.3 แสดงการจับคู่กันของนักเรียนกลุ่มตัวอยา่ งท่ีไดค้ ะแนนน้อย และกล่มุ ตัวอย่างที่ได้คะแนนมาก ลำดบั ที่ ชื่อ – นามสกุล (คะแนนน้อย) ชื่อ – นามสกลุ (คะแนนมาก) 1 นางสาวอดษิ า สาสิม นายกิตตพิ ฒั น์ ทองสุขมาก 2 นายเอกปรญิ ญ์ จอ้ ยรุง่ นายธรี เมธ อุ่นใจ 3 นางสาวอรสา ป่าสนธิ นายรัตนพล จุ่นคต 4 นายณฐั วฒุ ิ กางพรม นายวชริ วุฒิ ใจมั่น 5 นายอธภัทร สุขรงุ่ เรอื ง นายณฐั พล เรอื งบตุ ร ส่วนที่ 2 ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเครื่องมือวัดไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ผ่าน การเรยี นการสอนโดยวิธกี ารแบบเพือ่ นช่วยเพอื่ น ตารางที่ 4.4 แสดงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเครื่องมือวัดไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของนักเรียนกลุ่มได้ คะแนนน้อยท่ผี ่านการเรยี นการสอนโดยวธิ กี ารแบบเพอื่ นช่วยเพือ่ น การวิเคราะห์ข้อมลู - เกณฑใ์ นการแสดงถงึ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นดีขึน้ จากการวิจยั ทางผ้วู จิ ัยจะวดั จากการมคี ะแนนทดสอบหลัง เรยี นเท่ากับหรือมากกว่าก่อนเรยี นคดิ เป็น 30% ข้นึ ไปเม่ือเทยี บกับคะแนนเต็มทั้งหมด
19 - ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นต่ำของการวิจัย = ความแตกต่างระหว่างคะแนนทดสอบหลงั เรียนกบั ก่อนเรียนอยู่ที่ 0- 29% เมื่อเทียบกบั คะแนนเตม็ ลำดบั ท่ี Pre-test Post-test ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น (30 คะแนน) (30 คะแนน) (คะแนนหลงั เรียน–ก่อน) (คดิ เปน็ รอ้ ยละเม่อื เทยี บกบั คะแนนเตม็ ) 18 20 12 40 29 22 13 43.33 37 19 12 40 47 23 16 53.33 59 20 11 18.33 ค่าเฉล่ีย 8 20.8 12.8 39 จากตารางที่ 4 พบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนสอบกลางภาค (Pre-test) คือ 8 คะแนน, ค่าเฉลี่ยของ คะแนนสอบปลายภาค (Post-test) คอื 20.8 คะแนน (จากคะแนนเตม็ 30 คะแนน) ในด้านผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นพบว่า นกั เรียนกลุม่ ตวั อยา่ งทไ่ี ดค้ ะแนนน้อย มีผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน ท่ีดขี น้ึ จากการใชเ้ ทคนิคการสอนแบบเพื่อนสอนเพ่อื น มีจำนวนทัง้ สิ้น 4 คน จากท้ังหมด 5 คน (คิดเปน็ ร้อยละ 80) ระดับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเฉลีย่ ของผู้ทำแบบทดสอบ คือ 12.8 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 39 (เกณฑ์ใน การแสดงถึงผลสัมฤทธ์ิทางการเบรียนดีข้นึ ไดจ้ ากการมีคะแนนทดสอบหลังเรียนเท่ากบั หรือมากกว่าก่อนเรียน คิดเป็น 30% ขน้ึ ไป) สว่ นท่ี 3 ผลการศึกษาสภาพในการรับคำปรกึ ษาของนกั เรียนท่ีผา่ นการเรียนการสอนแบบเพอ่ื นช่วยเพ่ือน ตารางที่ 4.5 จำนวนครง้ั ในการรบั คำปรึกษาของนักเรียนกลุ่มคะแนนน้อยที่ผา่ นการเรยี นแบบเพ่ือนช่วยเพ่ือน จำนวนครงั้ ของการรับคำปรกึ ษา ความถ่ี รอ้ ยละ 0 00 1 1 20 2 1 20 3 2 40 4 1 20 รวม 5 100 จากตารางท่ี 5 พบว่า นักเรยี นกลุ่มท่ีได้คะแนนน้อยไดร้ ับคำปรึกษาจากเพื่อนท่ีได้คะแนนมากร้อยละ 100 โดยจำนวนคร้ังของการรับคำปรึกษามากทีส่ ุดคอื 3 ครง้ั คิดเปน็ ร้อยละ 40
20 ตารางท่ี 4.6 หวั ขอ้ ในการให้คำปรึกษาของนกั เรยี นที่ผ่านการเรียนแบบเพ่ือนชว่ ยเพ่ือน หัวข้อการให้คำปรกึ ษา ความถี่ รอ้ ยละ โครงสร้างมาตรวัดไฟฟ้ากระแสตรง 2 13.3 มัลติมเิ ตอร์แบบเข็ม 5 33.3 ดจิ ิตอลมัลตมิ ิเตอร์ 4 26.7 ออสซิลโลสโคป 4 26.7 จากตารางที่ 6 พบว่าหัวข้อที่ให้คำปรึกษามากที่สุดได้แก่ มัลติมิเตอร์แบบเข็ม คิดเป็นร้อยละ 33.3 รองลงมาคือ ดจิ ติ อลมัลตมิ ิเตอร์ และ ออสซิลโลสโคป รอ้ ยละ 26.7 และน้อยทส่ี ดุ คือ โครงสรา้ งมาตรวัดไฟฟ้า กระแสตรง คดิ เป็นรอ้ ยละ 13.3 ตารางที่ 4.7 แสดงค่าความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนคร้ังในการรับคำปรึกษากบั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนรายวิชา เคร่ืองมอื วดั ไฟฟา้ และอเิ ล็กทรอนิกส์ของนกั เรียนท่ผี า่ นการเรยี นแบบเพื่อนช่วยเพ่อื น ลำดับที่ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น จำนวนครง้ั คา่ ความสัมพนั ธ์* (ร้อยละ) การรบั คำปรึกษา 1 40 3 0.309* 2 43.33 3 3 40 2 4 53.33 4 5 18.33 1 จากตารางที่ 7 พบว่านักเรียนกลุ่มตัวอย่างทุกคนร้อยละ 100 ได้รับคำปรึกษาอย่างน้อย 1 ครั้ง และ ความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนครั้งในการรับคำปรึกษากับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเครื่องมือวัดไฟฟ้าและ อิเล็กทรอนิกส์ของนักเรียนที่ผา่ นการเรยี นแบบเพื่อนช่วยเพ่ือน เท่ากับ 0.309
บทท่ี 5 สรุปผลการวิจยั อภปิ รายผลและขอ้ เสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลจากการจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนสอนเพื่อน ที่มีผลต่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาเครื่องมือวัดไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ของนักเรียนสาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลยั เทคนิคมนี บุรี ปีการศกึ ษา 2563 และเพอื่ ศกึ ษาสภาพในการรับคำปรึกษาของนักเรียนทผ่ี ่านการเรียน การสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนโดยมีกลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้น ปวส. 1/1 กลุ่ม 2 สาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ ห้อง 1 โดยทำการสุ่มนักเรียนที่ได้คะแนนสอบกลางภาคนอ้ ยกวา่ 10 คะแนนจำนวน 5 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ ขอ้ สอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น และแบบบนั ทกึ การให้และรบั คำปรึกษาในกลุ่มที่มีการเรียนการสอน แบบเพื่อนช่วยเพื่อนของนักเรยี นและอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานและ การหาความสัมพนั ธ์ สรปุ ผลการวจิ ัย จากการวจิ ยั สามารถสรปุ ผลไดด้ งั น้ี 1. นักเรียนกลุ่มตัวอย่างที่มีคะแนนน้อย มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้นโดยวิธีการ เรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน จำนวนทั้งสิ้น 4 คน จากทั้งหมด 5 คน คิดเป็นร้อยละ 80 ระดบั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนเฉลย่ี ของผทู้ ำแบบทดสอบทั้งหมดคือ 12.8 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 39 (เกณฑ์ในการแสดงถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้นได้จากการมีคะแนนทดสอบหลังเรียน เท่ากับหรือมากกวา่ กอ่ นเรยี นคิดเปน็ 30% ขึน้ ไป) 2. การศึกษาสภาพในการให้และรับคำปรึกษาของนักเรียนที่ผ่านการเรียนแบบเพื่อน ช่วยเพื่อนพบว่า นักเรียนมีการขอรับคำปรึกษาจากเพื่อน โดยหัวข้อส่วนใหญ่ในรับคำปรึกษาคอื มัลติมิเตอร์แบบเข็มและดิจิตอลมัลติมิเตอร์ และพบกว่าการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างจำนวน ครั้งในการรับคำปรกึ ษากับผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเครื่องมือวัดไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกสข์ อง นักเรียนที่ผ่านการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนพบว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ การอภิปรายผล จากการวิจัยสามารถอภปิ รายผลได้ดังนี้ 1. การเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้กับ นักเรียนที่มีคะแนนน้อยซ่ึงเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้โดยพบว่านักเรียนกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อย ละ 80 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับหลักการแนวคิดการเรียนรูข้ องมนุษย์ที่มีอยู่ หลายแนวคิดแตล่ ะแนวคดิ ต่างก็มีมุมมองที่แตกตา่ งกันออกไป นักจิตวทิ ยากลุม่ พฤติกรรมนิยมมองว่า
22 เดก็ เกดิ การเรียนรู้ โดยการเลยี นแบบจากสิ่งที่ได้ยนิ ได้ฟังได้เห็นจากคนรอบข้าง Bandura (1977, p. 125-139) มีความเห็นว่า คนเรามีปฏิสัมพันธ์ (Interact) กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราอยู่เสมอ การเรียนรู้เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งผู้เรียนและสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพล ต่อกันและกัน พฤติกรรมของคนเรา ส่วนมากจะเป็นการเรียนรู้โดยการสังเกต (Observational Learning) หรือการเลียนแบบจากตัวแบบ (Modeling) โดยผ่านกระบวนการเสริมแรงทั้งทางบวก และทางลบ ซึ่งเป็นการนำหลักการเรียนรู้ การวางเงื่อนไขผลการกระทำมาประยุกต์ใช้ในการปรับ พฤติกรรม Kohn and Vajda (1975, p. 379-390) ได้กล่าวสนับสนุนว่า วิธีเรียนรู้แบบใช้เพื่อนช่วย หมายถึง วิธีเรียนรู้ที่เปิดโอกาสใหผู้เรียนได้ทำกิจกรรมการเรียนเป็นคู่หรือกลุ่มย่อย โดยร่วมกันทำ กิจกรรมทกุ ทักษะ เป็นการเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นไดช้ ่วยเหลอื กันและมีปฏิสัมพนั ธ์กัน ไดใ้ ชภ้ าษาในการ สื่อสารเพื่อเจรจาหาความหมายด้วยตนเอง ครูเป็นเพียงผู้ทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือให้คำแนะนำ และช่วยจัดกระบวนการเรียนการสอนในชนั้ เรียน โดยใหผ้ เู้ รยี นรบั ผดิ ชอบกระบวนการเรียนเอง 3. การศึกษาสภาพในการรับคำปรึกษาของนักเรียนที่ผ่านการเรียนแบบเพื่อนช่วย เพอ่ื นพบว่า ส่วนใหญน่ ักเรยี นมีการรบั คำปรึกษา โดยหวั ขอ้ สว่ นใหญใ่ นการรับคำปรึกษาคือ มัลติ มิเตอร์แบบเข็มและดิจิตอลมัลติมิเตอร์ ซึ่งพบว่าเป็นเนื้อหาเหล่านี้เป็นเนื้อหาทั้งที่ค่อนค้างยาก และต้องใช้ความเข้าใจ การฝึกฝนบ่อยครั้ง ดังนั้นในวิธีการกระบวนการเรียนการสอนแบบเพือ่ น ช่วยเพื่อนนั้นจะทำให้ผู้เรียนได้มีกระบวนการคิดการฝึกทำด้วยตนเองโดยมีเพื่อนเป็นผู้ค่อย ช่วยเหลือและให้คำปรึกษาในการเรียนหรือในเนื้อหาวิชาที่เรียนได้ดีกว่าอาจารย์ผู้สอน ซึ่งเป็น การทำให้นักเรียนได้มีการแลกเปลี่ยนเรยี นรู้มีความกล้าคิดและเพิ่มความสัมพันธ์อันดีต่อเพื่อนท่ี เปน็ ผู้คอยชว่ ยเหลอื และรับรู้ปัญหาทางการเรียน ซง่ึ จากการจากงานวจิ ยั ในครง้ั นี้พบกว่าจำนวน ครั้งในการรับคำปรึกษามีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเครื่องมือวัดไฟฟ้า และ อิเล็กทรอนิกสข์ องนักเรียนที่ผา่ นการเรยี นการสอนแบบเพื่อนช่วยกนั อยา่ งมีนยั สำคญั ทางสถติ ิ ซง่ึ สอดคล้องกับกฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) ที่ว่าพฤติกรรมการเรียนรู้ใด ๆก็ตามเมื่อ เกดิ ขนึ้ แลว้ ไดร้ ับการกระทำซำ้ ๆ อย่เู รื่อย ๆ จะเกิดความชำนาญและเป็นความเคยชินพฤติกรรม นั้นจะคงทนเป็นระยะเวลายาวนาน ยิง่ ฝึกมากเท่าใดย่งิ ถกู ต้องมากขึ้นเท่ากัน ขอ้ เสนอแนะ 1. ขอ้ เสนอแนะสำหรับการนำผลการวจิ ยั ไปใช้ - ควรมีการฝึกอบรมให้นักเรียนเข้าใจในกลวิธีการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนและบทบาทของนักเรียนผู้สอน และนกั เรยี นผู้เรยี นอยา่ งเข้าใจ - ควรมีการทำการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนในหลายๆรูปแบบ เช่น กระบวนการกลุ่ม หรือ ให้สอน แบบแลกเปลีย่ นเรยี นรู้ เปน็ ตน้
23 - ควรมีบอรด์ ตดิ ประกาศผลคะแนนสงู ความตง้ั ใจเรียนดี เพอื่ นช่วยเพื่อนดี เพ่ือใหผ้ เู้ รียนมคี วามตัง้ ใจเรยี น และมีผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนดยี ่งิ ขนึ้ 2. ขอ้ เสนอแนะสำหรบั การทำวิจัยครัง้ ตอ่ ไป ควรมีการศึกษาการใชก้ ารเรียนรู้โดยใช้เทคนคิ การเรยี นการสอนแบบอนื่ ๆ เพ่ือนำมาเปรยี บเทียบวา่ วธิ ใี ด จะเหมาะสมกบั การเรยี นการสอนมากทส่ี ดุ และนำมาใชป้ รับปรงุ การเรียนการสอนในคราวต่อๆไป
บรรณานุกรม จันทร์เพ็ญ บำรุง. การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิคเพื่อนช่วยเพื่อนของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที ี่ 1. วทิ ยานพิ นธศ์ กึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, (2547). ชาระวี ศรนี นท์. ผลของการฝกึ อบรมโดยใชก้ ลุ่มเพื่อนช่วยเพ่อื นเพื่อพฒั นาความสามารถในการป้องกนั การเสพ ยาบ้า ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดบางแพรกเหนือ จังหวัดนนทบุรี. สารนพิ นธ์ กรุงเทพฯ: บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ., (2546). ชศู รี วงศร์ ัตนะ และคณะ. การวจิ ัยเพ่อื พัฒนาการเรียนรู้. พิมพค์ ร้ังที่ 2. กรุงเทพฯ: เมธที ปิ ., (2545). เตมิ ศักด์ิ คทวณิช. จิตวิทยาท่ัวไป. กรุงเทพฯ: ซเี อด็ ยูเคชั่น., (2547). นุชนาฏ เทพพิทักษ์ศักด์ิ. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านเร็ว วิชาภาษาไทย, ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 ด้วยวิธีสอนแบบกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนและวิธีสอนแบบปกติ. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต บณั ฑิตวทิ ยาลัย หาวทิ ยาลัยมหาสารคาม., (2542). ประนอม ดอนแก้ว. การใช้กลวิธีการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนเพื่อพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวทางกายใน การเล่นวอลเล่ย์บอลของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเวียงมอกวิทยา. การค้นคว้าแบบ อิสระศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่., (2550). ประภาพร อันสงคราม. การพัฒนาแผนการสอนและแบบฝึกทักษะภาษาไทยการสะกดคำและแจกลูกด้วยวิธี สอนแบบกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร มหาบณั ฑิต บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, (2546). สุคนธ์ สินธพานนท์ และคณะ. การจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตามหลักสูตรการศึกษาข้ัน พ้ืนฐาน. กรุงเทพฯ: อกั ษรเจริญทัศน์, (2545). สนุ ันทา โพธ์ชิ ยั . การพฒั นาแผนการจัดการเรยี นรู้แบบกลุ่มเพ่ือนชว่ ยเพื่อน เรอื่ งเศษสว่ น วชิ าคณติ ศาสตร์ ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาสารคาม, (2547).
ศิวาณา พันธุรัตน์. การปรับพฤติกรรมภาวะไม่อยู่นิ่งและสมาธิสั้นของเด็กออทิสติกในหอ้ งเรียนเรียนร่วม โดย ใช้เทคนิคเพื่อนสอนเพื่อน โรงเรียนวัดช่างเคี่ยน. การค้นคว้าแบบอิสระศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่, (2549) สุรางค์ โค้วตระกูล. จิตวิทยาการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, (2545). อารยันต์ แสงนิกุล. การพัฒนาแผนการเรยี นร้แู บบกลมุ่ เพอื่ นชว่ ยเพื่อนกลุ่มสาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย เรอื่ ง ขนุ ช้างขุนแผน ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, (2546). Bender, W. N. Differentiation instruction for students with learning disabilities. California: Corwin Press, INC. ,(2002).
33 ประวัติผูเ้ ขยี น ชอ่ื -สกุล นางสาวเพญ็ นภา สขุ ยอ้ ย วนั -เดือน-ปีเกดิ 29 สงิ หาคม 2537 สถานท่ีเกดิ โรงพยาบาลรอ่ นพิบลู ย์ จงั หวดั นครศรีธรรมราช ทอ่ี ยู่ปัจจบุ ัน 64 หมู่ 4 ตำบลรอ่ นพิบลู ย์ อำเภอร่อนพบิ ูลย์ จงั หวดั นครศรีธรรมราช 80130 ประวัตกิ ารศึกษา • ประถมศึกษา โรงเรยี นดรุณศึกษา จงั หวดั นครศรธี รรมราช • มัธยมศึกษาตอนตน้ โรงเรยี นศรธี รรมราชศกึ ษา จังหวัดนครศรธี รรมราช • มัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคใต้ จังหวัด นครศรีธรรมราช • ปริญญาตรี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิต (5 ปี) สาขาวิชาครุศาสตร์ วิศวกรรม
Search
Read the Text Version
- 1 - 33
Pages: