Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รูปเล่มโครงการนวัตกรรมวิจัยในงานสาธารณสุข (นวัตกรรมสาธารณสุข)

รูปเล่มโครงการนวัตกรรมวิจัยในงานสาธารณสุข (นวัตกรรมสาธารณสุข)

Description: kittirat norkhud 633263005

Search

Read the Text Version

แอปพลิเคช่นั คัดกรองคนทเ่ี ส่ยี งต่อโรคอลั ไซเมอรแ์ ละคนที่เสี่ยงตอ่ แผลกดทบั ในผ้สู ูงอายุ Application to screen people at risk of Alzheimer's disease and people at risk of pressure sores in the elderly. โดย นายกติ ตริ ัตน์ หนอ่ ขดั รหัสนกั ศกึ ษา 633263005 หมเู่ รียน 24.1 เสนอ อาจารย์ ดร.อุกฤษฏ์ อำไพพนั ธ์ุ โครงการวิจยั นวัตกรรมฉบบั นีเ้ ปน็ ส่วนหนงึ่ ของรายวิชาโครงการวิจยั ในงานสาธารณสขุ สาขาวิชาสาธารณสขุ ศาสตร์ คณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ปีการศกึ ษา 2564

แอปพลิเคช่นั คัดกรองคนทเ่ี ส่ยี งต่อโรคอลั ไซเมอรแ์ ละคนทเ่ี สี่ยงตอ่ แผลกดทบั ในผ้สู ูงอายุ Application to screen people at risk of Alzheimer's disease and people at risk of pressure sores in the elderly. โดย นายกติ ตริ ัตน์ หนอ่ ขัด รหัสนกั ศกึ ษา 633263005 หม่เู รียน 24.1 เสนอ อาจารย์ ดร.อุกฤษฏ์ อำไพพนั ธ์ุ โครงการวิจยั นวัตกรรมฉบบั นี้เปน็ ส่วนหนงึ่ ของรายวชิ าโครงการวิจยั ในงานสาธารณสขุ สาขาวิชาสาธารณสขุ ศาสตร์ คณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ปีการศกึ ษา 2564

ก คำนำ รายงานโครงการวิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาโครงการวิจัยวิจัยในงานสาธารณสุข (Reseach Project in Public Health) รหัสวิชา 4073903 ในการจัดทำรายงานโครงการวิจัย สาธารณสุขฉบบั น้ีข้นึ มาให้ได้ทราบถึงการใช้งาน Application ชดุ องค์ความรู้ E-BOOK รวมถึงการใช้ งาน Line notify แจ้งเตอื น เพอื่ เป็นแนวทางในการศึกษา Application และชุดองค์ความรู้ในการคัด กรองกับกลุ่มเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์และกลุ่มเสี่ยงแผลกดทับในผู้สูงอายุ ญาติผู้สูงอายุ บุคคลใน ครอบครัว รวมไปถึงประชาชนทั่วไป องค์กรหน่วยงานที่มคี วามสนใจในการศึกษา จุดมุ่งหมายในการ ทำเพื่อคัดกรองคัดกรองคนที่เสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์และคนที่เสี่ยงต่อแผลกดทับในผู้สูงอายุ ขอบเขต สำหรับในการทำครั้งนี้จะเน้นกลุ่มผู้สูงอายุเป็นหลักที่มีความเสี่ยงต่ออัลไซเมอร์และเสี่ยงต่อแผลกด ทับ ผู้จัดทำคาดว่าข้อมูลจากรายงานโครงการวิจัยฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์สำหรับการทำไปใช้งาน ประกอบกับการใช้งาน Application สำหรับผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์และความเสี่ยง ต่อแผลกดทับได้เปน็ อย่างดรี วมถงึ ญาติ ประชาชนและองคก์ รท่ีมีความสนใจเชน่ เด่ยี วกนั ผู้จัดทำหวังว่า รายงานโครงการวิจัยฉบบั นีจ้ ะให้ความรูแ้ ละเป็นประโยชนแ์ ก่ผูศ้ ึกษาทุกทา่ น หากรายงานโครงการวิจยั ในงานสาธารณสขุ ฉบบั น้ีมขี อ้ ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ท่ีนีด้ ว้ ย ผจู้ ดั ทำ นายกติ ตริ ตั น์ หน่อขัด รหัสนักศึกษา 633263005 หมเู่ รียน 24.1

ข สารบัญ หนา้ เร่ือง ก ข คำนำ ค สารบญั ง สารบญั ตาราง ช สารบญั ภาพ 1 สารบัญแผนภูมิ 1 บทที่ 1 บทนำ 6 6 - ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา 7 - วัตถุประสงค์ของการศึกษา 8 - ขอบเขตของการศึกษา 8 - ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะไดร้ บั 15 บทท่ี 2 แนวคดิ ทฤษฎีท่เี ก่ียวข้อง 33 - การเปลีย่ นแปลงทางประชากรและขอ้ มลู สถิติทส่ี ำคัญเกี่ยวกับผู้สงู อายุ 40 - ทฤษฎีโรคอัลไซเมอร์ 41 - ทฤษฎีแผลกดทบั 41 - ความรู้พื้นฐานดา้ น Hardware ท่เี ก่ียวข้อง 67 บทท่ี 3 วิธีการดำเนนิ การศกึ ษา 67 - ขั้นตอนการออกแบบ Application และข้ันตอนการใช้โปรแกรม 71 - ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง 72 - เครือ่ งมือทีใ่ ชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมูล 73 - การวิเคราะห์ข้อมูล 73 - สถติ ทิ ใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมูล 78 บทท่ี 4 วิธีการออกแบบการทดลองและผลการทดสอบ 78 - วธิ ีการออกแบบการทดลอง 79 - สัญลกั ษณ์ท่ีใชใ้ นการเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู - ลำดับในการเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูล - ผลการทดสอบและผลการวเิ คราะห์ข้อมูล

บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ ฃ - ประโยชน์ท่ไี ดร้ ับจากนวตั กรรมวิจยั - ปญั หา/อปุ สรรคจากการทำนวตั กรรมวิจัย 86 - ข้อเสนอแนะ 89 89 อ้างอิง 89 ภาคผนวก 90 92

เรื่อง สารบัญตาราง ค ตารางท่ี 1.1 จำนวนและสัดสว่ นประชากรสงู อายุ จำแนกตามกลุ่มอายุ หน้า (อายุ 60-69 ปี, 70-79 ปี และ 80 ปีขน้ึ ไป) เพศ และเขตที่ อยู่อาศยั พ.ศ.2553 – พ.ศ.2583 10

ง สารบัญภาพ หนา้ เรือ่ ง 4 14 ภาพท่ี 1.1 แสดงโครงสรา้ ง Application ภายนอกพร้อมส่วนประกอบจำลอง 15 ภาพที่ 1.2 สดั ส่วนประชากรสูงอายทุ ่ีประเมนิ วา่ มสี ขุ ภาพดจี ำแนกตามจงั หวดั พ.ศ.2554 16 ภาพท่ี 2.1 จิตแพทยช์ าวเยอรมนั อาลอยส์ อลั ไซเมอร์ (Alois Alzheimer) 17 ภาพที่ 2.2 แสดงเซลลส์ มองคนปกติและคนเปน็ โรคอัลไซเมอร์ ภาพท่ี 2.3 จลุ พยาธสิ ภาพของซีไนล์ พลากในซีรีบรลั คอร์เทก็ ซ์ของผู้ปว่ ยโรคอัลไซเมอร์ 19 ยอ้ มดว้ ยเงิน 19 ภาพท่ี 2.4 เอนไซม์ทำปฏกิ ิรยิ ากับโปรตนี ต้นกำเนดิ แอมลี อยด์ (amyloid precursor 21 protein;APP) โดยตดั โปรตีนเปน็ ทอ่ นๆ ท่อนท่ชี ่ือว่า บีตา-แอมลี อยด์ 34 (beta-amyloid) มีความสำคัญในการสรา้ งซไี นล์ พลาก (senile plaques) 35 ในโรคอัลไซเมอร์ 35 ภาพที่ 2.5 การเปลย่ี นแปลงของโปรตีนเทา (Tau protein) ทำให้เกดิ การสลายของ 40 ไมโครทิวบลู ในเซลลส์ มอง 41 ภาพที่ 2.6 แสดงเปรียบเทยี บสมองคนปกติกับคนเปน็ โรค 41 ภาพท่ี 2.7 ภาพแสดงผวิ หนังถกู ทำลายทัง้ หมด 42 ภาพท่ี 2.8 ภาพแสดงระดบั แผลกดั ทบั 4 ระดับ 42 ภาพท่ี 2.9 ภาพแสดงบรเิ วณทีพ่ บแผลกดทับบ่อย 43 ภาพที่ 2.10 ภาพแสดงโปรแกรม 44 ภาพที่ 3.1 แสดงโปรแกรม Canva 44 ภาพท่ี 3.2 แสดงหน้าจอการสร้างงานออกแบบ 45 ภาพที่ 3.3 แสดงการกำหนดขนาดงานท่ตี ้องการสรา้ งงานออกแบบใหม่ 47 ภาพท่ี 3.4 แสดงหนา้ จอในการเลือกใชเ้ ครื่องมือเพอ่ื ตกแตง่ ชิ้นงาน 47 ภาพท่ี 3.5 แสดงหน้าปกงานออกแบบจากโปรแกรม Canva 48 ภาพที่ 3.6 แสดงหนา้ จอโปรแกรม Glide app ทีใ่ ชท้ ำ Application ภาพที่ 3.7 แสดงการสรา้ ช้นิ งาน Application โดยโปรแกรม Glide app ภาพท่ี 3.8 Application โดยโปรแกรม Glide app ทใ่ี ส่รายละเอยี ดและเน้ือหา ภาพท่ี 3.9 แสดง QR Code โปรแกรม Glide app ภาพที่ 3.10 แสดงหนา้ จอ Application พร้อมใชง้ านรูปแบบสำเร็จรูป ภาพท่ี 3.11 แสดงหนา้ จอโปรแกรม https://pubhtml5.com/

จ ภาพท่ี 3.12 แสดงการสรา้ งโฟลเดอร์งานที่จะทำการอัพโหลดลงในโปรแกรม 48 ภาพท่ี 3.13 แสดงหน้าจอโปรแกรมเพอื่ อพั โหลดไฟลง์ าน PDF เขา้ ระบบโปรแกรม 49 ภาพที่ 3.14 แสดงการนำเขา้ ชุดองคค์ วามรู้ E-BOOK เขา้ มาในระบบการเรยี นรู้โปรแกรม 49 ภาพท่ี 3.15 แสดงชดุ องค์ความรู้ E-BOOK ในโปรแกรม 50 ภาพท่ี 3.16 แสดงชดุ องค์ความรู้ E-BOOK ในโปรแกรมพร้อมแชรใ์ ช้งาน 50 ภาพท่ี 3.17 แสดง QR CODE โปรแกรมชุดองค์ความรู้ E-BOOK 51 ภาพท่ี 3.18 แสดงโปรแกรมชุดองค์ความรู้ E-BOOK 51 ภาพท่ี 3.19 แสดงบทเรยี นเร่ืองโรคอัลไซเมอร์ 52 ภาพท่ี 3.20 แสดงบทเรยี นเรื่องปจั จยั เสื่อมของการเกดิ โรคอัลไซเมอร์ 52 ภาพท่ี 3.21 แสดงบทเรยี นเรื่องการป้องกันโรคอลั ไซเมอร์ 53 ภาพที่ 3.22 แสดงบทเรียนเร่ืองการดูแลผูส้ งู อายทุ ่ีป่วยเป็นโรคอลั ไซเมอร์ 53 ภาพท่ี 3.23 แสดงบทเรียนเรื่องการรักษาผปุ้ ่วยสมองเส่ือมอลั ไซเมอร์ 54 ภาพที่ 3.24 แสดงบทเรียนเรื่องอาหารหลกั 5 หมู่สำหรับผู้ป่วยสมองเสอ่ื มในผสุ้ งู อายุ 54 ภาพที่ 3.25 แสดงบทเรียนเรื่อง อาหารสมองป้องกันโรคข้ีลมื กบั ผสู้ ูงอายุ 55 ภาพที่ 3.26 แสดงบทเรียนเรื่องการมองเหน็ โครงสรา้ ง (เกมชวนคิดพชิ ิตอัลไซเมอร)์ 55 ภาพที่ 3.27 แสดงบทเรยี นเร่ืองความจำและการเรียนรู้ (เกมชวนคดิ พิชิตอัลไซเมอร)์ 56 ภาพที่ 3.28 แสดงบทเรยี นเร่ืองการบริหารสมอง สรา้ งพลงั ความจำ 56 ภาพท่ี 3.29 แสดงบทเรียนเรื่องภาวะสมองเสือ่ ม 57 ภาพท่ี 3.30 แสดงบทเรยี นเรื่องการดูแลผูป้ ่วยหรอื ผสู้ งู อายุตดิ เตยี ง 57 ภาพท่ี 3.31 แสดงการลงทะเบียนผา่ น Google Form แจง้ เตือนมาทาง Line Notify 58 ภาพท่ี 3.32 แสดงสร้าง Google From นดั หมาย 58 ภาพที่ 3.33 แสดง Google from ข้อมูลนดั หมายช่ือ-สกลุ , ทีอ่ ยู่อาศัย, เบอร์โทร, ตดิ ตอ่ 59 ภาพที่ 3.34 แสดงแกไ้ ขสครปิ ต์เพ่ือเขียนโปรแกรม 59 ภาพที่ 3.35 แสดงโปรแกรมแก้ไขสคริปต์หน้าเปลา่ 60 ภาพที่ 3.36 แสดงนำคำสงั่ โปรแกรมท่ีเขียนไวน้ ำไปใสล่ งในโปรแกรมแก้ไขสคริปต์ 60 ภาพที่ 3.37 แสดงทำการคลิกเปดิ สรา้ งไลน์ 62 ภาพท่ี 3.38 แสดง Generate tokan เพ่อื ออกลิงค์โปรแกรมในการเชือ่ มตอ่ 63 ภาพท่ี 3.39 แสดงหนา้ จอ Line ตัวอย่างแสดงการแจง้ เตือนนดั หมายผ่าน Line notify 64 ภาพที่ 3.40 แสดงการสรา้ งฟอรม์ แบบคดั กรองอัลไซเมอร์ 65 ภาพท่ี 3.41 แสดงฟอร์มแบบคัดกรองอัลไวเมอร์สำเร็จรปู 65 ภาพที่ 3.42 แสดงการสรา้ งแบบฟอร์มคัดกรองผู้ท่มี ีความเสยี่ งตอ่ แผลกดทบั 66

ฉ ภาพท่ี 3.43 แสดงฟอร์มแบบคดั กรองสำหรบั ผู้ท่ีมีความเส่ียงตอ่ แผลกดทบั ในผู้สูงอายุ 66 ภาพท่ี 4.1 แสดงการค้นหาลิงค์เขา้ โปรแกรม 73 ภาพท่ี 4.2 แสดง QR CORD ของโปรแกรมใหก้ ับผู้ดูแลผู้สงู อายสุ แกนเข้าใช้งาน 74 ภาพท่ี 4.3 แสดงญาตผิ ู้สงู อายเุ ข้าใช้งานโปรแกรมเบื้องต้น 74 ภาพที่ 4.4 แสดงญาติผู้สูงอายเุ ขา้ ใชง้ านเวป็ ไซตเ์ พ่ือเรียนรู้ชดุ องค์ความรู้ E-BOOK 74 ภาพที่ 4.5 แสดงญาติผสู้ ูงอายุทดสอบการใช้แบบคดั กรองผู้ท่ีเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ 75 ภาพท่ี 4.6 แสดงญาติผสู้ งู อายทุ ดสอบการใช้แบบคดั กรองผทู้ เี่ สยี่ งต่อแผลกดทับ 75 ภาพท่ี 4.7 แสดงญาติผู้สูงอายทุ ดสอบเข้าใช้งานชมวีดิทัศนโ์ รคอลั ไซเมอรใ์ นโปรแกรม 76 ภาพที่ 4.8 แสดงญาตผิ ู้สงู อายุทดสอบเข้าใช้งานชมวีดิทัศน์แผลกดทบั ในโปรแกรม 76 ภาพท่ี 4.9 แสดงญาตผิ ูส้ งู อายทุ ดสอบเข้าใช้งานการนัดหมายผา่ น Line notify 79 ภาพที่ 4.10 แสดงข้อมูลนัดหมายจากการทดสอบการใชง้ าน Line notify นดั หมาย 79

ช สารบญั แผนภูมิ เร่อื ง สดั สว่ นประชากรวยั เด็ก วยั แรงงานและวัยสูงอายุ พ.ศ.2553 – พ.ศ.2583 หนา้ โครงสรา้ งทางอายุและเพศของประชากรอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป แผนภูมทิ ่ี 1.1 อัตราการเพ่ิมประชากรรวม เปรยี บเทยี บกบั ประชากรวัยสูงอายุ 9 แผนภูมิที่ 1.2 พ.ศ.2553 – พ.ศ.2583 9 แผนภมู ิที่ 1.3 อายุคาดเฉล่ียเม่ือแรกเกดิ (e0) อายุ 60 ปี (e60) และ อายุ 80 ปี (e80) 11 พ.ศ.2553 – พ.ศ.2583 แผนภมู ิท่ี 1.4 รอ้ ยละของประชากรอายุ 60 ปี ที่รายงานวา่ ตนเองมีสขุ ภาพดหี รอื ดีมาก 12 พ.ศ.2550 และ พ.ศ.2554 แผนภูมทิ ่ี 1.5 13

1 บทท่ี 1 บทนำ 1.1 ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา โรคอัลไซเมอร์เมื่อทุกคนได้ยินชื่อนี้แล้วก็มักจะพูดกันว่าเป็นโรคที่ไม่ได้มีความร้ายแรงอะไร มากมายแต่สำหรับผู้จัดทำได้เล็งเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะจากที่ผู้จัดทำได้สืบค้น ข้อมูล เกี่ยวกับโรคเรื้อรังมาพบว่าในปัจจุบันมีผู้สูงอายุจำนวนมากในประเทศไทย มีผู้ที่ป่วยเป็นโรคอัลไซ เมอร์จำนวนมากและเพ่ิมขนึ้ เรือ่ ย ๆ ในทุกปี ผูป้ ว่ ยท่ีป่วยเปน็ โรคอัลไซเมอร์บางรายปว่ ยถึงขั้นร้ายแรง จนจำคนในครอบครวั ของตนเองไม่ได้ทำให้ญาติของผปู้ ว่ ยทีป่ ่วยเปน็ โรคอลั ไซเมอรบ์ างรายอาจถึงขั้น ต้องหยุดพักงานเพื่อมาอยู่ดูแลผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ ทำให้เกิดปัญหาวุ่นวายเกี่ยวกับคนที่ ป่วยเป็นโรคนี้และคนรอบข้าง อัลไซเมอร์เป็นโรคสมองเสื่อมชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยที่สุดโดยจะมีการ เสื่อมของเซลล์สมองทุกส่วนเป็นแล้วไม่มวี ันหายผูป้ ่วยจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่สามารถ แยกถูกผิด มีปัญหาในเรื่องการใช้ภาษาการประสานงานของกล้ามเนื้อเสียไปความจำเสื่อม ในระยะ ท้ายของโรคจะสูญเสยี ความจำท้ังหมดในสหรัฐประมาณว่ามผี ู้ปว่ ยเป็นโรคน้ีกว่า 3-4 ลา้ นคน และจะ มีเพิ่มมากข้ึนเรื่อย ๆ ทวั่ โลกเน่อื งจากประชากรมีอายุยืนยาวขึน้ ในประเทศไทยมผี ู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 2-4 % ของผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปียิ่งอายุมากขึ้นก็จะพบผู้ป่วยด้วยโรคนี้มากขึ้นกล่าวคือจะพบ เพิ่มขึ้น 2 เท่าทุก 5 ปีหลังอายุ 60 ปีผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์บางรายอาจจำคนในครอบครัว หรอื คนสนทิ ของตนเองได้แต่อาจจำทางกลับบ้านหรอื สถานทต่ี า่ งๆเหตุการณ์ตา่ งๆทเี่ คยผ่านไปเม่ือไม่ นานมานี้ไม่ได้อาจทำให้คนที่อยู่ดูแลผู้ป่วยเกิดอาการเบื่อหน่ายหงุดหงิด และอารมณ์ไม่ดีเมื่อผู้ป่วย ถามนูน่ ถามนี่เกย่ี วกับเร่ืองท่ผี ่านไปเม่ือไม่นานมาน้ีทำใหม้ ีผปู้ ว่ ยท่ีปว่ ยเป็นโรคอัลไซเมอร์บางรายต้อง ไปอาศัยอยู่บ้านพักคนชราเพราะถูกทอดทิ้งทำให้เกิดปัญหาสังคม โรคอัลไซเมอร์ พบได้บ่อยใน ผู้สูงอายุ และเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยสูญเสียความทรงจำมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจนไม่สามารถดูแลตนเอง ได้อาการของผ้ปู ่วยอาจแบง่ ได้เปน็ 4 ระยะดังนี้ ระยะท่ี 1 ระยะก่อนสมองเสอื่ ม (Predementia) ระยะที่ 1 ผู้ป่วยจะเริ่มมีปัญหาเรื่องของความทรงจำมีอาการลืมในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยเฉพาะเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในขณะที่ความทรงจำในอดีตยังดีอยู่ผู้ป่วยจะดูเชื่องช้าลงไม่ กระฉับกระเฉงเร่มิ จำหนทางหรอื จำช่ือคนบางคนไม่ได้ ระยะที่ 2 สมองเสื่อมระยะแรก (Early dementia)

2 ระยะที่ 2 ผู้ป่วยจะเริ่มมีปัญหาในการตัดสินใจ อาจคิดหรือพูดอะไรช้า ๆ เริ่มมีปัญหาเรื่อง การรับรู้ เช่น ผู้ป่วยอาจจะทำน้ำร้อนลวกมือตนเองแล้วมองบาดแผลเฉย ๆ โดยไม่เข้าใจว่าทำไมจึง เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น นอกจากนี้ยังสูญเสียความสามารถทางคำพูดไม่สามารถบ่งบอกในสิ่งที่ตนเองคิด หรอื เข้าใจผ่านทางภาษาได้ ระยะท่ี 3 สมองเสื่อมระยะปานกลาง (Moderate dementia) ระยะที่ 3 ผปู้ ่วยมีความบกพร่องในเร่ืองความรู้ความสามารถมากขึ้นไม่สามารถจดจำสถานท่ี ต่าง ๆ ได้เริ่มบกพร่องในการดูแลสุขอนามัยของตนเองและไม่สามารถทรงตัวได้ดีขณะยืนหรือเดินใน ระยะนผี้ ูป้ ่วยอาจมอี าการโรคจิตหวาดระแวงหรือมีหูแว่วบางรายอาจจะกา้ วร้าวรุนแรงปสั สาวะราดไม่ สนใจตนเอง ระยะท่ี 4 สมองเสือ่ มระยะสุดทา้ ย (Advanced dementia) ระยะที่ 4 ผู้ป่วยอาจออกจากบ้านเร่ร่อนบ่อยขึ้นและอาจมีพฤติกรรมซ้ำ ๆ หรือพูดช้า ๆ นอกจากน้ียังมีปัญหาเรื่องการขับถ่ายที่ไม่เป็นที่เป็นทางผู้ปว่ ยอาจจะจำใครไม่ได้เลย หรือจำเรื่องราว บางสิ่งได้เป็นนาที และลืมภายในไม่กี่นาทีการดูแลผู้ป่วยระยะนี้จำเป็นต้องดูแลใกล้ชิดตลอดเวลา เน่ืองจากผูป้ ่วยไมส่ ามารถดูแลตนเองได้เลย รวมถึงเร่ืองกิจวัตรประจำวนั เช่น การรบั ประทานอาหาร ซงึ่ ผู้ปว่ ยอาจเค้ยี วหรอื กลืนอาหารเองไมไ่ ด้เป็นตน้ ในปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) เป็นโรคสมองเสื่อมซึ่งนับว่าเป็น ปัญหาสำคัญในหลายๆประเทศทัว่ โลก องค์การอนามัยโลกได้ชี้ให้เห็นความสำคญั ของโรคอัลไซเมอร์ องค์การอนามัยโลกหรือ WHO เตือนให้หลายประเทศเตรียมพร้อมรับต่อโรคสมองเสื่อมที่ส่งผลต่อ ความเป็นอยู่ของประชากรกว่า 55 ล้านคน ขณะที่มีแนวโน้มผู้ป่วยโรคดังกล่าวเพิ่มขึ้นทั่วโลก จาก รายงานการวิเคราะหข์ องแผนปฏบิ ตั ิการระดับโลกของ WHO ต่อโรคสมองเสื่อมเมอ่ื ปคี .ศ. 2017 ระบุ ว่ามีประเทศเพยี งไม่ก่ีประเทศเท่านัน้ ท่ีใช้มาตรการเพือ่ ดูแลผู้ป่วยโรคน้ีโดยมีประเทศเพียงราว 25 % ที่มีแผนระดับชาติเพื่อสนับสนุนผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมและครอบครัว WHO เตือนว่าหลายประเทศยัง ไม่เตรียมพร้อมต่อปัญหาสาธารณสุขนี้ที่ส่งผลกระทบต่อผู้คน 55 ล้านคนทั่วโลกโดยกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยเหล่านี้อยู่ในประเทศที่มีรายได้ต่ำ และรายได้ปานกลาง WHO คาดการณ์ว่า ผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมจะมีมากถึง 78 ล้านคนภายในปีค.ศ. 2030 และเพิ่มเป็น 139 ล้านคนในปีค.ศ. 2050 องค์การอนามัยโลกยังประมาณการด้วยว่าค่าใช้จ่ายต่อโรคสมองเสื่อมทั่วโลกจะพุ่งสูงขึ้นจาก 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน เป็น 2.8 ล้านล้านดอลลาร์ในปีค.ศ. 2030 สำหรับประเทศไทยนั้นมี สถิตขิ องคนที่ปว่ ยเป็นโรคความจำเส่ือมในขณะนสี้ งู ถึงประมาณร้อยละ 3 - 5 โดยความชุกจะพบมาก

3 ขึ้นตามอายุซึ่งอาจพบสูงถึงร้อยละ 30 ในผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 85 ปี ในปี 2558 มีผู้ป่วยโรคอัลไซ เมอร์ประมาณ 600,000 คน และคาดว่า ในปี 2573 จำนวนจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 1,117,000 คน โดย ส่วนใหญจ่ ะอย่ทู ีอ่ ายรุ ะหว่าง 65 ปขี ้ึนไปและพบในเพศหญงิ มากกว่าชาย จากการศึกษาค้นคว้าข้อมูลที่ผู้วิจัยนวัตกรรมได้ศึกษาจากรายงานกลุ่มโรคเรื้อรังที่ผู้สูงอายุ เป็น พ.ศ. 2562 พบว่าโรคสมองเสื่อมมีรายงานการวิจัยเรื่อง “การวิเคราะห์ภาวะสุขภาพ ภาระโรค และความต้องการบริการดา้ นสุขภาพในผู้สงู อายุ” โดย นพ.สกานต์ บุนนาค และคณะพบเปน็ อันดบั 9 โรคสมองเสื่อม คิดเป็นรอ้ ยละ 0.48 สำหรบั กรณีแผลกดทบั เม่ือพดู ถึงแผลกดทับทับเป็นแผลท่ีส่งผลกบั การใชช้ ีวิตโดยตรง เพราะ มีการกดทับลงไปจนเนื้อตายและเกิดแผลขึ้นมา แผลลักษณะนี้มักพบในผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดในการ เคลื่อนไหวทำกิจกรรมน้อยรวมทั้งผู้สูงอายุหากไม่รีบรักษานอกจากรุนแรงจนต้องพักฟื้นใน โรงพยาบาลอาจเกิดการติดเชื้อจากแผลกดทับอาจอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซี่งลักษณะแผลกดทับ สามารถระบุระยะท่ีเปน็ ได้จากระดบั ของเน้ือเยอื่ ทีถ่ ูกทำลาย ดงั น้ี ระยะท่ี 1 ผวิ หนงั มรี อยแดง ๆ ใชม้ อื กดแลว้ รอยแดงไม่จางหายไป ผิวไม่ฉีกขาด ระยะที่ 2 ผิวหนังเสียหายบางส่วน แผลตนื้ ไมพ่ อง ไมเ่ ปน็ ตมุ่ น้ำใส ระยะท่ี 3 แผลลึกถึงชั้นถึงไขมัน สูญเสียผวิ หนังทั้งหมด ระยะที่ 4 แผลลกึ มองเหน็ ถงึ กระดูก เอน็ กล้ามเน้ือ สูญเสียผวิ หนงั ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีแผลกดทับที่เรียกว่า Deep Tissue Injury (DTI) เป็นแผลกดทับที่มักเกิด ข้นึ กับผู้ปว่ ยท่ีไม่ค่อยเคลื่อนไหว ผวิ หนงั ไมฉ่ กี ขาด มสี ีม่วงเข้มหรือสีเลือดนกปนน้ำตาล หรือพองเป็น ตุ่มนำ้ ปนเลอื ด อาจเจ็บปวดรว่ มดว้ ย ไม่สามารถระบรุ ะยะท่ีเป็นได้ ตำแหนง่ แผลกดทบั มักเกิดบริเวณ ปุ่มกระดูก เช่น สะโพก ใต้กระเบนเหน็บ ก้นกบ ก้นย้อย เข่าด้านในตาตุ่ม ส้นเท้า เป็นต้น ตำแหน่ง ของแผลกดทับมีความสัมพันธ์กับท่าของผู้ป่วย เช่น ท่านอนหงายมักเกิดแผลกดทับบริเวณกระดูกใต้ กระเบนเหน็บ (sacrum) ท่านอนตะแคงเกิดแผลบริเวณปุ่มกระดูกด้านข้างข้อสะโพก (greater trochanter) ท่านั่งมักเกิดแผลบริเวณปุ่มกระดูกรองนั่ง (ischium) และกระดูกก้นกบ (coccyx) เป็น ตน้ ทางผู้จัดทำจงึ ไดเ้ ล็งเห็นถงึ ความสำคัญว่ากลุม่ ผูส้ ูงอายุในประเทศไทยเพิ่มข้นึ มากเร่อื ย ๆ เข้า สสู่ งั คมผู้สูงอายแุ ล้วถ้าหากผสู้ งู อายเุ ปน็ แลว้ จะทำให้เพิ่มภาระให้กับครอบครัวมากขึ้น และพบมากใน ชมุ ชนชนบท ทางผู้จดั ทำได้เห็นว่าผูส้ ูงอายจุ ำนวนมากอาศัยอยู่ในบา้ นอย่างโดดเด่ยี วโดยไม่มีใครดูแล บางคนถูกทอดทิ้งโดยไม่มีใครดูแล บางคนชอบเดินหนีออกจากบ้าน อีกทั้งยังมีปัญหาเกี่ยวสุขภาพ

โครงส ้รางภายนอก ัตว Application เ ้บือง ้ตน 4 จำนวนมาก อาธิเช่น ปัญหาสุขภาพส่วนบุคคล แผลกดทับจากสุขอนามัยที่ดูแลตนเองไม่ดีจึงทำให้ ผู้จัดทำนอกจากทำการคดั กรองผู้ที่เสี่ยงต่อภาวะอัลไซเมอร์แล้วตอ้ งมีการคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงตอ่ แผลกดทับในผู้สงู อายุร่วมดว้ ย การคัดกรองความเสีย่ งแผลกดทับ เป็นการค้นหาบคุ คลท่ีมีความเสีย่ ง ต่อการเกิดแผลกดทับ และปัจจัยเสี่ยงที่เฉพาะเจาะจงกับบุคคลนั้นๆ เพื่อหาวิธีการป้องกันและการ จดั การแก้ไขปญั หาให้เหมาะสมกบั สถานการณ์ในปัจจุบัน โครงสรา้ งและหลักการ Application โครงสร้างจำลอง Application ปกหนา้ จอหลัก Application ปมุ่ เชื่อมต่อเว็ปไซต์ ปุ่มคัดกรองอลั ไซเมอร์ ปุ่มคัดกรองแผลกดทบั ปมุ่ เชือ่ มต่อ VDO อัลไซเมอร์ ปุ่มเชื่อมต่อ VDO แผลกดทบั ปุม่ เชอ่ื มต่อลิงคน์ ัดหมาย ภาพที่ 1.1 แสดงโครงสร้าง Application ภายนอกพร้อมส่วนประกอบจำลอง

5 โครงสร้างจำลอง Application จะประกอบด้วย ตัวหน้าจอหลักโปรแกรมแสดงชื่อและ เนื้อหาของนวัตกรรมงานวิจัย ปุ่มเชื่อมต่อเว็ปไซต์ทางผู้จัดทำจะทำการเชื่อต่อกับนวัตกรรมชุดองค์ ความรู้ E-Book เกี่ยวกับองค์ความรู้โรคอัลไซเมอร์ องค์ความรู้แผลกดทับ เกมส์ในเบื้องต้น ปุ่มคัด กรองกลุ่มเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ ผู้วิจัยนวัตกรรมจะทำการเชื่อแบบฟอร์คัดกรองออนไลน์ ปุ่มคัดกรอง เสี่ยงต่อแผลกดทับก็จะทำการเชื่อมโยงแบบฟอร์มคัดกรองออนไลน์ ปุ่มเชื่อมวีดิทัศน์ อัลไซเมอร์ และปุ่มวีดิทัศน์แผลกดทับ จะทำการเชื่อต่อกับแหล่งเรยี นรู้จากแหล่งยูธูปออนล์ให้กับกลุ่มเปา้ หมาย ได้เข้าเรียนรู้ที่หลากหลาย สำหรับปุ่มสุดท้ายปุ่มเชื่อมต่อการนัดหมาย ผู้วิจัยจะทำการเชื่อแบบฟอร์ นดั หมายออนไลน์และเชื่อต่อกับไลน์เพ่ือตดิ ต่อแจ้งเตือนในการนัดหมาย หลกั การทำงาน Application หลักการทำงาน Application ผู้วิจัยนวัตกรรมจะใช้โปรแกรม Glide app ในการเขียนและ ออกแบบ Application Glide app เป็น Application ที่จะมาช่วยจัดการในด้านการแสดงผลข้อมูล ต่างๆ จาก Google Sheet ที่เรามีให้มาอยู่บน Smart Phone สามารถเลือกรูปแบบการแสดงผลได้ หลากหลายแบบตามต้องการ โดยแค่เรามีข้อมูลใน Google Sheet ก็เปลี่ยนเป็น mobile app ได้ ง่ายๆ ปัจจุบันนี้คงปฏิเสธไม่ได้เลยที่จะบอกว่า โทรศัพท์มือถือ นั้นเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเราทุกๆ ดา้ น แล้วถา้ หากเรามีไอเดยี ท่จี ะแก้ไขปญั หาต่างๆ หรอื ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้สะดวกมากขึ้น หลายคนก็เริ่มคิดจะทำ mobile app มาแก้ปัญหาต่างๆ นี้ เมื่อจัดทำ Application โดย Glide app เป็นที่เรียบร้อยเราจะทำการเช่ือมโยงข้อมูลจากนวัตกรรมที่เราออกแบบไว้คือ นวัตกรรมชุดองค์ ความรู้ E-book แบบออนไลน์ นวัตกรรมแจ้งเตือนนัดหมายผ่าน Line notify แบบออนไลน์ แพลตฟอรม์ คดั กรองกลุ่มทเี่ สีย่ งต่อโรคอลั ไซเมอรแ์ ละกลุ่มเสีย่ งต่อแผลกดทับแบบออนไลน์ รวมถึงวีดิ ทัศน์ความรู้อัลไซเมอรแ์ ละแผลกดทับแบบออนไลน์ นำมาเชื่อมกับ Application ให้สมบูรณ์พร้อมใช้ งาน

6 1.2 วัตถปุ ระสงคข์ องการศกึ ษา 1.2.1 เพื่อออกแบบแอ็ปพลเิ คชน่ั คัดกรองกล่มุ เสี่ยงต่อโรคอลั ไซเมอรแ์ ละกลุ่มเสย่ี งต่อแผลกดทับ ในผู้สูงอายุ 1.2.2 เพื่อลดการตดิ ต่อการสมั ผสั จากบุคคลากรทางสาธารณสุขในชว่ งการแพร่ระบาด Covid-19 1.2.3 เพอ่ื ส่งเสริมใหค้ วามร้โู รคอัลไซเมอรแ์ ละแผลกดทับในกลุ่มผ้สู งู อายุ บคุ คลในครอบครัว และญาติ 1.2.4 เพื่อส่งเสริมใหผ้ ู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตทด่ี ี ดว้ ยการดำรงชีวติ อย่างมีคุณค่า มีศักด์ิศรีพ่ึงตนเอง ได้ ไมท่ ำใหเ้ กดิ ปัญหาในครอบครวั และชุมชน 1.3 ขอบเขตของการศกึ ษา 1.3.1 สามารถกดป่มุ ใช้งาน Application ผ่าน Smart phone โดยแตล่ ะปุ่มจะมรี ายละเอียดดังน้ี 1.3.1.1 ปุ่มท่ี 1 เขา้ สเู่ วบ็ ไซต์ (ชุดองค์ความรู้ E-BOOK) 1.3.1.2 ปมุ่ ท่ี 2 แบบคดั กรองผ้ทู ่ีเสย่ี งตอ่ ภาวะอลั ไซเมอร์ 1.3.1.3 ปุ่มท่ี 3 แบบคดั กรองผูท้ ี่เส่ยี งต่อแผลกดทับ 1.3.1.4 ปุ่มท่ี 4 วีดทิ ศั น์อลั ไซเมอร์ 1.3.1.5 ปมุ่ ท่ี 5 วดี ิทศั น์แผลกดทบั 1.3.1.6 ปมุ่ ท่ี 6 ติดตอ่ สอบถาม/การนดั หมาย 1.3.2 ตวั Application จะทำการควบคุมด้วยโปรแกรม Glide app แสดงผลผ่านหนา้ จอ Smart Phone เมอ่ื เขา้ ใชง้ าน 1.3.3 ตวั Application มีนวตั กรรมชดุ องค์ความรู้ E-book ให้ไดเ้ รียนรู้และเกมส์ 1.3.4 ตัว Application มีนวัตกรรมการแจง้ เตือน/นัดหมายผา่ น Line notify อตั โนมัติ 1.3.5 ตวั Application มแี บบคดั กรองความเสยี่ งโรคอลั ไซเมอร์ 1.3.6 ตัว Application มแี บบคดั กรองแผลกดทบั ในผู้สงุ อายุและญาติ 1.3.7 ตวั Application มวี ดี ิทศั นอ์ อนไลน์โรคอัลไซเมอร์และแผลกดทบั ให้ได้เรยี นรู้ 1.3.8 ตัว Application สามารถเขา้ เรียนรู้และนดั หมายได้ตลอดเวลา 24 ชัว่ โมง

7 1.4 ประโยชน์ทีค่ าดว่าจะไดร้ ับ 1.4.1 เพอ่ื คดั กรองกลมุ่ เสย่ี งโรคอลั ไซเมอร์ในกลุ่มผสู้ ูงอายุ 1.4.2 เพอ่ื คัดกรองกลุม่ เสย่ี งแผลกดทบั ในกลมุ่ ผ้สู งู อายุ 1.4.3 ให้ความรู้ให้สำหรับกลุม่ เสี่ยงโรคอัลไซเมอร์และกลุ่มเสี่ยงแผลกดทับให้ได้เรียนรู้รวมถึงญาติ หรอื บคุ คลในครอบครวั ไดเ้ ข้ามาเรยี นรเู้ พอ่ื ป้องกนั โรคอลั ไซเมอร์และแผลกดทบั 1.4.4 เพือ่ ทำการนัดหมายกล่มุ เปา้ หมายและทำการนดั หมายปรึกษาหารือแก้ไขปัญหา 1.4.5 เพือ่ ลดการสัมผัสจากบคุ ลากรทางสาธารณสุขระหว่างชว่ งการแพร่ระบาด Covid-19 1.4.6 เพื่อลดค่าใช้จา่ ยในการจัดซอื้ วสั ดอุ ุปกรณ์ในการลงคดั กรองกลุ่มเสี่ยง

8 บทที่ 2 แนวคดิ ทฤษฎที ่เี ก่ียวขอ้ ง การออกแบบ Application มีความจำเป็นอย่างยิง่ ทีต่ ้องอาศัยหลักการและทฤษฎีที่จำเปน็ ท่ี สามารถนำมาอ้างอิงในผลงานโครงการวิจัยนวัตกรรมเพื่อให้ข้อมูลที่ทำการศึกษาค้นคว้าวิจัยมีความ เป็นเหตเุ ปน็ ผลตอ่ การทำนวัตกรรมวจิ ัยมากยิ่งข้ึน ซ่งึ หัวขอ้ ของทฤษฎที ีเ่ ก่ียวขอ้ งมดี งั ตอ่ ไปน้ี 2.1 การเปลย่ี นแปลงทางประชากรและขอ้ มูลสถิติที่สำคัญเกยี่ วกับผ้สู งู อายุ 2.2 ทฤษฎีโรคอัลไซเมอร์ 2.3 ทฤษฎีแผลกดทับ 2.4 ความรพู้ ื้นฐานด้าน Hardware ที่เกี่ยวขอ้ งนวัตกรรม 2.1 การเปลี่ยนแปลงทางประชากรและข้อมูลสถิติทีส่ ำคัญเกย่ี วกับผูส้ งู อายุ การเปลี่ยนแปลงทางประชากรและข้อมูลสถิติที่สำคัญเกี่ยวกับผู้สูงอายุในประเทศไทยแบ่ง ออกได้เป็น 3 ประเภทตามรายงานประจำปีสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2555 ได้แก่ สถานการณ์ ดา้ นประชากร สถานการณ์ดา้ นสุขภาพ สถานการณ์ดา้ นสงั คมและเศรษฐกจิ ดังน้ี 2.1.1 สถานการณ์ด้านประชากร 2.1.1.1 การเปลย่ี นแปลงโครงสรา้ งทางอายขุ องประชากร โครงสร้างทางอายุของประชากรแสดงด้วยสัดส่วนของประชากรในวัยต่างๆ เมื่อจำแนก ประชากรออกเป็นกลุ่มอายุ 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ประชากรวัยเด็ก (อายุน้อยกว่า 15 ปี) วัยแรงงาน (อายุ 15-59 ปี) และวัยสูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) จะเห็นได้ว่าในระหว่างปี พ.ศ.2553 – พ.ศ.2583 สัดส่วนของประชากรวัยเด็กและวัยแรงงานมีแนวโน้มลดลงในขณะที่สัดส่วนของประชากรสูงอายุ มี แนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 13.2 ในพ.ศ.2553 เป็นร้อยละ 32.1 ในพ.ศ.2583 และที่ น่าสังเกต คือ ในปีพ.ศ.2560 จะเป็นปีที่คาดว่าสัดส่วนของประชากรวัยเด็กจะเท่ากันกับสัดส่วนของ ประชากรวัยสูงอายุ (แผนภูมทิ ่ี 1.1)

9 แผนภมู ทิ ่ี 1.1 สัดส่วนประชากรวยั เดก็ วัยแรงงานและวัยสูงอายุ พ.ศ.2553 – พ.ศ.2583 ท่ีมา: 1. สำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ.2553 สำนกั งานสถิตแิ หง่ ชาติ 2. การคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ.2553 – พ.ศ.2583 3.สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ แผนภมู ิท่ี 1.2 โครงสร้างทางอายแุ ละเพศของประชากรอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ท่มี า : การคาดประมาณประชากรของประเทศไทย 2543-2573 (ข้อสมมติภาวะเจริญพันธุ์ปาน กลาง) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ

10 2.1.1.2 จำนวนและสัดส่วนของประชากรสูงอายุ ตารางท่ี 1.1 จากผลการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ.2553 – พ.ศ.2583 พบว่า สัดส่วนของประชากรสูงอายุวัยปลาย (อายุ 80 ปีขึ้นไป) มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน กล่าวคือสัดส่วนของผู้สูงอายุวยั ปลายจะเพิ่มจากประมาณร้อยละ 12.7 ของประชากรสูงอายุทั้งหมด เป็นเกือบ 1 ใน 5 ของประชากรสูงอายุ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของประชากรสูงอายุวัยปลายน้ี จะสะท้อนถึง การสูงอายุขึ้นของประชากรสูงอายุ และนำไปสู่การเพ่ิมขึ้นของประชากรที่อยู่ในวัยพึ่งพิง ทั้งในเชิง เศรษฐกจิ สังคม และสขุ ภาพ เมื่อพิจารณาสัดส่วนเพศของประชากรสูงอายุ พบว่าประชากรสูงอายุเพศหญิงมีสัดส่วนร้อย ละ 55.1 ในปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 56.8 ในปี 2583 โดยเฉพาะประชากรสูงอายุวัยปลายเพศ หญิงมีแนวโน้มเพิ่มข้ึนอย่างเห็นได้ชัด จากร้อยละ 13.9 ในปี 2553 เป็นร้อยละ 21.3ในปี 2583 เนื่องจากเพศหญิงจะมีอายุยืนยาวกวา่ เพศชาย สำหรบั แนวโนม้ ประชากรสงู อายุไทยจะอาศัยอยู่ในเขตเทศบาลหรือเขตเมืองเพิ่มขึ้นโดยในปี 2553 มีประชากรสูงอายุที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลจำนวน 3.3 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 39.7 เพิ่มขึ้นเป็น11.6 ล้านคน หรือร้อยละ 59.8 ในปี 2583 ทั้งนี้ เนื่องมาจากแนวโน้มการเติบโตของ ประชากรเมืองในประเทศไทยมสี ดั ส่วนเพิ่มสูงขึ้น ตารางท่ี 1.1 จำนวนและสัดสว่ นประชากรสูงอายุ จำแนกตามกลุ่มอายุ (อายุ 60-69 ปี, 70-79 ปี และ 80 ปขี น้ึ ไป) เพศ และเขตที่อยู่อาศยั พ.ศ.2553 – พ.ศ.2583 ทีม่ า: การคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ.2553 – พ.ศ.2583 สำนกั งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ

11 2.1.1.3 อัตราเพิม่ ของประชากรรวมเปรยี บเทียบกับประชากรวัยสูงอายุ จากข้อมูลการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ.2553–พ.ศ.2583 ชี้ให้เห็นว่า อัตราการเพิ่มของประชากรโดยรวมมีแนวโน้มลดลงจนติดลบ โดยเริ่มติดลบในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2568 - พ.ศ.2573 เป็นต้นไป ในขณะที่อัตราการเพิ่มของประชากรสูงอายุแม้ว่าจะมีแนวโน้ม ลดลง แต่ยงั อย่ใู นระดับทสี่ งู กว่าอตั ราการเพิ่มประชากรรวมค่อนข้างมาก อนั เป็นผลมาจากอตั ราเจริญ พนั ธท์ุ ลี่ ดลงอย่างรวดเรว็ (แผนภมู ทิ ี่ 1.3) แผนภมู ทิ ี่ 1.3 อัตราการเพิ่มประชากรรวม เปรยี บเทียบกบั ประชากรวยั สูงอายุ พ.ศ.2553 – พ.ศ 2583 ทีม่ า: การคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ. 2553 – พ.ศ.2583 ของสำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ 2.1.2 สถานการณ์ดา้ นสขุ ภาพ 2.1.2.1 อายุคาดเฉลย่ี เมอื่ แรกเกดิ (e0) อายุ 60 ปี (e60) และอายุ 80 ปี (e80) จากการพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านการแพทย์ซึ่งสามารถลดภาวะการตายของประชากรทุก กลุ่มได้ โดยอายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิด (Life expectancy at birth - e0) หรือจำนวนปีโดยเฉลี่ยท่ี คาดว่าจะมีชีวิตอยู่ จากข้อมูลการคาดประมาณประชากรขององค์การสหประชาชาติแสดงเห็นได้ชัด ว่า อายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดของประชากรเพศหญิงจะเพิ่มจาก ประมาณ 78 ปีในปี พ.ศ.2553 เป็น 82 ปีในปี พ.ศ.2583 ในขณะทีเ่ พศชายจะเพ่มิ จาก ประมาณ 71 ปี เป็น 77 ปี (แผนภมู ิท่ี 1.4)

12 ในกลุม่ ประชากรสูงอายุ ภาวะการตายจะลดลงเป็นลำดับเชน่ กนั ทำใหป้ ระชากรกลุ่มน้ีมีอายุ ยืนยาวขน้ึ เมอ่ื พจิ ารณาจำนวนปที ่ีจะมีชวี ิตต่อไปไดเ้ ม่อื อายุ 60 ปี (อายคุ าดเฉล่ียเมอื่ อายุ 60 ปี) และ อายุ 80 ปี (อายุคาดเฉลี่ยเมื่ออายุ 80 ปี) พบว่า อายุคาดเฉลี่ยเมื่ออายุดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ อายุคาดเฉลี่ยเม่ืออายุ 60 ปีของเพศหญงิ เพิ่มจาก 23 ปใี นปี พ.ศ.2553 เป็นประมาณ 26 ปี ในปี พ.ศ.2583 และอายุคาดเฉลี่ยเมื่ออายุ 80 ปีของเพศหญิงเพิ่มจาก 9 ปี ในปีพ.ศ.2553 เป็น ประมาณ 10 ปี ในปี พ.ศ.2583 ส่วนเพศชายจะมีอายุคาดเฉลี่ยเมื่ออายุ 60 ปี เพิ่มจาก 20 ปี เป็น ประมาณ 23 ปี และอายุคาดเฉลี่ยเมอ่ื อายุ 80 ปี เพิม่ จาก 8 ปี เป็นประมาณ 9 ปใี นชว่ งเวลาเดยี วกัน เม่อื พจิ ารณาระหว่างเพศ พบวา่ เพศหญิงจะมีอายุคาดเฉล่ยี เมื่ออายุ 60 ปี และ 80 ปีสูงกว่า เพศชาย แต่ความแตกตา่ งระหวา่ งเพศจะลดลงเมอ่ื มีอายุเพ่ิมมากข้นึ (แผนภมู ิท่ี 1.4) แผนภมู ิท่ี 1.4 อายคุ าดเฉลย่ี เมื่อแรกเกิด (e0) อายุ 60 ปี (e60) และ อายุ 80 ปี (e80) พ.ศ.2553 – พ.ศ.2583 ทม่ี า: Population Division of the Department of Economic and Social Affairs of the United Nations Secretariat, World Population Prospects: The 2012 Revision (http://esa.un.org/unpd/wpp/index.htm) 2.1.2.2 ภาวะสขุ ภาพทป่ี ระเมินโดยตนเองของประชากรสงู อายุ ภาวะสุขภาพที่ได้จากการประเมินโดยตนเองเป็นอีกหนึ่งดัชนีที่ใช้กันแพร่หลายในการวัด สุขภาพโดยรวม แผนภูมิท่ี 1.4 แสดงร้อยละของประชากรอายุ 60 ปี ที่รายงานว่าตนเองมีสุขภาพดี หรือดีมาก ปีพ.ศ.2550 และ พ.ศ.2554 จำแนกตามอายุ เพศ และเขตที่อยู่อาศัยซึ่งพบว่าร้อยละของ

13 ผู้สูงอายุที่ประเมินว่าตนเองมีสุขภาพดีหรือดีมากลดลง ทั้งในเขตเมืองและในเขตชนบท นอกจากนี้ ร้อยละที่มีสุขภาพดีหรือดีมากนั้นยังผันแปรกับอายุ และเพศ โดยผู้สูงอายุที่มีอายุมากมีร้อยละท่ี รายงานว่าตนเองมีสุขภาพดีหรือดีมากต่ำกว่าผู้สูงอายุที่มีอายุน้อยและผู้สูง อายุหญิงมีสัดส่วนผู้ที่ รายงานวา่ ตนเองมสี ขุ ภาพดีหรือดมี ากตำ่ กว่าผสู้ ูงอายุชาย แผนภาพท่ี 1.1 แสดงสัดส่วนประชากรสูงอายุทีป่ ระเมินวา่ มีสุขภาพดี จำแนกตามจังหวัดใน ปี พ.ศ.2554 เป็นที่น่าสนใจว่าจังหวัดชุมพร และระนอง มีร้อยละของผู้สูงอายุที่ประเมินว่าตนเองมี สขุ ภาพดีหรือดมี ากสูงถงึ กว่าร้อยละ 60 ซงึ่ สูงกว่าค่าเฉลย่ี ของประเทศ แผนภูมิท่ี 1.5 ร้อยละของประชากรอายุ 60 ปี ที่รายงานว่าตนเองมีสุขภาพดีหรือดีมาก พ.ศ. 2550 และ พ.ศ.2554 ทมี่ า: โครงการสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ.2550 และ พ.ศ.2554 สำนักงานสถิติ แหง่ ชาติ

14 แผนภาพที่ 1.2 สดั สว่ นประชากรสงู อายุท่ีประเมนิ วา่ มีสุขภาพดีจำแนกตามจงั หวดั พ.ศ.2554 ทีม่ า: โครงการสำรวจประชากรสงู อายุในประเทศไทย พ.ศ.2554 สำนักงานสถิติแหง่ ชาติ

15 2.2 ทฤษฎีโรคอลั ไซเมอร์ 2.2.1 ความเปน็ มาของโรคอลั ไซเมอร์ ภาพที่ 2.1 จิตแพทย์ชาวเยอรมันอาลอยส์ อลั ไซเมอร์ (Alois Alzheimer) ทมี่ า: http://www.findagrave.com/cgi- bin/fg.cgi?page=gr&GRid=10688 โรคอลั ไซเมอรถ์ กู คน้ พบต้ังแต่ปี ค.ศ. 1906 (พ.ศ.2449) โดยจิตแพทย์ชาวเยอรมันช่อื อาลอยส์ อัลไซเมอร์ (Alois Alzheimer) ได้สังเกตความผิดปกติของผู้ป่วยรายหนึ่งที่มีอาการความจำเสื่อม ร่วมกับพฤติกรรมที่ผิดปกติที่ไม่สามารถอธิบายสาเหตุได้โดยขณะนั้นได้ให้คำนิยามว่าเป็นโรคสมอง เสื่อมในวยั ใกล้ชรา (presenile dementia) เมอ่ื ผูป้ ่วยรายนั้นเสยี ชวี ติ ลงนายแพทยอ์ ลั ไซเมอร์จึงได้ผ่า ชันสูตรสมองผู้ป่วยและได้บรรยายพยาธิสภาพที่พบว่ามีการสะสมของคราบสารที่พอกอยู่ในสมอง เรียกว่า ซีไนล์ พลากส์ (senile plaques หรือ SPs) และพบว่ากิ่งก้านสาขาของเซลล์สมองเกิดการ เหี่ยวย่นแตกกระเจิงและพันกันยุ่งเหยิงเรียกว่า นิวโรฟิบริลารี่ แทงเกิ้ล (neurofibrillary tangles หรอื NFTs) ซ่งึ นับเป็นการคน้ พบครั้งแรกทไี่ ดร้ บั การยอมรับและกว่า 100 ปีนับจากทีไ่ ด้มกี ารบรรยาย ความผิดปกติของโรคอัลไซเมอร์ไว้นักวิจัยได้นำสิ่งที่บันทึกไปสู่การศึกษาวิจัยเพื่อหารายละเอียด เพิ่มเติมของโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อมกันอย่างกว้างขวางจนกระทั่งค้นพบองค์ความรู้ใหม่ เกิดขึ้นอีกมากมายทั้งพยาธิสรีรวิทยาของโรค สาเหตุการเกิดโรค ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรค วิธีการ ตรวจวินิจฉัย รวมถึงแนวทางการรักษาที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ป่วยและแนวทางป้องกันไม่ให้เป็นโรค ภาวะสมองเสือ่ มในปัจจุบนั อัตราการเกิดโรคจากข้อมูลสถิติระบาดวิทยาของดับเบิ้ลยูเอชโอ (WHO) พบว่าอุบัติการณ์ และความชุกของโรคอัลไซเมอร์มากขึ้นตามอายุพบว่า 1 ใน 4 ของผู้สูงอายุ 85 ปีเป็นโรคอัลไซเมอร์ เมื่ออายุ 95 ปี อัตราการเกิดโรคมากถึงครึ่งหนึ่งประเทศแถบตะวันตกเช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา

16 อัตราการเกิดโรคอัลไซเมอร์เมื่ออายุ 75 ปีขึ้นไปในปัจจุบันคิดเป็น 20% อายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปใน ประเทศสหรฐั คิดเปน็ 10% ในประเทศจีนคดิ เป็น 4.2% และในประเทศไทยคิดเปน็ 3.4% ไมว่ า่ ใครก็ สามารถป่วยได้ ยกตัวอย่างบุคคลที่เป็นโรคอัลไซเมอร์คือ อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐ “โรนัลด์ เร แกน” และอดีตนายกรฐั มนตรแี ห่งสหราชอาณาจักร “มารก์ าเรต ฮิลดา แทตเชอร”์ ล้วนแต่เป็นผปู้ ว่ ย โรคอัลไซเมอร์ทั้งสิ้น และเมื่อความสามารถในการจำลดลงย่อมเป็นอาการแสดงเบ้ืองตน้ ทีพ่ บได้บ่อย ทสี่ ดุ ของโรคอัลไซเมอร์ สาเหตุของโรคน้ันไม่มีใครทราบไดช้ ัดเจน โรคอัลไซเมอรไ์ ด้ถูกจดั ไวใ้ นอันดับที่ 20 ในปี 2012 และ Alzheimer’s Disease International (ADI) รายงานว่า ในปี 2013 ประชากร โลกป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมประมาณ 44.35 ล้านคนและคาดการณ์ไว้ว่าหากไม่มีการดำเนินการที่ เหมาะสมจำนวนผู้ป่วยเป็นโรคดังกล่าวอาจเพิ่มเป็น 75.62 และ 135.46 ล้านคนในปี 2030 และ 2050 ตามลำดับซึ่งคาดว่าร้อยละ 71 ของจำนวนผู้ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ในปี 2050 นั้นจะพบใน กลุ่มประเทศที่มีรายได้ต่ำหรือปานกลาง (lower and middle-income countries) เนื่องจากมี จำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้นทั้งนี้โรคอัลไซเมอร์ส่วนใหญ่พบมากในกลุ่มประเทศภูมิภาคอเมริกาและ ยุโรป เนื่องจากพบว่า โรคอัลไซเมอร์เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในลำดับที่ 3 และ7 ตามลำดับ (WHO, 2012) สำหรับประเทศไทยนั้นมีสถิติของคนที่ป่วยเป็นโรคความจำเสื่อมในขณะนี้สูงถึง ประมาณ 6 ลา้ นคนทวั่ ประเทศและมีแนวโน้มเพ่ิมสูงข้ึนโดยส่วนใหญจ่ ะอยู่ท่ีอายรุ ะหว่าง 65 ปีขึ้นไป และพบในเพศหญิงมากกว่าชาย ภาพท่ี 2.2 แสดงเซลล์สมองคนปกตแิ ละคนเป็นโรคอัลไซเมอร์ ที่มา: http://www.neurology.org/content/69/9/E8/F1.expansion.html

17 โรคอัลไซเมอร์ [Alzheimer’s disease (AD)] หรือ Dementia of Alzheimer’s type (DAT) คือ เป็นโรคสมองเสื่อมชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยที่สุด โดยจะมีการเสื่อมของเซลล์สมองทุกส่วนมี พยาธิสภาพที่สมอง เป็นโรคสมองเสื่อมชนิดถาวร ผู้ป่วยจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเอง ไม่ สามารถแยกถกู ผิด มีปัญหาในเรือ่ งการใช้ภาษา การประสานงานของกล้ามเน้ือเสียไป มีความจำเสื่อม ในระยะท้ายของโรคจะสูญเสียความจำทั้งหมด จะค่อยๆ แย่ลงจนถึงอาการสุดท้าย คือ ช่วยตัวเอง ไมไ่ ด้ และเสียชีวิตไปเพราะอาการแทรกซ้อนทเ่ี กดิ ข้ึน ไม่สามารถรักษาใหห้ ายขาด ในปัจจุบันไม่ทราบ สาเหตทุ ีช่ ัดเจน 2.2.2 พยาธิสรีรวทิ ยาของโรค โรคอัลไซเมอร์เกี่ยวข้องกับการเกิด senile plaques (SPs) และ neurofibrillary tangles (NFTs) ที่ชันสูตรพบอยู่ทั่วไปภายในสมองของผู้ป่วยทั้งในกลุ่มที่มีอาการก่อนอายุ 60 ปี (early- onset AD) และกลุ่มที่มีอาการหลังอายุ 60 ปีขึ้นไป (late-onset AD) อย่างไรก็ตามสาเหตุที่ทำให้ เกิด SPs และ NFTs นั้นยังไม่ทราบแน่ชัด สมมติฐานสำคัญที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางใน ปัจจุบันได้แก่ สมมติฐานที่เกี่ยวข้องกับสารอะไมลอยด์ (amyloid-cascade hypothesis) และ สมมติฐานท่เี กีย่ วข้องกบั ความผิดปกตขิ องโปรตนี เทา (hyperphosphorylation of protein tau (τ) hypothesis) อย่างไรก็ตามสมมติฐานทั้งสองนี้ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่ากระบวนการใดเกิดข้ึน กอ่ นหรอื หลงั หรือมีความเก่ียวขอ้ งกันหรือไม่ ภาพที่ 2.3 จุลพยาธิสภาพของซีไนล์ พลากในซรี บี รลั คอร์เท็กซ์ของผปู้ ่วยโรคอัลไซเมอร์ ย้อมดว้ ยเงนิ ท่มี า: http://en.wikipedia.org/wiki/Alzheimer's_disease ทั้งนี้มีหลายการศึกษาเชื่อว่าการสะสมของเบต้าอะไมลอยด์ (beta-amyloid, Aβ) อาจจะไป เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโปรตีนเทา (tau (τ) protein) ซึ่งเกาะอยู่บนเส้นใยขนาดเล็ก (microtubule) ของเซลล์ประสาททำให้เส้นใยประสาทสูญเสียโครงสร้างเดิมและเสื่อมสลายไปเกิด

18 การนำกระแสไฟฟ้าประสาทผิดปกติตามมาแต่โดยทั่วไปที่เชื่อกันว่า amyloid cascade theory เกิดขึ้นก่อนและเป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของเซลล์ประสาทสมองตามมาเช่น การ ตอบสนองต่อการอักเสบเริ่มต้น (pro-inflammatory response) ความผิดปกติในการทำงานของไม โตคอนเดรีย ( mitochondrial dysfunction) อันตรายจากสารอนุมูลอิสระ (oxidative stress) รวมถึงปัจจัยต่างๆ ทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม (genetic and environmental factors) จน นำไปสู่ภาวะเซลล์ตาย (apoptosis) ในที่สุด และไม่นานนี้ได้มีการเสนอสมมติฐานที่เกีย่ วข้องกับการ ทำงานผิดปกตขิ องคอรอยดเ์ พลก็ ซสั (choroid plexus-cerebrospinal fluid system dysfunction) ที่อาจมีส่วนในการเกดิ โรคอัลไซเมอร์ โดยเฉพาะในกลุ่ม late-onset ด้วย อย่างไรก็ตามการทำงานที่ ผดิ ปกตไิ ปของ choroid plexus จากทฤษฎที นี่ ำเสนอขึน้ มาใหม่นั้นอาจเกดิ ขึน้ ก่อนความผิดปกติของ 2 ทฤษฎีแรกก็เป็นได้รวมถึงการสะสมของสารอะไมลอยด์ในสมองโปรตีนเบต้าอะไมลอยด์ (Aβ) เป็น โปรตีนขนาดเล็กที่เกิดจากการย่อยสลายของโปรตีนขนาดใหญ่ที่เรียกว่าอะไมลอยด์พรีเคอเซอร์ โปรตีน (amyloid precursor protein) ซึ่งถูกย่อยโดยเอนไซม์ที่ชื่อ เบต้าซีครีเทส (β secretase) และแกมมา่ ซีครีเทส (γ secretase) ตามลำดบั จนได้เป็นโปรตีนเบต้าอะไมลอยด์ ซึ่งเป็นพิษต่อเซลล์ ประสาทและเมื่อสะสมรวมกันก็จะกลายเป็นองค์ประกอบหลักของ SPs โปรตีนเบต้าอะไมลอยด์ ประกอบด้วย กรดอะมิโนย่อยจำนวน 42 ตัว (Aβ 1-42 isomer) ซึ่งมีคุณสมบัติไม่ละลายน้ำและมี แนวโน้มที่จะรวมตัวกันกลายเป็นกลุ่มก้อนโปรตีนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น (polymerization) จนกลายเป็น โครงสร้างใหม่ที่แตกต่างกันออกไปได้แก่ oligomeric, protofibrillar, amylospheroid, และ fibrillar forms การรวมตัวกันที่ผิดปกติของ Aβ หรือการไม่สามารถกำจัด Aβ ออกไปได้เต็มที่เป็น เหตุให้เกิดกระบวนการต่างๆ ตามมา เช่น การตอบสนองต่อการอักเสบเริ่มต้น (pro-inflammatory response) ความผดิ ปกติในการทำงานของไมโตคอนเดรีย ( mitochondrial dysfunction) อนั ตราย จากสารอนุมูลอิสระ (oxidative stress) รวมถึงปัจจยั ต่างๆ ทางพันธุกรรมและสิง่ แวดล้อม (genetic and environmental factors) จนนำไปสู่ภาวะเซลล์ตาย (apoptosis) และทำให้การทำงานของสาร สื่อประสาท (neurotransmitter) ผิดปกติไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้สารอะเซติลโคลีน (Acetylcholine, Ach) ลดลงซึ่งเชื่อว่าเป็นเหตใุ หผ้ ู้ป่วยเกิดอาการต่างๆ ตามมา โปรตีนเทา (tau (τ) protein) จะเกาะอยู่บนเส้นใยขนาดเล็กของเซลล์ประสาทโปรตีนเทานี้ทำให้เซลล์ประสาทปกติมี ความยืดหยุ่นและคงตัว (stabilize) แต่ในโรคอัลไซม์เมอร์พบว่าโปรตีนเทาเกิดการเปลี่ยนแปลงทาง เคมีสลายตัวและจับตัวกันเองจนกลายเป็นก้อนและพันกันยุ่งเหยิง เรียกว่า แทงเกิ้ล (tangles) หรือ นิวโรฟิบริลาร่ีแทงเกิ้ล (neurofibrillary tangles, NFTs) เป็นเหตุให้เสน้ ใยประสานขนาดเลก็ แตกตวั (disintegrate) ระบบการขนส่งในเซลล์ประสาทผิดปกติไปส่วนประกอบของ NFTs นอกจากจะมี โปรตีนเทาเป็นส่วนประกอบหลักแล้วยังประกอบด้วย ubiquitin, cholinesterase, A4 amyloid

19 protein อีกด้วย นอกจากนี้จากการศึกษาวิจัยในโรคอัลไซเมอร์ยังพบกระบวนการต่างๆ เกิดขึ้นอีก มากมาย จากการกระตุ้นของ Aβ ได้แก่ granulovacuolar degeneration, neuropil threads formation, microgliosis, astrocytosis, genetic mutation, pro-inflammation response, mitochondrial dysfunction, lysosomal dysfunction, oxidative stress, receptor modulation เปน็ ตน้ ภาพท่ี 2.4 เอนไซมท์ ำปฏิกริ ยิ ากับโปรตนี ตน้ กำเนดิ แอมีลอยด์ (amyloid precursor protein;APP) โดยตัดโปรตีนเปน็ ท่อนๆ ท่อนท่ชี ื่อว่า บีตา-แอมลี อยด์ (beta- amyloid) มคี วามสำคญั ในการสร้างซีไนล์ พลาก (senile plaques) ใน โรคอัลไซเมอร์ ท่มี า: https://neurowiki2012.wikispaces.com/Down+Syndrome ภาพที่ 2.5 การเปลี่ยนแปลงของโปรตนี เทา (Tau protein) ทำใหเ้ กิดการสลายของ ไมโครทิวบูลในเซลลส์ มอง ท่ีมา: http://th.wikipedia.org/wiki 2.2.3 กลไกการเกิดโรค ในปัจจุบันยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าการรบกวนการสังเคราะห์และการสะสมของแอมีลอยด์ บีตานั้นทำให้เกิดพยาธิสภาพของโรคอัลไซเมอร์ได้อย่างไร สมมติฐานแอมีลอยด์มุ่งเน้นว่าการสะสม ของเพปไทด์แอมีลอยด์ บีตาเป็นกลไกหลักที่กระตุ้นให้เกิดความเสื่อมของเซลล์ประสาท การสะสม

20 ของกลุ่มเส้นใยแอมีลอยด์ซึ่งเชื่อว่าโปรตีนพิษที่รบกวนภาวะธำรงดุลของไอออนแคลเซียมของเซลล์ ชักนำให้เกิดการตายของเซลล์แบบอะพอพโทซิส(apoptosis) นอกจากนี้ยังเป็นที่ทราบกันว่า Aβ เกิดขึ้นอย่างจำเพาะภายในไมโทคอนเดรียในเซลล์ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งไปยับยั้งการทำงานของ เอนไซม์บางตัวและการใช้กลูโคสของเซลล์ประสาท กระบวนการอักเสบและไซโตไคน์ต่างๆ อาจมี บทบาทในพยาธิสภาพของโรคอัลไซเมอร์ด้วย การอักเสบเป็นเครื่องหมายของการทำลายเนื้อเยื่อใน โรคต่างๆ และอาจเป็นผลจากการทำลายเนื้อเยื่อในโรคอัลไซเมอร์หรือเป็นสัญลักษณ์ของการ ตอบสนองทางระบบภูมคิ มุ้ กัน 2.2.4 สาเหตุท่ีทำให้เกดิ โรคอลั ไซเมอร์ สาเหตขุ องการเกดิ โรคอัลไซเมอร์ ยังไม่ทราบแนช่ ัด มี 3 สมมตุ ิฐานทอี่ ธบิ ายถงึ สาเหตูของการเกิดโรคดังน้ี สมมุติฐานแรก เช่อื ว่า โรคอลั ไซเมอรเ์ กิดจากมีการลดการสร้างสารสื่อประสาทแอซิทิลโคลีน (Acetylcholine) แตเ่ มื่อให้ยารกั ษาการขาดแอซิทลิ โคลนี โดยตรงก็ไม่สามารถรกั ษาโรคอัลไซเมอร์ได้ สมมตุ ฐิ านทสี่ อง เช่ือว่า มีการสะสมของแอมลี อยด์ บตี า เปบไทด์(Amyloid beta peptide) ซึ่งเป็นเปบไทด์จับตัวเป็นก้อนเหนียวเหมือนเป็นคราบในสมอง เรียก แอมีลอยด์ พราก (Amyloid plaques)หรือซีไนล์ พราก (Senile plaques) เกิดขึ้นระหว่างเซลล์ประสาท ทำให้ขัดขวางการส่ง สัญญาณประสาทระหว่างเซลล์ประสาท และทำให้เซลล์ประสาทตายได้ เป็นทฤษฎีที่น่าเชื่อถือ เนื่องจาก ยีนของสารตั้งต้นแอมีลอยด์ บีตา (Amyloid beta precursor; APP)อยู่บนโครโมโซมคู่ที่ 21 และผู้ป่วยกล่มุ อาการดาวน์ (Down Syndrome)มีโครโมโซมคูท่ ่ี 21 เกนิ มา 1 แท่ง (21 Trisomy) จงึ มียีนสารตง้ั ต้นแอมีลอยด์ บตี า มากกวา่ ปกติทำให้แสดงอาการของโรคอลั ไซเมอรเ์ ม่ืออายุประมาณ 40 ปี ยังมียีนเสี่ยงของโรคพันธุกรรมอัลไซเมอร์ ตัวที่สำคัญคือ อโปไลโปโปรทีนE-e4 (EPOE-4e) ซึ่ง ยีนเสี่ยงนี้ทำให้ผู้ป่วยแสดงอาการของโรคอัลไซเมอร์เมื่อมีอายุน้อยกว่า 60 ปี และยังพบการกลาย พนั ธุ์ในยีน 3 ยนี คือ APP พรีเซนิลนิ 1 และ 2(Preseniline 1 และ 2) ทำให้เพิ่มการผลติ โปรทีนเล็กๆ ที่เป็นองค์ประกอบหลักของแอมีลอยด์ พราก ยีนเสี่ยงในโรคอัลไซเมอร์ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมใน ครอบครัว (Familial Alzheimer)จัดเป็นยีนกลายพันธุ์ลักษณะเด่น (Autosomal dominant)ทำให้ เกิดโรคอัลไซเมอร์เมื่ออายุ 30-40 ปี พบได้น้อยร้อยละ 0.01 ของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ท้ังหมด (Hoenicka,2006) นักพันธุศาสตร์ เชื่อว่า มีอีกมากกว่า 400 ยีนที่มีความสัมพันธ์กับโรคอัลไซเมอรช์ นิดเกิดชา้ และไม่ถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม สมมุตฐิ านทสี่ าม เชอื่ วา่ เป็นความผดิ ปกติของโปรทนี เทา (Tau protein) โดยโปรทีนเทาท่ีมี การเตมิ หมฟู่ อสเฟต (Psosphorylated tau) จะเปน็ โปรทีนท่ีผดิ ปกตแิ ละจะจบั ตวั กับโปรทีนเทาปกติ สายอื่นๆเกิดเป็น นิวโรไฟบริลลาลี แทงเกิล(Neurofibrillary tangles) สะสมภายในเซลล์ประสาท

21 ทำให้ไมโครทิวบูลในเซลลป์ ระสาทสลายตวั ทำลายระบบการสง่ สารในเซลลป์ ระสาท เกิดความผิดปกติ ในการส่อื สารทางชีวเคมรี ะหวา่ งเซลลป์ ระสาททำให้เซลลป์ ระสาทตาย การวนิ ิจฉยั โรคอัลไซเมอร์ อาศัยการซักประวัตผิ ู้ปว่ ย ประวตั ิทไี่ ดจ้ ากญาติ การตรวจประเมิน สภาพร่างกาย การประเมินทางจิตประสาทวิทยา การวินิจฉัยคัดกรองโรคโดยวิธีรังสีวิทยา เช่น การ ถ่ายภาพรังสีส่วนตัดขวางด้วยคอมพิวเตอร์ (Computer tomography) การสร้างภาพด้วยคล่ืน แม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic resonance image) ร่วมกับซิงเกิลโปรตอนอีมิสชันคอมพิวต์ โทโมก ราฟี(Single photon emission computed tomography:SPECT) หรือ โพซิตรอนอีมิสชัน โทโมก ราฟี(Positron emission tomography:PET) จะช่วยคัดกรองพยาธิสภาพทางสมอง หรือ ภาวะ สมองเสื่อมอื่นๆออกได้ วิธีการตรวจหาโรคอัลไซเมอร์ล่าสุดอีกวิธีหนึ่งคือ การวิเคราะห์น้ำไขสันหลัง เพื่อหา แอมีลอยด์ บีตา หรือ โปรทีนเทา ซึ่งการวินิจฉัยที่สามารถยืนยันการเป็นโรคอัลไซเมอร์ต้อง อาศัยการตรวจทางจุลพยาธิวิทยา โดยต้องกระทำหลังจากผู้ป่วยเสียชีวิตแลว้ ด้วยการตัดชิ้นเนือ้ เยอ่ื สมองมาศึกษาดว้ ยกล้องจุลทรรศภ์ าพแสดงแอมีลอยด์ บตี า และ โปรทีนเทา ท่มี ว้ นพันผดิ ปกตภิ ายใน สมอง (Hashimoto,2003) พยาธิสภาพของระบบประสาทที่พบในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ คือ การ สูญเสียเซลล์ประสาท และไซแนปส์ภายในสมองใหญ่ ทำให้เกิดการฝ่อของสมองบริเวณที่เป็นโรค มี การเสื่อมของสมองกลีบขมับ สมองกลีบข้าง และส่วนหนึ่งของสมองกลีบหน้า และซิงกูเลต ไจรัส (Cingurategyrus) 2.2.5 อาการของผู้ทป่ี ว่ ยเปน็ โรคอัลไซเมอร์ อาการเด่นของโรคอลั ไซเมอร์ คือ ความจำเสื่อม หรือหลงลืมเรื่องท่ีลมื มักจะเป็นเรื่องที่เกิดข้ึน ใหม่ ๆในชวี ิตประจำวัน เชน่ ลืมปดิ เตารีด ลืมกนิ ยา หรอื ใครมาพบวันนี้ ลมื ชอ่ื คน ลมื ของ หาของใช้ ส่วนตัวไม่พบ ชอบพูดซ้ำ ถามคำถามซ้ำ เพราะจำคำตอบไม่ได้ มีปัญหาเรื่องการพูดและการใชภ้ าษา คอื จะคิดคำศัพท์บางคำไม่ออกใช้คำใกล้เคียงแทน สติปัญญาความเฉลยี วฉลาดลดลง ทกั ษะต่าง ๆ จะ เรม่ิ สูญไป อารมณห์ งดุ หงดิ และอาจท้อแท้ เพราะอาการดงั กล่าว ภาพที่ 2.6 แสดงเปรียบเทียบสมองคนปกติกับคนเป็นโรค ท่ีมา: Hallmark pathology of Alzheimer's disease. (Jefferson Hospital for Neuroscience)

22 โรคอัลไซเมอร์ พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ และเป็นสาเหตุให้ผูป้ ่วยสูญเสียความทรงจำมีพฤติกรรม เปลีย่ นไปจนไมส่ ามารถดแู ลตนเองไดอ้ าการของผู้ปว่ ยอาจแบง่ ไดเ้ ป็น 4 ระยะดงั นี้ ระยะที่ 1 ระยะก่อนสมองเสอื่ ม (Predementia) ระยะที่ 1 ผู้ป่วยจะเริ่มมีปัญหาเรื่องของความทรงจำมีอาการลืมในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยเฉพาะเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ในขณะที่ความทรงจำในอดีตยังดีอยู่ ผู้ป่วยจะดูเชื่องช้าลง ไม่ กระฉับกระเฉงเริ่มจำหนทางหรือจำชื่อคนบางคนไม่ได้ ในช่วงนี้ผู้ป่วยอาจมีอารมณ์โกรธง่ายหรือ ซมึ เศรา้ การดูแลผู้ป่วยในระยะนี้เรมิ่ ตั้งแต่การใหเ้ วลาผู้ปว่ ยในการตอบคาถาม หรือการตอบสนองกับ สิ่งรอบข้างเนื่องจากผู้ป่วยจะเชื่องช้าลงจากการทำงานของสมองที่เสียไปควรจะช่วยให้ผู้ป่วยคลาย ความกังวลโดยบอกขนั้ ตอนทีละลำดบั ช้า ๆ เพื่อใหผ้ ปู้ ่วยทำตามได้และควรจัดให้ผู้ปว่ ยได้พักผ่อนเป็น ช่วง ๆ จะทำให้ผูป้ ่วยอารมณด์ ขี นึ้ ระยะที่ 2 สมองเสื่อมระยะแรก (Early dementia) ระยะท่ี 2 ผ้ปู ว่ ยจะเร่มิ มปี ัญหาในการตัดสินใจ อาจคิดหรือพูดอะไรซ้า ๆ เร่ิมมีปัญหาเร่ืองการ รับรู้ เช่น ผู้ป่วยอาจจะทำน้ำร้อนลวกมือตนเองแล้วมองบาดแผลเฉย ๆโดยไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเกิด เหตุการณ์นี้ขึ้น นอกจากนี้ยังสูญเสียความสามารถทางคำพูดไม่สามารถบ่งบอกในสิ่งที่ตนเองคิดหรือ เข้าใจผ่านทางภาษาได้ การดูผู้ป่วยในระยะนี้ ควรดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดมากขึ้นโดยจัดกิจวัตร ประจำวันให้กับผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยปรับตัวได้ง่ายขึ้น บางครั้งควรทบทวนในสิ่งที่ผู้ป่วยพูดและเน้น สรุปในสิ่งที่ผู้ป่วยต้องการจะสื่อ เพื่อช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การใช้ปฏิทินตัว ใหญ่ ๆ การแขวนนาฬิกาให้ผู้ป่วยเห็นได้ง่าย นอกจากนี้ญาติและครอบครัวของผู้ป่วยต้องช่วยกัน สังเกตและประเมินในเรื่องความสามารถด้านต่าง ๆ และพฤติกรรมของผู้ป่วยโดยเทียบกบั พฤติกรรม เดิมเพื่อให้ทราบความสามารถที่ลดลงในด้านต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้จัดกิจกรรมที่เหมาะสมกับผู้ป่วย ในช่วงนนั้ ๆ ได้ ระยะท่ี 3 สมองเสอ่ื มระยะปานกลาง (Moderate dementia) ระยะที่ 3 ผู้ป่วยมีความบกพร่องในเรื่องความรู้ความสามารถมากขึ้นไม่สามารถจดจำสถานท่ี ต่าง ๆ ได้เริ่มบกพร่องในการดูแลสุขอนามัยของตนเองและไม่สามารถทรงตัวได้ดีขณะยืนหรือเดินใน ระยะนีผ้ ู้ปว่ ยอาจมีอาการโรคจิตหวาดระแวงหรือมหี ูแว่วบางรายอาจจะก้าวรา้ วรนุ แรงปัสสาวะราดไม่ สนใจตนเองการดูแลผู้ป่วยในระยะนี้จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญญาติจะต้องคอยดูแล และปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับความสามารถของผู้ป่วยที่ถดถอยลง ในรายที่มีอาการโรคจิต หูแว่ว จำเปน็ ตอ้ งพบแพทย์ และรับประทานยาเพือ่ ควบคมุ พฤติกรรมทเ่ี ปน็ ปัญหา ระยะท่ี 4 สมองเสือ่ มระยะสดุ ท้าย (Advanced dementia) ระยะที่ 4 ผู้ป่วยอาจออกจากบ้านเร่ร่อนบ่อยขึ้นและอาจมีพฤติกรรมซ้า ๆ หรือพูดซ้า ๆ นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องการขับถ่ายที่ไม่เป็นที่เป็นทางผู้ปว่ ยอาจจะจำใครไม่ได้เลย หรือจำเรื่องราว

23 บางสิ่งได้เป็นนาที และลืมภายในไม่กี่นาทีการดูแลผู้ป่วยระยะนี้จำเป็นต้องดูแลใกล้ชิดตลอดเวลา เนื่องจากผูป้ ่วยไม่สามารถดูแลตนเองไดเ้ ลย รวมถึงเรื่องกจิ วัตรประจำวนั เชน่ การรับประทานอาหาร ซ่ึงผ้ปู ว่ ยอาจเค้ียวหรือกลืนอาหารเองไม่ได้ การเตรียมอาหารทีบ่ ดหยาบและไมเ่ หลวจนเกินไปจะช่วย ให้ผู้ปว่ ยรบั ประทานไดง้ า่ ยข้นึ พยายามป้อนนำ้ ทลี ะนอ้ ยแต่บ่อยข้นึ เพื่อลดภาวะขาดนำ้ นอกจากน้ีการ ดูแลเรื่องการขับถ่ายเป็นสิ่งสำคัญต้องพยายามพาผู้ป่วยเข้าห้องน้ำให้ถี่ขึ้นเพื่อลดการถ่ายเรี่ยราด รวมท้งั เรื่องการดแู ลความสะอาดของร่างกายเพื่อป้องกนั การตดิ เช้ือทางผิวหนงั 10 อาการเตอื นของโรคสมองเสือ่ มอัลไซเมอร์ 1. สูญเสียความทรงจำ (Memory loss) หรือมีปัญหาเกี่ยวกับความจำซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันมักปรากฏเป็นอาการเริ่มแรก เช่น ลมื วนั นัดทสี่ ำคัญ ลืมช่ือคนร้จู ัก ถามข้อมลู ซำ้ แล้วซำ้ เล่า ถึงแมว้ ่าจะมานึกขน้ึ ได้ในภายหลัง 2. มีความยากลำบากในการทำงานทคี่ นุ้ เคย (Difficulty performing familiar tasks) โดยเฉพาะงานหรือกิจกรรมที่ตนเองมีความชำนาญมาแต่เดิม แต่กลับต้องใช้เวลานานมากข้ึน อยา่ งเหน็ ได้ชดั หรือผดิ พลาดในจดุ สำคัญๆของงานไป ซ่งึ อาจแสดงออกโดยการหลีกเลย่ี งกจิ กรรมทาง สงั คม รวมถึงทที่ ำงานท่ีคุ้นเคย 3. มีปญั หาในการใช้ภาษา (Problems with language) เรม่ิ เกิดปญั หาในการใชค้ ำศพั ทใ์ นการพดู หรือการเขียน นึกคำศพั ท์ไม่ได้ ใช้ประโยคแบบผิดๆ 4. มคี วามสับสนเรอื่ ง วนั เวลา และสถานที่ (Disorientation to time and place) โดยเฉพาะเปน็ สถานที่ ท่ีตนเองคนุ้ เคยมกั จะจำสับสนและนานๆไปจำไม่ได้และลมื ในทส่ี ุด 5. การตัดสินใจแยล่ งหรอื ลดลง (Poor or decreased judgment) มีการตัดสินใจผิดพลาดในการทำงาน ไม่มีกระบวนการคิดวิเคราะห์แยกแยะ รวมไปถึง ความสามารถในการวางแผนเพ่ือทำงานบางอยา่ งหรอื การแก้ไขปญั หาแยล่ งดว้ ย 6. มีปัญหาเรอื่ งความคดิ เชิงนามธรรม (Problems with abstract thought) รวมถึงยุ่งยากในการมองภาพเชิงมิติสัมพันธ์ แม้แต่การคำนวณที่เคยทำได้ดี อาจค่อยๆ พบ ปญั หามากขึน้ 7. วางของผิดท่ีผิดทาง (Misplacing things) โดยเฉพาะของที่ไม่ควรจะอยูใ่ นตำแหน่งดังกล่าว เช่นวางเตารีดไว้ในตู้เย็น หรือวางเสื้อผ้าในตู้ กบั ขา้ ว เป็นตน้ 8. พฤติกรรมหรอื อารมณเ์ ปล่ยี นไปจากเดิม (Change in mood or behavior)

24 บางครั้งคนปกติก็มีการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ได้บ้างเป็นครั้งคราวแต่ผู้ป่วยอัลไซเมอร์จะมีการ เปลี่ยนแปลงอารมณ์อย่างรวมเร็วโดยไม่มีเหตุผล เช่นจากเงียบเฉยเป็นร้องไห้ หรือจากอารมณ์ดี กลายเป็นโกรธได้ 9. บคุ ลกิ ภาพเปลยี่ นไปจากเดิม (Changes in personality) แม้บุคลิกภาพจะแปรเปลี่ยนได้ตามช่วงอายุ แต่ผู้ป่วยจะเกิดความเปลีย่ นแปลงนี้อย่างรวดเรว็ และเหน็ ความแตกตา่ งไดอ้ ย่างชัดเจน จนเหมอื นเปน็ คนละคน 10. สญู เสยี ดา้ นความสามารถในการทำสิ่งใหม่ๆ (Loss of initiative) โดยเฉพาะการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จะมีความยากลำบากมากในการพยายามทำสิ่งใหม่ๆ หรือวิธี ใหมๆ่ เปน็ การเรยี นรใู้ หมท่ ั้งหมด 2.2.5 การดำเนนิ ของโรค อาการจะเริ่มเป็นเม่ืออายุ 65 ปี แตบ่ างรายเป็นเรว็ กวา่ น้ันอาจจะเร่ิมเมื่ออายุ 40 ปีอาการเริ่ม เป็นใหม่ๆจะมีอาการขี้ลืม และสูญเสียสมาธิ ซึ่งอาการแรกๆ อาจจะวินิจฉัยยากเพราะอาการนี้ก็เป็น กับผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ การดาเนินโรคจะค่อยเป็นค่อยไป และทรุดลงในช่วงระยะ 1-3 ปี มีปัญหา เร่อื งวนั เวลาสถานท่ี และอาจหลงทางกลับบ้านไม่ถูก ลมื ชื่อญาติสนิท หวาดระแวง สบั สน โดยเฉพาะ กลางคืนอาจไม่นอนทัง้ คืน จะออกนอกบ้าน และมีพฤติกรรมก้าวร้าว บางคนก็กลับเปลี่ยนไป เป็นไม่ สนใจสิ่งแวดล้อม งดงานอดิเรกที่เคยทา เช่น เก็บกวาดต้นไม้ หรือดูทีวี อ่านหนังสือพิมพ์ ส่วนหนึ่ง เพราะดูและอ่านไม่ค่อยเข้าใจ คิดคำนวณไม่ได้ ใช้จ่ายทอนเงินไม่ถูก เมื่อเวลาผ่านไปอีก 2 -3 ปี อาการยิ่งทรุดหนัก ความจำเลวลงมาก จำญาติไม่ได้ เคลื่อนไหวช้าลง ไม่ค่อยยอมเดิน หรือเดินก็ เหมือนก้าวขาไม่ออก ลังเล ทำกิจวัตรประจำวนั ดว้ ยตนเอง เช่นอาบน้า แปรงฟัน รับประทานอาหาร ไม่ได้ พดู น้อยลง ไม่เปน็ ประโยค ทส่ี ุดก็ไมพ่ ดู เลย กลน้ั ปัสสาวะ อุจจาระไมไ่ ด้ ต้องมคี นดแู ลตลอด 24 ชั่วโมง ผู้ป่วยจะเสียชีวิตในเวลา 2-10 ปี โดยเฉลี่ย 10 ปี ด้วยโรคแทรก เช่น ติดเชื้อจากปอดบวม หรือแผลกดทับ เปน็ ตน้ 2.2.6 ปัจจัยเสย่ี งของโรคอลั ไซเมอร์ 1. ความชรา พบโรคอลั ไซเมอร์มกั จะเปน็ กับคนอายุ 65 ปขี นึ้ ไป 2. เชื้อชาติ พบไดท้ ุกเชอ้ื ชาติ 3. เพศ พบในผ้หู ญงิ มากกว่าผชู้ าย 4. พันธกุ รรม พบว่าคนเป็นอลั ไซเมอรจ์ ะมปี ระวัติครอบครัวเปน็ โรคนี้ด้วยประมาณร้อยละ 30 – 40 2.2.7 วิธกี ารตรวจวนิ จิ ฉยั กลุม่ อาการหลงลืมเล็กน้อย (Mild Cognitive Impairment หรอื MCI) เป็นภาวะหนึ่งที่สำคัญ ในปัจจุบันเนื่องจากผู้ที่หลงลืมเพียงเล็กน้อย มีโอกาสพัฒนากลายไปเป็นโรคอัลไซเมอร์ในอนาคตได้ แต่ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการวินิจฉัยภาวะนี้ จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายในการวินิจฉัยแยกภาวะสมอง

25 เสื่อมระยะเริ่มต้น กับภาวะ MCI ซึ่งปัจจุบันได้กำหนดหลกั เกณฑ์ใหม่ เพื่อใช้วินิจฉยั โรคอัลไซเมอร์ ให้ได้เร็วขึ้น โดยอาศัยความรู้ด้านอาการวิทยา ด้านชีวเคมี (biochemical) ด้านโครงสร้าง และเมตา บอลิซึมของโรคนี้เพื่อช่วยประกอบการวินิจฉัยทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสได้รับการรักษาที่รวดเร็วกว่าเดิม ทง้ั นค้ี วรให้ความสนใจกบั อาการเตือนทอี่ าจจะเป็นสญั ญาณใหส้ งสยั โรคอัลไซเมอร์ ดังนี้ 1. สูญเสยี ความจำ (หลงลืม) จนรบกวนการใช้ชีวติ ประจำวนั 2. ตอ้ งไดร้ ับการกระตนุ้ เตือนให้ทำส่งิ ต่างๆ หรอื ใหแ้ ก้ไขปัญหาท่เี กิดขึน้ 3. ทำงานท่เี คยทำใหส้ ำเร็จได้ยากขึ้นไม่ว่าจะเป็นท่ีบ้านหรือที่ทำงาน 4. สับสนเร่ืองเวลาและหรอื สถานที่ 5. มีปญั หาในการมองภาพเปน็ มติ ริ วมถึงมีปญั หาในการรบั รู้มิตสิ ัมพันธ์ (spatial relationships) 6. มปี ัญหาในการพูด และการเขียน 7. จดจำตำแหน่งของที่วางไม่ได้ หรือสูญเสียความสามารถในการย้อนรำลึกเหตุการณ์ อย่างเป็น ขัน้ ตอน 8. การตัดสนิ ใจแยล่ ง หรือลดลง 9. แยกตวั ตัวเองออกจากงานท่ีทำ หรอื กิจกรรมทางสังคม 10. มกี ารเปล่ยี นแปลงด้านอารมณ์ และบุคลกิ ภาพ การวนิ ิจฉัยโดยอาศัยอาการทางคลนิ ิก (Clinical diagnosis) หลักเกณฑ์วินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์ในปัจจุบัน ยังคงยึดหลักเกณฑ์ของ NINCDS-ADRDA (National Institute of Neurological, Communicative Disorders and Stroke-Alzheimer Disease and Related Disorders Association) 18 ซึ่งแบ่งผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์วินิจฉัยออกเป็น 3 กลุ่ม ไดแ้ ก่ 1. Definite (เปน็ โรคอัลไซเมอรแ์ นน่ อน) 2. Probable (มคี วามเปน็ ได้สูงทีจ่ ะเป็นโรค) 3. Possible (มคี วามเป็นไปไดบ้ ้างทจ่ี ะเปน็ โรค) ในปี ค.ศ. 2011 ทาง ADI ได้เห็นประโยชน์ของการวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์ให้ได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ระยะที่เริ่มมีอาการน้อยๆ (early diagnosis) จึงมีความเห็นให้แพทย์ระดับปฐมภูมิให้ ความสำคัญกับการวินิจฉัย ผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมระยะเริ่มต้นหรือไมร่ ุนแรงตามหลักเกณฑด์ งั ตอ่ ไปนี้ เพอ่ื ส่งผู้ป่วยเขา้ รบั การดูแลที่ถกู ต้องตอ่ ไป 1. Mini-Mental State Examination (MMSE) มคี ะแนน >18 2. Clinical Dementia Rating (CDR) Scale มคี ะแนน 0.5 ถงึ 1.0 3. Global Deterioration Scale (GDS) มคี ะแนน 2.0 หรอื น้อยกวา่

26 4. Alzheimer’s Disease Assessment Scale (cognitive subscale) (ADAS-Cog) scores of มี คะแนน 4 ถึง 28 2.2.8 ยารกั ษาโรคอลั ไซเมอร์ ปจั จบุ ันมกี ารนำยาใหม่มาใช้รักษาโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์หลายชนิดแม้วา่ ผลการรักษายังไม่ ดีเท่าที่ควร แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงมากนักมักจะพบว่าอาการต่างๆ ของโรคดีขึ้น เป็นลำดบั ยาทใี่ ชม้ ดี งั น้ี 1. ยา Donepezil ใช้ในการรักษาโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ชนิดไม่รุนแรง จัดอยู่ในกลุ่ม anticholinesterase inhibitors ออกฤทธิ์โดยการเพิ่มระดับของสารเคมี acetylcholine ในสมอง ประสิทธิภาพของยานี้ที่ผ่านมาช่วยให้อาการหลงลืมของผู้ป่วยดีขึ้น รวมทั้งความผิดปกติทั้งทางด้าน อารมณ์และการนึกคิด อย่างไรก็ตามยังไม่ยาที่รักษาให้อาการสมองเสื่อมหายขาด ดังนั้นในผู้ป่วยที่มี อาการรุนแรงหรือเป็นมาก อาจไม่ได้ผลในการรักษาเท่าที่ควร อีกประการหนึ่งจากการศึกษาวิจัย พบว่าเมื่อหยุดยา อาการที่ดีขึ้นอาจกลับเลวลงได้ เนื่องจากสมดุลของสารเคมีในสมอง และระบบ ประสาทส่วนกลางกลับไปสู่สภาพเดิมก่อนการรักษา การใช้ยาต้องกินต่อเนื่อง มักไม่เห็นผลในเวลา อันรวดเร็ว ข้อดีของยานี้คือไมม่ ผี ลข้างเคียงต่อตับ ไมต่ อ้ งตรวจเลือดเพ่ือตรวจสอบการทำงานของตับ และเปน็ ยาที่กนิ เพียงวันละหน่ึงครั้ง ตอนเยน็ หรือก่อนนอน ช่วยให้เกดิ ความสะดวกมากยิ่งข้ึนในกลุ่ม ผูป้ ว่ ยอลั ไซเมอร์ 2. ยา Galantamine เมื่อใช้ขนาด 8-146 mg วันละสองครั้ง พบว่าได้ผลดีพอสมควร จัดอยู่ในกลุ่ม anticholinesterase inhibitors เช่นกนั มีทั้งชนิดเม็ดและชนิดน้ำ ใชร้ ับประทานวันละสองครั้ง เช้า- เย็น พร้อมอาหาร ช่วยลดอาการระคายเคืองกระเพาะและลำไส้ได้ ขนาดยาที่น้อยที่สุดคือ 4 mg วัน ละสองครง้ั ติดต่อกันอย่างน้อย 4 สปั ดาห์ ต้องระมดั ระวังขนาดยาในผู้ปว่ ยท่เี ป็นโรคตับและโรคไตไม่ ควรใชเ้ กินวนั ละ 16 mg 3. Rivastigmine เป็นยาอีกชนิดหนึ่งที่ใช้ในการรักษาโรคอัลไซเมอร์ จัดอยู่ในกลุ่ม anticholinesterase inhibitors จากการศึกษาพบว่าในขนาดสูงวันละ 6-12 mg ได้ผลดีกว่าขนาด 1-4 mg ต่อวัน รับประทานวันละสองครั้ง และไม่ควรทานพร้อมอาหาร เนื่องจากการดูดซึมยาจะลด นอ้ ยลงไปมาก และกอ่ ให้เกิดอาการคลนื่ ไส้อาเจียนได้บ่อยกวา่ การใชย้ านี้นิยมใช้วิธีเพ่ิมขนาดยาทีละ น้อย โดยตดิ ตามจากผลการรกั ษาเป็นหลกั 4. ยา Tacrine เป็นยาในกลุ่ม cholinergic neurotransmitter replacement แนวโน้มปัจจุบันจะ ใ ช ้ ย า น ี ้ ส ู ง ข ึ ้ น อ า จ ส ู ง ถ ึ ง ว ั น ล ะ 1 2 0 - 1 6 0 mg บ า ง ก า ร ศ ึ ก ษ า ใ ช ้ ร ่ ว ม ก ั บ lecithin (phosphatidylcholine) พบว่าผลการรักษาดีขึ้นบ้าง แต่ยังไม่มีความสำคัญทางสถิติ และต้องการ ข้อมูลเพิ่มเติมอีกบางส่วน ยานี้ระคายกระเพาะค่อนข้างมากควรกินก่อนอาหารประมาณหนึ่งชั่วโมง และมผี ลต่อการทำงานของตบั จำเป็นตอ้ งตรวจเลือดทกุ สัปดาห์

27 หากพบว่ามีการเพม่ิ ขนึ้ ของเอนไซมต์ บั อาจตอ้ งหยดุ ยา หรอื เปล่ยี นไปใช้ยาชนดิ อื่นแทน 5. Memantine ยาตวั นเ้ี ปน็ ยาสำหรบั รักษาสภาวะสมองเสื่อม (dementia) ในระดับ moderate to severe ที่เกิดจากโรคอัลไซเมอร์ เป็นยาใช้รับประทานโดยออกฤทธิ์ควบคุมการทำหน้าที่ของ NMDA (N-methyl-Daspartate) receptor โดยออกฤทธิ์แบบเลือกเฉพาะที่จะไปมีผลลดการนำสัญญาณ ประสาทเฉพาะส่วนที่ผิดปกติโดยไม่ไปรบกวนสัญญาณที่มีตามปกติ ช่วยให้เซลล์ประสาทที่เสื่อมลง นนั้ ยังคงทำหนา้ ที่ต่อไปได้ โดย เรม่ิ ด้วยขนาด 5 mg วันละ 1 คร้งั แล้วจงึ ค่อย ๆ เพมิ่ ขึ้นจนถึงขนาดท่ีแนะนำให้ใช้ คอื วันละ 20 mg อาการไม่พึงประสงค์ที่พบ เช่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง อาเจียน ท้องผูก ปวดหลัง ง่วงซมึ 2.2.9 ผลติ ภณั ฑ์เสรมิ อาหาร นอกจากการใช้ยาในการรักษา ในปัจจุบันได้มีการนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเข้ามาช่วยในการ บำรุงสมอง ช่วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้ รวมทั้งป้องกันการเส่ือมของระบบการ เรียนรู้ อย่างไรก็ตามควรต้องระลึกเสมอว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังกล่าวนี้ไม่ใช่ยา และไม่ได้มีการ ศกึ ษาวิจยั ทเ่ี ขม้ งวด ท่จี ะได้ผลทีเ่ ชือ่ ถอื ไดเ้ หมอื นการศึกษาวจิ ยั ในยา 1. แปะก๊วย (Ginkgo biloba) ปัจจบุ ันสารสกดั จากใบของแปะก๊วยถูกนำมาใช้เป็นยาและผลิตภณั ฑ์เสริมอาหาร เพ่ือเพ่ิมการ ไหลเวียนของโลหิตที่สมองและร่างกาย และลดการถูกทำลายของเซลล์ประสาท โดยมักใช้ในการ ป้องกนั หรือรกั ษาอาการโลหิตไปเล้ยี งสมองไม่เพยี งพอ (Cerebral insufficiency) โดยอาการดังกล่าว มักประกอบด้วย การไม่มีสมาธิ ความจำเสื่อม งุนงง ไม่มีแรง เหนื่อย สมรรถภาพทางกายลดลง อาการซึมเศร้า วิตกกังวล มึนงง หูอื้อและปวดศีรษะ นอกจากนี้ยังช่วยปรับปรุงความจำและการ ทำงานของสมองในผู้ปว่ ยความจำเสื่อม และบำบัดปัญหาเกี่ยวกบั การไดย้ นิ และการมองเห็น ปริมาณ แนะนำ วนั ละ 120-240 มิลลิกรัมตอ่ วัน 2. เลซิติน (Lecithin) เลซิติน หรือ phosphatidylcholine เป็นสารธรรมชาติที่พบได้มากในไข่แดงและถั่วเหลือง ปัจจุบันได้มีการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยสกัดมาจาดถั่วเหลือง จุดประสงค์ของการใช้เลซิ ติน ก็เพื่อเป็นการเสริมสารโคลีนให้ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ ซึ่งผลที่คาดหวังมากที่สุดก็คือการเพ่ิม โคลีนใหส้ มองนำไปใช้ในการสังเคราะหส์ ารสื่อประสาทอะเซทิลโคลีนท่ีมีความสำคัญต่อความจำ ดังที่ ได้กล่าวมาแล้ว อย่างไรก็ตามรายงานการศึกษาที่ให้ผลคัดค้านก็มีเช่นกัน เช่น การศึกษาในผู้ป่วยอัล ไซเมอร์ระยะเริ่มแรก พบว่าเลซิตินขนาดสูง ๆ ไม่มีผลในทางการรักษา นอกจากนี้การให้เลซิตินใน ขนาดสูงติดต่อกันเป็นระยะเวลานานยังอาจก่อให้เกิดผลเสียได้ โดยจะพบว่าผู้ป่วยมีอาการซึมเศร้า

28 และมีผลกระทบสารสื่อประสาทหลายระบบ เกิดผลเสียเกี่ยวกับทางเดินอาหาร มีเหงื่อและน้ำลาย ออกมาก และเบ่อื อาหาร เป็นต้น 3. ฮวิ เปอร์ซีน เอ (Huperzine A) ฮวิ เปอร์ซีน เอ เปน็ โมเลกุลยอ่ ยของสมุนไพรจีนท่ีมชี ่ือว่า Huperzia serrata จะช่วยยับย้ังการ ทำงานของเอนไซม์ที่จะมีผลต่อการทำลายสารอะซิทิลโคลีน ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการส่งผ่านสัญญาณ ประสาท เปน็ ปจั จยั สำคัญต่อระบบความจำในระยะสน้ั งานวจิ ัยโดยสถาบนั The National Institute on Aging พบว่าการทดลองในระยะ 2 โดยการให้ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์บริโภคประมาณ 200-400 ไมโครกรัมต่อวัน วันละ 2 เวลา จะมีอาการป่วยของโรคน้อยลง ซึ่งผลการทดลองดังกล่าวนั้น สอดคล้องกับ ผลการศึกษาโดยมหาวิทยาลัย The Georgetown University ในโครงการเพื่อศึกษา ความผดิ ปกตขิ องระบบความจำ 4. น้ำมนั ปลา (fish oil) จากการที่ทราบกันดีวา่ ช่วงทีส่ มองกำลังพัฒนาจะต้องมีการใช้กรดไขมันซ่ึงเป็นส่วนประกอบที่ สำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์ประสาท ดังนั้นจึงได้มีผู้สนใจศึกษาถึงผลของการให้อาหารเสริมที่มี ส่วนประกอบของโอเมก้า-3 ซ่งึ เปน็ กรดไขมันชนิดไม่อ่ิมตัว โดยนำมาศึกษาดูผลที่มตี ่อการทำงานของ สิ่งมีชีวิตหลาย ๆ ระบบโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเซลล์ประสาท น้ำมันปลานับว่าเป็นแหล่งอาหาร สำคัญที่ให้กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ทั้งนี้น้ำมันปลาที่ได้จากปลาทะเลจะมีส่วนประกอบของโอเมก้า-3 สูงแต่มีกรดไขมันโอเมก้า-6 ต่ำกว่าน้ำมนั ปลาที่ได้จากปลานำ้ จืด สารโอเมกา้ -3 ที่พบในน้ำมันปลาตัว สำคัญ ๆ ได้แก่ docosahexaenoic acid หรือ DHA และ eicosapentaenoid acid ส่วนกรดไขมัน โอเมก้า-6 ที่พบได้แก่ arachidonic acid ทั้งนี้สารดีเอชเอ และ arachinodic acid จะมีความสำคัญ ในการพัฒนาของระบบประสาท และการทำงานของระบบประสาทตา 5. วิตามนิ บี วิตามินกลุ่มนี้มีอยู่หลายตัว ที่มีความสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาท เช่น วิตามินบี 1 บ6ี บี12 กรดโฟลิค และ ไนอาซนี เปน็ ต้น การขาดวิตามินเหลา่ น้ีจะมผี ลกระทบการทำงานของระบบ ประสาท ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับจิตประสาท มีอาการเครียด ปวดศีรษะ เส้นประสาทอักเสบ และ ความคิดวนุ่ วายสับสน 6. โคเอนไซมค์ ิวเทน (Coenzyme Q10) โคเอนไซม์คิวเทนจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองในส่วนต่าง ๆ ช่วยเพิ่มพลังให้กับระบบ ความคิด การบริโภคโคเอนไซม์คิวเทนจะช่วยรักษาอาการของโรคพาร์กินสันในระยะต้นและป้องกัน การเสื่อมประสิทธิภาพของการเรียนรู้โดยการเพิ่มระดับของสารโดพามีน (Dopamine) ในสมอง ปจั จบุ ันยงั ไมท่ ราบสาเหตทุ ่ีแนช่ ดั ทที่ ำใหเ้ ปน็ โรคอัลไซเมอร์ ดงั น้นั การรักษาส่วนใหญจ่ ะเปน็ การรักษา แบบประคับประคอง หรือชะลอการดำเนินไปของโรค โดยการใช้ยาเพื่อช่วยในเรื่องของความทรงจำ

29 แต่ยาอาจจะช่วยได้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น เมื่อถึงเวลาที่อาการรุนแรงเพิ่มมากขึ้นก็ไม่สามารถจะ ควบคุมได้ดังนั้นเมื่อพบความผิดปกติควรไปพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมองเส่ือม หรือไม่นอกจากจะต้องอาศัยการเข้าใจอาการ และสภาวะของโรคของผู้ป่วยแล้ว การดูแลในเรื่องให้ ผู้ป่วยได้รับสารอาหารครบถ้วนและดูแลสขุ ภาพโดยรวม ไม่ให้เป็นโรคอื่น ๆ เช่น ความดัน เบาหวาน หรือโรคตดิ เชื้ออนื่ ๆ เพื่อบรรเทาความรุนแรงของโรค นอกจากนี้อีกวธิ ที เ่ี ชอื่ ว่าจะสามารถป้องกันโรค อีกแนวทางหนึง่ ท่ีสำคญั คือ การดูแลสภาพจติ ใจ โดยการทำสมาธิ หรือโดยการฝึกสติ ซึ่งสามารถทำได้ ในทกุ อิรยิ าบถตามสะดวก 2.2.10 วธิ ีปอ้ งกนั ของโรคอลั ไซเมอร์ 1. หม่ันออกกำลังกายสมอง หรือฝกึ ฝนการใช้สมอง เนื่องจากสองของคนเราสามารถพัฒนาได้ ให้หาโอกาสเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หรืออาจหางานอดิเรก การอ่าน การเขยี นบนั ทกึ หรือแม้แต่เล่นเกมสล์ บั สมองต่างๆ เพอื่ เป็นการกระต้นุ สมองไมใ่ ห้ลีบฝอ่ ไป 2. ควบคุมน้ำหนกั ให้อยใู่ นเกณฑป์ กติ เนื่องจากโรคอ้วน สมั พนั ธก์ บั อาการผดิ ปกตติ ่างๆของรา่ งกายท่ีส่งผลให้ความเสี่ยงของการเกิด โรคอัลไซเมอร์เพม่ิ ข้ึนได้ เชน่ โรคความดันโลหติ โรคหัวใจ และโรคไขมันในเลือดสงู 3. หม่ันออกกำลงั กายอยา่ งสมำ่ เสมอ เนอ่ื งจากการออกกำลังกายเป็นประจำนั้น จะทำใหส้ มองตน่ื ตัว จึงเปน็ พื้นฐานของสุขภาพกาย และสติปญั ญาทีด่ ี ทำให้ความจำดีข้นึ ช่วยลดความเส่ียงของการเกิดโรคอัลไซเมอรไ์ ด้ 4. ลดพฤตกิ รรมทเี่ สียงตอ่ สุขภาพ โดยเฉพาะพฤตกิ รรมทสี่ ง่ ผลต่อสมอง เชน่ การสูบบหุ ร่ี ดืม่ สุรา การอดหลับอดนอน เปน็ ต้น 5. รู้จกั เลือกรบั ประทานอาหารทมี่ ีประโยชน์ นอกจากช่วยควบคุมน้ำหนักแล้ว การได้รับสารอาหารท่ีพอเหมาะและเลือกอาหารบำรุงสมอง เป็นส่ิงสำคัญ อาหารหลายชนิดช่วยป้องกนั อลั ไซเมอร์ได้ เช่น - ปลาทะเล มโี อเมก้า 3 บำรงุ สมองและตา้ นอาการซมึ เศร้า ชว่ ยใหอ้ ารมณค์ งที่ แนะนำใหร้ ับประทาน อย่างนอ้ ย 2 คร้งั ต่อสปั ดาห์ ครง้ั ละประมาณ 1.7 ขีด - ผลไม้หลากสี เชน่ ลูกพรุน ลูกหมอ่ น ผลทบั ทมิ แอปเปล้ิ มีสารต้านอนุมลู อิสระ (ซึง่ อนุมูลอิสระเป็น พษิ ตอ่ เซลสร์ วมถึงเซลสส์ มอง) - เคร่ืองเทศ ทีพ่ บสารต้านอนุมลู อสิ ระมาก เชน่ พริก พริกไทย กระเทยี ม ขงิ ขมน้ิ กานพลู - พืชตระกลู ถัว่ หรือ เน้อื สัตว์ โดยเฉพาะเนอื้ ปลา จะมีโปรตนี ช่วยลดความเส่ียงการเกิดอัลไซเมอร์ได้ - ขา้ วกลอ้ ง ข้าวซอ้ มมอื ขา้ วโอด๊ ธัญญพชื ในปริมาณพอเหมาะ - อาหารเสริมกลมุ่ วติ ามนิ และเกลือแรพ่ นื้ ฐาน เชน่ วิตามนิ บรี วม กรดโฟลคิ 6. จดั การกบั ความเครยี ด และ อาการเศร้าหมองรวมถงึ การจัดการส่งิ แวดล้อมอย่างเหมาะสม

30 เนื่องจากเป็นปจั จยั เหล่าน้ีก่อให้เกิดความเส่ยี งของอลั ไซเมอร์ เพราะความเศรา้ หมองมีส่วนบั่น ทอนคุณภาพชีวิตและสติปัญญา ดังนั้นจึงปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมและดำเนินชีวิตให้ เป็นสุข 7. ตดิ ตามข่าวสารการแพทย์ การติดตามข่าวสารจากทางการแพทย์และรับคำแนะนำดีๆจากแพทย์หรือผู้เชียวชาญโดยตรง เสมอย่อมส่งผลดีต่อตนเอง เพราะเนื่องจากว่าวิทยาการความก้าวหน้าทางการแพทย์มีการ เปล่ยี นแปลงอยู่เสมอตามยคุ สมัย 2.2.11 การดูแลรักษาผปู้ ว่ ยท่ีเป็นโรคอลั ไซเมอร์ การดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์ มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ต้องให้ความเข้าใจเห็นใจว่าผู้ป่วยไม่ได้ ตั้งใจที่จะก้าวร้าว หงุดหงิดอย่างที่เราเห็น แต่เป็นจากตัวโรคเอง ไม่ควรทำให้ผู้ปว่ ยรู้สึกไม่ม่ันใจ อาย หรอื หงดุ หงิด เช่น ถ้าคุยอะไรแลว้ ผู้ป่วยนกึ ไม่ค่อยออกหรอื จำไม่ได้ควรเปลี่ยนเรื่องเอาเรื่องที่คุยแล้วมี ความสุข ผู้ป่วยไม่สามารถคิดเลขได้ ไม่สามารถเล่นดนตรีแต่สามารถร้องเพลงพร้อมกับวิทยุ เล่น หมากรุกไม่ได้ แต่สามารถเล่นเทนนีสได้ หรือถ้ามีความคิดอะไรผดิ ๆ ไม่ควรเถียงตรงๆ ถ้าไม่จำเป็นก็ อาจไมต่ อ้ งอธิบายมาก เนอ่ื งจากจะทำให้หงดุ หงิด และหมดความมนั่ ใจ ควรจดั หอ้ งหรือบ้านให้น่าอยู่ สดใส ใช้สีสว่างๆ ถ้าในรายที่ชอบเดินไปมามากๆ ต้องใช้เทคนิคการเบี่ยงเบนความสนใจในสิ่งใดส่ิง หนึ่งหรืออาจใช้การพาดเสื้อผ้าไว้ที่ลูกบิดประตูเพื่อไม่ให้เห็นลูกบิด ต้องเก็บของมีคม หรือ เครื่องใชไ้ ฟฟ้าใหม้ ดิ ชดิ ปดิ วาวล์เตาแก๊สไว้เสมอ เปน็ ตน้ ในรายที่มีอาการที่เริ่มจะดูแลยาก เช่น ก้าวร้าวมาก เอะอะโวยวาย สับสนมาก หรือเดินออก นอกบ้านบ่อยๆ ควรพาไปพบแพทย์ระบบประสาท เนื่องจากอาจจำเป็นต้องใช้ยาช่วยลดอาการ ดงั กลา่ ว การดูแลผู้ป่วยตามระยะของโรค ผปู้ ่วยในระยะแรก 1. บอกการวินิจฉัยให้แก่ผู้ป่วยเพื่อที่แพทย์จะสามารถให้การรักษาได้ตั้งแต่เริ่มเป็น แพทย์ ผู้ท่ี ดูแล และผ้ปู ว่ ยจะต้องมาปรกึ ษาวา่ จะเกิดภาวะอะไรกับผปู้ ว่ ย เช่นความจำ อารมณ์เป็นต้น 2. อารมณ์ เนื่องจากผูป้ ่วยจะมีอารมณท์ ่ผี นั ผวนอยา่ งรวดเรว็ อาจจะกรา้ วและโกรธจัด พฤติกรรม น้เี กดิ จากความไม่สมดลุ ของสารเคมีในสมอง และเกดิ จากทผ่ี ู้ป่วยสญู เสยี ความรแู้ ละไม่สามารถ เข้าใจสิ่งต่างๆรอบตัว และไม่สามารถใช้คำพูดได้อย่างเหมาะสมจึงทำให้ผู้ป่วยมีอารมณ์ที่ แปรปรวน ผ้ใู ห้การดูแลต้องจดั สง่ิ แวดล้อมให้เรยี บง่าย ให้เงียบ เวลาพูดกบั ผ้ปู ่วยตอ้ งช้าๆ และ ให้ชัดเจนไม่ให้ทางเลือกกับผู้ป่วยมากไปเนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถตัดสินใจได้ถูกต้อง เช่นให้ ผู้ป่วยเลือกเสื้อผ้าเอง ผู้ป่วยไม่สามารถเลือกเสื้อผ้าให้เขา้ กันซึ่งจะทำให้ผูป้ ่วยโกรธ เมื่อผู้ป่วย

31 โกรธ หรือตะโกนอาจจะหาของว่างให้รับประทาน หรือขับรถให้ผู้ป่วยเที่ยวซึ่งจะทำให้ผู้ป่วย สงบ ผ้ใู ห้การบริการจะต้องมอี ารมณท์ ีสงบ อารมณไ์ ม่ฉุนเฉยี ว 3. ความสะอาด ผูป้ ว่ ยมักจะไมอ่ ยากอาบน้ำ ผปู้ ่วยอาจจะเลอื กเสื้อผ้าไม่เหมาะสมผู้ดูแลอย่าโกรธ ตอ้ งแสดงความเหน็ ใจ 4. การขับรถ เมื่อวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ห้ามขับรถ ต้องป้องกันผู้ป่วยออกนอกบ้านโดยการ lock ประตแู ละอาจจะติดสัญญาณเตือนเม่ือผปู้ ่วยออกนอกบ้านพยายามให้ผู้ปว่ ยออกกำลัง เชน่ เดิน คร้งั ละ 30 นาทวี ันละ 3 คร้งั จะทำให้ผปู้ ่วยเพลียและหลบั งา่ ย 5. การนอนหลับ มีคำแนะนำให้เปิดไฟให้สว่างในเวลากลางวัน จะทำให้ผู้ป่วยหลับในเวลา กลางคนื การดูและในระยะทา้ ยของโรค 1. ผู้ป่วยจะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ หากมีอาการดังกล่าวจะต้องตรวจดูว่ามีโรคติดเชื้อหรือไม่ ผู้ดูแล สามารถกะเวลาปัสสาวะได้โดยกำหนดเวลา และปริมาณน้ำและอาหารที่ให้ และสามารถพา ผูป้ ่วยไปห้องนำ้ ไดท้ นั 2. การเคลื่อนไหว ระยะท้ายผู้ป่วยจะจำไม่ได้ว่าเคลื่อนไหวอย่างไร จะนอนหรือนั่งรถเข็น ผู้ดูแล ต้องคอยพลกิ ตัวผู้ป่วยทุกสองชัว่ โมง ทำกายภาพบำบัดเพอื่ แก้ข้อติด 3. การรับประทานอาหาร ผู้ป่วยจะกลืนอาหารไม่ได้ต้องให้อาหารทางสายยาง ผู้ดูแลต้องระวัง สำลกั อาหาร 2.2.12 งานวจิ ัยท่เี ก่ียวขอ้ ง -โครงการศึกษาความเป็นไปของการวิเคราะห์โรคอัลไซเมอร์จากภาพถ่ายทางการแพทย์ โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จันทนา ปัญญาวราภรณ์ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยบรู พา ท่านได้ทำ โครงการวิจัยวนิ ิจฉัยโรคอัลไซเมอรเ์ บอื้ งตน้ จากภาพ PET จากกลุ่มตวั อย่างของคนไทยจาํ นวน 30 คน ขั้นตอนประกอบด้วย การแบ่งภาพสมอง การสกัดคุณลักษณะเด่นของภาพโดยใช้วิธีสัมประสิทธิ์เมล ฟรีเคว็นซีเซปสตรัม (MFCC) ขั้นตอนสุดท้ายคือจําแนกประเภทโดยใช้วิธีซัพพอร์ตเวกเตอร์แมชชีน ผลลพั ธ์ที่ได้จากการทดสอบเหน็ วา่ วิธีทนี่ าํ เสนอใหค้ ่าความถูกต้องมากถงึ ร้อยละ 96.51 ซงึ่ เหมาะสมท่ี จะใชจ้ ําแนกผู้ป่วยโรคอลั ไซเมอรจ์ ากกลมุ่ คนปกติ -ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับมุมมองเชิงบวกต่อการดูแลของผู้ดูแลในครอบครัวของผู้ป่วยสมอง เสื่อม โดยท่านภาวดี เหมทานนท์ ทำการวิจัยเชงิ บรรยายนี้มวี ัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับมุมมองเชิง บวกต่อการดแู ลของผู้ดูแลในครอบครวั ของผู้ปว่ ยสมองเสือ่ มและปจั จัยที่มีความสัมพันธ์กับมุมมองเชิง บวกต่อการดูแลของผู้ดูแลในครอบครัวของผู้ป่วยสมองเสื่อม กลุ่มตัวอย่างคือผู้ดูแลในครอบครัวของ ผ้ปู ว่ ยสมองเสื่อมท่ีมารับบริการท่ีโรงพยาบาลสวนสราญรมย์จังหวัดสรุ าษฎร์ธานี และโรงพยาบาลจิต

32 เวชสงขลาราชนครนิ ทร์สมุ่ กลุ่มตัวอย่างอย่างง่ายจำนวน 365 คน เคร่ืองมอื ที่ใช้ในการวิจัยคือแบบวัด มุมมองเชิงบวกต่อการดูแลของผู้ดูแลในครอบครัวของผู้ป่วยสมองเสื่อมที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น มีค่าความ เชอื่ มั่นสมั ประสิทธิแ์ อลฟา เทา่ กับ 0.845 สรุปโรคอลั ไซเมอร์ โรคอัลไซเมอร์เป็นภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุที่มีพยาธิสภาพของระบบประสาท ทำให้การ สร้างสารสื่อประสาท แอซิทิลโคลีนลดลง มีการสะสมของแอมีลอยด์บีตา ระหว่างเซลล์ประสาท ขัดขวางการส่งสัญญาณประสาทระหว่างเซลล์ประสาท มีความผิปกติของโปรทีนเทาในสมอง ทำให้ เกิดนิวโรโพบริลลาลีแทงเกิล สะสมภายในเซลล์ประสาททำลายระบบการขนส่งภายในเซลล์ ทำให้ เซลล์ประสาทตาย อาการสมองเสือ่ มในโรคอัลไซเมอรจ์ ะเป็นมากขึน้ และใช้เวลาการดำเนินโรคหลาย ปี ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์จะมีชวี ิตอยู่ได้เฉล่ยี 8 ปหี ลงั จากสังเกตพบอาการแสดงของโรคอลั ไซเมอร์ โดย เฉลี่ยผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้ 4-20 ปีขึ้นกับอายุและสุขภาพ ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคอัลไซเมอร์ให้ หายได้ แต่การรักษาประคับประคองตามอาการ และยังไม่มีงานวิจัยใดที่สนับสนุนวิธีป้องกันการเกิด โรคอัลไซเมอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรณีที่สงสัยว่า ผู้สูงอายุจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเ มอร์ สามารถตรวจสอบอาการและอาการแสดงเบื้องต้นของโรคอัลไซเมอร์ได้ การรักษาทางจิตสังคมและ การให้การดูแลผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญ จะช่วยลดความวิตกกังวลชะลอความบกพร่องในการรับรู้ เพ่ิม คุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วย และลดภาวะความเครียดของผู้ดูแลผู้ป่วย โดยผู้ดูแลผู้ป่วยต้องเข้าใจและ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับผู้ป่วยในทุกระยะของการดำเนินโรค ให้การช่วยเหลือในการทำ กิจวัตรประจำวัน ให้การดูแลทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ดูแลไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ รวมทั้งผู้ที่ดูแล ผปู้ ว่ ยต้องดแู ลร่างกายและจติ ใจของตนเองดว้ ย

33 2.3 ทฤษฎีแผลกดทับ แผลกดทบั (Pressure injury) หมายถงึ การถูกทำลายเฉพาะทขี่ องผวิ หนังและ/หรือเน้ือเยื่อ ใต้ผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณเหนือปุ่ม กระดูก การบาดเจ็บนี้รวมถึงผิวหนังที่ไม่เกิดการฉีกขาดหรือ เกิดเปน็ แผล การบาดเจบ็ ทีเ่ กิดข้ึนเป็นผลมาจากความรนุ แรงของแรงกดและ/หรือระยะเวลานานของ การถูกกดทบั รวมทง้ั ปัจจยั อืน่ ๆ ร่วมดว้ ย (พว.นลนิ ี แขง็ สาริกิจ) การศกึ ษาของประเทศสหรฐั อเมริกาพบวา่ มีประชากรที่มีแผลกดทบั สูงถึง 1-1.7 ลา้ นคนต่อปี และ มากกว่าครึ่งหนึ่งของแผลกดทับที่พบค่อนข้างรุนแรง และ 2 ใน 3 ของผู้ป่วยที่เป็นแผลกดทับ คือ ผู้สูงอายุ (Pittman, 2007) ในประเทศไทยพบความชุกของแผลกดทับในผู้สูงอายุที่เข้ารับการ รักษาในโรงพยาบาล ร้อยละ 10.1 ในจำนวนนี้พบว่าร้อยละ 74 เป็นแผลชนิดตื้น ระดับที่ 1 และ 2 ร้อยละ 95 พบที่ส่วนล่างของลำตัว ตำแหน่งที่พบมากที่สุด คือ ก้นกบ ส้นเท้า และตำแหน่งที่เป็น ความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับ ได้แก่ กระดูกสะบัก รองลงมาตำแหน่งกระดูก สะโพก ตาตุ่ม และ กระดูกต้นขา (Atsantachai, 2003) การดูแลท่ีจำเป็นสำหรับผู้ดูแลในการป้องกันแผลกดทับ ได้แก่ การให้ความชุ่มชน้ื สำหรบั ผิวหนัง การเลือกใชท้ ่ีนอน และการเปล่ียนทา่ นอน (De Oliveira Matos et al., 2016) ซึ่งในการศึกษาที่ผ่านมาพบด้วยว่าปัจจัยท่ีทำนายการเกิด แผลกดทับ คือ ความชื้นของ ผิวหนัง แรงเสียดสีและแรง เฉือน และภาวะโภชนาการ (Suttipong & Sinduh, 2011) ส่วนปัจจัยท่ี ควรคำนึงถึง ได้แก่ สภาพความชุ่มชื้นของ ผิวหนัง อายุ ภาวะซีด ภาวะโภชนาการและภาวะสุขภาพ ทั่ว ๆ ไป และปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ยังมีข้อมูลเชิงประจักษ์ ไม่ชัดเจนและต้องการวิจัยเพิ่มเติม ได้แก่ อุณหภูมิของ ร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกัน เพศ (Cavalcante et al., 2016) ซึ่งการวิจัยครั้งนี้ไม่ได้เน้น การศึกษาในปัจจัยเสี่ยงเหล่าน้ี เพียงแต่มีการทดสอบคุณลักษณะส่วนบุคคลบางอย่างระหว่างกลุ่ม ควบคุมกับกลุ่มทดลอง เชน่ เพศ อายุ ความสัมพนั ธ์ของผูป้ ว่ ย และผูด้ แู ลระดบั การศกึ ษาอาชีพ ความ เพียงพอของรายได้ และบทบาทในครอบครวั (ศิริกัญญา อุสาหพิริยกลุ ) ทฤษฎีโอเร็ม ที่อธิบายถึงการมีสมาชิกในครอบครัว (Dependent care agent) คอยให้การ ช่วยเหลือผู้ที่มีความพร่องในการดูแลตนเอง (Self-care deficit) ซึ่งในที่นี้คือผู้สูงอายุจะเป็นกำลังใจ และเอื้อประโยชน์ต่อผู้ป่วย ความสามารถในการดูแลตนเองมีโครงสร้างเดียวกับความสามารถในการ ดูแลบุคคลอื่นโดยความสามารถในการลงมือปฏิบัติ (Operational capabilities) เป็นความสามารถ ข้นั ที่ 3 ตามทฤษฎขี อง โอเรม็ (Orem, 2001) แบง่ เป็น 3 ด้าน คือ 1) ความสามารถในการคาดการณ์ (Estimative operation) โดยผู้ดูแลคือ ผู้ที่มีความรู้และข้อมูลที่จำเป็น และทราบความหมาย และ วิธีการปฏิบัติในการดูแลเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับในผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงที่มีภาวะพึ่งพา 2) ความสามารถในการปรับเปลี่ยน (Transitive operation) โดยผู้ดูแล คือ ความสามารถของผู้ดูแลใน การคิดวางแผนกำหนดเป้าหมาย และตดั สนิ ใจเลือกกจิ กรรมในการช่วยเหลือเพื่อป้องกันการเกิดแผล

34 กดทับในผู้ป่วยสูงอายุกลุ่มเสี่ยงที่มีภาวะพึ่งพา 3) ความสามารถในการลงมือปฏิบัติ (Productive operation) ความสามารถของผูด้ แู ลในการวางแผนการลงมือปฏบิ ตั ิ (ศริ กิ ญั ญา อสุ าหพริ ิยกลุ ) อาการของแผลกดทบั อวัยวะทเี่ สี่ยงเกดิ แผลกดทบั ได้มากนั้นมกั เป็นบรเิ วณทีไ่ ม่มไี ขมันปกคลุมผิวหนังมากและต้อง รับแรงกดทับโดยตรง ผู้ป่วยที่เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้และต้องนอนบนเตียงตลอดเวลาเสี่ยงเกิดแผล กดทับที่ไหล่ ข้อศอก ท้ายทอย ข้างใบหู เข่า ข้อเท้า ส้นเท้า เท้า กระดูกสันหลัง หรือกระดูกก้นกบ ส่วนผู้ที่ต้องนั่งรถเข็นเป็นเวลานานเสี่ยงเกิดแผลกดทับที่ก้น หลังแขน หลังต้นขา หรือด้านหลังของ กระดูกสะโพก โดยผู้ป่วยจะเกิดอาการหลายอย่าง ได้แก่ สีหรือลักษณะผิวหนังเกิดความผิดปกติ มี อาการบวม มีหนองออกมา เกิดอาการอุ่นหรือเย็นตรงผิวหนังที่เกิดแผลกดทับ และมักกดแล้วเจ็บ บริเวณที่เป็นแผลกดทับ ทั้งนี้ อาการของแผลกดทับจะรุนแรงขึ้นตามระยะต่าง ๆ แผลกดทับมีหลาย ระดับ ซง่ึ แบ่งตามระดบั เนื้อเย่อื ท่ีถกู ทำลายหรอื ก็คือความรนุ แรงของแผลได้ ดังน้ี ระยะท่ี 1 ผวิ หนังมีลกั ษณะปกติ ไมฉ่ กี ขาด แตม่ ีรอยแดง ๆ ใช้มือกดแล้วรอยแดงไม่จางหายไป ระยะที่ 2 ผิวหนังชั้นกำพร้าถูกทำลาย อาจเสียหายถึงชัน้ หนังแท้บางส่วน ลักษณะเป็นแผลตื้นขอบ ชัดเจนและสีเปล่ียน อาจเป็นแผลถลอกหรือเป็นตมุ่ พอง ระยะที่ 3 ผิวหนังถูกทำลายลึกถึงชั้นไขมัน และเกิดตายของผิวหนังในบริเวณน้ันแต่ยงั ไม่ทะลุถึงชั้น กล้ามเนือ้ อาจมีโพรงใต้ขอบแผลมกั มีการอักเสบ และมกี ลน่ิ ระยะที่ 4 ผิวหนังถกู ทำลายลึกมองเหน็ ถงึ กระดูก เอ็น กลา้ มเนื้อ สูญเสียผวิ หนังทั้งหมด อาจติดเชื้อ ที่กระดูก -Deep Tissue Injury (DTI) เป็นแผลกดทับที่มักเกิดขึน้ กับผู้ปว่ ยท่ีไม่ค่อยเคล่ือนไหว ผิวหนังไม่ฉีก ขาด มีสีม่วงเข้มหรือสีเลือดนกปนน้ำตาลหรือพองเป็นตุ่มน้ำปนเลือด อาจเจ็บปวดร่วมด้วย และไม่ สามารถระบุระยะท่ีเป็น -Unstageable ผวิ หนงั ถกู ทำลายทง้ั หมด แตป่ ากแผลถูกปกคลมุ ดว้ ยเนื้อตายหรอื สะเก็ดแข็ง ไม่ สามารถระบรุ ะดับการถูกทำลายของเน้ือเย่ือใตผ้ ิวหนงั ได้ รูปภาพที่ 2.7 ภาพแสดงผิวหนังถกู ทำลายทัง้ หมด ท่ีมา: https://mobile.twitter.com /hashtag/unstageable?src=hash

35 รปู ภาพท่ี 2.8 ภาพแสดงระดับแผลกดั ทับ 4 ระดับ ท่ีมา: https://www.tht.co.th/blog/bedsore/ ภาพท่ี 2.9 ภาพแสดงบรเิ วณที่พบแผลกดทับบ่อย ที่มา: https://www.tht.co.th/blog/bedsore/ สาเหตุของแผลกดทับ แผลกดทับเกิดจากอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายได้รับแรงกดเป็นเวลานาน อันส่งผลให้ เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงบริเวณดังกล่าวไม่เพียงพอ หากเลือดไม่ไปเลี้ยงอวัยวะที่ถูกดทับ เนื้อเยื่อของ อวยั วะดังกลา่ วจะถูกทำลายและเริม่ ตาย เน่ืองจากเลือดจะลำเลยี งออกซเิ จนและสารอาหารต่าง ๆ ท่ี จำเป็นและช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อีกทั้งยังส่งผลให้ผิวหนังไม่ได้รับ เซลลเ์ ม็ดเลือดขาวสำหรับตา้ นทานเชื้อโรค ทำใหเ้ กิดการติดเชื้อทีแ่ ผลกดทบั ได้ ปจั จัยท่ีทำให้เกิดแผล กดทับมี ดังนี้ 1. แรงกด หากสว่ นใดส่วนหนึง่ ของร่างกายถูกกดทบั เป็นเวลานาน จะสง่ ผลให้เลอื ดไหลเวียนมา เลี้ยงไม่เพียงพอ เมื่อไม่ได้รับออกซิเจนและสารอาหารที่ลำเลียงมากับเลือดไปหล่อเลี้ยง เนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ จึงถูกทำลายและอาจตายได้ตามที่กล่าวไปข้างต้น ทั้งนี้ ผู้ที่ขยับหรือ เคลื่อนไหวร่างกายไม่ค่อยได้ อาจเกิดการกดทับที่กระดูกสันหลัง กระดูกก้นกบ หัวไหล่ สะโพก ส้นเทา้ และข้อศอก

36 2. การเสียดสี ผิวหนังที่เสียดสีกับเส้ือผ้าหรือผา้ ปูที่นอนจะเกิดแผลกดทับได้งา่ ย โดยเฉพาะผู้ที่ ผิวอับชนื้ 3. แรงเฉือน ชั้นผิวหนังถูกรั้งกันไว้ มักเกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยนอนไถลตัวลงมาในขณะที่เตียงปรับ ระดบั สงู สง่ ผลใหผ้ ิวหนงั บรเิ วณกน้ กบเกดิ การดงึ รงั้ นอกจากนี้ ยังปรากฏปัจจัยเส่ียงที่ก่อให้เกิดแผลกดทับ ได้แก่ ปญั หาการเคลื่อนไหว โภชนาการไมด่ ี ปญั หาสุขภาพบางอย่าง อายมุ ากข้ึน และปญั หาสขุ ภาพจิต ดังนี้ 4. ปัญหาการเคลื่อนไหว ผทู้ ีม่ ีปญั หาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวร่างกายเส่ียงเกิดแผลกดทับได้ โดย ปัญหาดังกลา่ วอาจเกี่ยวเนอื่ งกบั - การไดร้ ับบาดเจบ็ ทีไ่ ขสันหลัง อันส่งผลใหข้ ยับแขนหรอื ขาไมไ่ ด้ - สมองถูกทำลายจากโรคหลอดเลือดในสมองหรือได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง กอ่ ให้เกิดอัมพาต - ป่วยเป็นโรคบางอย่างอันทำลายเส้นประสาทที่ใช้ในการเคลื่อนไหวร่างกายอย่าง ต่อเนื่อง เชน่ อลั ไซเมอร์ โรคปลอกประสาทเสื่อมแขง็ หรอื พารก์ นิ สนั - เกิดอาการเจ็บปวดอยา่ งรนุ แรงจนเคล่อื นไหวรา่ งกายบางสว่ นหรอื ทง้ั หมดไดไ้ มถ่ นัด - กระดกู แตกหรือกระดกู หัก - พักฟื้นจากการเข้ารบั ผ่าตัด - ประสบภาวะโคมา่ - ประสบปัญหาสขุ ภาพท่ีทำให้เคลอ่ื นไหวขอ้ ต่อหรือกระดูกลำบาก เช่น โรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์ 5. โภชนาการไม่ดี สาเหตุที่ทำให้ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนและเพียงพอต่อความต้องการ ร่างกายอาจเกิดจาก - โรคอะนอเร็กเซีย ปัญหาสุขภาพจิตที่ผู้ป่วยยึดติดกับการลดน้ำหนักตัวให้ผอมลง เร่อื ย ๆ โดยใชว้ ิธลี ดนำ้ หนักท่เี ป็นอนั ตรายตอ่ สุขภาพ - ภาวะขาดนำ้ ภาวะที่รา่ งกายไดร้ บั น้ำไมเ่ พยี งพอ - การกลนื ลำบาก ปัญหาเก่ยี วกับการกลนื อาหารท่ที ำให้กลนื อาหารไดย้ าก 6. ปัญหาสุขภาพบางอย่าง ผู้ที่ป่วยเป็นโรคบางอย่างอาจเสี่ยงเกิดแผลกดทับได้ง่าย โดยปัญหา สุขภาพท่ีเอื้อให้เกดิ แผลกดทบั นนั้ ประกอบด้วย - เบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ผู้ป่วยเบาหวานที่มรี ะดับน้ำตาลในเลือดสูงข้ึนอาจ สง่ ผลตอ่ ระบบไหลเวยี นโลหิตในร่างกาย - เส้นเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน (Peripheral Arterial Disease) ผู้ป่วยโรคนี้ประสบ ภาวะเลอื ดไปเลี้ยงท่ขี าไมไ่ ด้ เน่ืองจากเกิดการอุดตนั ของไขมันท่หี ลอดเลือดแดง

37 - หวั ใจวาย ผทู้ ีป่ ระสบภาวะหวั ใจวายเกดิ จากการที่รา่ งกายสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะ สว่ นต่าง ๆ ไดไ้ ม่เพยี งพอ - ไตวาย ผู้ป่วยไตวายจะสูญเสียสมรรถภาพการทำงานของไต ส่งผลให้เกิดสารพิษใน เลือด ซ่งึ กอ่ ให้เกดิ การทำลายเนือ้ เยือ่ - โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease) ผู้ป่วยโรคนี้ จะมีระดบั ออกซิเจนในเลือดตำ่ ส่งผลใหผ้ วิ หนังถกู ทำลายได้ง่าย 7. อายุมากขึ้น ผู้ที่อายุมากขึ้นเสี่ยงเกิดแผลกดทับได้ง่าย เนื่องจากผิวหนังสูญเสียความยดื หยนุ่ เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงผิวหนงั น้อยลง รวมท้งั ไขมนั ใต้ผิวหนังลดลง ทง้ั หมดน้ีลว้ นเกิดจากการ เส่อื มสภาพตามวัย 8. ปญั หาเกีย่ วกับการขับถ่ายและปสั สาวะ ผ้ปู ว่ ยที่ประสบภาวะกล้ันปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ จะมีผิวหนังบางส่วนท่ีอบั ช้ืน ซึ่งทำใหต้ ิดเชือ้ ได้ง่าย ทั้งนี้ ผิวหนังที่อับชืน้ ยังทำให้เกิดแผลกด ทบั ตามมาดว้ ย 9. ปญั หาสุขภาพจติ ผทู้ ปี่ ระสบปัญหาสุขภาพจิตร้ายแรง เชน่ โรคจิตเภทหรอื โรคซึมเศร้าอย่าง รุนแรงเสี่ยงเกิดแผลกดทับได้ง่าย เนื่องจากโภชนาการไม่ดีและป่วยเป็นโรคอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น เบาหวาน หรือภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ ทั้งนี้ ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตบางรายอาจรักษา ความสะอาดไม่ดี ส่งผลให้ผิวหนังได้รบั บาดเจ็บและตดิ เช้อื ได้ง่าย การป้องกันในกรณีท่ผี ปู้ ่วยยงั ไม่เป็นแผลกดทบั 1.การทำความสะอาดผวิ หนัง ควรทำความสะอาดผวิ หนงั เป็นประจำทกุ วัน โดยเฉพาะหลงั จากขับถ่าย อจุ จาระหรอื ปัสสาวะ และควรหลีกเลย่ี งการขัดหรือถบู ริเวณผวิ หนัง เมอื่ ทำความสะอาดเสรจ็ แล้วควร ซับน้ำใหแ้ หง้ เพ่อื ปอ้ งกันความอบั ช้นื 2.ป้องกันผิวหนังเพื่อลดการสัมผัสกับความอับชื้นหรืออุจจาระปัสสาวะระหว่างขับถ่าย ดูแลผิวหนัง เพื่อให้ความชุ่มชื้นโดยการทาผลิตภัณฑ์เคลือบผิว (Ointment, Paste) เพื่อลดการสัมผัสสิ่งอับชื้น หรอื เพอื่ ป้องกนั การเสยี ดสีกับที่นอน 3.ไม่ควรออกแรงนวดบริเวณผิวหนังผู้ป่วย โดยเฉพาะบริเวณปุ่มกระดูก หรือข้อกระดูก เนื่องจากจะ ทำให้เกิดแรงกดทบั หรอื แรงเสยี ดสเี พ่มิ ข้ึน สง่ ผลให้ผวิ หนงั บรเิ วณทนี่ วดเกิดการอกั เสบ 4.การจัดท่าทางการนอนของผู้ป่วยในผู้ป่วยติดเตียงควรควรมีการพลิกตัวผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมง เพื่อ ป้องกันการเกิดแผลกดทับ และหากผู้ป่วยอยู่ในท่านอน ควรมีการพลิกตัวผู้ป่วยและใช้อุปกรณ์พยุง หลงั ไวใ้ นอยใู่ นท่าทางนอนหงายก่ึงตะแคง เพือ่ ลดการกดทบั ของกระดูกบรเิ วณสะโพกของผู้ปว่ ย 5.ผู้ป่วยที่น้ำหนักตัวค่อนข้างมากหรือผู้ป่วยที่นอนติดเตียงเปน็ ระยะเวลานาน อาจจะมีการใช้ที่นอน ลม เพื่อป้องกันการเกดิ แผลกดทับ โดยหลักการทำงานของอุปกรณ์ดังกลา่ วคือ ที่นอนลมจะมีการป๊ัม

38 แรงดันลมเข้าไปในแต่ละลอนประมาณลอนละ 8-10 นาที จากนั้นลอนดังกล่าวจะแฟ่บลง ส่วนลอน อื่น ๆ จะถูกปั๊มลมเข้าไปแทน การปั๊มลมสลับกันอย่างเป็นจังหวะ ส่งผลให้ผิวหนังของผู้ป่วยไม่ได้รบั แรงกดทบั เปน็ ระยะเวลานาน ซง่ึ สามารถใชใ้ นการป้องกนั แผลกดทับได้ ลักษณะและการดแู ลผูป้ ว่ ยทีเ่ ป็นแผลกดทบั ระดับของแผลกดทับตาม National Pressure Ulcer Advisory Panel (NPUAP) 2016 แบ่งได้เปน็ 5 ประเภท ได้แก่ 1.แผลกดทับระดับที่ 1 ลักษณะแผลกดทบั ผิวหนังบรเิ วณที่ถูกกดทับมีลักษณะเป็นรอยแดงแต่ยงั ไม่ มีแผลเปดิ โดยรอยแดงดังกลา่ วจะไมห่ ายไปภายใน 30 นาทีหลงั จากพลกิ ตัวเปลี่ยนท่าทาง การดูแลแผลกดทับ 1. จับผูป้ ่วยตะแคงหรือพลิกตัวเพือ่ เปล่ยี นท่าทางทุก 2 ชัว่ โมง 2. จัดหาอุปกรณ์เพื่อรองหรือแทรกระหว่างตัวของผู้ป่วย เช่น อาจหาเบาะหรือหมอนแทรก ระหวา่ งตัวของผปู้ ว่ ยกับเตียงนอน เพอื่ ให้ผ้ปู ว่ ยอยใู่ นทา่ ทางตะแคงก่ึงนอนหงาย เพื่อป้องกัน ไม่ใหส้ ะโพกและไหล่ของผู้ป่วยเสียดสีกับเตียงนอนหรือในกรณที ่ีผปู้ ่วยนอนในท่าตะแคงอาจ หาหมอนหรือเบาะเพื่อมาแทรกระหว่างขาของผู้ป่วยป้องกันไม่ให้เกิดการเสียดสีระหว่าง กระดูกขอ้ เขา่ และผิวหนังของผ้ปู ่วย 3. ผ้าปูที่นอนควรปูให้ตึง เนื่องจากรอยยับของที่นอนจะเสียดสีกับผิวหนังของผู้ป่วยเพิ่มความ เสี่ยงในการเกิดแผลกดทบั 4. ทาผลติ ภณั ฑ์เคลือบผิวผู้ป่วยเพอ่ื ปอ้ งกนั การเสยี ดสรี ะหวา่ งผิวหนงั กบั ท่นี อน 2.แผลกดทับระดับท่ี 2 ลักษณะแผลกดทบั ผิวหนังจะมลี กั ษณะบางจนเห็นชั้นหนังแท้มีลักษณะเป็นสี ชมพูแดง ๆ หรอื บางรายอาจมตี มุ่ น้ำพองใสขึน้ บริเวณทเี่ ปน็ แผลกดทบั การดแู ลแผลกดทับ 1. ล้างทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือ เมื่อทำความสะอาดแผลเสร็จแล้วควรปิดแผล เพอื่ ให้ความชุม่ ช้ืนแก่ผวิ หรือในกรณที แี่ ผลมนี ำ้ หนองหรือสารคดั หลงั่ อาจะใชแ้ ผน่ แปะท่ี มคี ณุ สมบตั ใิ นการดูดซบั สารคดั หลั่งดงั กล่าว 2. พลิกตวั ผ้ปู ่วยทกุ 2 ชวั่ โมง 3.แผลกดทับระดับที่ 3 ลักษณะแผลกดทับมีลักษณะที่เป็นหลุมลึกลงไปมีการสูญเสียชั้นผิวหนัง ทง้ั หมดเร่มิ ปรากฎเหน็ ช้นั ไขมัน การดแู ลแผลกดทบั 1. แผลตน้ื : ใหใชส้ ำลชี บุ น้ำเกลือทำความสะอาดแผลอย่างเบามอื

39 2. แผลลึก : ใหใ้ ช้ Syringe ดูดนำ้ เกลอื แล้วฉีดทำความสะอาดแผลจนกว่านำ้ เกลือที่ไหลออกมา จากแผลจะมีลักษณะเป็นน้ำใสไม่ขุ่น โดยในการทำความสะอาดแผลอาจจะทำความสะอาด ประมาณวนั ละ 2 - 3 ครั้ง 3. หากมีไข้หรือแผลเปื่อยส่งกลิ่นเหม็นเน่าให้รีบนำผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล เนื่องจาก แผลอาจมกี ารตดิ เช้ือ 4. พลิกตัวผปู้ ว่ ยทุก 2 ช่วั โมง 4.แผลกดทบั ระดับท่ี 4 ลกั ษณะแผลกดทับ มีการสูญเสยี ผวิ หนังช้ันกล้ามเนื้อทั้งหมด โดยแผลกดทับ ระดับน้ีจะมองเหน็ กระดูก เสน้ เอน็ พังผดื ใตผ้ ิวหนัง การดแู ลแผลกดทับ 1. การเกิดแผลทดทับในระดับนี้มักเป็นการลุกลามเข้าไปถึงชั้นกระดูกและเส้นเอ็น โดยมากมัก เป็นแผลติดเชือ้ ผปู้ ่วยควรได้รับการรกั ษาตวั อยู่ในโรงพยาบาล 2. พลกิ ตัวผปู้ ่วยทกุ 2 ชัว่ โมง 5.แผลกดทับไม่สามารถระบุระดบั ได้ ลักษณะแผลกดทับ เป็นการสญู เสยี ช้นั ผวิ หนังท้ังหมด โดยเป็น แผลขนาดลึกที่ถูกปกคลุมไว้ด้วยเนื้อเยื่อตายเหนียวและมีสะเก็ดหนา สีดำ น้ำตาล เทาเข้ม หรือสี เหลือง การดแู ลแผลกดทบั 1. การเกิดแผลทดทับในระดับนี้มักเป็นการลุกลามเข้าไปถึงชั้นกระดูกและเส้นเอ็น โดยมากมัก เปน็ แผลตดิ เชอื้ ผู้ป่วยควรได้รับการรกั ษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 2. พลิกตวั ผปู้ ว่ ยทกุ 2 ชัว่ โมง นำ้ ยาลา้ งแผลที่ใช้ทำความสะอาดแผลกดทับ ในการทำความสะอาดแผลกดทับควรใช้น้ำเกลือปราศจากเชื้อความเข้มข้น 0.9% และควร หลีกเลี่ยงการใช้ Povidone iodine, Alcohol, Hydrogen peroxide ในการทำความสะอาด เนือ่ งจากจะทำให้เนอื้ เยื่อที่สร้างขึ้นมาใหม่ถูกทำลาย ส่งผลให้แผลหายชา้ ภาวะแทรกซ้อนจากแผลกดทับ ผปู้ ว่ ยท่ีเกดิ แผลกดทบั อาจประสบภาวะแทรกซ้อนได้ โดยจะเกิดภาวะแทรกซ้อนจากระยะ 3 ไปสู่ระยะ 4 ซึ่งอันตรายถึงชีวิต ผู้ป่วยมกั ประสบภาวะแทรกซ้อนจากแผลกดทับรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ ติดเชื้อในกระแสเลือด ติดเชื้อที่กระดูกและข้อต่อ เนื้อเน่า หนังเน่า และมะเร็ง บางชนดิ ได้

40 2.4 ความรู้พ้ืนฐานดา้ น Hardware ทเี่ กยี่ วข้องนวตั กรรม โปรแกรม Glide app ภาพที่ 2.10 ภาพแสดงโปรแกรม ท่มี า: https://go.glideapps.com Glide app คอื Platform ท่ีสามารถทำแอพง่ายๆ โดยไม่ตอ้ งเขียนโปรแกรม โดยผู้ที่จะสร้าง แอปสามารถสร้างแอปผา่ นทางเว็บไซต์ของ Glide ได้เลยโดยไม่ต้องติดต้ังโปรแกรมหรือระบบพัฒนา ใดๆ ที่สำคัญกว่านั้นคือ สร้างแค่ครั้งเดียวแต่สามารถใช้งานได้ทั้งในโทรศัพท์ระบบ Andiron และ iPhone การจะเผยแพร่แอปที่สร้างนน้ั เพียงแค่ส่งลงิ ค์ ทาง line, e-mail, facebook, website หรือ ผู้ใชส้ ามารถ scan QR Code ที่พิมพ์ออกมาทสี่ ำคัญแอปที่ทำไม่กนิ หนว่ ยความจำ Progressive Web Application หรือเว็บไซต์สำหรับมือถือที่ทำตัวเหมือนแอป คือมี icon ให้คลิกเรียกใช้งาน สามารถ ปรับปรุงเนื้อหาในแอปได้ แอปที่สร้างจะอาศัย Google sheet เป็นฐานข้อมูล google sheet คือ เว็บ application ที่ให้บริการฟรี สำหรับคนที่มี gmail หรือ google account กระบวนการทำงาน ของ goole sheet จะเกบ็ ขอ้ มลู ตา่ งๆ เปน็ ตาราง มีแนวต้ังเรยี กว่า Columns ในส่วนน้ีจะมีตัวอักษร กำกับอยู่ข้างบน และแนวนอนเรียกว่า rows ในส่วนนี้จะมีตัวเลขกำกับอยู่ข้างหน้าจุดตัดระหว่าง Columns และ Rows เรียกว่า cell ในแต่ละ cell จะมีข้อมูลบรรจุอยู่ซึ่งในหนึ่ง google sheet file จะสามารถสร้าง sheet ได้หลาย sheet สำหรบั ขอ้ มูลต่างๆ เช่น ชอื่ ลูกคา้ ช่อื สินคา้ เป็นต้น สรุปคือ Glide เหมาะสำหรับทำ Mobile app ที่มีฐานข้อมูลไม่ได้เยอะและซัพซ้อนมากมาย ใช้งานง่าย เหมาะกับการทำเปน็ prototype เพือ่ นำเสนอ idea และได้ทดลองก่อนทจ่ี ะพัฒนาให้เตม็ รูปแบบ