โรคเหงือกอักเสบ และโรคปริทันต์ Dr.Ukrit Ampiphan ทันตสาธารณสุข Dental Public Health
โรคปริทันต์ (Periodontal Disease) มี 2 ระดับ 1.เหงือกอักเสบ (Gingivitis) มีการอักเสบเกิดขึ้น ที่อวัยวะปริทันต์ 2.ปริทันต์อักเสบ (Periodontitis) มีการทำลายของอวัยวะปริทันต์ร่วมด้วย วัตถุประสงค์ 1.เพื่อให้นักศึกษาสามารถอธิบายลักษณะ และการ ดำเนินของโรคปริทันต์ได้ 2.เพื่อให้นักศึกษาสามารถอธิบายถึง วิธีป้องกันโรคปริ ทันต์ได้
โรคปริทันต์ (Periodontal Disease) โรคปริทันต์ เป็นพยาธิสภาพที่เกิดขึ้นกับอวัยวะปริ ทันต์ ที่อยู่รอบฟัน ฟัน ได้แก่ เหงือก เคลือบ รากฟัน เอ็นยีดปริทันต์ และกระดูกเบ้าฟัน เกิดขึ้น ได้ทั้งชนิดเฉียบพลัน และเรื้อรัง ส่วนใหญ่เป็น ชนิดเรื้อรัง มีการดำเนินโรคเป็นระยะแรกๆ มา ตั้งแต่วัยเด็ก หรือวัยรุ่น ซึ่งมีอาการที่ไม่รุนแรงนัก คือ มีการอักเสบบวมแดงที่ขอบเหงือก มีเลือดออก เมื่อแปรงฟัน ผู้ป่วยส่วนมากมักจะละเลย ทำให้มี โอกาสที่โรคจะดำเนินต่อไป จนถึงระยะรุนแรง (Advanced Periodontitis) ในวัยผู้ใหญ่ หรือผู้ สูงอายุ หรือจนกระทั่งมีอาการแสดงออกรุนแรงขึ้น ได้แก่ มีอาการปวด ฟันโยก มีฝีปลายรากฟัน มี หนองเกิดขึ้น ซึ่งเป็นระยะที่อวัยวะปริทันต์ถูก ทำลายไปมากแล้ว จนไม่สามารถรักษาฟันให้คง อยู่ได้ โรคปริทันต์จึงเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่ง ของการสูญเสียฟันในวัยผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ
โรคปริทันต์ (Periodontal Disease) ประเภทของโรคปริทันต์ การแบ่งประเภทของโรคปริทันต์ เพื่อประโยชน์ในการ วินิจฉัย การทำนาย และการวางแผน เพื่อการรักษาโรค โดยแบ่งตามลักษณะอาการ และความรุนแรง ได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. เหงือกอักเสบ (Gingivitis) เป็นการอักเสบที่เกิดขึ้น เฉพาะบริเวณขอบเหงือก ซึ่งอาจเกิดขึ้นร่วมกับการมี หรือ ไม่มีการสะสมของหินน้ำลายก็ได้ พบได้ทั้งผู้ใหญ่ และเด็ก การอักเสบของเหงือกสามารถกลับคืนสู่สภาพปกติได้ เมื่อได้ รับการดูแลอนามัยในช่องปาก อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ การกำจัดคราบจุลินทรีย์ ด้วยการแปรงฟันหลังอาหาร การ ใช้เส้นไหมขัดฟัน และถ้าการอักเสบของเหงือก เกิดจาก คราบจุลินทรีย์ ที่เกาะหินน้ำลาย การกำจัดหินน้ำลายออก ก็ จะทำให้เหงือกกลับสู่สภาพเดิมได้ 2. ปริทันต์อักเสบ (Periodontitis) เป็นการอักเสบต่อ เนื่อง จากระยะของเหงือกอักเสบ ที่ไม่ได้รับการดูแลรักษา การอักเสบจะลุกลามจากเหงือกไปทำลายกระดูก เคลือบ รากฟัน เยื่อยึดปริทันต์ ซึ่งทำหน้าที่พยุงฟันไว้ ซึ่งเป็นการ ทำลายอวัยวะปริทันต์อย่างถาวร พยาธิสภาพที่พบ ได้แก่ เหงือกร่น จนทำให้เห็นคอฟัน และดูเหมือนกับฟันซี่ยาว ขึ้น กระดูกเบ้าฟันละลาย และในที่สุดฟันโยก หรือต้องถูก ถอนออก
โรคปริทันต์ (Periodontal Disease) สาเหตุของโรคปริทันต์ โรคปริทันต์มีสาเหตุมาจาก คราบจุลินทรีย์ (Bacterial Plaque / Dental Plaque) ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในช่องปาก โดย ส่วนใหญ่เกาะยึดแน่นกับผิวฟัน ไม่สามารถกำจัดออกด้วย การบ้วนปาก การเกิดโรคปริทันต์เป็นผลมาจาก เมื่อคราบ จุลินทรีย์เกาะติดผิวฟัน เป็นระยะเวลาหนึ่ง ต่อมาสารพิษ (Toxin) ถูกปล่อยออกมาทำให้เหงือกอักเสบ และทำลาย อวัยวะปริทันต์ นอกจากคราบจุลินทรีย์ ซึ่งนับเป็นปัจจัยเริ่ม ต้น ของการเกิดโรคปริทันต์แล้ว ยังมีองค์ประกอบอื่นอีก มากมาย ซึ่งพร้อมที่จะทำให้โรคเป็นรุนแรงขึ้นอีก ปัจจัยเสริมที่เพิ่มความรุนแรงของโรคปริทันต์ หินน้ำลาย ซึ่งเกิดจากคราบจุลินทรีย์ ที่สะสมอยู่หลายวัน ต่อ มามีแร่ธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัสในน้ำลาย เข้ามารวมตัว กลายเป็นผลึกแข็ง เกาะแน่นกับผิวฟัน การกำจัดหินน้ำลาย ปีละครั้ง เป็นสิ่งที่ควรทำเป็นประจำ การสูบบุหรี่ เนื่องจากควัน และสารเคมีในบุหรี่ มีผลกดภูมิ ต้านทานร่างกาย ต่อเชื้อโรคปริทันต์ ทำให้ผู้สูบบุหรี่มี โอกาสเป็นโรคปริทันต์ได้ง่าย แต่รักษาให้หายยาก การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน และภาวระร่างกายของ บุคคล ได้แก่ ในวัยรุ่น หญิงมีครรภ์ ภาวะโรคเบาหวาน ที่ ไม่มีการควบคุมระดับน้ำตาล ความเครียด
โรคปริทันต์ (Periodontal Disease) ปัจจัยเสริมที่เพิ่มความรุนแรงของโรคปริทันต์ การรับประทายาบางอย่างเป็นประจำ เช่น ยารักษาโรคลม ชัก ยาคุมกำเนิด เป็นต้น ยารักษาโรคลมชัก ทำให้เนื้อเยื่อ เหงือกโตขึ้น ส่วนฮอร์โมนจากยาคุมกำเนิดนั้น เพิ่มความ รุนแรงของอาการเหงือกอักเสบ เมื่อมีสาเหตุเฉพาะที่ ได้แก่ คราบจุลินทรีย์ของเหงือกอักเสบอยู่ก่อนแล้ว ปัจจัยอื่น จากการรักษาทางทันตกรรม เช่น การใส่ฟันปลอม ที่ไม่พอดี มีผลให้วัสดุฟันปลอมระคายเคือง ต่อเนื้อเยื่อ เหงือกบางตำแหน่งตลอดเวลา หรือครอบฟันที่มีขอบใต้ เหงือก ทำให้การสะสมตกค้างของคราบจุลินทรีย์ ตามขอบ คอฟันเพิ่มขึ้น เหงือกจึงมีโอกาสอักเสบมากขึ้น หรือฟันที่ อุดมีจุดสูง ทำให้เนื้อเยื่อปริทันต์ข้างใต้ฟันซี่นั้น ถูกทำลาย จากแรงบดเคียว ที่เกินสมดุลกว่าฟันซี่อื่น หากพบปัญหา ต่างๆ เหล่านี้ ควรพบทันตแพทย์ เพื่อแก้ไขให้ถูกต้อง
โรคปริทันต์ (Periodontal Disease) ลักษณะอาการของโรคปริทันต์ การดำเนินของโรคปริทันต์ สามารถแบ่งเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ระยะเหงือกอักเสบ (Gingivitis) คราบจุลินทรีย์ที่สะสมอยู่ ตามตัวฟัน และขอบเหงือก ปล่อยสารพิษซึมเข้าสู่เหงือก มีผล ให้เหงือกปกติที่มีสีชมพูซีด รัดแน่นรอบคอฟัน เกิดการอักเสบมี ผลให้เหงือกไม่รัดแน่นกับฟันเช่นเดิม ทำให้คราบจุลินทรีย์เข้า สู่ร่องเหงือกได้มากขึ้น ส่งผลให้เหงือกอัอกเสบเพิ่มขึ้น ในส่วน ของร่างกาย จะมีขบวนการต่อสู้ โดยส่งเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น หลอดเลือดบริเวณที่อักเสบ ขยายตัวใหญ่ขึ้น จึงเห็นว่า เหงือก บวมแดง เมื่อมีแรงกดเบาๆ เช่น แรงจากการแปรงฟัน จะมีผล ให้เลือกออกได้ง่าย ระยะที่ 2 มีร่องลึกปริทันต์ (Periodontal Pocket) มีลักษณะ ภายนอกเหมือนระยะเหงือกอักเสบ แต่มีการลุกลามมากขึ้น เนื่องจากการปล่อยให้มีคราบจุลินทรีย์สะสมเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิด การทำลายเยื่อยึดปริทันต์ ซึ่งหากใช้เครื่องมือตรวจวัดความลึก ของเหงือกที่สอดเข้าไประหว่างเหงือกกับฟัน ถ้าพบร่องเหงือกลึก เกินระดับปกติ (2-3 มิลลิเมตร) เรียกร่องเหงือกนั้นว่า ร่องลึกปริ ทันต์ (Periodontal Pocket) ซึ่งร่องลึกนี้จะยิ่งทำให้การทำความ สะอาดฟันยากขึ้น
โรคปริทันต์ (Periodontal Disease) ระยะที่ 3 มีเหงือกร่น (Gingival Recession) เมื่อเกิดร่องลึกปริทันต์ แล้ว ไม่ได้รับการรักษา จะทำให้โรคดำเนินรุนแรงขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากร่องลึกปริทันต์ เป็นเสมือนแหล่งกักเก็บแผ่นคราบ จุลินทรีย์ การสร้างสารพิษ โดยจุลินทรีย์จึงมีมากขึ้น ทำให้อวัยวะ ปริทันต์ถูกทำลายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีการทำลายกระดูกเบ้าฟันจน เกิด ความลึกของร่องลึกปริทันต์เพิ่มขึ้น ขอบเหงือกก็จะลดต่ำลง ตามกระดูกที่ถูกทำลาย ในระยะนี้ ถ้ากดเบาๆ บริเวณขอบเหงือก จะพบมีหนองไหลออก การหมักหมมของแผ่นคราบจุลินทรีย์ และเศษอาหารในร่องลึกปริทันต์บางครั้ง จะมีการติดเชื้อเกิด เป็นฝีขึ้น เรียกว่า ฝีปริทันต์ ระยะที่ 4 ฟันโยก (Mobility of Tooth) เมื่อเป็นโรคปริทันต์ อักเสบแล้ว ไม่ได้รับการรักษา กระดูกเบ้าฟันจะถูกทำลายไป เรื่อยๆ ส่งผลให้ฟันเริ่มมีอาการโยก ฟันจะโยกมาก หรือน้อย ขึ้นอยู่กับปริมาณกระดูกเบ้าฟันที่เหลืออยู่ ส่วนใหญ่ฟันโยกจะ เห็นได้ชัดเจน เมื่อกระดูกเบ้าฟันเหลืออยู่น้อยกว่า ครึ่งหนึ่งของ ความยาวของรากฟัน
โรคปริทันต์ (Periodontal Disease) ภาพประกอบโรคปริทันต์ ระยะที่ 1 ภาพประกอบโรคปริทันต์ ระยะที่ 2
โรคปริทันต์ (Periodontal Disease) ภาพประกอบโรคปริทันต์ ระยะที่ 3 ภาพประกอบโรคปริทันต์ ระยะที่ 4
โรคปริทันต์ (Periodontal Disease) การป้องกันโรคปริทันต์ โรคปริทันต์มีสาเหตุมาจากคราบจุลินทรีย์ ดังนั้น หลักการที่ สำคัญที่จะหยุดยั้งการเกิดโรคปริทันต์ได้ คือ การกำจัดคราบ จุลินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีการโดยตรง ที่จะทำให้เหงือกมีสุขภาพดี การป้องกันโรคปริทันต์ แบ่งได้เป็น 2 ระดับ คือ สามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเองที่บ้าน ด้วยวิธีการง่ายๆ คือ การ แปรงฟัน ซึ่งควรปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ โดยเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก เล็ก หลักสำคัญในการแปรงฟัน ควรที่จะเริ่มคำนึงถึง ประสิทธิผล ของการกำจัดคราบจุลินทรีย์ โดยไม่ทำอันตรายต่อ เหงือก และฟัน และต้องทำอย่างสม่ำเสมอทุกวัน การใช้สีย้อม ครอบจุลินทรีย์ (Disclosing Agents) ซึ่งเป็นยาเม็ดหรือยาน้ำ มีสีแดง ใช้ย้อมคราบจุลินทรีย์ เพื่อดูประสิทธิภาพการแปรงฟัน ว่า สามารถกำจัดคราบจุลินทรีย์ได้หมดหรือไม่ โดยสีของยา เม็ดสีย้อมฟัน จะติดเป็นคราบสีแดง ตามบริเวณที่เป็นคราบ จุลินทรีย์ จึงควรใช้ยาเม็ดสีนี้ หลังการแปรงฟัน เพื่อช่วยบอกว่า บริเวณใดที่ยังแปรงไม่สะอาด ซึ่งจะช่วยให้มีการปรับปรุงการ แปรงฟันให้ดียิ่งขึ้น นอกจากการแปรงฟันแล้ว ควรใช้อุปกรณ์ช่วยทำความสะอาด ที่ บริเวณซอกฟันด้วย เพราะเป็นบริเวณที่แปรงสี ฟันเข้าไม่ถึง ซึ่งได้แก่ การใช้ไหมขัดฟัน (Dental Floss) แปรงซอกฟัน (Interdental Brush) และควรปรึกษาทันตแพทย์ หรือทันต บุคลากร เพื่อให้สามารถใช้อุปกรณ์เหล่านั้น ได้อย่างถูกต้อง จึงจะทำให้เกิดประโยชน์ หากใช้ไม่ถูกแล้ว จะส่งผลเสียต่อ เหงือกได้
โรคปริทันต์ (Periodontal Disease) การป้องกันโรคปริทันต์ การใช้ยาฆ่าเชื้อ (Antiseptics) เพื่อช่วยลดการเกิดคราบ จุลินทรีย์ มักใช้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคปริทันต์ หรืออยู่ระหว่างการ รักษาโรคปริทันต์ ในปัจจุบันยาฆ่าเชื้อที่นิยมใช้กันอย่างแพร่ หลาย และได้ผลดีต่อการลดการเกิดคราบจุลินทรีย์ คือ คลอเฮ็ก ซิดีน (Chlohexidine) ซึ่งมีขายอยู่ในรูปแบบ ของยาบ้วนปาก หรือเจล แต่ผลเสียของคลอเฮ็กซิดีน ทำให้เกิดคราบสีน้ำตาล บนตัวฟัน และทำให้การรับรสเฝื่อนลง จึงไม่ควรใช้เป็นเวลา นานๆ ยาฆ่าเชื้อที่นิยมใช้อีกชนิดหนึ่งคือ ไตรโคลซาน (Triclosan) ซึ่งนำมาเป็นส่วนผสมของ ยาบ้วนปากก่อนการ แปรงฟัน และผสมในยาสีฟันที่ช่วยควบคุมคราบจุลินทรีย์ และ ช่วยให้เหงือกมีสุขภาพดี การรับบริการตรวจ และรักษา โดยทันตแพทย์ ควรพบ ทันตแพทย์ หรือทันตบุคลากร เพื่อการตรวจ และช่วยกำจัด หรือแก้ไขสาเหตุที่ทำให้เกิดการสะสมของคราบจุลินทรีย์
โรคปริทันต์ (Periodontal Disease) Interdental Brush การรักษาโรคปริทันต์ ในระยะเหงือกอักเสบ ถ้าพบว่า บริเวณใด เหงือกเริ่มมีอาการ บวมแดง ส่วนใหญ่มักเกิดจากการมีคราบจุลินทรีย์ตกค้าง ใน กรณีเช่นนี้ การทำความสะอาดบริเวณนั้นเป็นพิเศษ จะช่วย ให้การอักเสบหายไปได้ แต่ถ้าในกรณีที่โรคเหงือกอักเสบ ลุกลามไปมากขึ้น การทำความสะอาด และการดูแลอนามัยช่อง ปากด้วยตนเอง อย่างเดียวไม่เพียงพอ จำเป็นต้องพบ ทันตแพทย์ เพื่อทำการรักษา โดยการขูดหินน้ำลาย ขัดฟัน ถ้าเป็นระยะที่สอง คือ มีร่องลึกปริทันต์เกิดขึ้น แต่ยังไม่มีการ ทำลายของกระดูเบ้าฟัน ในกรณีเช่นี้ ทันตแพทย์จะทำความ สะอาดร่องลึกปริทันต์ และแนะนำให้ผู้ป่วยดูแลอนามัยช่องปาก ของตนเอง และแนะนำให้ผู้ป่วยดูแลอนามัยช่องปาก ของ ตนเองให้ดีควบคู่ไปด้วย เพื่อช่วยยับยั้งโรค ไม่ให้โรคลุกลาม ต่อไป
โรคปริทันต์ (Periodontal Disease) สำหรับการรักษาปริทันต์อักเสบ ระยะที่ 3 และ 4 ขึ้นอยู่กับ อวัยวะปริทันต์ ที่รองรับฟันนั้น ถูกทำลายไปมากหรือน้อย ถ้า อวัยวะปริทันต์ถูกทำลายไปไม่มากนัก และส่วนที่เหลือยัง สามารถรองรับฟัน ให้ทำหน้าที่ได้ต่อไป ก็จะทำการรักษา โดย การทำความสะอาดร่องลึกปริทันต์ กระตุ้นให้เยื่อยึดรากฟัน ฟื้นฟูสภาพ ให้มากที่สุด ในบางรายอาจต้องทำการผ่าตัดเหงือก เพื่อช่วยลดความลึกของร่องลึกปริทันต์ และช่วยให้อวัยวะปริ ทันต์ยึดติดกับฟันได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ฟันที่ได้รับการรักษา แล้วนั้น จะไม่เหมือนฟันปกติ เพียงแต่การรักษานี้ช่วยไม่ ให้การอักเสบลุกลามรุนแรงต่อไป แต่ฟันยังคงทำหน้าที่ในการ บดเคี้ยวอาหารได้ แม้จะไม่ดีเท่าสภาพฟัน และเหงือกปกติ แต่ถ้าอวัยวะปริทันต์ถูกทำลายไปมาก เกินกว่าจะรองรับฟันให้ คงอยู่ได้ การรักษาทำได้ประการเดียว คือ ต้องถอนฟันซี่นั้น ออกไป
โรคปริทันต์ (Periodontal Disease) สาเหตุของโรคปริทันต์ 1.ปัจจัยพื้นฐาน คือ คราบจุลินทรีย์ (Dental Plaque) ส่วน ประกอบ 80% เป็นเชื้อจุลินทรีย์ ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบ และเกิดร่องระหว่างเหงือกกับฟันจะเกิดการทำลายเนื้อเยื่อ ปริทันต์มากขึ้น ปัจจัยที่ทำให้มีการสะสมคราบจุลินทรีย์ 1.ฟันมีรูปร่างผิดปกติ 2.ขอบวัสดุอุดฟันไม่เรียบ 3.การใส่ฟันปลอมแบบถอดได้ 4.การมีหินน้ำลาย 5.ขาดการทำความสะอาดฟันที่ดี
โรคปริทันต์ (Periodontal Disease) สาเหตุของโรคปริทันต์ 2.เชื้อจุลินทรีย์ทำลายเนื้อเยื่อปริทันต์ โดยปล่อยสารพิษ ซึ่งมีฤทธิ์ตั้งแต่ ทำให้เนื้อเยื่อ ไปจนถึงกระตุ้นให้ร่างกาย สร้างสาร ที่มาทำลายกระดูกยึดรากฟัน 3.ปัจจัยเกื้อหนุนอย่างอื่น หินน้ำลาย 3.1 การบูรณะฟันที่ไม่ดี มีขอบเกิน 3.2 ในฟันบางซี่มีร่องฟันลึกเข้าไปในรากฟัน 3.3 ยาบางชนิด เช่น ยาที่กดภูมิคุ้มกัน ยารักษาโรคลมชัก ทำให้ เกิดเหงือกบวมโต ทำความสะอาดยาก 4.โรคทางระบบบางชนิด เช่น 4.1 โรคเบาหวาน (Diabetes) คนที่เป็นมานานและควบคุม น้ำตาลไม่ได้ จะเป็นรุนแรง 4.2 การสูบบุหรี่ สูบบุหรี่มากๆ จะเป็นปริทันต์มากกว่า 4.3 โรคเอดส์ มีการทำลายของเหงือก และเนื้อเยื่อรุนแรงมาก
ฟันสึก การเคี้ยวอาหารแข็ง เช่น เม็ดมะขาม การใช้ฟันผิดประเภท เช่น เปิดขวด
มะเร็งในช่องปาก สาเหตุ 1.การเคี้ยวหมาก ร่วมกับการใช้ยาฉุน 2. การสูบบุหรี่ 3.กัดแก้ม กัดลิ้น เป็นประจำ 4. การติดเชื้อโรคบางชนิด
ปากแห้ง น้ำลายน้อย ปากแห้ง น้ำลายน้อย ปากแห้ง น้ำลายน้อย สาเหตุ 1.วัยหมดประจำเดือน 2.รับประทานยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาลดน้ำมูก 3.เคยได้รับการฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งบริเวณช่องปากและ ใบหน้า ผล 1.รับประทานอาหารลำบาก 2.ฟันผุ และ โรคปริทันต์รุนแรง
การเจริญของเนื้อเยื่อต่อการระคายเคืองเฉพาะที่ สาเหตุ 1.ขอบฟันปลอมยาวเกิน หรือ ฟันปลอมหลวม 2.การสูบบุหรี่ โดยเฉพาะแบบกลับทาง
โรคทางระบบที่เกี่ยวข้องกับโรคในช่องปาก และการรักษาทางทันตกรรม โรคเบาหวาน - ปริทันต์อักเสบ, การติดเชื้อรา โรคความดันโลหิตสูง – ปากแห้ง, แผลจากผลของยา โรคหัวใจ – ปากแห้ง, แผลจากผลของยา วัยหมดประจำเดือน (วัยทอง) - ปากแห้ง โรคเบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวาน มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิด โรคปริทันต์ชนิด รุนแรง รวมถึงการติดเชื้อราในช่องปาก
โรคในช่องปากที่สำคัญ และมาตรการป้องกันโรคในผู้สูงอายุ โรคฟันผุ มาตรการป้องกัน 1.การกำจัด plaque โดยการแปรงฟัน และการใช้อุปกรณ์ เสริม แปรงฟันบน แปรงฟันล่าง
แปรงฟันด้านบดเคี้ยว แปรงลิ้น แปรงกระจุกเดียว
แปรงซอกฟัน ไหมขัดฟัน ไม้จิ้มฟัน
น้ำยาบ้วนปาก การดูแลทำความสะอาดฟันปลอม การตรวจช่องปากด้วยตนเอง 1.การตรวจฟัน 2.การตรวจเหงือก 3.การตรวจเนื้อเยื่อในช่องปาก
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ 1.รับประทาน อาหารหลัก 5 หมู่ 2.หลีกเลี่ยง อาหารที่หวานจัด อาหารที่นิ่ม หรือเหนียวติดฟัน การไปพบทันตแพทย์
Search
Read the Text Version
- 1 - 27
Pages: