Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่1แนวคิดพื้นฐานของวิทยาการระบาด

หน่วยที่1แนวคิดพื้นฐานของวิทยาการระบาด

Description: kittirat norkhud 633263005

Search

Read the Text Version

บทท่ี 1 แนวคิดพืน้ ฐาน ของวิทยาการระบาด โดย นายกติ ตริ ัตน์ หน่อขัด รหัส 633263005 หมู่เรียน 24.1 นายสุรวชิ ญ์ เรืองประโคน รหัส 633263043 หมู่เรียน 24.1

แนวคิดพืน้ ฐานของวิทยาการระบาด 1 นิยามและความหมายของวิทยาการระบาด • รากศพั ทแ์ ละนยิ ามของวทิ ยาการระบาด • ความหมายของวทิ ยาการระบาด 2 ประวตั ิความเป็นมาและขอบเขตของวิทยาการระบาด • ความเขา้ ใจของคนแตล่ ะสมยั เกย่ี วกบั โรคภยั ไขเ้ จบ็ • ววิ ฒั นาการของวทิ ยาการระบาด • ขอบเขตของวทิ ยาการระบาด • องคป์ ระกอบของการศกึ ษาทางวทิ ยาการระบาด 3 วตั ถปุ ระสงคแ์ ละประโยชน์ของการศึกษาทางวิทยาการระบาด • วตั ถปุ ระสงคข์ องการศกึ ษาทางวทิ ยาการระบาด • ประโยชน์ของการศกึ ษาทางวทิ ยาการระบาด • ชนดิ ของวทิ ยาการระบาด 4 วิธีการศึกษาทางวิทยาการระบาด • ขนั้ ตอนการศกึ ษาทางระบาดวทิ ยา • วชิ าการทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั วทิ ยาการระบาด

แนวคิดพืน้ ฐานของวิทยาการระบาด 1 นิยามและความหมายของวทิ ยาการระบาด ➢ รากศัพท์และนิยามของวทิ ยาการระบาด ➢ ความหมายของวทิ ยาการระบาด

รากศพั ทแ์ ละนิยามของวิทยาการระบาด ระบาดวทิ ยา = วทิ ยาการระบาด (Epidemiology) • ระบาดวทิ ยา เป็ นคาท่ใี ช้กนั อย่างแพร่หลายและเป็ นทีร่ ู้จักกนั มาก่อนเป็ นเวลานานในวงการแพทย์และ หน่วยงานสาธารณสุขไทย ต่อมาเปลย่ี นมาใช้ชื่อเป็ น วิทยาการระบาด เมื่อปี พ.ศ.2519 จากคาแนะนา คณะอนุกรรมการพจิ ารณาบัญญัตศิ ัพท์อดุ มศึกษา ด้วยเหตุผลความถูกต้องตามหลกั ภาษาศาสตร์

รากศพั ทแ์ ละนิยามของวิทยาการระบาด “Epidemiology” ซ่ึงมีรากศัพท์ภาษากรีก “Epidemic” Epidemiology มาจากรากศัพท์ ดงั นี้ Epi แปลว่า on หรือ upon Demos แปลว่า people, common people Logos แปลว่า knowledge “The study of what befalls a population” ข้อความจารึกเกยี่ วกบั การก่อสร้างอนุสาวรีย์เทพอี ะธนี ่าใน วหิ ารพาร์เธนอน ราว 440/439 ก่อนคริสตกาล หมายถึง ศาสตร์หรือวทิ ยาการ การศึกษาเหตุการณ์ทเี่ กดิ ขนึ้ กบั ประชากรหน่ึงกลุ่ม ซึ่งเร่ืองสาคญั ของคนคือเรื่องทเี่ กยี่ วกบั สุขภาพ การเจ็บป่ วยและการตาย

ระบาดวิทยา หรอื วิทยาการระบาด (Epidemiology) By definition: The study of the distribution and determinants of health-related states or events in specified populations, and application of this study to the control of health problem (ที่มา :Last,J.M. (ed)(1988). Dictionary of epidemiology (2nd.ed.), p.42. Oxford University Press, New York.) ระบาดวทิ ยา หรือ วทิ ยาการระบาด คือ การศึกษาการกระจายและสาเหตุของโรคหรือปัญหาทเ่ี กย่ี วข้อง กบั สุขภาพของประชากรและการประยุกต์ใช้ผลการศึกษาเพ่ือป้องกนั และควบคุมโรคหรือปัญหา สุขภาพเหล่าน้ัน

ความหมายของวิทยาการระบาด ➢ London Epidemiological Society (อ้างถึงใน Aschengrau and Seage lll, 2008, p. 6) “เป็ นสาขาหน่ึงของวทิ ยาศาสตร์การแพทย์ซ่ึงทาการบาบัดรักษาโรคระบาด” ➢ ฟรอสท์ (Frost, 1927, p. 494 in Lilienfeld 1978, p. 87) ให้นิยามว่า “เป็ นวชิ าทศ่ี ึกษาเกย่ี วกบั กลุ่มของปรากฏการณ์ต่างๆ ของโรคตดิ เชื้อหรือธรรมชาตขิ องการเกดิ โรคตดิ เชื้อ” ➢ สตลั ลบี ราสส์ (Stallybrass, 1931, p. V in Lilienfeld, 1978, p. 87) ให้นิยามว่า “เป็ นศาสตร์ทเี่ กยี่ วกบั โรคตดิ เชื้อต่างๆ สาเหตุทส่ี าคญั ของโรค การแพร่กระจายและการป้องกนั ” ➢ แมกซี่ (Maxcy, 1951, p. 1289 in Lilienfeld 1978, p.87) ให้นิยามว่า “เป็ นแขนงหน่ึงของวทิ ยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งเกย่ี วข้องกบั การศึกษาความสัมพนั ธ์ระหว่างปัจจยั ต่างๆและภาวะซึ่งมผี ลต่อความถ่แี ละการกระจายของ กระบวนการตดิ เชื้อของโรคหรือภาวะทางสรีรวทิ ยาบางอย่างในชุมชนมนุษย์”

ความหมายของวิทยาการระบาด ➢ แมกมาฮอนและผวิ (MacMahon and Pugh, 1970, p. 1) “เป็ นการศึกษาเกยี่ วกบั การกระจายและปัจจัยท่ีมอี ทิ ธิพลต่อความถีข่ องการเกดิ โรคในคน” ➢ ลาสท์ (Last, J.M., 2001, p.61.) ได้อธิบายความหมายของ Epidemiology ว่า “เป็ นการศึกษาเกย่ี วกบั การกระจายและปัจจยั ท่มี อี ทิ ธิพลต่อภาวะ หรือเหตุการณ์ทเ่ี กย่ี วข้องกบั สุขภาพในประชากรทกี่ าหนดและการประยุกต์ใช้การศึกษาทางวิทยาการระบาดเพื่อ การป้องกนั และควบคุมปัญหาสุขภาพ”

แนวคิดพืน้ ฐานของวิทยาการระบาด 2 ประวตั ิความเป็นมาและขอบเขตของวิทยาการระบาด ➢ ความเข้าใจของคนแต่ละสมยั เก่ียวกบั โรคภยั ไข้เจบ็ ➢ วิวฒั นาการของวิทยาการระบาด ➢ ขอบเขตของวิทยาการระบาด ➢ องคป์ ระกอบของการศึกษาทางวิทยาการระบาด

ความเช่ือและความเข้าใจของมนุษยเ์ กี่ยวกบั โรคภยั ไขเ้ จบ็ ▪เกดิ จากภูตผี ปี ศาจ เวทมนต์คาถาหรือการลงโทษจากส่ิงศักด์สิ ิทธ์ิ ▪เกดิ จากการผดิ ปกติของกฎแห่งธรรมชาติ ▪เกดิ จากการสัมผสั ผู้เป็ นโรคและส่ิงแวดล้อมทสี่ กปรก ▪เกดิ จากเชื้อโรค ▪เกดิ ตามแนวคดิ สมยั ใหม่

วิวฒั นาการของวิทยาการระบาด ➢ 460 ปี ก่อนคริสตกาล Hippocrates นักปรัชญาชาวกรีกได้อธิบายว่าการเกดิ โรค น่าจะมคี วามสัมพนั ธ์กบั สิ่งแวดล้อม รอบตวั เราไม่ใช่เกดิ จากอานาจลกึ ลบั ทพ่ี สิ ูจน์ไม่ได้ ภาพเขยี นแสดงเร่ืองราวขณะฮิปพอคราทสี ปฏเิ สธ ภาพจิตรกรรมฝาผนังแสดงกาเลน ภาพธรรมเนียมนิยมหุ่นคร่ึงตวั บน \"ภาพเหมือน\" การเข้าเฝ้าจกั รพรรดิอะเคเมนิด อาร์ตาเซอร์เซส ผู้ และฮิปพอคราทสี , ศตวรรษท่ี 12; ฮิปพอคราทสี (ภาพแกะไม้จากศตวรรษท่ี 19) ร้องขอการช่วยเหลือจากฮิปพอคราทสี อานะกานี ประเทศอติ าลี

วิวฒั นาการของวิทยาการระบาด ➢ ค.ศ.1747 James Lind ได้ศึกษาสาเหตุโรค ลกั ปิ ดลกั เปิ ด (Scurvy) ในกะลาสีเรือ พบว่า เกดิ จากการไม่ได้กนิ ผกั และผลไม้เป็ นเวลานาน James Lind FRSE FRCPE (4 ตุลาคม พ.ศ. 2259 - 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2337) เป็ นแพทย์ชาวสกอ็ ต

วิวฒั นาการของวิทยาการระบาด ➢ ศตวรรษที่ 18 Edward Jenner สังเกตพบว่าชาวชนบทองั กฤษที่สัมผสั และ ติดโรคฝี ดาษในวัว (Cowpox) จะไม่ป่ วยเป็ นโรคไข้ทรพิษหรือฝี ดาษในคน (Smallpox) จึงได้ทดลองนาหนองฝี จากวัวที่ป่ วยเป็ น Cowpox มาใช้เพ่ือ ป้องกนั ไข้ทรพษิ

วิวฒั นาการของวิทยาการระบาด ➢ John Snow แพทย์ชาวองั กฤษ ทาการศึกษาทดลอง โดยธรรมชาตสิ ังเกตและเปรียบเทยี บการเสียชีวิต ของประชาชนด้วยอหิวาตกโรคทใ่ี ช้นา้ ประปาแหล่งต่างๆ ในกรุงลอนดอนจนสามารถสรุปได้ว่า อหิวาตกโรค มีการตดิ ต่อโดยมนี า้ เป็ นส่ือ แผนทแ่ี สดงการตายด้วยอหวิ าตกโรค กรุงลอนดอน เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2397 (1854) ผู้ป่ วยเสียชีวติ 500 รายในเวลา 10 วนั แต่ภายในเวลา 1 สัปดาห์หลงั จากถอนหัวจ่ายนา้

วิวฒั นาการของวิทยาการระบาด ▪ ต้ังแต่ศตวรรษท่ี 19 เป็ นต้นมา วิธีการศึกษาทางวิทยาการระบาดได้พัฒนา ขยายครอบคลมุ ถงึ วธิ ีการทใ่ี ช้ทาความรู้ความเข้าใจโรคเรื้อรังและโรคไร้เชื้อ ทูตสวรรค์แห่งความตายทุบประตูในช่วงทก่ี รุงโรมเกดิ ภัยพบิ ตั ิ ภัยพบิ ตั แิ ห่งเอเธนส์ โดย M. Sweerts, c. พ.ศ. 2195–1654 โดย J. Delaunay ศตวรรษที่ 19

ขอบเขตของวิทยาการระบาด ➢ระบาดวทิ ยาเป็ นวชิ าทมี่ รี ากฐานมาจากการศึกษาโรคระบาดต่อมาเม่ือโลกพฒั นาไปการเกดิ โรคมีท้งั โรคติดเชื้อโรคไร้เชื้อ ปัญหาสุขภาพจติ ปัญหาจากส่ิงแวดล้อมและความเส่ือมของร่างกาย ➢ทาให้ การศึกษาทางวิทยาการระบาดเปลี่ยนแปลงไปตามการพัฒนาของสั งคมและส่ิ งแวดล้อม ด้ วย เช่น มีความครอบคลมุ ถึงการศึกษาโรคประจาถน่ิ การใช้วคั ซีนป้องกนั โรค การเฝ้าระวงั โรค การศึกษาสาเหตุการตายจากโรคไร้เชื้อ ภัย อบุ ตั ิเหตุ ปัญหายาเสพตดิ โรคทาง พนั ธุกรรมทม่ี ีผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมเป็ นต้น

องคป์ ระกอบของการศึกษาทางวิทยาการระบาด ➢พจิ ารณาจากนิยามของวทิ ยาการระบาดทใี่ ห้ไว้โดยนักวชิ าการท้งั หลายจะเห็นได้ว่า องค์ประกอบ ของการศึกษาทางวทิ ยาการระบาดจะประกอบไปด้วยการศึกษาในสิ่งเหล่านี้ คือ 1.ปัญหาสุขภาพและโรคต่างๆ (Health problems and diseases) 2.ประชากร (Poppulation) 3.ความถีข่ องโรค (Disease frequency) 4.การกระจายของโรค (Disease distribution) 5.สาเหตุและปัจจัยกาหนดหรือปัจจัยทม่ี ีอธิ ิพลต่อการเกดิ โรค (Etiology and diseasedeterminant) 6.การควบคุมป้องกนั โรค (Disease prevention and control)

องคป์ ระกอบของการศึกษาทางวิทยาการระบาด 1.ปัญหาสุขภาพและโรคต่างๆ (Health problems and diseases) เป็ นการศึกษาธรรมชาติของการเกดิ โรค (Natural history of disease) ท้ังโรคติด เชื้อและโรคไร้เชื้อท่ีเกิดขึน้ ในมนุษย์ ซึ่งรวมถึงกระบวนการเกิดโรคและกลไกของการเกิด โรค นอกจากนี้วิธีเดียวกันของวิทยาการระบาดยังมุ่งในการศึกษาถึงปัจจัยหรือสภาวะ บางอย่างท่ีมีผลต่อธรรมชาติของการเกิดโรค เช่น มีผลต่อระยะการดาเนินของโร ค (Duration of disease) และผลสุดท้ายของโรค เช่น หาย เรื้อรัง พิการหรือตาย การทราบ ธรรมชาติของการเกิดโรคนอกจากจะมีประโยชน์ ใน การทา นายการเกิดโรคแล้ วยังมี ประโยชน์ต่อการรักษาพยาบาลอกี ด้วย

องคป์ ระกอบของการศึกษาทางวิทยาการระบาด 2.ประชากร (Poppulation) หน่วยในการวเิ คราะห์ (Unit of analysis) ในทางวทิ ยาการระบาดส่วนใหญ่แล้วจะ หมายถงึ ประชากรกล่มุ ใดกล่มุ หนึ่งทมี่ ีขอบเขตตามทรี่ ะบุไว้ชัดเจน (Bonita, Beaglehole, and Kjellstrom, 2006) ดังน้ันการศึกษาทางวิทยาการระบาดในองค์ประกอบด้าน ประชากรจึงเป็ นการศึกษาเก่ียวกับลักษณะของประชากรกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเกี่ยวกับ พฤตกิ รรมอนามัยความเช่ือ ค่านิยม ภาวะเศรษฐกจิ การศึกษา ขนบธรรมเนียมประเพณี และวฒั นธรรมเป็ นต้น

องคป์ ระกอบของการศึกษาทางวิทยาการระบาด 3.ความถขี่ องโรค (Disease frequency) เป็ นการศึกษาปริมาณของโรคหรือภาวะสุขภาพและเหตุการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับ สุขภาพ 4.การกระจายของโรค (Disease distribution) วิทยาการระบาดวิทยาจะศึกษาการระจายของโรคภัยไข้เจ็บในชุมชนในด้านที่ เก่ียวกับบุคคล (Person) เช่น โรคน้ันเกิดมากในกลุ่มบุคคล อายุ เพศและฐานนะอย่างใด สถานที่ที่เกิดโรค (Place) มีสภาพอย่างไร ท่ีแห่งใดเกิดโรคมาก ท่ีแห่งใดเกิดโรคน้อยและ เวลา (Time) ท่ีเกิดโรคว่ามีการเปล่ียนแปลงไปตามฤดูกาลหรือช่วงเวลาหนึ่งของปี เดือน หรือไม่

องคป์ ระกอบของการศึกษาทางวิทยาการระบาด 5.สาเหตุและปัจจยั กาหนดหรือปัจจยั ทม่ี ีอธิ ิพลต่อการเกดิ โรค (Etiology and diseasedeterminant) 5.1 สาเหตุของโรค (Epiology) ในทางวิทยาการระบาดสาเหตุของโรคนี้หมายถึง ปัจจัยส่ิงก่อโรค (Agent) สาหรับโรคติดเชื้อน้ันจะมี “เชื้อโรค” ที่เป็ นสาเหตุท่ีทาให้เกิดโรค น้ันท้ังชนิดของเชื้อท่ีมีความจาเพาะต่อเชื้อและจานวนของเชื้อท่ีเข้ าสู่ร่างกายในปริมาณ ชนิดท่ีมากพอจึงจะทาให้เกิดโรคได้ สาหรับสาเหตุของโรคไร้เชื้อน้ันประกอบด้วยปัจจัย ต่างๆท้งั ปัจจยั ภายในและปัจจยั ภายนอกร่างกายทไ่ี ม่ได้มาจากเชื้อโรค เช่น สารเคมีและรังสี เป็ นต้น

องคป์ ระกอบของการศึกษาทางวิทยาการระบาด 5.2 ปัจจยั กาหนดหรือปัจจยั ทม่ี อี ทิ ธิพลต่อการเกดิ โรค (Disease determinants) เป็ นปัจจัยก่อให้เกดิ การเปลย่ี นแปลงในสุขภาพของบุคคลท้งั ทางบวกและ ทางลบซ่ึงรวมถงึ ปัจจยั เสี่ยงและปัจจยั ป้องกนั

องคป์ ระกอบของการศึกษาทางวิทยาการระบาด ปัจจัยกาหนดหรือปัจจัยทม่ี ีอทิ ธิพลต่อการเกดิ โรคนี้ ประกอบด้วยปัจจัยกาหนด ด้านปัจเจคบุคคล (Individual determinants) และปัจจัยกาหนดด้านส่ิงแวดล้อมและ สังคม (Environment and social determinants) ➢ ปัจจัยกาหนดด้านปัจเจคบุคคล เช่น กรรมพนั ธ์ุ เพศ อายุ ระดบั ภูมิคุ้มกัน อาหาร พฤตกิ รรมและความเจบ็ ป่ วยในปัจจุบันเป็ นต้น ➢ ปัจจัยกาหนดด้านส่ิงแวดล้อมและสังคม ซึ่งเป็ นปัจจัยภายนอกบุคคล เช่น ภาวะ และเหตุการณ์ทางสังคมและเศรษฐกจิ เป็ นต้น

องคป์ ระกอบของการศึกษาทางวิทยาการระบาด การประยุกต์ความรู้เกย่ี วกบั ปัจจยั 3 ทางวทิ ยาการระบาดซึ่งจะครอบคลุมการศึกษา เกย่ี วกบั ปัจจยั 3 ประการ ➢ ปัจจัยทางด้านโฮสต์ (Host) หรือปัจจัยด้านบุคคล เช่น อายุ เพศ การศึกษา เป็ นต้น ใน กรณีของโรคติดเชื้อ โฮสต์ท่ีมีภูมิไวรับต่อเชื้อโรค (Susceptible host) จะเป็ นคนที่มี ความเส่ียงต่อการติดเชื้อโรคสูงกว่าประชาชนทั่วไป Susceptible host เช่ น เด็ก ผู้สูงอายมุ ากๆ คนทไ่ี ม่มีภูมิต้านทานต่อโรค ผู้ขาดสารอาหาร ผู้ป่ วยโรคเรื้อรังเป็ นต้น

องคป์ ระกอบของการศึกษาทางวิทยาการระบาด ➢ปัจจยั ทางด้านส่ิงก่อโรค (Agent) เช่น สิ่งก่อโรคทางชีวภาพ ฟิ สิกส์และเคมีเป็ นต้น ➢ปัจจยั ทางด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) เช่น การอยู่ใกล้โรงงานอุตสาหกรรมและภาวะ ทม่ี ีฝ่ นุ และมลพษิ ในบรรยากาศในระดบั สูงกว่ามาตรฐานเป็ นต้น การเสียสมดุลในปัจจัยสามทางจะทาให้เกดิ โรคขึน้ ในชุมชนและจะต้องรู้กลไกในการ เปลยี่ นแปลงเหล่าน้ันด้วยเพื่อนาไปสู่การควบคุมป้องกนั โรค

องคป์ ระกอบของการศึกษาทางวิทยาการระบาด 6. การควบคุมป้องกนั โรค (Disease prevention and control) โดยอาศัยความรู้จากการอธิบายกระจายของโรคในชุมชนตามบุคคล สถานท่ีและ เวลาและทราบสาเหตุของโรค ความสัมพนั ธ์ระหว่างปัจจัย 3 ทางระบาดวทิ ยา ได้แก่ Host, Agent และ Environment และการดาเนินของโรคตามธรรมชาติของโรคจะทาให้สามารถ กาหมด “มาตรการตามเหตุและปัจจยั (Determinant oriented)” และ “มาตรการตามระดบั การป้องกนั (Prevention-level oriented)” (คานวณ องึ้ ชุศักด์,ิ 2559 น. 14) ท้ังการป้องกนั ระดบั ก่อนปฐมภูมิ (Primodial prevention) ระดบั ปฐมภูมิ (Primary prevention) ระดบั ทุติยภูมิ (Secondary prevention) และระดบั ตตยิ ภูมิ (Tertiary prevention) ได้เหมาะสม (Bonita, Beaglehole, and Kjellstrom, T., 2006)

แนวคิดพืน้ ฐานของวิทยาการระบาด 3 วตั ถปุ ระสงคแ์ ละประโยชน์ของการศึกษาทางวิทยาการระบาด ➢ วตั ถปุ ระสงคข์ องการศึกษาทางวิทยาการระบาด ➢ ชนิดของวิทยาการระบาด ➢ ประโยชน์ของการศึกษาทางวิทยาการระบาด

วตั ถปุ ระสงคข์ องการศึกษาทางวิทยาการระบาด 1. เพ่ืออธิบายธรรมชาตกิ ารเกดิ โรคและการพยากรณ์โรค (The natural history and prognosis of disease) 2. เพื่อศึกษาการกระจายของโรคในชุมชน 3. เพื่อหาสาเหตุและปัจจัยทสี่ นับสนุนทที่ าให้เกดิ โรคในชุมชน 4. เพ่ือประเมนิ มาตรการควบคุมป้องกนั โรคและการบริการสุขภาพอนามยั

ชนิ ดของวิทยาการระบาด ชนิดของวทิ ยาการระบาดแบ่งออกเป็ น 3 ชนิดดงั นี้ 1. ระบาดวทิ ยา เชิงพรรณนา (Descriptive Epidemiology) 2. ระบาดวทิ ยา เชิงวเิ คราะห์ (Analytical Epidemiology) 3. ระบาดวทิ ยา เชิงปฏิบตั ิการ (Operational Epidemiology)



ระบาดวิทยาเชิงพรรณนา (Descriptive Epidemiology) เป็ นการศึกษาถึงความเป็ นจริง (Fact) ของสภาวะการเกิดโรคหรือปัญหา สุขภาพทเี่ ป็ นอยู่ในขณะน้ัน โดยทาการวเิ คราะห์สภาพการเกดิ โรค จาแนกตามชนิดของ โรค ลักษณะบุคคลท่ีป่ วยด้วยโรคน้ัน ลักษณะของสถานท่ีท่ีพบโรคน้ันมาก และ ช่วงเวลาทพี่ บโรคน้ันมาก หัวข้อศึกษาจะช่วยในการตอบคาถาม ➢ ชนิดของโรค (What) ➢ ปัจจยั ในแง่ของบุคคล (Who) ➢ ปัจจยั ในแง่ของสถานท่ี (Where) ➢ ปัจจยั ในแง่ของเวลา (When)

วิธีการออกแบบการศึกษาเชิงพรรณนา

ระบาดวิทยาเชิงวิเคราะห์ (Analytical Epidemiology) เป็ นการศึกษาอย่างมีระบบ เพ่ือค้นหาปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรค โดยส่ิงน้ันอาจจะเป็ นปัจจยั ที่เป็ นสาเหตุ หรือปัจจยั ท่สี ่งเสริมสนับสนุนให้เกิดโรค ท้งั นี้ เพ่ือนาไปใช้ในการป้องกนั และควบคุมโรคน้ัน ๆ ในประชากรต่อไป หัวข้อศึกษาจะช่วยในการตอบคาถาม ➢ โรคเกดิ ขนึ้ เพราะอะไร (Why) ➢ ปัจจยั น้ันทาให้เกดิ โรคได้อย่างไร (How)

วิธีการของระบาดวิทยาเชิงวิเคราะหป์ ระกอบไปด้วย 1.การต้งั สมมตฐิ านเกยี่ วกบั ปัจจยั และโรคท่ีต้องการศึกษา 2.วางรูปแบบการศึกษาทเี่ หมาะสม Case-control study, Cohort study, Experimental study, Field trial, Community study 3.ดาเนินการตามแผนและเกบ็ ข้อมูลจากประชากรทศี่ ึกษา 4.วเิ คราะห์ข้อมูลและแปลผล 5.สรุปผลการศึกษา

ระบาดวิทยาเชิงปฏิบตั ิการ (Operational Epidemiology) เป็ นการนาความรู้ทไี่ ด้จากวทิ ยาการระบาดเชิงพรรณนาและวทิ ยาการระบาดเชิง วิเคราะห์ มาใช้ในการวางแผนและดาเนินการควบคุมโรค หรือปัญหาสุขภาพในชุมชน ซ่ึงจะต้องนาความรู้ดังกล่าวมาประกอบกับความรู้เกี่ยวกับชุมชน เช่ น ความเช่ือ พฤติกรรม ศาสนา สภาพแวดล้อมด้านเศรษฐกิจและการดาเนินชีวิต ความชุกของโรค และปัจจยั อื่นๆ เพ่ือให้การดาเนินการควบคุมโรคได้ผลดี หัวข้อศึกษาจะช่วยในการตอบคาถาม ➢ จะต้องทาอะไรบ้าง เพ่ือควบคุมโรคในชุมชน (What need to be done?) ➢ จะต้องทาอย่างไร (How to do it?)

วิธีการของระบาดวิทยาเชิงปฏิบตั ิการประกอบไปด้วย 1.การวางแผนและประเมนิ ผลการควบคุมโรค 2.การเฝ้าระวงั 3.การสอบสวนการระบาดของโรค 4.การคดั กรองโรค

ประโยชน์ของการศึกษาทางวิทยาการระบาด 1. ใช้ในการวเิ คราะห์การเปลยี่ นแปลงของการเกดิ โรคในชุมชน 2. ใช้ในการวนิ ิจฉัยชุมชน 3. ใช้ในการรักษาและป้องกนั โรค 4. ใช้ในการค้นหาโรคในระยะเร่ิมแรก 5. ใช้ในการป้องกนั และควบคุมการระบาดของโรค 6. ใช้วางแผนงานด้านการบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข 7. ใช้ช่วยในการจาแนกโรค 8. ใช้ประเมนิ ผลโครงการสาธารณสุขต่าง ๆ 9. ใช้ในการวจิ ัย 10. ใช้ในการวางแผนเพ่ือพฒั นาประเทศ

แนวคิดพืน้ ฐานของวิทยาการระบาด 4 วิธีการศึกษาทางวิทยาการระบาด ➢ ขนั้ ตอนการศึกษาทางระบาดวิทยา ➢ วิชาการท่ีเก่ียวข้องกบั วิทยาการระบาด 04

ขนั้ ตอนการศึกษาทางระบาดวิทยา 1.ศึกษาถงึ การกระจายของโรคในชุมชน (Study distribution of diseases in the community) การศึกษาในข้ันนี้ส่ วนใหญ่ จะมุ่งท่ีการบรรยายสภาวะของการเกิดโรคใน ชุมชนตามปัจจัยต่างๆ จึงเรียกว่า วิทยาการระบาดเชิงพรรณนา หรือ Discriptive epidemiology

ขนั้ ตอนการศึกษาทางระบาดวิทยา 2.ศึกษาถงึ ปัจจยั ทเี่ ป็ นเหตุของโรค (Causal factors) หรือปัจจยั อนั ตราย (Risk factors) การศึกษาในข้ันนี้จะต้องมีการต้ังสมมุติฐานและพิสูจน์ ตลอดจนใช้ เหตุผล วิเคราะห์ถึงความเป็ นไปได้ต่างๆจึงเรียกว่าเป็ น วิทยาการระบาดเชิงวิเคราะห์ หรือ (Analysis epidemiology)

ขนั้ ตอนการศึกษาทางระบาดวิทยา ข้นั ท่ี 1 รวบรวมข้อมูล (Collecting epide) ข้นั ท่ี 2 การต้งั สมตฐิ าน (Formulation of hypothesis) ข้นั ที่ 3 การทดสอบสมมตฐิ านทางวทิ ยาการระบาด (Testing epidemiological) -การศึกษาโดยการเฝ้าสังเกต (Observational study) -การศึกษาโดยการทดลอง (Experimental study) ข้นั ที่ 4 อธิบายกลไกของการเกดิ โรค (Mechanism of diseases)

วิชาการท่ีเก่ียวข้องกบั วิทยาการระบาด 1.การศึกษาการกระจายของโรคในชุมชน วชิ าทเี่ กย่ี วข้อง คือ วชิ าแพทย์ โดยเฉพาะเวชศาสตร์คลนี ิค และวชิ าประชากรศาสตร์ สังคมศาสตร์ จงึ มาเกย่ี วข้องด้วยเช่นกนั 2.การศึกษาหาปัจจยั ทเ่ี ป็ นสาเหตุของโรค วชิ าทเ่ี กยี่ วข้อง คือ พยาธิวทิ ยา จุลชีววทิ ยา ปรสิตวทิ ยา สรีรวทิ ยา อมิ มูโนวทิ ยา พนั ธุศาสตร์ 3.วธิ ีการทางวทิ ยาการระบาด เกยี่ วกบั การรวบรวมข้อมูล การวางรูปแบบการศึกษาวจิ ยั การวเิ คราะห์แปลผลของข้อมูลตลอดจนนาเสนอ เช่น วชิ าสถติ โิ ดยเฉพาะชีวสถติ ิ

THANK YOU แนวคิดพนื้ ฐานของวิทยาการระบาด