รายงาน เร่อื ง…สมนุ ไพรหา่ งไกล COVID-19 จัดทำโดย นางสาวสโรชา คงรอด รหัสนักศกึ ษา663406600002-7 สาขาอุตสาหกรรมอาหารปี 2 เสนอ รองศาสตราจารย์ ดร.ชุตินชุ สุจริต รายงานฉบับนเ้ี ปน็ สว่ นหนงึ่ ของรายวิชา การอ่านและการเขียนเชิงวิชาการ (0101100559) ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชยั วทิ ยาเขตตรัง
ก คำนำ รายงานวิชา การอ่านและการเขียนเชิงวิชาการ เรื่องสมุนไพรห่างไกล COVID-19 จัดทําขี้นเพื่อใช้ ประกอบการเรียนการสอนในรายวิชา การอ่านและการเขียนเชิงวิชาการ (0101100559) ซึ่งผู้จัดทำได้รับ มอบหมายจากอาจารย์ผู้สอนให้ไปศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากเอกสาร วารสารอินเตอร์เน็ตและแหล่งข้อมูล ต่างๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้จัดทําได้ค้นคว้าและนําสิ่งที่ได้จากการศึกษา มาสร้างเป็นชิ้นงานเก็บไว้เปน็ ประโยชน์ต่อการเรยี นการสอนของตนเองและอาจารย์อีกต่อไป ผู้จัดทำได้ไปศึกษาค้นคว้ารวบรวมและเรียบเรียงออกมาเป็นรายงาน ซึ่งรายงานเล่มนีป้ ระกอบด้วย เน้ือหาของความเปน็ มาและความสำคญั ของสมุนไพร ตวั อย่างสมนุ ไพร 5ชนดิ ขอขอบคุณรองศาสตราจารย์ ดร.ชุตินุช สุจริต อาจารย์ผู้สอนในรายวิชาการอ่านและการเขียน เชิงวิชาการ ที่ทำหนน้าที่ให้ความรู้ คำแนะนำการจัดทำรายงานจนแล้วเสร็จและหวังเป็นอย่างยิง่ ว่ารายงาน ฉบับน้ีจะมปี ระโยชนใ์ ห้แก่ผทู้ ส่ี นใจเปน็ อย่างย่งิ สโรชา คงรอด 10 กนั ยายน 2564
ข สารบญั สมนุ ไพรห่างไกล COVID-19 เรอ่ื ง หนา้ คำนำ ……………………………………………………………………………………………………………………………….ก สารบญั ……………………………………………………………………………………………………………………………..ข สารบัญภาพ……………………………………………………………………………………………………………………….ค ความเปน็ มาและความสำคญั ของสมุนไพร ……………………..……………………………………………………………1 วัตถปุ ระสงค์ ……………………………………………………………………..…………………………………………………….2 ผลที่คาดว่าจะไดร้ ับ/ ประโยชนท์ คี่ าดวา่ จะได้ ………………………………………..……………………………………2 สมนุ ไพรตา้ นโควิด …………………………………………………………………………………………………………….3 ฟ้าทะลายโจร - ลกั ษณะพืช……………………………………………………………………………………………………3 - สรรพคุณ………………………………………………………………………………………………………3-4 - ประโยชน์………………………………………………………………………………………………………4 - ขอ้ มลู ทางวิทยาศาสตร์……………………………………………………………………………………5 - วธิ แี ละปรมิ าณที่ใช้…………………………………………………………………………………………5 - ตำรบั ยาและวธิ ีการใช้…………………………………………………………………………………….5-6 - ข้อควรร้เู ก่ียวกับตำรบั ยา………………………………………………………………………………..6 - ข้อควรระวัง…………………………………………………………………………………………………..6 - เอกสารที่เกีย่ วข้อง…………………………………………………………………………………………7-8 ขิง - ลักษณะพืช……………………………………………………………………………………………………9 - สรรพคณุ ………………………………………………………………………………………………………9-10 - ประโยชน์……………………………………………………………………………………………………..10-11 - ขอ้ มลู ทางวทิ ยาศาสตร์…………………………………………………………………………………..11 - วธิ แี ละปรมิ าณที่ใช้…………………………………………………………………………………………11-12 - ตำรับยาและวิธกี ารใช้…………………………………………………………………………………….12 - ขอ้ ควรรเู้ ก่ียวกับตำรบั ยา………………………………………………………………………………..12-13 - ข้อควรระวงั …………………………………………………………………………………………………..13-14 - เอกสารที่เกี่ยวขอ้ ง…………………………………………………………………………………………14-15
ค สารบญั สมนุ ไพรหา่ งไกล COVID-19 เรื่อง หน้า มะขามปอ้ ม - ลักษณะพืช……………………………………………………………………………………………………16 - สรรพคุณ………………………………………………………………………………………………………16-17 - ประโยชน์………………………………………………………………………………………………………17-18 - ขอ้ มูลทางวิทยาศาสตร์……………………………………………………………………………………18 - วธิ แี ละปรมิ าณท่ีใช้…………………………………………………………………………………………18 - ตำรับยาและวิธกี ารใช้…………………………………………………………………………………….18-19 - ข้อควรรเู้ ก่ียวกบั ตำรบั ยา………………………………………………………………………………..19 - ขอ้ ควรระวงั ………………………………………………………………………………………………….19 - เอกสารท่ีเก่ยี วข้อง…………………………………………………………………………………………20-21 ขมิน้ ชนั - ลักษณะพืช……………………………………………………………………………………………………22 - สรรพคณุ ………………………………………………………………………………………………………22-23 - ประโยชน์………………………………………………………………………………………………………24 - ข้อมลู ทางวิทยาศาสตร์……………………………………………………………………………………25 - วิธแี ละปรมิ าณท่ีใช้…………………………………………………………………………………………25 - ตำรบั ยาและวธิ ีการใช้…………………………………………………………………………………….25-26 - ข้อควรรเู้ กีย่ วกับตำรับยา………………………………………………………………………………..26 - ข้อควรระวงั ………………………………………………………………………………………………….26 - เอกสารท่ีเกย่ี วขอ้ ง…………………………………………………………………………………………27-28 กระเทียม - ลักษณะพชื ……………………………………………………………………………………………………29 - สรรพคณุ ………………………………………………………………………………………………………30 - ประโยชน์……………………………………………………………………………………………………..30 - ขอ้ มลู ทางวิทยาศาสตร์……………………………………………………………………………………31 - วิธแี ละปรมิ าณท่ีใช้…………………………………………………………………………………………31 - ตำรับยาและวิธกี ารใช้…………………………………………………………………………………….31-32
ง สารบัญสมุนไพรห่างไกล COVID-19 เรื่อง หน้า กระเทยี ม - ข้อควรร้เู ก่ยี วกับตำรบั ยา………………………………………………………………………………..32 - ขอ้ ควรระวัง………………………………………………………………………………………………….33 - เอกสารทีเ่ กีย่ วข้อง…………………………………………………………………………………………33-34 บรรณานุกรรม
จ สารบัญภาพ เร่อื ง ท่ี ภาพท่ี 1 ฟา้ ทะลายโจร……………………………………………………………………………………………………………..3 ภาพท่ี 2 ขิง……………………………………………………………………………………………………………………………..9 ภาพท่ี 3 มะขามปอ้ ม………………………………………………………………………………………………………………..16 ภาพที่ 4 ขม้นิ ชนั ………………………………………………………………………………………………………………………22 ภาพที่ 5 กระเทียม……………………………………………………………………………………………………………………29
1 ความเปน็ มาและความสำคัญของสมุนไพร พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2525) กล่าวไว้ว่า พืชที่ใช้ทำเป็นเครื่องยาสมุนไพรกำเนิดมาจาก ธรรมชาติและมคี วามหมายต่อชีวติ มนษุ ย์โดยเฉพาะ ในทางสุขภาพ อันหมายถงึ ท้งั การสง่ เสรมิ สขุ ภาพและการรักษาโรค ความหมายของยาสมุนไพรในพระราชบัญญัติยา (2510) กล่าวไว้ว่า ยาสมุนไพร คือ ยาที่ได้จากพฤกษาชาติ สัตว์หรือแร่ธาตุ ซึ่งมิได้ผสมปรุงหรือแปรสภาพ เช่น พืชก็ยังเป็นส่วนของราก ลำต้น ใบ ดอก ผล ฯลฯ ซึ่งมิได้ผ่าน ขั้นตอนการแปรรูปใด ๆ แต่ในทางการค้า สมุนไพรมักจะถูกดัดแปลงในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ถูกหั่นให้เป็นชิ้นเล็กลง บดเปน็ ผงละเอียด หรืออดั เปน็ แทง่ แต่ในความรสู้ กึ ของคนท่วั ไป เมอื่ กลา่ วถงึ สมนุ ไพร มักนึกถงึ เฉพาะตน้ ไม้ที่นำมาใช้ เปน็ ยาเทา่ นั้น สมุนไพร เป็นยาพื้นบ้านแผนโบราณของไทยมาแต่อดีต ความนิยมในการใช้สมุนไพรได้ลดถอยลงไปบ้าง เมอื่ เทคโนโลยีทางการแพทย์ และเภสัชศาสตร์สมยั ใหม่จากตะวนั ตกเข้ามามีอิทธพิ ล แตอ่ ยา่ งไรก็ดใี นปัจจุบันสมุนไพร กลับมาได้รับความนิยมกันมาก ในเมืองไทย และโลกตะวันตก ต่างประเทศกำลังหาทางเข้ามาลงทุนและคัดเลือก สมุนไพรนำไปใช้สกัดหาตัวยาเพื่อ รักษาโรคบางชนิด มีหลายประเทศนำสมุนไพรไปปลูกและทำการค้าขายแข่งกับ ประเทศไทย สมุนไพร เป็นพชื อีกกลมุ่ หนึ่ง ซ่งึ มีการปลกู ใช้ประโยชน์มานานแล้ว เพราะบางชนิดสามารถนำมารับประทาน เปน็ อาหาร ใหค้ ณุ ค่าทางอาหารและยังใหร้ สชาติท่ีทำให้เจรญิ อาหาร สมุนไพรหลายชนิดยงั มีสรรพคุณเป็นยารักษาโรค ช่วยย่อย อาหาร แก้อาการท้องอึด ท้องเฟ้อ ในอดีตการปลูกสมุนไพรมักกระทำกันในลักษณะการปลูกผักสวนครัว ริมรั้ว หลังบ้าน ตามที่ว่างเปลา่ จะใช้ประโยชน์เมื่อใดกส็ ามารถเก็บเกี่ยวได้ทันที แต่ในระยะหลงั เนื่องจากมีประชากร มากขนึ้ และ ส่วนหนึ่งไดเ้ ข้ามาอาศยั อยใู่ นเมืองใหญ่ ทม่ี กั มพี นื้ ที่บา้ นเรอื นจำกดั ไม่มีพ้ืนท่ีว่างเพียงพอกับการปลูกผัก สวนครัวตา่ ง ๆ พืชผกั เพอื่ การบริโภคทกุ อย่างตอ้ งได้จากการซือ้ หา เมอ่ื มีความตอ้ งการซื้อ จงึ มีผ้หู นั มาปลูกผักสมุนไพร ขายกันมากขึ้น นอกจากนี้สมุนไพรบางอย่างที่มีสรรพคุณเป็นยา สามารถนำมาสกัดเอาสารที่มีอยู่ภายในมาใช้ทำยา สมุนไพร หรือนำไป เป็นส่วนประกอบของของใช้เพื่อการอุปโภคในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ ยาสีฟัน แชมพูสระผม ครีมนวดผม ครีมบำรงุ ผิว น้ำหอม ยาดม น้ำมันหอมระเหย ฯลฯ ดว้ ยประโยชน์ของสมุนไพรมมี ากมายดงั ทกี่ ล่าวมาแล้ว ความต้องการใช้สมุนไพร จึงมีมากขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะในระยะหลังที่คนเริ่มตื่นตัวในเรื่องพิษภัยอันตรายจาก สารเคมี และหันมาให้ความสนใจ ต่อสารท่ีสกัดจากธรรมชาตกิ ันมากข้นึ ย่ิงทำให้ความต้องการใช้สมุนไพรย่ิงมีมากขึ้น ตามลำดับ การปลูกสมุนไพรขาย จึงเป็นอีกอาชีพหนึ่งซึ่งมีอนาคตที่ดี ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของการปลูกสมุนไพร ก็คือ มกั จะไมค่ อ่ ยมโี รค-แมลงรบกวน จงึ ใช้สารเคมเี พยี งเลก็ น้อยหรอื แทบไม่ต้องใช้เลย ทำให้ประหยัดต้นทนุ ในสว่ นนลี้ งได้ วัตถุประสงค์ 1. เพอ่ื สร้างความรดู้ ้านการรักษาโรคดว้ ยสมุนไพร 2. เพ่อื นำความรทู้ ่เี ก่ียวขอ้ งกับอาการและสรรพคุณของสมุนไพรที่ใชใ้ นการรักษาโรค
2 ผลที่คาดวา่ จะไดร้ บั 1. สามารถรักษาอาการเจบ็ ปว่ ยไดด้ ว้ ยตนเอง ด้วยศาสตรแ์ พทย์แผนไทย 2. สามารถเผยแพร่ขอ้ มูลด้านการดแู ลสขุ ภาพของตนเอง ด้วยการใช้สมุนไพร 3. รกั ษาภมู ิปญั ญาไทยและภมู ิปัญญาชาวบา้ น ดว้ ยศาสตรท์ างการแพทยแ์ ผนไทยและการใช้สมุนไพร รกั ษาโรค ประโยชนท์ ค่ี าดว่าจะได้ 1. เพอ่ื รักษาอาการเจ็บป่วยไดด้ ้วยตนเอง ด้วยศาสตร์แพทย์แผนไทย 2. เพื่อส่งเสรมิ การเผยแพรข่ ้อมลู ดา้ นการดูแลสุขภาพของตนเอง ด้วยการใช้สมุนไพร 3. เพื่อรักษาภูมิปญั ญาไทยและภูมปิ ญั ญาชาวบา้ น ด้วยศาสตรท์ างการแพทย์แผนไทยและการใช้ สมุนไพรรักษาโรค
3 ตัวอยา่ งสมุนไพรตา้ น COVID-19 1. ฟา้ ทะลายโจร ภาพท่ี 1 ฟ้าทะลายโจร (ทมี่ า: https://www.google.com) ชอื่ วทิ ยาศาสตร์: Andrographis paniculata (Burm.f.) Nees (วงศ์ Acanthaceae) ชื่ออืน่ : ฟา้ ทะลาย หญา้ กนั งู น้ำลายพังพอน เมฆทะลาย ฟา้ สะท้าน ลกั ษณะพืช ฟ้าทะลายโจร เป็นพืชล้มลุก สูงประมาณ 30-60 ซม. ลําต้นตั้งตรงก่ิงก้านเป็นสัน สี่เหลี่ยม ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปใบหอก กว้าง 1-2.5 ซม. ยาว 4-10 ซม. โคนใบและปลายใบแหลม ขอบใบ เรียบหรือเปน็ คลื่น เลก็ นอ้ ย เนอื้ ใบสีเขยี วเขม้ เป็นมัน ก้านใบยาว 2-8 มม. ดอกออกเปน็ ช่อใหญ่ท่ีปลายก่งิ และ ซอกใบ ช่อโปร่ง ยาว 5-30 ซม. ดอกย่อยขนาดเล็ก ดอกสีขาวแกมม่วง มีขน กลีบเลี้ยงโคนติดกัน ผลเป็นฝัก รูปทรงกระบอก สีเขยี วอมน้ำตาล ปลายแหลม เมอ่ื ผลแกจ่ ะแตกดีดเมล็ดออกมา มเี มล็ด 8-14 เมล็ด ขนาด เลก็ สีน้ำตาลแดง ใช้เมล็ดขยายพันธุ์เนื่องจากเมล็ดฟ้าทะลายโจรมีเปลือกหุ้มหนาและแข็ง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อ การงอก นอกจากน้เี มล็ดยงั มกี ารพกั ตัว จึงควรแกก้ ารพักตัวของเมลด็ ก่อนนําไปเพาะหรอื กอ่ นการปลกู สรรพคุณฟ้าทะลายโจร สรรพคุณฟ้าทะลายโจรช่วยต่อต้านอนุมูลอสิ ระในร่างกาย ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย รวมไปถึงช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวให้จับกินเชื้อโรคได้ดี ย่ิงขน้ึ อีกด้วย 1. สรรพคณุ ฟา้ ทะลายโจรมีฤทธช์ิ ว่ ยยับย้ังการเจริญเติบโตของเซลลม์ ะเรง็ 2. สรรพคณุ ฟ้าทะลายโจร ใบใช้เปน็ ยาขมชว่ ยทาํ ใหเ้ จริญอาหาร (ใบ) 3. ชว่ ยรักษาโรคเบาหวานด้วยการใช้ตน้ ฟ้าทะลายโจร กระชาย และวา่ นเอน็ เหลอื ง นํามาทาํ เป็นยา เมด็ ลกู รับประทาน (ต้น)
4 4. ช่วยป้องกันและแกอ้ าการหวัด คัดจมูก ด้วยการใช้ใบและกิ่งประมาณ 1 กํามือ (สดใช้ 25 กรัม แต่ถ้าแห้งใช้ 3 กรัม) นํามาต้มกับน้ำด่ืม รับประทานก่อนอาหารวนั ละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น หรือ ในขณะที่มอี าการ (ก่งิ , ใบ) 5. ช่วยแก้อาการปวดหัวตัวร้อน อาการปวดหัวแบบไม่มีสาเหตุด้วยการใช้ใบและกิ่งประมาณ 1 กํามือ (สดใช้ 25 กรัม แต่ถ้าแห้งใช้ 3 กรัม) นํามาต้มกับน้ำดื่มก่อนอาหารวันละ 2 ครั้ง เช้า และเย็น หรอื ในขณะท่มี อี าการ (กิ่ง, ใบ) ฟา้ ทะลายโจร สรรพคุณช่วยแก้ไข้ทว่ั ๆ ไป อาการปวด หวั ตวั ร้อน เช่น ไขห้ วดั ไข้หวดั ใหญ่ เป็นตน้ (ใบ, ก่ิง) 6. ช่วยรักษาไข้ไทฟอยดด์ ้วยการรับประทานฟ้าทะลายโจรก่อนอาหารครั้งละ 2 เม็ด วันละ 3 ครั้ง เปน็ เวลา 3 สปั ดาห์หลังจากน้นั ให้กินยาบํารงุ เพอ่ื ฟื้นฟกู าํ ลงั ของผู้ปว่ ยรว่ มด้วย ช่วยแก้อาการไอ ลดน้ำมูกและชว่ ยฆ่าเชื้อทจ่ี มูก ดว้ ยการใชใ้ บนํามาทําเปน็ ยาผงแล้วนํามาใช้สดู ดม (ใบ) 7. ช่วยลดและขับเสมหะ ดว้ ยการใช้ใบนาํ มาทาํ เป็นยาผงแลวน้ำมาใชส้ ดู ดม (ใบ) 8. ช่วยระงับอาการอักเสบ แก้อาการเจ็บคอ คออักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ หลอดลมอักเสบ ด้วยการใช้ใบนํามาทาํ เปน็ ยาผงแลว้ นํามาใช้สดู ดม (ใบ) 9. ช่วยแก้อาการติดเชื้อ ระงับการเจรญิ เติบโตของเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุที่ทําให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย ท้องรว่ ง ท้องเดิน เป็นบิด ด้วยการใชท้ ัง้ ต้น (ส่วนทั้ง 5 ของฟ้าทะลายโจร) นํามาผึง่ ลม ให้ แห้งแลว้ หนั่ เปน็ ชิน้ เล็ก ๆ ประมาณ 1 กํามอื (น้ำหนักประมาณ 3-9 กรมั ) แลว้ นํามาต้มกับน้ำ ดม่ื ตลอดวัน (ทงั้ ตน้ ) 10. ฟา้ ทะลายโจรมีรสขมมาก โดยความขมจะเหน่ียวนําชว่ ยทําให้ขับน้ำลายออกมามากขึ้น จึงทําให้ ชุ่มคอ 11. ฟา้ ทะลายโจรมฤี ทธช์ิ ่วยฆ่าเชื้อแบคทเี รยี ทเ่ี ปน็ สาเหตุของการเกดิ โรคระบบทางเดินหายใจ 12. ฟา้ ทะลายโจรมฤี ทธ์ใิ นการชว่ ยลดการบบี ตวั ของกลา้ มเน้ือเรียบ ช่วยคลายกลา้ มเน้อื มดลูก 13. ฟ้าทะลายโจรมีสว่ นชว่ ยลดการติดเชื้ออหิวาตกโรคในอุจจาระ แต่อาจจะไมด่ ีเท่าการใช้ยาเตตรา ไซคลนี ในการรกั ษา แต่กส็ ามารถใช้ทดแทนได้ 14. ช่วยรกั ษากระเพาะลําไส้อักเสบ (ใบ) 15. ฟา้ ทะลายโจรมีสรรพคณุ ชว่ ยในการยอ่ ยอาหารและช่วยเรง่ ใหต้ ับสรา้ งน้ำดี ประโยชนข์ องฟ้าทะลายโจร สาํ หรับโรคหรือภาวะอนื่ ที่ถกู กล่าวถึง เชน่ รักษาอาการเจ็บคอ ไอ ตอ่ มทอนซลิ บวม หลอดลมอักเสบ และอาการแพ้ป้องกันโรคหัวใจและโรคเบาหวาน แมลงกัด โรคตับ โรคไข้เมดิเตอร์เรเนียน ลดไข้บรรเทา อาการในระบบย่อยอาหาร (ท้องเสียแบบไม่ติดเชื้อ ท้องผูก มีแก๊ซในกระเพาะอาหารมาก ปวดท้อง) โรค 5 เกี่ยวกับตับ (ภาวะตับโต ดีซ่าน ตับอักเสบจากการใช้ยา) การติดเชื้อ (โรคเรื้อน โรคปอดบวม วัณโรค โรคหนองใน การติดเชื้อเอชไอวีหรือโรคเอดส์) หรืออาการทางผิวหนังอื่น ๆ ซึ่งการวิจัยและค้นคว้าข้อมูล บางส่วน ทเ่ี ชือ่ วา่ ฟา้ ทะลายโจรอาจมีส่วนช่วยโรคเหล่าน้ี
5 ขอ้ มลู ทางวิทยาศาสตร์ ใบฟา้ ทะลายโจร มีสารเคมปี ระกอบอยูห่ ลายประเภท แต่ทเี่ ป็นสาระสำคญั ในการออกฤทธิ์ คอื สารกลมุ่ Lactone คอื 1. สารแอดโดรกราโฟไลด์ (andrographolide) 2. สารนีโอแอนโดรกราโฟไลด์ (neo-andrographolide) 3. 14 - ดีออ๊ กซี่แอนโดรกราโฟไลด์ (14-deoxy-andrographolide) ฟ้าทะลายโจรเป็นยาเก่าแก่ของประเทศจีน ที่ใช้ในการแก้ฝี แก้อักเสบ และรักษาโรคบิด การวิจัยด้าน เภสัชวิทยาพบว่า ฟ้าทะลายโจรสามารถยับยั้ง เชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของการเป็นหนองได้ และมีการ ศกึ ษาวิจัยของโรงพยาบาลบำราศนราดูร ถึงฤทธ์ิในการรักษาโรคอจุ จาระรว่ งและบิด แบคทีเรยี เปรยี บเทยี บกับ เตตราซัยคลินในผู้ป่วย 200 ราย อายุระหว่าง 16-55 ปี ได้มีการเปรียบเทียบระยะเวลาที่ถ่ายอุจจาระเหลว จำนวนอุจจาระเหลว น้ำเกลือที่ให้ทดแทนระหว่างฟ้าทะลายโจรกับเตตราซันคลิน พบว่าสมุนไพรฟ้าทะลาย โจร ลดจำนวนอุจจาระร่วงและจำนวนน้ำเกลอื ที่ให้ทดแทนอยา่ งน่าพอใจ แมว้ ่าจากการทดสอบทางสถติ ิ จะไม่ มีความแตกต่างโดยในสำคญั กต็ าม ส่วนการลดเชื้ออหวิ าตกโรคในอจุ จาระ ฟ้าทะลายโจรไม่ไดผ้ ลดีเท่าเตตรา ซัยคลนิ นอกจากน้ียังมโี รงพยาบาลชมุ ชนบางแห่งได้ใชฟ้ ้าทะลายโจรรกั ษาอาการเจ็บคอได้ผลดีอีกดว้ ย มีฤทธิ์ เชน่ เดยี วกับเพน็ นซิ ิลินเมื่อเทยี บกับยาแผนปจั จุบัน เท่ากบั เป็นการชว่ ยใหม้ ีผสู้ นใจทดลองใช้ยาน้รี กั ษาโรค วิธแี ละปริมาณทใี่ ช้ 1. ใชแ้ กไ้ ข้เปน็ หวัด ปวดหัวตัวรอ้ น ใชใ้ บและก่งิ 1 กำมือ (แหง้ หนกั 3 กรมั สดหนกั 25 กรัม) ต้มน้ำด่ืมก่อนอาหารวนั ละ 2 คร้งั เช้า-เยน็ หรอื เวลามอี าการ 2. ใชแ้ กท้ อ้ งเสยี ท้องเดิน เป็นบิดมีไข้ ใช้ทั้งต้นหรอื ส่วนทง้ั 5 ของฟา้ ทะลายโจร ผง่ึ ลมให้แห้ง หน่ั ชิน้ เลก็ ๆ ประมาณ 1 กำมอื (หนักประมาณ 3-9 กรมั ) ต้มเอานำ้ ดม่ื ตลอดวัน ตำรับยาและวิธีการใช้ 1. ยาชงมีวิธีทำดังน้ี - เอาใบสดหรอื แหง้ กไ็ ด้ ประมาณ 5-7 ใบ แต่ใบสดจะดีกวา่ - เตมิ นำ้ เดือดลงจนเกอื บเตม็ แกว้ - ปดิ ฝาทิ้งไว้ประมาณครง่ึ ชวั่ โมง หรือพอยาอุ่นแล้วรนิ เอามาดืม่ ขนาดรบั ประทานคร้ังละแกว้ วันละ 3-4 ครง้ั กอ่ นอาหาร, กอ่ นนอน 2. ยาเมด็ (ลูกกลอน) มวี ิธที ำดงั นี้ - เด็ดใบสดมาล้างให้สะอาดผึง่ ในท่ีร่ม หา้ มตากแดด ควรผ่ึงในทม่ี ลี มโกรก ใบจะไดแ้ ห้งเรว็ - บดเป็นผงใหล้ ะเอียด
6 - ป้นั กับน้ำผึ้ง หรือน้ำเชื่อม เปน็ เมด็ ขนาดเท่าเม็ดถวั่ เหลอื ง (หนัก 250 มิลลกิ รมั ) แล้วผึ่งลมให้แห้ง เพราะถ้าปัน้ รับประทานขณะทย่ี งั เปยี กอย่จู ะขมมาก ขนาดรบั ประทานคร้งั ละ 4-10 เม็ด วนั ละ 3-4 ครัง้ ก่อนอาหาร, กอ่ นนอน 3. แค๊ปซูล มีวิธที ำคอื แทนที่ผงยาที่ได้จะปั้นเป็นยาเม็ด กลับเอามาใส่ในแค๊ปซูล เพื่อช่วยกลบรสของของยา แค๊ปซูลที่ใช้ ขนาดเบอร์ 2 (ผงยา 250 มลิ ลกิ รัม) ขนาดรบั ประทานครง้ั ละ 3-5 แคป๊ ซลู วนั ละ 3-4 ครงั้ กอ่ นอาหาร ก่อนนอน 4. ยาทิงเจอร์หรือยาดองเหลา้ เอาผงแห้งใส่ขวด แช่สุราที่แรง ๆ เช่น สุราโรง 40 ดีกรี ถ้ามี alcohol ที่รับประทานได้ (Ethyl alcohol) จะดีกว่าเหล้า แช่พอให้ท่วมยาขึ้นมาเล็กน้อย ปิดฝาให้แน่น เขย่าขวดวันละ 1 ครั้ง พอครบ 7 วัน จงึ กรองเอาแต่นำ้ เกบ็ ไวใ้ นขวดให้สะอาดปิดสนิท รับประทานครัง้ ละ 1-2 ช้อนโตะ๊ (รสขมมาก) วนั ละ 3-4 คร้ัง ก่อนอาหาร 5. ยาผงใช้สดู ดม คือเอายาผงที่บดละเอียด มาใส่ขวดหรือกล่องยา ปดิ ฝาเขย่าแล้วเปิดฝาออก ผงยาจะเปน็ ควนั ลอย ออกมา สดู ดมควนั นัน้ เขา้ ไป ผงยาจะตดิ ที่คอทำให้ยาไปออกฤทธ์ิทคี่ อโดยตรง ช่วยลดเสมหะ และแกเ้ จบ็ คอได้ ดี วิธีที่ดกี วา่ น้ีคือวิธเี ปา่ คอ กวาดคอ หรือรับประทานยาชง ตรงท่ีคอจะรสู้ กึ ขมนอ้ ยมาก ไม่ทำใหข้ ยาดเวลาใช้ ใช้สะดวกและงา่ ยมาก ประโยชน์ที่นา่ จะได้รับเพ่มิ กค็ อื ผงยาทเ่ี ขา้ ไปทางจมูก อาจจะชว่ ยลดน้ำมกู และชว่ ย ฆ่าเชอ้ื ทจี่ มูกด้วย ข้อควรรู้เก่ียวกบั ตำรับยา สารแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) สารในต้นฟ้าทะลายโจร ละลายในแอลกอฮอรไ์ ดด้ ีมาก ละลายในนำ้ ได้น้อย ดังน้ันยาทิงเจอร์ หรือยาดองเหลา้ ฟา้ ทะลายโจร จึงมีฤทธแิ์ รงทส่ี ุด ยาชงมฤี ทธแิ์ รง รองลงมายาเม็ดมฤี ทธิ์ออ่ นที่สดุ ขอ้ ควรระวัง บางคนรับประทานยาฟ้าทะลายโจรจะเกดิ อาการปวดท้อง ท้องเสยี ปวดเอว เวียนหวั แสดงวา่ แพ้ยา ให้หยดุ ยาและเปล่ยี นไปใช้ยาอน่ื หรอื ลดขนาดรับประทานลง
7 เอกสารทเี่ ก่ยี วขอ้ ง ปจั จบุ นั รฐั บาลไทยและหน่วยงานที่เก่ยี วข้องได้ตระหนัก และใหค้ วามสนใจถึงความสำคัญของการพัฒนา สมุนไพรไทย ซง่ึ เป็นภูมิปญั ญาและทรพั ยากรท่ีสำคัญของประเทศ จงึ กำหนดใหม้ ี การจัดทำแผนการพัฒนาท่ี เป็นระบบอย่างยั่นยนื โดยมีวิสัยทัศน์คือ สมุนไพรเพื่อความมั่นคงทางสุขภาพและความยัง่ ยืนของเศรษฐกิจ ไทย ตามแผนแมบ่ ทแห่งชาติว่าดว้ ยการพัฒนาสมนุ ไพร ฉบบั ที่ 1 พ.ศ. 2560 – 2564 ยทุ ธศาสตร์ท่ี 1 สง่ เสริม ผลิตผลของสมุนไพร ไทยทีม่ ีศักยภาพตามความต้องการของตลาดท้ังในและตา่ งประเทศ โดยมีเป้าหมายของ ยุทธศาสตร์คือ ส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพรแปรรูป เบื้องต้นอย่างมีคุณภาพ ปริมาณวัตถุดิบสมุนไพรที่มี คณุ ภาพ มคี วาม เพียงพอใกลเ้ คียงตอ่ ความตอ้ งการใชข้ องผูป้ ระกอบการอุตสาหกรรม และอนุรักษ์สมุนไพรให้ คงไว้ใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมาย คือ มีการปลูกสมุนไพรที่ได้คุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด มีแผนท่ี ความเหมาะสมของที่ดินสำหรับปลูกสมุนไพรอยา่ งน้อย 30 ชนิด มีฐาน ข้อมูลพื้นที่ปลูกสมุนไพร 1 ฐานข้อมูล และมีกลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน ได้รับการส่งเสริมการแปรรูปหลังการเก็บเกี่ยว ณ สถาน ที่ปลูกและการผลิตภัณฑ์อย่างง่ายในระดับชุมชน และยุทธศาสตร์ที่ 4 สร้างความเข้มแข็งของการ บริหารและนโยบายของภาครัฐ เพื่อการขับ เคลื่อนสมุนไพรอยา่ งยัง่ ยืน ตามมาตราการที่ 5 การส่งเสรมิ และ พฒั นา สมนุ ไพร Product Champion สมุนไพรทม่ี ศี กั ยภาพสูงท้ังในด้านการ ผลิตและการนำไปใช้ สมุนไพร Champion Products ได้แก่ ขมิ้นชัน กวาวเครือขาว กระชายดำ บัวบก ฟ้าทะลายโจร และมะขามป้อม ซึ่งขมิ้นชันและฟ้าทะลายโจรจัดเป็น First-Line Drug ในบัญชียาหลัก แห่งชาติ นอกจากนี้ใน พ.ศ.2560 รัฐบาลได้ประกาศสมุนไพร Quick Win 4 ชนิด ได้แก่ บัวบก ขมิ้นชัน กระชายดำ และไพล (บุญญารัช ชาลผี าย, 2560) ฟ้าทะลายโจรจัดเป็นสมุนไพรท้องถิ่นในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่น อินเดีย จีน ศรีลังกา และไทย ถกู ใชก้ ันอยา่ งแพร่หลายในหลายประเทศท่ัวทวปี เอเชยี โดยนยิ มนําส่วนของใบและลําต้นใต้ดิน มาทํา เปน็ ยารกั ษาโรค โดยเฉพาะโรคไข้หวัดใหญ่ ในประเทศไทยได้บรรจฟุ ้าทะลายโจรอย่ใู นบญั ชยี าหลัก แห่งชาติ (บัญชียาจากสมุนไพร) ของกระทรวงสาธารณสุข ในหมวดหมู่ยารักษากลุ่มอาการของระบบทางเดิน อาหาร และระบบทางเดนิ หายใจฟ้าทะลายโจร เป็นทีร่ ู้จกั และได้รบั การยอมรับเปน็ สมุนไพรไทยมานาน ปัจจบุ ันมีการ นําฟ้าทะลายโจรมาทาํ เปน็ ยาลกู กลอน หรือ ใสแ่ คปซูลเพอื่ ความสะดวกในการกนิ มผี ู้ทําการศกึ ษาค้นคว้าวิจัย ถึงสรรพคุณยา และได้พบสารเคมีในส่วนต่างๆ ของพืชอยู่หลายชนิด รวมทั้งสาร Andrographolide ที่เป็น ตัวยาสําคัญที่มอี ยูใ่ นทุกส่วนคือ ราก ต้น ใบ และได้ทําการศกึ ษาทดลองเพือ่ จาํ แนกโรคที่รกั ษาได้ดีให้ชัดเจน ซึ่งพบว่า ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคได้หลายโรค อาทิแก้ติดเชื้อทําให้ปวดท้อง ท้องเสีย บิด และแก้กระเพาะ อักเสบ ลําไส้อักเสบ แก้อาการไอ เจ็บคอ หรือคออักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ หลอดลม อักเสบ แก้ไข้ทั่วไป เป็นยาขมเจริญอาหาร (ธนโชติ ธรรมชาติ) ฟา้ ทะลายโจรกบั โควดิ -19 ฟา้ ทะลายโจร (Andrographis paniculata) เปน็ พืชทอ้ งถน่ิ ของอินเดียและศรี ลังกา และกระจายไปยังเอเชียใต้และตะวันตกเฉียงใต้ ใช้เป็นสมุนไพรในการรักษาโรคต่าง ๆ มานานหลาย สิบปี โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ โรคติดเชื้อและอาการหวัด เป็นพืชเขตรอ้ นชืน้ ไม่สามารถปลูกในเขตหนาว หรือเขต อบอุ่นได้ สารสำคัญที่ออกฤทธิ์คือ แอนโดรกราโฟไลด์ (andrographolide) และอนุพันธ์ซึ่งมีรายงาน
8 การค้นพบในวารสารอนิ เดียตั้งแต่ พ.ศ. 2494 งานวิจยั ส่วนใหญ่ตีพิมพ์ในวารสารของประเทศ อินเดียและจีน มีการวจิ ัยในฐานะเป็นสารสกัดแอนโดรกราโฟไลด์ท่ีมีฤทธ์ิยบั ย้ังไวรัสชนิดต่าง ๆ นาน กวา่ 10 ปีรวมท้ังมีการ วิจยั หาขนาดยาและผลข้างเคยี ง เม่ือเกิดการระบาดของโควิด-19 การวิจยั พบวา่ สารแอนโดรกราโฟไลด์มีฤทธ์ิ ยบั ย้ังการเพ่ิม จำนวนของไวรัสโควิด-19 (SARS-CoV-2) ในเซลล์เนือ้ เยื่อ แตไ่ มย่ ับย้งั การเข้าเซลล์ ข้อมูลวิจัย การใช้ยาฟ้าทะลายโจร (ที่มีสารแอนโดรกราโฟไลด์ตามที่กำหนด) รักษาผู้ติดเชื้อ โควิด-19 ในประเทศไทย พบว่า มผี ลข้างเคยี งน้อย และมปี ระโยชน์ในการรักษาผู้ติดเชือ้ ท่ไี ม่มี อาการ และผมู้ ีอาการน้อย (ยังไม่มีปอด อกั เสบ) โดยระงับไมใ่ หโ้ รครนุ แรงขึน้ หายจากการตดิ เชื้อ โดยไม่เกิดปอดอักเสบ นอกจากน้ี ประเทศจนี ได้ผลิต แอนโดรกราโฟไลด์ชนดิ ฉดี ในการรกั ษาโควิด19 ที่อาการรนุ แรงกว่า (สยมพร ศิรินาวิน, 2564)
9 2. ขงิ ภาพท่ี 2 ขิง (ทม่ี า: https://www.google.com) ชอ่ื วิทยาศาสตร์: Zingiber officinale Roscoe.(วงศ์ ZINGIBERACEAE) ชอื่ อ่นื : กะเหร่ยี ง,ขิงเผอื ก,ขงิ , ขงิ แกลง, ขงิ แดง ลกั ษณะพืช ไมล้ ้มลกุ มเี หงา้ ใตด้ ินลักษณะเป็นเหงา้ เปลอื กนอกสนี ้ำตาลแกมเหลือง เนอ้ื ในสนี วล หรอื เหลอื งอ่อน มีกลิ่นเฉพาะ จะแทงหน่อหรือลำต้นเทียมขึ้นมาเหนือพ้ืนดิน ส่วนที่โผล่เหนือดิน คือกาบใบที่หุ้มซอ้ นกัน มีสี เขียว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปขอบขนาน แกมรูปใบหอกหรอื รูปใบหอกแกมรูปไข่ ปลายใบเรียว แหลมหรือยาวคล้ายหาง กว้าง 1.5-2 ซม. ยาว 15-20 ซม. ขอบใบเรียบ โคนใบสอบเรียบ แผ่นใบสีเขียวเข้ม เป็นมัน ทอ้ งใบหรือใต้ใบมขี นสขี าวนวล กา้ นใบส้ัน ดอก ออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลด แทงออกจากเหง้าใต้ดิน ช่อดอกลักษณะเป็นกาบสีเขียว ใบประดับ เรียงเวียนสลับสีเขียวอ่อน ดอกจะมีกลีบดอกเป็นสีเหลืองแกมเขียว ตรงปลายกลีบผายกว้างออก สีม่วงแดง ส่วนโคนกลบี ดอกม้วนห่อ ผล (เมล็ด) เป็นผลแห้ง ทรงกลม และแข็ง ขนาดประมาณ 1 ซม. เป็น 3 พู ภายในมีเมล็ดสีดำหลาย เมลด็ สรรพคุณของขิง 1. เหงา้ แกส่ ด - ยาแก้อาเจยี น - ยาขมเจรญิ อาหาร - ยาแก้ท้องขนึ้ ท้องอืดเฟ้อ ขับลม
10 - แก้ไอ ขับเสมหะ บำรุงธาตุ - สามารถต้านการเกดิ แผลในกระเพาะอาหาร ลดอาการจุกเสยี ดได้ดี - มีฤทธิ์ในการขบั นำ้ ดี เพอ่ื ยอ่ ยอาหาร - แก้ปากคอเปื่อย แกท้ อ้ งผกู - ลดความดันโลหติ 2. ต้น ขับผายลม แก้จุกเสยี ดแนน่ เฟ้อ แกน้ ่ิว บำรงุ ไฟธาตุ แก้คอเปือ่ ย ชว่ ยยอ่ ยอาหาร ฆ่าพยาธิ แก้โรคตา แก้บดิ แก้ลมปว่ ง แกท้ ้องรว่ งอย่างแรง แกอ้ าเจียน 3. ใบ แกโ้ รคกำเดา ขับผายลม แกน้ ิ่วแกเ้ บาขดั แก้คอเปือ่ ย บำรุงไฟธาตุ ช่วยยอ่ ยอาหาร ฆ่าพยาธิ แก้โรคตา ขบั ลมในลำไส้ 4. ดอก ทำให้ชุ่มชนื่ แกโ้ รคตาแฉะ ฆา่ พยาธิ ช่วยย่อยอาหาร แกค้ อเป่อื ย บำรงุ ไฟธาตุ แกน้ วิ่ แก้บดิ 5. ผล แกไ้ ข้ ประโยชนข์ องขิง 1. เหง้าแกส่ ด ยาแกอ้ าเจียน ยาขมเจริญอาหาร ยาแก้ทอ้ งขึน้ ท้องอดื เฟ้อ ขับลม แก้ไอ ขบั เสมหะ บำรุง ธาตุ สามารถต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดอาการจุกเสียดได้ดี มีฤทธิ์ในการขับน้ำดี เพอื่ ย่อยอาหาร แก้ปากคอเปื่อย แกท้ อ้ งผูก ลดความดันโลหิต 2. ต้น ขับผายลม แกจ้ กุ เสยี ดแน่นเฟ้อ แก้นิว่ บำรุงไฟธาตุ แกค้ อเป่อื ย ชว่ ยย่อยอาหาร ฆา่ พยาธิ แก้โรค ตา แกบ้ ิด แก้ลมป่วง แก้ทอ้ งรว่ งอย่างแรง แก้อาเจียน 3. ใบ รสเผ็ดร้อน บรรเทาอาการแก้ฟกช้ำจากการหกล้ม กระทบ กระแทก แก้โรคกำเดา ขับผายลม แก้นิ่ว แก้คอเปื่อย บำรุงไฟธาตุ ช่วยย่อยอาหาร ฆ่าพยาธิ แก้โรคตา ขับลมในลำไส้ แก้ขัดปัสสาวะ แก้โรคตา ใช้ร่วมกับสมุนไพรอื่น เช่น มะขามแขก กานพลู ต้มเอาน้ำดื่ม เป็นยาระบายชนิดกระตนุ้ ลำไสใ้ หญใ่ ห้บีบตัว 4. ดอก รสฝาดร้อน ทำให้ชุ่มชื่น แก้โรคตาแฉะ ฆ่าพยาธิ ช่วยย่อยอาหาร แก้คอเปื่อย บำรุงไฟธาตุ แกน้ วิ่ แก้เบาขดั แกบ้ ดิ แกข้ ดั ปสั สาวะ โรคประสาทซึ่งทำใจให้ขนุ่ มัว 5. ผล (เมลด็ ) รสหวานเผ็ด รกั ษาอาการไข้ บำรุงนำ้ นม บรรเทาอาการคอแหง้ เจบ็ คอ แกต้ าฟาง เป็นยา อายุวัฒนะ, ใช้ผสมกับสมุนไพรอื่น แก้หนองใน ตาต้อกระจก ตาฟาง ตามืด วิงเวียนศีรษะ โรคประสาทพิการ ปวดเอว การมบี ตุ รยากของสตรี 6. ลำต้นเหนือดนิ รสเผ็ดรอ้ น ขับลมลำไส้ แกท้ อ้ งร่วง จกุ เสยี ด
11 7. เหง้า (ลำตน้ รสหวานเผ็ดรอ้ น ขับลม แก้ทอ้ งอดื ท้องเฟอ้ แก้คล่นื ไส้อาเจียน ขับปสั สาวะ บำรุงธาตุ แกห้ อบ รกั ษาบดิ และรกั ษาพษิ จากปู ปลา นก เนื้อสตั วอ์ ่นื ๆ ตม้ ด่มื แกไ้ อ ขับเสมหะ ชว่ ยขยายหลอด เลอื ดใตผ้ วิ หนงั ทำให้เหง่ือออก ปรับอณุ หภูมิในร่างกายใหร้ ู้สึกกระชุม่ กระชวย ให้ปรุงกับสมุนไพรอ่ืน เป็นยาคมุ ธาตไุ ด้ดี และช่วยยอ่ ยอาหาร ใชเ้ หง้าสดโขลกผสมกระเทียม เกลอื มะนาว รับประทานขับ น้ำคาวปลาในสตรีที่คลอดบุตรใหม่ และขับลม บรรเทาอาการปวดท้องเกร็ง ป้องกันการเกิดแผล ในกระเพาะอาหาร ป้องกันการเมารถเมาเรอื ได้ดีกวา่ ยาแผนปัจจุบนั 8. เปลือกเหงา้ รสเผด็ ร้อน เปลอื กเหง้าแห้งต้มน้ำดืม่ เป็นยาขับปสั าวะ ขับลม รักษาอาการท้องอืด แน่น จุกเสยี ด อาการบวมน้ำ หรือใช้เปน็ ยาภายนอกทารกั ษาโรคผวิ หนงั กลากเกลือ้ น และแผลมีหนอง 9. ราก รสหวานเผด็ ร้อนขม ขบั ลม ฆ่าพยาธิ และเจรญิ อาหาร แก้เสมหะ แก้บิด แกพ้ รรดดกึ บำรุงเสียง ให้เพราะ ทำให้ผวิ หนังสดชน่ื แก้นว่ิ แก้ไอ รกั ษาบิดตกเป็นโลหิตสขี มิน้ ข้อมลู ทางวทิ ยาศาสตร์ ในเหง้าขิงมี น้ำมันหอมระเหยอยูป่ ระมาณ 1-3 % ขึ้นอยู่กับวิธีปลกู และช่วงการเก็บรกั ษา ในน้ำมนั ประกอบด้วยสารเคมี ที่สำคัญคือ ซิงจิเบอรีน (Zingiberene) , ซิงจิเบอรอล (Zingiberol) , ไบซาโบลีน (bisabolene) และแคมฟนี (camphene) มนี ำ้ มนั (oleo - resin) ในปริมาณสงู เป็นส่วนทที่ ำให้ขิงมีกลิ่นฉุน และมีรสเผ็ด ส่วนประกอบสำคัญ ในน้ำมันซัน ได้แก่ จิงเจอรอล (gingerol) , โชกาออล (shogaol) , ซิงเจอ โรน (zingerine) มีคณุ สมบตั เิ ป็นยากัดบูด กันหืน ใชใ้ สใ่ นน้ำมันหรือไขมนั เพ่ือปอ้ งกนั การบูดหืน สารที่ทำให้ ขิงมีคณุ สมบตั ิเปน็ ยากนั บูด กนั หืนไดค้ อื สารจำพวกฟีนอลกิ วธิ ีและปรมิ าณที่ใช้ 1. ยาแก้อาเจยี น ใช้ขิงแกส่ ด หรอื แหง้ ขิงสดขนาดหัวแม่มือ (ประมาณ 5 กรมั ) ทุบใหแ้ ตก ถ้าแห้ง 5-7 ช้ิน ต้มกบั นำ้ ด่ืม นำขิงสด 3 หัว หวั โตยาวประมาณ 5 นว้ิ ใสน่ ้ำ 1 แก้ว ตม้ จนเหลอื 1/2 แกว้ (ประมาณ 15-20 นาที หลงั จากเดือดแล้ว) รินเอาน้ำดื่ม 2. ยาขมเจริญอาหาร ใชเ้ หงา้ สดประมาณ 1 องคุลี ถ้าผงแห้งใช้ 1/2 ช้อนโตะ๊ หรอื ประมาณ 0.6 กรัม ผงแห้งชงกับนำ้ ด่ืม เหง้าสดต้มน้ำ หรือปรุงอาหาร เช่น ผดั หรือรับประทานสดๆ เชน่ กับลาบ แหนม และอื่นๆ 3. แกอ้ าการท้องอืดเฟอ้ จุกเสียดและปวดท้อง - นำ้ กระสายขงิ น้ำขิง 30 กรัม มาชงดว้ ยนำ้ เดอื ด 500 ซีซี ชงแช่ไว้นาน 1 ช่ัวโมง กรองรับประทาน ครั้งละ 2 ชอ้ นโตะ๊ - ใช้ขงิ แก่ต้มกบั นำ้ รนิ นำ้ ด่ืมแกโ้ รคจกุ เสียด ทำให้หลบั สบาย - ขิงแกย่ าว 2 นิ้ว ทบุ พอแหลก เทน้ำเดอื ดลงไปครึ่งแก้ว ปิดฝา ตง้ั ท้งิ ไวน้ าน 5 นาที รนิ เอาแตน่ ำ้ มา ดื่มระหวา่ งอาหารแตล่ ะม้อื
12 - ใช้ผงขงิ แห้ง 1 ชอ้ นโต๊ะปาดๆ หรือ 0.6 กรมั ถ้าขงิ แกส่ ดยาวประมาณ 1 องคุลี หรอื ประมาณ 5 กรมั ตม้ กบั น้ำ เตมิ น้ำตาลด่ืมทุกๆ วนั ถา้ เป็นผงขิงแหง้ ให้ชงนำ้ รอ้ น เตมิ นำ้ ตาลดื่ม 4. แกไ้ อและขบั เสมหะ ใชข้ งิ สดฝนกบั น้ำมะนาว แทรกเกลอื ใชก้ วาดคอหรือจิบบ่อยๆ 5. ลดความดันโลหิต ใช้ขงิ สดเอามาฝานต้มกบั น้ำรบั ประทาน ตำรับยาและวธิ กี ารใช้ ตำรายาไทย : ใช้เหงา้ รกั ษาอาการทอ้ งอดื เฟอ้ เสยี ดทอ้ ง อาหารไมย่ ่อย ปวดเกรง็ ชอ่ งทอ้ ง แก้คล่นื ไส้ อาเจียน ท้องเสีย ช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร รักษาอาการหวัด รักษาอาการปวดศีรษะเนื่องจากไมเกรน และรกั ษาอาการปวดขอ้ ปวดกล้ามเนื้อ บำรุงธาตไุ ฟ ฆ่าพยาธิ สรรพคณุ โบราณ ขงิ แห้ง แกไ้ ข้ แก้ไอ ขับเสมหะ ขับเหงื่อ แก้หอบ แก้ลม แก้จุกเสียด แก้เสมหะ บำรุงธาตุ แก้คลื่นเหียน อาเจียน ส่วนขิงสด ใช้แก้ปวดท้อง บำรุงธาตุ ขับลมในลำไส้ให้ผายลมและเรอ แก้อาเจียน ยาขมเจริญอาหาร ขับน้ำดีช่วยย่อยอาหาร แก้ปากคอ เปอ่ื ย แกท้ ้องผูก ลดความดัน ตำราเภสัชกรรมไทย : มีการใช้เหง้าขิงใน “พิกัดตรีรัตตะกุลา (ตรีสัตกุลา)” คือการจำกัดตัวยาอัน สามารถ 3 อย่าง ประกอบด้วย เหง้าขิงสด ผลผักชีลา และเทียนดำใช้อย่างละเท่าๆ กัน ในการบำรุงธาตุไฟ ขบั ลมในลำไส้ แก้อาการธาตุ บัญชียาจากสมุนไพร : ท่ีมกี ารใช้ตามองค์ความรดู้ ้ังเดิม ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยา แห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ระบุการใช้ยารักษากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหาร ปรากฏตำรับ “ยาธาตบุ รรจบ” มสี ว่ นประกอบของขิง รว่ มกบั สมนุ ไพรชนดิ อน่ื ๆ ในตำรับ มีสรรพคุณ บรรเทาอาการท้องอืด เฟ้อ และอาการอุจจาระธาตุพิการ ท้องเสียท่ีไม่ติดเชื้อ ตำรับ “ยาประสะไพล” มีส่วนประกอบของเหง้าขิง ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ในตำรับ มีสรรพคุณรักษาระดูมาไมส่ ม่ำเสมอหรือมาน้อยกว่าปกติ บรรเทาอาการ ปวดประจำเดือน และขับน้ำคาวปลาในหญิงหลังคลอดบุตร นอกจากน้ีเหงา้ ขิงยังจัดอยู่ในบัญชยี าพัฒนาจาก สมุนไพรที่สามารถใช้เดี่ยว เพื่อบรรเทาอาการท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง ป้องกันและบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียนจากการเมารถ เมาเรือ ปอ้ งกนั อาการคล่ืนไส้ อาเจียน หลังการผา่ ตดั ทางสุคนธบำบัด ใช้น้ำมนั หอมระเหยจากขิง บรรเทาอาการเหนื่อยลา้ ของจติ ใจโดยจะทำใหเ้ กิดอาการ ตื่นตัว และรู้สึกอบอุ่น ช่วยเพิ่มความจำ กระตุ้นการไหลเวียนเลือด บรรเทาอาการปวดรูมาตอยด์ ปวดกลา้ มเน้ือ เคลด็ ขดั ยอก ข้อควรรเู้ กยี่ วกบั ตำรบั ยา ฤทธ์ิตา้ นอนมุ ลู อสิ ระ : ศึกษาฤทธ์ิต้านอนมุ ูลอิสระของสารสกดั เอทานอล และนำ้ จากเหง้าขิงแห้ง และเหงา้ ขิง ทดสอบฤทธ์ิต้านอนุมลู อิสระในหลอดทดลองด้วยวธิ ีทางเคมี คือ DPPH radical scavenging assay ผลการทดสอบพบวา่ สารสกดั ชนั้ เอทานอลของเหง้าขงิ และเหง้าขิงแหง้ สามารถยบั ยั้งอนุมลู อิสระ
13 DPPH ไดใ้ กล้เคยี งกัน โดยมีคา่ EC50 เทา่ กบั 15.10 ± 2.50 และ 15.89 ± 2.92 µg/ml ตามลำดับ เมื่อ เปรียบเทยี บกับสารมาตรฐาน butylated hydroxytoluene (BHT) ซ่ึงมีคา่ IC50 เท่ากบั 11.36 ± 0.21 µg/ml ส่วนสารสกัดนำ้ ของพืชทัง้ สองชนิด ไม่ออกฤทธิ์ (Phuaklee, et al., 2010) ฤทธย์ิ ับยัง้ เซลล์มะเรง็ ปอด : การศึกษาความเปน็ พษิ ต่อเซลลม์ ะเรง็ ปอดในหลอดทดลองของสารสกัด เอทานอล และสารสกัดนำ้ จากเหง้าขงิ แห้ง และเหง้าขงิ ทดสอบในเซลล์มะเร็งปอด large cell lung carcinoma cell line (COR-L23) โดยใชก้ ารตรวจสอบดว้ ยวิธี sulphorhodamine B (SRB) assay (วธี กี าร ตรวจวัดคา่ การยับยง้ั การเจริญเติบโตของเซลล์เพาะเล้ียงมะเรง็ ) พบวา่ มีเพียงสารสกัดเอทานอลของเหง้าขงิ ที่ ออกฤทธิ์ โดยมคี า่ IC50 เท่ากับ 7.90 ± 1.90 µg/ml (สารสกดั เอทานอลของเหงา้ ขงิ แห้ง มคี ่าการยบั ย้งั เท่ากบั 42.27 ± 2.28µg/ml) จากผลการศกึ ษาท่ีไดจ้ งึ อาจใชข้ งิ แทนท่ีขิงแหง้ ทใ่ี กลจ้ ะสญู พันธ์ุไดใ้ นฤทธท์ิ าง เภสชั วทิ ยาทเ่ี ก่ียวขอ้ ง (Phuaklee, et al., 2010) ข้อควรระวัง 1. หญิงมีครรภ์ไม่ควรกินมาก เพราะในทางการแพทย์ตะวันออกจัดว่าขิงเป็นยาร้อน การแพทย์ ตะวันออกเชื่อว่าการกินยาร้อนมากเกินไปอาจทำให้แท้งได้ เช่น คนสมัยก่อนจะใช้ขิง ดีปลี กระเทียม ดองเหล้าเป็นยาขับประจำเดอื น 2. การตม้ นำ้ ขิงดว้ ยความร้อนจะทำใหส้ าระสำคญั บางอย่างท่อี อกฤทธริ์ ักษาอาการปวดข้อสลายตัวไป ได้ 3. ถา้ ใชน้ ้ำสกัดจากขิงท่ีเข้มข้นมากๆ แทนทีจ่ ะช่วยแก้อาการท้องอืดเฟ้อ จุกเสียด จะมีฤทธิ์ตรงข้าม คือไประงับการบบี ตวั ของลำไสจ้ นอาจถึงกบั หยุดบบี ตัวไปเลย 4. เคลด็ ลับในการต้มนำ้ ขงิ ให้หอมอรอ่ ย คือ ให้ใช้เวลาต้มส้ันๆ ไมเ่ กนิ 2 - 5 นาที เพราะกลิ่นของขิง จะหายไปหมดหากตง้ั ไฟนาน 5. คนที่เป็น “หวัดเย็น” คือ รู้สึกหนาว มีไข้ต่ำ ไม่ค่อยมีเหงื่อ เสมหะเหลวใส ลองดื่มน้ำขิงต้มร้อน ควันฉุย จะชว่ ยให้อาการดขี ึน้ 6. คนที่เป็น “หวัดร้อน” คือ มีอาการปวดหัว ตัวร้อน เหงื่อออก คอแห้ง เจ็บคอ เสมหะเหนียวข้น สีออกเหลอื งนัน้ ขิงไมเ่ พียงชว่ ยไม่ได้ แต่ยงั อาจทำให้อาการทรุดลงดว้ ย 7. การกินให้ปลอดภัย ควรซื้อแบบเป็นแง่งจะดกี ว่าแบบซอยมาให้แล้ว เพราะเสี่ยงกับการได้รับสาร ฟอกขาวจำพวกซัลไฟต์ แต่ถ้าจำเป็นให้เลือกซื้อ ขิงซอยที่มีสีขาวอมชมพูเล็กน้อย จะปลอดภัยกว่าสีขาวซีด หรอื เหลอื งจดั 8. ไมค่ วรใช้ขงิ ในผู้ทมี่ ีนวิ่ ในถุงนำ้ ดี เนื่องจากขงิ มฤี ทธขิ์ บั น้ำดี ถ้าหากจะใช้ขงิ จึงควรระมัดระวังในการ ใช้และอยู่ในความดูแลของแพทย์ 9. การใช้ขิงในขนาดสงู อาจเพิ่มฤทธ์กิ ารรักษาของยาละลายลิ่มเลอื ด ดังน้นั ผปู้ ่วยท่ีมีปัญหาเรื่องการ จับตัวของเกลด็ เลอื ด ควรระมดั ระวงั การกนิ ขงิ และควรแจ้งใหแ้ พทย์ทราบ
14 10. การกินขิงในขนาดสูง อาจเกิดอาการหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากฤทธิ์การกดประสาทส่วนกลาง ของขงิ 11. ขิงอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ จึงควรระมัดระวังการใช้ในคนที่เป็นโรคกระเพาะ อาหาร เอกสารทเ่ี กีย่ วขอ้ ง ขิง (Zingiber officinale Rosc.) เป็นพืชสมุนไพรท่ีใช้ระงับอาการปวดในโรคข้อเสื่อมและข้ออักเสบ มานาน จากอดีตจนถึงปัจจุบันแต่ยังไม่มีรายงานวิจัยเกี่ยวกับฤทธ์ิต้านนการสลายกระดูกอ่อนซ่ึงเป็นสาเหตุ สำคัญของโรคข้อเส่ือม การศึกษาคร้ังนี้จงึ มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบฤทธิ์ของสารซงิ เจอโรน (Zingerone) ซึ่ง เป็นหน่ึงในสารสำคัญจากขิง ต่อการปกป้องกระดูกอ่อนที่ถูกเรง่ ให้เสื่อมสลายด้วยไซโตไคน์ชนิดที่เป็นสาเหตุ หลักของการสลายกระดูกอ่อนในโรคข้อเสื่อมคือ อินเตอร์ลิวคิน-1บีตา (IL-1ß) โดยใช้ Cartilage Explant Modelพบว่ากระดูกอ่อนที่ถูกกระตุ้น ด้วย IL-1 ß จะมีการสลายสารสำคัญ ของเน้ือเยื่อกระดูกอ่อนออกมา ในน้ำเลยี้ งสูงมาก เมือ่ เทียบกบั กลมุ่ ควบคมุ คือs-GAGs และ HA สอดคล้องกับผลการวิเคราะห์ปริมาณ คอลลา เจนและกรดยโู รนิคท่ีมีปริมาณคงเหลอื น้อยลงในเน้ือกระดูกอ่อน แตก่ ลุ่มทถ่ี ูกกระตุน้ ดว้ย IL-1ß ร่วมกับสาร ซิงเจอโรน (ปยิ ะพร บตุ รพรหม) ขิงเป็นสมุนไพรมีสรรพคุณในการรักษาและบรรเทาอาการของโรคข้อเสื่อม จึงได้รวบรวมการศึกษา ด้านเภสัชวิทยาและการศึกษาทางคลินิกที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขิงเป็นพืชล้มลุกมีเหง้าใตด้ ิน กลิ่นฉุน มีสารสำคัญคอื จินเจอรอล (gingerol) ซึ่งนำมาใช้ศึกษาวิจัยสรรพคุณตามภูมิปัญญาไทยใช้ขับลม บำรุงธาตุ นอกจากนี้ ในประเทศจนี และอายุรเวทอนิ เดียนำมาใชร้ ักษาอาการข้อเสื่อมและกระตนุ้ ความอยากอาหาร ฤทธิ์ทางเภสัช วิทยา พบว่า สามารถยับยั้งการสร้างพรอสตาแกลนดินและลิวโคทริอีนโดยมีอาการข้างเคียงน้อยกว่า และ ประสิทธิผลดีกว่ายาต้านการอักเสบทไี่ ม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) การศึกษาทางคลนิ กิ พบว่า ประสิทธิผลของ ขิงในการลดปวดและอาการข้อเข่าเสื่อมทั้งรูปแบบแคปซูลและยาทาภายนอก มีประสิทธิผลไม่ด้อยไปกว่า NSAIDs ดังนั้น ขิงจึงเป็นสมุนไพรทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมในการลดอาการปวด และอาการ อื่นได้ โดยพบอาการขา้ งเคียงนอ้ ยและมีความปลอดภยั สูง (ปุณยนชุ อมรดลใจ, 2559) อาการคลื่นไส้อาเจียนเป็นอาการไมพ่ งึ ประสงค์ท่ีมีกลไกการเกิดท่ีซับซ้อน อยู่ภายใต้การควบคุมของ ระบบประสาทส่วนกลางบริเวณด้านข้างของเรติคูล่า-ฟอร์เมชั่น ผู้ป่วยที่มีอาการคลื่นไส้อาเจียนจะเกิดการ เปลยี่ นแปลงเรม่ิ ต้ังแตไ่ ม่สขุ สบายเลก็ นอ้ ยไปจนถึงการขาดน้ำ เสยี สมดลุ ของสารอาหาร สารน้ำ และอิเลคโทร ไลท์ (American Cancer Society, 2012) โดยปัจจุบันการให้ยาตา้ นอาเจยี นเป็นวธิ ีการควบคมุ อาการคลื่นไส้ อาเจียนที่นิยมใช้มากที่สุด อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีการพัฒนายาควบคุมอาการคลื่นไส้อาเจียนชนิดใหม่ที่มี ประสิทธิภาพสูง แต่ค่าใช้จ่ายการใช้ยาค่อนข้างสูง และมีโอกาสได้รับผลข้างเคียงด้วย อีกทั้งอาการคลื่นไส้ อาเจียนที่มีสาเหตุมาจากจิตใจไม่สามารถบรรเทาได้โดยการใช้ยา (ภัททิยา ชัยนาคิน, 2548) จึงมีการศึกษา วธิ ีการควบคมุ อาการคลืน่ ไส้อาเจียนโดยวิธีอ่นื ๆ และจากการศกึ ษาวิจัยหลายฉบับท่ีสนับสนุนถึงผลของขิงว่า สามารถบรรเทาอาการคล่นื ไสอ้ าเจียนได้ในบทความนจี้ ึงมุง่ เนน้ ใหเ้ ห็นว่าขงิ มีผลต่อกลไกการเกดิ อาการคล่ืนไส้
15 อาเจียนของคนเราได้อย่างไร ทั้งนี้เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผูท้ ี่สนใจการบำบัดรกั ษาด้วยสมุนไพรหรือเลือกใช้ การรักษาแบบผสมผสานร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบันในการบรรเทาอาการคลืน่ ไส้อาเจียน (ประวดี า คำแดง, 2560)
16 3. มะขามปอ้ ม ภาพที่ 3 มะขามปอ้ ม (ทมี่ า: https://www.google.com) ชือ่ วิทยาศาสตร์: Phyllanthus emblica L.วงศ์ Euphorbiaceae ชอื่ สามัญ: มะขามปอ้ ม ลักษณะพชื 1. ตน้ : เปน็ พรรณไม้ล้มลกุ ลักษณะของลำต้นท้งั ต้น ลำต้นมคี วามสูง ประมาณ 4 - 16 นิว้ ลำตน้ เรยี บไม่ มีขนข้อ และกิ่งกา้ นเป็นสแี ดง 2. ใบ : เปน็ ใบรวม มีใบย่อยสลับ 2 แถว ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปรี ปลายใบแหลม ส้ันหรือมนสีเขียว เทา ใบเล็กกว้าง 2-3 ยาว 1-5 เซนติเมตร 3. ดอก : มีขนาดเล็กเป็นดอกเหลืองน้ำตาล ดอกเพศผแู้ ละเพศเมยี จะแยกกนั อยคู่ นละดอก 4. ผล : เปน็ รปู กลมแบนมีขนาดเสน้ ผ่าศูนยก์ ลางประมาณ 3 มิลลเิ มตร เปลือกสีนำ้ ตาลข้างในผลเป็นรูป สามเหล่ียมสนี ้ำตาล 5. เมล็ด : มสี ันตามยาวทางด้านหลงั สรรพคณุ ของมะขามป้อม มะขามป้อม เป็นผลไม้อีกชนิดหนึง่ ท่ีมีประวัตยิ าวนาน ประเทศอนิ เดียมีการปรงุ ยาด้วยส่วนประกอบ ของมะขามป้อมมากมาย แลว้ ก็แพร่หลายแบบปากต่อปากไปยังพนื้ ท่อี นื่ ๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย และตอ่ ไปน้ี กค็ ือตวั อย่างของสรรพคุณและวิธีใชต้ ามข้อมูลท่ีมบี นั ทกึ ไว้ มะขามป้อมแก้อาการท้องร่วง ท้องเสีย : ถ้าอาการยังไม่หนักมากนัก ก็สามารถนำส่วนของราก มะขามป้อมที่แห้งสนิทดีแล้วมาช่วยบรรเทาอาการลงได้ โดยนำรากแห้งน้ันไปล้างทำความสะอาดให้ดี อาจลวกนำ้ ร้อนซ้ำอีกกไ็ ด้ แล้วค่อยใสห่ ม้อต้มกบั น้ำ เมือ่ น้ำขน้ ได้ท่กี ็นำมาดืม่ ทีละนดิ ไปเร่ือยๆ จนกวา่ จะรสู้ ึกดี ขึ้น
17 มะขามปอ้ มแกพ้ ษิ จากแมลงสตั ว์กัดต่อย : เมอื่ รูต้ วั วา่ โดนกดั หรอื ตอ่ ย หากมีเหลก็ ในก็ใหเ้ อาออกจน เรียบร้อยดีเสียก่อน แล้วใช้รากสดๆ ของมะขามป้อมที่บดละเอียดดีแล้ว มาพอกไว้ที่แผล เป็นการแก้พิษ บรรเทาอาการปวดบวมและอักเสบท่ไี มร่ นุ แรงได้ มะขามปอ้ มช่วยสมานแผล : ใชเ้ ปลอื กของส่วนลำต้นมะขามปอ้ ม ล้างให้สะอาดแล้วตากแดดจนแห้ง สนิท จากนั้นบดให้เป็นผงละเอียด ใช้โรยที่ปากแผลเพื่อเร่งให้แผลแห้งเร็วขึ้นบรรเทาอาการปวดกระเพาะ อาหาร และปวดเมือ่ ยตามกระดูกใชส้ ว่ นของปมกา้ นต้มกบั น้ำแลว้ ดม่ื มะขามป้อมบรรเทาอาการหวัด ไอ เจ็บคอ : อันที่จริงผลไม้ที่มีรสออกเปรี้ยวเกือบทั้งหมดสามารถ ชว่ ยลดอาการไอและเจบ็ คอได้ แตม่ ะขามป้อมถือวา่ ให้ผลลพั ธ์ดีที่สุด ทง้ั ยงั มีสารออกฤทธ์ิท่ีชว่ ยละลายเสมหะ ไดด้ ้วย วิธกี ารใชก้ ไ็ มย่ ่งุ ยาก คือทานผลสดของมะขามปอ้ มไดเ้ ลย หรือจะนำมาตำให้ละเอียดเพ่ือผสมกับน้ำผึ้ง กอ่ นทานกไ็ ด้ แตต่ อ้ งเลือกผลที่แกจ่ ดั สักหนอ่ ย ใหผ้ ิวออกเหลอื งมากกวา่ เขียวจึงจะไดส้ รรพคณุ เตม็ ที่ มะขามป้อมบำรุงผม : เป็นวัตถุดิบที่หลายคนไม่นึกถึงเลยสำหรับการใช้เพ่ือบำรุงผม มักจะไปนึกถงึ ดอกอัญชนั และผลมะกรดู เสยี มากกวา่ แต่ผลแห้งของมะขามปอ้ มนัน้ มสี รรพคุณเป็นสารชะล้างอ่อนๆ ท่ีชว่ ยให้ ผมดกดำ ป้องกันผมหงอกก่อนวัยไดด้ ี ถึงขนาดที่มกี ารจดสิทธิบตั รกันอย่างจริงจัง ขั้นตอนการนำมาใช้งานก็ คือ แช่มะขามป้อมลงในนำ้ สะอาด ทงิ้ ไวข้ ้ามคนื และใชน้ ำ้ น้นั ล้างผมเป็นนำ้ สุดทา้ ยหลังการสระผมทกุ ครง้ั มะขามป้อมบรรเทาอาการปวดฟัน : เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับฟัน ไม่ว่าจะเป็นฟันผุ เหงือกบวม รำมะนาด ก็สามารถใช้มะขามป้อมช่วยบรรเทาอาการในเบื้องต้นได้ และหลายครั้งก็ช่วยรักษาให้อาการ เหลา่ นน้ั หายไปจนหมดส้ิน ให้ใช้ปมกง่ิ ตม้ น้ำจนขน้ แล้วใชน้ ำ้ น้นั อมบ้วนปากท้ังเชา้ เยน็ หลงั การแปรงฟัน มะขามป้อมแก้อาการน้ำเหลืองเสีย : ระบบน้ำเหลืองเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผิวหนังมีสุขภาพที่ดี หรือไมด่ ี คนที่ระบบน้ำเหลืองเสยี เมื่อเป็นแผลเพียงเล็กนอ้ ยก็จะหายช้า พร้อมกบั ทิง้ รอยแผลเป็นเอาไว้ให้ดู ตา่ งหน้า เม่ือสมั ผสั อะไรนิดหน่อยกเ็ สีย่ งที่จะแพ้และเกดิ อาการคัน ผูท้ ี่มีระบบนำ้ เหลืองไม่ดีจึงควรทานผลสด ของมะขามปอ้ มเปน็ ประจำวันละลูก หลังจากทานอาหารเชา้ เรียบร้อยแลว้ ประโยชน์ของมะขามปอ้ ม 1. แหล่งของวิตามินซีสูง มะขามป้อมมีวิตามินซีสูงมากกว่าส้มและผลไม้อีกหลายชนิด เนื่องจากมีสาร แทนนินและโพลิฟนี อล ทชี่ ว่ ยปอ้ งกนั ไม่ใหว้ ิตามนิ ซสี ลายตัว และทำให้วิตามินซีคงตวั ไดน้ านขน้ึ 2. แก้กระหาย หากรู้สึกกระหายน้ำ การรับประทานมะขามป้อมสดจะช่วยลดอาการกระหายน้ำได้ และหากดมื่ น้ำเปลา่ ตามลงไป ยิง่ จะทำใหช้ มุ่ คอมากขนึ้ 3. บรรเทาหวัด ลดอาการเจ็บคอ ในมะขามป้อมมีสารแทนนินและมีวิตามินซีสูง รสเปรี้ยวของ มะขามป้อมสามารถละลายเสมหะได้เป็นอย่างดี สมัยโบราณมีการนำมะขามป้อมไปคั้นน้ำดื่ม หรือ นำมาอมกบั เกลอื นอกจากลดอาการเจบ็ คอได้แล้ว ยังทำให้ชมุ่ คอ เสียงใส และป้องกนั เสียงแห้งได้อีก ดว้ ย
18 4. ลดไข้ วิตามินซีและสารแทนนินที่มีอยู่สูงในมะขามป้อม มีส่วนช่วยส่งเสริมระบบการทำงานของ ร่างกาย เม่ือเริ่มรูส้ ึกไม่สบาย ให้นำมะขามปอ้ มมาคั้นน้ำด่ืม เนื่องจากมะขามป้อมเป็นยาเย็นจึงช่วย ระบายความร้อนออกจากร่างกายได้ 5. ลดอาการเลือดออกตามไรฟัน จากผลการวิจัยพบว่า วิตามินซีที่มีอยู่สูงในมะขามป้อมนั้นมี ประสทิ ธภิ าพดีกว่าวิตามินซีสกัด เพราะมสี ว่ นประกอบของสารอืน่ ๆ อีกหลายชนิด จึงทำให้ร่างกาย ดูดซมึ นำไปใชไ้ ดด้ ี และทำใหอ้ าการเลือดออกตามไรฟนั ดขี ้ึน 6. แก้อาการท้องผูก วิตามินซีในมะขามป้อมช่วยส่งเสริมระบบการขับถ่าย ส่วนยางของมะขามป้อมมี ฤทธิใ์ นการระบาย จงึ มีการนำมาสกัดเปน็ ยาระบาย แต่หากรบั ประทานมากเกนิ ไปอาจทอ้ งเสียได้ดี 7. ช่วยยบั ยัง้ กระบวนการแบ่งตัวของเซลลม์ ะเรง็ จากผลการทดลองสารสกัดน้ำจากผลมะขามป้อมพบว่า มะขามป้อมช่วยลดขนาดก้อนมะเร็งในหนูทดลองได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ผลการทดลองนี้ยังไม่ สามารถการนั ตวี ่า จะใชใ้ นคนได้ผลดีแคไ่ หน ยงั คงต้องรองานวจิ ยั เพมิ่ เตมิ ต่อไป ข้อมลู ทางวทิ ยาศาสตร์ มีวิตามินซีสูง (ในผลมะขามป้อม 1 ผลมีปริมาณวิตามนิ ซีเทียบเท่ากบั ส้ม 2 ลูก) นอกจากนี้ยังพบ rutin, mucic acid, gallic acid, phyllemblic acid สารกลุ่มแทนนิน เบนซินอยด์ เทอร์ปีน ฟลาโวนอยด์ อัลคา ลอยด์ คูมารนิ วิธีและปริมาณที่ใช้ แกไ้ อ ชว่ ยกระตุ้นใหน้ ้ำลายออก ชว่ ยละลายเสมหะ มวี ิธใี ชด้ ังน้ี - ใชเ้ นื้อผลสด ครง้ั ละ 2-5 ผล โขลกพอแหลก แทรกเกลือเลก็ น้อย อม หรือเค้ียว วนั ละ 3-4 คร้งั - ผลสดฝนกับน้ำแทรกเกลอื จิบบอ่ ยๆ หรอื ใช้ผลสดจิ้มเกลือรับประทาน - ผลสดตำคน้ั เอาน้ำดืม่ หรอื ผลแห้ง 6-12 กรัม (ผลสด 10-30 ผล) คัน้ น้ำดืม่ หรือเค้ยี วอมบอ่ ยๆ ตำรับยาและวธิ กี ารใช้ ตำรายาไทย : เนื้อผลแห้ง รสเปรี้ยวฝาดขม ขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอ เป็นยาฝาดสมาน แก้ริดสีดวง แก้บิด ท้องเสีย ใช้ควบกับธาตุเหล็ก แก้โรคดีซ่าน และช่วยย่อยอาหาร ยางจากผล รสเปรี้ยวฝาดขม ชว่ ยย่อยอาหาร ขับปสั สาวะ ใช้เป็นยาแก้ไอ ตำรับยาแผนโบราณ : ผลอ่อน รสเปรี้ยวหวานฝาดขม บำรุงเนื้อหนังให้บริบูรณ์ กัดเสมหะในคอ ทำให้เสียงเพราะ แก้มังสังให้บริบรู ณ์ แก้พรรดึก(ท้องผกู ) แก้พยาธิ ผลแก่ รสเปรี้ยวฝาดขมเผ็ด แก้ไข้เจือลม แก้ไอ แก้กระหายน้ำ แก้เสมหะ ทำให้ชุ่มคอ ลดไข้ ขับปัสสาวะ ระบายท้อง บำรุงหัวใจ ฟอกโลหิต แก้ลม แกล้ กั ปดิ ลักเปิด มีวติ ามินซีมากกวา่ ส้ม 20 เท่า (เมือ่ เทยี บในปริมาณเท่ากนั )
19 ตำรายาไทย : มะขามป้อมจัดอยู่ใน “พิกัดตรีผลา” คือการจำกัดจำนวนผลไม้ 3 อย่าง มี ลูกสมอ พิเภก ลูกสมอไทย ลูกมะขามป้อม สรรพคุณแก้ปิตตะ วาตะ เสมหะ ในกองธาตุ กองฤดู กองอายุ และกอง สมฎุ ฐาน ขอ้ ควรรู้เก่ยี วกับตำรบั ยา ผลมะขามป้อม มีวิตามินซีสูงมากที่สุดในบรรดาพืชทุกชนิดที่มีในโลก ในผลมีสารป้องกันการเกิด ออกซไิ ดซว์ ติ ามินซี ทำใหว้ ิตามนิ ซีคงตัวอยไู่ ดน้ าน ผลแห้ง เกบ็ ไวใ้ นทเี่ ยน็ เช่น ในตูเ้ ยน็ นาน 365 วัน จะเสีย วิตามินซีไปร้อยละ 20 ผลมะขามป้อมดองในน้ำเกลือร้อยละ 8 นาน 20 วัน ความเข้มข้นของกรดเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 0.77 เปน็ รอ้ ยละ 1.44 วิตามนิ ซเี สียไปประมาณร้อยละ 68 ดองในน้ำเกลือรอ้ ยละ 10 ความเขม้ ขน้ ของกรดเพ่มิ ขึน้ จากเดมิ ร้อยละ 0.63 เปน็ รอ้ ยละ 1.39 วติ ามนิ ซเี สียไป ประมาณร้อยละ 72 นอกจากนี้ ในการดองจะมีพวกกรดทั้งชนิดระเหยและไม่ระเหยเพิม่ ขึ้น ดองในน้ำเกลือ รอ้ ยละ 8 จะมปี ริมาณเพ่มิ ขึน้ มากกว่าที่ดองในนำ้ เกลือร้อยละ 10 ผลมะขามปอ้ มทดี่ องด้วยนำ้ เกลือร้อยละ 8 มีกลิ่นของมันเองลดลง และมีกลิ่นหมักดีขึ้น ส่วนที่ดองด้วยน้ำเกลือร้อยละ 10 มีกลิ่นของมันเองลดลง ผลที่ ดอกมสี ีนำ้ ตาลแดง เนื้อนุ่มขนึ้ ผลพองตัวมีขนาดใหญข่ ึ้น และบางผลกแ็ ตกออก มรี สเปร้ยี วๆ เคม็ ๆ ผลสดถา้ เก็บไว้ในอณุ หภมู หิ ้อง (29-37 องศา-เซลเซียส) นาน 365 วนั จะเสียวิตามินซไี ปร้อยละ 67 เนื้อผลตากแดดให้แห้ง จะเสียวิตามินซีไปประมาณร้อยละ 60 ถ้าทำให้แห้งที่อุณหภูมิห้อง จะเสีย วิตามินซีไปไม่มากนัก เนื้อผลแห้งเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องจะเสียวิตามินซีไปร้อยละ 25 ในเวลา 2 สัปดาห์ เสีย วิตามนิ ซไี ปรอ้ ยละ 50 ในเวลา 4 สปั ดาห์ และเสียไปร้อยละ 60 ในเวลา 48 สัปดาห์ น้ำคนั้ จากผล ใส่ขวดเก็บไว้ทอ่ี ุณหภูมิหอ้ งนาน 2 สปั ดาห์ จะเสยี วติ ามนิ ซไี ปมากกว่าร้อยละ 50 แต่ถ้า เก็บในตเู้ ยน็ นาน 9 สปั ดาห์ จะเสยี วติ ามนิ ซีไปน้อย กว่ารอ้ ยละ 50 ในน้ำคั้นจากผลท่ีใส่ขวดเก็บไว้ จะมีความ เป็นกรดเพิม่ ข้ึนและมีความเป็นกรดคงท่ี ท่ี pH2 สมุนไพรมะขามป้อมจัดอยู่ใน “พิกัดตรีผลา” คือการจำกัดจำนวนผงไม้ 3 อย่าง มีลูกสมอพิเภก ลกู สมอไทย ลูกมะขามป้อม สรรพคุณแกป้ ิตตะ วาตะ เสมหะ ในกองธาตุ กองฤดู กองอายุ และกองสมฏุ ฐาน ข้อควรระวัง การใชม้ ะขามป้อม จดั เปน็ ยารสเปร้ียว ฝาด เยน็ ผทู้ ห่ี นาวเยน็ งา่ ย ไม่ควรกนิ มะขามป้อมมาก ตอ่ เนื่อง เกนิ จำเป็น ผทู้ ม่ี ปี ญั หาเลอื ดจาง ใส เหลวกว่าปกติ ก็ไมค่ วรทานมากทานประจำ ผ้ทู แ่ี น่นทอ้ งแบบไฟธาตุน้อย ก็ระวงั ปรมิ าณในการทาน หรือ ให้ปรบั ธาตุอาหารสมนุ ไพรทท่ี าน ให้มีความอุ่นร้อนเพ่ิมขึน้ สำหรับยาน้ำแก้ไอ สูตรผสมผงมะขามป้อม ผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ผู้ป่วยที่ท้องเสียง่าย เน่อื งจากมะขามปอ้ มมีฤทธิ์เปน็ ยาระบาย
20 เอกสารที่เกี่ยวข้อง มะขามปอ้ มเปน็ พืชทอี่ ุดมไปด้วยสารพฤกษเคมีสำคญั กลุ่มต่างๆ มากมาย ได้แก่ แทนนิน ฟลาโวนอยด์อัล คาลอยด์ ไตรเทอร์พีน ซาโปนิน สเตอรอล ฟีนิลโพรพานอยด์ และฟีนอล เป็นต้น มีรายงานพบว่าสารกลุ่ม ดังกล่าวมีฤทธิ์ยับยั้งการเกิดมะเร็งในระยะต่างๆ ทั้งระยะเริ่มต้น ระยะส่งเสริมและระยะพัฒนา โดยกลไก ป้องกันมะเร็งของสารสำคัญในมะขามป้อมน้ันแตกต่างกันในแต่ละระยะของกระบวนการเกิดมะเร็ง ในระยะ เรม่ิ ต้นของการเกดิ มะเรง็ นัน้ มีกลไกการปอ้ งกันมะเรง็ ผ่านการทำงานของเอนไซม์กำจัดสารแปลกปลอมระยะท่ี หนึ่งและ/หรือสอง ส่วนในระยะส่งเสริมของกระบวนการเกิดมะเร็งนั้นเก่ียวข้องกับการยับยั้งกระบวนการ แบ่งตวั เพมิ่ จำนวนของเซลล์และ/หรอื การกระตุ้นการตายของเซลลแ์ บบอะพอพโทซสิ และในระยะสดุ ทา้ ยของ กระบวนการเกิดมะเร็งคือระยะพัฒนานั้น การป้องกนการเกิดมะเร็งในระยะนี้เกี่ยวข้องกับการยับย้ังการ ทำงานของเอนไซม์กลุ่มเมทริกซ์เมเทโลโปรตีเนสเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งไปยังอวัยวะ เป้าหมายใหม่บทความฉบับนี้กล่าวถึงกลไกการป้องกันมะเร็งในระยะต่างๆ ของสารสำคัญในมะขามป้อม ซึ่งคาดว่ามะขามป้อมจะเป็นหนึ่งในผลไม้ป้องก้นมะเร็งที่ใช้ในการป้องกันมะเร็งต่อไปในอนาคต (สิริญญา ทายะ, 2564) การศึกษาวิธีการสกัดและฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระจากสารสกัดมะขามป้อมคัดเลือกตัวอย่างผล มะขามป้อมในจังหวัดพษิ ณุโลกโดยนำผลมะขามปอ้ มอบแหง้ และผลสตมาสกัดดว้ ยวธิ ีการแช่เขย่าและใช้คลื่น เสียงความถี่สูงสกัดด้วยตัวทำละลายเอทานอลและน้ำตามลำดับจากนัน้ นำสารสกัดมาคำนวณหาผลผลิตสทุ ธิ นำสารละลายมาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระโดยวิธีดีพีพีเอชและปริมาณสารฟีนอลิกรวมโดยวิธีโฟลินพบวา่ สารสกัดที่ได้จากมะขามป้อมอบแห้งสกัดด้วยคลื่นเสียงความถ่ีสูงโดยใช้เอทานอล 95% เป็นตัวทำละลายให้ ผลผลติ สุทธิสงู สุด (37536) สารละลายทดสอบมฤี ทธ์ิการยับยั้งและมีปริมาณสารฟนี อลิกรวมมากที่สุดเท่ากับ IC50 0.67 mg / g และ 13.75 mg gallic acid / g ตามลำดบั (วิษณุ ธงไชย) มะขามป้อม เป็นสมุนไพรไทยที่มีศักยภาพสูง ผลมะขามป้อมมีสรรพคุณแก้ไอ ขับเสมหะ แก้ท้องเสีย นอกจากน้ีมีรายงานวิจัยเก่ียวกับคุณสมบตั ิการบำรุงดูแลผิวพรรณ ได้แก่ ฤทธิ์ต้านอนมุ ูลอิสระและคุณสมบัติ ทำให้ผวิ ขาวขนึ้ ดงั น้นั กรมวทิ ยาศาสตร์การแพทย์ โดยสถาบันวิจัยสมุนไพร จึงพัฒนาสมุนไพรไทยชนิดน้ีเป็น ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง โดยศึกษาวิธีการเตรียมสารสกัดจากมะขามป้อม ซึ่งปลูกในสวนสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จังหวัดจันทบุรี ท่ีมีการควบคุมคุณภาพและการทดสอบความปลอดภัยใน ห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน นำมาวิจัยและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ซึ่งมีการทดสอบด้านความ ปลอดภัยและประสิทธิภาพในอาสาสมัคร จากการศึกษาวิจัยพบว่า สารสกัดมะขามป้อม สามารถพัฒนาเปน็ ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้หลายรูปแบบ ได้แก่ เซรั่มมะขามป้อม (Emblica serum), มาส์กหน้ามะขามป้อม (Emblica sleeping mask), โลชั่นบำรุงผิวมะขามป้อม (Emblica body lotion) และ เจลบำรุงผิวหน้า มะขามปอ้ ม (Emblica facial gel) ทั้งนีผ้ ลติ ภัณฑ์ทพี่ ฒั นาทั้ง 4 รปู แบบ ผา่ นการประเมนิ ความปลอดภัยของ ผลิตภัณฑ์ในอาสาสมัคร โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว สำหรับการประเมินด้านประสิทธิภาพของ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว พบว่า ผลิตภัณฑ์เซรั่มมะขามป้อมมคี ุณสมบัติทำให้ผิวขาวกระจา่ งใสสูงสดุ รองลงมา คือ มาส์กหน้ามะขามป้อม, โลชั่นบำรุงผิวมะขามป้อม และเจลบำรุงผิวหน้ามะขามป้อม ตามลำดับ สำหรับ
21 ผลิตภัณฑ์ท่ีให้ผลด้านการลดเลือนริ้วรอยและปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนดีที่สุด คือ มาส์กหน้ามะขามป้อม และผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มความยืดหยุ่นและกระชับผิวได้ดีที่สุด คือ เจลบำรุงผิวหน้ามะขามป้อม (สุขุม กาญจนพมิ าย, 2561)
22 4. ขมิน้ ชนั ภาพที่ 4 ขมนิ้ ชนั (ที่มา: https://www.google.com) ช่ือวทิ ยาศาสตร์: Curcuma longa L.Nees (วงศ์ ZINGIBERACEAE) ชื่ออนื่ : ขมน้ิ แกง, ขมนิ้ หยอก, ขมน้ิ หัว,ตายอ,สะยอ ลกั ษณะพชื ไม้ล้มลุก อายุหลายปี สูง 30-95 ซม. มีลำต้นใต้ดินเรียกว่าเหง้า ประกอบด้วยแง่งที่มีลักษณะต่างๆ กันคือ แง่งแม่หรือแง่งหลักจะมีลักษณะกลม ซึ่งจะเป็นที่แตกของแขนงที่สองและสามต่อไป แขนงที่แตก ออกมาน้ีถา้ มีลกั ษณะกลมจะเรียกวา่ หวั และถา้ มีลกั ษณะยาวคล้ายน้ิวมอื จะเรียกว่า นิ้ว ซึ่งเปน็ ที่เกิดของราก ฝอย เนอื้ ในหัวมีสเี หลืองอมสม้ หรอื สีเหลอื งจำปาปนสีแสด และมีกลิ่นหอม ส่วนลำตน้ เหนอื ดินคือกาบก้านใบ ทเี่ รยี งซ้อนกันเป็นลำตน้ เทยี ม ใบ เป็นใบเดี่ยว กลางใบสีแดงคล้ำ แทงออกจากเหง้าใต้ดิน ลักษณะใบรูปใบหอกยาวเรียว ปลายใบ แหลม กว้าง 12-15 ซม. ยาว 30-40 ซม. มีเส้นกลางใบเห็นได้ชัดเจนทางด้านล่างของใบ ใบเรียงแบบสลับ และอยู่กนั เปน็ กลุ่ม ดอก ออกเปน็ ช่อ ชอ่ ดอกจะเกิดบนลำตน้ ที่มีใบหรือโผล่ข้ึนมาจากใจกลางของกลมุ่ ใบ ชอ่ ดอกมรี ปู รา่ ง แบบทรงกระบอกหรือรูปกรวย ใบประดับมีสีเขียวอ่อนๆ หรือสีขาว กลีบดอกสีเหลืองออ่ น ตรงปลายช่อดอก จะมีสชี มพูออ่ น จัดเรยี งซ้อนกนั อย่างเป็นระเบียบ กลีบรองกลีบดอกจะเชือ่ มติดกนั เปน็ รูปท่อ มีขน กลีบดอก สีขาว ตรงโคนเชอ่ื มตดิ กนั เป็นท่อยาว บานคร้ังละ 3-4 ดอก ผล รูปกลมมี 3 พู สรรพคุณของขมิ้นชนั 1. ล้างพิษตับ ขมิ้นชันมีสรรพคุณช่วยขับพิษที่สะสมในตับ เนื่องจากมีฤทธิ์ป้องกันตับอักเสบ ช่วย บำรุงตับ และฟื้นฟูตับ โดยมีการใช้ขมิ้นชันทดลองรักษาโรคตับแขง็ ในหนู ผลปรากฏว่าอาการไม่ลุกลามเพิ่ม ทำใหน้ ยิ มใชเ้ ป็นสมนุ ไพรยาทีช่ ว่ ยฟ้นื ฟสู ุขภาพและลา้ งพษิ ออกจากตบั
23 2. รักษาโรคผิวหนังเรื้อรัง ขมิ้นชันสามารถใช้รักษาโรคที่เกี่ยวกับผิวหนังได้ เช่น โรคผื่นคัน กลาก เกลื้อน ผวิ หนังอักเสบจากอาการแพ้ คนไทยสมัยกอ่ นใช้เหง้าสดของขมิ้นชันมาฝนและบดให้ละเอยี ด ก่อนจะ นำไปทาบรเิ วณท่มี ีอาการคัน แตป่ จั จุบันสามารถใช้ผงขม้ินชนั สำเรจ็ รูปผสมน้ำเปล่าหรอื นำ้ มันมะพร้าว นำไป ทาบรเิ วณทอ่ี ักเสบหรือคันได้ 3. แก้อาการท้องรว่ ง ใครทกี่ นิ ของผิดสำแดงเข้าไปแลว้ เกิดอาการท้องรว่ ง สามารถหาขม้ินชันในครัว มาใชเ้ ป็นยาได้ โดยนำมาลา้ งให้สะอาด ปอกเปลอื กและหน่ั เปน็ ชน้ิ เลก็ ๆ นำไปตำพร้อมผสมน้ำเปล่า หลังจาก นัน้ คัน้ เฉพาะน้ำใหไ้ ด้สกั 1 ถว้ ยตวง แบง่ กนิ คราวละ 2 ชอ้ นโตะ๊ จะชว่ ยสรา้ งสมดลุ ให้ระบบขับถ่ายและระบบ ยอ่ ยอาหาร 4. รกั ษาแผลในกระเพาะอาหาร ขมิน้ ชนั มฤี ทธ์ิในการรกั ษาอาการอักเสบ จึงสามารถช่วยรกั ษาแผลใน กระเพาะอาหารใหห้ ายเร็วข้นึ นอกจากนห้ี ากหน่ั ขมิ้นชนั ผสมกับน้ำผง้ึ จะช่วยบรรเทาอาการทอ้ งอืด ท้องเฟ้อ และจุกเสียดแน่น เรียกว่าเป็นสมุนไพรที่มอบประโยชน์ให้คนกินอย่างครบสูตร ทั้งในรูปแบบอาหารและ รูปแบบยา 5. ชะลอการแก่ก่อนวัย เนื่องจากขมิ้นชันออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ จึงถูกนำมาสกัดเป็นยาเสริม อาหารที่ใช้บำรงุ ร่างกาย ปอ้ งกันโรค ป้องกันการเสอื่ มโทรมของเซลล์ และปอ้ งกันรา่ งกายไม่ให้เส่อื มไปตามวัย ถือเป็นสรรพคณุ ดา้ นความงามทีน่ า่ จะถูกใจใครหลายคน 6. รักษาริดสีดวง สำหรับผทู้ ี่เปน็ รดิ สดี วงทวารและมแี ผลบรเิ วณทวารหนัก ใหใ้ ช้ผงขมน้ิ ทาหวั รดิ สีดวง จะช่วยสมานแผลให้แหง้ และหายเรว็ ข้นึ เพราะขม้ินชันจะชว่ ยลดการอักเสบ ช่วยฆา่ เชอ้ื โรค และทำใหเ้ น้ือเยื่อ บริเวณแผลกระชบั เรว็ ขึน้ 7. แก้พิษแมลงกัดตอ่ ย หากถูกแมลงกัดจนเป็นแผล มีอาการบวมแดง สามารถบรรเทาได้ด้วยการใช้ ผงขมน้ิ ชันผสมกบั น้ำมนั มะพร้าว แล้วนำไปเคย่ี วบนไฟ จะได้นำ้ มนั นวดสำหรบั ทาแกพ้ ิษแมลงกดั ตอ่ ย หรือจะ นำผงขมิ้นชนั ไปผสมกบั นำ้ ปนู ใสเพอ่ื นำมาพอกแผลก็ไดเ้ ช่นกัน 8. ป้องกันโรคข้อเข่าอักเสบ ในผู้สูงอายุนิยมใช้ขมิ้นชันรักษาอาการข้อตึง ปวดเมื่อยตามข้อเข่า ซ่ึง อาจจะเป็นไปตามวยั หรือพฤตกิ รรมในชวี ิตประจำวัน แตข่ ม้ินชนั สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดในโรคข้อเข่า เส่อื มได้ โดยมกี ารนำมาใชท้ ดแทนยาแผนปจั จุบันอย่างแพร่หลาย 9. ลดระดับไขมันในเส้นเลือด สารไฟโตสเตอรอล (Phytosterols) ทีอ่ ยูใ่ นพชื ธรรมชาติอย่างขมิ้นชัน จะชว่ ยยับยั้งคอเลสเตอรอล มีฤทธ์ใิ นการลดไขมนั ในเสน้ เลอื ด ป้องกันความเส่ยี งในการเกิดโรคหลอดเลือดอุด ตันและโรคหัวใจ 10. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ขมิ้นชันสามารถชว่ ยปรับสมดุลและสร้างภมู คิ ุม้ กันให้ร่างกาย โดยเฉพาะใน ปจั จบุ นั มปี ัญหามลพษิ ฝุ่นละออง PM 2.5 ทสี่ ่งผลกระทบต่อร่างกาย ทำให้เป็นภูมิแพไ้ ดง้ ่าย จึงนิยมกินขม้นิ ชัน เพ่ือเป็นตวั ชว่ ยเสริมรา่ งกายใหแ้ ขง็ แรงต่อมลพิษ
24 ประโยชน์ของขม้นิ ชนั 1. ช่วยเจริญอาหาร 2. ยาบำรงุ ธาตุ ฟอกเลอื ด 3. แกท้ อ้ งอดื เฟ้อ แนน่ จุกเสียด 4. ช่วยลดน้ำหนกั 5. ปวดประจำเดือน ประจำเดอื นมาไม่ปกติ 6. อาการดซี า่ น 7. แกอ้ าการวิงเวียน 8. แก้หวดั 9. แกอ้ าการชกั ลดไข้ 10. ขบั ปสั สาวะ 11. รกั ษาอาการท้องมาน 12. แกไ้ ข้ผอมแหง้ 13. แก้เสมหะและโลหิตเปน็ พิษ โลหิตออกทางทวารหนักและเบา 14. แก้ตกเลือด 15. แกอ้ าการตาบวม 16. แกป้ วดฟันเหงือกบวม 17. มฤี ทธิ์ระงับเชือ้ ต้านวัณโรค 18. ป้องกนั โรคหนองใน 19. แกท้ อ้ งเสยี แกบ้ ดิ 20. รักษามะเรง็ ลาม 21. ชว่ ยลดอาการฟกช้ำบวม ปวดไหลแ่ ละแขน บวมช้ำและปวดบวม 22. แก้ปวดข้อ 23. ใชส้ มานแผลสดและแผลถลอก ผสมยานวดคลายเสน้ แกเ้ คล็ดขดั ยอก 24. แกน้ ำ้ กดั เท้า แก้ชนั นะตุ 25. แก้กลากเกล้ือน แกโ้ รคผิวหนังผนื่ คัน 26. ใช้สมานแผล รักษาฝี แผลพุพอง 27. ลดอาการแพ้ อกั เสบจากแมลงสตั ว์กัดต่อย 28. ใช้ห้ามเลอื ด 29. รกั ษาผวิ บำรุงผิว 30. ช่วยลดหน้าทอ้ งลายหลงั คลอดบตุ ร 31. ชว่ ยลดกลิ่นปาก
25 ขอ้ มูลทางวทิ ยาศาสตร์ สารกลมุ่ เคอรค์ วิ มินนอยด์ (curcuminoids) ประกอบด้วย เคอรค์ วิ มิน (curcumin), monodesmethoxycurcumin, bisdesmethoxycurcumin นำ้ มนั ระเหยงา่ ย (volatile oil) มีสีเหลอื งออ่ น สารหลักคือเทอร์เมอโรน (turmerone) 60%, ซิงจิเบอรีน (zingiberene) 25%, borneol, camphene, 1, 8 ciniole , sabinene, phellandrene วิธแี ละปริมาณท่ใี ช้ แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่น จุกเสียด อาหารไม่ย่อย อาการแสบคัน แก้หิว และแก้กระหาย ทำโดย ล้างขมน้ิ ชันใหส้ ะอาด ไม่ต้องปอกเปลอื กออก หั่นเป็นชน้ิ บาง ๆ ตากแดดจัดสัก 1-2 วัน บดให้ละเอียดผสมกับ นำ้ ผึ้งป้ันเปน็ เมด็ ขนาดปลายนว้ิ กอ้ ย กนิ ครงั้ ละ 2-3 เม็ด วนั ละ 3 -4 ครัง้ หลงั อาหารและก่อนนอน แตบ่ างคน เม่อื กินยานแี้ ลว้ แน่นจุกเสียดให้หยดุ กินยานี้ 1. ยาแคปซูลที่มผี งเหง้าขม้ินชนั แหง้ 250 มิลลิกรัม รับประทานคร้ังละ 2-4 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง หลัง อาหารและก่อนนอน อาจปน้ั เปน็ ลูกกลอนกบั น้ำผ้ึง 2. เหง้าแก่สดยาวประมาณ 2 นิ้ว ขูดเปลือก ล้างน้ำให้สะอาดตำให้ละเอียด เติมน้ำ คั้นเอาแต่น้ำ รบั ประทานครงั้ ละ 2 ชอ้ นโต๊ะ วันละ 3-4 ครง้ั 3. ใช้เหง้าขมิน้ แกส่ ดฝนกับน้ำสุก หรือผงขมิ้นชนั ทาบริเวณทีเ่ ป็นฝี แผลพพุ อง หรอื อักเสบจากแมลงสัตว์ กัดต่อย 4. เหง้าแกแ่ ห้ง บดเป็นผงละเอียด ทาบริเวณท่เี ปน็ เม็ดผนื่ คัน 5. เหง้าแห้งบดเป็นผง นำมาเค่ยี วกบั นำ้ มันพืช ทำน้ำมันใสแ่ ผลสด 6. เหง้าแก่ 1 หัวแม่มือ ล้างสะอาดบดละเอียด เติมสารส้มเล็กน้อย และน้ำมันมะพร้าวพอแฉะๆใช้ทา บรเิ วณทเ่ี ป็นแผลพุพองท่หี นังศรี ษะ ขนาดที่ใช้ในการรักษาอาการ dyspepsia รับประทานผงขม้นิ ชันในขนาด 1.5 - 4 กรมั ตอ่ วัน โดยแบ่งให้ วันละ 3 - 4 ครัง้ หลงั อาหารและก่อนนอน หรือรับประทานขม้นิ ชนั ในรูปแบบแคปซูลทีม่ ีผงเหง้าขม้ินชัน อบแหง้ 250 มก. รับประทานคร้ังละ 2-4แคปซูล วนั ละ 4 ครงั้ หลงั อาหารและกอ่ นนอน ตำรับยาและวธิ กี ารใช้ ตำรายาไทย : ใชภ้ ายใน ช่วยเจรญิ อาหาร ยาบำรุงธาตุ ฟอกเลือด แกท้ ้องอืดเฟอ้ แนน่ จกุ เสียด ลด นำ้ หนกั ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาไมป่ กติ อาการดซี ่าน แก้อาการวงิ เวยี น แก้หวดั แกอ้ าการชกั ลดไข้ ขบั ปสั สาวะ รกั ษาอาการทอ้ งมาน แกไ้ ขผ้ อมแห้ง แก้เสมหะและโลหิตเป็นพษิ โลหิตออกทางทวารหนักและ เบา แกต้ กเลอื ด แกอ้ าการตาบวม แก้ปวดฟนั เหงอื กบวม มฤี ทธิร์ ะงบั เชื้อ ต้านวณั โรค ปอ้ งกันโรคหนองใน แก้ ทอ้ งเสยี แก้บิด รักษามะเรง็ ลาม ใชภ้ ายนอก ชว่ ยลดอาการฟกชำ้ บวม ปวดไหลแ่ ละแขน บวมช้ำและปวดบวม แกป้ วดข้อ สมานแผลสดและแผลถลอก ผสมยานวดคลายเสน้ แกเ้ คล็ดขัดยอก แกน้ ำ้ กัดเท้า แก้ชนั นะตุ
26 แก้กลากเกล้อื น แก้โรคผิวหนงั ผน่ื คนั สมานแผล รักษาฝี แผลพุพอง ลดอาการแพ้ อักเสบจากแมลงสตั ว์ กัดต่อย ตำใสแ่ ผลห้ามเลอื ด รกั ษาผิว บำรุงผวิ นอกจากน้บี ัญชยี าจากสมนุ ไพร : ที่มีการใช้ตามองค์ความร้ดู ั้งเดิม ตามประกาศ คณะกรรมการ แหง่ ชาตดิ า้ นยา ปรากฏการใช้ขมน้ิ ชนั ในยารักษากลุม่ อาการทางระบบทางเดินอาหาร ตำรบั “ยาเหลืองปดิ สมทุ ร” มสี ว่ นประกอบของขม้ินชันเป็นองคป์ ระกอบหลัก รว่ มกบั สมุนไพรอน่ื อีก 12 ชนิดในตำรบั มสี รรพคุณ บรรเทาอาการทอ้ งเสยี ชนิดท่ไี มเ่ กิดจากการตดิ เชื้อ เช่น อจุ จาระไม่เปน็ มกู หรอื มเี ลอื ดปน และท้องเสียชนิดท่ี ไม่มไี ข้ นอกจากน้ียังจัดอยู่ในบัญชียาพฒั นาจากสมนุ ไพรท่สี ามารถใชเ้ ด่ยี ว เพอ่ื บรรเทาอาการแน่น จุกเสยี ด ขอ้ ควรรเู้ ก่ยี วกับตำรับยา สามารถใช้ประโยชน์จากขมิ้นชนั ได้ โดยเริ่มต้นตั้งแต่การเก็บเกี่ยว ไม่ควรเก็บในชว่ งที่เป็นระยะการ แตกหน่อของขมิ้นชัน เนื่องจากในช่วงเวลาการแตกหน่อเป็นช่วงที่ขมิ้นชันผลิตสารเตอร์คิวมินน้อยกว่าช่วย อื่นๆ สารเตอร์คิวมินเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ที่อยู่ภายในขมิ้นชันดังนั้น เหง้าที่จะสามารถเก็บได้ดี ควรมอี ายเุ หง้าอยา่ งน้อย 9 – 12 เดือน และเมอ่ื เก็บมาแลว้ กไ็ มค่ วรเกบ็ นานจนเกินไป เพราะนำ้ มนั หอมระเหย ในขม้ินชนั จะระเหยออกหมดเสยี กอ่ น เมื่อเก็บเกี่ยวเหง้าของขมิ้นชันมาแล้ว หากไม่ได้นำเอาไปทำอาหาร แต่จะใช้เป็นยาเพื่อมาทานเพ่ือ รกั ษาโรคตา่ งๆ ควรนำขม้ินชันไปลา้ งน้ำให้สะอาดเสยี กอ่ น เสร็จแลว้ จงึ นำเอามาหนั่ เปน็ แว่นๆ ชน้ิ บางๆ โดยไม่ ต้องปอกเปลือกออก จากนั้นนำไปตากแดดโดยใช้เวลาประมาณ 2 วัน หลังจากนั้นจึงนำเอาขมิน้ ชันมาบดให้ ละเอียด แล้วเอาผงขมิ้นชันผสมเข้ากันกบั น้ำผึ้งแล้วนำมาป้ันเป็นเม็ดกลมๆ เล็กๆ สามารถทานครั้งละ 2 - 3 เมด็ จำนวน 3 ครงั้ ต่อวัน โดยทานในช่วงเวลาหลังอาหารหรือกอ่ นนอน ข้อควรระวัง 1. ไม่ควรรับประทานสารสกัดที่ได้จากเหง้าขมิ้นชันติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เพราะอาจทำให้เกิด อาการกระวนกระวาย งุ่นง่าน กระสับกระส่าย ถ่ายเป็นเลือด อาเจียน และสตรีที่มีครรภ์ใน ระยะแรกๆ ไมค่ วรรับประทานเดด็ ขาดเพราะอาจทำให้แทง้ บุตรได้ 2. การใชข้ มิ้นเป็นยารกั ษาโรคกระเพาะ ถา้ ใชข้ นาดสงู เกนิ ไป จะทำให้เกดิ แผลในกระเพาะ 3. คนไข้บางคนอาจมีอาการแพ้ขมนิ้ โดยมอี าการคล่นื ไส้ ทอ้ งเสยี ปวดหวั นอนไม่หลบั ให้หยดุ ยา 4. หา้ มใช้ในผูป้ ว่ ยทม่ี ีการอดุ ตันของท่อนำ้ ดี เช่น นวิ่ ในถุงน้ำดี และหา้ มใชใ้ นหญิงมีครรภ์ 5. ควรระมัดระวังในการใช้ร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด เนื่องจากเสริมฤทธิ์กัน อาจทำให้เลือด แขง็ ตัวช้า และเลือดไหลหยุดยากได้
27 เอกสารทเี่ กยี่ วข้อง ขมิ้นชันเป็นพืชที่คนไทยใช้เป็นสมุนไพรมาตั้งแต่อดีต โดยส่วนใหญ่ใช้เหง้าของขมิ้นชันมาทำเป็นยา พนื้ บา้ นรักษาโรค ทำสียอ้ มผา้ และเป็นเคร่ืองปรงุ ในอาหาร ปจั จบุ ันมีการนำผงขม้ินชนั มาใช้ประโยชนใ์ นหลาย ด้าน เช่น เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางต่าง ๆ อาหาร และผลิตเป็นแคปซูลรักษาโรคเกี่ยวกับระบบทางเดิ น อาหาร พบว่าสารสำคัญท่ีอยู่ในเหง้าของขมิ้นชันที่แสดงฤทธ์ทิ างเภสชั วิทยามีอยู่ 2 ชนิด คอื น้ำมันหอมระเหย และสารเคอร์คิวมินอยด์ ขม้นิ ชนั จึงเป็นสมนุ ไพรที่ทำใหน้ ักวิจัยทั่วโลกสนใจนำส่วนสกัดขม้ินชันและสารเคอร์ ควิ มินอยดม์ าศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพที่หลากหลายเพิ่มข้ึน เช่น ฤทธติ์ ้านอนมุ ลู อิสระ ฤทธ์ติ า้ นการอักเสบ ฤทธิ์ ต้านจุลินทรีย์ ฤทธิ์ต้านมะเร็ง ฤทธิ์ต้านเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ และยังนำไปศึกษาทางด้าน การเกษตรอกี ดว้ ย นอกจากนี้ยังมีการนำสารเคอร์คิวมินอยดม์ าเปน็ ต้นแบบในการพัฒนาโครงสร้างให้ได้สาร ชนดิ ตา่ ง ๆ เพ่อื เพิ่มฤทธท์ิ างชีวภาพใหส้ งู ขน้ึ ดงั นัน้ ขมิน้ ชันจึงเปน็ สมนุ ไพรทม่ี ีประโยชนม์ ากและเป็นที่ตอ้ งการ ของหลาย ๆ ประเทศ ประเทศไทยมกี ารนำเขา้ และส่งออกขมิน้ ชันแต่ยังไมม่ ากนัก อาจเนอ่ื งมาจากปญั หา เรอ่ื งของการผลิตและการแปรรูปยงั มนี ้อย รวมทั้งการเกิดผลขา้ งเคยี งจากการบริโภค จงึ ตอ้ งมีการศึกษาและ ค้นคว้าวิจัยต่อไป อีกทั้งผูเ้ ขียนเห็นวา่ สมุนไพรขมิ้นชันนี้น่าจะพัฒนาให้เป็นพืชสมนุ ไพรเศรษฐกิจที่สำคัญอีก ชนิดหนึ่งได้ และยังมีความหวังว่าในอนาคตอาจมียาชนิดใหม่ที่ได้จากการพัฒนาสาระสำคัญจากขมิ้นชัน (ชัชวาลย์ ชา่ งทำ, 2558) น้ำมันมะพรา้ วทม่ี ีสารสกดั จากขม้นิ ชนั มสี ารตา้ นอนุมลู อิสระสูง เชน่ สารประกอบฟนี อลกิ ท้ังหมด และสารประกอบเคอร์คมู ินอยด์ น้ำมนั มะพรา้ วทมี่ ีสารสกดั จากขม้ินชนั สามารถใชเ้ ป็นผลติ ภณั ฑเ์ สริม อาหารได้ วัตถุประสงค์ของงานวจิ ัยนี้เพ่ือผลติ น้ ามันมะพรา้ วทม่ี ีสารสกัดจากขมิ้นชัน และศกึ ษาคณุ สมบัติ เคมี ความเปน็ พษิ ตอ่ เซลล์ คุณภาพและความเสถียรของผลติ ภัณฑเ์ สริมอาหารจากน้ำมันมะพร้าวทมี่ ีสาร สกัดจากขมน้ิ ชนั จากการศึกษาพบวา่ ปรมิ าณกรดไขมันและค่าเปอรอ์ อกไซดต์ ่ า ซึง่ อยู่ในชว่ งค่ามาตรฐาน APCC สารประกอบเคอร์คูมินอยดแ์ ละเคอร์คมู นิ จากขม้นิ ชันสามารถละลายอยู่ในน้ำมนั มะพรา้ ว สง่ ผลให้ นำ้ มนั มะพร้าวทมี่ ีสารสกัดจากขม้นิ ชนั มฤี ทธติ์ า้ นอนมุ ลู อิสระสูง คุณภาพของน้ำมนั มะพร้าวที่มีสารสกัด จากขม้นิ ชนั บรรจใุ นแคปซลู น้ันไดม้ าตรฐานตามองค์การอาหารและยากำหนด จากการทดสอบฤทธติ์ า้ น มะเร็งตบั และลำไสใ้ หญ่ พบวา่ น้ำมนั มะพร้าวทม่ี สี ารสกัดจากขมน้ิ ชนั สามารถยับย้งั เซลลม์ ะเร็งตับและ ลำไส้ใหญ่ ขณะทน่ี ้ำมนั มะพร้าวบรสิ ทุ ธ์ไิ ม่มีฤทธยิ์ ับยง้ั เซลลม์ ะเร็งตบั และลำไสใ้ หญ่ และนอกจากนจ้ี ากการ ทดลองยังได้ทำการทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์มะเรง็ ชนิดต่างๆ พบวา่ น้ำมันมะพร้าวทีม่ สี ารสกัดจาก ขมนิ้ ชนั สามารถยบั ยั้งเซลล์มะเรง็ ตบั ลำไสใ้ หญแ่ ละปอดไดด้ ใี นช่วงความเขม้ ขน้ 3.12-100% ขณะทน่ี ้ำมนั มะพรา้ วบริสุทธิส์ ามารถยบั ย้ังเซลลม์ ะเรง็ ท่อน้ำดี มีการศกึ ษาความเสถยี รตอ่ การเกดิ ปฏิกิริยาออกซเิ ดชนั ท่ี อุณหภมู ิ 90, 100, 110, 120 และ130 องศาเซลเซียส พบวา่ สารประกอบเคอร์คูมนิ อยด์ และฤทธ์ติ ้าน อนุมูลอสิ ระลดลงเมอ่ื อณุ หภูมสิ ูงขึน้ การศึกษาความเสถยี รของน้ำมันมะพรา้ วที่มีสารสกัดจากขมน้ิ ชนั
28 บรรจุในแคปซลู เจลาตนิ ในระหวา่ งการจดั เก็บทอ่ี ณุ หภูมิห้อง และ 40 องศาเซลเซยี ส พบวา่ ค่าเปอร์ ออกไซด์ ปรมิ าณสารเคอรค์ มู นิ อยด์ และฤทธิ์ตา้ นอนมุ ลู อิสระลดลงเพียงเล็กน้อย ส่วนเชือ้ จลุ นิ ทรยี ์ total plate count และ escherichia coli ไม่มีการเปลย่ี นแปลง สรุปได้วา่ น้ำมนั มะพรา้ วท่มี สี ารสกดั จาก ขมน้ิ ชันสามารถใชเ้ ป็นผลติ ภัณฑ์เสรมิ อาหารเพ่ือสุขภาพ (เพญ็ ศรี เพ็ญประไพ, 2561) ขมนิ้ ชนั (Curcuma longa L.) หรอื ในบางท้องถนิ่ เรียก ขม้ินแกง ข้มี ิน้ ตายอ สะยอ หมิน้ นอกจาก ลำต้น ใตด้ นิ หรอื เหงา้ ของขม้ินชันถกู เปน็ ยารับประทานสำหรับขับลมบรรเทาอาการทอ้ งอืดท้องเฟ้อ แลว้ ตาม ตำรา ยาไทยยงั ใช้ผงจากเหง้าขมน้ิ ชนั รกั ษาแผล แมลงกัดตอ่ ย และกลากเกลื้อน นอกจากน้ผี งแหง้ และสารสกัดจาก เหงา้ ขมิ้นชันยงั ใช้เป็นองค์ประกอบในตำรับผลิตภัณฑ์เครือ่ งสำอางต่างๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ บำรุงผิวพรรณ โดยมีรายงานการศกึ ษาฤทธ์ิทางเภสัชวทิ ยาของขมิน้ ชันที่เกี่ยวข้องกับการบำรงุ ผวิ พรรณ และความงาม ได้แก่ ฤทธ์ิต้านการเกิดสวิ ฤทธป์ิ กป้องผิวและลดรว้ิ รอย ฤทธิย์ บั ยัง้ เอนไซมไ์ ทโรซิเนสเพื่อลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน และฤทธติ์ า้ นอนุมลู อสิ ระ (พนดิ า ใหญ่ธรรมสาร, 2560)
29 5. กระเทยี ม ภาพที่ 5 กระเทยี ม (ทมี่ า: https://www.google.com) ชอ่ื วิทยาศาสตร์: Allium sativum Linn. (วงศ์ Amaryllidaceae) ช่ืออ่ืน: กระเทียมขาว, หอมขาว,หอมเทยี ม,ปะเซว้ า,เทียม, หวั เทยี ม ลกั ษณะพชื ไม้ลม้ ลุก ลำต้นสงู ประมาณ 30 – 50 เซนติเมตร มีหวั อยใู่ ตด้ ิน แตล่ ะหัวประกอบดว้ ยกลบี หลายกลีบ เรยี งซอ้ นกนั เป็นชน้ั ๆ แต่ละกลบี จะมเี ปลอื กหรือกาบสีขาวหรอื ม่วงอมชมพูห้มุ อยู่ 2 - 4 ชัน้ โดยรอบ ลอกออก ได้และสามารถแยกออกจากหวั เป็นอสิ ระได้ บางพันธุแ์ ตล่ ะหัวมีเพียงกลบี เดยี ว เรียกวา่ กระเทยี มโทน ใบ เป็นใบเดี่ยว ลักษณะใบรูปขอบขนาน แบนและแคบยาว ปลายใบแหลม โคนของใบแผ่เป็นแผ่น และเชื่อมติดกันหุ้มรอบใบอ่อนกว่าด้านใน ลักษณะคล้ายลำต้นเทียม ขอบใบเรียบ ท้องใบมีรอยพับเป็นสัน ตลอดความยาว ใบมีสีเขยี วแก่ ดอก ออกดอกเป็นช่อ ก้านช่อดอกยาว เล็ก ติดกันเป็นกระจุกที่ปลายก้านช่อ มีลักษณะกลม ประกอบด้วยดอกหลายดอก มีกาบหุ้มเป็นจะงอยยาว กลีบดอกมี 6 กลีบ รูปร่างยาวแหลม สีขาวแต้มสีม่วง หรอื ขาวอมชมพู ผล ขนาดเล็กเป็นกระเปาะสัน้ ๆ รปู ไข่หรือคอ่ นข้างกลม มี 3 พู เมล็ด เมล็ดเล็ก สีดำ สามารถขยายพันธุ์ได้เช่นเดียวกับกลีบกระเทียม ซึ่งการปลูกกระเทียมใน ประเทศไม่ค่อยออกดอกหรือติดผลหรือเมลด็
30 สรรพคุณของกระเทยี ม 1. ช่วยบำรงุ ผิวหนังให้มสี ุขภาพดีและแข็งแรง 2. ชว่ ยเสริมสรา้ งการเจรญิ เติบโตของเน้อื เยือ่ ในร่างกาย 3. ช่วยป้องกันการเกดิ โรคมะเรง็ 4. ช่วยเสรมิ สร้างภูมิตา้ นทานใหแ้ กร่ า่ งกาย 5. ชว่ ยลดระดบั คอเลสเตอรอลและนำ้ ตาลในเลอื ด 6. ชว่ ยปรบั สมดุลในรา่ งกาย 7. ชว่ ยแกอ้ าการวงิ เวยี นศีรษะ อาการมนึ งง ปวดศีรษะ หอู ือ้ 8. ช่วยในเรอ่ื งระบบสืบพันธุ์และระบบทางเดนิ ปสั สาวะ เพราะมีสารที่ชว่ ยควบคมุ ฮอรโ์ มนท้งั หญงิ และ 9. ชาย ช่วยทำให้มดลกู บบี ตัว เพ่มิ พละกำลังให้มีเร่ียวแรง 10. ชว่ ยรกั ษาโรคความดนั โลหิต ประโยชนข์ องกระเทยี ม 1. เปน็ ยาขับลม 2. แก้ลมจุกเสียด แก้ทอ้ งอดื ทอ้ งเฟ้อ 3. แก้ธาตุพกิ าร อาหารไมย่ ่อย 4. ขับเสมหะ ขับเหง่อื 5. ชว่ ยลดไขมนั 6. รกั ษาปอด แกป้ อดพกิ าร 7. แกอ้ ุจจาระเปน็ มูกเลือด 8. เปน็ ยาบำรงุ ธาตุ กระจายโลหิต 9. ช่วยขบั ปสั สาวะ 10. แก้บวมพพุ อง 11. เป็นยาขับพยาธิ 12. แก้ตาปลา 13. แก้ตาแดง นำ้ ตาไหล ตาฟาง 14. รกั ษาโรคลกั ปิดลักเปิด 15. รกั ษามะเร็งคดุ 16. รกั ษารดิ สีดวง 17. แก้ไอ แก้สะอกึ 18. บำบดั โรคในอก แก้พรรดึก 19. รกั ษาฟนั เป็นรำมะนาด 20. แก้หอู ้ือ
31 ข้อมูลทางวทิ ยาศาสตร์ ซเู ปอร์ออกไซด์ ดสิ มิวเทส (superoxide dismutase) คะตะเลส (catalase) กลตู าไธโอนเปอรอ์ อกซิ เดส (glutathione peroxidase) และกลตู าไธโอน (glutathione) วิธแี ละปริมาณทใี่ ช้ กระเทียมสด 2-5 กรมั ต่อวัน กระเทยี มแห้ง 0.4-1.2 กรัมตอ่ วนั นำ้ มนั กระเทยี ม 2-5 มิลลกิ รัมต่อวนั สารสกัด 300-1,000 มิลลิกรมั ตอ่ วัน หรือรูปแบบยาอน่ื ๆ ท่ีมสี าร alliin 4-12 มิลลกิ รมั หรือสาร allicin 2-5 มลิ ลิกรัม อาการท้องอืดทอ้ งเฟอ้ แนน่ จกุ เสยี ด : ใช้กระเทียม 5-10 กลบี ซอยละเอียด รบั ประทานหลัง อาหาร หรอื พรอ้ มอาหาร รักษากลากเกลอ้ื น : ฝานกระเทยี มถบู อ่ ย ๆ บรเิ วณท่ีเปน็ หรอื ตำแล้วขย้ีทาบรเิ วณท่ีเป็น วนั ละ 2 ครัง้ กอ่ นจะทายาใชไ้ มบ้ าง ๆ เล็ก ๆ ท่ไี ดฆ้ ่าเช้อื โรคแล้ว (โดยการแชใ่ นแอลกอฮอล์ 70% หรือต้มในน้ำเดือด 10-15 นาท)ี ขูดบรเิ วณท่เี ป็น ให้ผิวหนังแดง ๆ ก่อนทา เพ่ือใหต้ วั ยาซึมลงไปไดด้ ขี ้นึ เมื่อหายแล้วให้ทายาต่อ อีก 7-10 วัน แก้ไอ : ตำรายาไทยให้ใช้กระเทียม และขิงสดอยา่ งละเท่ากันตำละเอยี ด ละลายนำ้ อ้อยสด คั้นเอานำ้ จิบแกไ้ อ กดั เสมหะ ทำให้เสมหะแห้ง ตำรายาไทยบางตำรบั ให้คั้นกระเทยี มกับนำ้ มะนาวเตมิ เกลือใช้จิดหรอื กวาดคอ ตำรบั ยาและวิธกี ารใช้ ตำรายาไทย : ใช้หัวกระเทียมเป็นยาขับลม แก้ลมจุกเสียด แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ธาตุพิการ อาหารไม่ ยอ่ ย ขบั เสมหะ ขบั เหงอื่ ลดไขมนั รกั ษาปอด แก้ปอดพิการ แกอ้ จุ จาระเปน็ มกู เลอื ด บำรุงธาตุ กระจโลหิต ขับ ปัสสาวะ แกบ้ วมพุพอง ขับพยาธิ แกต้ าปลา แก้ตาแดง น้ำตาไหล ตาฟาง รักษาโรคลักปิดลักเปิด รกั ษามะเร็ง คดุ รกั ษาริดสีดวง แก้ไอ คมุ กำเนดิ แกส้ ะอกึ บำบดั โรคในอก แกพ้ รรดึก รกั ษาฟนั เป็นรำมะนาด แก้หูอื้อ แก้อัมพาต ลมเขา้ ขอ้ แก้อาการชกั กระตุกของเด็ก พอกหวั เหน่าแก้ขัดเบา รักษาวณั โรค แกโ้ รคประสาท แก้ หืด แก้ปวดมวนในท้อง บำรุงสุขภาพทางกามคณุ ขับโลหิตระดู บำรุงเส้นประสาท แก้ไข้ แก้ฟกช้ำ แก้ ปวดกระบอกตา แก้โรคในปาก แก้หวัดคัดจมูก แก้ไข้เพื่อเสมหะ ทำให้ผมเงางาม บำรุงเส้นผมให้ดกดำ ใช้ภายนอก รักษาแผลเรื้อรัง รักษากลากเกลื้อน แก้โรคผิวหนัง ทาภายนอกบรรเทาอาการปวดบวมตามข้อ เพราะเป็นยาพอกให้ร้อน ใช้พอกตรงที่ถูกแมลง ตะขาบ แมงป่องต่อยเปน็ ส่วนประกอบในตำรบั ยาเหลืองปดิ สมุทร (แก้ท้องเสีย), ยาประสะไพล (ขับน้ำคาวปลา ในสตรีหลังคลอด), ยาธาตุบรรจบ (แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ทอ้ งเสียใชก้ ระเทียม 3 กลีบ ทบุ ชงนำ้ รอ้ น ใช้เป็นนำ้ กระสายยา สำหรับยาผง)
32 บัญชียาจากสมุนไพร : ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยา แห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ระบุการใช้กระเทียมในตำรับ “ยาแก้ลมอัมพฤกษ์” มีส่วนประกอบของ หวั กระเทยี มรว่ มกับสมนุ ไพรชนิดอ่ืนๆ ในตำรับ มสี รรพคุณบรรเทาอาการปวดตามเส้นเอ็น กล้ามเนอื้ มอื เท้า ตึงหรือชา ตำรับ “ยาประสะไพล” มีส่วนประกอบของหัวกระเทียมร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ในตำรับ มสี รรพคุณรกั ษาระดูมาไม่สม่ำเสมอหรือมาน้อยกว่าปกติ บรรเทาอาการปวดประจำเดอื น และขบั น้ำคาวปลา ในหญิงหลังคลอดบุตร ตำรับ “ยาเลือดงาม” มีส่วนประกอบของหัวกระเทียมร่วมกับสมุนไพรชนิดอ่ืนๆ ใน ตำรับ มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดประจำเดือน ชว่ ยใหป้ ระจำเดอื นมาเปน็ ปกติ แก้มุตกดิ ตำรับ “ยาเหลือง ปิดสมุทร” มีส่วนประกอบของหัวกระเทียมคั่ว ร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ ในตำรับ มีสรรพคุณบรรเทาอาการ ท้องเสียชนดิ ทไี่ ม่เกิดจากการตดิ เชอ้ื เชน่ อุจจาระไม่เป็นมูก หรือมเี ลอื ดปนและทอ้ งเสยี ชนดิ ที่ไม่มไี ข้ ขอ้ ควรรู้เกี่ยวกบั ตำรบั ยา กระเทียมมีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด ยับยั้งการเกาะกันของเกล็ดเลือด ทำให้เลือดเหลวและ แขง็ ตัวช้า ดงั นั้นต้องระมัดระวังการใช้รว่ มกบั ยาตา้ นการแข็งตัวของเลอื ด เชน่ warfarin หรอื ยาตา้ นการจับตัว ของเกล็ดเลือด และยา NSAIDs บางชนิด เช่น aspirin, และ indomethacin เพราะจะทำให้ค่าทดสอบ ระยะเวลาที่เลือดแข็งตัวเพิ่มขึ้น และอาจทำให้เลือดออก นอกจากนี้ควรหยุดรับประทานกระเทียมขนาดสงู 4-8 สปั ดาห์ก่อนการผ่าตดั หรอื การรกั ษาด้วยยาต้านการแข็งตวั ของเลือด กระเทียมมีผลยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ CYP ที่ใช้เปลี่ยนสภาพยาหลายชนิด ได้แก่ เอ็นไซม์ CYP2D6, CYP2E1, CYP2P9, CYP3A4, CYP3A5 และ CYP3A7 ดังนั้นควรระมัดระวังการรับประทาน กระเทียมร่วมกับยาที่ถูกทำลายด้วยเอ็นไซม์เหล่านี้ เช่น dextromethorphan, alprazolam, midazolam และ paracetamol เนอื่ งจากอาจทำใหร้ ะดับยาในเลอื ดของยาเหลา่ นี้สงู กว่าปกติ แลว้ ทำใหเ้ กิดความเป็นพิษ จากยาได้ นอกจากน้มี ีรายงานว่ากระเทียมมีผลลดระดบั ยาต้านไวรัสเอดส์ เชน่ saquinavir และยังมีผลทำให้ เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดตกในผู้ป่วยเบาหวานเนื่องจากไปเพิ่มผลการลดน้ำตา ลในเลือดของยา chlorpropamide Isoniazid เป็นยาท่ีใช้ในการรกั ษาวัณโรค กระเทยี มสามารถลดการดูดซึมยาตัวนไี้ ด้ เป็นเหตุให้ใช้ยา ดังกล่าวมปี รมิ าณไม่พอตอ่ การรักษาโรค ยาคมุ กำเนิด กระเทียมอาจลดประสิทธิภาพของยาลงได้ ยาต้านการแข็งตัวของเลอื ด กระเทียมอาจทำให้ฤทธิ์ของยาต้านการจับตัวเปน็ ก้อนเลือดได้ ทำให้เกิด มเี ลอื ดออกได้ Medications for HIV/AIDs กระเทียมสามารถลดระดบั ของสาร Protease inhibitors ซ่ึงเป็นยาที่ใช้ ในการรกั ษาโรค HIV Non-steroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDs) ทั้ง NSAIDs และกระเทียมสามารถทำให้เกิด มเี ลือดออก (bleeding)
33 ข้อควรระวัง กระเทียมมีคุณสมบัติร้อน รสเผ็ด สำหรับผู้ที่เป็นโรคร้อนเพราะยีนพร่อง คือมีอาการหน้าแดง มีไข้ หลังเที่ยง คอแห้ง ท้องผูก ร้อนในกระหายน้ำ ไม่ควรกินหรือกินได้เล็กน้อย ผู้ที่เป็นแผลในกระเพาะอาหาร หรอื กระเพาะอาหารอักเสบเร้ือรัง มีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป หรอื ตาแดง ไม่ควรกนิ กระเทียม เนื่องจากกระเทยี มมีรสฉนุ กระเทียมทปี่ รุงสกุ แล้วจะไมม่ ีกลิ่น หรือเมื่อจำเปน็ ต้องกนิ กระเทียมดบิ หลังจากกิน กระเทียม ให้เคี้ยวใบชาหรือน้ำชาแก่ๆ บ้วนปาก หรือจะเคี้ยวพุทราจีนสัก 2-3 เม็ดก็ได้ กลิ่นกระเทียมก็จะ หายไป แม้ว่ากระเทียมจะเปน็ พืชทีม่ ีสรรพคุณอยู่มากมาย แตค่ ุณกไ็ มค่ วรท่จี ะเลือกใช้กระเทียมเพ่ือหวังผลใน การรักษาอาการหรือโรคใดโรคหน่งึ อกี ทัง้ ผลลัพธ์ทไ่ี ด้ในแต่ละบุคคลกอ็ าจจะแตกต่างกนั ออกไป ดงั น้ันคณุ ควร เลือกรับประทานให้หลากหลายและครบ 5 หมู่ จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะพืชผักสมุนไพรทั่ว ๆ ไป ถ้า ศกึ ษากันจรงิ ๆ แล้ว มันก็มปี ระโยชน์ไม่นอ้ ยไปกวา่ กนั เลย เอกสารที่เกยี่ วข้อง อนุมูลอิสระเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะชราและโรคต่างๆ ทั้งโรคหัวใจและหลอดเลือด ความ เสื่อมของเซลล์ประสาท การอกั เสบ และโรคมะเรง็ S-allylcysteine (SAC) และ S-allylmercaptocysteine (SAMC) เปน็ สารเคมีหลักทพ่ี บในกระเทียม มบี ทบาทในการต้านอนุมูลอิสระชว่ ย ป้องกันไม่ให้ผนังของหลอด เลือดชั้นในถูกทำลายซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดแข็ง ออกฤทธ์ิ โดยจับกับอนุมลู อิสระหรือเพิม่ การทำงานของสารต้านอนมุ ูลอิสระภายในเซลล์ ไดแ้ ก่ ซเู ปอรอ์ อกไซด์ ดสิ มวิ เทส (superoxide dismutase) คะตะเลส (catalase) กลูตาไธโอนเปอร์ออกซิเดส (glutathione peroxidase) และกลูตาไธโอน (glutathione) นอกจากนีอ้ นุมูลอิสระรวมทั้งไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2 O2 ) และ TNF-α ยังมีผลกระตนุ้ nuclear factor kappa B (NF-κB) ซึ่งเป็น transcription factor ทำให้มีการสร้าง adhesion molecules คือ VCAMP-1 และ ICAMP-1 เพิ่ม มากขึ้น ส่งผลให้เกิดการสะสมของสารต่างๆ ที่ผนังหลอดเลือด ในที่สุด จะเกดิ ภาวะหลอดเลอื ดแข็งและ การตายของเซลล์ SAC และ SAMC สามารถยับยงั้ ขบวนการดังกล่าวได้โดย ไปลดการสร้างไฮโดรเจน เปอร์ออกไซด์หรือลดการหลั่ง TNF-α และยังไปมีผลยับยั้ง activator protein- 1(AP-1) และ c-Jun N-terminal kinases (JNKs) ซ่ึงทำหน้าที่ควบคมุ การสรา้ งโปรตีน จึงทำให้การสรา้ ง NF- κB ลดลง ดังนั้น กระเทียมจึงมีประโยชนอ์ ย่างมากในการช่วยป้องกันผลเสียจากอนุมลู อสิ ระและป้องกันการ เกิดภาวะหลอดเลือดแข็ง (จันเพญ็ บางสำรวจ, 2553) กระเทียม เป็นพืชสมนุ ไพร และเปน็ เครอื่ งเทศที่มสี รรพคุณทางด้านเภสชั วทิ ยา มคี ณุ สมบตั ิในการ รกั ษาโรคต่างๆ นอกจากน้ี กระเทยี มยงั ชว่ ยในการรักษาสมดลุ ของระบบทางเดินอาหาร ยับย้ังการเจรญิ เติบโต ของเช้ือรา แบคทีเรียและจลุ ินทรียท์ ่กี ่อโรคในสตั ว์ได้ ดังนนั้ การน าสารสกดั จากกระเทียมมาใชใ้ นการเสรมิ ใน อาหารสตั ว์ เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโต ใช้เปน็ สารตา้ นจุลชีพและต้านการอกั เสบได้ดซี ่งึ สารในกระเทียมมี สารอัลลซิ นิ ออกฤทธ์ิคลา้ ยกับการท างานของยาปฏิชวี นะ ดงั น้ันการใชส้ ารสกัดจากกระเทยี มจงึ เป็นทางเลือก ทด่ี จี ึงเป็นการลดการใช้ยาปฏิชีวนะในกระบวนการผลิต และใช้ปรบั ปรุงประสทิ ธิภาพการใชอ้ าหาร เมื่อใชส้ าร
34 สกัดกระเทียมร่วมกบั การเสรมิ แร่ธาตุในอาหารสัตว์พบว่า มีผลตอ่ การยอ่ ยได้ และประสทิ ธภิ าพผลิตนำ้ นม เพ่มิ ข้นึ (P< 0.05) ในขณะท่ีการเสริมสารสกดั กระเทยี มไม่มผี ลตอ่ ปรมิ าณการกนิ ได้และองคป์ ระกอบทางเคมี ของนำ้ นม (ศรตุ า หนูเรกิ , 2560) แอฟลาทอกซินเป็นสารพิษที่สร้างโดย เชื้อรา Aspergillus flavus เป็นสารพิษที่มี อันตรายร้ายแรง เพราะเปน็ สารก่อมะเรง็ สาร แอฟลาทอกซินสามารถพบได้ทว่ั ไปในผลิตผล เกษตร เชน่ ถ่วั ลสิ ง พริกแหง้ พริก ป่น เปน็ ต้น งานวจิ ยั นี้ทำการศึกษาประสิทธิภาพของน้ำคน้ั กระเทียมในการควบคุมเชื้อรา A. flavus และลด การปนเปอื้ นของสารแอฟลาทอกซนิ ในพรกิ ป่น พบวา่ น้ำคัน้ กระเทยี ม ความเข้มข้น 5% ขน้ึ ไป มปี ระสิทธภิ าพ ในการยับยงั้ การเจริญของเช้ือรา A. flavus และนำ้ ค้นั กระเทียมความเขม้ ขน้ 2.5% ขน้ึ ไป สามารถยับยั้งการ งอกของสปอรไ์ ด้ สมบูรณ์ เม่ือนำกระเทยี มผง น้ำค้นั กระเทยี ม และสารสกัดหยาบจากกระเทยี มสดมาทำการ แยกสารสำคัญบนแผ่น TLC พบว่า สารออก ฤทธิ์ที่สำคัญ คือ สารอัลลิซิน (allicin) ซึ่งแสดง ค่า Rf = 0.812 ตรงกับสารอัลลิซินมาตรฐานเมื่อ นำพริกป่นมาคลุกกับน้ำคั้นกระเทียม ความเข้มข้น 100 และ 75% พบว่า สามารถลดปริมาณสารแอฟลาทอกซินที่ปนเปื้อนอยู่ในพริกป่นได้ 73.67 และ 69.71% (บุญญวดี จิระวุฒ, 2558)
35 บรรณานกุ รรม กฤตยิ า แสงแก้ว. (2559). สมุนไพรตา้ นโควดิ กรมวชิ าการเกษตร. กรุงเทพ. นนั ทวัน บุญยประภสั สร. (2542). สมุนไพรพนื้ บา้ น. กรงุ เทพ: ประชาชน จำกัด. ศริ ริ ัตน์ ประภาศรี. (2510). ความหมายของสมนุ ไพร. กรุงเทพ. อรนชุ โชคชัยเจริญพร. (2525). พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน. กรงุ เทพ. เอ่ยี มศิริ จนั โสด. (2561). สรรพคณุ และประโยชน์ของสมนุ ไพร. กรุงเทพ. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก https://www.google.com. (10 กันยายน 2564). นันทพร นิลวิเศษ, วัลลา วามนัฐจินดา, คณิต อธิสุข, พรรณี พิเดช.การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันของ กระเทียมสกดั ชนิด Freeze-dried.วารสารกรมวิทยาศาสตร.์ 2532;31(3): 181. ภรภทั ร ตัง้ งวรกิตติ์ และรังสินี โสธรวทิ ย์. ปจั จยั ทม่ี ีผลต่อสมบตั ิการต้านอนุมูลอิสระและสมบัติการต้านเช้ือ แบคทเี รียของสารสกัดจากกระเทยี ม.การประชมุ วิชาการ ครงั้ ท่ี 8, 2554. มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาํ แพงแสน. จ.นครปฐม. สญุ าณี มงคลตรรี ตั น์, อรพนิ เกิดชูช่ืน และ ณัฎฐา เลาหกุลจิตต์.ประสิทธิภาพการเป็นสารต้านอนมุ ูลอสิ ระของ สารสกดั กระเทยี มและหอมหัวใหญ่ . วารสารวทิ ยาศาสตร์การเกษตร. 2556;44(2)(พเิ ศษ.):585-588. คณะกรรมการแห่งชาติดา้ นยา. บัญชียาจากสมนุ ไพร พ.ศ. 2549. พมิ พ์ครง้ั ที่ 2. โรงพิมพ์ชุนมุ สหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย:กรงุ เทพมหานคร, 2551. สำนกั งานขอ้ มลู สมนุ ไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล. ยาจากสมนุ ไพรในบัญชยี าหลักแหง่ ชาต:ิ ข้อมลู บนหลักฐานทางวชิ าการ. พมิ พ์คร้ังท่ี 2. แสงเทียนการพมิ พ:์ กรุงเทพมหานคร, 2552. แฉล้ม มาศวรรณา และนวิ ัฒน์ มาศวรรณา.มะขามป้อมสมนุ ไพรของคณุ คา่ กสิกร เกษตรนา่ รู้. น.ส.พ.กสกิ รปีท่ี 82 ฉบบั ท่ี 2 มีนาคม - เมษายน 2552 หนา้ 53 – 60 ชนดิ า กานตป์ ระชา, ชาญณรงค์ นาคจำรัสศรี , วศิ รุต บรู ณสัจจะ . 2548. การแยกสาระสำคญั ในสารสกดั มะขามปอ้ ม. คณะเภสชั ศาสตร์จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรงุ เทพฯ คณะกรรมการแหง่ ชาตดิ ้านยา. บญั ชยี าจากสมนุ ไพร พ.ศ. 2549. พมิ พ์ครง้ั ท่2ี . โรงพมิ พ์ชมุ นมุ สหกรณ์ การเกษตรแหง่ ประเทศไทย:กรุงเทพมหานคร, 2551. ลกั ษณา เจรญิ ใจ. ขิง สมุนไพรในครวั เรอื น. บทความสวนสมุนไพร จาก www.phargarden.com คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยอบุ ลราชธานี, 2551.
Search
Read the Text Version
- 1 - 41
Pages: