บรรยายพิเศษเร่ือง “ความเชอ่ื ในสงั คมไทยกับวทิ ยาศาสตร์ : พนั ธมติ ร ปรปักษ์ หรืออยูร่ ่วมกันแบบแตกต่าง” รศ. ดร.เจษฎา เดน่ ดวงบรพิ นั ธ์ คณะวทิ ยาศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ไทยแลนด์ 4.0 กบั ขดี ความสามารถทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยขี องไทย ในช่วงเวลาตงั้ แต่ท่ีคณะรกั ษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ไดเ้ ขา้ มาเป็นรฐั บาลบริหารประเทศ ไทย โดยการนาของหวั หนา้ คณะฯ คือ พลเอก ประยทุ ธ์ จนั ทรโ์ อชา ในฐานะของนายกรฐั มนตรี และมี ดร. สมคิด จาตศุ รีพิทกั ษ์ เป็นรองนายกรฐั มนตรีท่ีดแู ลดา้ นเศรษฐกิจ นโยบายหน่ึงท่ีถกู นามาใช้เปรียบเสมือน กบั เป็นเปา้ หมายใหม่ของประเทศ คือ คาว่า “Thailand 4.0 ไทยแลนด์ 4.0” และแทบจะกลายเป็นคาขวญั สาคญั ของทุกกระทรวง ทบวง กรม ท่ีจะตอ้ งไปปรบั ใชก้ บั โครงการและกิจกรรมต่างๆ ท่ีหน่วยงานดาเนิน นนั้ ๆ อยู่ ท่ีจะช่วยขับดันใหป้ ระเทศไทยของเรา สามารถพฒั นาเศรษฐกิจสังคม ใหเ้ ทียบเท่ากับประเทศ พฒั นาแลว้ ชาติอ่นื ๆ ในเอเชีย อยา่ งเช่น ญี่ป่นุ เกาหลี และสงิ คโปร์ เหมือนกบั การยกระดบั พฒั นารถไฟราง ความเร็วต่าของไทย ใหส้ ามารถเทียบเท่ากับรถไฟความเร็วสูงของประเทศพัฒนาแลว้ เหล่านัน้ ท่ีวันนี้ ประเทศเพ่อื นบา้ นของเรา อย่างเช่น มาเลเซีย พม่า ฯลฯ ก็กาลงั พยายามพฒั นาตนเองเช่นกนั แต่คาว่า “ไทยแลนด์ 4.0” นนั้ มีความหมายว่าอะไรกันแน่ จะเป็นแค่คาสวยหรูท่ีลอยเขา้ มา แลว้ หายไปเม่อื เปลีย่ นรฐั บาล เหมอื นกบั ท่เี คยเกิดกบั คาวา่ “AEC (Asean Economics Community ประชาคม เศรษฐกิจอาเซียน)” ท่ีถูกรณรงคใ์ หค้ นไทยรูจ้ กั กนั อย่างแพร่หลายในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2558 ท่ีประเทศไทย และชาติอ่ืนๆ ทงั้ 10 ชาติของอาเซียนจะเขา้ ร่วมเป็นประชาคมเศรษฐกิจเดียวกนั แต่หลงั จากนนั้ คาว่า AEC ก็ถูกลืมเลือนไป เหมือนกับเป็นแค่คาโฆษณาชวนเช่ือ หรือ propaganda ในแต่ละยุคสมัย ... สงั คมไทยกาลงั ใหค้ วามสาคญั กบั คาว่า Thailand 4.0 อย่างฉาบฉวยหรือเปลา่ คาอธิบายท่ีเรื่อง “ไทยแลนด์ 4.0” ท่ีเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชน ตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2560 (ตวั อย่างเช่น ใน https://www.it24hrs.com/2017/thailand-4-0/) อธิบายทานองว่า “ไทยแลนด์ 4.0 คือวิสัยทัศน์เชิง นโยบาย ท่ีเปลี่ยนเศรษฐกิจแบบเดิมไปสเู่ ศรษฐกิจท่ีขับเคล่ือนดว้ ยนวตั กรรม ซ่งึ เร่มิ จาก “ไทยแลนด์ 1.0” ยคุ ของเกษตรกรรม ปลกู พชื เลีย้ งสตั ว์ ขายสรา้ งรายไดแ้ ละยงั ชพี / “ไทยแลนด์ 2.0” ยคุ อตุ สาหกรรมเบา มี เครื่องมือเขา้ มาช่วย ผลิตเสือ้ ผา้ กระเป๋ า เคร่ืองประดับ ฯลฯ / “ไทยแลนด์ 3.0” เป็นยุคปัจจุบัน เป็นยุค อตุ สาหกรรมหนกั ผลิตและสง่ ออกเหล็กกลา้ รถยนต์ ฯลฯ โดยใชเ้ ทคโนโลยีจากต่างประเทศ เพ่ือเนน้ การ สง่ ออก / ส่วน “ไทยแลนด์ 4.0” คือ การทาใหป้ ระเทศมีโอกาสกลายเป็นกลมุ่ ประเทศท่ีมีรายไดส้ งู เปล่ียน 1
จากเศรษฐกิจแบบ “ทามาก ไดน้ อ้ ย” เป็น “ทานอ้ ย ไดม้ าก” เปล่ียนจากสินคา้ โภคภัณฑ์ ไปขับเคลื่อน ประเทศดว้ ยเทคโนโลยี ความคิดสรา้ งสรรค์ และนวตั กรรม แต่บ่อยครง้ั ท่ีเม่ือนาไปปฏิบตั ิจริงแลว้ กลบั พบว่า หน่วยงานราชการส่วนมากเหมือนจะเขา้ ใจว่า Thailand 4.0 นนั้ คอื การใช้ “ดิจิทลั (digital)” ในการจดั ทาโครงการดาเนนิ การภายใตก้ รอบไทยแลนด์ 4.0 ดว้ ยการพยายามพัฒนาระบบราชการใหเ้ ขา้ สู่ระบบคอมพิวเตอร์ ระบบออนไลน์ อินเทอรเ์ น็ต ฯลฯ ซ่ึง แนวคิดเช่นนีด้ จู ะเป็นเร่ืองท่ีลา้ สมยั ไปมากแลว้ เพราะเป็นแนวคิดตงั้ แต่โลกเขา้ สู่ยคุ เปล่ียนผ่านสหสั วรรษ ในชว่ งรอยต่อระหวา่ งศตวรรษท่ี 20 และ 21 เสียดว้ ยซา้ จากการบรรยายเรื่อง “ประเทศไทยกับเสน้ ทางการพัฒนาส่คู วามย่งั ยืน” ของ ดร.สมคิด จาตุศรี พทิ กั ษ์ รองนายกรฐั มนตรี เม่อื วนั ท่ี 3 มนี าคม พ.ศ. 2561 ในงาน “ยนู เิ วอรซ์ ติ ี้ เอกซโ์ ป มหกรรมอดุ มศกึ ษา: อดุ มศกึ ษา-พลงั ขบั เคล่ือนประเทศไทย 4.0” ดร.สมคดิ ไดร้ ะบถุ ึงเลข 4.0 วา่ “ผมเชญิ อาจารยม์ หาวทิ ยาลยั มาประชมุ ร่วมกนั ว่าเรามารวมหวั กนั มยั้ มหาวิทยาลยั ตกลงกนั เลยว่ามหาวิทยาลยั ไหนเก่งเรื่องอะไร ทา เป็น consortium เรอื่ งงานวจิ ยั รฐั บาลสนบั สนนุ ให้ เช่น เรือ่ งไบโอเทค กีม่ หาวทิ ยาลยั ทาร่วมกนั มีอาจารย์ ใครบา้ งมาร่วมกนั พฒั นามนั ขึน้ มา เพราะการวจิ ยั ส่งิ เหล่านีม้ นั จะเกิดสตาร์ทอพั เกิดนวตั กรรม เกิดเป็น ธรุ กจิ ในอนาคตขา้ งหนา้ มนั จะเกิดพลงั ... คาวา่ 4.0 หมายถงึ ในสว่ นเหล่านี้ เราตอ้ งสรา้ งดจิ ิทลั ขนึ้ มา เอา เ ท ค โ น โ ล ยี เ ป็ น ตั ว ห ลั ก ใ ห้ เ กิ ด น วั ต ก ร ร ม ใ ห ม่ เ กิ ด ผู้ ป ร ะ ก อ บ ก า ร ใ ห ม่ ๆ ” ( จ า ก https://thaipublica.org/2018/03/somkid-university-expo/) คากลา่ วของรองนายกฯ สมคิด ในลกั ษณะ เช่นนี้ รวมทงั้ การสื่อสารจากภาครฐั ในอีกหลายครง้ั ทาใหเ้ กดิ ความสบั สนขึน้ ว่า Thailand 4.0 นนั้ คือ “การ ใชด้ จิ ทิ ลั (digital)” หรือวา่ “การสรา้ งนวตั กรรม (innovation)” กนั แน่ ถา้ แนวทางของไทยแลนด์ 4.0 จะม่งุ เป้าไปท่ีการสรา้ งนวัตกรรมของประเทศไทยเราเองแลว้ จริงๆ ล่ะก็ เราควรจะพิจารณา “แผนภาพขีดความสามารถทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีของ Thai-SMEs” (หรือ ธุรกิจระดบั เล็กและกลางของคนไทย) ซ่ึงจดั ทาโดย สานักงานพัฒนาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี แห่งชาติ (สวทช.) และมองลาดับขั้นการพัฒนาของประเทศไทยต่างออกไป โดยเร่ิมจากขัน้ ท่ี 1 ท่ีเป็น labour intensive หรือเนน้ ใชแ้ รงงานท่ัวไป ในการรบั ผลิตสินคา้ โภคภัณฑท์ ่ัวไป / ขัน้ ท่ี 2 skill intensive เนน้ ใชแ้ รงงานมีฝีมือ รบั จา้ งผลิตสินคา้ ใหก้ บั ย่ีหอ้ อ่ืนของต่างประเทศ / ขนั้ ท่ี 3 technology intensive เนน้ เอาใช้เทคโนโลยีขั้นสูง มาสร้างและผลิตสินค้าจาหน่าย / และขั้นท่ี 4 research and development intensive เน้นการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของตนเอง มาใช้ในการผลิตสินคา้ แข่งกับ ตา่ งชาติ จากแผนภาพดงั กล่าว ทาง สวทช. ระบุว่า ประเทศไทยเรานนั้ ยงั อยู่แค่ในขนั้ ท่ี 2 ของการพัฒนา ประเทศ คือยงั ถนดั แต่การใชแ้ รงงานมีฝีมือเท่านนั้ ยงั ห่างไกลจากการใชเ้ ทคโนโลยีขนั้ สงู ในการผลิต หรือ พฒั นานวตั กรรมของตนเองขึน้ มาใช้ ตวั อยา่ งเช่น ในภาคการเกษตร ประเทศไทยเรายงั ใชแ้ รงงานเป็นหลกั การท่ีประเทศไทยภูมิใจว่าสามารถส่งออกขา้ วไดม้ ากท่ีสดุ เป็นเวลาหลายปี ก็ไม่ใช่เพราะว่าเรามีผลผลิต 2
ขา้ วต่อไรส่ งู จากการใชเ้ ทคโนโลยใี นการเพาะปลกู แต่ท่ีส่งออกไดม้ ากก็เพยี งเพราะว่าเรามีพนื้ ท่ีเพาะปลกู ขา้ วเพ่ือการส่งออกมากกว่าประเทศค่แู ข่ง หรืออย่างภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย เรามีจุดเด่นท่ีมี แรงงานฝีมือดี แต่ทาไดเ้ พียงแค่รบั จา้ งประกอบ ผลิตสินคา้ ต่างๆ ดว้ ยเทคโนโลยีพืน้ ฐานท่ีนาเขา้ มาจาก ต่างประเทศ ซ่ึงไม่ไดเ้ ป็นเทคโนโลยีขนั้ สูงท่ีเราจะสามารถนามาประยุกตเ์ ป็นสินคา้ ของตนเองได้ รวมทงั้ ไม่ไดม้ ีการวิจยั และพฒั นาเทคโนโลยีของเราขึน้ มาใชเ้ อง เพ่ือสรา้ งนวตั กรรมและสินคา้ ในการจาหน่ายไป ต่างประเทศ ดงั เช่นท่ีประเทศกลมุ่ พฒั นาแลว้ ญ่ีป่ นุ เกาหลี สิงคโปร์ หรือแมแ้ ต่มาเลเซีย ไดใ้ หค้ วามสาคญั มาโดยตลอด ประเทศไทยชอบเทคโนโลยี หรอื ตอ่ ต้านเทคโนโลยี กนั แน่ ในช่วงเวลาท่ีผ่านมา นอกจากประเทศไทยจะไม่ค่อยมีบรรยากาศและแรงกระตนุ้ ส่งเสริมใหเ้ กิด การวิจยั และพฒั นาเทคโนโลยีของเราเอง เพ่ือใหเ้ กดิ นวตั กรรมใหม่ตามแนวทางไทยแลนด์ 4.0 แลว้ โดยไม่ ค่อยใหค้ วามสาคญั กบั การสรา้ งและส่งเสริมอาชีพนักวิทยาศาสตรไ์ ทย ท่ีจะมาเป็นปัจจัยนาหลกั ในการ วิจัยและพัฒนาองค์ความรูใ้ หม่ของประเทศไทยเอง แต่บ่อยครง้ั สังคมไทยยังเกิดความเขา้ ใจท่ีผิดต่อ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี จนมีการตอ่ ตา้ นการนาเอาเทคโนโลยใี หมๆ่ มาใช้ ตัวอย่างเช่น กรณีของส่ิงมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม หรือจีเอ็มโอ (GMOs หรือ Genetically Modified Organisms) ซ่ึงเป็นจุลินทรีย์ หรือพืช หรือสตั ว์ ท่ีมีการเปล่ียนแปลงสารพนั ธุกรรมดว้ ยเทคนิค ทางพนั ธุวิศวกรรม ตดั ต่อและปลกู ถ่ายยีนจากส่ิงมีชีวิตหน่ึงไปสู่อีกสิ่งมีชีวิตหนึ่ง ทาใหส้ ่ิงมีชีวิตท่ีไดร้ บั ยีน นั้นเข้าไปสามารถแสดงลักษณะใหม่ท่ีไม่เคยมีมาก่อนได้ มีพืชหลายชนิดท่ีถูกทาให้เป็นพืชดัดแปลง พนั ธกุ รรม เพ่อื ใหต้ า้ นทานตอ่ ศตั รูพชื เพ่อื ใหต้ า้ นทานสารเคมกี าจดั วชั พืช เพ่ือใหท้ นทานต่อสภาพแวดลอ้ ม ท่ีไม่เหมาะสม หรือเพ่ือให้สามารถผลิตสารท่ีมีประโยชน์ เช่น วิตามิน โปรตีน ไขมัน เป็นต้น (จาก https://www.scimath.org/lesson-biology/item/8800-gmo) ถึงแมว้ ่า เรามกั จะภูมิใจในความเป็นประเทศท่ี “ในนา้ มีปลา ในนามีขา้ ว” มาแต่โบราณของไทย แต่กระนนั้ ก็มีสินคา้ ทางการเกษตรหลายชนิดท่ีเรามีความจาเป็นตอ้ งใช้ ในขณะท่ีก็เพาะปลูกเองไดใ้ น ปรมิ าณท่ีนอ้ ย ไม่เพยี งพอแต่การใชง้ าน จนตอ้ งนาเขา้ สนิ คา้ ทางการเกษตรเหลา่ นมี้ าเป็นจานวนมากในแต่ ละปี ดงั เช่น ถ่วั เหลือง ท่ีใชส้ าหรบั อตุ สาหกรรมนา้ มนั ถ่วั เหลือง เตา้ หู้ ซอสปรุงรส อาหารสตั ว์ ฯลฯ นนั้ ตอ้ ง นาเขา้ จากตา่ งประเทศ ไดแ้ ก่ อารเ์ จนตินา บราซลิ อเมรกิ า และแคนาดา เป็นปรมิ าณกวา่ 2.7 ลา้ นตนั ในปี พ . ศ . 2561 ห รื อ คิ ด เ ป็ น มู ล ค่ า 3 . 7 ห ม่ื น ล้ า น บ า ท ( จ า ก https://mgronline.com/business/detail/9620000103697) ถ่วั เหลอื งท่นี าเขา้ มาเป็นลา้ นตนั ต่อปีเหล่านี้ ความจรงิ แลว้ แทบทงั้ หมด ลว้ นแลว้ แต่เป็นถ่วั เหลือง จีเอ็มโอท่ีผ่านการดดั แปลงพนั ธุกรรม โดยมีการนาเขา้ มาบรโิ ภคในประเทศนานกว่า 10 ปีแลว้ โดยไม่เคยมี 3
รายงานถึงผลกระทบในเชิงลบท่ีมีต่อสขุ ภาพของผูบ้ ริโภค แต่ในทางตรงกนั ขา้ ม สงั คมไทยยงั มีความวิตก กังวลสูงมากต่อการบริโภคผลิตภัณฑจ์ ีเอ็มโอ โดยเช่ือกันว่าอาจจะทาใหเ้ กิดความไม่ปลอดภัยในการ บริโภค เช่น สารอาหารท่ีมาจากพืชจีเอ็มโอ อาจมีสารปนเปื้อนท่ีเป็นอนั ตราย เป็นพิษ ก่อภูมิแพ้ หรือเพิ่ม ความเสย่ี งต่อการเป็นโรคมะเรง็ และทาใหม้ ีการรณรงคค์ ดั คา้ นอยา่ งต่อเน่ือง ไมใ่ หน้ าเอาเทคโนโลยีชวี ภาพ สมยั ใหม่ดงั เช่นจีเอ็มโอนี้ มาใชก้ บั การเกษตรของไทย โดยเฉพาะการเพาะปลกู พืชจีเอ็มโอในประเทศ ทงั้ ท่ี อนญุ าตใหน้ าเขา้ ไดม้ าเป็นเวลานานแลว้ ซ่งึ ความหวาดวิตกกงั วลโดยใชเ้ หตแุ บบนี้ สวนทางกบั แนวทางไทยแลนด์ 4.0 และทาใหเ้ กิดความ สงสยั ว่ารฐั บาลนนั้ มีความจริงจงั แค่ไหนในการส่งเสริมใหเ้ กิดการใชแ้ ละพฒั นานวตั กรรม ท่ีไม่ไดอ้ อกมา ปกปอ้ งและผลกั ดนั เทคโนโลยชี ีวภาพสมยั ใหม่ อยา่ งจีเอ็มโอ ซา้ รา้ ย กลบั ตอกยา้ ดว้ ยคากลา่ วในมมุ ตรงกนั ขา้ มของนายกรฐั มนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทรโ์ อชา เม่ือวันท่ี 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ท่ีแถลงเก่ียวกับ “รา่ ง พ.ร.บ. ความปลอดภยั ทางชีวภาพ หรือ พ.ร.บ.จีเอ็มโอ” ซ่งึ ผ่านความเห็นชอบของคณะรฐั มนตรีแลว้ แตไ่ ดส้ ่งั ใหย้ กเลกิ รา่ งกฎหมายดงั กลา่ ว เพราะไมเ่ กิดประโยชน์ พืชจีเอ็มโอมไี วใ้ ชใ้ นกรณีท่มี สี งครามเท่านนั้ พืชเหลา่ นตี้ ดั แตง่ พนั ธกุ รรมมาเพ่ือใหใ้ ชน้ า้ นอ้ ย ตา้ นทานโรคได้ มผี ลผลิตสงู อาจใชต้ อนมสี งครามโลกก็ได้ (https://news.mthai.com/politics-news/472957.html) ซ่งึ เรอ่ื งนี้ นบั วา่ เป็นความเขา้ ใจท่ผี ิดทเี ดียว เพราะพชื จเี อม็ โอนนั้ ถกู นามาใชป้ ระโยชนต์ ่อเศรษฐกิจ และสงั คมของประเทศต่างๆ ท่วั โลกมาเป็นเวลาหลายสิบปีแลว้ ไมใ่ ชแ่ ตเ่ ฉพาะเวลาท่ีขาดแคลนอาหารหรือ มีสงครามเท่านนั้ ดังอีกตวั อย่างหนึ่ง ก็คือ ฝ้าย ซ่ึงเป็นวตั ถุดิบสาคญั ในการทาเสือ้ ผา้ และสิ่งทอต่างๆ ท่ี แทบทุกคนได้ใชส้ วมใส่ในแต่ละวันนั้น ก็มักจะเป็นฝ้ายท่ีนาเขา้ มาจากต่างประเทศ มากถึง 90% ของ ปริมาณการผลิตทงั้ หมด เน่ืองจากไทยไม่สามารถผลิตฝ้ายไดเ้ พียงพอกับความตอ้ งการใช้ โดยสามารถ ผลิตไดเ้ พียงปีละประมาณ 5 พันตัน ในขณะท่ีตอ้ งนาเขา้ ฝ้ายจากต่างประเทศ เฉล่ียปีละประมาณ 3-4 แสนตัน เป็นมูลค่าถึง 3 - 4 หม่ืนล้านบาท จากประเทศสหรัฐอเมริกา จีน ออสเตรเลีย อินเดีย และ ปากีสถาน เป็นตน้ (จาก https://positioningmag.com/53390) ท่ีสาคญั คือ ฝ้ายดิบท่ีนาเขา้ มานนั้ ส่วนใหญ่แลว้ ก็เป็นฝ้ายจีเอ็มโอท่ีผ่านการดดั แปลงพนั ธุกรรม ใหต้ า้ นทานหนอนเจาะสมอฝ้าย ศตั รูตวั รา้ ยของไร่ฝ้ายท่ีทาใหเ้ กษตรกรรมการเพาะปลกู ฝ้ายซง่ึ เคยรุ่งเรอื ง ของประเทศไทยเม่ือหลายสิบปีก่อน ตอ้ งล่มสลายลงเพราะไม่สามารถท่ีจะสกู้ ับหนอนเจาะสมอนีไ้ ด้ และ เป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง ท่กี ารต่อตา้ นเทคโนโลยสี มยั ใหม่กลบั ทาใหป้ ระเทศของเราตอ้ งกลายเป็นผูน้ า เขา้ ฝา้ ยเพ่ือใชก้ บั อตุ สาหกรรมสิ่งทอ แทนท่จี ะลดตน้ ทนุ การผลติ ไดด้ ว้ ยการเป็นประเทศผผู้ ลิตฝา้ ยดบิ เอง ซา้ รา้ ย ความหวาดกลวั ต่อเทคโนโลยีชีวภาพ ยงั ขดั ขวางการพฒั นานวตั กรรมตามหลกั ไทยแลนด์ 4.0 ดว้ ยการท่เี กดิ คาส่งั ของคณะรฐั มนตรีในอดีต ท่ีหา้ มการทดลองพชื จีเอ็มโอในระดบั ภาคสนาม หลงั จาก เหตกุ ารณเ์ ม่ือวนั 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 หลงั ประมาณสิบกว่าปีท่ีแลว้ ท่ีกล่มุ เอ็นจีโอ “กรีนพีซ” ไดบ้ ุก เขา้ ทาลายตน้ มะละกอดดั แปลงพนั ธกุ รรม ท่อี ยใู่ นระหวา่ งการวจิ ยั ของสานกั งานวิจยั และการพฒั นาเกษตร 4
ท่ี 3 ส่วนแยกพืชสวน กรมวิชาการเกษตร ตาบลท่าพระ อาเภอเมือง จังหวดั ขอนแก่น โดยอา้ งว่ามะละกอ จีเอ็มโอนนั้ ถือเป็นพชื ท่ผี ิดธรรมชาติ และมอี นั ตรายต่อผบู้ ริโภค หากมนษุ ยร์ บั ประทานมะละกอจเี อ็มโอเขา้ ไปมากๆ จะทาใหเ้ กิดการสะสมของสารตา้ นทานยาปฏชิ ีวนะ ผลกระทบต่อสขุ ภาพได้ การทดลองในพืน้ ท่ี เปิดยังเป็นสาเหตุของการปนเปื้อนจีเอ็มโอในส่ิงแวดลอ้ มและในอาหาร จึงตอ้ งเรียกรอ้ งใหร้ ฐั บาลยกเลิก การทดลองเสยี (https://mgronline.com/local/detail/9470000028564) การรณรงคท์ าลายตน้ มะละกอจีเอ็มโอของกรีนพีซ ได้รับการสนับสนุนจากภาคประชาชนใน ขณะนนั้ เป็นจานวนมาก จนทาใหค้ ณะรฐั มนตรีใหข้ ณะนนั้ ส่งั การใหห้ ยดุ การทดลองวิจยั ในภาคสนามโดย ทันที ดว้ ยความเช่ือว่าส่ิงมีชีวิตดัดแปลงพนั ธุกรรมหรือจีเอ็มโอนั้นเป็นส่ิงท่ีเลวรา้ ยและไม่จาเป็น แต่ใน ความจริงแลว้ การวิจยั พฒั นามะละกอจีเอ็มโอของกรมวิชาการเกษตร เกิดขึน้ เพราะปัญหาใหญ่ของการ เพาะปลกู มะละกอ เน่ืองจากมะละกอมีโรคสาคญั คือ โรคไวรสั วงแหวน ท่ีไม่สามารถจะแกไ้ ขไดด้ ว้ ยการ ฉีดพ่นสารเคมีกาจดั ศตั รูพืชได้ และปรกติจะตอ้ งตดั ทาลายและเผาตน้ ท่ีติดโรคทิง้ ไปเท่านนั้ เน่ืองจากเชือ้ โรคสามารถติดต่อไปยงั มะละกอตน้ อ่ืนไดโ้ ดยง่าย จนทาใหผ้ ลผลิตมะละกอของประเทศไทยตกต่าลงอย่าง รวดเร็ว ตอ้ งมีการนาเข้าผลมะละกอจากประเทศเพ่ือนบา้ น อย่างประเทศลาวเพิ่มขึน้ ในขณะท่ีใชว้ ิธี ดัดแปลงพันธุกรรม ให้มะละกอท่ีมียีนเปลือกหุ้มของเชื้อไวรัสวงแหวนอยู่ ก็จะช่วยใหม้ ะละกอมีภูมิ ตา้ นทานต่อโรคไวรสั เปรียบเสมือนกับการฉีดวคั ซีนป้องกันโรคล่วงหนา้ และยังมีการตรวจพิสจู นแ์ ลว้ ว่า สามารถนามะละกอจีเอ็มโอดงั กลา่ วมารบั ประทานไดอ้ ยา่ งปลอดภยั ปัญหาความหวาดกลวั ต่อเทคโนโลยีสมยั ใหม่ อย่างจีเอ็มโอ ท่ีสง่ ผลกระทบต่อการสรา้ งนวตั กรรม ตามแนวทางไทยแลนด์ 4.0 นัน้ ส่วนหน่ึงก็เกิดจากการท่ีบริบทของสังคมไทยเอง ท่ีไม่นิยมการโตเ้ ถียง แลกเปล่ียนขอ้ มลู สกู้ นั ดว้ ยขอ้ เท็จจรงิ ต่อหนา้ สาธารณะ จึงทาใหค้ นไทยอย่ใู นโลกของมายาคติ ของความ เช่ือ ท่ีบอกว่าประเทศไทยใกลเ้ ป็นประเทศท่ีพฒั นาแลว้ เพราะว่ามีเทคโนโลยีขนั้ สูงต่างๆ ให้ “ซือ้ มาใช”้ อย่างรวดเร็วเทียบเท่ากับประเทศพัฒนาแลว้ แต่เทคโนโลยีเหล่านัน้ กลับไม่ไดเ้ กิดจากการพัฒนาองค์ ความรูข้ องตวั เราเองแตอ่ ย่างไร คนไทยขาดโอกาสเขา้ ถงึ วทิ ยาศาสตร์ ตง้ั แตใ่ นรัว้ โรงเรียน อกี ตวั อย่างหนง่ึ ท่สี ะทอ้ นสงั คมไทยถึงมายาคตใิ นเร่ืองท่ีนิยมการใชเ้ ทคโนโลยี แตข่ าดองคค์ วามรู้ พืน้ ฐานทางวิทยาศาสตร์ จนไปถึงขาดทกั ษะและค่านิยมในการโตเ้ ถียงต่อหนา้ สาธารณะในการหาขอ้ เท็จ น่นั คือเรื่อง เคร่ืองตรวจระเบิดจีทีสองรอ้ ย (GT200) ซ่งึ เป็นอปุ กรณท์ ่ีอา้ งว่าสามารถนามาใชต้ รวจหาวัตถุ ระเบิดและยาเสพติดได้ เพียงใชแ้ ค่การใสแ่ ผ่นการด์ เขา้ ไปในเคร่ือง ท่ีเป็นเหมือนกระบอกพลาสติกเปล่าๆ ติดเสาอากาศวิทยุ ไม่มีวงจรอิเล็กทรอนิกสใ์ ดๆ และใชพ้ ลงั งานไฟฟ้าสถิตจากรา่ งกายของผูท้ ่ีใชเ้ ครื่องใน การใชเ้ สาอากาศของเคร่ืองจีทสี องรอ้ ยไป คน้ หาสิง่ ของท่ีตอ้ งการ ซ่งึ แมว้ า่ จะฟังดไู มน่ า่ เป็นไปไดต้ งั้ แต่แรก 5
แลว้ แต่ก็มีเจา้ หนา้ ท่ีและผูบ้ ริหารระดับสูงของประเทศไทยเป็นจานวนมาก ท่ีเช่ือว่าเคร่ืองจีทีสองรอ้ ย ทางานไดจ้ ริงและมีความแม่นยา เพียงเพราะไดย้ ินไดฟ้ ังมาว่ามีคนนาไปใช้ไดผ้ ล จนเกิดความเช่ือเป็น กระแสศรทั ธาตามๆ กนั โดยไม่สนใจท่ีจะตอ้ งคาถามเพ่อื คน้ หาความจรงิ แต่อยา่ งไรก็ตาม หลงั จากท่มี ีนกั วิชาการ องคก์ ารทางสิทธิมนษุ ยชน รวมถงึ สอ่ื มวลชนหลายแขนง ได้ตั้งข้อสังเกตถึงความไม่สมเหตุสมผลของเครื่องจีทีสองรอ้ ย ท่ีสุด ก็ทาให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีรัฐมนตรีว่าการ กระทรวง คือ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ทาการตรวจสอบเคร่ืองดว้ ยหลกั การทดลองท่ีเป็นวิทยาศาสตร์ และผลการทดลองพิสจู นป์ รากฏว่าเคร่ืองจีทีสองรอ้ ยสามารถชีห้ าระเบิดไดถ้ ูกตอ้ งเพียงแค่ 4 ครงั้ จาก 20 ค ร้ั ง จ น ท า ใ ห้ มี ค า ส่ั ง ใ ห้ ร ะ งั บ ก า ร ใ ช้ แ ล ะ ก า ร จั ด ซื้ อ เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย ทั น ที (https://www.thairath.co.th/scoop/1243402) การท่ีสงั คมไทยถูกหลอกลวงไดง้ ่ายเพียงเพราะการเช่ือตามๆ กัน ดงั เช่นกรณีเครื่องตรวจระเบิด ลวงโลกจีทีสองรอ้ ยนี้ ทาใหเ้ ราควรจะกลับมาทบทวนว่า ประเทศไทยเราไดถ้ ่ายทอดองค์ความรู้ทาง วิทยาศาสตรแ์ ละนามาอธิบายประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตประจาวนั ไดเ้ ทียบเท่ากบั ท่ีคนไทยมีศรทั ธาในความเช่ือ จากการบอกเลา่ ปากตอ่ ปาก หรือไม่ เพราะถา้ พจิ ารณาดแู ลว้ จะเหน็ วา่ ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องการศกึ ษาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เป็นอย่างมาก ดงั เช่น เม่อื อย่ใู นรว้ั โรงเรียน จะพบว่าเดก็ นกั เรยี นระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลายสว่ นหน่งึ และ มีจานวนค่อนขา้ งมาก ได้ถูกตดั โอกาสในการศึกษาเล่าเรียนความรูท้ างวิทยาศาสตรเ์ น่ืองจากเลือกเรียน แผนการศกึ ษาทางสายศิลปะ แถมยงั มีค่านิยมท่ีในการการแบ่งชนชนั้ คนดว้ ย ว่าเด็กท่ีเลือกเรียนสายวิทย์ แปลว่าเป็นเด็กเก่ง ส่วนเด็กท่ีไม่เก่งก็ใหไ้ ปเรียนสายแผนศิลป์ ทงั้ ท่ีประเทศพัฒนาแลว้ ส่วนใหญ่ ถา้ เป็น การศกึ ษาในสายสามญั (ไมใ่ ชส่ ายอาชวี ะ) ก็ไม่ไดน้ ิยมแบ่งสายการเรียนเป็นแคส่ ายวิทย-์ สายศิลป์ เหมือน อย่างของประเทศไทย ดร. คารล์ แซแกน (Carl Sagan) นกั ดาราศาสตรช์ ่ือดงั ชาวอเมรกิ นั (เสยี ชีวิตแลว้ ในปี ค.ศ. 1996) ซ่ึงเป็นผูเ้ ช่ียวชาญเก่ียวกับบรรยากาศของดาวเคราะหต์ ่างๆ ตลอดจนไดท้ างานดา้ นส่ือสารวิทยาศาสตร์ อย่างต่อเน่ืองจนได้รับเหรียญรางวัล Public Welfare Medal ขององค์กรวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สหรฐั อเมรกิ า ไดเ้ คยเขียนไวใ้ นบทความเรอื่ ง “Why We Need To Understand Science (ทาไมเราถึงตอ้ ง เขา้ ใจวิทยาศาสตร)์ \". ในวารสาร The Skeptical Inquirer Vol. 14, Issue 3 ปี 1990. ว่า “We live in a society exquisitely dependent on science and technology, in which hardly anyone knows anything about science and technology.” ซ่ึงแปลได้ว่า“ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในสังคมที่ต้องพ่ึงพา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่น้อยคนนักที่จะมีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” (https://www.azquotes.com/author/12883-Carl_Sagan/tag/science-and-technology) 6
ประโยคดงั กล่าวของ ดร. คารล์ แซแกน สะทอ้ นปัญหาของสงั คมประเทศสหรฐั อเมริกาในอดีต และของประเทศไทยในปัจจุบนั ไดไ้ ม่แพก้ นั ท่ีเรามกั จะบอกกบั ตวั เองว่า ประเทศชาติจะตอ้ งเร่งสรา้ งองค์ ความรูว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีใหม้ ากขึน้ แต่ในความเป็นจรงิ แลว้ เราสรา้ งไดน้ อ้ ยมาก หรือแมว้ ่าสรา้ ง ขึน้ มาแลว้ ประชาชนก็นาเอาไปใชจ้ รงิ ๆ ไม่ได้ เพราะองคค์ วามรูท้ างวิทยาศาสตรท์ ่ีเลา่ เรียนกนั ไปนนั้ สว่ น ใหญ่แลว้ ก็อยู่แค่ความรูท้ ่ีอยู่ในตารา และมักจะเรียนแบบเช่ือครูเช่ือตารา ตามๆ กันไปเหมือนเป็นพระ คัมภีร์ โดยท่ีไม่ไดเ้ รียนบนตรรกะพืน้ ฐานทางวิทยาศาสตร์ ของการตงั้ คาถาม โตแ้ ยง้ และหาทางพิสูจน์ เพ่อื ใหไ้ ดอ้ งคค์ วามรูใ้ หม่ๆ ท่จี ะนาไปพฒั นาเป็นนวตั กรรมของประเทศได้ ปัญหาใหญ่ของการเรยี นวทิ ยาศาสตรใ์ นแบบไทยๆ นนั้ มาจาการท่ถี กู สรา้ งคา่ นยิ ม หรอื อีกนยั หน่ึง คือการตีตราบาปว่า วิทยาศาสตรเ์ ป็นศาสตรท์ ่ียากมากต่อการเรียนรู้ จึงทาใหผ้ คู้ นจานวนมากไม่อยากท่ี เขา้ มาย่งุ เกี่ยว ซา้ รา้ ย บคุ ลากรทางการศกึ ษาท่สี อนวิชาวิทยาศาสตรอ์ ยนู่ นั้ ก็มกั จะสอนตามตาราแบบตรง ตวั ไม่ไดท้ าใหผ้ เู้ รียนเกิดการคิด วิเคราะห์ แยกแยะไตรต่ รอง ซ่งึ เป็นเรื่องท่ีจาเป็นจะตอ้ งเรง่ รีบปฏิรูปใหไ้ ด้ กอ่ นท่จี ะชา้ จนเกินแกไ้ ข วิทยาศาสตร์ กับความเชือ่ พนื้ ถ่ินของคนไทย เคยมีคนตงั้ คาถามไวว้ ่า “ประเทศไทยเรานนั้ ส่งเด็กไปแข่งขนั วิทยาศาสตร์โอลิมปิกมาก็หลายปี แลว้ ไดเ้ หรียญทองจากการแข่งขนั มาก็เยอะ แต่ทาไม ยงั มีคนเชือ่ เรื่องผสี างเทวดา” คาถามนี้ สะทอ้ นให้ เห็นว่า เป็นไปไดห้ รือไม่ท่ีคนไทยจะเช่ือถือศรทั ธาในไสยศาสตร์ ในสิ่งเรน้ ลบั มากกว่าเช่ือในวิทยาศาสตร์ ถา้ เป็นเชน่ นนั้ จรงิ แสดงวา่ สงั คมไทยมีวทิ ยาศาสตรท์ ่ไี ม่เขม้ แขง็ แถมยงั อาจจะไม่เขม้ แขง็ ในเรอ่ื งศาสนาอีก ดว้ ย เน่อื งจากแก่นของศาสนาสว่ นใหญ่จะไม่ไดใ้ หค้ วามสาคญั หรอื ศรทั ธาในเรอ่ื งผสี างอย่างนนั้ แล้ววิทยาศาสตรจ์ ะสามารถอยู่ร่วมกับความเช่ือในสังคมไทยได้หรือไม่ ? คาตอบคือ ได้ โดย วิทยาศาสตรก์ ับความเช่ือแบบไสยศาสตรน์ นั้ น่าจะอยู่ร่วมแบบ Win – Win ทงั้ สองฝ่ าย บนพืน้ ฐานของ ความเขา้ ใจซง่ึ กนั และกนั กลา่ วคือ ฝ่ายวิทยาศาสตรเ์ องก็ตอ้ งเขา้ ใจและเหน็ อกเห็นใจว่า คนไทยนนั้ เติบโต มาตงั้ แต่เด็กจนถึงเป็นผใู้ หญ่ กบั การรบั ขอ้ มลู สืบทอดกันมาว่าผีวิญญาณส่งิ ศกั ดิส์ ิทธิน์ นั้ มีจรงิ ไม่ควรท่จี ะ ไปดถู กู หรือพยายามลบลา้ งความเช่ือแบบหกั ดบิ ขณะท่ีสงั คมไทยก็ควรท่จี ะไดเ้ รม่ิ เรียนรู้ ว่าปาฏหิ าริยห์ รือ ความเช่ือพืน้ ถ่ินต่างๆ ท่ีเคยพบกันในอดีต อย่างเช่นเร่ือง บง้ั ไฟพญานาค หรือเรื่องรูปถ่ายดวงวิญญาณ หรอื เร่ืองบอ่ นา้ ผดุ ศกั ดสิ์ ิทธิ์ ฯลฯ หลายอยา่ งก็สามารถจะมีคาอธิบายทางวิทยาศาสตรไ์ ด้ ตวั อย่างเช่น ปรากฏการณต์ ่างๆ ท่ีอา้ งว่าเก่ียวเน่ืองกบั “พญานาค” ซ่งึ วิทยาศาสตรส์ ามารถท่ีจะ ใหค้ าตอบกบั สงั คมไดว้ ่า ปรากฏการณเ์ หลา่ นนั้ มีคาอธิบายอะไรอ่ืนอีกหรือไม่ นอกจากท่ีจะเช่ือกนั ว่าเป็น ฝีมือของพญานาคเท่านนั้ เช่น ถา้ พบรอยประหลาดท่ีอา้ งว่าเป็นรอยท่ีพญานาคทาขึน้ มา ก็หาคาอธิบาย อ่ืนๆ พรอ้ มหลกั ฐานประกอบ ว่าจรงิ ๆ แลว้ รอยนนั้ น่าจะมีสตั วอ์ ะไรหรือแมแ้ ต่มนุษยเ์ ป็นผทู้ าขึน้ หรือถา้ มี 7
รูปปลาประหลาดท่ีถูกเช่ือว่าเป็นพญานาคตวั จริงถูกจับไดท้ ่ีแม่นา้ โขง ก็ควรจะอธิบายว่า จริงๆ แลว้ มนั เป็นปลาทะเลนา้ ลกึ ช่ือว่า oar fish ซ่งึ ภาพปลาดงั กลา่ วนนั้ ถ่ายไดท้ ่ปี ระเทศอเมรกิ า ไมใ่ ช่ท่ปี ระเทศไทย หรืออย่างปรากฏการณ์ “บง้ั ไฟพญานาค” ท่ีอา้ งว่า มีปรากฏการณล์ กู ไฟประหลาด พ่งุ ขึน้ มาจาก แม่นา้ โขงในเวลากลางคืน ของคืนวนั ออกพรรษา 15 ค่า เดือน 11 เพียงวนั เดียวเท่านนั้ ในรอบปี ซ่งึ ผคู้ นท่ี ทอ้ งถ่ินก็เช่ือว่าเป็นผลจากพญานาคออกมาพ่นไฟ ระลึกถึงการรบั เสด็จพระพทุ ธเจา้ ท่ีลงมาจากสวรรคช์ นั้ ดาวดึงตามพุทธประวัติ ในขณะท่ีทางวิทยาศาสตรน์ นั้ ก็พยายามหาคาอธิบายในเชิงของปรากฏการณ์ ธรรมชาติ โดยในปี พ.ศ. 2545 กระทรวงวิทยาศาสตรฯ์ ไดพ้ ยายามศึกษาและใหเ้ หตผุ ลว่า บงั้ ไฟพญานาค เป็นปรากฏการณธ์ รรมชาติ 100% ท่ีเกิดจากซากพืชซากสตั วท์ ่ีทบั ถมกนั ใตแ้ ม่นา้ โขง จนเกิดแก๊สมีเทนซ่ึง เป็นเชือ้ เพลิง แลว้ ลอยขึน้ มาผสมกับก้อนฟอสฟี น (จากกอ้ นฟอสฟอรสั ใตน้ า้ ) ในอากาศ และเกิดการ สั น ด า ป จ น ท า ใ ห้ ติ ด ไ ฟ แ ล ะ เ ห็ น เ ป็ น ลู ก ไ ฟ พุ่ ง ขึ้ น ม า จ า ก น้ า ไ ด้ (https://mgronline.com/science/detail/9470000070693) ความนา่ สนใจของเรื่องนี้ ในเชิงของวทิ ยาศาสตร์ เกดิ ขนึ้ เม่ือนกั วชิ าการในยุคหลงั กส็ ามารถตงั้ ขอ้ สงสยั และหาทางโตแ้ ยง้ กบั รายงานของกระทรวงวทิ ยาศาสตรไ์ ดโ้ ดยไมต่ อ้ งเกรงใจกนั ดงั เช่น ขอ้ สนั นิษฐาน ว่าการสะสมของแก๊สมีเทนใตแ้ ม่นา้ โขงท่นี า้ ไหลเชียวนนั้ แทบเป็นไปไม่ได้เลย และไม่มีเหตผุ ลอนั สมควรท่ี จะอธิบายตอ่ ดว้ ยว่าทาไมแก๊สถึงไดพ้ ่งุ ขึน้ มาจากนา้ แค่ในคืนวนั ออกพรรษาเทา่ นนั้ ขณะท่ีสมมติฐานใหม่ ท่อี า้ งวา่ ลกู ไฟบง้ั ไฟพญานาคนนั้ จรงิ ๆ แลว้ กลบั ดูคลา้ ยกบั ลกั ษณะการยิง ของกระสนุ ชนิดพิเศษ ท่ีเรียกว่า กระสนุ ส่องวิถี (tracer round) ผลิตจากกระสนุ ฐานกลวง ท่ีมีสารเคมีท่ี ก่อใหเ้ กิดประกายไฟอดั อยู่แน่น เช่น ฟอสฟอรสั แมกนีเซียม ทาใหเ้ กิดประกายไฟและใหค้ วามสว่างมาก พอ โดยสอดคลอ้ งกบั สารคดีของสถานีโทรทศั นไ์ อทีวี ในปี พ.ศ. 2545 ท่ีแสดงใหเ้ ห็นว่ามีทหารลาวมายิง ก ร ะ สุ น ส่ อ ง วิ ถี ขึ้น ฟ้ า แ ล ะ มี เ สี ย ง เ ฮ ท่ี ดั ง ม า จ า ก ฝ่ั ง ไ ท ย ท่ี ม า ร อ ช ม บ้ั ง ไ ฟ พ ญ า น า ค (https://th.wikipedia.org/wiki/บงั้ ไฟพญานาค) จากโจทยท์ ่ีฟังดูเป็นแค่เร่ืองเรน้ ลับ บนความเช่ือศรัทธา และไม่ไดร้ ูส้ ึกว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ เท่าไหรน่ ี้ นามาส่กู ารทดสอบดว้ ยเคร่ืองมือท่ีเป็นวิทยาศาสตรม์ ากขึน้ พรอ้ มกบั การลงพิสจู นใ์ นภาคสนาม บนพนื้ ท่จี รงิ ดว้ ยทดลองตงั้ กลอ้ งถ่ายรูปแบบเปิดหนา้ กลอ้ งนานเพ่อื บนั ทกึ เสน้ ทางและจุดกาเนิดของลกู ไฟ บง้ั ไฟพญานาคท่ีริมฝ่ังแม่นา้ โขง ปรากฏว่า ภาพท่ีถ่ายออกมามีลกั ษณะเหมือนกนั ทุกรูป คือลกู ไฟบง้ั ไฟ พญานาคนนั้ ไมไ่ ดพ้ ่งุ ขึน้ มาจากกลางแม่นา้ อยา่ งท่ีหลายคนอา้ งวา่ เห็น แต่กลบั พงุ่ ขนึ้ จากฝ่ังประเทศลาวท่ี อย่ตู รงกนั ขา้ มกบั ฝ่ังไทย โดยบางลกู ก็ขึน้ จะแนวรมิ ตล่ิงนา้ บางลกู ก็ขึน้ จากบรเิ วณพ่มุ ไมร้ มิ แม่นา้ รวมทงั้ การตั้งกลอ้ งถ่ายจากริมแม่นา้ โขงในฝ่ังประเทศลาว ซ่ึงไม่ได้มีประชาชนมาเฝ้าดูปรากฏการณ์บั้งไฟ พญานาคแนน่ ขนดั เหมือนคนไทยนนั้ ก็สามารถบนั ทกึ วิดีโอของภาพและเสยี งลกู กระสนุ ปืนท่ยี ิงขา้ มจากฝ่ัง ลาวไปยงั ฝ่ังไทยไดอ้ ย่างชดั เจน พรอ้ มกบั เสยี งเชียรท์ ่ตี อบรบั กลบั มาจากฝ่ังไทย 8
ความเหน็ ทงิ้ ท้าย : การพัฒนาตรรกะทางวิทยาศาสตร์ ในสงั คมแบบไทยไทย การทดลองเพ่ือพิสจู นป์ รากฏการณบ์ ง้ั ไฟพญานาค ดงั ท่ีกลา่ วมาแลว้ นนั้ แมจ้ ะทาใหไ้ ดค้ าอธิบาย ทางวิทยาศาสตรท์ ่ีค่อนขา้ งน่าเช่ือถือและหกั ลา้ งไดย้ าก แต่ในขณะเดียวกัน ก็สรา้ งกระแสแห่งความไม่ พอใจของคนในพืน้ ถ่ินขึน้ ได้ เน่ืองจากประโยคหนึ่งท่ีสงั คมไทยนิยมถ่ายทอดกนั มา คือ “ไม่เช่ืออย่าลบหล่”ู เหมือนกบั วา่ ถา้ ใครไม่เช่ือวา่ ไสยศาสตรม์ ีจรงิ ส่งิ เรน้ ลบั นมี้ จี รงิ กห็ า้ มพดู จาขดั แยง้ หรือขอพสิ จู น์ เพราะจะ กลายเป็นการลบหลดู่ หู ม่ินในสายตาของคนท่เี ช่ือ โดยทนั ที แต่ถา้ สงั คมไทยจะพฒั นาการใชต้ รรกะทางวิทยาศาสตร์ เพ่ือนาไปส่กู ารสรา้ งนวตั กรรมใหม่แบบ ไทยแลนด์ 4.0 ประเทศไทยก็ควรจะเลิกใช้ประโยคไม่เช่ืออย่าลบหลู่นี้ อย่างพร่าเพ่ือ เหมือนท่ีผ่านมา เพราะประโยคทานองนี้ เป็นตวั ปิดกั้นไม่ใหเ้ กิดการตงั้ คาถามขึน้ กบั สิ่งท่ีเรายงั ไม่เช่ือ และจะทาใหเ้ ราไม่ สามารถพฒั นา แกไ้ ข และตอ่ ยอดองคค์ วามรูเ้ กา่ ดว้ ยองคค์ วามรูท้ ่คี น้ พบใหม่ได้ ขณะท่ีในความจริงแลว้ ประโยคท่ีควรพดู มากกว่า คือ “ไม่เช่ือตอ้ งพิสจู น”์ ซ่งึ จะชว่ ยทาใหช้ ่องวา่ ง ระหว่างสงั คมยุคเก่าและยุคใหม่ ไดม้ าทางานร่วมกันในการหาขอ้ สรุปดว้ ยการพิสจู น์ และจะเป็นสงั คมท่ี คิดแบบใชต้ รรกะวทิ ยาศาสตรม์ ากขนึ้ ยิ่งถา้ ในบริบทของสงั คมแบบไทยไทย ท่ีมีทงั้ คาว่า กฎ ระเบียบ และจารีตประเพณี ค่อนขา้ งจะ แข็งแรงมากๆ แลว้ เราจะเร่มิ ตน้ อย่างไร ท่ีจะทาใหค้ นไทยมีหลกั การคิดวิเคราะหอ์ ย่างเป็นเหตเุ ป็นผลมาก ขนึ้ โดยไม่จมอยกู่ บั บรบิ ทท่เี ครง่ ขดั เหลา่ นี้ ? คาตอบคือ กฎระเบียบท่ีแข็งแรงของสงั คมไทยนนั้ ถึงวนั หน่ึงก็ตอ้ งส่นั คลอน เปล่ียนแปลงไปตาม กาลเวลา ตามพลวตั ของค่านิยมท่ีเปล่ียนไปตามยุคสมยั ตวั อย่างเช่น เม่ือก่อน การติดต่อสื่อสารเดินทาง ระหว่างประเทศยงั เป็นไปไดโ้ ดยลาบาก ผคู้ นท่ีอย่ใู นสงั คมไทยและไม่ค่อยไดอ้ อกไปในต่างประเทศเลย ก็ จะตอ้ งอย่ใู นสภาพเหมือน “กบในกะลาครอบ” ท่ีถา้ วนั ใด กะลาถกู เปิดออก จึงจะมองเห็นโลกท่ีกวา้ งใหญ่ ขึน้ ว่ามันเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแลว้ และสงั คมไทยก็น่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทางท่ีดีขึน้ ดว้ ย เพ่ือใหอ้ ยู่ ร่วมและแข่งขันกับประเทศอ่ืนๆ ได้ พลวัติท่ีเดินไปข้างหน้าแล้ว ยากนักท่ีจะโดนดึงย้อนให้กลับมา เหมือนเดมิ สงั คมไทยในอนาคต กเ็ ชน่ เดยี วกนั 9
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: