48 Tap root รากแขนง (Lateral root) 2) รากทตุ ยิ ภมู ิ (Secondary root) เป็นรากทเ่ี จริญจากรากแก้วอีกทีหน่ึง เรียกว่า รากแขนงซ่ึงจะแตกแขนงออกไปได้อีก โดยรากแขนงนี้จะแตกออกจากส่วน เพอริไซเคลิ (Pericycle) ของราก
49 3) รากพิเศษหรอื รากวิสามัญ (Adventious root) เป็นรากท่ีเกดิ จากกิ่ง ใบ หรือลาตน้ ซงึ่ ไม่ไดเ้ กิดมาจากแรดเิ คิลหรอื รากแกว้ โดยตรง สามารถแยกเปน็ ชนิดต่าง ๆ ไดต้ ามรปู ร่างและหน้าที่ เชน่ รากหายใจ รากสะสมอาหาร รากสังเคราะห์ด้วยแสง รากค้าจนุ รากฝอย รากเกาะ เปน็ ตน้
50 พลู พลดู ่าง พรกิ ไทย รากพิเศษหรือรากวิสามัญ รากเกาะ (climbing root) รากฝอย (fibrous root) เป็นรากท่ีแตกออกมาจากบริเวณข้อของลาต้น แล้วมาเกาะตาม เป็นรากเส้นเล็ก ๆ จานวนมาก ซ่ึงงอก หลักหรือเสา เพื่อพยุงลาต้นให้ม่ันคงและชูลาต้นข้ึนที่สูง เช่น ออกมาจากรอบโคนต้นแทนรากแก้วท่ีฝ่อไป รากของพลูด่าง พริกไทย กล้วยไม้ หรือ หยุดเจริญเติบโตไป ส่วนใหญ่พบในพืช ใบเล้ียงเดี่ยว
รากหายใจ (aerating root) 51 เป็นรากที่ปลายรากโผล่ข้ึนมาเหนือพ้ืนดิน หรือเหนือ แครอตต์ ผิวน้าเพื่อทาหน้าท่ีหายใจ และช่วยดักตะกอนรวมท้ัง มันเทศ อินทรียวัตถุต่าง ๆ ตามพ้ืนที่ชายฝ่ังเอาไว้ พบในพืชบาง มนั แกว ชนิดบริเวณป่าชายเลน เช่น รากตน้ แสม ลาพู มันสาปะหลัง หัวผักกาด รากสะสมอาหาร (storage root) เป็นรากที่ทาหน้าท่ีเก็บสะสมอาหาร ทาให้มีลักษณะ อวบอ้วนมักเรียกว่า หัว เช่น แคร์รอต มันเทศ มัน สาปะหลัง
52 รากสงั เคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis root) รากค้าจนุ (prop root) เปน็ รากที่เป็นแตกจากข้อของลาต้นหรือกิ่งและอยู่ เป็นรากท่ีแตกออกมาจากข้อของลาต้นที่อยู่ใต้ดิน ในอากาศจะมีสีเขียวของคลอโรฟิลล์จึงช่วยสังเคราะห์ และเหนือดินขึ้นมาเลก็ น้อยพุ่งแทงลงไปในดิน เพ่ือพยุงลา ด้วยแสงได้ เช่น รากกลว้ ยไม้ ตน้ ไมใ่ ห้ล้ม พบในพืชบรเิ วณที่มีน้าท่วมขังตลอดเวลา หรือ พน้ื เปน็ ดินโคลน เช่น ตน้ ลาแพน โกงกาง
53 Root hair Epidermis Cortex Endodermis Stele Pericycle Xylem Phloem โครงสรา้ งรากตัดตามขวาง โครงสรา้ งรากตามยาว
Epidermis 54 100 m Cortex 100 m (a) Root with xylem and (b) Root with parenchyma in the Endodermis phloem in the center Vascular center (typical of monocots) (typical of eudicots) cylinder Key 50 m Pericycle to labels Core of parenchyma Dermal cells Ground Xylem Vascular Phloem Endodermis Pericycle Xylem Phloem
55 เมอื่ นาปลายรากมาตดั ตามยาวและตัดตามขวาง แลว้ ศึกษาภายใตก้ ล้องจุลทรรศน์ จะเหน็ โครงสรา้ งภายในของปลายราก ดงั น้ี Root hair Epidermis Cortex Endodermis Stele Pericycle Xylem Phloem Pith ภาพตัดตามขวางรากพืชใบเล้ยี งเดี่ยว ภาพตดั ตามขวางรากพืชใบเลี้ยงคู่ (Monocot Root) (Dicot Root)
56
57
58 2.2 โครงสร้างและหน้าท่ขี องลาตน้ ลาต้นเป็นอวัยวะของพืชท่ีโดยท่ัวไปเจริญอยู่เหนือระดับผิวดินถัดขึ้นมา ลาต้นพืชบางชนิดจะมีข้อ ปล้อง บริเวณข้อจะมีใบ ที่ซอกใบมีตา ลาตน้ ทาหน้าทช่ี กู งิ่ ใบ ดอก และผล ใหอ้ ยู่เหนือระดับผวิ ดิน ลาเลียงน้า ธาตอุ าหาร และอาหารไปยงั ส่วนต่าง ๆ ของพชื เมื่อนาลาต้นพืชใบเล้ียงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่ มาศึกษาพบว่า การเจริญเติบโตของพืชแต่ละชนิด แตกตา่ งกัน โดยการเติบโตปฐมภูมิจะทาให้พืชลาต้นสูงขึ้น พบทง้ั ในพืชใบเลย้ี งเด่ยี วและพืชใบเลีย้ งคู่ ส่วนการ เติบโตทุติยภูมิจะทาให้พืชมีลาต้นขยายออกทาง ด้านข้าง พบเฉพาะในพืชใบเลีย้ งคู่
59 ใบออ่ น เนื้อเยอ่ื เจริญปลายยอด เนอ้ื เยอ่ื เจริญสว่ นปลายยอด (shoot apical meristem) Young leaf Shoot apical meristem : อยู่บริเวณปลายสุดของลาต้น ประกอบด้วยกลุ่ม เซลล์ท่ีมีการแบ่งตัวตลอดเวลา และเจริญไปเป็นลาต้น ใบ และตาตามซอก ใบแรกเกดิ Primordium leaf ตาตามซอกเรม่ิ เกดิ Axillary bud ใบออ่ น ใบแรกเกดิ (leaf primordium) อยู่ตรงด้านข้างของ ปลายยอดที่เป็นขอบของความโค้ง และจะเจริญพัฒนาเป็น ตน้ อ่อน ใบอ่อน ตรงโคนใบแรกเกิดจะเห็นเซลล์ขนาดเล็กรูปร่าง โครงสรา้ งบริเวณปลายยอดพชื ยาวเรียงตัวเป็นแนวยาวจากลาต้นขึ้นไปจนเกือบถึงส่วน ปลาย เซลล์เหล่าน้ีจะเจริญไปเป็นเนื้อเย่ือท่อลาเลียงท่ีแยก ออกจากลาตน้ สใู่ บ
ลาต้นอ่อน (young stem) : อยู่ถัดจากตาแหน่ง 60 ใบเริ่มเกดิ ลงมา ลาต้นสว่ นใบเริ่มเกดิ เปน็ ลาตน้ ระยะท่ียัง เจริญไมเ่ ตม็ ท่ี โดยเซลล์บางบริเวณอาจพัฒนาไปจนเจริญ ใบอ่อน เน้ือเยอื่ เจรญิ ปลายยอด เต็มที่ในระดับหนึ่งแล้ว แต่บางบริเวณยังแบ่งเซลล์เพื่อ Young leaf Shoot apical meristem เพ่ิมจานวนและขยายขนาดต่อไปได้อีก จนกระท่ังเป็นลา ใบแรก Primordium leaf ต้นท่ีเจริญเต็มที่ ตเกาตดิ ามซอกเริม่ เกิด Axillary bud ใบอ่อน ใบอ่อน (young leaf) : เซลล์ของใบยังมีการแบ่งเซลล์ อยู่ และเจริญเติบโตเปลี่ยนแปลงต่อไป เพ่ือเพ่ิมความหนาและ ตน้ ออ่ น ขนาดของใบจนเป็นใบทเี่ จรญิ เตม็ ท่ี โครงสรา้ งบรเิ วณปลายยอดพืช ใบในระยะน้ียังไม่แผ่ออกเต็มที่ ตรงซอกของใบอ่อนพบ ตาตามซอกเร่ิมเกดิ (Axillary bud) ท่ีจะพัฒนาไปเป็นตาตาม ซอกเมอ่ื ใบทร่ี องรบั อย่เู จริญเตม็ ที่แลว้
61 1. โครงสรา้ งภายในของลาต้นระยะการเตบิ โตปฐมภมู ิ เมอ่ื ตดั ตามขวาง แลว้ นามาศกึ ษาด้วยกล้องจุลทรรศนจ์ ะเห็นโครงสร้าง แบง่ ออกเปน็ 3 ชัน้ ดงั น้ี Epidermis Cortex Vascular bundle Ground tissue ภาพตัดตามขวางลาต้นพืชใบเลีย้ งเด่ียว Xylem ภาพตดั ตามขวางลาตน้ พืชใบเลย้ี งคู่ Vascular cambium Phloem
62 เอพิเดอร์มิส (epidermis) เป็นเนื้อเย่ือที่อยู่ คอร์เทกซ์ (cortex) เป็นบริเวณที่อยู่ถัด ชั้นนอกสุด ทาหน้าที่ป้องกันอันตรายให้กับ จากเอพิเดอร์มิสเข้าไป ประกอบตัวยเซลล์หรือ เนื้อเยื่อภายในของลาต้น ส่วนใหญ่เซลล์จะเรียง เน้ือเย่ือหลายชนิด สว่ นใหญ่เป็นเนื้อเย่ือพาเรงคิ ตัวเพียงชั้นเดียว พืชบางชนิดเอพิเดอร์มิสมีการ มา และมีคอลเลงคิมาอยู่ใต้เซลล์ผิว ในพืชใบ เปลยี่ นแปลงไปเป็นขน หนาม และตอ่ ม เลยี้ งเดยี่ วบางชนดิ อาจเห็นชั้นคอร์เทกซไ์ ม่ชัด
63 สตีล (stele) ชน้ั ท่ถี ัดจากชั้นคอร์เทกซ์เข้ามาจนถึงสว่ นกลางของลาตน้ และแบง่ แยกออกจากช้ันคอร์เทกซไ์ ด้ไมช่ ดั เจนโดยท่วั ไป สตลี มีขอบเขตกว้างมากประกอบด้วยเน้ือเย่อื ทส่ี าคัญ ได้แก่ วาสคิวลาร์แคมเบียม (vascular cambium) : พบในพืชใบเลย้ี งคู่ เป็นเน้ือเยื่อพาเรงคิมาที่อยู่ระหว่างกลุ่มท่อลาเลยี ง โดยเรียงตัวกนั เป็นวงเชอ่ื มตอ่ ระหว่างคอร์เทกซ์ (Cortex) และพิท (Pith)
มดั ท่อลาเลยี ง (Vascular bundle) : 64 กลมุ่ ของเนื้อเย่ือทท่ี าหน้าท่ีเกยี่ วข้องกับการลาเลียงน้าและอาหาร ในพืชใบเล้ียงเด่ียว กลุ่มท่อลาเลียงจะกระจายอยู่ทั่วไปในชั้นคอร์เทกซ์ ประกอบด้วยท้ังโฟลเอ็ม (Phloem) และไชเล็ม (Xylem) ซึ่งจะถูกล้อมรอบตัวยเซลล์พาเรงคิมา(Parenchyma) หรือสกลอเรงคิมา (Sclerenchyma) เรียกเซลล์ท่ีมาล้อมรอบน้ีว่า เน้ือเย่ือหุ้มท่อ ลาเลยี ง หรอื บันเดิลชที (Bundle sheath) พิท (pith) : เป็นเน้ือเย่ือที่อยู่ส่วนกลางของลาต้น ในพืชใบเล้ียงคู่ ประกอบด้วยโฟลเอ็มซ่ึงเรียงตัวด้านนอก และไซเลม็ ซึ่ง ส่วนใหญ่เป็นเนื้อเย่ือประเภทพาเรงคิมา จึงทาหน้าท่ีในการ สะสมสารต่าง ๆ จะพบไดใ้ นลาตน้ พชื ใบเลยี้ งคู่ เรียงตัวอยู่ด้านในหรือ ด้านท่ีติดกับพิท ระหร่างไฟลเอ็มกับไซเล็มมีเนื้อเย่ือ เจริญที่เรียกว่า วาสคิวลาร์แคมเบียม (Vascular cambium) ค่ันกลางอยู่ทา หน้าทแี่ บง่ เซลลเ์ พ่ือใหเ้ กิดโฟลเอม็ ทตุ ยิ ภูมิกบั ไซเลม็ ทตุ ิยภูมิ
65 Sclerenchyma Phloem Xylem Ground (fiber cells) Ground tissue tissue connecting pith to cortex Pith Epidermis Epidermis Cortex Key Vascular 1 mm Vascular 1 mm to labels bundles bundle Dermal Ground (a) Cross section of stem with Vascular (b) Cross section of stem with vascular bundles forming a scattered vascular bundles ring (typical of eudicots) (typical of monocots)
66 2. ลาต้นในระยะการเติบโตทุติยภูมิ จะทาให้ลาต้นมีเส้นรอบวงเพิ่มขึ้นและมีโครงสร้างแตกต่างไปจากเดิม เนื่องจากมกี ารสรา้ งเนอื้ เยอ่ื เพริเดิร์ม และเน้อื เย่อื ทอ่ ลาเลียงทุติยภูมิเพ่มิ ข้ึนทาให้ลาต้นพชื เจรญิ ขยายออกทางด้านข้าง การสร้างเนื้อเยื่อท่อลาเลียงทุติยภูมิ เกิดข้ึน Xylem Vascular cambium โดยเนื้อเย่ือเจริญท่ีอยู่ระหว่างเนื้อเยื่อไซเล็มปฐมภูมิ Phloem Cortex และโฟลเอ็มปฐมภูมิ เรียกว่า วาสคิวลาร์แคมเบียม Epidermis (vascular cambium) จะแบ่งเซลลไ์ ด้ 2 ทศิ ทาง ภาพตดั ตามขวางลาต้นพืชใบเลยี้ งคู่ แบ่งเข้าทางด้านในและด้านนอกการแบ่งเซลล์ เข้าด้านในของวาสคิวลาร์แคมเบียมเกิดได้เร็วกว่า ด้านนอก และเจริญเป็นเน้ือเยื่อไซเล็ม เรียกไซเล็ม ทเ่ี กดิ จากวาสคิวลารแ์ คมเบยี มวา่ ไซเล็มทุติยภมู ิ (secondary xylem)
67 Xylem I Xylem Vascular cambium II Xylem Phloem Cortex Vascular cambium II Phloem Epidermis I Phloem Cork cambium Bark Cork การเจริญแบบทุติยภูมิของลา ต้น เกิดจากเนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง ท้ังสอง คือ วาสคิวลาร์แคมเบียม กบั คอร์กแคมเบยี ม ภาพแสดงการเจริญขั้นทุติยภมู ขิ องลาตน้ พชื ใบเลี้ยงคู่
สาหรับเน้ือไม้สามารถแบง่ ไดเ้ ปน็ 2 68 เนื้อไมแ้ ละเปลอื กไมข้ องลาตน้ ท่ีมีอายมุ าก ส่วน ได้แก่สว่ นที่หน่ึงเปน็ ไซเล็มท่ีมีอายุมาก (มีการเจริญแบบทุตยิ ภูมิ) ที่สดุ จะอยูช่ ั้นในสุดของลาตน้ ถา้ ลาตน้ มีอายุ มากจะหยดุ ลาเลียงนา้ เพราะถูกอดุ ตันด้วยสาร เปลือกไม้ (Bark) จาพวกลิกนิน และซูเบอริน แตย่ งั ทาหน้าท่ี ใหค้ วามแขง็ แรง และอาจสะสมสารอนิ ทรีย์ กระพี้ไม้ (Sap wood) ต่าง ๆ จงึ มกั มองเหน็ ไชเลม็ มสี ีเขม้ เรยี กไซ แก่นไม้ (Heart wood) เนอื้ ไม้ เล็มบริเวณนี้ว่าแก่นไม้ (heart wood) ซ่ึงจะ มีความแข็งแรงมากกวา่ บรเิ วณอน่ื แก่นไม้จะ วาสควิ ลาร์แคมเบยี ม เพมิ่ ขน้ึ เร่ือย ๆ เนอื่ งจากไซเลม็ ชน้ั ถดั ออกมา วงปี (Annual ring) ท่มี ีอายุมากขน้ึ จะหยดุ ลาเลยี งนา้ กลายเป็น แกน่ ไมเ้ พิ่มขนึ้ วงปี (Annual ring) ส่วนทสี่ องเป็นไซเล็มที่อยู่รอบนอกซ่ึงมสี ีจางกว่าชั้นในยังทาน้าท่ีลาเลียงน้าและธาตุอาหาร ตอ่ ไปเรียกชนั้ น้วี า่ กระพไ้ี ม้ (sap wood) ช้ันกระพไ้ี มจ้ ะมีความหนาค่อนขา้ งคงที่
69 เน้อื ไม้และเปลือกไม้ของลาตน้ ทม่ี อี ายุมาก (มีการเจรญิ แบบทุติยภูมิ) Secondary xylem Secondary phloem Bark Vascular cambium Cork Late wood cambium Periderm Early wood Cork การสร้างเนื้อไม้ของพืชบางชนิดจะมีมากน้อย ต่างกันในแต่ละฤดูของรอบ 1 ปี ทั้งน้ีอาจขึ้นอยู่ 0.5 mm กับปริมาณน้าเป็นสาคัญในภาวะท่ีสิ่งแวดล้อมมีน้า 0.5 mm Vascular ray Growth ring อดุ มสมบูรณ์ (b) Cross section of a three-year- วาสคิวลาร์แคมเบียมจะแบ่งเซลล์ได้ไซเล็ม old Tilia (linden) stem (LM) จานวนมากและเซลล์มีขนาดใหญ่ทาให้เห็นเป็น แถบสจี างและเปน็ บริเวณกว้างในเนือ้ ไม้ ส่วนในภาวะที่ส่ิงแวดล้อมแห้งแล้งและขาดแคลนน้า วาสคิวลาร์แคมเบียมจะแบ่งเซลล์ได้ไซเล็มจานวนน้อยและเซลล์มี ขนาดเล็กทาให้เห็นเป็นแถบสีเข้มและเป็นบริเวณแคบ ลักษณะดังกล่าวทาให้เน้ือไม้มีสีจางและมีสีเข้มสลับกันมองเห็นเป็นวง เรยี กวา่ วงปี (Annual ring)
70 เน้อื ไม้และเปลือกไมข้ องลาตน้ ที่มอี ายุมาก (มกี ารเจรญิ แบบทุตยิ ภมู ิ) Growth ring Vascular ray Heartwood Secondary xylem Sapwood Vascular cambium Secondary phloem Bark Layers of periderm
71 3. หน้าท่ีและชนิดของลาต้น ลาต้นเป็นอวัยวะที่เป็นแกนหลกั ของพืชท่ีอยู่เหนือระดับพ้ืนดิน หน้าท่ีหลักของลาต้น คือ ชูกิง่ กันและใบ เพ่อื รับแสง ลาเลียงนา้ และธาตุอาหาร รวมท้งั อาหารทพี่ ืชสรา้ งขึ้นส่งไปยังส่วนตา่ ง ๆ ของพชื นอกจากน้ีลาต้นยังมีหน้าที่พิเศษอ่ืน ๆ อีกตามลกั ษณะภายนอกของลาต้นท่ีพบ เช่น สะสมอาหาร สังเคราะห์ด้วยแสง ช่วยในการ คายน้า ใช้ในการขยายพันธหุ์ ากแบง่ ประเภทของลาต้นตามตาแหน่งทพ่ี บ สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท ดังนี้ 1) ลาต้นเหนือดิน (aerial stem) เปน็ ตน้ ทข่ี นานอยเู่ หนอื พ้นื ดินท่วั ๆ ไป นอกจากจะพบลาตน้ ขนาดใหญท่ ่ีทาหนา้ ทเี่ ปน็ แกนหลกั ของพชื แล้ว ยงั พบลาต้นลักษณะอืน่ ๆ ท่เี ปลี่ยนแปลงรูปร่างและทาหนา้ ท่ตี ่างกนั ออกไป ดังนี้ ลาต้นเกาะเล้ือย (creeping stem) เป็นต้นที่ขนานไปกับผิวดิน หรือผิวน้า ส่วนใหญ่มีลาต้นอ่อนตั้งตรงไม่ได้ จึงต้องเล้ือยขนานไปกับ ผวิ ดินหรือผวิ น้า เช่น ผกั กระเฉด แตงโม ฟกั ทอง
72 ลาต้นเล้ือยข้ึนสูง หรือลาต้นไต่ (climbing stem) มีลาต้นที่อ่อน และ ไตข่ ึ้นสงู ไปตามหลกั หรอื ต้นไม้ท่อี ยู่ติดกนั เชน่ แตงกวา พลดู า่ ง เฟือ่ งฟ้า ลาต้นคลา้ ยใบ (Cladophyll) ลาต้นที่เปลีย่ นไปอาจแผ่แบนคลา้ ยใบหรือเป็น เส้นเล็กยาว และยังมีสีเขียว ทาหน้าท่ีแทนในการสังเคราะห์ด้วยแสงได้ นอกจากนั้นยังมลี าต้นอวบนา้ เป็นลาตน้ ของพชื ทอ่ี ยใู่ นทแ่ี หง้ แล้งปอ้ งกนั การคายน้า เช่น สนทะเล กระบองเพชร
73 ลกั ษณะการไตข่ ้นึ สูงของลาต้น 1. ลาตน้ พนั หลักเป็นเกลียวข้นึ ไป หรือไมพ้ ันเลอื้ ย (winter) : การพนั อาจเวียนซ้ายหรือเวยี นขวา เช่น บอระเพด็ เถาวัลย์ ตน้ ถัว่ ฟักยาว 2. ลาต้นเปลยี่ นเป็นมอื เกาะ (tendril) : มอื จะบดิ เกาะเป็นเกลียวคลา้ ย สปริงเพอื่ ใหม้ กี ารยดื หยุ่น เชน่ แตงกวา บวบ
74 3. รากพนั (root climber) : เป็นลาตน้ ทไ่ี ตข่ ึน้ สงู โดย งอกรากออกมาบรเิ วณช่อยึดกบั หลกั หรือตน้ ไมอ้ ื่น รากน้ีหากยึด กับตน้ ไม้จะไมแ่ ทงรากเข้าไปในลาต้นของพชื ทเี่ กาะ เชน่ พรกิ ไทย พลดู า่ ง 4. ลาต้นเปล่ียนเป็นหนาม (stem spine) เป็นลาต้นที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นหนามรวมทั้งขอ เก่ียว เพ่ือใช้สาหรับไต่ขึ้นที่สูงและทาหน้าที่ป้องกัน อัตราย โดยหนามแดกออกมาจากบริเวณซอกใบ เช่น เพือ่ งฟา้ ไมยราบ
75 2) ลาต้นใต้ดิน (underground Stem) เป็นลาต้นที่เจริญอยู่ใต้ระดับผิวดิน ลาต้นใด้ดินของพืชหลายชนิดทา หน้าท่ีพิเศษในการสะสมอาหาร ซึ่งลาต้นมีขนาดใหญ่ อวบหนา มกั จะสะสมแป้งหรือน้ามันไว้ภายในเซลล์ หากแบ่ง ลาตน้ ใตด้ ินตามลกั ษณะรปู ร่าง สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายแบบ ดังน้ี เหง้า (rhizome) ลาต้นท่ีอยู่ใต้ดิน เห็นข้อปล้องชัดเจน คอร์ม (corm) ลาต้นมีลกั ษณะต้งั ตรง เก็บอาหารไว้ใน ตามข้อมีใบสีน้าตาล ลักษณะเป็นเกล็ดเรียกว่า ใบเกล็ด หุ้มตา ลาต้น จึงมีลักษณะอวบใหญ่ ทางด้านล่างมีรากเส้นเล็ก ๆ เอาไว้ มีรากงอกออกจากเหง้า ตาแตกแขนงเป็นใบอยู่เหนือดิน หลายเส้น ที่ข้อมีใบเกล็ดบาง ๆ หุ้ม ตาแตกออกมาจากข้อ หรืออาจเปน็ ลาตน้ อยูใ่ ตด้ นิ เช่น ขงิ ขา่ ขมนิ้ มใี บชขู น้ึ สงู หรืออาจเปน็ ลาตน้ ใต้ดินต่อไป เช่น เผือก แห้ว
76 Storage Tubers leaves Stem Bulbs หัวกลีบ (Bulb) ลาต้นที่มีลักษณะตั้งตรง มีข้อปล้องส้ันมาก ทู เ บ อ ร์ ( tuber) ล า ต้ น ที่ ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย ข้ อ ตามปล้องมีเกลด็ ทาหน้าที่สะสมอาหารซ่อนห่อหุ้มลาต้นไว้หลายชั้น จนเห็นเป็นหัวลกั ษณะกลม ใบชั้นนอกสุดจะลบี แบนไม่สะสมอาหาร และปล้อง 3-4 ปล้อง ไม่มีใบภายในลาต้นมีอาหารสะสม ทา ส่วนของลาต้นมรี ากเปน็ กระจกุ เชน่ หอม กระเทยี ม ให้อวบกลม บริเวณปล้องมีตาซ่ึงตามักจะบุ๋มลงไป ตาเหล่าน้ี สามารถงอกเปน็ ตน้ ใหมไ่ ด้ เชน่ มนั ฝรงั่
โครงส้รางภายนอกของใบ 77 แผ่นใบ (blade) : ส่วนที่ ใบเป็นอวัยวะท่เี จรญิ ออกไปบริเวณดา้ นข้าง อยู่บริเวณข้อปลอ้ งของลาต้นและกงิ่ ทาหนา้ ท่ี เปน็ แผ่นแบน โดยมรี ูปร่างลกั ษณะ หลกั ในสร้างอาหารโดยการสงั เคราะห์ด้วยแสง ใบต้องมโี ครงสร้างท่ีเออื้ ต่อการรบั แสง การ แตกตา่ งกนั ข้นึ อยกู่ บั ชนิดของพชื แลกเปลีย่ นแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ และการลาเลยี งน้า สารอาหาร และอาหารท่เี หมาะสม เสน้ ใบ (Vein) : ประกอบดว้ ยท่อไซเลม็ และทอ่ โฟลเอ็มเรยี งตวั อยู่ กา้ นใบ (petiole) : อยู่ระหว่างตัวใบและลาต้น ซึ่งในพืชใบ เลี้ยงเดี่ยวมักมีก้านใบแผ่เป็นแผ่นหุ้มข้อของลาต้น เรียกว่า กาบใบ (leaf sheath) เช่น ขา้ วโพด กล้วย หใู บ (stipule) : เป็นส่วนที่ย่ืนออกมาตรงโคนใบที่ กาบใบ ติดกับลาต้น ทาหน้าที่ป้องกันอันตรายให้กับตา (Leaf sheath) อ่อน พบทัว่ ไป ในพืชใบเลี้ยงคู่ แต่ไม่ค่อยพบในพืช ใบเลยี้ งเด่ยี ว หใู บมักมีอายุไม่นานและจะหลดุ ร่วงไป
78 พชื ใบเลีย้ งเดย่ี ว พชื ใบเล้ยี งคู่ เส้นใบจะเรียงขนานหรือตั้งฉากกับเส้น เส้นใบจะแยกออกจากเส้นกลางใบ และ กลางใบเป็นลักษณะของการเรียงตัวแบบขนาน แตกแขนงเปน็ ร่างแห (Netted venation) (Parallel venation)
1 79 3 1 เอพเิ ดอร์มิส (epidermis) : อยู่ชนั้ นอกสดุ ของใบทง้ั ด้านบน หรอื หลังใบ (upper epidermis) เซลล์คุม (guard cell) เป็นเซลล์ และด้านลา่ งหรอื ทอ้ งใบ (lower epidermis) ท่ีมีรูปร่างคล้ายไตอยู่เป็นคู่ประกบกัน มีช่องตรงกลางเรียกว่า รูปากใบ ประกอบด้วยเซลลผ์ วิ เซลลค์ มุ และอาจมีขน มคี วิ ทินเคลอื บที่ (stomatal pore) 2 ด้านนอกเพ่อื ป้องกันการระเหยของน้าออกจากใบ โดยเอพิเดอร์มิ สด้านบนมักมคี วิ ทนิ เคลอื บหนากวา่ เอพเิ ดอร์มิสด้านลา่ ง 2 กล่มุ ท่อลาเลยี ง (vascular bundle) : แทรกอยใู่ นชนั้ มีโซฟิลล์ ในบริเวณกา้ นใบ เสน้ ใบ และเสน้ ใบยอ่ ย ประกอบดว้ ยไซเลม็ และโฟลเอม็ ในพืชบางชนิดมัดท่อลาเลียงจะ ล้อมรอบด้วยกลุ่มเซลล์ท่ีเรียกว่า บันเดิลซีท (bundle sheath) ซ่งึ ช่วยทาให้มดั ท่อลาเลียงแขง็ แรงข้นึ
80 3 มีโซฟิลล์ (mesophyll) อยูร่ ะหว่างเอพิเดอร์มิสดา้ นบนและด้านล่างประกอบด้วยเซลลพ์ าเรงคิมา ท่ีมคี ลอโรพลาสต์ (chloroplast) ซ่ึงมีรปู รา่ งต่างกนั 2 แบบ ไดแ้ ก่ - แพลิเซดมิโซฟิลล์ (palisade mesophyll) อยู่ติดกับ เอพิเดอร์มิสด้านบน ประกอบด้วยเซลล์ที่มีรูปร่างยาวเรียงตัว กันในแนวต้ังฉากกับเอพิเดอร์มิส โดยไม่มีช่องว่างระหว่าง เซลล์ ภายในเซลล์มีคลอโรพลาสต์อยู่จานวนมาก จึงเป็น บรเิ วณที่มีการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงมากท่สี ุด - สปันจีมีโชฟลิ ล์ (spongy mesophyll) อยถู่ ัดลง มาจากแพลิเซดมโี ซฟลิ ลจ์ นถงึ เอพิเดอร์มสิ ด้านล่าง ประกอบดว้ ยเซลลท์ ม่ี รี ปู รา่ งคอ่ นข้างกลมเรยี งตัว หลวม ๆ อย่างไม่เป็นระเบยี บ ภายในเซลลม์ ีคลอ โรพลาสต์จานวนมากแต่น้อยกวา่ แพลิเซดมีโซฟิลล์
Key Guard 81 to labels Stomatal pore cells Dermal 50 m Ground Epidermal cell Vascular Sclerenchyma fibers Cuticle Stoma (b) Surface view of Upper a spiderwort (Tradescantia) leaf (LM) epidermis Palisade mesophyll Bundle- Spongy sheath mesophyll cell Lower 100 m epidermis Xylem Vein Phloem Guard Cuticle Guard cells Vein Air spaces cells (a) Cutaway drawing of leaf tissues (c) Cross section of a lilac (Syringa) leaf (LM)
82 2. ชนิดและหนา้ ทขี่ องใบ (1) ใบเลยี้ ง (cotyledon) ทาหนา้ ที่ สะสมอาหารเพอื่ เลีย้ งต้นอ่อนขณะงอก โดย หนา้ ท่ีหลักของใบพชื คอื สรา้ งอาหารโดยกระบวนการ พืชใบเลีย้ งค่มู ใี บเลยี้ ง 2 ใบ แตถ่ า้ เป็นพชื สังเคราะหด์ ้วยแสง แลกเปล่ยี นแกส๊ และคายนา้ นอกจากนี้ใบพชื ใบเลี้ยงเดยี่ วมใี บเล้ียงเพียงใบเดยี ว ยังมีหน้าท่ีอืน่ ๆ อีกตามชนิดของใบ ดังน้ี (2) ใบแท้ (foliage leaf) เป็นส่วน ใบแท้ (Foliage leaf) ของพืชท่ีเกิดจากตาใบทาหน้าท่ีสร้างอาหาร ใบเลยี้ ง (Cotyledon) ด้ ว ย ก ร ะ บ ว น ก า ร สั ง เ ค ร า ะ ห์ ด้ ว ย แ ส ง แลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้า แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คอื 1. ใบเดยี่ ว (Simple leaf) 2. ใบประกอบ (Compound leaf)
83 ใบเดีย่ ว (simple leaf) ใบประกอบ (compound leaf) คือใบที่มีแผ่นใบเพียงแผ่นเดียว หรือใบเดียวติดอยู่กับ คือ ใบที่แยกออกเป็นใบเล็ก ๆ ต้ังแต่ 2 ใบขึ้นไป ก้านใบท่ีแตกออกมาจากลาต้นหรือก่ิง เช่น กล้วย ติดอยู่กับก้านใบก้านเดียวเรียกว่า ใบย่อย (leaflet) ชมพู่ มะมว่ ง กา้ นใบของใบย่อยเรยี กวา่ ก้านใบยอ่ ย (petiolule) ภาพแสดงโครงสรา้ งของใบเดย่ี ว ภาพแสดงโครงสร้างของใบประกอบ
84 ใบประกอบ (compound leaf) ใบประกอบแบบขนนก ใบประกอบแบบฝา่ มอื (pinnately compound leaf) (palmately compound leaf) Rachis Rachis Leaflet ใบประกอบแบบขนนกปลายค่ี Petiole (Odd pinnate) ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ (Even pinnate)
ใบเดี่ยวบางชนิดถึงแม้จะมีลกั ษณะหยัก 85 เว้ามากจนคล้ายกับมีใบย่อยเกิดข้ึน แต่ เน้ือเย่ือของแผ่นใบยังไม่แหว่งจนหลุดออก ใบประกอบของพืชบางชนิด เช่น ใบมะขาม กระถิน จากกัน จงึ ถอื วา่ เปน็ ใบเดีย่ ว มะพร้าว จะมีแกนกลางต่อจากปลายก้านใบและมีใบย่อยเรียงกัน เช่น มะละกอ มันสาปะหลัง ฟักทอง เป็นแถวบนแกนกลางน้ัน แต่ใบประกอบบางชนิด เช่น ใบ ตาลงึ ตาล หนวดปลาหมึก จะไม่มีแกนกลาง ใบย่อยจึงติดอยู่บริเวณปลาย ก้านใบในตาแหน่งเดยี วกนั
86 3) ใบทีเ่ ปลี่ยนแปลงไป (modified leaf) พชื บางชนิดอาจมใี บทม่ี หี น้าที่พเิ ศษ ทาใหใ้ บมีการเปล่ียนแปลงไปจากใบ แท้ทม่ี ีลักษณะแผน่ แบนไปเป็นลกั ษณะอื่นทเี่ หมาะสมกบั หน้าท่ี เชน่ ใบประดบั (bract) คอื ใบท่เี ปล่ียนแปลงไปเพอื่ ใบสะสมอาหาร (storage leaf) คอื ใบที่ รองรับดอก สว่ นมากอย่บู ริเวณกา้ นดอก มสี ีเขยี ว เปลย่ี นแปลงเป็นแหล่งเก็บสะสมอาหาร จึงมีลกั ษณะ พืชบางชนิดมีใบประดับทสี่ สี วยงามคลา้ ยกลบี ดอก อวบหนา เชน่ ใบวา่ นหางจระเข้ ทาหน้าทีล่ อ่ แมลง เชน่ หน้าวัว ครสิ ตม์ าส เพ่ืองฟา้
87 ใบเกล็ด (scale leaf) คือ ใบท่ีเปลยี่ น ทุ่นลอย (floating leaf) พืชน้าบางชนิดสามารถลอยน้าอยู่ มาจากใบแท้เพ่ือทาหน้าท่ีป้องกันอันตรายให้กับ ได้ โดยอาศยั กา้ นใบพองโตออก ภายในมเี น้อื อยู่กันอย่างหลวม ๆ ตาและยอดอ่อน พบในเผือกต้นพีแคน ขิงข่า และมีช่องว่างอากาศทาให้มีอากาศอยู่มาก จึงช่วยพยุงให้ลาต้นลอย แห้วจีน นา้ ได้ เซ่น ผักตบชวา
88 ใบกบั ดักแมลง (carnivorous leaf) หนาม (leaf spine) คือ ใบที่เปล่ียนแปลงไปเป็นกับดักแมลงหรือสัตว์เล็ก คือ ใบท่ีเปล่ียนแปลงเป็นหนาม เพ่ือป้องกันอันตรายจากสัตว์ ภายในกบั ดักจะมตี ่อมสร้างน้าย่อยอาหารจาพวกโปรตีน พบ และลดการคายน้า ซึ่งหนามท่ีเกดิ อาจมีการเปล่ยี นแปลงท้ังใบกลายเป็น ในต้นกาบหอยแครง หม้อข้าวหม้อแกงลิง หยาดน้าค้าง หนาม หรือบางส่วนของใบกลายเป็นหนาม เช่น หนามของต้นเหงือก เป็นตน้ ปลาหมอเปล่ียนแปลงมาจากขอบใบและหูใบ หนามของต้นกระบองเพชร เปลย่ี นแปลงมาจากใบ หนามมะขามเทศเปลยี่ นแปลงมาจากหูใบ
89 ใบขยายพนั ธ์ุ (reproductive organ) มอื เกาะ (leaf tendril) คอื ใบท่เี ปลยี่ นแปลงไปเพอื่ ช่วยขยายพันธุ์ คือ ใบที่เปล่ียนแปลงไปเป็นมือเกาะเพื่อยึดและ โดยบริเวณของใบมีลกั ษณะเว้าเข้าเล็กน้อย และมีตา พยุงลาต้นให้ข้ึนสูง อาจเปลี่ยนแปลงมาจากใบท้ังใบ ที่งอกต้นเล็ก ๆ ออกมา เช่น ต้นโคมญี่ปุ่น หรือส่วนใดส่วนหน่ึงของใบ เช่น บานบุรีสีม่วง เศรษฐีพันล้าน มะระ ดองดึง หวายลงิ
Search