โขน PANTOMIME OF THAILAND \"โขน\" เปนศิลปะการแสดงชนั สงู ของไทยทีมคี วามสง่างาม อลังการและอ่อนชอ้ ยพรอ้ ม รวบรวมเรอื งราว\"โขน\" อยูใ่ นเล่มนี
สารบญั ก บทนาํ 1 1 ประวตั ิ 3 2 ประเภทของโขน 7 3 โขนในพระราชสาํ นกั 10 4 ลกั ษณะบทโขน 12 5 บทละครสาํ หรบั แสดงโขน 14 6 การคดั เลอื กและฝกหดั โขน 17 7 เครอื งแตง่ กายและเครอื งประดบั 20 8 การแตง่ หนา้ โขน 22 9 หวั โขน 23 10 ภาษาโขน 23 11 ประเพณไี หวค้ รแู ละความเชอื 25 12 วงดนตรแี ละเครอื งประกอบและเพลงประกอบการแสดง 14 โขนในรปู แบบตา่ งๆ 28 15 มรดกทางวฒั นธรรมทจี บั ตอ้ งไมไ่ ด้ 29 16 บรรณานกุ รม 30 17 ผจู้ ดั ทํา 36
บ ท นาํ ก โ ข น คื อ ทํา ค ว า ม รู้ จั ก กั บ โ ข น โขน เปนศลิ ปะการแสดงชนั สงู ของไทย ทมี คี วามสงา่ งามอลงั การและออ่ นชอ้ ย การแสดงทใี ชท้ า่ ราํ ตามแบบละครในแตกตา่ ง เพยี งทา่ ราํ ทมี กี ารเพมิ ตวั แสดง ทํานองเพลง ทใี ชใ้ นการดาํ เนนิ เรอื งไมเ่ หมอื นกบั ละคร มปี ระวตั ยิ าวนานตงั แตส่ มยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา จากหลกั ฐาน \" จดหมายเหตลุ าลแู บร์ \" ในสมยั สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช ไดม้ กี าร กลา่ วถงึ การแสดงโขนวา่ เปนการเตน้ ออก ทา่ ทาง ประกอบกบั เสยี งซอและเครอื งดนตรี ประเภทตา่ ง ๆ ผแู้ สดงจะสวมหนา้ กากปดบงั ใบหนา้ ตนเองและถอื อาวุธ โขนเปนจุดศนู ยร์ วมของศาสตรแ์ ละ ศิลปหลายแขนง วรรณกรรม วรรณศลิ ป นาฏศลิ ป คตี ศลิ ป หตั ถศลิ ป โดยนาํ เอาวธิ เี ลน่ และการแตง่ ตวั บางชนดิ มาจากการเลน่ ชกั นาคดกึ ดําบรรพ์ มที า่ ทางการตอ่ สทู้ โี ลดโผน ทา่ ราํ ทา่ เตน้ เชน่ ทา่ ปฐมในการไหวค้ รขู องกระบกี ระบอง รวมทงั การนาํ ศลิ ปะการพากย์ การเจรจา หนา้ พาทยแ์ ละดนตรมี าประกอบการแสดง ดาํ เนนิ เรอื งดว้ ยการกลา่ วคํานาํ เลา่ เรอื งเปน ทํานองเรยี กวา่ พากยอ์ ยา่ งหนงึ กบั เจรจาเปน ทํานอง ใชก้ าพยย์ านแี ละกาพยฉ์ บงั 16 โดยมผี ใู้ หเ้ สยี งแทนเรยี กวา่ ผพู้ ากยแ์ ละเจรจา มตี น้ เสยี งและลกู ครู่ อ้ งบทให้ ใชว้ งปพาทย์ เครอื งหา้ ประกอบการแสดง นยิ มแสดงเรอื ง รามเกยี รตแิ ละอุณรทุ ปจจบุ นั สถาบนั บณั ฑติ พฒั นศลิ ปมี หนา้ ทหี ลกั ในการสบื ทอดการฝกหดั โขนและ กรมศลิ ปากรมหี นา้ ทใี นการจดั การแสดง
1 ป ร ะ วั ติ เโพข่ิมนขจอัดคเวปามนในนาสฏวกนเรนร้ือมหทาเีมลี็กคนว อายมเปนศิลปะเฉพาะของตนเอง ไม่ปรากฏชัดแน่นอน ว่าคําว่า \"โขน\" ปรากฏขึนในสมัยใด แต่มีการเอ่ยถึงในวรรณคดีเรอื งลิลิตพระลอ ทีกล่าวถึงโขนในงานแสดงมหรสพ ระหว่างงานพระศพของพระลอ พระเพือนและ พระแพงว่า \"ขยายโรงโขนโรงราํ ทําระทาราวเทียน\" โดยมีข้อสันนิษฐานว่าคําว่า โขนนัน มีทีมาจากคําและความหมายในภาษาต่าง ๆ ดังนี คําวา่ โขนในภาษาเบงคาลี ซงึ เปนชือเรียกของเครืองดนตรีประเภท ปรากฏคําวา่ \"โขละ\" หรอื \"โขล\" หนังชนิดหนึงของฮินดู ลักษณะและรูป ร่างคล้ายคลึงกับตะโพน เสียงดังค่อน ข้างมาก เปนเครืองดนตรีทีได้รับความ นิยมในแคว้นเบงกอลประเทศอินเดีย ใช้สาํ หรับประกอบการละเล่น ยาตรา หรือละครเร่ทีคล้ายคลึงกับละครชาตรี โดยสันนิษฐานว่าเครืองดนตรีชนิดนีเคย ถูกนาํ มาใช้ประกอบการเล่นนาฏกรรมจึง เรียกว่าโขลตามชือของเครืองดนตรี คําวา่ โขนในภาษาอิหรา่ น มที ีมา หมายความถึง \" ตุ๊กตาหรือหุ่น \" จากคําวา่ ษูรตั ควาน ซึงใช้สาํ หรับประกอบการแสดง โดยมีผู้ ขับร้องและให้เสียงแทนตัวหุ่น เรียกว่า (อังกฤษ: SURAT KHWAN) ควานหรือโขน (อังกฤษ: Khon) มีความ คล้ายคลึงกับผู้พากย์และผู้เจรจาของ ก า ร แ ส ด ง โ ข น ใ น ป จ จุ บั น คําวา่ โขนในภาษาเขมร เปนการกล่าวถึงโขนในพจนานุกรม ภาษาเขมร ซึงหมายความถึงละครแต่ เขียนแทนว่าละโขนทีหมายความถึงการ แสดงมหรสพอย่างหนึง
2 ในสมยั ของสมเด็จพระนารายม์ หาราช ได้มีการกล่าวถึงโขนโดยลาลูแบร ์ เอาไว้ว่า \" โขนนัน เปนการรา่ ยราํ เข้าๆออกๆ หลายคํารบตามจังหวะซอและเครอื งดนตรอี ย่างอืนอีก ผู้แสดงสวมหน้ากากซึงก็คือ (หัวโขน) และถืออาวุธ แสดงบทหนักไปในทางสู้รบกันมากกว่าจะเปนการรา่ ยราํ และ มาตรว่าการแสดงส่วนใหญ่จะหนักไปในทางโลดเต้นเผ่นโผนโจนทะยาน และวางท่า อย่างเกินสมควรแล้ว นาน ๆ ก็จะหยุดเจรจาออกมาสักคําสองคํา หน้ากาก (หัวโขน) ส่วนเพใมิ่ หขญอค่นวันามนใ่านเกสว ลนียเนด้ือเหปาเนลห็กนน อ้ายสัตว์ทีมีรูปพรรณวิตถาร (ลิง) หรอื ไม่เปนหน้าปศาจ (ยักษ์) \" ซึงเปนการแสดงความเห็นต่อมหรสพในอดีตของชาวไทยในสายตาของ ชาวต่างประเทศ การแสดงโขนโดยทัวไปนยิ มแสดงเรอื งรามยณะหรอื รามเกียรติ ในอดตี กรมศิลปากร เคยจดั แสดงเรอื งอุณรฑุ แต่ไมไ่ ดร้ บั ความนยิ มมากเท่ากับการแสดงเรอื งรามเกียรติมี หลายสาํ นวน ทังทีมกี ารประพนั ธข์ นึ ในสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา กรงุ ธนบุรแี ละกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ โดยเฉพาะบทประพนั ธใ์ นสมยั รตั นโกสนิ ทร์ นยิ มแสดงตามสาํ นวนของ รชั กาลที 2 พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทีกรมศิลปากรไดป้ รบั ปรงุ เปนชุดเปนตอนสาํ หรบั แสดงเปนโขนฉาก ในสมยั ของพระบาทสมเด็จพระมเพงกิมฏุ หเวักเลร้าอเจงา้ ยออ่ ยยูห่ วั รชั กาลที 6 ก็เคยทรงพระราชนพิ นธบ์ ทรอ้ งและบทพากยไ์ วถ้ ึง 6 ชุด ไดแ้ ก่ ชุดนางสดี าหาย ชุดเผา กรงุ ลงกา ชุดพเิ ภกถกู ขบั ชุดจองถนน ชุดประเดมิ ศึกลงกาและชุดนาคบาศแต่เดมิ นนั การ แสดงโขนจะไมม่ กี ารสรา้ งฉากประกอบการแสดงตามท้องเรอื ง การดาํ เนนิ เรอื งราวต่าง ๆ เปนแบบจนิ ตนาการถึงฉากหรอื สถานทีในเรอื งราวเอง การจดั ฉากในการแสดงโขนเกิดขนึ ครงั แรกในสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจา้ อยูห่ ัว รชั กาลที 5 โดยทีทรงคิดสรา้ งฉากประกอบการแสดงโขนบนเวที คล้ายกับการแสดงละคร ดกึ ดาํ บรรพ์ ทีสมเดจ็ เจา้ ฟากรมพระยานรศิ รานวุ ดั ติวงศ์ทรงคิดขนึ มในสว่ นเนอื หา เล็กนอ้ ย วงปพาทยท์ ีใชใ้ นการแสดง
3 ประเภทโขน โขนกลางแปลง โขนกลางแปลงเปนการเล่นโขนกลางแจง้ ไมม่ กี ารสรา้ งโรง แสดง ใชภ้ มู ปิ ระเทศและธรรมชาติเปนฉากในการแสดง ผแู้ สดง ทังหมดรวมทังตัวพระต้องสวมหวั โขน นยิ มแสดงตอนยกทัพรบ ววิ ฒั นาการมาจากการเล่นชกั นาคดกึ ดาํ บรรพเ์ รอื งกวนนาํ อมฤต ทีใชเ้ ล่นในพธิ อี ินทราภิเษก ปรากฏในกฎมณเฑียรบาลสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา โดยนาํ วธิ กี ารแสดงคือการจดั กระบวนทัพและการเต้น ประกอบหนา้ พาทยม์ าใช้ แต่เปลียนมาเล่นเรอื งรามเกียรติแทน มกี ารเต้นประกอบหนา้ พาทยแ์ ละอาจมบี ทพาทยแ์ ละเจรจาบา้ ง แต่ไมม่ บี ทรอ้ ง เมอื พ.ศ. 2339 ในสมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟาจุฬา โลกมหาราช รชั กาลที 1 มกี ารเล่นโขนในงานฉลองอัฐสิ มเดจ็ พระปฐมบรมชนกาธริ าช โดยโขนวงั หนา้ เปนทัพทศกัณฐฝ์ ายลงกา และโขนวงั หลังเปนทัพพระรามฝายพลับพลา แลัวยกทัพมาเล่นรบ กันในท้องสนามหนา้ พลับพลา ดงั ปรากฏในพระราชพงศาวดาร ความวา่ \"ในการมหรสพสมโภชพระบรมอัฐคิ รงั นนั มโี ขนชกั รอก โรงใหญ่ ทังโขนวงั หลังและวงั หนา้ แล้วประสมโรงเล่นกันกลาง แปลง เล่นเมอื ศึกทศกัณฐย์ กทัพกับสบิ ขุนสบิ รถขนวงั หลังเปนทัพ ระราม ยกไปแต่ทางพระบรมมหาราชวงั โขนวงั หนา้ เปนทัพทศ กัณฐย์ กออกจากพระราชวงั บวร มาเล่นรบกันในท้องสนามหนา้ พลับพลา ถึงมปี นบาเหรยี มรางเกวยี นลากออกมายงิ กันดงั สนนั ไป\" ซงึ การแสดงโขนในครงั นนั เกิดการรบกันจรงิ ระหวา่ งผแู้ สดงทัง สองฝาย จนเกิดการบาดหมางระหวา่ งวงั หนา้ และวงั หลัง จน กระทังสมเดจ็ เจา้ ฟากรมพระยาเทพสดุ าวด ี และสมเดจ็ เจา้ ฟากรม พระศรสี ดุ ารกั ษ์ สมเดจ็ พระพนี างทังสองพระองค์ของพระบาท สมเดจ็ พระพุทธยอดฟาจุฬาโลกมหาราช และสมเดจ็ พระบวรราช เจา้ มหาสรุ สงิ หนาท ต้องเสดจ็ มาเปนผไู้ กล่เกลียใหแ้ ก่วงั หนา้ และ วงั หลัง ทังสองฝายจงึ ยอมเลิกบาดหมางซงึ กันและกัน ทําใหเ้ ปน ขอ้ สนั นษิ ฐานวา่ เหตใุ ดการแสดงโขนกลางแปลงจงึ นยิ มแสดง ตอนยกทัพรบและการรบบนพนื มเี ครอื งดนตรวี งปพาทยไ์ มต่ ํา กวา่ สองวงในการบรรเลง
5 โขนหน้าจอ แสดงหนังใหญ่หรอื หนังตะลงุ โดยผแู้ สดงโขนออกมาแสดง สลับกับการเชดิ ตัวหนัง ทีฉลแุ กะสลัก เปนตัวละครในเรอื งรามเกียรติอยา่ งสวยงามวจิ ติ รบรรจง เรยี กวา่ \"หนังติดตัวโขน\" ซงึ ในการเล่นหนัง ใหญ่ จะมกี ารเชดิ หนังใหญ่อยูห่ น้าจอผา้ ขาวแบบจอหนังใหญ่ ยาว 7 วา 2 ศอก รมิ ขอบจอใชผ้ า้ สแี ดงและ สนี ําเงินเยบ็ ติดกัน ใชเ้ สาจาํ นวน 4 ต้นสาํ หรบั ขงึ จอ ปลายเสาแต่ละดา้ นประดับดว้ ยหางนกยูงหรอื ธงแดง มศี ิลปะสาํ คัญในการแสดงคือการพากยแ์ ละเจรจา ใชเ้ ครอื งดนตรปี พาทยป์ ระกอบการแสดง ผเู้ ชดิ ตัว หนังจะต้องเต้นตามจงั หวะดนตรแี ละลีลาท่าทางของตัวหนัง นิยมแสดงเรอื งรามเกียรติ ภายหลังยกเลิกการแสดงหนังใหญ่ คงเหลือเฉพาะโขน โดยคงจอหนังไวพ้ อเปนพธิ ี เนืองจากผดู้ นู ิยม การแสดงทีใชค้ นแสดงจรงิ มากกวา่ ตัวหนัง จงึ เปนทีมาของการ เรยี กโขนทีเล่นหน้าจอหนังวา่ โขนหน้าจอ มกี ารพฒั นาจอหนังทีใช้ แสดงโขน ใหม้ ชี อ่ งประตสู าํ หรบั เขา้ ออก โดยวาดเปนซุม้ ประตู เรยี กวา่ จอแขวะ โดยทีประตทู างด้านซา้ ยวาดเปนรูปค่ายพลับพลา ของพระราม สว่ นประตดู ้านขวาวาดเปนกรุงลงกาของทศกัณฐ์ ต่อมาภายหลังจงึ มกี ารยกพนื หน้าจอขนึ เพอื กันคนดไู มใ่ หเ้ กะกะ ตัวแสดงเวลาแสดงโขน โขนนังราว โขนนังราวหรอื เรยี กอีกอยา่ งวา่ โขนโรงนอก ววิ ฒั นาการมา จากโขนกลางแปลง เปนโขนทีแสดงบนโรงทีปลกู สรา้ งขนึ สาํ หรบั แสดง ตัวโรงมกั มหี ลังคาค้มุ กันแสงแดดและสายฝน ไมม่ เี ตียง สาํ หรบั ผแู้ สดงนัง มเี พยี งราวทําจากไมไ้ ผว่ างพาดตามสว่ นยาวของ โรงเท่านัน มชี อ่ งใหผ้ แู้ สดงในบทของตัวพระหรอื ตัวยกั ษ์ ทีมี ตําแหน่งและยศถาบรรดาศักดิ สามารถเดินวนได้รอบราวซงึ สมมุติ ใหเ้ ปนเตียง ในสว่ นผแู้ สดงทีรบั บทเปนเสนายกั ษ์ เขนยกั ษ์ เสนาลิง หรอื เขนลิง คงนังพนื แสดงตามปกติ มกี ารพากยแ์ ละเจรจา ไมม่ บี ทขบั รอ้ ง วงปพาทยบ์ รรเลงเพลง หน้าพาทยเ์ ชน่ กราวใน กราวนอก ฯลฯ ในการแสดงใชป้ พาทย์ สาํ หรบั บรรเลงเพลงถึงสองวง เนืองจากต้องบรรเลงเปน จาํ นวนมาก โดยตําแหน่งของปพาทยต์ ัวแรกจะตังอยูบ่ รเิ วณ หวั โรง ตําแหน่งของปพาทยต์ ัวทีสองจะตังอยูบ่ รเิ วณท้ายโรง และกลายเปนทีมาของการเรยี กวา่ \"วงหวั และวงท้ายหรอื วง ซา้ ยและวงขวา
6 โขนโรงใน โขนโรงในเปนโขนทีนําศิลปะการแสดงของละครใน เขา้ มาผสมผสานระหวา่ งโขนกับละครใน ในรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟาจุฬาโลกมหาราช รชั กาลที 1 และพระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศ หล้านภาลัย รชั กาลที 2 รวมทังมรี าชกวภี ายในราชสาํ นัก ชว่ ยปรบั ปรงุ ขดั เกลาและประพนั ธบ์ ทพากย์ บท เจรจาใหม้ คี วามคล้องจอง ไพเราะสละสลวยมากยงิ ขนึ โดยนําท่าราํ ท่าเต้น และบทพากยเ์ จรจาตามแบบ โขนมาผสมกับการขบั รอ้ ง เปนการปรบั ปรุงววิ ฒั นาการของโขน ในการแสดงโขนโรงใน ผแู้ สดงเปนตัวพระ ตัวนางและเทวดา เรมิ ทีจะไมต่ ้องสวมหวั โขนในการแสดง มกี ารพากยแ์ ละเจรจา ตามแบบฉบบั ของการแสดงโขน นําเพลงขบั รอ้ งประกอบ อากัปกิรยิ าอาการของตัวละคร และเปลียนมาแสดงภายในโรง แบบละครในจงึ เรยี กวา่ โขนโรงใน มปี พาทยบ์ รรเลงสองวง ปจจุบนั โขนทีกรมศิลปากรนําออกแสดงนัน ใชศ้ ิลปะการแสดง แบบโขนโรงในซงึ เปนการแสดงระหวา่ งโขนกลางแปลงและโขน หน้าจอ โขนฉาก โขนฉากเปนการแสดงโขนทีถือกําเนิดขนึ ครงั แรก ในสมยั ของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยูห่ วั รชั กาลที 5 โปรดใหม้ กี าร จดั ฉากในการแสดงแบบละครดึกดําบรรพป์ ระกอบตามท้องเรอื ง แบง่ เปนฉากเปนองก์ เขา้ กับเหตกุ ารณ์และสถานที จงึ เรยี กวา่ โขน ฉาก ปจจุบนั การแสดงโขนของกรมศิลปากร นอกจากจะแสดงโขน โรงในแล้ว ยงั จดั แสดงโขนฉากควบค่กู ันเชน่ ชุดปราบกากนาสรู ชุดมยั ราพณ์สะกดทัพ ชุดนางลอย ชุดนาคบาศ ชุดพรหมาสตร์ ชุดศึกวริ ุญจาํ บงั ชุดทําลายพธิ หี งุ นําทิพย์ ชุดสดี าลยุ ไฟและปราบ บรรลัยกัลป ชุดหนุมานอาสา ชุดพระรามเดนิ ดงและ ชุดพระรามครองเมอื ง การแสดงโขนทกุ ประเภทมวี วิ ฒั นาการ มายาวนานตังแต่สมยั อยุธยาจนถึงปจจุบนั รูปแบบและวธิ กี าร แสดงของโขนได้มกี ารปรบั เปลียนไปตามยุคตามสมยั แต่คง รูปแบบและเอกลักษณ์เฉพาะของการแสดงเอาไว้
4 โขนนอกตํารา โขนสด เปนการแสดงทีผสมผสานทางวฒั นธรรม ทีปรบั ปรุงมาจากการแสดงโขนใหม้ คี วามเรยี บง่าย มกี ารปรบั เปลียนลดท่าราํ การแต่งกาย การขบั รอ้ ง คําพากยแ์ ละการเจรจา เปนการแสดงทีเกิดจากผสม ผสานการแสดง 3 ชนิดคือ โขน หนังตะลงุ และลิเก ไมม่ กี ารพากยเ์ สยี งและเจรจา โดยผแู้ สดงจะเปนผพู้ ูด บทเจรจาเอง แต่งกายยนื เครอื ง สวมหวั โขนบนศีรษะแต่ไมค่ ลมุ หน้า สามารถมองเหน็ ใบหน้าของผแู้ สดง ได้อยา่ งชดั เจน ได้รบั ความนิยมอยา่ งแพรห่ ลายในชนบท แสดงด้วยกิรยิ าท่าทางโลดโผน จรงิ จงั กวา่ การ แสดงโขนมาก โขนหน้าไฟ เปนการแสดงโขนทีมกั นิยมจดั แสดงในตอน กลางวนั หรอื แสดงเฉพาะตอนพระราชทานเพลิงศพ เปนการ แสดงในชว่ งระยะเวลาสนั ๆ โดยมจี ุดประสงค์ในการแสดงเพอื เปนการแสดงความเคารพและใหเ้ กียรติแก่ผเู้ สยี ชวี ติ หรอื เจา้ ภาพ ของงาน รวมทังเปนการแสดงคันเวลาใหแ้ ก่ผทู้ ีมารว่ มงานได้ชม การแสดงก่อนถึงเวลาพระราชทานเพลิงจรงิ แต่เดิมโขนหน้าไฟ ใชส้ าํ หรบั ในงานพระราชพธิ ี รฐั พธิ หี รอื งานของเจา้ นายเชอื พระวงศ์ชนั สงู เสนาขุนนางอํามาตยเ์ ชน่ พระราชพธิ พี ระราชทาน เพลิงพระศพพระบรมวงศานุวงศ์ ณ บรเิ วณท่งุ พระเมรุหรอื ท้องสนามหลวง โขนนอนโรง เปนการแสดงโขนทีมกั นิยมแสดงในเวลาบา่ ย ก่อนวนั แสดงจรงิ ของโขนนังราว แสดงตอน \"เขา้ สวนพริ าพ\" ซงึ เหมอื นกับงิวเบกิ โรง เพยี งเรอื งเดียวเท่านัน มปี พาทยส์ องวงใน การบรรเลงเพลงโหมโรง แสดงเพยี งชว่ งระยะเวลาสนั ๆ โดยก่อน แสดงจะมผี แู้ สดงออกไปเต้นกระท้งุ เสาทัง 4 มุมของโรงแสดง ซงึ การกระท้งุ เสานัน เปนการทดสอบความแขง็ แรงของเวทีในการรบั นําหนักตัวของผแู้ สดง สมยั ก่อนเวทีสาํ หรบั แสดงใชว้ ธิ ขี ุดหลมุ ฝง เสาและใชด้ ินกลบ ทําใหร้ ะหวา่ งทําการแสดงเวทีเกิดการทรุดตัว เปนเหตผุ ลใหอ้ าจารยผ์ ทู้ ําการฝกสอน มกั ใหผ้ แู้ สดงไปเต้นตามหวั เสาทัง 4 มุมของเวที เพอื ใหก้ ารเต้นนันชว่ ยกระท้งุ หน้าดนิ ทีฝงเสา ไวใ้ หเ้ กิดความแน่นมากขนึ โขนชกั รอก เปนการแสดงโขนทีไมค่ ่อยได้รบั ความนิยมมาก นัก จากหลักฐานทางประวตั ิศาสตรท์ ําใหส้ นั นิษฐานได้วา่ โขนชกั รอกนันมกี ารตังแต่ในสมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา จุฬาโลกมหาราช รชั กาลที 1 เปนการแสดงโขนในโรงแสดงทีปลกู ขนึ โดยเฉพาะ ยกพนื สงู และมหี ลังคา แสดงเหมอื นกับโขนทกุ ประการ แตกต่างเพยี งแต่ผแู้ สดงนันสามารถลอยตัวขนึ ไปใน อากาศด้วยการชกั รอก มอี ุปกรณ์ทีใชเ้ ปนจาํ นวนมาก เปนเหตผุ ล สาํ คัญทีทําใหโ้ ขนชกั รอกไมค่ ่อยปรากฏใหเ้ หน็ มากนัก
7 โ ข น ใ น พ ร ะ ร า ช สาํ นั ก ในสมยั โบราณขา้ ราชการ มหาดเล็ก พระบาทสมเดจ็ พระมงกฏุ ทีรบั ราชการในสาํ นกั พระราชวงั มกั ไดร้ บั เกล้าเจา้ อยูห่ วั ผกู้ ่อตังคณะ การพจิ ารณาคัดเลือกใหฝ้ กหดั แสดงโขน โขนสมคั รเล่นตามแบบ เนอื งจากโขนนนั ถือเปนการละเล่นของ ธรรมเนยี มโบราณ ผมู้ ยี ศถาบรรดาศักดิ ใชส้ าํ หรบั แสดงใน งานพระราชพธิ เี ท่านนั ทําใหต้ ้องมกี าร คัดเลือกผแู้ สดงทีมคี วามสามารถ ฉลาดเฉลียว จดจาํ และฝกหดั ท่าราํ ท่า เต้นต่าง ๆ ใหเ้ ขา้ ใจไดโ้ ดยง่าย ดงั คําสนั นษิ ฐานของสมเดจ็ กรมพระยา ดาํ รงราชานภุ าพ ความวา่ \"บางทีเกิดมี 'กรมโขน' จะมาแต่การเล่นดกึ ดาํ บรรพ์ ในพระราชพธิ อี ินทราภิเษกนเี อง โดยทํานองจะมพี ระราชพธิ อี ืนอันมกี าร เล่นแสดงตํานานเนอื ง ๆ จงึ เปนเหตใุ ห้ ฝกหดั โขนหลวงนขี นึ ไว้ สาํ หรบั เล่น ในการพระราชพธิ ี เอามหาดเล็กหลวง มาหดั เปนโขนตามแบบแผน ซงึ มอี ยู่ ในตําราพระราชพธิ อี ินทราภิเษก\" แต่เดมิ นนั ใชผ้ ชู้ ายล้วนในการแสดงทังตัวพระ และตัวนาง การไดร้ บั คัดเลือกใหแ้ สดง โขนในสมยั นนั ถือเปนความภาคภมู ใิ จ ต่อผทู้ ีไดถ้ กู รบั คัดเลือก เนอื งจากโขน เปนศิลปะการแสดงชนั สงู และกลายเปน ประเพณสี บื ต่อจนถึงกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ทีผแู้ สดงโขนในพระราชสาํ นกั จะต้องเปน พวกมหาดเล็ก ขา้ ราชการหรอื บุตรหลาน ขา้ ราชการเท่านนั
8 ยุ ค เ จ ริ ญ รุ่ ง เ รื อ ง เพ่ิมขอความในสวนเน้ือหาเลก็ น อย ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุ ทธยอดฟาจุ ฬาโลกมหาราช ได้มีการพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เจ้านายชันสูง ขุนนางชันผู้ใหญ่ เสนา อํามาตย์และผู้ว่าราชการเมือง เข้ารบั การฝกหัดโขนเพือเปนการประดับเกียรติยศ แก่ตนเองและวงศ์ตระกูล โปรดให้หัดไว้เฉพาะแต่เพียงผู้ชายตามประเพณีดังเดิม ทําให้ผู้ทีฝกหัดโขน มีความคล่องแคล่วว่องไว สามารถใช้อาวุธต่าง ๆ ในการต่อสู้ ได้อย่างชาํ นาญ รวมทังโปรดให้มีการแต่งบทละครสาํ หรบั แสดงโขนขึนอีกด้วย ทําให้เจ้านายชันสูงจาํ นวนมากต่างหัดโขนไว้ในคณะของตนเองหลากหลายคณะ เช่น โขนของกรมหมืนเจษฎาบดินทร์ หรอื พระบาทสมเด็จพระนังเกล้าเจ้าอยู่หัว และโขนของกรมพิทักษ์เทเวศร์ เปนต้น และมีการประกวดแข่งขันประชันฝมือ รวมทังได้มีการฝกหัดโขนให้พวกลูกทาสและลูกหมู่ ซึงเปนผู้ทีสังกัดกรมกองต่างๆ ตามวิธีควบคุมทหารแบบโบราณอีกด้วย ทําให้โขนในสมัยนันได้รบั ความนิยมอย่าง แพรห่ ลาย ต่อมาในสมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระมงกฏุ เกล้าเจา้ อยูห่ วั รชั กาลที 6 ประทับ ณ พระราชวงั สราญรมย ์ ไดโ้ ปรดใหม้ กี ารฝกหดั โขนขนึ ตามแบบโบราณ โดยมชี อื คณะวา่ \"โขนสมคั รเล่น\" โปรดใหย้ มื ครผู ฝู้ กสอนจากเจา้ พระยาเทเวศ์ววิ ฒั น์ จาํ นวน 3 คน ไดแ้ ก่ขุนระบาํ ภาษา (ทองใบ สวุ รรณภารต) ต่อมาภายหลังไดร้ บั การเลือนบรรดาศักดิ โดยลําดบั จนถึงพระยาพรหมาภิบาล ทําหนา้ ทีเปนครยู กั ษ์ ผฝู้ กหดั สอนโขนในตัวยกั ษ์ ขุนนฏั กานรุ กั ษ์ (ทองดี สวุ รรณภาร) ต่อมาภายหลังไดท้ ําหนา้ ทีเปนครพู ระและครนู าง ผฝู้ กหดั สอนโขนในตัวพระและตัวนางขุนพาํ นกั นจั นกิ ร (เพมิ สคุ รวี กะ) ภายหลังไดร้ บั การโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดเิ ปนพระดกึ ดาํ บรรพป์ ระจง ทําหนา้ ทีเปนครลู ิง ผฝู้ กหดั สอนโขนในตัวลิงสาํ หรบั ผทู้ ีเขา้ รบั การฝกหดั โขนนนั ล้วนเปนผทู้ ีถวายงานรบั ใช้ ใกล้ชดิ พระองค์มาโดยตลอดเชน่ ลกู ขุนนาง เจา้ นายและมหาดเล็ก เปนต้น ทรงฝกหดั โขน ดว้ ยความเอาพระทัยใสเ่ ปนอยา่ งยงิ รวมทังสนบั สนนุ ในการแสดงโขนมาโดยตลอด เคยนาํ ออกแสดงในงานสาํ คัญสาํ คัญหลายครงั เชน่ งานเปดโรงเรยี นนายรอ้ ย (ทหารบก) ชนั มธั ยม เมอื วนั เสารท์ ี 25 ธนั วาคม ร.ศ. 128 (พ.ศ. 2452) ดงั ความในสจู บิ ตั รทีแจกจา่ ยใน งาน
9 ยุ ค เ สื อ ม โ ท ร ม เพม่ิ ขอความในสว นเน้ือหาเล็กน อย โขนทีเจรญิ รุง่ เรอื งจนถึงขีดสุดในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เรมิ มีผู้ทีนาํ เอาโขนไปรบั จ้างแสดงในงานต่าง ๆ เช่นงานศพหรอื งานทีไม่มีเกียรติ เพียงเพือหวังค่าตอบแทน ทําให้โขนเรมิ ถูกมองไปในทางทีไม่ดี กลายเปนการแสดง ทีไม่สมฐานะของผู้แสดง ไม่คํานึงถึงเกียรติยศของการแสดงศิลปะชันสูงทีได้รบั ความนิยมยกย่อง เนืองจากแต่เดิมนันโขนเปนการแสดงทีมีเกียรติและศักดิศรี ใช้สาํ หรบั แสดงในงานพระราชพิธีเท่านัน ทําให้ความนิยมในโขนเรมิ เสือมลงอย่าง รวดเรว็ ประกอบกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทาน พระบรมราชานุญาตให้เจ้านายชันสูง และเสนาอํามาตย์มีละครหญิง แต่เดิมมีเฉพาะ พระมหากษัตรยิ ์ได้ ดังพระราชปรารภว่า\"มีละครด้วยกันหลายรายดี บ้านเมืองจะได้ ครกึ ครนื จะได้เปนเกียรติยศแก่แผ่นดิน\" ทําให้ส่งผลกระทบกระเทือนอย่างใหญ่ หลวงต่อการแสดงโขนในพระราชสาํ นักของเจ้านายชันสูงและขุนนางชันผู้ใหญ่ การแหวกมา่ นประเพณขี องพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยูห่ วั ทีพระราชทาน อนญุ าตใหม้ ลี ะครหญงิ ไดน้ นั ทําใหเ้ จา้ นายชนั สงู เสนาอํามาตยข์ ุนนางต่าง ๆ พากัน เปลียนแปลงเพศของผแู้ สดงในสงั กัดตนเองเปนอยา่ งมาก ทําใหแ้ ต่เดมิ โขนทีมเี ฉพาะ ผชู้ ายล้วนนนั เรมิ มกี ารเล่นผสมผสานกับละครหญงิ ทีไดร้ บั ความนยิ มแทนทีโขนอยา่ ง รวดเรว็ เปนเหตใุ หห้ วั หนา้ คณะทีเคยฝกหดั และทํานบุ าํ รงุ โขนไว้ ก็เรมิ เปลียนแปลง การแสดงในสงั กัดตนเอง บางรายก็มโี ขนและละครหญงิ ควบค่กู ันไป บางรายถึงกัยยกเลิก โขนในสงั กัดและเปลียนมาหดั ละครหญงิ เพยี งอยา่ งเดยี ว ทําใหโ้ ขนค่อย ๆ สญู หายไป ยกเวน้ บางสงั กัดทีมคี วามนยิ มชมชอบศิลปะไทยแบบโบราณเชน่ โขน ทียงั คงอนรุ กั ษ์รกั ษา ไวส้ บื ต่อมาจนถึงปจจุบนั และโขนหลวงทีพระมหากษัตรยิ ท์ รงอุปถัมภ์ไวเ้ ท่านนั รวมทังได้ ก่อตังเปนกรมโขนขนึ ก่อนจะยกเลิกไปในสมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระนงั เกล้าเจา้ อยูห่ วั รชั กาลที 3 ต่ออมาภายหลังจากพระบาทสมเดจ็ พระมงกฏุ เกล้าเจา้ อยูห่ วั เสดจ็ สวรรคต แล้ว โขนทีเรมิ เขา้ สยู่ ุคเสอื มโทรมก็ยงิ ตกตําลงอยา่ งรวดเรว็ ทังในดา้ นของสภาพจติ ใจผู้ แสดงและในดา้ นของศิลปวตั ถ ุ และในสมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจา้ อยู่ หวั รชั กาลที 7 โปรดใหเ้ ลิกโรงมหรสพต่าง ๆ รวมทังโขน เนอื งจากมหรสพต่าง ๆ นนั เปนการสนิ เปลืองพระราชทรพั ยใ์ นท้องพระคลังเปนอยา่ งมาก และโอนงานทางดา้ น นาฏศิลปและศิลปะ ใหอ้ ยูภ่ ายใต้สงั กัดของกรมศิลปากร
10 ลั ก ษ ณ ะ บ ท โ ข น การพากยเ์ มอื งหรอื พากยพ์ ลับพลา ใชส้ าํ หรบั พากยเ์ วลาผแู้ สดงตัวเอก หรอื ผู้ \"ครนั รงุ่ แสงสรุ ยิ โอภา พุง่ พน้ เวหา แสดงออกท้องพระโรงหรอื ออกพลับพลา คิรยี อดยุคันธร เอชอน่ กทปศระกทัณับใฐน์ พปรราะรสาามทหหรรอือื พพรละับลพักลษามโณดใเนปย์เสนกมดาเีพรจ็ แลสงดเปงดโขเนมอื เสมจะทอืบ้อสเเเสรพนมดมิ ทเลดจ็ แังงอจ็ สไจอตพดงึกรรงโจนะลหวะงั กรเงหราวิ ปนมิงา้พศกพ์ทาาลทรรับงแยพศสจ์ ลรดะาบงรฤรดพทเาํรลธเอ้ นงเิ มลเนิ ดพือเว้งรลยลอืงเืองสโขหนโจดมารยโรใชง้ พตขอัวรงอะรพยาา่เิมภงเบกสทดสพ็จคุ อารกอพี ยกหก์พนาลพุมับยาพนฉ์ ลแบาลงั ระ1เบั ห6กลาต่ารเอเสขนนา้ คขเาเชฝอลําน่ พิงงา ผากแู้ ยสแ์ ดลงะเคหํามเอืจศสรนดิจโลรบัาตะเคคปมพดรกนเิ โีภใ้มดหนกกยลสรถักคุ าวบรลิ พกีผ\"รหแู้ ากนสนมุาดรางนเลท่นกุ โคขนนใแนนตอส่เบมดนยั มิ อ้ โไมบมทรม่ ลูาบี ณสทาตรร้ออ้ งง สวมหวั โขน ยกเวน้ ตัวตลกทีใชใ้ บหนา้ จรงิ ในการแสดง ทําใหต้ ้อง การพากยร์ ถหรอื พากยพ์ าหนะมผี ทู้ ําหนา้ ทีสาํ หรบั พากยแ์ ละเจรจาถ้อยคําต่าง ๆ แทนตัวผู้ แสดง ลักษณะบทโขนในสมยั โบราณ แบง่ ออกเปน 3 ประเภทคือ ใชส้ าํ หรบั พากยเ์ วลาผแู้ สดงเอ่ยชมพาหบนทะรอ้ ง บทพากย์ บท\"เสจดรจ็ ทารงรถเพชรเพชรพราย พรายแสงแสงฉาย จาํ รญู จาํ รสั รศั มี และการจดั กระบวนทัพเชน่ รถ มา้ ชา้ ง หรอื อําไพไพโรจนร์ จู ี สหี ราชราชสหี ์ สงิ อืนใดทีเปนพาหนะ หรอื ใชพ้ ากยเ์ วลาผู้ ชกั รชรถรถทรง แสดงตัวเองทรงพาหนะตลอดจนชมไพรพ่ ล ดมุ หนั หนั เวยี นวง กึกก้องก้องดง โดยมตี ัวอยา่ งบทพากยก์ าพยฉ์ บงั 16 เชน่ เสทือนทังไพรไพรวนั พระราม พระลักษมณ์ ทรงราชรถออกทําศึก ยกั ษาสารถีโลทัน เหยยี บยนื ยนื ยนั กับทศกัณฐแ์ ละเหล่าเสนายกั ษ์ ก่งศรจะแผลแผลงผลาญ การพากยโ์ อ้หรอื การพากยร์ าํ พนั ใชส้ าํ หรบั พากยเ์ วลาผแู้ สดงมอี าการเศรา้ โศก เสยี ใจ เรมิ ทํานองตอนต้นเปนการพากย์ ตอน อนจิ จาเจา้ เพอื นไร้ มาบรรลัยอยูเ่ อองค์ ท้ายเปนทํานองการรอ้ งเพลงโอ้ป มคี วาม พจี ะไดส้ งิ ใดปอง พระศพนอ้ งในหมิ วา แตกต่างจากการพากยป์ ระเภทอืนตรงทีมี เขา้ ยงั นเิ วศนอ์ ยุธยา เครอื งดนตรรี บั ก่อนทีลกู ค่จู ะรอ้ งรบั วา่ เพย้ จะเชญิ ศพพระเยาวเรศ จะพโิ รธพไิ รเรยี ม ทังพระญาติวงศา โดยมตี ัวอยา่ งบทพากยย์ านี 11 เชน่ พระราม โศกเศรา้ ราํ พนั ถึงนางสดี า ซงึ การแสดงโขนในครงั นนั เกิดการรบกันจรงิ ระหวา่ งผแู้ สดงทัง การพากยบ์ รรยายสองฝาย จนเกิดการบาดหมางระหวา่ งวงั หนา้ และวงั หลัง จน กระทังสมเดจ็ เจา้ ฟากรมพระยาเทพสดุ าวด ี และสมเดจ็ เจา้ ฟากรม ใมสชงิาส้ เใปดาํ หนสรไงิ ปบั หขพนอาึงงกสเยปงิ เ์ นวขลบอารงบบินรทันรกยๆาารยหขครยอืวาาใยชมคส้ เปวาํ หานมพสเรมจเมบัรา้าปะเมขนดศอหจ็รงาพสี สดุ รรุ ะาสพรงิ กัุทหษธน์ ยาออทงด สคฟมตเ์วคดเศิา้อันมิดจวงหทจ็กุฬนเีธรพสานงึ รโดพรรูมลตะัจ็รไกพซะนมวรมนี ษิา้ หเาณปงาุรนทาผังชสไู้ กอลแง่เลพกวปสระรรลรุ สฤะระียดทมอาษิใชธเงหดะฐเิ คกนแ้ะจ็ สรา์ขกรพยีออา่วงงรยงงัไถะณกพหวบรา์นรวยะรา้ บแราาลทชะ คบพทันากพศยราร์กทาํยีพพฉ์ รงึ บะรวงั าํศิ 1พว6นักใเรดชรน่ มๆสบแรรลา้รงะยมถาตี วยัวาตยอํายนา่ างนตวขรงัอ้ตัอหสนนลนั ยธังนนกษิูททฐัพังาสรนบอวแงา่ ฝลเหะคกากตยอันาใุบหจดรกนงึ ครกไิจงึยมรบจานนัอเ่ ระบชาํ กเมทแมญินาลูเสอืรพมลถยมดหิกนืวญุันงาาบทีเยโทักขาพดนมหกเี คมลราางอืงซงแงึดป--ษศกญธนลิวะันตปงกะะพเแร็แจรทละสลงึวีวชีสนะงะนาเเุกจบททปยิ ะดันววโพมกนีานั าแรนัททธสําายดใหไ์ งมเ้ ปต่ นํา พระนารายณ์ตอนอวตารมาเปนพระรากมวา่ สองวงในการกบมุ รแรสเลงธงนคู ลาณ พธิ พี ลีกรณ\"์
11 ลั ก ษ ณ ะ บ ท โ ข น การพากยช์ มดง ใชส้ าํ หรบั พากยเ์ วลาผแู้ สดงชมสภาพ \"เค้าโมงจบั โมงมองเมยี ง ค่เู ค้าโมงเคียง ภมู ปิ ระเทศ ปาเขา ลําเนาไพรและสตั วป์ าน้อย เคียงค่อู ยูป่ ลายไมโ้ มง ใหญ่ เรมิ ทํานองตอนต้นเปนทํานองรอ้ ง ลางลิงลิงเหนยี วลดาโยง ค่อยยุดฉดุ โชลง เพลงชมดงใน ตอนท้ายเปนทํานองกาใรนพกาากรยแส์ ดงโขน เโมลดอื ไเลร่ใมินแกสลาดงงลวางงลปิงพาทยจ์ ะบรรเลงเพลงโหมโรง ธรรมดา โดยมตี ัวอยา่ งบทพากยฉ์ บงั เ1ป6นเเพชน่ลงเปด เมอื จบเพชงิ ลชงงั จนงึ กจชะงิ เกรันมิ สกงิ ารแสดง รดงั าํ ใเคนรนิ ใคเรชอื งิ งโดยใช้ พระราม พระลักษมณ์และนางสดี า เอ่ยคชํามพากยแ์ ละคําเจชรงิจกาันเปจนบั หต้นลชักงิ ชนั การเล่นโขนแต่เดมิ ไมม่ บี ทรอ้ ง หลังจากออขกอจงาผกแู้ สดงเหมอื หนนั ลเะหคนยรบีกใเยนลูงียจบบั ไพตผย่ไมแูู้งพ้ ยสยนืดูงยง\"นั ทกุ คนในแสผมห่ ายั งโเบหรยี านณหนั ต้อง สภาพปาทีมคี วามสวยงาม สวมหวั โขน ยกเวน้ ตัวตลกทีใชใ้ บหนา้ จรงิ ในการแสดง ทําใหต้ ้อง เมอื งเพอื บวชเปนฤษีในปา การพากยเ์ บด็ เตล็ดมผี ทู้ ําหนา้ ทีสาํ หรบั พากยแ์ ละเจรจาถ้อยคําต่าง ๆ แทนตัวผู้ แสดง ลักษณะบทโขนในสมยั โบราณ แบง่ ออกเปน 3 ประเภทคือ ใชส้ าํ หรบั พากยใ์ ชใ้ นโอกาสทัว ๆ ไปในกบาทรรอ้ ง บทพากย์ บท\"เสจดรจ็ ทารงรถเพชรเพชรพราย พรายแสงแสงฉาย จาํ รญู จาํ รสั รศั มี แสดง เปนการพากยเ์ รอื งราวเล็ก ๆ น้อย ๆ อําไพไพโรจนร์ จู ี สหี ราชราชสหี ์ ทีไมจ่ ดั อยูใ่ นการพากยป์ ระเภทใด รวมทังการ ชกั รชรถรถทรง เอ่ยกล่าวถึงใคร ทําอะไร อยูท่ ีไหนหรอื พูดกับ ดมุ หนั หนั เวยี นวง กึกก้องก้องดง ใคร โดยมตี ัวอยา่ งบทพากยฉ์ บงั 16 เชน่ เสทือนทังไพรไพรวนั พระรามสงั ใหห้ นุมาน องคตและชมพูพาน ยกั ษาสารถีโลทัน เหยยี บยนื ยนื ยนั ไปสบื เรอื งของนางสดี าทีถกู ทศกัณฐล์ ักพา ก่งศรจะแผลแผลงผลาญ ตัวไป สาํ หรบั บทเจรจานัน แตกต่างจากบทรอ้ งและบทพากยต์ รงทีเปนบทกวแี บบรา่ ยยาว มกี ารสง่ และรบั คําสมั ผสั อยา่ งต่อเนือง ใชถ้ ้อยคําสละสลวย คล้องจอง มสี มั ผสั นอกสมั ผสั ใน บทเจรจาในการ แสดงโขนเปนบททีคิดขนึ ในขณะแสดง เปนความสามารถและไหวพรบิ ปฏิภาณเฉพาะตัวของผเู้ จรจา ปจจุบนั บทเจรจามกี ารแต่งเตรยี มไวแ้ ล้ว ผพู้ ากยบ์ ทเจรจาจะวา่ ตามบทใหเ้ กิดอารมณ์คล้อยตาม ถ้อยคํา โดยใชน้ ําเสยี งในการเจรจาใหเ้ หมาะกับตัวโขน การพากยบ์ ทเจรจาใชผ้ ชู้ ายเปนผใู้ หเ้ สยี งไมต่ ํา กวา่ สองคน เพอื ทําหน้าทีทังพากยแ์ ละเจรจา บางครงั มกี ารเหน็บแนมเสยี ดสโี ต้ตอบระหวา่ งกัน ถ้าในการแสดงโขนมบี ทรอ้ ง ผพู้ ากยแ์ ละเจรจาจะต้องทําหน้าทีบอกบทใหแ้ ก่ผแู้ สดงอีกดว้ ย
12 บ ท ล ะ ค ร สาํ ห รั บ แ ส ด ง โ ข น บทละครทีใช้สาํ หรบั ประกอบการแสดงโขน ปจจุบันใช้รามเกียรติเพียงเรอื งเดียว เปนเพบ่มิ ทขลอ ะคควรามทใีมนีสสวาํ นนเวนน้ือหหาลเาลก็กนห อลยายภาษาเช่น ภาษาไทย ภาษาชวา ภาษาเขมรและ ภาษาสันสกฤต เปนต้นกําเนิดของรามเกียรติหรอื รามายณะเมือหลายพันปก่อน แต่งโดยฤๅษีวาลมิกิ ชาวอินเดียในสมัยโบราณให้ความเคารพนับถือบทละครเรอื ง รามเกียรติ เชือกันว่าหากได้อ่านหรอื ฟงจะสามารถลบล้างบาปและความผิดทีได้ กระทําไว้ บทละครรามเกียรติสมยั กรุงศรอี ยุธยา จากจดหมายเหตลุ าลแู บรท์ ีมกี ารบนั ทึกเรอื งราวเกียวกับโขน ทําใหส้ ามารถระบุไดว้ า่ การ แสดงโขนนนั ต้องมมี าแต่ก่อนในสมยั สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช ปจจุบนั ต้นฉบบั คําฉันท์ สญู หายไปเกือบหมดตามกาลเวลา มกี ารกล่าวถึงในหนงั สอื จนิ ดามณขี องพระโหราธบิ ดี เพยี ง 3 - 4 บทเท่านนั คือ บทละครตอนพระอินทรส์ งั ใหพ้ ระมาตลุ ีนาํ ราชรถมาถวายยงั สนามรบ บทละครตอนพระรามโศกเศรา้ เสยี ใจ ราํ พนั คราํ ครวญเมอื คราวทีทศกัณฐล์ ักพา ตัวนางสดี า บทละครแบบพรรณาตอนมหาบาศบุตรของทศกัณฐ์ และบทละครตอนพเิ ภก คราํ ครวญหลังทศกัณฐล์ ้มรามเกียรติคําพากย์ เปนบทเพญ็ ละครทีหอสมุดแหง่ ชาติ กรมศิลปากร ไดท้ ําการแบง่ ตีพมิ พไ์ วเ้ ปนภาค ๆ เปนการดาํ เนนิ เรอื งติดต่อกันตังแต่ภาค 2 ตอนสดี าหาย จนถึงภาค 9 ตอนกมุ ภกรรณล้ม รปู แบบการแต่งเปนบทพากยท์ ีค่อนขา้ ง ยาวและสนั แต่เดมิ ใชพ้ ากทยส์ าํ หรบั เล่นหนงั ใหญ่ ภายหลังนาํ มาใชป้ ระกอบในการเล่นโขน ดว้ ย นอกจากรามเกียรติคําฉันท์และรามเกียรติคําพากยแ์ ล้ว ยงั มบี ทละครนริ าศสดี าหรอื ราชาพลิ าป ทีพระโหราธบิ ดคี ัดลอกนาํ มาใสใ่ นหนงั สอื จนิ ดามณหี ลายบท สาํ หรบั บทละคร นริ าศสดี านี ทางกรมศิลปากรเคยตีพมิ พน์ าํ เสนอเผยแพรค่ รงั หนงึ ในหนงั สอื วชริ ญาณ ตอนที 49 ฉบบั ประจาํ เดอื นกมุ ภาพนั ธ ์ ร.ศ. 120 บทละครรามเกียรติในสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา มบี างสาํ นวนกล่าวถึงตอนพระรามประชุมพลจนถึงตอนองคตสอื สาร เปนบท ละครทีไมเ่ คยตีพมิ พเ์ ผยแพรท่ ีใดมาก่อน เมอื นาํ มาเปรยี บเทียบกับบทละครรามเกียรติใน สมยั พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟาจุฬาโลกมหาราช รชั กาลที 1 พบวา่ เนอื ความบางตอน ไมต่ รงกัน ถ้อยคําต่าง ๆ ดไู มเ่ หมาะสม จงึ เขา้ ใจวา่ บทละครดงั กล่าวเปนบทละคร รามเกียรติฉบบั เชลยศักดิ ทีมผี คู้ ัดลอกไวใ้ นสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา
13 บทละครรามเกียรติสมยั กรุงธนบุรี บทละครรามเกียรติสมยั กรงุ ธนบุรี เปนบทละครทีสมเดจ็ พระเจา้ กรงุ ธนบุรที รงพระราช นพิ นธไ์ วเ้ พยี ง 4 ตอนเท่านนั ปรากฏหลักฐานในการแต่งในสมุดไทยดาํ โดยทรงพระราช นพิ เนพธม่ิ บ์ ขทอ คลวะคามรใไนมสเ่ รวยีนงเนต้ือาหมาลเลํา็กดนบั อกย่อนหลังของเนอื เรอื งคือ บทละครเล่ม 1 ตอนพระมงกฎุ บทละครเล่ม 2 ตอนหนมุ านเกียวนางวานรนิ ทร์ จนถึงท้าวมาลีวราชเสดจ็ มา บทละครเล่ม 3 ตอนท้าวมาลีวราชวา่ ความจนถึงทศกัณฐเ์ ขา้ เมอื งและตอนทศกัณฐต์ ังพธิ ที รายกรด บทละครเล่ม 4 ตอนพระลักษมณต์ ้องหอกกบลิ พทั จนถึงหนมุ านผกู ผมนางมณโฑกับ ทศกัณฐ์ บทละครรามเกียรติสมยั รตั นโกสนิ ทร์ ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยูห่ วั รชั กาลที 4 ทรงพระราชนพิ นธบ์ ทละคร เรอื งรามเกียรติเพมิ อีกหนงึ สาํ นวนคือ ตอนพระรามเดนิ ดง เปนหนงั สอื 4 เล่มสมุดไทย นอกจากนนั ยงั ทรงพระราชนพิ นธแ์ ปลงบทละครเบกิ โรงเรอื งนารายณป์ ราบนนทกและ พระรามเขา้ สวนพระพริ าพเพมิ ขนึ อีก 2 ตอน รวมทังมกี ารปรบั ปรงุ บทละครเรอื ง รามเกียรติอีกครงั ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยูห่ วั ทีทรงพระราชนพิ นธ์ บทรอ้ งและบทพากยข์ นึ ใหมส่ าํ หรบั เล่นโขนขนึ มที ังหมด 10 ชุดคือ ชุดสดี าหาย ชุดเผาลงกา ชุดพเิ ภกถกู ขบั ชุดจองถนน ชุดประเดมิ ศึกลงกา ชุดนาคบาศ ชุดนางลอย ชุดอภิเษกสมรส ชุดพธิ กี มุ ภนยี าและชุดพรหมาสตร์ นอกจากนนั ยงั ทรงพระราชนพิ นธห์ นงั สอื บอ่ เกิดแหง่ รามเกียรติขนึ โดยทรงชแี จงไว้ ในหนงั สอื ความวา่ \"บทละครเรอื งรามเกียรติทีรวมอยูใ่ นเล่มนี เปนบททีขา้ พเจา้ ไดแ้ ต่งขนึ เปนครงั คราวสาํ หรบั เล่นโขน มไิ ดต้ ังใจทีจะใหเ้ ปนหนงั สอื กวนี พิ นธส์ าํ หรบั อ่านเพราะ ๆ หรอื ดาํ เนนิ เรอื งราวติดต่อกัน บทเหล่านไี ดแ้ ต่งขนึ สาํ หรบั ความสะดวกในการเล่นโขนโดย แท้ จงึ มที ังคํากลอนอันเปนบทรอ้ ง ทังบทพากย์ และเจรจาอยา่ งโขนระคนกันอยู่ ตามแต่ จะเหมาะแก่การเล่นออกโรงจรงิ \" ละมกี ารพฒั นาบทละครเรอื งมาจนถึงหลังสงครามโลก ครงั ที 2 กรมศิลปากรไดท้ ําการรอื ฟน ปรบั ปรงุ นาฏศิลป ละครและดรุ ยิ างคศิลปของไทย ขนึ มาใหมอ่ ีกครงั ในการรอื ฟนครงั นไี ดน้ าํ บทพระราชนพิ นธใ์ นรชั กาลที 1 และรชั กาลที 2 มาปรบั ปรงุ เพอื ใชส้ าํ หรบั แสดงโขนใหป้ ระชาชนไดช้ ม ต่อมาภายหลังไดป้ รบั ปรงุ บทโขน ตอนหนมุ านอาสาขนึ มาใหมอ่ ีกหนงึ เรอื ง มที ังบทขบั รอ้ งตามแบบละครใน มบี ทพากยบ์ ท เจรจาตามแบบการแสดงโขนแต่โบราณเชน่ ชุดปราบนางกากนาสรู ชุดมยั ราพณส์ ะกดทัพ ชุดนางลอย ชุดนาคบาศ ชุดพรหมาสตร์ ฯลฯ
14 ก า ร คั ด เ ลื อ ก แ ล ะ ฝ ก หั ด โ ข น ในการคัดเลือกผแู้ สดงและฝกหดั โขน แต่เดมิ จะใชน้ กั เรยี นชายทังหมดตามแบบ ประเพณโี บราณ อาจารยผ์ ทู้ ําการฝกหดั จะทําการคัดเลือกผแู้ สดงทีจะหดั เปนตัวละครต่าง ๆ เชน่ พระราม นางสดี า หนมุ าน ทศกัณฐ์ เปนต้น ตามปกติในการแสดงโขน จะประกอบ ดว้ ยตัวละครทีมลี ักษณะแตกต่างกัน 4 จาํ พวกไดแ้ ก่ ตัวพระ ตัวนาง ตัวยกั ษ์ ตัวลิง ตัวพระ การคัดเลือกตัวพระสาํ หรบั การแสดง จะคัดเลือกผทู้ ีลักษณะใบหน้า รูปไข่ สวยงาม คมคายเด่นสะดดุ ตา ท่าทางสะโอดสะองและผงึ ผาย ลําคอ ระหง ไหล่ลาดตรง ชว่ งอกใหญ่ ขนาดลําตัวเรยี ว เอวเล็กกิวคอดตาม ลักษณะชายงามในวรรณคดีไทยเชน่ พระอภัยมณี ศรสี วุ รรณ พระลอ สงั คามาระตา ฯลฯ สวมพระมหามงกฏุ หรอื มงกฎุ ยอดชยั หอ้ ยดอกไม้ เพชรด้านขวา สาํ หรบั การแสดงโขนทีมตี ัวละครเอกทีเปนตัวพระ 2 ตัวหรอื มากกวา่ นัน แบง่ เปนพระใหญ่หรอื พระน้อย ซงึ พระใหญ่ในการแสดงโขน หมายถึงพระเอก มบี ุคลิกลักษณะเหนือกวา่ พระน้อย เชน่ ในการแสดงโขน เรอื งรามเกียรติ พระรามเปนพระใหญ่ และพระลักษมณ์เปนพระน้อย หรอื ตอนพระรามครองเมอื ง พระรามเปนพระใหญ่ พระลักษมณ์ พระพรตและพระสตั รุตเปนพระน้อย เปนต้น ตัวนาง ตัวนางการคัดเลือกตัวนางสาํ หรบั การแสดง ในการแสดงโขนเรอื ง รามเกียรติ ตัวละครทีเปนตัวนางนันมเี ปนจาํ นวนมากเชน่ เปนมนุษย์ ได้แก่ นางสดี า นางมณโฑ นางไกยเกษี นางเกาสรุ ยิ า เปนเทพหรอื นาง อัปสรได้แก่ พระอุมา พระลักษม ี เปนกึงมนษุ ยก์ ึงสตั วไ์ ด้แก่ นางสพุ รรณ มจั ฉา นางกาลอัคคีนาคราช นางองนค์นาคี และเปนยกั ษ์ซงึ ในทีนหี มาย ถึงยกั ษ์ทีมลี ักษณะรูปรา่ งเหมอื นกับตัวนางทัวไป ไมไ่ ดม้ รี ูปรา่ งและใบหน้า เหมอื นกับยกั ษ์ได้แก่ นางเบญจกาย นางตรชี ฏา นางสวุ รรณกันยุมา และ ยกั ษ์ทีมลี ักษณะใบหน้าเหมอื นยกั ษ์แต่สวมหวั โขนไดแ้ ก่ นางสาํ มะนัก ขา อากาศตะไล ฯลฯ ซงึ ตัวละครเหล่านันสามารถบง่ บอกชาติกําเนิดของ ตนเองได้ จากสญั ลักษณ์ของการแต่งกายและเครอื งประดบั
15 ตัวยกั ษ์ ตัวยกั ษ์การคัดเลือกตัวยกั ษ์สาํ หรบั การแสดง จะคัดเลือกผทู้ ีมลี ักษณะ คล้ายกับตัวพระ รูปรา่ งสงู ใหญ่ วงเหลียมของผแู้ สดงเปนตัวยกั ษ์จนถึง การทรงตัวต้องดแู ขง็ แรง กิรยิ าท่าทางการเยอื งยา่ งแลดสู ง่างาม โดยเฉพาะผแู้ สดงเปนทศกัณฐ์ ซงึ เปนตัวละครสาํ คัญในเรอื งรามเกียรติ จะฝกหดั เปนพเิ ศษเพราะถือกันวา่ หดั ยากกวา่ ตัวอืน ๆ ต้องมคี วามแขง็ แรงของชว่ งขาเปนอยา่ งมาก เนืองจากในการแสดงจะต้องยอ่ เหลียมรบั การขนึ ลอยของตัวพระและตัวลิง ทศกัณฐเ์ ปนตัวละครทีมที ่วงท่าลีลา มากมายเชน่ ยามโกรธเกรยี วจะกระทืบเท้าตึงตังเสยี งดังโครมคราม หนั หน้าหนั หลังแสดงอารมณ์ด้วยกิรยิ าท่าทาง ยามสบายใจหรอื ดีใจ ก็จะนังกระดิกแขนกระดิกขา เปนต้น ตัวลิง ตัวลิงการคัดเลือกตัวลิงสาํ หรบั การแสดง จะคัดเลือกผทู้ ีมลี ักษณะ ท่าทางไมส่ งู มากนัก กิรยิ าท่าทางเพคิม่ล่อขงอ แคควลาม่ววใอ่นงสไววนตเานม้ือแหบบาเฉลบก็ บั นข ออยงลิง มกี ารดัดโครงสรา้ งของรา่ งกายใหอ้ ่อน ซงึ ลีลาท่าทางของตัวลิงนันจะไม่ อยูน่ ิงกับที ตีลังกาลกุ ลีลกุ ลนตามธรรมชาติของลิง สาํ หรบั ผทู้ ีจะหดั เปน ตัวลิงนัน ตามธรรมเนียมโบราณมกั เปนผชู้ าย โดยเรมิ หดั ตังแต่อายุ 8- 12 ขวบ เปนต้น ในอดีตจะมกี ารฝกเฉพาะเด็กผชู้ าย ปจจุบนั วทิ ยาลัย นาฏศิลปได้เรมิ ใหม้ กี ารคัดเลือกเด็กผหู้ ญิง เขา้ รบั การฝกเปนตัวลิงแล้ว เรยี กวา่ \"โขนผหู้ ญิง\" ในการการฝกตัวลิงใหส้ ามารถแสดงเปนตัวเอกได้ดี นัน จะต้องใชเ้ วลา 10 ปขนึ ไปเปนอยา่ งน้อย การฝกหดั โขน ซงึ การฝกหดั โขนนนั ผฝู้ กหดั โขนทกุ คนจะต้องนงุ่ โจงกระเบนสแี ดงสวมเสอื ขาว เนอื งจากเปนกฎระเบยี บขอ้ บงั คับ ทีไดร้ บั อิทธพิ ลมาจากการฝกหดั นาฏศิลปภายในวงั สวน กหุ ลาบ โดยอาจารยล์ มุล ยมะคปุ ขา้ หลวงในวงั สวนกหุ ลาบเปนผกู้ ําหนดขนึ เมอื ป พ.ศ. 2477 เนอื งจากมรี าคาไมแ่ พง และสามารถควบคมุ ผฝู้ กหดั ใหเ้ ปนหมวดหมูอ่ ยา่ งง่าย เมอื คัดเลือกผแู้ สดงไดแ้ ล้วจะเรมิ ฝกหดั โขนขนั พนื ฐาน ดงั นี
16 การนงั เปนการหดั โดยนงั พบั เพยี บ เอวและไหล่ตึงแลดสู ง่างาม มกี ารดดั ปลายนวิ และชว่ งแขน ใหง้ อนงาม ตัวพระ ตัวยกั ษ์และตัวลิงจะหดั นงั พบั เพยี บและแบะเขา่ ออก ต่างจากตัวนางที หดั นงั พบั เพยี บ หนบี หนา้ ขาซอ้ นทับกันลดหลันกันไป รวมทังมกี ารดดั รา่ งกาย แขนขาใน กิรยิ าท่าทางต่าง ๆ เชน่ ดดั แขนและขอ้ มอื ดดั หลัง การเดนิ การยา่ งก้าวและการยกเท้า เปนต้น การฝกราํ และท่องจาํ จงั หวะ ภายหลังจากผแู้ สดงฝกหดั ขนั พนื ฐานแล้ว จะเปนการฝกหดั ใหท้ ่องจงั หวะและฝกราํ หนา้ ทับประกอบเพลงชา้ และเพลงเรว็ ฝกใหต้ ัวพระ ตัวนาง ตัวยกั ษ์และตัวลิง หดั ราํ แมบ่ ท และแมท่ ่า ราํ ตีบทหรอื ราํ ตามบท ราํ หนา้ พาทย์ ราํ อาวุธและราํ เบด็ เตล็ด ซงึ ถือเปนสงิ สาํ คัญ ในการหดั ใหผ้ แู้ สดงฝกหดั ใชโ้ สตประสาทของตนเอง ใหเ้ รยี นรจู้ กั จงั หวะไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง และมคี วามงดงามตามแบบฉบบั ของภาษานาฏศิลป นอกจากนนั ยงั มกี ารฝกท่าราํ ตัวยกั ษ์ และตัวลิงอีกดว้ ย โดยเฉพาะการฝกแมท่ ่าของตัวลิง มกี ารฝกดว้ ยกันทังหมด 7 แมท่ ่า และตัวยกั ษ์ 6 แมท่ ่า การฝกตบเขา่ ถีบเหลียม ถองสะเอว ฉีกขา หกคะเมนและเต้นเสา ในการฝกหดั ระยะแรก ตัวพระ ตัวนาง ตัวยกั ษ์และตัวลิง จะฝกหดั รว่ มกันคือฝกตบ เขา่ ถองสะเอวและเต้นเสา เพอื ใหร้ จู้ กั จงั หวะและเคยชนิ กับเสยี งดนตรี ซงึ เปนหลักสาํ คัญ ในการฝกนาฏศิลปไทย เรยี นรกู้ ารยกั เยอื งลําตัว ยกั หนา้ ยกั คอ ยกั ไหล่ไดอ้ ยา่ ง คล่องแคล่ว โดยมกี ลองใหจ้ งั หวะออกเสยี ง มกี ําลังขาคงที ฝกกระทืบเท้าใหห้ นกั แนน่ ฝกเต้นตามจงั หวะ[59] ซงึ การเต้นตามจงั หวะนนั เรยี กวา่ \"ตะลึกตึก\" ทีเปนศัพท์เฉพาะ ทางวชิ าการของโขน การเต้นตะลึกตึกคือการยอ่ เขา่ ทังสองขา้ งลงใหเ้ ปนมุมฉาก ใชเ้ ท้าขวา ยกกระทืบลงกับพนื 1 ครงั วางเท้าอยูก่ ับที ใชเ้ ท้าซา้ ยยกลงกระทืบลงกับพนื 1 ครงั แล้ววางอยูก่ ับที โดยการเต้นนนั ผแู้ สดงจะใชเ้ ท้าขวาหรอื ซา้ ยยกกระทืบพนื ก่อนก็ได้ นอกจากนนั จะเปนการฝกเฉพาะสาํ หรบั ผทู้ ีแสดงเปนตัวลิงคือ ฝกฉีกขา หกคะเมนตี ลังกา มว้ นหนา้ มว้ นหลัง พุง่ มว้ นสามตัว ตีลังกาหนา้ และหลัง เพอื ใหม้ ที ักษะคล่องแคล่ว วอ่ งไว โลดโผดตามธรรมชาติของลิงทีไมอ่ ยูน่ งิ โดยมที ่าหกคะเมนทีใชใ้ นการฝก 3 ท่าคือ ท่าหกคะเมนหงายตัวไปดา้ นหลัง เรยี กวา่ \"ตีลังกาหกมว้ น\"ท่าหกคะเมนหงายตัวไปดา้ น หนาั เรยี กวา่ \"อันธพา\"ท่าหกคะเมนหมุนตัวไปขา้ ง ๆ เรยี กวา่ \"พาสรุ นิ \"หลังจากคัดเลือก ผแู้ สดงแล้ว อาจารยผ์ ฝู้ กสอนจะทําพธิ ไี หวค้ รแู ละรบั ตัวผแู้ สดงทังหมดเขา้ เปนศิษยใ์ นวนั พฤหสั บดที ีทางนาฏศิลปไทยถือเปนวนั คร ู โดยผแู้ สดงจะนาํ ดอกไมธ้ ูปเทียน เปนเครอื งสกั การะแก่อาจารยผ์ ฝู้ กสอน และเปนการทําความเคารพต่อครบู าอาจารยท์ ี ล่วงลับไปแล้ว
17 เ ค รื อ ง แ ต่ ง ก า ย แ ล ะ เ ค รื อ ง ป ร ะ ดั บ เพ่มิตขัวอพควราะมเชในน่ สวพนเรนะ้ือรหาามเลก็พนร อะยลักษณ์ สวมเสือแขนยาวปกดินและเลือม พระพรต พระสตั รุต ประดับด้วยปะวะหลํา มีอินธนูทีไหล่และ พาหุรัด สวมกรองศอทับด้วยทับทรวง สังวาลและตาบทิศ ส่วนล่างสวมสนับ เพลาไว้ข้างใน นุ่งผ้านุ่งยกจีบโจงไว้หาง หงส์ทับสนับเพลา ด้านหน้ามีชายไหว และชายแครงห้อยอยู่ ประดับด้วย สุวรรณประกอบ รัดเอวด้วยรัดพัสตร์ คาดปนเหน่ง ศีรษะสวมชฎา ประดับด้วย ดอกไม้เพชรทีด้านซ้าย ดอกไม้ทัดทีด้าน ขวา มีอุ บะ ตามตัวสวมเครืองประดับ ต่าง ๆ ประกอบด้วยกําไลเท้า ธาํ มงรค์ แหวนรอบ กรรเจียกและทองกร แต่เดิม ตัวพระจะสวมหัวโขนในการแสดง แต่ภายหลังไม่เปนทีนิยม เพียงแต่แต่ง หน้าและสวมชฎาแบบละครในเท่านัน ตัวนางเชน่ นางสดี า นางเบญจกาย สวมเสือในนางแขนสันเปนชันใน นางสพุ รรณมจั ฉา พาหุรัดแล้วห่มสไบทับ ทิงชายไปด้าน หลังยาวลงไปถึงน่อง ประดับด้วย ปะวะหลํา สวมกรองศอ สะอิงและจีนาง นุ่งผ้านุ่งยกจีบหน้า คาดปนเหน่ง ศีรษะสวมมงกุฎ รัดเกล้ายอด รัดเกล้า เปลวหรือกระบังหน้าตามแต่ฐานะของ ตัวละคร ประดับด้วยดอกไม้ทัดทีด้าน ซ้าย ดอกไม้ทัดทีด้านขวา มีอุ บะ ตามตัว สวมเครืองประดับต่าง ๆ ประกอ บด้วยธาํ มงรค์ กําไลเท้า แหวนรอบ กําไลตะขาบ กรรเจียกและ ทองกร แต่เดิมตัวนางทีเปนตัวยักษ์เช่น นางสาํ มนักขา นางกากนาสูร จะสวม หัวโขน แต่ภายหลังมีการแต่งหน้าไป ตามลักษณะของตัวละครนัน ๆ โดยไม่ สวมหัวโขน
18 ตัวยกั ษ์เชน่ ทศกัณฐ์ พเิ ภก เครืองแต่งกายส่วนใหญ่คล้ายกับ อินทรชติ มงั กรกัณฐ์ ตัวพระ จะแตกต่างกันทีการนุ่งผ้า เท่านัน ตัวยักษ์จะนุ่งผ้าไม่มีหางหงส์แต่ เพม่ิ ขอความในสวนเน้ือหาเลก็ น อย มีผ้าปดก้นลงมาจากเอว การแต่งกาย ของตัวยักษ์คือทศกัณฐ์ เปนพญายักษ์ ตัวสาํ คัญทีสุดในการแสดงโขน สวมเสือ แขนยาวปกดินและเลือม ประดับด้วย แหวนรอบ ปะวะหลํา มีอินธนูทีไหล่ สวมกรองศอทับด้วยทับทรวง พวง ประคําคอ สังวาลและตาบทิศ ส่วนล่าง สวมสนับเพลาไว้ข้างใน นุ่งผ้านุ่งยก ด้านหน้ามีชายไหวและชายแครงห้อยอยู่ ผ้าปดก้นอยู่เบืองหลัง รัดอกด้วยพระ อุ ระ รัดเอวด้วยรัดพัสตร์ คาดปนเหน่ง ศีรษะสวมหัวโขนหัวทศกัณฐ์ ตามตัว สวมเครืองประดับต่าง ๆ ประกอบด้วย กําไลเท้า ธาํ มงรค์ กรรเจียกและทองกร ถื อ อ า วุ ธ คื อ คั น ศ ร เพิ่มขอความในสว นเน้ือหาเลก็ น อย ตัวลิงเชน่ หนมุ าน พาลี สคุ รพี เครืองแต่งกายส่วนใหญ่คล้ายกับตัว องคต ท้าวชมพูพาน ยักษ์ แต่มีหางลิงห้อยอยู่ใต้ผ้าปดก้นอีก ที สวมเสือตามสีประจาํ ตัวในเรือง รามเกียรติ ไม่มีอินธนู ตัวเสือปกลายขด เปนวงทักษิณาวรรต สมมุติว่าเปนขน ตามตัวลิง การแต่งกายของตัวลิงคือ หนุมาน สวมเสือแขนยาวปกดินและ เลือมลายวงทักษิณาวรรต มีพาหุรัด ประดับด้วยแหวนรอบ ปะวะหลํา สวมกรองศอทับด้วยทับทรวง สังวาล และตาบทิศ ส่วนล่างสวมสนับเพลาไว้ ข้างใน นุ่งผ้านุ่งยก ด้านหน้ามีชายไหว และชายแครงห้อยอยู่ ผ้าปดก้นอยู่เบือง หลัง หางลิง รัดสะเอว คาดปนเหน่ง ศีรษะสวมหัวโขนหัวหนุมาน ตามตัวสวม เครืองประดับต่าง ๆ ประกอบด้วยกําไล เท้า ธาํ มงรค์ กรรเจียกและทองกร ถื อ อ า วุ ธ คื อ ต ร ีเ พ ช ร
19 ศิราภรณ์ ศิราภรณห์ รอื เครอื งประดบั มาจากคําวา่ \"ศีรษะ\" และ \"อาภรณ\"์ หมายความถึงเครอื ง ประดบั สาํ หรบั ใชส้ วมใสศ่ ีรษะเชน่ ชฎามงกฎุ ซงึ เปนชอื เรยี กเครอื งประดบั ศีรษะละคร ตัวพระ ทีมวี วิ ฒั นาการมาจากการโพกผา้ ของพวกชฏิล ชฏาทีใชใ้ นการแสดงโขนละครใน ปจจุบนั ชา่ งผชู้ าํ นาญงานมกั จะนยิ มทําเปนแบบมเี กียว 2 ชนั มกี รอบหนา้ กรรเจยี กจร ติดเดพอ่มิ กขไอมคท้ วัดามดในอสกวไนมเร้ นา้ ้ือนหปาเรละ็กดนบั อตยามชนั เชงิ บาตร ซงึ ลักษณะของชฏานี เปนการจาํ ลอง รปู แบบมาจากพระชฏาของพระมหากษัตรยิ ใ์ นสมยั รตั นโกสนิ ทรน์ อกจากชฏามงกฏุ แล้ว ยงั มชี ฎายอดชยั ทีเปนชฏามยี อดแหลมตรง มลี กู แก้ว 2 ชนั ประดบั เปนชฏาทีนยิ มใชก้ ัน อยา่ งแพรห่ ลายในการแสดงโขนและละคร ซงึ ทีมาของชฏายอดชยั นนั สนั นษิ ฐานวา่ เปนการสรา้ งเลียนแบบพระชฏายอดชยั ทีเปนเครอื งทรงต้น ในรปู แบบและทรวดทรง มคี วามแตกต่างกันทีวสั ดแุ ละรายละเอียดในการตกแต่งเท่านนั รดั เกล้ายอด รดั เกล้าเปลว กรอบพกั ตรห์ รอื กระบงั หนา้ ปนจุเหรจ็ หรอื แมแ้ ต่หวั โขน จดั อยูใ่ นประเภทเครอื งศิราภรณ์ เชน่ กัน พสั ตราภรณ์ พสั ตราภรณห์ รอื เสอื ผา้ เครอื งนงุ่ หม่ เชน่ เสอื หรอื ฉลององค์ ในสมยั โบราณการแสดง โขนจะใชเ้ สอื คอกลมผา่ ดา้ นหนา้ ตลอด มกี ารต่อแขนเสอื แบบต่อตรงและเสรมิ เปาสเี หลียม ตรงบรเิ วณใต้รกั แร้ แต่ปจจุบนั ไดม้ กี ารปรบั เปลียนใหท้ ันตามยุคสมยั เปนเสอื คอกลม สาํ เรจ็ รปู มี 2 แบบคือแบบเสอื แขนสนั และแขนยาว เวา้ วงแขน สเี สอื และสแี ขนเสอื แตก ต่างกัน ปกลวดลาย สาํ หรบั ตัวนางจะมผี า้ หม่ นางโดยเฉพาะ ลักษณะเปนผา้ สไบแถบ ปกลวดลายตามความยาวของสไบเชน่ ลายพุม่ ลายกรวยเชงิ ฯลฯ หม่ โอบจากทางดา้ น หลังใหช้ ายสไบทังสองขา้ งเสมอกัน การหม่ ผา้ ในการแสดงโขนมวี ธิ กี ารหม่ ทีแตกต่างกัน สาํ หรบั ตัวนางทีเปนนางกษัตรยิ แ์ ละตัวนางทีเปนยกั ษ์ ถนมิ พมิ พาภรณ์ ถนมิ พมิ พาภรณห์ รอื เครอื งประดบั ต่าง ๆ ตามแต่ฐานะของตัวละคร คําวา่ ถนมิ พมิ พาภ รณ์ มาจากคําวา่ \"พมิ พา\" และ \"อาภรณ\"์ หมายถึงเครอื งประดบั ตกแต่งตามรา่ งกาย สว่ น ใหญเ่ ปนเครอื งประดบั ทีถมและลงยาเชน่ ทับทรวง ซงึ เปนโลหะประกอบกัน 3 ชนิ ชุบเงิน ประดบั เพชรตรงกลาง ฝงพลอยสแี ดง ลักษณะของสายเปนเพชรจาํ นวน 2 แถว มคี วาม ยาวประมาณ 28 นวิ เขม็ ขดั หรอื ปนเหนง่ สงั วาล ตาบหนา้ ตาบทิศ ตาบหลัง อินธนู ธาํ มรงค์ แหวนรอบ ปะวะหลํา ทองกร กรองคอ สะอิง พาหรุ ดั กําไลเท้า เปนต้น
20 ก า ร แ ต่ ง ห น้ า โ ข น เพิม่ ขอ ความในสว นเน้ือหาเล็กน อย สีขาว สาํ หรับสีขาวของใบหน้า ขาวเปนหน้า สหี ลัก หุ่น ขาวผ่อง ขาวนวล สีขาวนันขาวแค่ ไหนจึงจะพอดี ตามความจริงแล้ว ขาว แบบไหนก็ได้ แต่ขอให้ขาวเท่ากันทุกตัว ละคร รวมทังสีผิวกาย คอ มือและเท้ สีดํา สาํ หรับสีดาํ ของเส้นคิว เส้นขอบตา บนและขอบตาล่าง และเส้นตาสองชันใน เบ้าตา สีแดง สาํ หรับปากสีแดงสด หรือแดงกํา ไม่ มันวาวจนเกินไป สีปากพระ ลดความ แดงลง ด้วยการเจือสีส้มหรือสีนาํ ตาล ลงไป ส่วนแก้มแดงระเรือ ปดให้ดู เปล่งปลัง อาจปดไล่สูงขึนมาจนถึงขอบ ตาล่างเลยก็ได้ สรี อง สีใกล้เคียงสีผิว ทังสีอ่อนและสีเข้ม ใช้สาํ หรับปรับแสงเงาบนจุดต่าง ๆ บน ใบหน้า ใช้ทังแปงเค้ก บรัชออน อายเช โดว์ หลาย ๆ เฉดสี ให้เลือกสีใกล้เคียงสี ผิวเช่น ขาว ครีม ส้มอ่อน เหลืองอ่อน นาํ ตาลอ่อน นาํ ตาลเข้ม เปนต้น ใช้สีอ่อน และสีเข้มเน้นยาํ หลาย ๆ จุดบนใบหน้า เช่น ข้างสันจมูก เงาบนเปลือกตา เงา ข้างแก้ม ประกายใต้คิว ทีหัวตาบน-ล่าง ใต้ริมฝปากเปนต้น
โครงเสน้เพิ่มขอ ความในสวนเน้ือหาเล็กน อย 21 เสน้ รา่ งสแี ดง ทังหมดถอดแบบมาจากหัวโขนจริง คิวโก่งเปนคันศร และจากหน้าพระหน้าเทวดาในภาพ จิตรกรรมไทย โดยปรับให้เข้ากับใบหน้า คนจริง ซึงมีมิติมากกว่ากระดาษและ ผนัง รูปแบบของใบหน้าโขนจะไม่มีวัย นักแสดงอายุน้อยหรือมากก็แต่งหน้า แบบเดียวกัน ยกเว้นคิว โดยตัวนาง นิยมเขียนคิวให้โค้งโก่ง และเรียวลงมา ทางหางคิว ส่วนตัวพระเพิมขนาดของ เส้นคิวให้ใหญ่ขึน และเขียนหางคิวให้ ตวัดกระดกขึนเล็กน้อย ส่วนราย ละเอียดอืนๆ ของสีตา สีแก้ม และสีปาก เหมือนกัน โดยตัวพระลดความแดงลง ก่อนการลงเส้นด้วยสีดาํ ให้เขียน เส้นร่างสีแดงนาํ เส้นโครงทังหมดไว้เสีย ก่อน แล้วจึงใช้เค้กไลเนอร์สีนาํ ตาลแดง ผสมสีดาํ เขียนทับเส้นสีแดง โดยให้ เหลือมซ้อนกันกับสีแดง จากนันเขียน ทับเส้นอีกครังด้วยอายไลเนอร์สีดาํ ให้ คมและชัด โดยยังมีเส้นร่างสีแดง ประกบเปนเงาแดง อยู่คู่กับเส้นดาํ ทุก เส้น เพือให้เส้นทังหมดดูมีนาํ หนักและ อ่อนหวานขึน ใช้วิธีการปดคิว ใช้นาํ มันและแปงทา ทับคิวให้หายไป หรือใช้สบู่ และขีผึงจับ ขนคิว แล้วใช้รองพืนและแปงทาทับก่อน เขียนขึนใหม่ การเขียนคิวให้โก่งเปน คันศร เริมจากเขียนคิวให้หัวคิวตํา เพือจะได้ยกโครงของคิวให้โก่งขึนทันที และเขียนหางคิวให้ขนานไปกับใบหู โดยทีหางคิวยังอยู่ในกรอบหน้า คิวนาง หัวคิวแหลม หางคิวเรียว คิวพระเพิม ขนาดของเส้นคิวให้ใหญ่ขึน และเขียน หางคิวให้ตวัดกระดกขึนเล็กน้อย
22 หั ว โ ข น เพหม่ิัวขโขอ คนวเาปมนในงสาว นนศเนิล้ือปหาะเชลันก็ นส อูงย ใช้สาํ หรบั สวมครอบศีรษะ ปดบังส่วนหน้าของ ผู้แสดงอย่างมิดชิด เปนศิลปวัตถุประเภทประณีตศิลป และงานศิลปะทีได้รบั การ สรา้ งสรรค์ขึนอย่างวิจิตรตระการตาเช่นเดียวกับเครอื งแต่งกาย ประณีตบรรจง ตามแบบช่างไทย มีรูปลักษณะสวยงาม ลักษณะคล้ายหน้ากาก แตกต่างตรงที เปนการสรา้ งจาํ ลองรูปทรงใบหน้าและศีรษะทังหมด เจาะช่องเปนรูกลมทีนัยน์ตา ของหัวโขน ให้ตรงกับนัยน์ตาของผู้แสดงเพือการมองเห็นแบ่งเปน 2 ประเภทคือ หัวโขนสาํ หรบั ใช้ในการแสดง หมายความถึงหัวโขนทีสือถึงตัวละครนัน ๆ เช่น พระ ยักษ์ เทวดา วานรและสัตว์ต่าง ๆ สรา้ งขึนด้วยกรรมวิธีแบบโบราณ ตาม เอกลักษณ์ของหัวโขนทีถูกต้องและสมบูรณ์แบบของศิลปะไทย และหัวโขนทีใช้ สาํ หรบั เปนของประดับตกแต่งหรอื ของทีระลึก หมายความถึงหัวโขนทีทําขึนโดย การหล่อ ปน ฉีดและขึนรูปด้วยพลาสติกหรอื กรรมวิธีอืน ๆ ลงรกั ปดทอง ประดับกระจก หวั โขนทีใชส้ าํ หรบั แสดง แบง่ เปนประเภทต่าง ๆ ตามลักษณะของตัวละครคือ หวั โขน พงศ์นารายณ์ ประกอบดว้ ยเผา่ พงศ์วงศ์กษัตรยิ แ์ หง่ กรงุ อโยธยา หวั โขนพรหมพงศ์และ อสรู พงศ์ พรหมผสู้ รา้ งกรงุ ลงกาและอสรู พงศ์ในกรงุ ลงกา หวั โขนมเหศวรพงศ์ ประกอบ ดว้ ยพระอิศวร พระนารายณ ์ พระพรหมและเทวดาต่าง ๆ หวั โขนฤๅษี ประกอบดว้ ยฤๅษี ผสู้ รา้ งกรงุ อโยธยา ฤๅษีทีพระราม พระลักษมณแ์ ละนางสดี าพบเมอื คราวเดนิ ดง หวั โขน วานรพงศ์ ประกอบดว้ ยพญาวานร วานรสบิ แปดมงกฎุ เสนาวานร วานรเตียวเพช วานรจงั เกียงและพลลิงหรอื เขนลิง หัวโขนคนธรรพ์ ประกอบดว้ ยเทพคนธรรพแ์ ละคนธรรพ ์ หวั โขนพญาปกษา ประกอบ ดว้ ยพญาครฑุ พญาสมั พาที พญาสดายุ และหวั โขนแบบเบด็ เตล็ด ประกอบดว้ ยหวั สตั ว์ ต่าง ๆ เปนต้น และอาจแบง่ ตามประเภทของหวั โขนทีใชส้ วมอยา่ งละ 2 ประเภทคือ ยกั ษ์ ยอด ยกั ษ์โล้น ลิงยอดและลิงโล้น[73] นอกจากนยี งั แบง่ ตามชนดิ ของมงกฎุ ซงึ มลี ักษณะ แตกต่างกันไป แบง่ เปนฝายลงกาคือ มงกฎุ ยอดกระหนก มงกฎุ ยอดจบี มงกฎุ ยอดหางไก่ มงกฎุ ยอดนาํ เต้า มงกฎุ ยอดนาํ เต้ากลม มงกฎุ ยอดนาํ เต้าเฟอง มงกฎุ ยอดกาบไผ่ มงกฎุ ยอดสามกลีบ มงกฎุ ยอดหางไหล มงกฎุ ยอดนาคา มงกฎุ ตามหวั หรอื หนา้ พวกไมม่ ี มงกฎุ พวกหวั โล้น พวกหวั เขนยกั ษ์หรอื พลทหารยกั ษ์และตัวตลกฝายยกั ษ์มกี ารทําหนา้ โขนใหป้ ากและตาแตกต่างกันไป แบง่ เปน 4 ประเภทคือ ประเภทปากแสยะตาโพลง ประเภทปากแสยะตาจระเข้ ประเภทปากขบตาโพลง และประเภทปากขบตาจระเข ้ เปนต้น
23 ภาษาโขน เพภมิ่ าขษอ าคโวขานมใเนปสนว นกเานร้ือทหีผาเู้แลก็สนด องยใช้ท่าเต้นท่าราํ ต่าง ๆ เพือให้สือผู้ชมได้รูถ้ ึงบทบาท นัน ๆ เพือให้เกิดความสนุกสนาน ภาษาโขนโดยทัวไปมีลักษณะคล้ายกับภาษาทีใช้ใน ชีวิตประจาํ วัน เพียงแต่ไม่สามารถสือสารออกมาด้วยนาํ เสียงได้ จึงใช้ท่าทางและ อวัยวะต่าง ๆ ของรา่ งกายเช่น ลําตัว มือ แขน ขา เท้า ไหล่ คอ ใบหน้าและศีรษะ ประกอบอากัปกิรยิ าแทน ทําให้สามารถสือสารภาษาและรูถ้ ึงความหมายนัน ๆ ได้ ซึงท่าทางบางอย่างของภาษาโขนบ่งบอกความหมายได้ดีกว่าการออกเสียงเช่น เมือต้องการปฏิเสธจะส่ายศีรษะก็หมายถึง ป ร ะ เ พ ณี ไ ห ว้ ค รู แ ล ะ ค ว า ม เ ชื อ ในพธิ ไี หวค้ รจู ะมกี ารนาํ หวั โขนหรอื ศีรษะครู ทีเปนเสมอื นตัวแทนของครแู ต่ละองค์มา ตังประกอบในพธิ ]ี การจดั ตังหวั โขนต่าง ๆ มหี ลายรปู แบบเชน่ การตังแบบรวมกับ พระพุทธรปู แบง่ เปนแบบ 12 หนา้ 10 หนา้ 8 หนา้ 6 หนา้ 4 หนา้ และ 2 หนา้ มกี าร เปลียนแปลงจาํ นวนของหวั โขนตามแต่รปู แบบในการตัง นอกจากการตังแบบรวมกับ พระพุทธรปู แล้ว ยงั มกี ารตังหวั โขนแบบพระพุทธรปู แยกระหวา่ งหวั โขนต่างหาก นยิ มจดั ให้ หวั โขนมคี วามลดหลันเปนชนั โดยทีชนั บนสดุ เปนชนั ของมหาเทพไดแ้ ก่ พระอิศวร พระนารายณแ์ ละพระพรหม ชนั สองเปนชนั ของเทพทีมคี วามสาํ คัญต่อโลกมนษุ ยแ์ ละ นาฏศิลปเชน่ พระอินทร์ พระวษิ ณกุ รรม พระพริ าพ ชนั ทีสามเปนชนั ของหวั โขนหนา้ มนษุ ย์ หนา้ ลิง และมศี ัสตราวุธและเครอื งประดบั ศีรษะ ทีใชใ้ นการแสดงวางอยูต่ รงกลาง และชนั สดุ ท้ายเปนชนั ของหวั โขนหนา้ ยกั ษ์ ผแู้ สดงทกุ คนก่อนแต่งตัวตามตัวละครก็ต้องมกี ารไหวค้ รู ภายหลังจากแต่งกายเสรจ็ แล้ว ก่อนจะ ทําการสวมหวั โขนหนา้ ยกั ษ์ หนา้ ลิง มงกฎุ หรอื ชฎา ก็จะต้องมกี ารทําพธิ คี รอบหวั โขนและ ไหวค้ รเู พอื แสดงความเคารพ ซงึ นอกจากประเพณไี หวค้ รแู ล้ว ยงั มคี วามเชอื เกียวกับ หวั โขนสบื ทอดต่อกันมาอีกหลายอยา่ งเชน่ การเจาะรสู าํ หรบั มองเหน็ ผทู้ ีสามารถเจาะไดค้ ือ ชา่ งทําหวั โขนเท่านนั
24 ในสมัยโบราณมีความเชือกันว่า หัวโขนทีใช้ในการแสดงทีผ่านพิธีเบิกเนตร เรยี บรอ้ ย ก่อนนาํ ไปใช้ในการแสดง ช่างทําหัวโขนจะวัดขนาดความห่างของดวงตา ผู้แสดง และเจาะรูให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ห้ามผู้แสดงเจาะรูดวงตาเอง เด็ดขาด เพราะเชือว่าจะทําให้พิการตาบอด แต่ความเชือดังกล่าวเปนเพียง กุศโลบายเท่านัน ความเปนจรงิ คือในการตกแต่งดวงตาของหัวโขนจะใช้เปลือกหอย มหุัวกเโมพขาิม่นปขเรกอ ะคิดดวคับามวตใานกมสแผวติดน่งเพนซล้ือึหงาดาถเแ้ลาผก็ลนู้เะจเอสายียะรหูไามย่ใชได่ช้ง่า่งายทําหัวโขนทีมีความชาํ นาญ อาจทําให้ การบวงสรวง ในการปลกู โรงโขนสาํ หรบั ใชแ้ สดง ก่อนเรมิ ก่อสรา้ งต้องมกี ารทําพธิ ี บวงสรวงเซน่ ไหว้ ขอขมาลาโทษในสงิ ต่าง ๆ ทีเคยล่วงเกิน และขออนญุ าตบอกกล่าวแก่ เจา้ ทีเจา้ ทางใหร้ บั ทราบ เพอื เปนการเปดทางใหแ้ ก่ผแู้ สดง ชว่ ยใหท้ ําการแสดงไดอ้ ยา่ งราบ รนื ไมต่ ิดขดั รวมทังปกปองค้มุ ครองและปดเสนยี ดรงั ควานต่อการแสดงใหผ้ า่ นพน้ ไปได้ ดว้ ยดี เนอื งจากในการแสดงโขนนนั หลายต่อหลายครงั ทีมกี ารแแขง่ ขนั ชงิ ชยั หรอื ประชนั ฝมอื ซงึ กันและกัน ซงึ มคี วามเชอื กันวา่ ฝายตรงขา้ มมกั มกี ารใชไ้ สยศาสตร ์ กลันแกล้ง โจมตีฝายตรงขา้ มใหเ้ สยี เปรยี บและพา่ ยแพ้ เพอื ใหไ้ ดร้ บั ชยั ชนะในการแสดง ดงั นนั ก่อน เรมิ การแสดงจงึ ต้องมพี ธิ ถี อนอาถรรพท์ กุ ครงั สาํ หรบั ผแู้ สดงทีไมเ่ คยออกโรงแสดงมาก่อน หลังจากรบั ครอบครแู ล้ว ก่อนทําการ แสดงครผู ฝู้ กสอน จะครอบครคู รอบหนา้ ใหเ้ ปนการปฐมฤกษ์ ชว่ ยใหไ้ มต่ ิดขดั ในการแสดง หลังจากการแสดงเสรจ็ สนิ ผแู้ สดงทกุ คนจะต้องเขา้ รว่ มพธิ ไี หวค้ รอู ีกครงั หลังจากนนั ผแู้ สดงทกุ คนจะต้องเอ่ยปากขอขมาลาโทษซงึ กันและกันเปนใจความวา่ \"หากขา้ พเจา้ พลาดพลังดว้ ยกายกรรมก็ดี วจกี รรมก็ดี โดยมไิ ดต้ ังใจ โปรดใหอ้ ภัยและอโหสิ ดว้ ย\"เนอื งจากบางครงั ในการแสดงอาจมกี ารกระทบกระทัง ละเมดิ ล่วงเกินหรอื พลาดพลัง โดยไมต่ ังใจหรอื เจตนาเชน่ ผแู้ สดงเปนพาหนะไดแ้ ก่ ครฑุ ชา้ ง มา้ ราชสหี ์ ซงึ มกั ถกู ตัวพระ ตัวยกั ษ์หรอื ตัวลิงล่วงเกิน จนกลายเปนเหตใุ หเ้ กิดการทะเลาะววิ าทไดใ้ นภายหลัง
25 ว ง ด น ต รี แ ล ะ เ ค รื อ ง ป ร ะ ก อ บ เพ่มิ ขอความในสวนเน้ือหาเลก็ น อย วงดนตรที ีใช้ประกอบการแสดงโขน ได้แก่ วงปพาทย์ หรอื (\"พิณพาทย์\") ซึงประกอบไปด้วย ป ระนาด ฆ้อง กลอง ตะโพน หากในการแสดงงานพระราชพิธี หรอื งานใหญ่ทีใช้คนจาํ นวนมาก อาจขยายวงปพาทย์ เครอื งคู่ หรอื ปพาทย์เครอื ง ใหญ่ก็ได้ และบางสมัยก็จัดเปนวงเครอื งห้าตามแต่ฐานะของผู้เปนเจ้าของงาน เพลงประกอบการแสดง เพลงประกอบการแสดงแบง่ ไดเ้ ปน 2 ประเภทดงั นี เพลงหนา้ พาทย์ เปนเพลงทีใชบ้ รรเลงประกอบกิรยิ าอาการและบทบาทต่าง ๆ ของโขน ละคร ไมม่ บี ทรอ้ ง ใชท้ ํานองในการดาํ เนนิ กิรยิ า เชน่ เพลงพราหมณอ์ อก ใชป้ ระกอบกิรยิ า การออกจากโรงพธิ สี าํ คัญ เพลงพราหมณเ์ ขา้ ใชป้ ระกอบกิรยิ าการเขา้ โรงพธิ สี าํ คัญ เปนต้น เพลงรอ้ ง เพลงจะใหอ้ ารมณแ์ ตกต่างกัน บางเพลงอาจใชว้ ธิ รี อ้ งอยา่ งเดยี วโดยไมม่ ี ดนตรี (แต่มจี งั หวะฉิงกํากับ) หรอื รอ้ งลําลอง รอ้ งคลอ ก็ได้ การบรรจุเพลงรอ้ งตาม ทํานองเพอื สอื อารมณใ์ นแต่ละตอนของโขนละครมคี วามสาํ คัญ และยงั ใชใ้ นโอกาสต่าง ๆ กัน เชน่ อารมณโ์ ศกเศรา้ เสยี ใจ ใชเ้ พลง กบเต้น พญาโศก โอ้รา่ ย อารมณโ์ กรธเคือง ใช้ เพลง ลิงโลด ลิงลาน เทพทอง นาคราช เปนต้น เพลงหนา้ พาทย์ ปนเพลงทีใชบ้ รรเลงประกอบกิรยิ าอาการและบทบาทต่าง ๆ ของ โขนละคร ไมม่ บี ทรอ้ ง ใชท้ ํานองในการดาํ เนนิ กิรยิ า เชน่ เพลงเขา้ มา่ น ใชป้ ระกอบการเดนิ เขา้ ฉากในระยะใกล้ ๆ ของตัวเอก เพลงเสมอ ใชป้ ระกอบการไปมาในระยะใกล้ ๆ ของตัวเอก เพลงพราหมณเ์ ขา้ ใชป้ ระกอบกิรยิ าการเขา้ โรงพธิ สี าํ คัญ เชน่ กมุ ภกรรณเขา้ โรงพธิ ลี ับ หอกโมกขศักดิ ไมยราพเขา้ โรงพธิ หี งุ สพรรยา เพลงพราหมณอ์ อก ใชป้ ระกอบกิรยิ าการออกจากโรงพธิ สี าํ คัญ เชน่ อินทรชติ ออกจาก พธิ ชี ุบศรพรหมาศ อินทรชติ ออกจากโรงพธิ ศี รนาคบาศ เพลงกลม ใชป้ ระกอบการเหาะไปของเทวดา เพลงเชดิ ใชป้ ระกอบการไป มาในระยะไกล ๆ และใชใ้ นการต่อสู้ เพลงตระนมิ ติ ร ใชป้ ระกอบการแปลงกายของตัวเอก เชน่ อินทรชติ แปลงเปน พระอินทร์ เพลงชุบ ใชป้ ระกอบการเดนิ ของนางกํานลั เชน่ เมอื ทศกัณฐใ์ ชน้ างกํานลั ให้ ไปตามเบญกาย
26 เพลงโลม ใช้ประกอบการโลมเล้าเกียวพาระหว่างตัวแสดงทีเปนตัวเอก มักต่อด้วย เพลงตระนอน เช่น หนุมานเกียวนางสุพรรณมัจฉาใช้สาํ หรบั ตัวเอกเมือจะเข้า นอน เช่น หนุมาน องคต ชมพูพานสืบมรรคา เมือมืดก็ใช้ ตระนอน อาจเรยี กอีกอย่างหนึงว่า \"ตระบรรทมไพร\" หรอื อาจ บรรเลงต่อจาก เพลงโลม เมือเกียวพาราสีกันแล้ว จึงนอน เเพพลลเพงง่ิมโโขอออ ดดคสวาอมงในชสันว นเนใใ้ือชชห้ป้ปารรเละะก็กกนออ อบบยกกาารรเเศศรรา้ า้ โโศศกกเเสสียียใใจจของผู้สูงศักดิ เช่น พระราม เพลงโล้ ใช้ประกอบการเดินทางทางนาํ เช่น เบญกายแปลงเปน นางสีดาลอยนาํ ไป เพลงเชิดฉิง ใช้ประกอบการเดินทาง การเหาะ เช่น เบญกายเหาะมายัง เขาเหมติรนั เพลงเชิดฉิงศร ใช้ประกอบการต่อสู้ด้วยศร และมีการแผลงศร ทะนง เพลงเชิดกลอง ใช้บรรเลงต่อจากเพลงเชิดฉิง หรอื ใช้ในกรณีต่อสู้กัน หรอื ในการเดินทางไกล เพลงรัวต่าง ๆ ใช้ประกอบการแผลงอิทธิฤทธิ หรอื แปลงตัวอย่างรวบรดั เพลงกราวนอก ใช้ประกอบการยกทัพตรวจพลของกระบวนทัพฝายมนุษย์และ ลิง เพลงกราวใน ใช้ประกอบการยกทัพตรวจพลของกระบวนทัพฝายยักษ์ เพลงแผละ ใช้ประกอบการเดินทางทางอากาศ เพลงรอ้ ง แต่ละเพลงจะใหอ้ ารมณแ์ ตกต่างกัน บางเพลงอาจใชว้ ธิ รี อ้ งอยา่ งเดยี วโดย ไมม่ ดี นตรี (แต่มจี งั หวะฉิงกํากับ) หรอื รอ้ งลําลอง รอ้ งคลอ ก็ได้ การบรรจุเพลงรอ้ งตาม ทํานองเพอื สอื อารมณใ์ นแต่ละตอนของโขนละครมคี วามสาํ คัญ และยงั ใชใ้ นโอกาสต่าง ๆ กัน เชน่ อารมณโ์ ศกเศรา้ เสยี ใจ ใชเ้ พลง กบเต้น พญาโศก โอ้รา่ ย อารมณโ์ กรธเคือง ใชเ้ พลง ลิงโลด ลิงลาน เทพทอง นาคราช อารมณร์ กั ใคร่ ใชเ้ พลง ลีลากระท่มุ โอ้โลม โอกาสการขนึ ต้นการแสดง โดยเหน็ ตัวเอกเปนหลัก ใชเ้ พลง ชา้ ป ยานี โอกาสการดําเนนิ เรอื ง อยา่ งธรรมดา ใชเ้ พลง รา่ ยนอก รา่ ยใน
27 เพลงโลม ใช้ประกอบการโลมเล้าเกียวพาระหว่างตัวแสดงทีเปนตัวเอก มักต่อด้วย เพลงตระนอน เช่น หนุมานเกียวนางสุพรรณมัจฉาใช้สาํ หรบั ตัวเอกเมือจะเข้านอน เช่น หนุมาน องคต ชมพูพานสืบมรรคา เมือมืดก็ใช้ตระนอน อาจเรยี กอีกอย่างหนึง ว่า \"ตระบรรทมไพร\" หรอื อาจบรรเลงต่อจาก เพลงโลม เมือเกียวพาราสีกันแล้ว จึงนอน เพลงโอด ใช้ประกอบการเศรา้ โศกเสียใจ เพลงโอดสองชัน ใช้ประกอบการเศรา้ โศกเสียใจของผู้สูงศักดิ เช่น พระราม ทศเกพัณม่ิ ขฐอ ์ ความในสวนเน้ือหาเลก็ น อย เพลงโล้ ใช้ประกอบการเดินทางทางนาํ เช่น เบญกายแปลงเปนนางสีดาลอยนาํ ไป เพลงเชิดฉิง ใช้ประกอบการเดินทาง การเหาะ เช่น เบญกายเหาะมายังเขาเหมติรนั เพลงเชิดฉิงศรทะนง ใช้ประกอบการต่อสู้ด้วยศร และมีการแผลงศร เช่น พระราม แผลงศรต้องทศกัณฐ์ขาดเศียรขาดกร เพลงเชิดกลอง ใช้บรรเลงต่อจากเพลงเชิดฉิง หรอื ใช้ในกรณีต่อสู้กัน หรอื ในการ เดินทางไกล เพลงรัวต่าง ๆ ใช้ประกอบการแผลงอิทธิฤทธิ หรอื แปลงตัวอย่างรวบรดั เพลงกราวนอก ใช้ประกอบการยกทัพตรวจพลของกระบวนทัพฝายมนุษย์และลิง เพลงกราวใน ใช้ประกอบการยกทัพตรวจพลของกระบวนทัพฝายยักษ์ เพลงแผละ ใช้ประกอบการเดินทางทางอากาศ เช่น การบินมาของพญาครุฑ เพลงรอ้ ง แต่ละเพลงจะใหอ้ ารมณแ์ ตกต่างกัน บางเพลงอาจใชว้ ธิ รี อ้ งอยา่ งเดยี วโดย ไมม่ ดี นตรี (แต่มจี งั หวะฉิงกํากับ) หรอื รอ้ งลําลอง รอ้ งคลอ ก็ได้ การบรรจุเพลงรอ้ งตาม ทํานองเพอื สอื อารมณใ์ นแต่ละตอนของโขนละครมคี วามสาํ คัญ และยงั ใชใ้ นโอกาสต่าง ๆ กัน เชน่ อารมณโ์ ศกเศรา้ เสยี ใจ ใชเ้ พลง กบเต้น พญาโศก โอ้รา่ ย อารมณโ์ กรธเคือง ใชเ้ พลง ลิงโลด ลิงลาน เทพทอง นาคราช อารมณร์ กั ใคร่ ใชเ้ พลง ลีลากระท่มุ โอ้โลม โอกาสการขนึ ต้นการแสดง โดยเหน็ ตัวเอกเปนหลัก ใชเ้ พลง ชา้ ป ยานี โอกาสการดําเนนิ เรอื ง อยา่ งธรรมดา ใชเ้ พลง รา่ ยนอก รา่ ยใน
28 TABLE OF CONTENTS โ ข น ใ น รู ป แ บ บ ต่ า ง ๆ ละคร โขนไดร้ บั การดดั แปลงเปนละคร โดย ละครเรอื ง ลกู โขน นาํ แสดงโดย ศรณั ย์ ศิรลิ ักษณ์ , พมิ พช์ นก ลือวเิ ศษไพบูลย์ ถกู สรา้ งครงั แรกเมอื ป พ.ศ. 2553 เขยี นบทโทรทัศนโ์ ดย ตรยี ูงทอง กํากับการแสดงโดย ธงชยั ประสงค์สนั ติ ออกอากาศทางสถานโี ทรทัศนส์ กี องทัพ บกชอ่ ง 7 ภาพยนต์ โขนไดร้ บั การดดั แปลงเปนภาพยนตร์ โดยภาพยนตรเ์ รอื ง คนโขน นาํ แสดง โดย สรพงษ์ ชาตรี , นริ ตุ ติ ศิรจิ รรยา ,เพญ็ พกั ตร์ ศิรกิ ลุ ,พมิ ลรตั น์ พศิ ลยบุตร กํากับโดย ศรณั ยู วงษ์กระจา่ ง ออกฉาย เมอื วนั ที 25 สงิ หาคม พ.ศ. 2554
29 มรดกทางวฒั นธรรมที จบั ต้องไมไ่ ด้ \"Khon, masked dance drama in Thailand\" เมอื วนั ที 29 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2561 เวลา 19.35 น. ตามเวลา ประเทศไทย ในการประชุมคณะกรรมการอนสุ ญั ญาฯ ครงั ที 13 ทีเมอื งพอรต์ ลอู ิส ประเทศมอรเิ ชยี ส องค์การยูเนสโก (UNESCO) ประกาศขนึ ทะเบยี น \"โขน\" ประเทศไทย ภายใต้ชอื ภาษาอังกฤษ วา่ \"KHON, MASKED DANCE DRAMA IN THAILAND\" เปน มรดกทางวฒั นธรรมทีจบั ต้องไมไ่ ด ้ ในประเภท \" รายการตัวแทน มรดกทางวฒั นธรรมของมนษุ ยชาติ (REPRESENTATIVE LIST OF THE INTANGIBLE CULTURAL HERITAGE OF HUMANITY\" นบั เปนการขนึ ทะเบยี นมรดกทางวฒั นธรรมทีจบั ต้องไมไ่ ดร้ ายการแรก ของประเทศไทย
Search
Read the Text Version
- 1 - 32
Pages: