Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore งานวิจัยและวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา สมัยกรุงรัตนโกสินทร์

งานวิจัยและวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา สมัยกรุงรัตนโกสินทร์

Description: งานวิจัยและวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
งานนำเสนอ
รายวิชางานวิจัยและวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา
(รหัสวิชา ๐๐๐ ๒๖๓)
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตอุบลราชธานี

Keywords: งานวิจัยและวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา

Search

Read the Text Version

งานวรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนาในสมัยรัตนโกสินทรป์ จั จบุ นั เสนอ ผู้ชว่ ยศาสตราจารยส์ พุ ิมล ศรศักดา

จดั ทำโดย สามเณรภานวุ ฒั น์ ศรสี รุ ะ สามเณรศรายธุ อาจพนั ธ์

งำนวรรณกรรมทำงพระพุทธศำสนำในสมัยรตั นโกสินทร์ปจั จุบัน ความนา วรรณกรรมในสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน มีเรื่องท่ีควรกล่าวถึงอยู่มาก แต่ในทนี่ ้ีจะ กลา่ วเฉพาะเร่ืองสาคัญเพยี ง ๓ เรอ่ื ง อนั ไดแ้ ก่ ๑) แก่นพทุ ธศาสน์ ซึ่งเป็นวรรณกรรมของหลวงพอ่ พุทธทาสภิกขุ ๒) กรรมทีปนี แต่งโดยพระพรหมโมลี (วลิ าส ญาณวโร) และ ๓) หนังสือพุทธวทิ ยา แตง่ โดยอาจารย์พร รตั นสวุ รรณ ซ่งึ ทงั้ ๓ เร่ือง มีรายละเอยี ดดังตอ่ ไปนี้

การวิเคราะห์งานวรรณกรรมเรอ่ื งแก่นพุทธศาสน์ ความเป็นมา แก่นพุทธศาสน์ เป็นวรรณกรรมท่ีเกิดขึ้นเนื่องจากความอยากรู้เกี่ยวกับแก่นแท้ พระพุทธศาสนาของปัญญาชนในสถาบันระดับอุดมศึกษา ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้รับนิมนต์ให้ ไปแสดงปาฐกถาธรรมแก่นายแพทย์ และนักศึกษาวิชาแพทย์ ณ โรงพยาบาลศิริราช ถึง ๓ ครง้ั คอื ครัง้ ท่ี ๑ ทา่ นแสดงปาฐกถาในหวั ขอ้ “ใจความทั้งหมดของพระพทุ ธศาสนา” คร้ังท่ี ๒ ทา่ นแสดงปาฐกถาในหัวขอ้ “ความว่าง” และ คร้งั ท่ี ๓ ทา่ นแสดงปาฐกถาในหวั ขอ้ “วธิ ปี ฏิบตั เิ พอื่ เปน็ อยูด่ ว้ ยความวา่ ง การแสดงปาฐกถาธรรมทั้ง ๓ ครั้งน้ีเป็นท่ีพึงพอใจของคณะแพทย์ จึงได้ถอดคา ปาฐกถาออกจากเครื่องบันทกึ เสียงมาเป็นตัวหนังสือ เมอ่ื เรียบเรียงเสร็จแล้วจึงได้นาต้นฉบับ มอบให้ทา่ นพทุ ธทาสภิกขุ เพ่อื ตรวจชาระความถกู ต้องของเนอ้ื หา และไดจ้ ัดพิมพ์เปน็ หนังสือ

ลกั ษณะคาประพันธ์ แก่นพุทธศาสน์เป็นวรรณกรรม ประเภทถอดความมาจากคาปาฐกถาธรรมของท่าน พุทธทาสภิกขุ ท่ีท่านแสดงแก่คณะแพทย์ และนักศึกษาวิชาแพทย์ ณ โรงพยาบาลศิริราช ซ่ึงในเร่ืองนี้แสดงให้เห็นถึงบทบาทของพระสงฆ์ท่ีมีส่วนช้ีนา ทางความคิดใน สถาบันอดุ มศกึ ษาไดเ้ ปน็ อย่างดี

ประวตั ผิ ู้แต่ง ชาติภูมิ ท่านพุทธทาสภิกขุ มีนามเดิมว่า เงื่อม ฉายา อินฺทปญฺโญ นามสกุล พานิช ท่านเกิดเมื่อวันอาทิตย์ ที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๔๙ ณ หมู่บ้านกร่าง ตาบล พุมเรียง อาเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นบุตรของคุณ พ่อเซีย้ ง คุณแม่เคลอื่ น พานิช มอี าชีพค้าขาย ท่านมพี ี่น้อง รว่ มกนั ๓ คน โดยท่านเปน็ บตุ รคนโต

การศึกษา กำรศึกษำทำงโลก ทา่ นพุทธทาสภิกขุ จบช้ันมัธยมศึกษาชัน้ ปีที่ ๓ ทีโ่ รงเรียนสารภี อทุ ิศ อาเภอไชยา จังหวัดสรุ าษฎรธ์ านี ในปีพทุ ธศักราช ๒๔๖๕ กำรศึกษำทำงธรรม ท่านพุทธทาสภิกขุสอบได้นักธรรมช้ันเอก และเปรียญธรรม ๓ ประโยค ท่ีสานักเรียนวัดปทมุ คงคา กรุงเทพมหานคร ในปพี ุทธศกั ราช ๒๔๗๓ ท่านพุทธทาสภิกขุ เป็นพระที่มีความรอบรู้ด้านพระพุทธศาสนา เป็นพระนัก เผยแพร่ จนเป็นท่ีรู้จักในแวดวงวิชาการ ท่านจึงได้รับมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวทิ ยาลยั ตา่ ง ๆ ของไทย เชน่ พุทธศักราช ๒๕๒๒ ได้รับปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหา จฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ในพระบรมราชปู ถัมภ์

พุทธศักราช ๒๕๒๘ ได้รับปริญญาอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักด์ิ สาขา ปรชั ญาและศาสนา จากมหาวิทยาลยั ศิลปากร พุทธศักราช ๒๕๒๙ ได้รับปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขา ปรัชญา จากมหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ เป็นต้น การอปุ สมบท ท่านพุทธทาสภิกขุ อุปสมบทเมื่ออายุ ๒๐ ปี ในวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พทุ ธศักราช ๒๔๖๙ ไดร้ บั ฉายาว่า อนิ ทปญฺโญ เดมิ ทา่ นตั้งใจจะบวชเพียง ๓ เดือน แต่ด้วย ความชอบที่จะศึกษา ทาให้ท่านไม่อยากสึก คร้ันถึงปี พุทธศักราช ๒๔๗๕ ท่านเดินทาง กลับมาที่ตาบลพุมเรียง เข้าพานกั อยู่ที่วดั ตระพังจิก ซึ่งเป็นวัดร้าง ท่นี ี่เองจึงเปน็ จุดเริ่มต้น ของสวนโมกขพลาราม

ผลงาน ท่านพุทธทาสภิกขุ มีผลงานอันเป็นที่ประจักษ์แก่พุทธศาสนิกชนมากมาย แต่ในท่ีนี้ จะนาเสนอเฉพาะบางส่วน ซงึ่ มดี งั ต่อไปนี้ ด้ำนงำนก่อสร้ำงสถำนที่ และส่ือเพ่ือกำรเผยแผ่พุทธธรรม พุทธศักราช ๒๔๗๕ จัดตั้งคณะธรรมทานขึ้น เพ่ือให้เป็นสถานที่ศึกษาและปฏิบัติธรรม โดยให้ชื่อว่า “สวนโมก ขพลาราม” นอกจากน้ียังสร้าง “โรงหนังสวนโมกข์” เพ่ือเป็นส่ือสอนคติธรรมต่าง ๆ แก่ พทุ ธศาสนกิ ชนอกี ด้วย ด้ำนกำรประพันธ์ทั่วไป มีหลายเร่ือง เช่น ตามรอยอรหันต์ ชุมนุมเรื่องสั้น ชมุ นมุ เร่อื งยาว เป็นต้น ดำ้ นงำนปำฐกถำธรรม เช่น พุทธธรรม ๔ เร่ือง แกน่ พทุ ธศาสน์ เปน็ ต้น

ด้ำนงำนแปลพระไตรปิฎกจำกภำษำบำลีเป็นภำษำไทย ได้แก่ พุทธประวัติจากพระ โอษฐ์ ขุมทรพั ยจ์ ากพระโอษฐ์ เปน็ ต้น ด้ำนงำนแปลธรรมะจำกภำษำอังกฤษเป็นภำษำไทย ได้แก่ พุทธประวัติสาหรับ นักศกึ ษา เกยี รติคุณของพระพทุ ธเจ้า เปน็ ตน้ มรณภาพ ท่านพุทธทาสภกิ ขุ ได้มรณภาพเมอ่ื วันที่ ๘ กรกฎาคม พทุ ธศักราช ๒๕๓๖ ณ สวนโมกพลาราม สริ ิอายไุ ด้ ๘๗ ปี ๖๗ พรรษา

เนอื้ หาโดยยอ่ ของแก่นพุทธศาสน์ ตอนที่ ๑ เร่อื งใจความสาคญั ของพระพทุ ธศาสนา ๑.พระพุทธศาสนาด้ังเดิมปรากฏเรื่องโรคอยู่ ๒ ประการ คือ โรคทางกาย และ โรคทางจติ แตใ่ นปัจจบุ นั คนเราได้แปลโรคทางจิต ไม่ตรงกับหลักพุทธศาสนาดังเดิมนัก คือ เอาโรคทางจิตไปรวมกับโรคทางกาย ท่านจึงได้บัญญัติศัพท์คาว่า “โรคทางจิต” ให้แตกต่าง ออกไปจากท่ีคนเข้าใจกันในปัจจุบัน โดยใช้คาว่า “โรคฝ่ายวิญญาณ” พระพุทธเจ้าจึงเป็น นายแพทย์ทางวิญญาณ เพราะได้ให้ยาคือธรรมะเพื่อรักษาโรคน้ี ลักษณะของโรคทาง วิญญาณ คือ ความรู้สึกเป็นอหังการ มมังการ น่ีคือตัวอันตราย ที่ร้ายกาจท่ีสุด ซ่ึงเรา เรียกวา่ โรคทางวิญญาณ

๒.ตัวต้านทานโรคทางวิญญาณ คือต้องรู้จักหัวใจของ พระพุทธศาสนา หัวใจของพระพุทธศาสนาคือ “ส่ิงทั้งปวงไม่ ควรยึดม่ัน” “สพฺเพ ธมฺมา นาล อภินิเวสาย” ท่ีบอกว่าเป็น หัวใจพระพุทธศาสนาคือ มันเป็นท้ังเรื่องวิชชา เร่ืองปฏิบัติ สมบูรณ์พร้อมท้ังหมด เช่น เมื่อรู้ว่าส่ิงทั้งหลายทั้งปวง ไม่ ควรยึดม่ันถือมั่นแล้ว ก็ปฏิบัติเพื่อไม่ยึดมั่นถือมั่น แล้วก็ได้ผล มาเป็นจิตที่ไมย่ ึดมน่ั ถือมั่น แล้วก็เป็นจิตท่วี ่างที่สดุ บุคคลชนิด น้ีจึงเหมือนมีเชื้อต้านทานโรคและเชื้อทาลายโรค อยู่ในตัวของ เขาเอง จึงเปน็ โรคทางวญิ ญาณไมไ่ ด้

ตอนท่ี ๒ เรื่องความว่าง ๑.ความวา่ ง หมายถงึ ความว่างอยู่ในตวั มนั เอง ไม่มอี ะไรมาแตะต้อง ปรุงแต่ง แกไ้ ข หรือทาอะไรกับมันได้ จึงถือว่าเป็นสภาพท่นี ิรันดร คือไม่ต้องเกิดในทแี รก แล้วดับ ไปในที่สุด มันจึงมี “ความมี” อยู่อีกชนิดหน่ึง ไม่เหมือนกับความมีของส่ิงอื่น ๆ ซึ่งมี ความเกิดข้ึนแล้วดับไป แต่ว่าเราก็ไม่มีคาอ่ืนใช้ เราจึงเรียกว่า “ความว่าง” น้ีอยู่เป็นนิ รันดร์ ๒.พุทธพจน์ที่แสดงถึงหลกั ปฏิบัติเก่ียวกับความว่าง พระพุทธภาษิตท่เี ป็นหัวใจของ พระพุทธศาสนา น่ันคือ พุทธภาษิตที่ว่า “ส่ิงทั้งหลายท้ังปวงอันใคร ๆ ไม่ควรเข้าไปยึด ม่นั ว่าเปน็ เรา เป็นของเรา”

ตอนที่ ๓ วิธีปฏิบัตเิ พ่ือเปน็ อยู่ดว้ ยความวา่ ง ๑.รู้ความว่าง คือ รู้สึกต่อความว่างท่ีจิตกาลังว่างอยู่จริง ๆ การรู้ความว่างน้ัน ต้องหมายถึงรู้สึกต่อความว่างที่จิตกาลังว่างอยู่จริง ๆ เราต้องรู้ต่อสิ่งที่กาลังมีอยู่แก่จิต จริง ๆ ถ้าเรารู้ความว่าง ก็ต้องมีความว่างปรากฏอยู่ในขณะน้ัน แล้วเรารู้ว่ามันเป็น อย่างไรอยา่ งนี้จึงเรยี กว่า “รู้ความว่าง” ๒.การปฏิบัติเพ่ืออยู่ด้วยความว่าง คืออย่าให้ความรู้สึกว่าตัวตนเกิดข้ึนมา เพราะฉะน้ัน การปฏิบัติเพ่ือเป็นอยู่ด้วยความว่าง มันก็อยู่ตรงน้ีเอง อยู่ตรงที่ปฏิบัติ อย่าให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นตัวตน หรือตัวเราขึ้นมา ปฏิบัติอย่างน้ีเรียกว่า ปฏิบัติเพ่ือ เป็นอยู่ด้วยความว่าง

จดุ เดน่ และรปู แบบ จดุ เด่น แกน่ พทุ ธศาสน์ มจี ุดเดน่ ทีส่ รปุ ไดด้ ังน้ี ๑.เปน็ หนังสอื ทไ่ี ด้รับรางวัลชนะเลิศประเภทหนังสือดจี ากองค์กรยเู นสโก (UNESCO) ๒.เป็นหนังสือที่แสดงแก่นพุทธศาสน์ จุดมุ่งหมายของพุทธศาสน์ และวิธีปฏิบัติตาม หลักคาสอนด้านพทุ ธศาสน์ ไดอ้ ย่างครบถ้วนสมบรู ณ์ ๓.เป็นหนังสือท่ีให้โลกทัศน์และชีวทัศน์ สาหรับมนุษย์ที่ถูกต้องสมบูรณ์แบบ คือให้ มองโลกและชีวติ ให้รเู้ หน็ ตามความเป็นจริง

รูปแบบ แกน่ พทุ ธศาสนม์ โี ครงสรา้ ง วธิ เี ขยี น ภาษาทใ่ี ชเ้ ขยี น และการจดั ลาดบั เนอ้ื หา ดงั น้ี ๑.โครงสร้างการเขียน เป็นการจัดโครงสร้างของการเขียน โดยแบ่งเน้ือหา ออกเปน็ ๓ ตอน ตามลาดับของเวลาท่ที า่ นพทุ ธทาสภิกขุ ปาฐกถาธรรม ๓ ครง้ั ๒.วิธีเขียน เป็นการเขียนโดยการถอดออกจากคาปาฐกถาแบบคาต่อคา ไม่มี การอธบิ ายเพม่ิ เตมิ ข้อความใด ๆ ในภายหลงั ๓.ภาษาท่ีใช้เขียน เป็นภาษาแบบความเรียง หรือร้อยแก้ว ศัพท์ท่ีท่านพุทธ ทาสภกิ ขุนามาใช้สอื่ สารเข้าใจไดง้ า่ ยกบั คนยคุ ปจั จบุ ัน เชน่ ศพั ท์ว่า “ตัวก-ู ของก”ู เป็นตน้ ๔.การจัดลาดับเน้ือหา เป็นการจัดลาดับอย่างมีข้ันตอน จัดลาดับเน้ือหาจาก ง่ายไปหายาก นาเสนอให้เขา้ ใจไดง้ ่าย

การวเิ คราะหง์ านวรรณกรรมเรอ่ื งกรรมทปี นี ความเป็นมา กรรมทีปนี เป็นวรรณกรรม ซ่ึงแต่งโดยพระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) หลังจากท่ีท่านสาเร็จการศึกษาช้ันสูงสุดด้านปริยัติแล้ว ท่านก็เอาใจฝักใฝ่ในการ ปฏิบัติและบาเพ็ญวิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นเวลา ๒ พรรษา คร้ันออกจากการบาเพ็ญ วปิ ัสสนากัมมัฏฐานแล้ว ท่านจึงได้รจนาวรรณกรรมต่าง ๆ ทางพระพุทธศาสนาไว้หลาย เล่ม และหนังสือของท่านต่างก็ได้รับการยอมรับจากนักวิชาการท้ังส้ิน ท้ังยังได้รับ รางวัลชนะเลิศวรรณกรรมสาขาศาสนาอีกดว้ ย

ประวัติผู้แตง่ พระพรหมโมลี มีนามเดิมว่า วิลาศ นามสกุล ทองคา เกิดเมื่อวันอังคาร ท่ี ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๓ ณ หมู่บ้านอุโลกสี่หม่ืน ตาบลอุโลกสี่หม่ืน อาเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี บรรพชาเป็นสามเณร เม่ือพุทธศักราช ๒๔๘๖ ณ วัดพระแท่นดงรังวรวิหาร จังหวัดกาญจนบุรี และอุปสมบท เป็นพระภกิ ษุ ณ วัดยานนาวา กรุงเทพมหานคร ในปีพ.ศ.๒๔๙๓ พระพรหมโมลี สาเร็จการศึกษาเปรียญธรรม ๙ ประโยค ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๓ และทา่ นมรณภาพเมอื่ พทุ ธศักราช ๒๕๔๕ ณ เมืองทวาย ประเทศเมยี นมาร์

เนอ้ื หาโดยย่อของกรรมทปี นี กรรมทีปนี เป็นอรรถาธิบายให้ท่านผู้มีปัญญา ได้เห็นถึงความไม่เข้าใจในเรื่อง กรรม ของศาสดาจารย์เจ้าลัทธินอกศาสนา มีบูรณกัสสปศาสดาจารย์ เป็นต้น ซ่ึงพา กันบัญญัติลัทธิโง่เขลาเป็นมิจฉาทิฏฐิ เข้าลักษณะเป็นนัตถิทิฏฐิ อเหตุกทิฏฐิ และอกิริ ยาทิฏฐิ บังอาจสั่งสอนเรื่องกรรม ผิดไปจากสภาพธรรมตามความเป็นจริง หลังจากที่ บูรณกัสสปะพร้อมด้วยสาวกละจากโลกน้ีไป จึงได้ตกนรก เพราะมีความเข้าใจผิดใน ครรลองแหง่ กรรม กรรมทีปนีนี้จึงเป็นอรรถาธิบายเสริม ให้ท่านผู้รู้ได้เข้าใจแจ่มแจ้งในเร่ืองของ กรรม ตามแนวทางที่ปรากฏมีในคาสอนทางพระพุทธศาสนา โดยมีการแบ่งเร่ืองของ กรรมออกเปน็ ๓ ภาค คอื

ภำคท่ี ๑ พรรณนาถึงประเภทแห่งกรรม นามของกรรมแต่ละประเภท และการ ทาหน้าท่ีของกรรมประเภทตา่ ง ๆ ภำคท่ี ๒ พรรณนาถึงผลแห่งกรรม เพื่อแสดงใหเ้ ห็นความเป็นไปแห่งกรรม และ ขจัดข้อกังขาในปญั หาทีว่ ่า กรรมมผี ลจรงิ หรือไม่ มโี ทษหนักเบาอย่างไร เป็นตน้ ภำคท่ี ๓ พรรณนาถึงกรรมฑหนะ หรือการเผาผลาญกรรม ได้แสดงให้เห็นถึง จุดหมายทางพระพุทธศาสนาว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศน้ัน มีจุดหมายสาคัญ อยู่ท่ีการเผาผลาญสังหารกรรม อันเป็นตัวบันดาลให้ประชากรสัตว์ต้องทุกข์ทรมานอยู่ใน ห้วงมหาภยั

ศาสนาเจ้าลัทธิอื่นใด ถึงแม้จะมีปัญญามากมายเพียงไร ก็ไม่สามารถที่จะ ประกาศเรื่องของกรรมใหล้ ะเอยี ดถกู ตอ้ ง ต้งั แตต่ ้นจนถงึ กรรมฑหนะ คอื การเผาผลาญ สังหารกรรมได้ มีเพียงพระพุทธศาสนาเท่าน้ัน ท่ีอธิบายเรื่องของกรรมได้ ละเอยี ดออ่ นทส่ี ุด กรรมทีปนีมเี น้ือหามาก แต่ในที่น้ีจะกล่าวถึงเฉพาะใจความและประเด็นท่สี าคัญ ซึง่ มเี น้อื หาและรายละเอียด ดงั ตอ่ ไปนี้

อารมั ภกถา สมยั ที่องคส์ มเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงพระชนมชีพอยู่ ยังมีศาสดาจารย์ เจ้าลัทธิผู้หน่ึง มีนามว่าปูรณกัสสปะ มหาชนบางหมู่ยกย่องว่าท่านเป็นพระอรหันต์ เพราะท่านมชี วี ติ ความเป็นอยูแ่ ละขอ้ ปฏิบัตอิ ย่างง่าย ๆ ท่านปูรณกสั สปศาสดาจารย์ผู้น้ี มชี ีวประวตั ิวา่ เดิมทเี ป็นทาสของเศรษฐีผู้มที รัพย์ มหาศาล ท่านเศรษฐีมีทาสอยู่ในบ้านถึง ๙๙ คน ซึ่งคนอินเดียในยุคน้ันมีคติว่า ทาสคน ใดเกิดมาครบเป็นคนที่ ๑๐๐ พอดี ชื่อว่าเป็น “มงคลทาส” และท่านปูรณกัสสปะผู้น้ี ก็ เกิดมาเป็นทาสคนที่ ๑๐๐ พอดี ท่านเศรษฐีจึงต้ังชื่อให้อย่างไพเราะว่า “ปูรณะ” ซึ่ง แปลวา่ “นายเต็ม” และได้รบั การเอาอกเอาใจจากท่านเศรษฐเี ป็นอย่างมาก

เมื่อปูรณะเติบโตเป็นหนุ่ม มีความสุขสาราญมาก เขาประพฤติตนประหน่ึงว่าเป็น เจ้านายอีกคนในบ้าน วันหนึ่งเขาเกิดความคิดขึ้นมาว่า “อาตมาอยู่ที่น่ี ไมเ่ หน็ จะมีประโยชน์ อะไร การงานก็ไม่ได้ทาเหมือนคนอ่ืน ย่ิงอยู่ไปก็ยิ่งกลุ้มใจ ควรท่ีอาตมาจะหนีไปอยู่สถานที่ อนื่ ” เม่อื คิดดงั น้แี ล้วออปรู ณะ จงึ ไดล้ อบหนีจากบา้ นเศรษฐใี นยามราตรี โดยมขี องติดตัวไป เพียงเล็กน้อย วันนี้บังเอิญเคราะห์ร้าย เขาถูกโจรรีดทรัพย์ไปจนหมดส้ิน แม้ผ้าที่เขานุ่งห่ม กถ็ กู โจรเปลอื้ งเอาไป หลงั จากท่ีนายออปูรณะถูกโจรปล้นไมเ่ หลือแมเ้ ส้ือผา้ เขาจึงหนเี ขา้ ปา่ ลึก เพราะกลวั จะอับอายเม่ือมีคนมาเห็นเขาไม่นุ่งห่มผ้า เน่ืองจากเขาเป็นคนโง่เขลา เพราะเกิดมาเขาไม่ เคยทาอะไรเลย จึงไม่คิดที่จะหาผ้าหรือใบไม้มาปกกาย ได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในป่า คร้ันเกิด ความหวิ โหยขึ้นมาเขาจงึ หมดความละอาย และเดินเข้าไปในหมบู่ า้ น เพ่อื ขอขา้ วชาวบ้านกนิ

ฝ่ายชาวบ้านแถบน้ันเป็นคนไร้ปัญญา คร้ันเห็นนายปูรณะ ต่างก็บอกแก่กันและ กันว่า ท่านผู้น้ีมีความมักน้อยสันโดษ แม้แต่ผ้าท่านก็ไม่นุ่งห่ม ท่านคงเป็นพระอรหันต์ อย่างแน่แท้ พอชาวบ้านคิดได้เช่นน้ัน จึงพากันนาเอาอาหารมามอบถวายให้แก่ออปูรณะ นายออปรู ณะครั้นเห็นเขายกย่องตนเชน่ นนั้ กเ็ ลยสาคัญตนวา่ เป็นพระอรหันตข์ ้นึ มาจรงิ ๆ ตั้งแต่นั้นมา ก็เกิดอโยนิโสมนสิการถือมั่นเป็นอกิริยาทิฏฐิว่า “ทาบุญก็ไม่เป็นอัน จะทาบุญ เหนื่อยเสียเปล่า หาได้บุญไม่ ทาบาปก็ไม่เป็นอันทา ทาบาปเสียเท่าไหร่ ก็หา ได้บาปไม่ อาตมาเห็นจะได้ทาบุญที่ไหน ถึงทีจะได้เป็นพระอรหันต์ ก็ได้เป็นเอาเฉย ๆ เพราะการไม่นงุ่ ห่มผ้าแค่นน้ั เอง” ออปูรณกัสสปะอรหันตเ์ ถอ่ื น ถือมนั่ ในความคิดเหน็ ของตนเช่นน้ีแล้ว ตั้งแต่น้ันมา เขาก็ไม่นุ่งห่มผ้าเลย คนโฉดเขลาก็นับถือกันมากขึ้นเร่ือย ๆ จนมีสาวกอยู่ประมาณ ๕๐๐ คน ฝา่ ยสาวกจึงไดข้ นานนามเจ้าลัทธขิ องตนวา่ “ทา่ นปรู ณกสั สปศาสดาจารย”์

และเขาก็ได้แนะนาพร่าสอนสาวกของเขาแบบผิด ๆ อยา่ งนนั้ มาอยเู่ นอื งนิตย์ บัดนั้น เราท่านทั้งหลายนับว่าเป็นผู้โชคดี เพราะเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ซ่ึงเป็นศาสนาที่สอน เร่ืองของกรรมไว้อย่างละเอียดและถูกต้องต้องท่ีสุด เมื่อเรายังไม่รู้เร่ืองของกรรมดีพอและยังสงสัยใน เรื่องกรรมน้ีอยู่ ก็ควรจะรับรู้เรื่องของกรรมไว้บ้างจะเป็นการดี จะได้ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาพบ พระพทุ ธศาสนา กริยตีติ กมฺม “สภาวะใดอันสัตว์ท้ังหลายกระทาสภาวะนั้นแลช่ือว่ากรรม” กรรมแยกประเภท ออกไดด้ ังนี้ ถ้าเปน็ กศุ ล กเ็ รยี กวา่ กุศลกรรม ถา้ เปน็ อกุศล ก็เรียกวา่ อกศุ ลกรรม ถ้ากระทาด้วยกาย กเ็ รยี กว่า กายกรรม ถ้ากระทาด้วยวาจา กเ็ รยี กวา่ วจีกรรม ถา้ กระทาด้วยดว้ ยใจ ก็เรยี กวา่ มโนกรรม

ประเภทแห่งกรรม บัดน้ี จักพรรณนาถึงประเภทแห่งกรรม ตามท่ีปรากฏมีในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา มพี ระคมั ภรี ์มโนรถปูรณี เปน็ ตน้ เพือ่ ชีแ้ จงใหส้ าธชุ นท้งั หลายได้ทราบในส่งิ ทคี่ วรรู้ ในการศึกษาเร่ืองประเภทแห่งกรรมนี้ ควรจะศึกษากันถึงกรรมประเภทที่ ๑ เสยี ก่อน คือเรอ่ื งของกรรมท่ีวา่ ด้วยหน้าที่ในกจิ จตุกก ซ่ึงมอี ยู่ ๔ หมวด คอื ๑) ชนกกรรม ๒) อุปถัมภกกรรม ๓) อุปปีฬกรรม ๔) อปุ ฆาตกรรม ชนกกรรม “ชเนตีติ ชนก กรรมใด ย่อมทาวิบากนามขันธ์ และกัมมชรูปให้เกิดขึ้น กรรมน้ันช่ือว่า ชนกกรรม” หมายความว่า คร้ันสัตว์ทั้งหลายตายลงแล้ว เมื่อไปเกิดในภพภูมิ ต่าง ๆ เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ดี เป็นมนุษย์ก็ดี เป็นเทวดาก็ดี ย่อมเป็นไปด้วยอานาจแห่งชนก กรรม ทาหนา้ ทใี่ ห้วิบากและกมั มชรูปเกดิ ขึ้น ในปฏสิ นธกิ าลท้ังส้ิน

ชนกกรรมนี้มีอยู่ ๒ ฝ่าย คือ (๑) ชนกกรรมท่ีเป็นฝ่ายกุศล (๒) ชนกกรรมที่เป็น ฝ่ายอกุศล ชนกกรรมที่เป็นฝ่ายอกุศลเมื่อทาหน้าท่ีปฏิสนธิยังสัตว์ให้เกิดน้ัน ย่อมผลักดัน สตั วใ์ หไ้ ปเกดิ ในทุคตภิ มู ิอันเปน็ ภมู ทิ ่ชี วั่ ช้า ซงึ่ มีอบายภมู ิ ๔ เปน็ ท่ีตงั้

เรือ่ งปถุ ุชน ในคัมภีร์สัทธัมมปกาสนิ ี อรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค กล่าวไว้ว่า “ปุถุนานาภิสขาเร อภิสขโรนฺตีติ ปุถุชฺชนา” ซึ่งแปลว่า ท่ีได้นามว่าเป็นปุถุชน ก็เพราะมีการปรุงแต่งอภิ สังขารนานาประการอีกมาก หมายความว่า ยังต้องไปเกิดในภูมิต่าง ๆ คือต้องไปเกิดใน อบายภมู ิ กามสุคติภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ นอกจากนี้ยังมีอรรถาธิบายคาว่าปุถุชน ไว้อีกหลายนยั เชน่ วา่ สัตวโ์ ลกทัง้ หลายทีไ่ ด้ช่อื ว่าเปน็ ปุถชุ น ก็เพราะเหตุดงั ตอ่ ไปนี้ ๑) เป็นผู้ไร้การศึกษา ไร้พิจารณาไต่ถาม ไร้สดับตรับฟัง และไร้ความทรงไว้ซึ่ง ความรใู้ นสภาวธรรมตามความเปน็ จรงิ ๒) เปน็ ผูป้ ระกอบด้วยเหตอุ ันชั่วร้าย โดยอาศัยอกุศลธรรมอันมากมายมกี ิเลส เป็น ตน้ ให้เกดิ ความวนุ่ วายนานาประการ ฯลฯ

สัตว์โลกทั้งหลาย ที่ได้นามว่าเป็นปุถุชน ก็เพราะว่ายังมีกรรม กรรมนี่แหละเป็น เหตุให้สัตว์โลกต้องท่องเท่ียวอยู่ในวัฏสงสาร ตราบใดที่ยังมีกรรมอยู่ ตราบน้ันก็จะเวียน ว่ายตายเกิด โดยไม่มีท่ีสิ้นสุด สิ่งที่จะทาให้พ้นจากสังสารวัฏ คือ กรรมฑหนะ คือ การเผา ผลาญกรรมทงั้ หลายให้สญู สน้ิ ปุถุชนจึงจะพ้นจากการเวยี นเกิดเวยี นตายอันน่าเบ่อื

เร่อื งวิปัสสนา พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ได้เป็นผู้โชคดีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา และมีดวงปัญญาแจ่มแจ้ง เล็งเห็นทุกขภัยในวัฏสงสาร จึงแสวงหาไฟวิเศษคืออริยธรรม เพ่ือเผาผลาญกรรมท้ังหลายให้หมดไปจากสันดานของตน ด้วยความพยายามอันย่ิง โดย บาเพ็ญวิปัสสนากัมมัฏฐานไปตามวิธีการทท่ี ่านวปิ ัสสนาจารย์แนะนาด้วยดี จนอินทรีย์ทัง้ ๕ ถึงความสมดุลกันเป็นอันดีแล้ว ท่านผู้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานน้ัน ก็มีโอกาสได้ไฟวิเศษ กล่าวคือพระอริยมรรคญาณ มาเผาผลาญกรรมแห่งตนตามความปรารถนา โดยการได้ บรรลถุ ึงพระอริยมมรรคญาณเปน็ ขั้น ๆ ไปตามลาดบั ดงั ต่อไปนี้ ๑) พระโสดาปัตตมิ รรคญาณ เปรียบเสมอื นไฟเผาผลาญกรรม ดวงที่ ๑ ๒) พระสกทิ าคามิมรรคญาณ เปรียบเสมอื นไฟเผาผลาญกรรม ดวงท่ี ๒ ๓) พระอนาคามิมรรคญาณ เปรยี ญเสมอื นไฟเผาผลาญกรรม ดวงท่ี ๓ ๔) พระอรหตั มรรคญาณ เปรยี บเสมือนไฟเผาผลาญกรรม ดวงท่ี ๔

เรื่องวิปัสสนาเร่ืองอริยมมรรคญาณน้ีเป็นเรื่องวิเศษสุด ปรากฏมีอยู่แต่ในเฉพาะ พระพุทธศาสนาของเรานี้เท่านั้น ในศาสนาของศาสดาอื่นไม่มี เมื่อได้ปลูกศรัทธาให้เป็นท่ี เข้าใจเช่นนี้แล้ว ต่อจากน้ีไปให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ท่องเท่ียวไปในวิปัสสนากัมมัฏฐาน และพระอริยมรรคญาณ เพอ่ื ทีจ่ ะได้ประสบกบั ไฟวเิ ศษ สาหรบั เผาผลาญกรรมกันเสียที

จุดเด่นและรปู แบบ จดุ เดน่ กรรมทีปนี รจนาข้ึนโดยใช้สานวนความเรียงแบบร้อยแก้ว ใช้ภาษาที่ง่าย สาระ เนน้ ถึงหลกั กรรมทางพระพุทธศาสนาได้อยา่ งเด่นชัด รปู แบบการแต่ง กรรมทีปนี มีรปู แบบการแต่ง ดงั น้ี ๑.โครงสร้างการเขียน เป็นการจัดโครงสร้างการเขียน ๓ ภาค คือ ภาคท่ี ๑ กล่าวถึงประเภทของกรรม ภาคท่ี ๒ กล่าวถึงผลของกรรม และภาคที่ ๓ กล่าวถึงการ เผาผลาญกรรม

๒.วิธีเขียน เป็นการเขียนในรูปแบบหนังสือทางวิชาการ มีการอ้างอิงแหล่งท่ีมา ตามหลักทางวิชาการ ๓.ภาษาที่ใช้เขียน ผู้เขียนใช้ภาษาเขียนเป็นพรรณนาโวหาร ภาษาที่ใช้เขียนมีทั้ง ภาษาไทยและภาษาบาลี ๔.การจัดลาดับเน้ือหา จัดลาดับเน้ือหาจากง่ายไปหายาก เป็นลาดับข้ันตอน เช่น การนิยามความหมายของกรรม บอกประเภทของกรรม หน้าท่ีของกรรม และการเผา ผลาญกรรมให้ส้ินสดุ ไปจากขนั ธสันดานของสตั ว์ เม่อื กลา่ วโดยสรุปเรือ่ งกรรมนน้ั เปน็ เรื่องสาคัญทสี่ ุดทางพระพุทธศาสนาควรค่าแก่ การศึกษาใหเ้ กิดความเข้าใจถูกตอ้ งเปน็ อยา่ งย่งิ เพราะการประกาศเรอื่ งกรรมน้ี จะปรากฏ อยู่เฉพาะกาลทโี่ ลกมีพระพุทธศาสนาเท่านั้น

การวิเคราะห์วรรณกรรมเรอื่ งพทุ ธวทิ ยา ความเปน็ มา พทุ ธวทิ ยาเป็นหนังสือวิชาการทางพระพทุ ธศาสนา อาจารย์พร รัตนสวุ รรณ ได้เขียน ขึ้นเมื่อ พุทธศักราช ๒๔๙๖ สมัยท่ีพักอยู่วัดอุโมงค์ จังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้เวลาในการ เขยี นประมาณ ๖ เดือน โดยผ้เู ขียนมีกศุ ลเจตนาอันแน่วแน่ทจี่ ะเขียนขึ้น เพ่ืออธิบายให้รู้ว่า ชีวิตเกิดข้ึนมาอย่างไร อานาจอะไรเป็นผู้สร้างสรรค์ชีวิต ชาติหน้า นรก สวรรค์ มีจริง หรือไม่ เรื่องที่ท่านเขียนเป็นปรัชญาคือหลักวิชาการท่ีแน่นอน เป็นกฎท่ีพระพุทธเจ้าทุก พระองค์ทรงค้นพบ และทรงเข้าใจเหมอื นกนั ทุกพระองค์

ลกั ษณะคาประพนั ธ์ พุทธวิทยาเป็นผลงานการศึกษาค้นคว้าวิชาการทางพระพุทธศาสนาของอาจารย์พร รัตนสุวรรณ โดยใช้การแต่งประเภทร้อยแก้ว โดยไม่เน้นตามหมวดหลักธรรมหรือตาม ตัวอกั ษร สว่ นใหญเ่ ปน็ การเนน้ ท่ีหัวขอ้ เร่ืองทต่ี ้องการจะนาเสนอ

ประวตั ผิ ู้แตง่ อาจารย์พร รัตนสุวรรณ เกิดเมื่อวันท่ี ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๖๑ ณ ตาบลบ้านแก่ง อาเภอตรอน จังหวัด อุตรดิตถ์ เปน็ บุตรของคุณพอ่ บนุ นาค และคณุ แม่พณิ รตั นสุวรรณ ท่านเป็นบุตรคนที่ ๒ ในจานวนพ่ีน้อง ๕ คน ท่านได้บรรพชาเป็น สามเณรในปีพุทธศักราช ๒๔๗๘ ท่ีวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ กรุงเทพมหานคร และสอบได้เปรียญธรรม ๖ ประโยค ขณะเป็น สามเณร ท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษทุ ่ีวัดมหาธาตุฯ โดยมีเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี มหาเถระ) เปน็ พระอุปชั ฌาย์ อาจารย์พร ถงึ แก่กรรมเมื่อวนั ที่ ๒๔ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ.๒๕๓๖

เน้ือหาโดยย่อ หนงั สอื พทุ ธวิทยาเป็นหนงั สือวิชาการทางพระพทุ ธศาสนา ผู้แต่งได้อธิบายความแยก เป็น ๒ เล่ม คือ พุทธวิทยา เล่ม ๑ กล่าวถึง ปฏิจจสมุปบาท ธรรมชาติกับพระเจ้า การ เกิดของวิญญาณ เป็นต้น สว่ นพุทธวิทยา เล่ม ๒ กลา่ วถึง กรรม นรก-สวรรค์ นิพพาน และภาคผนวก เน้อื หาพุทธวิทยาทง้ั ๒ เลม่ โดยย่อสรปุ ได้ดงั นี้

เน้อื หาของพุทธวิทยา เล่ม ๑ บทที่ ๑ เร่อื งปฏิจจสมุปบาท เรื่องปฏิจจสมุปบาท มีสาระสาคัญ ดังน้ี ปฏิจจสมุปบาทคืออะไร ปฏิจจสมุปบาท สาคัญอย่างไร ปฏิจจสมุปบาทคือกฎธรรมดาของชีวิต ถ้าไม่รู้เร่ืองปฏิจจสมุปบาท จะ แก้ปญั หาชีวิตไมต่ ก จะพ้นจากนรกไมไ่ ด้ และถ้าไมร่ ู้เรอื่ งปฏจิ จสมปุ บาท แมใ้ หเ้ ป็นปราชญ์ อย่างไร ก็อดมีความเข้าใจผิดในเร่ืองชวี ติ ไม่ได้ ฯลฯ บทท่ี ๒ เรอ่ื งธรรมชาติกับพระเจา้ เรื่องธรรมชาติกับพระเจ้า มสี าระสาคัญ ดังน้ี ธรรมชาติคืออะไร พระเจ้าคืออะไร แง่คิดที่ทาให้เชื่อว่ามีพระเจ้า พระเจ้ามีสภาพเป็นวิญญาณ สภาพของพระเจ้าคล้ายกับ วิญญาณในพระพทุ ธศาสนา พระเจ้าทรงยอมสถิตอยู่กับผู้มใี จบริสุทธ์ิ พระเจ้าอยกู่ ับผู้ใดผู้นน้ั จะสานึกถึงความผดิ พระเจา้ ทรงรกั โลก ผ้ไู มเ่ ช่อื ในพระเจา้ จะต้องวนิ าศ ฯลฯ

บทที่ ๓ เรือ่ งวิญญาณในพระพุทธศาสนา เร่ืองวิญญาณในพระพุทธศาสนา มีสาระสาคัญ ดังนี้ วิญญาณในความหมายของ พระพุทธศาสนาไม่ใช่ผี แต่เป็นพลังงาน วิญญาณมีอยู่ในชีวิตท้ังปวง วิญญาณเป็นธาตุ นามธรรม พระพทุ ธศาสนาถือวา่ วิญญาณมอี ยูท่ กุ เซลล์ชีวิต บทท่ี ๔ เร่อื งวิญญาณคือธรรมชาตผิ ู้สร้างสรรคช์ วี ติ เรื่องวิญญาณคือธรรมชาติผู้สร้างสรรค์ชีวิต มีสาระสาคัญ ดังนี้ ต้องเข้าใจว่า วิญญาณเป็นธรรมชาติที่มีจิตจานง ต้องเรียนรู้ขันธ์ ๕ ให้เข้าใจดีที่สุดโดยเฉพาะสังขาร แล้วจงเอาข้อเท็จจริงของชีวิตมาเทียบกับลักษณะของวิญญาณ จะทาให้เข้าใจแจ่มแจ้งว่า วิญญาณ คือ ธรรมชาติผสู้ ร้างสรรคช์ วี ิต

บทท่ี ๕ เร่อื งการเกดิ ของวญิ ญาณ เร่ืองการเกิดของวญิ ญาณ มสี าระสาคัญ ดังน้ี วญิ ญาณเกิดจากชีวติ ถ้าชีวิตไม่มี วิญญาณก็ไม่มี วิญญาณสืบต่อได้ทางเซลล์สืบพันธ์ุเท่าน้ัน และวิญญาณเกิดจากชีวิต วิญญาณจะเกดิ ไดต้ ้องอาศยั ร่างกาย และลกั ขณรปู ๔ วญิ ญาณจงึ จะเกดิ ได้ บทท่ี ๖ เรอ่ื งการดบั ของวิญญาณ เรื่องการดับของวิญญาณ มีสาระสาคัญ ดังนี้ พระสูตรท่ีมักทาให้เข้าใจว่า ตาย แล้ววิญญาณดับสูญ แง่คิดท่ีจะทาให้เข้าใจว่าตายแล้ววิญญาณดับสูญ วิญญาณใน ความหมายของภิกษุสาตเิ จตภูตมีจรงิ หรอื ไม่ การเข้าใจเร่อื งจุติปฏิสนธขิ องวิญญาณ จากโลก อ่นื มาสโู่ ลกอ่นื หรือจากโลกอน่ื มาสโู่ ลกนี้ และบทสรปุ เป็นต้น

บทท่ี ๗ เรอ่ื งการสืบตอ่ ของวญิ ญาณ เร่ืองการสืบต่อของวิญญาณ มีสาระสาคัญ ดังนี้ ถ้าชีวิตไม่มวี ิญญาณก็ไม่มี ชีวิต ดับวิญญาณก็ดับ ชีวิตสืบต่อได้ทางการสืบพันธุ์ บทพิสูจน์การสืบต่อของวิญญาณ วิถีจิต เกิดข้ึนได้อย่างไร การเกิดขึ้นของวิญญาณ มีหลักสาคัญอยู่ท่ีสังขาร ประสาทเป็นเพียง ปัจจยั ส่วนหนง่ึ ท่ีทาใหเ้ กดิ วญิ ญาณ ฯลฯ บทที่ ๘ เรือ่ งชาติหน้า เร่ืองชาติหน้า มีสาระสาคัญ ดังน้ี สาเหตุที่ทาให้เข้าใจว่าตายแล้วสูญหรือไม่สูญ ปัญหาสาคญั ในเรื่องชาตหิ นา้ การทจี่ ะรู้ว่าวิญญาณที่สร้างชีวิตน้ี มาจากทอี่ ่ืน ทฤษฎีว่าด้วย การระลึกชาติ บทวินิจฉัยเร่ืองวิญญาณไปปฏิสนธิได้อย่างไร และการไปของวิญญาณควร จะเปรียบเสมอื นแสงท่ีพงุ่ ไปหรือคล่ืนของวิทยุ เปน็ ต้น

บทท่ี ๙ เรอื่ งมิจฉาทิฏฐิ เร่ืองมิจฉาทิฏฐิ มีสาระสาคัญ ดังน้ี การที่จะเข้าใจมติในพระพุทธศาสนาให้ ชัดเจนจาเป็นต้องรู้ว่ามติอะไรบ้าง ท่ีพระพุทธศาสนาถือเป็นมิจฉาทิฏฐิ ผู้ที่มีมติว่า โลก หน้าไม่มี ตายแล้วสูญ บุญบาปไม่มี คนส่วนมากทุกวันนี้เป็นนัตถิทิฏฐิ อันตคาหิกทิฏฐิ ปัญหาที่ไม่ควรคิด ฯลฯ บทวินิจฉัยส่ิงทั้งปวงมีจริงหรือไม่มีจริง และสมมติฐานเร่ือง วญิ ญาณเป็นมจิ ฉาทฏิ ฐหิ รือไม่ เปน็ ต้น

เน้ือหาของพทุ ธวทิ ยา เลม่ ๒ บทที่ ๑๐ เรอ่ื งกรรม เร่ืองกรรม มีสาระสาคญั ดงั น้ี กรรมที่เป็นหลกั พุทธศาสนาแท้ ๆ คนแรกเกิดทา กรรมได้อย่างไร ทาดีได้ดี ทาชั่วได้ช่ัวคืออย่างไร เหตุไรจึงเรียกกรรมว่าสังขาร กรรม ใหผ้ ลเมือ่ ไหร่ อยา่ งไร เป็นตน้ บทที่ ๑๑ เรื่องนรกสวรรค์ เร่ืองนรกสวรรค์ มีสาระสาคัญ ดังนี้ ผู้รู้แจ้งนรก-สวรรค์ วิธีรู้แจ้งนรก-สวรรค์ ไฟนรก เหตุไรจึงมองไม่เหน็ นรก บทสรุปเร่ืองนรก-สวรรค์ และมุมมดื ที่ทาให้ไม่เช่ือเร่ือง นรกสวรรค์ เปน็ ตน้

บทที่ ๑๒ เรอ่ื งนพิ พาน เรื่องนิพพาน มีสาระสาคัญ ดังนี้ ไม่รู้แจ้งนิพพาน ก็ไม่รู้แจ้งเร่ืองชีวิต ความ เข้าใจผิดเก่ียวกับเรื่องนิพพาน นิพพานเป็นเรื่องของคนทุกคน นิพพานคือความสงบ นพิ พานเป็นท่สี งบของสังขารท้งั ปวง ฯลฯ เคล็ดลับสาคญั ในการบรรลุถึงนิพพาน และทฤษฎี เร่ืองวญิ ญาณกับการบรรลถุ งึ นพิ พาน ภาคผนวก ภาคผนวก มีสาระสาคัญ ดังนี้ วิธีการศึกษาปฏิจจสมุปบาทอย่างง่ายโดยย่อ หัวข้อแห่งปฏิจจสมุปบาทที่เห็นกันท่ัวไป หัวข้อแห่งปฏิจจสมุปบาทแบบสมบูรณ์ หัวข้อ แห่งปฏิจจสมุปบาทของพระอรหันต์ และคาอธบิ ายในหวั ข้อปฏิจจสมุปบาทอย่างละเอยี ด

วัตถปุ ระสงค์จดุ เด่นและคุณค่า วัตถุประสงค์ หนังสือพุทธวิทยา ผู้เขียนมีจุดมุ่งหมายในการท่ีจะให้เข้าใจ ถึงหลักคาสอนในทาง พระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง เช่น เร่ืองปฏิจจสมุปบาท เร่ืองโอปปาติกะ และเรื่องกฎ แหง่ กรรม เปน็ ต้น คณุ คา่ พุทธวิทยา ผู้เขียนได้แฝงแนวความคิด สาระสาคัญในทางพระพุทธศาสนาไว้อย่าง ลึกซึ้ง และกลา้ พยากรณอ์ กี วา่ ต่อไปในอนาคตหนงั สอื เลม่ นี้ จะไดร้ ับการแปลภาษาต่าง ๆ และจะแพร่หลายไปท่ัวโลก เม่อื พจิ ารณาถงึ คุณคา่ ของวรรณกรรมสรุปได้ ดงั นี้

๑) คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ผู้เขียนได้ใช้ภาษาในการเขียนอย่างเรียบง่าย แต่แฝงไป ดว้ ยความหมายอนั ลึกซึ้ง ทาใหผ้ ู้อา่ นเขา้ ใจถงึ หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนาอยา่ งถกู ต้อง ๒) คุณค่าด้านสาระ ผู้เขียนได้พยายามหยิบยกเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใสมัยนั้นจนมาถงึ ปจั จบุ ัน เพ่ือให้ผู้อ่านได้มองเห็นถึงภาพรวม ในจุดมุง่ หมายท่ีแทจ้ ริงของ พระพทุ ธศาสนา ๓) คุณค่าด้านสังคม ผู้เขียนได้พยายามเขียนเพื่อทาให้ผู้อ่านได้เกิดแนวความคิด ในเรื่องหลกั ธรรมในทางพุทธศาสนาอยา่ งถูกต้อง ๔) คุณค่าด้านการประยุกต์ใช้ ผู้เขียนได้พยายามเขียนไว้อย่างชัดเจน ว่าผู้ใดรู้จัก หลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน ได้อยา่ งมคี วามสขุ

สรุปทา้ ยบท วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ร่วมสมัย วรรณกรรมท่ีสาคัญ คือ “แก่นพุทธศาสน์” โดยท่านพุทธทาสภิกขุได้นาหลักพุทธวิธีการสอน มาใช้ต้ังแต่ต้นจน จบเลยทีเดียว ตอนแรกท่านได้แนะนาให้เข้าใจเกี่ยวกับหลักการของพระพุทธศาสนาข้ันมูล ฐาน ลาดับต่อมาก็บอกเรื่องของความว่าง และสุดท้ายก็ได้แนะนาวิธีปฏิบัติเพ่ือเป็นอยู่ ด้วยความว่าง “แก่นพุทธศาสน์” เป็นวรรณกรรมท่ีได้รับรางวัลชนะเลิศจากองค์การ ยูเนสโก ปีพุทธศักราช ๒๕๐๘ กรรมทีปนี เป็นวรรณกรรมของพระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร) วรรณกรรม เรื่องนี้ได้กล่าวถึงเร่ืองกรรมในทางพระพุทธศาสนา โดยแบ่งออกเป็น ๓ ภาค คือ ภาคที่ ๑ เป็นการพรรณนาถึงประเภทของกรรม ภาคที่ ๒ เป็นการพรรณนาถึงผลของกรรม และภาคท่ี ๓ เปน็ การพรรณนาถึงการเผาทาลายกรรม

พุทธวิทยา เป็นการกล่าวถึงความเข้าใจเก่ียวกับเร่ืองของกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กรรมหนัก หรือกรรมเบา ซึ่งกรรมทง้ั หมดล้วนแต่มีผลต่อสัตว์โลกท้ังน้ัน แล้วแต่ว่ากรรม ต่าง ๆ เหลา่ นน้ั จะให้ผลในรูปแบบไหน จะช้าหรือวา่ เร็ว ซ่ึงพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสถึงเร่ือง กรรมไว้ไม่ใช่น้อย ทุกคนท่ีเกิดมาล้วนแต่มีกรรมติดตัว จึงได้มีคากล่าวไว้ว่า “เกิดมาเพ่ือ ชดใช้กรรม” พูดถึงหลักคาสอนในทางพระพุทธศาสนานั้น ไม่ว่าจะเป็นการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนแต่เป็นอนิจจัง เป็นความจริงของชีวิตที่จะต้องเจอ ไม่มีใครรอดพ้นจาก การแก่ เจบ็ และตาย ไปไดส้ ักคน

คาถามท้ายบท ๑) วรรณกรรมเรื่อง “แก่นพุทธศาสน”์ เปน็ ผลงานของใคร ? ก. ทา่ นพทุ ธทาสภกิ ขุ ข. พระพรหมโมลี ค. สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย์ ง. พระพรหมบณั ฑติ เฉลย ตอบ ขอ้ ก. ท่านพทุ ธทาสภกิ ขุ ๒) สถานทใี่ ดเปน็ จุดกาเนิดของวรรณกรรมเรอื่ งแกน่ พุทธศาสน์ ? ก. สวนโมกขพลาราม ข. ไร่เชิญตะวนั ค. โรงพยาบาลศิรริ าช ง. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เฉลย ตอบ ข้อ ค. โรงพยาบาลศิริราช

๓) ปาฐกถาครั้งแรกของแกน่ พทุ ธศาสน์ท่ที ่านพทุ ธทาสภกิ ขนุ าแสดงชอื่ อะไร ? ก. ความว่าง ข. ใจความท้งั หมดของพระพุทธศาสนา ค. นิพพาน ง. วิธปี ฏิบตั ิเพ่อื เป็นอยดู่ ้วยความวา่ ง เฉลย ตอบข้อ ข. ใจความท้ังหมดของพระพทุ ธศาสนา ๔) บุคคลใดต่อไปนีไ้ ม่เปน็ โรคฝา่ ยวิญญาณตามความหมายของแกน่ พุทธศาสน์ ? ก. พารามฐี านะรา่ รวยคบเพ่อื นไดท้ กุ ฐานะ ข. นครมีฐานะร่ารวยและเลอื กคบเพอื่ นทม่ี ีฐานะเท่ากับเขา ค. ธานีไม่คบเพ่ือนท่ยี ากจนเพราะตนมีฐานะร่ารวย ง. บุรไี ม่รับไหวเ้ พ่ือน เพราะถือวา่ ตนเปน็ ลกู ชายนายกรัฐมนตรี เฉลย ตอบ ขอ้ ก.พารามฐี านะรา่ รวยคบเพ่ือนได้ทกุ ฐานะ