Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ตามรอยธรรม

Description: พุทธวจน ตามรอยธรรม ธรรมะ พระพุทธเจ้า

Search

Read the Text Version

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี กู ปิด : ตามรอยธรรม ทรงสอนเฉพาะแตเ่ รือ่ งทุกข์ 15 กับความดบั สนทิ ของทุกข์ -บาลี มู. ม. ๑๒/๒๗๖/๒๘๖. ภิกษทุ งั้ หลาย !   ทง้ั ทเ่ี รามถี อ้ ยค�ำ อยา่ งน้ี มกี ารกลา่ ว อย่างนี้ สมณะและพราหมณบ์ างพวก ยังกลา่ วตู่เราดว้ ย ค�ำ เทจ็ เปล่าๆ ปล้ๆี ไม่มจี รงิ ให้เป็นจริงว่า “พระสมณโคดมเป็นคนจูงคนให้เดินผิดทางไปสู่ ความฉบิ หาย ยอ่ มบญั ญตั ลิ ทั ธคิ วามสญู เปลา่ ความวนิ าศ ความไม่มีของสัตว์ คน ตวั ตน เราเขา ขึ้นส่งั สอน” ดังน.้ี ภิกษุท้ังหลาย !   สมณะและพราหมณ์บางพวก เหลา่ นน้ั กลา่ วตเู่ ราดว้ ยค�ำ เทจ็ เปลา่ ๆ ปลๆ้ี ไมม่ จี รงิ ใหเ้ ปน็ จรงิ โดยประการทเ่ี ราไมไ่ ดก้ ลา่ ว หรอื จะกลา่ วอยา่ งนน้ั กห็ ามไิ ด.้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   ในกาลกอ่ นก็ตาม ในกาลบดั นี้ กต็ าม เราบญั ญตั สิ อนแตเ่ รอ่ื งความทกุ ข์ และความดบั สนทิ ไมม่ เี หลอื ของความทกุ ข์ เทา่ นัน้ . 33

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุทั้งหลาย !   ในการกล่าวแต่เร่ืองความทุกข์ และความดับสนิทไมม่ ีเหลือของความทุกข์เชน่ น้ี แม้จะมี ใครมาด่าว่า ถากถาง กระทบกระเทียบ เสียดสี ตถาคต กไ็ มม่ คี วามขนุ่ แคน้ โกรธเคอื ง เดอื ดรอ้ นใจ เพราะเหตนุ น้ั แต่ประการใด. ภิกษุทงั้ หลาย !   ในเรอ่ื งเดยี วกนั นนั้ เอง แมจ้ ะมี ใครมาสักการะ เคารพ สรรเสริญ บูชา ตถาคตก็ไม่มี ความรู้สกึ เพลิดเพลนิ ช่ืนชม หรือเคลม้ิ ใจไปตาม. ถา้ มใี ครมาสักการะ เคารพ สรรเสรญิ บูชา ตถาคตยอ่ มมคี วามคดิ อยา่ งนว้ี า่ กอ่ นหนา้ นเ้ี รามคี วาม รสู้ กึ ตวั ทว่ั ถงึ อยา่ งไร บดั นเ้ี รากต็ อ้ งท�ำ ความรสู้ กึ ตวั ทว่ั ถึง อยา่ งนนั้ ดงั น.ี้ 34

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี ูกปดิ : ตามรอยธรรม ค�ำของพระองค์ 16 ตรงเป็นอันเดียวกนั หมด -บาลี อิติว.ุ ขุ. ๒๕/๓๒๑/๒๙๓. ภิกษทุ ้ังหลาย !   นบั ตง้ั แตร่ าตรี ทต่ี ถาคตไดต้ รสั รู้ อนุตตรสมั มาสมั โพธิญาณ จนกระทงั่ ถึงราตรี ท่ีตถาคต ปรนิ พิ พานดว้ ยอนปุ าทิเสสนิพพานธาตุ ตลอดเวลาระหวา่ งนน้ั ตถาคตได้กล่าวสอน พร�ำ่ สอน แสดงออกซง่ึ ถอ้ ยค�ำ ใด ถอ้ ยค�ำ เหลา่ นน้ั ทง้ั หมด ยอ่ มเข้ากนั ไดโ้ ดยประการเดยี วท้งั ส้ิน ไม่แย้งกันเปน็ ประการอน่ื เลย. ภกิ ษุทง้ั หลาย !   (อนึ่ง) ตถาคตกล่าวอย่างใด ทำ�อยา่ งนน้ั ทำ�อย่างใด กล่าวอยา่ งน้ัน. 35

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี ูกปดิ : ตามรอยธรรม หลกั ทีท่ รงใช้ในการตรัส (๖ อยา่ ง) 17 -บาลี ม. ม. ๑๓/๙๑/๙๔. ราชกุมาร !   (๑)  ตถาคตรู้ชัดซงึ่ วาจาใด อนั ไม่จริง ไมแ่ ท้ ไมป่ ระกอบดว้ ยประโยชน์ และไมเ่ ปน็ ทรี่ กั ทพ่ี งึ ใจของผอู้ น่ื ตถาคตยอ่ มไม่กลา่ ววาจานั้น. (๒)  ตถาคตรชู้ ดั ซง่ึ วาจาใด อนั จรงิ อนั แท้ แต่ ไมป่ ระกอบดว้ ยประโยชน์ และไมเ่ ปน็ ทร่ี กั ทพ่ี งึ ใจของผอู้ น่ื ตถาคตย่อมไม่กล่าววาจานั้น. (๓)  ตถาคตรู้ชัดซึ่งวาจาใด อันจริง อันแท้ อนั ประกอบดว้ ยประโยชน์ แตไ่ มเ่ ปน็ ทร่ี กั ทพ่ี งึ ใจของผอู้ น่ื ตถาคตยอ่ มเลือกใหเ้ หมาะกาลเพอ่ื กลา่ ววาจาน้นั . (๔)  ตถาคตรู้ชัดซึ่งวาจาใด อันไม่จริง ไม่แท้ ไมป่ ระกอบดว้ ยประโยชน์ แตเ่ ปน็ ทร่ี กั ทพ่ี งึ ใจของผอู้ น่ื ตถาคตย่อมไม่กลา่ ววาจานน้ั . 36

เปิดธรรมทถี่ ูกปิด : ตามรอยธรรม (๕)  ตถาคตรู้ชัดซึ่งวาจาใด อันจริง อันแท้ แตไ่ มป่ ระกอบดว้ ยประโยชน์ แมเ้ ปน็ ทร่ี กั ทพ่ี งึ ใจของผอู้ น่ื ตถาคตย่อมไมก่ ลา่ ววาจานั้น. (๖) ตถาคตรู้ชัดซึ่งวาจาใด อันจริง อันแท้ อนั ประกอบดว้ ยประโยชน์ และเปน็ ทร่ี กั ทพ่ี งึ ใจของผอู้ น่ื ตถาคตยอ่ มเปน็ ผรู้ จู้ กั กาละทเ่ี หมาะสมเพอ่ื กลา่ ววาจานน้ั . ขอ้ นีเ้ พราะเหตไุ รเลา่  ? ราชกมุ าร !   เพราะตถาคตมีความเอ็นดใู นสัตว์ทั้งหลาย. 37

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถกู ปิด : ตามรอยธรรม 38

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถกู ปดิ : ตามรอยธรรม สิง่ ทตี่ รัสร้แู ตไ่ ม่ทรงน�ำมาสอน 18 มีมากกว่าทที่ รงน�ำมาสอนมากนกั -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๕๔๘/๑๗๑๒. พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงก�ำ ใบไมส้ สี ปา ทร่ี ว่ งอยตู่ ามพน้ื ดนิ ขึน้ มาหนอ่ ยหน่งึ แลว้ ตรัสแก่ภกิ ษุท้งั หลายวา่ ภิกษุท้ังหลาย !   เธอท้ังหลายเข้าใจว่าอย่างไร ใบไมส้ สี ปาทเ่ี ราก�ำ ขน้ึ หนอ่ ยหนง่ึ นม้ี าก หรอื วา่ ใบไมส้ สี ปา ทย่ี งั อยู่บนต้นเหล่านน้ั มีมาก ? “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ  !   ใบไมท้ พ่ี ระผมู้ พี ระภาคทรงก�ำ ขน้ึ หนอ่ ยหนง่ึ นน้ั เปน็ ของนอ้ ย สว่ นใบไมท้ ย่ี งั อยบู่ นตน้ สสี ปาเหลา่ นน้ั ยอ่ มมมี าก”. ภิกษุท้งั หลาย !   ฉันใดก็ฉันนั้น ธรรมะส่วนที่ เรารยู้ ่งิ ดว้ ยปญั ญาอันยง่ิ แล้วไม่กล่าวสอนนั้น มีมากกว่า ส่วนท่ีน�ำมาสอน. ภิกษุท้ังหลาย !   เหตุไรเล่า เราจึง ไม่กลา่ วสอนธรรมะส่วนนัน้ ๆ ? ภิกษุทง้ั หลาย !   เพราะเหตวุ า่ ธรรมะสว่ นนน้ั ๆ ไม่ ประกอบอยดู่ ว้ ยประโยชน์ ไมเ่ ปน็ เงอ่ื นตน้ แหง่ พรหมจรรย์ ไมเ่ ปน็ ไปเพอ่ื ความหนา่ ย ไมเ่ ปน็ ไปเพอ่ื ความคลายก�ำ หนดั 39

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ไม่เป็นไปเพอ่ื ความดบั ไม่เป็นไปเพ่ือความสงบ ไมเ่ ป็น ไปเพ่อื ความรู้ยงิ่ ไม่เป็นเพอ่ื ความรพู้ ร้อม ไมเ่ ป็นไปเพื่อ นพิ พาน ฉะนน้ั เราจงึ ไมก่ ลา่ วสอน. ภิกษุทง้ั หลาย !   ธรรมะอะไรเล่า เป็นธรรมะที่ เรากล่าวสอน ? ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   ธรรมะทเ่ี รากลา่ วสอน คอื ข้อท่ีวา่ ความทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ เหตเุ ป็นทเ่ี กดิ ของ ความทกุ ขเ์ ป็นอยา่ งน้ีๆ ความดับสนิทของความทุกข์ เป็นอยา่ งน้ๆี ขอ้ ปฏิบตั เิ พื่อถึงความดับสนิทของความ ทกุ ข์เปน็ อย่างนๆี้ . ภกิ ษุทัง้ หลาย !   เพราะเหตไุ รเลา่ ธรรมะส่วนนี้ เราจึงนำ�มากล่าวสอน ? ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !  เพราะวา่ ธรรมะสว่ นน้ี ประกอบอยู่ ด้วยประโยชน์ เป็นเง่ือนต้นแห่งพรหมจรรย์ เป็นไปเพื่อ ความหนา่ ย เปน็ ไปเพอ่ื ความคลายก�ำ หนดั เปน็ ไปเพื่อ ความดับ เป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อความรู้ยง่ิ เปน็ ไปเพอ่ื ความร้พู ร้อม เปน็ ไปเพื่อนิพพาน เพราะเหตุ นั้นแล เราจึงนำ�มากล่าวสอน. 40

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปดิ : ตามรอยธรรม ถ้ามวั รอให้รู้เรือ่ งทไี่ มจ่ �ำเปน็ เสยี กอ่ น 19 กต็ ายเปล่า -บาลี ม. ม. ๑๓/๑๔๖-๑๕๑/๑๔๙-๑๕๐,๑๕๒. มาลงุ กย๎ บตุ ร !   เปรยี บเหมอื นบรุ ษุ ผหู้ นงึ่ ถกู ลกู ศร อนั ก�ำซาบดว้ ยยาพิษอยา่ งแรงกลา้ มติ ร อ�ำมาตย์ ญาติ สายโลหติ จดั การเรยี กแพทยผ์ า่ ตดั ผชู้ �ำนาญ. บรุ ษุ อยา่ งนน้ั กลา่ วอยา่ งนวี้ ่า ถ้าเรายงั ไมร่ ูจ้ ักตวั บุรุษผูย้ ิงเรา วา่ เปน็ กษัตริย์ พราหมณ์ เวสส์ ศูทร ชื่อไร โคตรไหน ฯลฯ ธนูท่ีใช้ยิงน้ันเป็นชนิดหน้าไม้หรือเกาทัณฑ์ ฯลฯ เสีย ก่อนแล้ว  เรายังไม่ต้องการจะถอนลูกศรอยู่เพียงนั้น. มาลงุ กย๎ บตุ ร !   เขาไมอ่ าจรขู้ อ้ ความทเ่ี ขาอยากรนู้ น้ั ไดเ้ ลย ตอ้ งตายเปน็ แท ้ !   อุปมานฉ้ี นั ใด อปุ ไมยกฉ็ ันนนั้ เหมอื นกัน บุคคล ผู้นนั้ กล่าวว่า เราจกั ยังไม่ประพฤติพรหมจรรย์ในส�ำ นกั ของพระผู้มพี ระภาคเจา้ จนกว่าพระองค์จักแก้ปัญหา ทิฏฐิสิบประการแก่เราเสียก่อน  และตถาคตก็ไม่ พยากรณป์ ัญหานน้ั แกเ่ ขา เขาก็ตายเปล่า โดยแท้. 41

พทุ ธวจน - หมวดธรรม มาลุงก๎ยบุตร !   ทา่ นจงรซู้ ง่ึ สงิ่ ทเ่ี ราไมพ่ ยากรณไ์ ว้ โดยความเปน็ สงิ่ ทเี่ ราไมพ่ ยากรณ์ รซู้ ง่ึ สงิ่ ทเี่ ราพยากรณไ์ ว้ โดยความเปน็ สงิ่ ทเี่ ราพยากรณ.์ อะไรเลา่ ทีเ่ ราไม่พยากรณ์ ? คอื ความเหน็ สบิ ประการวา่ โลกเทย่ี ง โลกไมเ่ ทย่ี ง โลกมที ส่ี น้ิ สดุ โลกไมม่ ที ส่ี น้ิ สดุ ฯลฯ (เปน็ ตน้ ) เปน็ สง่ิ ทเ่ี รา ไม่พยากรณ์. มาลงุ ก๎ยบตุ ร !   อะไรเลา่ ที่เราพยากรณ ์ ? คอื สจั จะว่า “น้ีเปน็ ทกุ ข์ นเี้ ปน็ เหตใุ ห้เกิดทกุ ข์ น้เี ป็นความดบั ไม่เหลือของทกุ ข์ และน้เี ป็นทางด�ำ เนิน ให้ถงึ ความดับไม่เหลอื ของทุกข์” ดังน้ี น้เี ปน็ สิง่ ท่ีเรา พยากรณ์. เหตใุ ดเราจงึ พยากรณ์เลา่  ? เพราะสิ่งๆ นี้ ยอ่ มประกอบอยดู่ ว้ ยประโยชน์ เป็นเง่ือนตน้ ของพรหมจรรย์ เป็นไปพรอ้ มเพอ่ื ความ หน่ายทุกข์ ความคลายก�ำ หนัด ความดบั ความรำ�งบั ความรูย้ ่งิ ความรู้พรอ้ ม และนิพพาน. 42

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปดิ : ตามรอยธรรม ค�ำสอนทที่ รงสัง่ สอนบอ่ ยมาก 20 -บาลี ม.ู ม. ๑๒/๔๒๓/๓๙๖. “พระโคดมผเู้ จรญิ  !   ทรงน�ำ สาวกทง้ั หลายไปอยา่ งไร ? อนง่ึ อนสุ าสนขี องพระโคดมผเู้ จรญิ ยอ่ มเปน็ ไปในสาวกทง้ั หลาย สว่ นมาก มสี ว่ นแหง่ การจ�ำ แนกอยา่ งไร ?”. อัคคิเวสสนะ !   เรายอ่ มน�ำสาวกทงั้ หลายไปอยา่ งน้ี อนง่ึ อนสุ าสนขี องเรา ยอ่ มเปน็ ไปในสาวกทง้ั หลาย สว่ นมาก มสี ่วนแหง่ การจ�ำแนกอย่างนวี้ ่า “ภิกษุทัง้ หลาย !   รูปไมเ่ ทย่ี ง  เวทนาไมเ่ ที่ยง  สญั ญาไม่เท่ียง  สงั ขารไม่เที่ยง  วญิ ญาณไม่เท่ียง. ภิกษทุ ง้ั หลาย !   รปู ไม่ใชต่ วั ตน  เวทนาไมใ่ ช่ตวั ตน สัญญาไม่ใช่ตัวตน  สงั ขารไมใ่ ช่ตัวตน วญิ ญาณไมใ่ ช่ตัวตน. สงั ขารท้ังหลายทง้ั ปวงไมเ่ ที่ยง ธรรมทง้ั หลายท้งั ปวงไมใ่ ชต่ ัวตน” ดงั น.้ี 43

พทุ ธวจน - หมวดธรรม อคั คเิ วสสนะ !  เรายอ่ มน�ำสาวกทงั้ หลายไปอยา่ งน้ี อนงึ่ อนสุ าสนขี องเรา ยอ่ มเปน็ ไปในสาวกทง้ั หลาย สว่ นมาก มสี ่วนแห่งการจ�ำแนกอย่างนี้ ดงั น.้ี 44

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถูกปดิ : ตามรอยธรรม ล�ำดบั การหลดุ พน้ เมอื่ เหน็ ไตรลกั ษณ์ 21 -บาลี ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๗/๙๓. ภกิ ษทุ ้งั หลาย !   รปู เปน็ สง่ิ ทไ่ี มเ่ ทย่ี งสง่ิ ใดไมเ่ ทย่ี ง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้น นั่นไม่ใช่ของเรา (เนตํ มม) นน่ั ไมใ่ ชเ่ ปน็ เรา (เนโสหมสมฺ )ิ นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา (น เมโส อตฺตา) เธอทั้งหลายพึงเห็นข้อนั้นด้วยปญั ญา โดยชอบ ตรงตามท่เี ป็นจริงอย่างนี้ ดว้ ยประการดงั นี้. (ในกรณแี หง่ เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ กต็ รสั อยา่ งเดยี วกนั กบั ในกรณแี หง่ รปู ทกุ ประการ). ภกิ ษุทง้ั หลาย !   เมอ่ื บคุ คลเหน็ ขอ้ นน้ั ดว้ ยปญั ญาโดยชอบตรงตาม ทเี่ ปน็ จรงิ อย่างนี้ ปพุ พันตานทุ ฏิ ฐ1ิ ทัง้ หลาย ย่อมไม่มี เมอ่ื ปพุ พนั ตานทุ ฏิ ฐไิ มม่ ี อปรนั ตานทุ ฏิ ฐ2ิ ทง้ั หลาย ย่อมไม่มี 1 ความเหน็ ท่ปี รารภขันธใ์ นเบ้ืองต้น หรอื ความเหน็ ทเ่ี ป็นไปในส่วนของอดตี 2 ความเห็นท่ีปรารภขนั ธใ์ นเบือ้ งปลาย หรอื ความเหน็ ทเี่ ป็นไปในสว่ นของอนาคต 45

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เมอ่ื อปรนั ตานทุ ฏิ ฐไิ มม่ ี ความยดึ มน่ั ลบู คล�ำ อยา่ ง แรงกลา้ ย่อมไมม่ ี เมอ่ื ความยดึ มน่ั ลบู คล�ำ อยา่ งแรงกลา้ ไมม่ ี จติ ยอ่ ม จางคลายกำ�หนัดในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวญิ ญาณ ยอ่ มหลดุ พน้ จากอาสวะทง้ั หลาย เพราะไม่มี ความยดึ ม่นั ถอื มน่ั . เพราะจติ หลดุ พน้ แลว้ จติ จงึ ด�ำ รงอยู่ เพราะเปน็ จติ ทด่ี �ำ รงอยู่ จติ จงึ ยนิ ดรี า่ เรงิ ดว้ ยดี เพราะเปน็ จติ ทย่ี นิ ดรี า่ เรงิ ดว้ ยด ี จติ จงึ ไมห่ วาดสะดงุ้ เมอ่ื ไมห่ วาดสะดงุ้ ยอ่ มปรนิ พิ พานเฉพาะตน นน่ั เทยี ว. เธอน้นั ยอ่ มรูช้ ดั ว่า “ชาติสิ้นแลว้ พรหมจรรย์อยจู่ บแล้ว กจิ ทค่ี วรทำ� ได้ทำ�ส�ำ เรจ็ แล้ว กจิ อ่ืนทจ่ี ะต้องทำ� เพอ่ื ความเปน็ อยา่ งน้ี มิไดม้ อี กี ” ดงั น้ี. 46

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ ูกปดิ : ตามรอยธรรม ผไู้ มเ่ ขา้ ไปหา ยอ่ มหลดุ พน้ 22 -บาลี ขนฺธ. สํ. ๑๗/๖๖/๑๐๕. ภกิ ษุท้งั หลาย !   ผ้เู ขา้ ไปหา เปน็ ผ้ไู มห่ ลดุ พน้ ผูไ้ ม่เขา้ ไปหา เป็นผู้หลุดพน้ . ภิกษุทั้งหลาย !   วญิ ญาณซง่ึ เขา้ ถอื เอารปู ตง้ั อยู่ กต็ ง้ั อยู่ได้ เป็นวญิ ญาณท่ีมีรูปเปน็ อารมณ์ มรี ปู เป็น ทต่ี ง้ั อาศยั มนี นั ทเิ ปน็ ทเ่ี ขา้ ไปสอ้ งเสพ กถ็ งึ ความเจรญิ งอกงาม ไพบูลยไ์ ด้ ภิกษุท้ังหลาย !   วญิ ญาณซง่ึ เขา้ ถอื เอาเวทนาตง้ั อยู่ กต็ ง้ั อยู่ได้ เป็นวิญญาณที่มเี วทนาเป็นอารมณ์ มเี วทนา เปน็ ทต่ี ง้ั อาศยั มนี นั ทเิ ปน็ ทเ่ี ขา้ ไปสอ้ งเสพ กถ็ งึ ความเจรญิ งอกงาม ไพบูลยไ์ ด้ ภิกษุท้ังหลาย !   วญิ ญาณซง่ึ เขา้ ถอื เอาสญั ญาตง้ั อยู่ กต็ ั้งอยู่ได้ เป็นวิญญาณทมี่ สี ญั ญาเปน็ อารมณ์ มีสัญญา เปน็ ทต่ี ง้ั อาศยั มนี นั ทเิ ปน็ ทเ่ี ขา้ ไปสอ้ งเสพ กถ็ งึ ความเจรญิ งอกงาม ไพบูลยไ์ ด้ 47

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย !   วิญญาณซึ่งเข้าถือเอาสังขาร ตงั้ อยู่ กต็ งั้ อยไู่ ด้ เปน็ วญิ ญาณทม่ี สี งั ขารเปน็ อารมณ์ มสี งั ขาร เปน็ ทตี่ ง้ั อาศยั มนี นั ทเิ ปน็ ทเี่ ขา้ ไปสอ้ งเสพ กถ็ งึ ความเจรญิ งอกงาม ไพบลู ยไ์ ด.้ ภกิ ษุทั้งหลาย !   ผใู้ ดจะพงึ กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ “เราจกั บญั ญตั ิ ซง่ึ การมา การไป การจุติ การอบุ ัติ ความเจรญิ ความงอกงาม และความไพบูลยข์ องวิญญาณ โดยเวน้ จากรูป เว้นจากเวทนา เว้นจากสัญญา และเว้นจาก สังขาร” ดังนี้นัน้ นไ่ี มใ่ ช่ฐานะที่จักมีได้เลย. ภกิ ษทุ งั้ หลาย !   ถา้ ราคะในรปู ธาตุ ในเวทนาธาตุ ในสัญญาธาตุ ในสงั ขารธาตุ ในวญิ ญาณธาตุ เปน็ สง่ิ ท่ี ภกิ ษลุ ะไดแ้ ลว้ 48

เปดิ ธรรมที่ถูกปดิ : ตามรอยธรรม เพราะละราคะได้ อารมณส์ �ำ หรับวิญญาณก็ขาดลง ท่ีตง้ั ของวญิ ญาณกไ็ มม่ ี วญิ ญาณอันไม่มีทต่ี ้งั นน้ั ก็ไม่งอกงาม หลดุ พน้ ไปเพราะไม่ถูกปรงุ แตง่ เพราะหลดุ พ้นไปกต็ ัง้ ม่ัน เพราะตัง้ มั่นกย็ ินดใี นตนเอง เพราะยนิ ดีในตนเองกไ็ ม่หวัน่ ไหว เมือ่ ไม่หวนั่ ไหว ก็ปรินิพพานเฉพาะตน. ยอ่ มรชู้ ดั ว่า “ชาติส้นิ แล้ว พรหมจรรย์ไดอ้ ยจู่ บแลว้ กิจที่ควรท�ำ ได้ท�ำ ส�ำ เรจ็ แลว้ กิจอน่ื ทจี่ ะต้องทำ� เพื่อความเปน็ อยา่ งน้ี มิได้มีอีก” ดงั น้.ี 49

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถกู ปิด : ตามรอยธรรม 50

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ ูกปิด : ตามรอยธรรม มนุษยเ์ ป็นอนั มาก 23 ได้ยดึ ถือเอาทพี่ ึ่งผิดๆ -บาลี ธ. ข.ุ ๒๕/๓๙/๒๔. มนุษยท์ ้งั หลายเป็นอนั มาก ถูกความกลวั คุกคาม เอาแล้ว ย่อมถือเอาภูเขาบ้าง ป่าไม้ที่ศักด์ิสิทธิ์บ้าง สวนศักดิ์สทิ ธิ์บ้าง รกุ ขเจดยี ์บ้าง วา่ เปน็ ทีพ่ ่ึงของตนๆ นนั่ ไมใ่ ชท่ ่ีพึ่งอันทำ�ความเกษมให้ได้เลย นน่ั ไมใ่ ชท่ พ่ี ง่ึ อนั สงู สดุ ผใู้ ดถอื เอาสง่ิ นน้ั ๆ เปน็ ทพ่ี ง่ึ แลว้ ย่อมไมห่ ลุดพน้ ไปจากทุกขท์ ้ังปวงได้. สว่ นผูใ้ ดท่ถี งึ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พ่ึงแล้ว  เห็นอริยสัจท้ังสี่ด้วยปัญญาอันถูกต้อง คือเห็นทุกข์  เห็นเหตุเป็นเครื่องให้เกิดขึ้นของทุกข์ เหน็ ความก้าวลว่ งเสียไดซ้ ึง่ ทุกข์ และเหน็ มรรคประกอบ ดว้ ยองคแ์ ปดอนั ประเสรฐิ ซง่ึ เปน็ เครอ่ื งใหถ้ งึ ความเขา้ ไป สงบร�ำ งบั แห่งทุกข์ นน่ั แหละคอื ทพ่ี ง่ึ อนั เกษม นน่ั คอื ทพ่ี ง่ึ อนั สงู สดุ ผ้ใู ดถือเอาทพ่ี ่ึงนนั้ แล้ว ยอ่ มหลุดพ้นไปจากทุกขท์ งั้ ปวง ไดแ้ ท้. 51

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปดิ : ตามรอยธรรม จงเจรญิ สมาธิ 24 จักรู้อรยิ สัจตามเปน็ จริง -บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๐/๑๖๕๔. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !  พวกเธอทง้ั หลาย จงเจรญิ สมาธเิ ถดิ . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !  ภกิ ษผุ มู้ จี ติ เปน็ สมาธแิ ลว้ ยอ่ มรไู้ ด้ ตามเปน็ จริง. รไู้ ด้ตามเป็นจริงซึง่ อะไรเลา่  ? รู้ได้ตามเป็นจริง ซึ่งความจริงอันประเสริฐว่า “นเี้ ปน็ ทกุ ข์ นเี้ ปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์ นเ้ี ปน็ ความดบั ไมเ่ หลอื ของทุกข์ และน้ีเป็นทางด�ำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือ ของทุกข์” ดังน้ี. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !  พวกเธอทง้ั หลาย จงเจรญิ สมาธเิ ถดิ . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !  ภกิ ษุผมู้ จี ติ เปน็ สมาธแิ ลว้ ยอ่ มรู้ ไดต้ ามเปน็ จรงิ . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !  เพราะเหตนุ น้ั ในกรณนี ้ี พวกเธอ พึงทำ�ความเพียรเพื่อให้รู้ตามเป็นจริงว่า “นี้เป็นทุกข์ นเ้ี ปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ของทกุ ข์ นเ้ี ปน็ ความดบั ไมเ่ หลอื ของทุกข์ นเ้ี ปน็ ทางด�ำ เนนิ ใหถ้ งึ ความดบั ไมเ่ หลอื ของทกุ ข”์ ดงั นเ้ี ถดิ . 52

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปดิ : ตามรอยธรรม ทรงมหี ลกั เกณฑ์การฝกึ ตามล�ำดบั 25 (อยา่ งย่อ) -บาลี อปุ ร.ิ ม. ๑๔/๘๒/๙๔. พราหมณ ์ !   ในธรรมวนิ ยั นี้ เราสามารถบญั ญัติ กฎเกณฑแ์ ห่งการศกึ ษาตามล�ำ ดับ การกระท�ำ ตามล�ำ ดบั และการปฏิบัตติ ามลำ�ดับไดเ้ หมอื นกัน. พราหมณ์ !   เปรียบเหมือนผู้ชำ�นาญการฝึกม้า ไดม้ า้ ชนดิ ทอ่ี าจฝกึ ไดม้ าแลว้ ในขน้ั แรกยอ่ มฝกึ ใหร้ จู้ กั การ รบั สวมบงั เหยี นกอ่ น แลว้ จงึ คอ่ ยฝกึ อยา่ งอน่ื ๆ ใหย้ ง่ิ ขน้ึ ไป ฉันใด พราหมณ์เอย !   ตถาคตครั้นได้บุรุษท่ีพอฝึกได้ มาแล้ว ในขั้นแรกย่อมแนะน�ำ อยา่ งนก้ี ่อนว่า “มาเถิดภกิ ษ ุ !   ท่านจงเปน็ ผมู้ ศี ีลส�ำ รวมด้วยดี ในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกตเิ ห็น เปน็ ภยั แม้ในโทษท่เี ล็กนอ้ ยจงสมาทานศกึ ษาในสกิ ขาบท ทงั้ หลายเถิด” ดังน้ี. 53

พทุ ธวจน - หมวดธรรม พราหมณ ์!   ในกาลใด ภิกษุนั้น เป็นผู้มีศีล (เชน่ ทก่ี ลา่ วนน้ั ) ดแี ลว้ ตถาคตยอ่ มแนะน�ำ ใหย้ ง่ิ ขน้ึ ไปอกี วา่ “มาเถิดภิกษุ !   ท่านจงเป็นผ้สู ำ�รวมในอินทรีย์ ทั้งหลาย ได้เห็นรูปด้วยตาแล้ว จักไม่ถือเอาโดยนิมิต (คอื รวบถอื ทง้ั หมด วา่ งามหรอื ไมง่ ามแลว้ แตก่ รณ)ี จกั ไมถ่ อื เอา โดยอนพุ ยญั ชนะ (คอื แยกถอื เอาแตบ่ างสว่ น วา่ สว่ นใดงามหรอื ไมง่ ามแลว้ แตก่ รณ)ี บาปอกศุ ล กลา่ วคอื อภชิ ฌาและโทมนสั มกั ไหลไปตามอารมณ์ เพราะการไมส่ �ำ รวมจักขนุ ทรียใ์ ด เปน็ เหตุ เราจักส�ำ รวมอนิ ทรีย์นั้นไว้ เป็นผรู้ กั ษาส�ำ รวม จกั ขนุ ทรยี ์” ดังน้.ี (ในกรณี โสตนิ ทรยี ค์ อื หู ฆานนิ ทรยี ค์ อื จมกู ชวิ หนิ ทรยี ์ คอื ลนิ้ กายนิ ทรยี ค์ อื กาย และมนนิ ทรยี ค์ อื ใจ กม็ ขี อ้ ความนยั เดยี วกนั ). พราหมณ ์!  ในกาลใด ภกิ ษนุ น้ั เปน็ ผสู้ �ำรวมอนิ ทรยี ์ (เช่นท่ีกล่าวนั้น) ดีแล้ว ตถาคตย่อมแนะน�ำให้ย่ิงขึ้นไป อีกว่า “มาเถดิ ภกิ ษุ !   ทา่ นจงเปน็ ผรู้ ปู้ ระมาณในโภชนะ อยเู่ สมอ จงพจิ ารณาโดยแยบคายแลว้ จงึ ฉนั ไมฉ่ นั เพอ่ื เลน่ 54

เปิดธรรมท่ีถูกปิด : ตามรอยธรรม เพอ่ื มวั เมา เพอ่ื ประดบั ตกแตง่ แตฉ่ นั เพยี งเพอ่ื ใหก้ ายน้ี ตั้งอยู่ได้ เพื่อให้ชีวิตเป็นไป เพื่อป้องกันความลำ�บาก เพอื่ อนเุ คราะหพ์ รหมจรรย์ โดยคดิ วา่ เราจกั ก�ำ จดั เวทนาเกา่ (คอื หวิ ) เสยี แลว้ ไมท่ �ำ เวทนาใหม่ (คอื อม่ิ จนอดึ อดั ) ใหเ้ กดิ ขน้ึ ความทอ่ี ายดุ �ำ เนนิ ไปได้ ความไมม่ โี ทษเพราะอาหาร และ ความอยผู่ าสกุ ส�ำ ราญ จกั มแี กเ่ รา” ดงั น.้ี พราหมณ ์!   ในกาลใด ภกิ ษุน้นั เป็นผรู้ ูป้ ระมาณ ในโภชนะ (เชน่ ทีก่ ล่าวนนั้ ) ดีแล้ว ตถาคตย่อมแนะน�ำ ใหย้ ิ่งข้นึ ไปอีกว่า “มาเถิดภิกษุ !   ทา่ นจงประกอบความเพยี รใน ธรรมเปน็ เครอื่ งตนื่ (ไมห่ ลบั ไม่ง่วง ไม่มนึ ชา). จงช�ำระจติ ใหห้ มดจดสนิ้ เชงิ จากอาวรณยิ ธรรมทง้ั หลาย ดว้ ยการเดนิ การนั่ง ตลอดวันยันค�่ำ ไปจนสิ้นยามแรกแห่งราตรี. ครั้นยามกลางแห่งราตรี ส�ำเร็จการนอนอย่างราชสีห์ (คอื ตะแคงขวา เทา้ เหลอ่ื มเทา้ ) มสี ตสิ มั ปชญั ญะในการลกุ ขน้ึ . ครัน้ ถงึ ยามท้ายแหง่ ราตรี ลุกขึ้นแลว้ ช�ำระจิตให้หมดจด จากอาวรณยิ ธรรม ดว้ ยการเดิน การนั่ง อีกต่อไป” ดังน.้ี 55

พทุ ธวจน - หมวดธรรม พราหมณ ์ !   ในกาลใด ภิกษนุ น้ั เป็นผู้ประกอบ ความเพียรในธรรมเป็นเครอ่ื งต่นื (เชน่ ที่กลา่ วนั้น) ดีแล้ว ตถาคตย่อมแนะน�ำ ให้ยิง่ ข้ึนไปอีกวา่ “มาเถดิ ภกิ ษ ุ !  ทา่ นจงเปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มดว้ ย สติสัมปชัญญะ  รู้ตัวรอบคอบในการก้าวไปข้างหน้า การถอยกลับไปข้างหลัง การแลดู การเหลียวดู การคู้ การเหยียด การทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร การฉนั การดม่ื การเค้ียว การล้ิม การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ การไป การหยุด การน่ัง การนอน การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง” ดังนี้. พราหมณ ์ !   ในกาลใด ภกิ ษนุ น้ั เปน็ ผปู้ ระกอบดว้ ย สตสิ มั ปชญั ญะ (เชน่ ทก่ี ลา่ วนน้ั ) ดแี ลว้ ตถาคตยอ่ มแนะน�ำ ใหย้ ง่ิ ขน้ึ ไปอกี วา่ “มาเถดิ ภิกษ ุ !   ทา่ นจงเสพเสนาสนะอนั สงดั คอื ป่าละเมาะ โคนตน้ ไม้ ภเู ขา ซอกหว้ ย ท้องถำ�้ ป่าช้า ปา่ ชฏั ท่แี จง้ ลอมฟาง (อยา่ งใดอย่างหน่งึ ). ในกาลเป็นปัจฉาภัตต์ กลับจากบิณฑบาตแล้ว นงั่ คบู้ ลั ลงั ก์ ต้ังกายตรง ด�ำ รงสติ เฉพาะหน้า 56

เปดิ ธรรมท่ถี กู ปิด : ตามรอยธรรม ละ  อภิชฌาในโลก  มีจิตปราศจากอภิชฌา คอยช�ำระจิตจากอภิชฌา ละ  พยาบาท  มจี ติ ปราศจากพยาบาท เปน็ ผกู้ รณุ า มจี ติ หวงั ความเก้ือกูลในสตั วท์ ั้งหลาย คอยช�ำระจติ จาก พยาบาท ละ  ถนี มทิ ธะ  มงุ่ อยแู่ ตค่ วามสวา่ งในใจ มจี ติ ปราศจาก ถีนมิทธะ มีสติสัมปชญั ญะ คอยช�ำระจิตจากถีนมิทธะ ละ  อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ  ไมฟ่ งุ้ ซา่ น มจี ติ สงบอยภู่ ายใน คอยช�ำระจติ จากอทุ ธัจจกุกกุจจะ ละ  วจิ กิ จิ ฉา  ขา้ มลว่ งวจิ กิ จิ ฉาเสยี ได้ ไมต่ อ้ งกลา่ ววา่ ‘นอ่ี ะไร นอี่ ยา่ งไร’ ในกศุ ลธรรมทงั้ หลาย (เพราะความ สงสยั ) คอยช�ำระจติ จากวจิ กิ จิ ฉา” ดงั น.้ี ภกิ ษนุ ้นั ครั้นละนวิ รณ์หา้ ประการ อันเป็นเครอื่ ง เศรา้ หมองของจิต ท�ำปญั ญาให้ถอยจากก�ำลงั เหลา่ น้ี จึง บรรลฌุ านทห่ี นง่ึ มวี ติ กวจิ าร มปี ตี แิ ละสขุ อนั เกดิ แตว่ เิ วก แล้วแลอยู่ เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ จึงบรรลุฌาน ทส่ี อง เป็นเคร่ืองผ่องใสแห่งใจในภายใน เป็นทเ่ี กดิ สมาธิ แห่งใจ ไมม่ ีวติ กไม่มวี ิจาร มแี ตป่ ีตแิ ละสุขอันเกดิ แต่สมาธิ 57

พทุ ธวจน - หมวดธรรม แล้วแลอยู่ เพราะความจางหายไปแห่งปีติ ย่อมอยู่อุเบกขา มสี ติสมั ปชญั ญะ เสวยสขุ ดว้ ยนามกาย บรรลฌุ านท่ีสาม อันเป็นฌานที่พระอรยิ เจา้ กลา่ ววา่ ผไู้ ด้ฌานน้ี “เป็นผอู้ ยู่ อเุ บกขา มสี ติ มกี ารอยูเ่ ปน็ สขุ ” แล้วแลอยู่ และเพราะละ สุขและทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไปแห่งโสมนัส และโทมนัสในกาลก่อน จึงได้บรรลุฌานที่ส่ี อันไม่ทุกข์ ไมส่ ขุ มแี ตค่ วามทมี่ สี ตเิ ปน็ ธรรมชาตบิ รสิ ทุ ธิ์ เพราะอเุ บกขา แลว้ แลอยู่. พราหมณเ์ อย !   ภิกษเุ หลา่ ใดทยี่ งั เป็นเสขะ (คือยังตอ้ งท�ำ ตอ่ ไป) ยงั ไมบ่ รรลอุ รหตั ตผล ยงั ปรารถนานพิ พานอนั เปน็ ทเ่ี กษม จากโยคะ ไมม่ อี น่ื ยง่ิ ไปกวา่ อยู่ ค�ำ สอนทก่ี ลา่ วมานแ้ี หละ เปน็ ค�ำ สอนส�ำ หรบั ภกิ ษทุ ง้ั หลายเหลา่ นน้ั . สว่ นภกิ ษเุ หลา่ ใด เปน็ อรหนั ตส์ น้ิ อาสวะแลว้ จบ พรหมจรรยแ์ ลว้ ท�ำ กจิ ทต่ี อ้ งท�ำ ส�ำ เรจ็ แลว้ มภี าระอนั ปลงลง ไดแ้ ลว้ มปี ระโยชนต์ นอนั บรรลถุ งึ แลว้ มสี ญั โญชนใ์ นภพสน้ิ ไปรอบแลว้ หลดุ พน้ แลว้ เพราะรโู้ ดยชอบ ธรรมทง้ั หลาย (ในค�ำ สอน) เหลา่ น้ี เปน็ ไปเพอ่ื ความอยเู่ ปน็ สขุ ในปจั จบุ นั และเพอ่ื สตสิ มั ปชญั ญะ แกภ่ กิ ษทุ ง้ั หลายเหลา่ นด้ี ว้ ย. 58

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ ูกปดิ : ตามรอยธรรม ทรงเป็นพี่เลี้ยงใหแ้ กส่ าวก 26 ชว่ั ระยะจ�ำเป็น -บาลี ปญจฺ ก. อ.ํ ๒๒/๖/๗. ภิกษุท้ังหลาย !   เปรียบเหมือนเด็กท่ียังอ่อน ยงั ได้แต่นอนหงาย เมอ่ื พ่ีเลีย้ งเผลอ ไดค้ ว้าช้ินไม้หรอื กระเบื้องกลืนเขา้ ไป พ่ีเลย้ี งเห็นแลว้ กจ็ ะพยายามหาวิธี เอาออกโดยเรว็ . เม่ือเอาออกไมไ่ ดโ้ ดยง่าย ก็ประคอง ศรี ษะเด็กด้วยมอื ซ้าย งอน้วิ มือขวาลว้ งลงไปเก่ยี วขน้ึ มา แมจ้ ะถึงโลหติ ออกกต็ อ้ งท�ำ . ข้อนเ้ี พราะเหตไุ รเลา่  ? เพราะเหตวุ า่ แมเ้ ดก็ นน้ั จะไดร้ บั ความเจบ็ ปวดกจ็ รงิ แตพ่ เ่ี ลย้ี งทห่ี วงั ความปลอดภยั แกเ่ ดก็ หวงั จะชว่ ยเหลอื เดก็ มคี วามเอน็ ดเู ดก็ กต็ อ้ งท�ำ เชน่ นน้ั เพราะความเอน็ ดนู น้ั เอง. ครั้นเด็กเติบโตขึ้น มีความรู้เดียงสาพอควรแล้ว พี่เลี้ยง ก็ปล่อยมอื ไม่จ�ำ้ จี้จ�ำ้ ไชในเด็กนั้นเกินไป ด้วยคดิ วา่ บดั นี้ เด็กคุ้มครองตัวเองได้แล้ว ไม่อาจจะไร้เดียงสาอีกแล้ว ดังนี้ ข้อนี้ฉันใด 59

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภกิ ษทุ ้งั หลาย !   ขอ้ น้ีกเ็ ชน่ กัน ตราบใดทภ่ี กิ ษยุ งั มไิ ดท้ �ำ กจิ ในกศุ ลธรรมทง้ั หลาย อันตนจะต้องทำ�ด้วยศรัทธา ด้วยหิริ ด้วยโอตตัปปะ ด้วยวิริยะ และด้วยปัญญา ตราบนัน้ เรายังจะต้องตามคมุ้ ครองภิกษุนน้ั . แตเ่ มอ่ื ใดภกิ ษนุ น้ั ไดท้ �ำ กจิ ในกศุ ลธรรมทง้ั หลาย อันตนจะต้องทำ�ด้วยศรัทธา ด้วยหิริ ด้วยโอตตัปปะ ด้วยวิริยะ ด้วยปัญญา สำ�เร็จแล้ว เรากห็ มดหว่ งในภกิ ษนุ น้ั ดว้ ยคดิ วา่ บดั น้ี ภกิ ษนุ ี้ คุ้มครองตนเองไดแ้ ลว้ ไมอ่ าจจะประพฤติหละหลวมอีก ตอ่ ไปแลว้ ดังน.้ี 60

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด : ตามรอยธรรม ทรงฆา่ ผู้ทไ่ี ม่รับการฝึก 27 -บาลี จตุกกฺ . อ.ํ ๒๑/๑๕๐/๑๑๑. นแ่ี น่ เกส ิ !   ทา่ นเปน็ คนเช่ยี วชาญการฝกึ ม้ามี ชอ่ื ดงั เราอยากทราบวา่ ทา่ นฝกึ มา้ ของทา่ นอยา่ งไรกนั  ? “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !   ข้าพระองค์ย่อมฝึกม้าชนิด ท่ีพอฝึกได้ ด้วยวิธีละมุนละไมบ้าง ด้วยวิธีรุนแรงบ้าง ด้วยวิธี ทง้ั ละมนุ ละไมและรุนแรงรวมกนั บ้าง (แล้วแต่วา่ มา้ น้นั เปน็ มา้ ท่ี มนี ิสัยเชน่ ไร)”. เกส ิ !   ถ้าม้าของท่านไม่รับการฝึก ท้ังด้วยวิธี ละมนุ ละไม ทงั้ ดว้ ยวธิ ที รี่ นุ แรง และทงั้ ดว้ ยวธิ ที ล่ี ะมนุ ละไม และรนุ แรงรวมกันเลา่ ท่านท�ำอย่างไรกบั มา้ นั้น ? “ข้าแต่พระองค์ผู้เจรญิ  !   ข้าพระองคย์ อ่ มฆา่ มา้ นน้ั เสยี เพอื่ มใิ หเ้ สยี ชอื่ เสยี งแกส่ กลุ แหง่ อาจารยข์ องขา้ พระองค์ พระเจา้ ขา้  ! กพ็ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ เลา่ ยอ่ มเปน็ สารถี ฝกึ บรุ ษุ ทคี่ วรฝกึ ไมม่ ใี คร ยงิ่ ไปกวา่ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงฝกึ บรุ ษุ ทค่ี วรฝกึ ดว้ ยวธิ อี ยา่ งไร พระเจา้ ขา้  ?”. 61

พุทธวจน - หมวดธรรม เกสิ !   เราย่อมฝึกบุรุษท่ีควรฝึกด้วยวิธี ละมุนละไมบา้ ง ด้วยวิธีรุนแรงบ้าง ด้วยวิธีทั้งละมุนละไม และรุนแรงรวมกนั บา้ ง เหมอื นกัน. เกส ิ !   ในสามวิธนี นั้ วธิ ฝี ึกท่ลี ะมนุ ละไม คอื เราพร�่ำ สอนเขาวา่ กายสจุ รติ เปน็ อยา่ งนๆ้ี ผลของกายสจุ รติ เปน็ อยา่ งนๆ้ี วจสี ุจริตเป็นอยา่ งน้ๆี ผลของวจสี จุ รติ เป็นอยา่ งน้ๆี มโนสุจริตเป็นอย่างน้ีๆ ผลของมโนสจุ รติ เปน็ อยา่ งนๆ้ี เทวดาเปน็ อย่างนีๆ้ มนุษย์เปน็ อย่างน้ีๆ ดังน้ี. วิธีฝึกท่ีรนุ แรง คอื เราพรำ่�บอกเขาว่า กายทุจรติ เปน็ อยา่ งนๆ้ี ผลของกายทจุ รติ เปน็ อยา่ งนๆ้ี วจีทจุ รติ เปน็ อยา่ งน้ๆี ผลของวจีทุจริตเปน็ อย่างน้ีๆ มโนทจุ รติ เปน็ อยา่ งนๆ้ี ผลของมโนทจุ รติ เปน็ อยา่ งนๆ้ี นรกเปน็ อยา่ งนๆ้ี กำ�เนิดเดรัจฉานเป็นอย่างน้ๆี เปรตวสิ ยั เปน็ อยา่ งนๆ้ี . 62

เปิดธรรมท่ถี กู ปิด : ตามรอยธรรม วิธฝี ึกท้ังละมุนละไมและรุนแรงรวมกันนน้ั คอื เราพรำ่�บอกพร่ำ�สอนเขาวา่ กายสุจรติ -ผลของกายสุจริตเปน็ อย่างนีๆ้ กายทจุ ริต-ผลของกายทจุ ริตเป็นอยา่ งนีๆ้ วจสี จุ รติ -ผลของวจสี ุจรติ เปน็ อยา่ งนีๆ้ วจีทุจริต-ผลของวจีทุจริตเป็นอย่างน้ีๆ มโนสจุ ริต-ผลของมโนสุจรติ เปน็ อย่างนี้ๆ มโนทุจรติ -ผลของมโนทจุ ริตเปน็ อย่างนี้ๆ เทวดาเปน็ อยา่ งนๆ้ี มนุษยเ์ ป็นอยา่ งนีๆ้ นรกเป็นอยา่ งน้ๆี ก�ำ เนดิ เดรจั ฉานเป็นอยา่ งนๆี้ เปรตวิสยั เป็นอยา่ งนๆ้ี . “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ  !  ถา้ บรุ ษุ ทค่ี วรฝกึ นน้ั ไมร่ บั การฝกึ ทง้ั ดว้ ยวธิ ลี ะมนุ ละไม ทง้ั ดว้ ยวธิ ที ร่ี นุ แรง และทง้ั ดว้ ยวธิ ที ล่ี ะมนุ ละไม และรนุ แรงรวมกนั เลา่ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ จะทรงท�ำ อยา่ งไร ?”. 63

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เกส ิ !   ถ้าบุรุษที่ควรฝึก ไม่ยอมรับการฝึกด้วย วิธีท้งั สามแลว้ เราก็ฆ่าเขาเสีย. “ข้าแต่พระองค์ผู้เจรญิ  !  กป็ าณาตบิ าต ยอ่ มไมส่ มควร แก่พระผู้มีพระภาคมิใช่หรือ ? แล้วพระผู้มีพระภาคก็ยังตรัสว่า เกส ิ !   เรากฆ็ า่ เขาเสยี  ?”. เกสิเอย !   ปาณาติบาตย่อมไม่สมควรแก่เราจริง แตว่ า่ เมอ่ื บรุ ษุ ทค่ี วรฝกึ ไมย่ อมรบั การฝกึ ดว้ ยวธิ ที ง้ั สามแลว้ ตถาคตกไ็ มถ่ อื วา่ คนคนนน้ั เปน็ คนทค่ี วรวา่ กลา่ วสง่ั สอน อีกตอ่ ไป ถึงแม้เพื่อนผู้ประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกัน ซง่ึ เปน็ ผรู้ ู้ กจ็ ะไมถ่ อื วา่ คนคนนน้ั เปน็ คนทค่ี วรวา่ กลา่ ว สง่ั สอนอกี ตอ่ ไปดว้ ย. เกสิ !   นี่แหละ คือวิธีฆ่าอย่างดีในวินัยของ พระอรยิ เจา้ ไดแ้ ก่การท่ตี ถาคตและเพ่ือนผู้ประพฤติ พรหมจรรย์ร่วมกัน พากันถือว่า บุรษุ น้ีเป็นผทู้ ีไ่ มค่ วร ว่ากลา่ วสัง่ สอนอีกต่อไป ดงั นี้. 64

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถูกปดิ : ตามรอยธรรม ตถาคตเป็นเพยี งผบู้ อกทางเทา่ น้นั 28 -บาลี อปุ ริ. ม. ๑๔/๘๕/๑๐๑. “กส็ าวกของพระโคดมผเู้ จรญิ เมอ่ื พระโคดมไดก้ ลา่ วสอน พรำ่�สอนอยอู่ ยา่ งน้ี ทกุ ๆ องคไ์ ด้บรรลนุ ิพพาน อันเปน็ ผลส�ำ เรจ็ ถงึ ทส่ี ดุ อยา่ งยง่ิ หรอื วา่ บางองคไ์ มไ่ ดบ้ รรล ุ?” พราหมณค์ ณกโมคคลั ลานะ ทลู ถาม. พราหมณ ์!   สาวกของเรา แมเ้ รากลา่ วสอน พรำ่� สอน อยูอ่ ย่างน้ี น้อยพวกที่ไดบ้ รรลนุ ิพพาน อันเป็นผลส�ำเร็จ ถึงทส่ี ดุ อยา่ งยิ่ง บางพวกไมไ่ ดบ้ รรลุ. “พระโคดมผเู้ จรญิ  !  อะไรเลา่ เปน็ เหตุ อะไรเลา่ เปน็ ปจั จยั ทพ่ี ระนพิ พาน กย็ งั ตง้ั อยู่ หนทางเปน็ ทย่ี งั สตั วใ์ หถ้ งึ นพิ พาน กย็ งั ตง้ั อยู่ พระโคดมผชู้ กั ชวน (เพอ่ื การด�ำ เนนิ ไป) กย็ งั ตง้ั อยู่ ท�ำ ไมนอ้ ยพวก ทบ่ี รรลุ และบางพวกไม่บรรลุ ?”. พราหมณ ์ !   เราจกั ยอ้ นถามทา่ นในเรอ่ื งน้ี ทา่ นจง ตอบตามควร ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในหนทางไปสู่เมือง ราชคฤห์ มใิ ชห่ รอื มบี รุ ษุ ผจู้ ะไปเมอื งราชคฤห์ เขา้ มาหา และกลา่ วกบั ท่านว่า 65

พทุ ธวจน - หมวดธรรม “ท่านผู้เจริญ !   ข้าพเจ้าปรารถนาจะไปเมืองราชคฤห์ ขอท่านจงบอกทางไปเมืองราชคฤห์ แก่ข้าพเจา้ เถดิ ”. ท่านกจ็ ะกลา่ วกะบุรษุ นนั้ วา่ “มาซทิ า่ น ทางนไ้ี ปเมอื งราชคฤห์ ไปไดค้ รหู่ นง่ึ จกั พบบา้ น ชื่อโนน้ แล้วจกั เหน็ นคิ มช่ือโน้น จกั เหน็ สวนและป่าอันน่าร่ืนรมย์ จกั เห็นภมู ภิ าคอันน่ารนื่ รมย์ สระโบกขรณอี นั นา่ รน่ื รมย์ของเมือง ราชคฤห”์ ดงั น.้ี บุรษุ นน้ั อนั ทา่ นพร�ำ่ บอก พร�ำ่ ชใ้ี หอ้ ยา่ งน้ี กย็ งั ถอื เอาทางผิด กลับหลังตรงข้ามไป ส่วนบุรุษอีกคนหนึ่ง (อนั ทา่ นพร�ำ่ บอกพร�่ำ ชอี้ ยา่ งเดียวกัน) ไปถงึ เมืองราชคฤห์ได้ โดยสวสั ด.ี พราหมณ ์ !   อะไรเลา่ เปน็ เหตุ อะไรเลา่ เปน็ ปจั จยั ที่เมืองราชคฤห์ ก็ยังตั้งอยู่ หนทางสำ�หรับไปเมือง ราชคฤห์ ก็ยังตั้งอยู่ ท่านผู้ชี้บอก ก็ยังตั้งอยู่ แต่ท�ำ ไม บรุ ษุ ผหู้ นง่ึ กลบั หลงั ไปผดิ ทาง สว่ นบรุ ษุ ผหู้ นง่ึ ไปถงึ เมอื ง ราชคฤหโ์ ดยสวสั ด ี ? “พระโคดมผเู้ จรญิ  !  ในเรอ่ื งนข้ี า้ พเจา้ จกั ท�ำ อยา่ งไรไดเ้ ลา่ เพราะขา้ พเจา้ เปน็ เพยี งผบู้ อกทางเทา่ นน้ั ”. 66

เปิดธรรมที่ถูกปิด : ตามรอยธรรม พราหมณ์ !   ฉันใดกฉ็ ันนั้น ท่พี ระนิพพาน  ก็ยังตงั้ อยู่ ทางเปน็ เคร่อื งถึงพระนพิ พาน  กย็ งั ต้งั อยู่ เราผูช้ กั ชวน  กย็ งั ตัง้ อยู่ แต่สาวกของเรา แม้เรากล่าวสอน พร�่ำสอน อยู่อย่างน้ี นอ้ ยพวกไดบ้ รรลนุ พิ พาน อนั เปน็ ผลส�ำเรจ็ ถึงทส่ี ุดอย่างยิ่ง บางพวกไม่ได้บรรล.ุ พราหมณ์ !   ในเรื่องนี้เราจักทำ�อย่างไรได้เล่า เพราะเราเป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น. 67

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถกู ปดิ : ตามรอยธรรม ท่อนไม้ทล่ี อยออกไปได้ถึงทะเล 29 -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๒๒๓/๓๒๒. ภิกษุทั้งหลาย !   พวกเธอไดเ้ หน็ ทอ่ นไมใ้ หญน่ น้ั ซ่ึงลอยมาโดยกระแสแม่น้�ำ คงคา หรือไม่ ? “ได้เหน็ แลว้ พระเจา้ ข้า !” ภกิ ษทุ ัง้ หลายกราบทลู . ภกิ ษุทั้งหลาย !   ถ้าท่อนไม้นน้ั จะไม่เข้าไปตดิ เสียที่ฝั่งในหรือฝั่งนอก ไม่จมเสียในท่ามกลางน้ำ� ไม่ขึ้น ไปติดแห้งอยู่บนบก ไม่ถูกมนุษย์จับไว้ ไม่ถูกอมนุษย์จับ ไว้ไมถ่ กู เกลยี วน�ำ้ วนวนไว้ไมเ่ นา่ เสยี เองในภายในไซร้ทอ่ นไม้ เช่นท่กี ล่าวนี้ จักลอยไหลพุง่ ไปสทู่ ะเล เพราะเหตวุ ่า ลำ�แม่น้�ำ คงคา โน้มน้อม ลุ่มลาด เอยี งเท ไปสทู่ ะเล. ข้อน้ีฉนั ใด ภิกษุท้ังหลาย !   แม้พวกเธอท้ังหลายก็ฉันน้ัน ถา้ พวกเธอไมเ่ ขา้ ไปตดิ เสยี ทฝ่ี ง่ั ใน ไมเ่ ขา้ ไปตดิ เสยี ทฝ่ี ง่ั นอก ไม่จมเสียในท่ามกลาง ไมข่ ้ึนไปตดิ แหง้ อย่บู นบก ไม่ถูก มนษุ ยจ์ บั ไว้ ไมถ่ กู อมนษุ ยจ์ บั ไว้ ไมถ่ กู เกลยี วน�ำ้ วนวนไว้ 68

เปดิ ธรรมที่ถูกปิด : ตามรอยธรรม ไมเ่ นา่ เสยี เองในภายในไซร้ พวกเธอกจ็ ะเลอ่ื นไหลไปสู่ นพิ พาน เพราะเหตวุ า่ สมั มาทฏิ ฐิ มธี รรมดาทโ่ี นม้ นอ้ ม ลมุ่ ลาด เอยี งเท ไปสนู่ พิ พาน. ครน้ั สน้ิ กระแสพระด�ำ รสั แลว้ ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ไดก้ ราบทลู ถาม พระผู้มพี ระภาคเจ้าว่า “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ  !  อะไรเลา่ เปน็ ฝง่ั ในหรอื ฝง่ั นอก ? อะไรชอ่ื วา่ จมในทา่ มกลาง ? อะไรชอ่ื วา่ ขน้ึ ไปตดิ แหง้ อยบู่ นบก ? อะไรช่ือวา่ ถูกมนษุ ยจ์ ับไว ้? อะไรชือ่ ว่าถกู อมนษุ ย์จบั ไว ้? อะไรชอ่ื วา่ ถกู เกลยี วน�ำ้ วนวนไว ้? อะไรชอ่ื วา่ เนา่ เสยี เองในภายใน ?” ภกิ ษทุ ้ังหลาย !   คำ�วา่ “ฝัง่ ใน” เป็นชือ่ ของ อายตนะภายใน ๖. ค�ำ วา่ “ฝง่ั นอก” เปน็ ชอ่ื ของ อายตนะภายนอก ๖. ค�ำ วา่ “จมเสยี ในทา่ มกลาง” เปน็ ชอ่ื ของ นนั ทริ าคะ (ความก�ำ หนดั ดว้ ยความเพลนิ ). ค�ำ วา่ “ขน้ึ ไปตดิ แหง้ อยบู่ นบก”เปน็ ชอ่ื ของอสั ม๎ มิ านะ (ความส�ำ คญั วา่ เรามี เราเปน็ ). 69

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ค�ำ วา่ “ถกู มนษุ ยจ์ บั ไว”้ ไดแ้ ก่ ภกิ ษใุ นกรณนี เ้ี ปน็ ผู้ระคนด้วยพวกคฤหัสถ์ เพลิดเพลินด้วยกนั โศกเศรา้ ดว้ ยกนั มีสุข เมอ่ื คฤหสั ถเ์ หลา่ นั้นมสี ขุ เป็นทกุ ข์ เมอ่ื คฤหัสถ์เหล่านั้นเป็นทุกข์ ประกอบการงานในกิจการที่ บังเกิดขน้ึ แก่คฤหัสถ์เหลา่ น้นั ด้วยตน ภิกษุน้ี เราเรียกวา่ ผู้ถูกมนษุ ยจ์ ับไว้. ค�ำ ว่า “ถกู อมนษุ ยจ์ ับไว”้ ไดแ้ ก่ ภกิ ษบุ างรปู ในกรณนี ี้ ประพฤตพิ รหมจรรย์ โดยตั้งความปรารถนา เทพนกิ ายช้นั ใดช้ันหนง่ึ ว่า “ด้วยศลี นี้ หรอื ด้วยวตั รนี้ หรือว่าด้วยตบะนี้ เราจักได้เป็นเทวดาผู้มีศักดาใหญ่ หรือเปน็ เทวดาผ้มู ีศักดานอ้ ย อยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง” ดงั น้ี ภกิ ษนุ ี้ เราเรียกว่า ผ้ถู กู อมนษุ ย์จับไว.้ ค�ำว่า “ถูกเกลียวน้�ำวนวนไว้” เป็นชื่อของ กามคุณ ๕. “ภกิ ษเุ ปน็ ผเู้ นา่ เสยี เองในภายใน” คอื อยา่ งไรเลา่  ? คอื ภกิ ษบุ างรปู ในกรณนี ้ี เปน็ คนทศุ ลี มคี วามเปน็ อยเู่ ลวทราม ไมส่ ะอาด มคี วามประพฤตชิ นดิ ทตี่ นเองนกึ แลว้ กก็ นิ แหนง ตวั เอง มีการกระท�ำทีต่ อ้ งปกปิดซ่อนเรน้ ไมใ่ ชส่ มณะก็ 70

เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด : ตามรอยธรรม ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ ไม่ใช่คนประพฤติพรหมจรรย์ ก็ ปฏิญญาว่าเป็นคนประพฤติพรหมจรรย์ เป็นคนเน่าใน เปยี กแฉะ มสี ญั ชาตหิ มกั หมม เหมอื นบอ่ ทเี่ ทขยะมลู ฝอย. ภกิ ษนุ ี้ เราเรยี กวา่ ผู้เน่าเสียเองในภายใน แล. 71

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี ูกปิด : ตามรอยธรรม กระดองของบรรพชติ 30 -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๒๒๒/๓๒๐. ภกิ ษทุ ั้งหลาย !   เรือ่ งเคยมีมาก่อน เต่าตวั หนึ่ง เท่ียวหากินตามริมลำ�ธารในตอนเย็น  สุนัขจ้ิงจอกตัว หนึ่ง ก็เทีย่ วหากนิ ตามรมิ ลำ�ธารในตอนเยน็ เช่นเดยี วกนั เต่าตัวน้นั ได้เห็นสุนัขจ้งิ จอกซ่งึ เท่ยี วหากิน  (เดินเข้ามา) แตไ่ กล ครน้ั แลว้ จงึ หดอวยั วะทง้ั หลาย มศี รี ษะเปน็ ทห่ี า้ เข้าในกระดองของตนเสีย  เป็นผู้ขวนขวายน้อยนิ่งอยู่. แม้สุนัขจิ้งจอกก็ได้เห็นเต่า  ตัวที่เที่ยวหากินน้ันแต่ไกล เหมอื นกัน ครั้นแลว้ จงึ เดนิ ตรงเขา้ ไปท่ีเตา่ คอยชอ่ งอยู่วา่ “เมอื่ ไรหนอ เต่าจกั โผลอ่ วยั วะส่วนใดส่วนหนึง่ ออก ใน บรรดาอวยั วะท้งั หลาย มศี รี ษะเป็นทห่ี า้ แล้วจกั กดั อวัยวะ ส่วนนั้น คร่าเอาออกมากินเสยี ” ดังน้.ี ภิกษุท้งั หลาย !   ตลอดเวลาทเ่ี ตา่ ไมโ่ ผลอ่ วยั วะออกมา สนุ ขั จง้ิ จอกกไ็ มไ่ ด้ โอกาส ตอ้ งหลีกไปเอง ภิกษทุ ้ังหลาย !   ฉันใดก็ฉันนัน้ มารผใู้ จบาปก็ คอยชอ่ งตอ่ พวกเธอทง้ั หลาย ตดิ ตอ่ ไมข่ าดระยะอยเู่ หมอื น กันว่า “ถ้าอย่างไร เราคงได้ชอ่ ง ไมท่ างตา ก็ทางหู หรือ 72

เปิดธรรมที่ถกู ปิด : ตามรอยธรรม ทางจมกู หรอื ทางล้นิ หรอื ทางกาย หรือทางใจ” ดังน.ี้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   เพราะฉะนน้ั ในเรอื่ งนี้ พวกเธอทงั้ หลาย จงเปน็ ผคู้ มุ้ ครองทวารในอนิ ทรยี ท์ ง้ั หลายอยเู่ ถดิ ไดเ้ หน็ รปู ดว้ ยตา ไดฟ้ งั เสยี งดว้ ยหู ไดด้ มกลนิ่ ดว้ ยจมกู ไดล้ มิ้ รส ดว้ ยล้นิ ไดส้ มั ผัสโผฏฐัพพะด้วยกาย หรือไดร้ ธู้ รรมารมณ์ ดว้ ยใจแลว้ จงอย่าได้ถือเอาโดยลกั ษณะที่เป็นการรวบถอื ทั้งหมด อยา่ ได้ถอื เอาโดยลกั ษณะทเี่ ป็นการแยกถอื เป็น สว่ นๆ เลย สงิ่ ทเ่ี ปน็ อกุศลธรรมอนั เป็นบาป คือ อภชิ ฌา และโทมนัส จะพึงไหลไปตามบุคคลผู้ไม่ส�ำรวมตา หู จมูก ลนิ้ กาย ใจ เพราะการไมส่ �ำรวมอนิ ทรีย์ใดเปน็ เหตุ พวกเธอทั้งหลายจงปฏิบัติเพื่อการปิดกั้นอินทรีย์น้ันไว้ พวกเธอท้งั หลายจงรักษาและถึงความส�ำรวมตา หู จมกู ล้นิ กาย ใจ เถิด. ภิกษทุ ัง้ หลาย !   ในกาลใด พวกเธอทั้งหลาย จกั เปน็ ผูค้ ุ้มครองทวารในอนิ ทรีย์ท้งั หลายอยู่ ในการน้นั มารผู้ใจบาป จักไมไ่ ดช้ ่องแมจ้ ากพวกเธอทั้งหลาย และ จกั ตอ้ งหลกี ไปเอง เหมือนสนุ ัขจิ้งจอก ไม่ได้ชอ่ งจากเต่า กห็ ลกี ไปเอง ฉะนนั้ . 73

พุทธวจน - หมวดธรรม “เตา่ หดอวัยวะไว้ในกระดอง ฉนั ใด ภิกษุพึงต้งั มโนวิตก (ความตรติ รกึ ทางใจ) ไวใ้ นกระดอง (กลา่ วคือ อารมณแ์ ห่งการภาวนา) ฉันนัน้ . เปน็ ผทู้ ต่ี ัณหาและทิฏฐิไมอ่ งิ อาศัยได้ ไม่เบยี ดเบยี นผอู้ นื่ ไม่กลา่ วรา้ ยตอ่ ใครท้งั หมด เป็นผ้ดู ับสนิทแล้ว” ดังนี้ แล. 74

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ กู ปดิ : ตามรอยธรรม ผูม้ หี ลกั เสาเขื่อน 31 -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๒๔๗-๒๔๘/๓๔๙, ๓๕๙. ภกิ ษทุ ้ังหลาย !  ภกิ ษผุ มู้ สี งั วรนน้ั เปน็ อยา่ งไรเลา่  ? ภิกษุทงั้ หลาย !   ภกิ ษุในธรรมวนิ ัยนี้ เม่ือเหน็ รปู ดว้ ยตา ฟังเสียงดว้ ยหู ดมกลิ่นดว้ ยจมกู ล้ิมรสดว้ ยลิ้น สมั ผสั โผฏฐพั พะดว้ ยกาย รธู้ รรมารมณด์ ว้ ยใจ กไ็ มส่ ยบ อยใู่ นอารมณ์ที่นา่ รัก ไมเ่ คียดแค้นในอารมณ์อันไมน่ า่ รัก เป็นผตู้ ัง้ ไวซ้ งึ่ กายคตาสติ มีจิตหาประมาณไม่ได้ ยอ่ มรู้ ตามทีเ่ ปน็ จริงซ่ึงเจโตวิมตุ ติ ปญั ญาวมิ ตุ ติ อันเปน็ ท่ดี บั แห่งบาปอกศุ ลทีเ่ กิดแลว้ แกเ่ ขานั้นโดยสนิ้ เชงิ . ภิกษุท้ังหลาย !   เปรยี บเหมอื นบรุ ษุ จบั สตั วห์ กชนดิ อันมที ่ีอยู่อาศัยต่างกนั มีท่เี ท่ียวหากินตา่ งกัน มาผกู รวม กันดว้ ยเชอื กอนั มนั่ คง คือ เขาจบั งูมาผูกดว้ ยเชือกเหนยี ว เสน้ หน่ึง จับจระเข้ จับนก จบั สุนัขบา้ น จบั สุนขั จ้ิงจอก และจบั ลงิ มาผกู ดว้ ยเชอื กเหนยี วเสน้ หนงึ่ ๆ ครน้ั แลว้ น�ำไป ผกู ไวก้ บั เสาเขอ่ื นหรอื เสาหลกั อกี ตอ่ หนง่ึ . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ครง้ั นนั้ สตั วท์ ง้ั หกชนดิ เหลา่ นนั้ มที อี่ าศยั และทเ่ี ทยี่ วตา่ งกนั 75

พทุ ธวจน - หมวดธรรม กย็ อ้ื แยง่ ฉดุ ดงึ กนั เพอื่ จะไปสทู่ อ่ี าศยั และทเี่ ทยี่ วของตนๆ งจู ะเขา้ จอมปลวก จระเขจ้ ะลงนำ�้ นกจะบนิ ขน้ึ ไปในอากาศ สนุ ขั จะเขา้ บา้ น สนุ ขั จงิ้ จอกจะไปปา่ ชา้ และลงิ กจ็ ะไปปา่ . ภกิ ษุท้ังหลาย !   ในกาลใดแล ความเป็นไปภายในของ สตั วท์ งั้ หกชนดิ เหลา่ นนั้ มแี ตค่ วามเมอื่ ยลา้ แลว้ ในกาลนนั้ มนั ทั้งหลายกจ็ ะพงึ เขา้ ไปยนื เจ่า นง่ั เจ่า นอนเจ่า อยขู่ า้ ง เสาเขอื่ นหรอื เสาหลกั นนั้ เอง. ขอ้ นฉ้ี นั ใด ภิกษทุ ้งั หลาย !   ภิกษรุ ูปใด ได้อบรมกระทำ�ให้ มากในกายคตาสติแลว้ ตา  ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุน้ันไปหารูปท่ีน่าพอใจ รปู ท่ไี มน่ ่าพอใจ กไ็ มเ่ ปน็ ส่งิ ทเ่ี ธอรู้สึกอึดอัดขยะแขยง หู  ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุนั้นไปหาเสียงที่น่าฟัง เสยี งทไี่ ม่น่าฟงั กไ็ ม่เป็นสง่ิ ที่เธอรูส้ กึ อดึ อัดขยะแขยง จมูก  กจ็ ะไมฉ่ ดุ เอาภกิ ษนุ น้ั ไปหากลน่ิ ทน่ี า่ สดู ดม กลน่ิ ทไ่ี มน่ า่ สดู ดม กไ็ มเ่ ปน็ สง่ิ ทเ่ี ธอรสู้ กึ อดึ อดั ขยะแขยง ล้ิน  ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุน้ันไปหารสที่น่าชอบใจ รสท่ไี ม่นา่ ชอบใจ ก็ไมเ่ ปน็ สงิ่ ที่เธอรู้สกึ อึดอัดขยะแขยง 76

เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด : ตามรอยธรรม กาย  ก็จะไม่ฉุดเอาภิกษุน้ันไปหาสัมผัสที่น่า ย่ัวยวนใจ สมั ผสั ทไ่ี ม่นา่ ยวั่ ยวนใจ กไ็ มเ่ ปน็ ส่ิงท่เี ธอรู้สกึ อดึ อัดขยะแขยง และใจ  กจ็ ะไมฉ่ ดุ เอาภกิ ษนุ น้ั ไปหาธรรมารมณท์ ี่ นา่ ถกู ใจ ธรรมารมณท์ ไ่ี มน่ า่ ถกู ใจ กไ็ มเ่ ปน็ สง่ิ ทเ่ี ธอรสู้ กึ อึดอัดขยะแขยง ขอ้ น้กี ฉ็ นั นัน้ เหมือนกนั . ภกิ ษุท้ังหลาย !   ภิกษผุ ู้มีสังวร  เปน็ อย่างน.ี้ ภกิ ษทุ งั้ หลาย !   ค�ำ วา่ “เสาเขอ่ื นหรอื เสาหลกั ” นเ้ี ป็นค�ำ เรยี กแทนช่ือแหง่ “กายคตาสต”ิ ภิกษทุ ง้ั หลาย !   เพราะฉะนัน้ ในเรอื่ งนี้ พวกเธอ ทง้ั หลาย พงึ ส�ำ เหนยี กใจไวว้ า่ “กายคตาสตขิ องเราทง้ั หลาย จักเปน็ ส่ิงทีเ่ ราอบรมกระท�ำ ใหม้ าก กระท�ำ ให้เปน็ ยาน เครือ่ งน�ำ ไป กระทำ�ใหเ้ ป็นของท่อี าศัยได้ เพยี รตั้งไว้ เนอื งๆ เพยี รเสริมสรา้ งโดยรอบคอบ เพยี รปรารภ สม่ำ�เสมอดว้ ยด”ี ดังนี้. ภิกษุท้ังหลาย !   พวกเธอท้ังหลายพึงสำ�เหนียก ใจไว้อย่างน ้ี แล. 77

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถกู ปิด : ตามรอยธรรม 78

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด : ตามรอยธรรม วหิ ารธรรมทท่ี รงอยมู่ ากทส่ี ดุ 32 กอ่ นตรสั รู้ -บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๙๙, ๔๐๑/๑๓๒๔, ๑๓๒๙. ภิกษุท้ังหลาย !   ความหวน่ั ไหวโยกโคลงของกาย หรือความหวน่ั ไหวโยกโคลงของจติ ก็ตาม ย่อมมีข้นึ ไมไ่ ด้ ด้วยอำ�นาจแหง่ การเจริญ ทำ�ให้มากซ่งึ สมาธิใด สมาธิน้ัน ภกิ ษยุ อ่ มจะไดโ้ ดยไมห่ นกั ใจ ไดโ้ ดยไมย่ าก โดยไมล่ �ำ บากเลย. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   ความหวน่ั ไหวโยกโคลงของกาย หรอื ความหวน่ั ไหวโยกโคลงของจติ กต็ าม ยอ่ มมขี น้ึ ไมไ่ ด้ ดว้ ยอ�ำ นาจแหง่ การเจรญิ ท�ำ ใหม้ ากซง่ึ สมาธไิ หนกนั เลา่  ? ภิกษทุ ง้ั หลาย !  ความหวน่ั ไหวโยกโคลงของกาย หรอื ความหวน่ั ไหวโยกโคลงของจติ กต็ าม ยอ่ มมขี น้ึ ไมไ่ ด้ ดว้ ยอ�ำ นาจแหง่ การเจรญิ ทำ�ให้มากซง่ึ อานาปานสติ สมาธ.ิ ภกิ ษุทงั้ หลาย !   เมื่อบุคคลเจริญ ทำ�ให้มากซึ่ง อานาปานสตสิ มาธิ อยอู่ ยา่ งไรเลา่ ความหวน่ั ไหวโยกโคลง ของกาย หรือความหว่ันไหวโยกโคลงของจติ กต็ าม ย่อม มขี ้ึนไมไ่ ด้ ? 79

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภกิ ษุทั้งหลาย !   ภิกษุในกรณีน้ี ไปสู่ป่า หรือ โคนไมห้ รอื เรอื นวา่ งก็ตาม แลว้ น่งั คู้ขาเขา้ มาโดยรอบ ต้ังกายตรง ด�ำรงสติเฉพาะหน้า ภิกษุนั้นมีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก. เม่ือหายใจเข้ายาว  ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว เมอื่ หายใจออกยาว ก็รูช้ ดั ว่าเราหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้าส้ัน  ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าส้ัน เมอ่ื หายใจออกสนั้ กร็ ชู้ ดั ว่าเราหายใจออกสั้น เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ ม เฉพาะซ่ึงกายทั้งปวง หายใจเขา้ ” ว่า “เราเป็นผู้รพู้ รอ้ ม เฉพาะซึ่งกายทัง้ ปวง หายใจออก” เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ กาย สงั ขารใหร้ �ำ งบั หายใจเข้า” วา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ กายสงั ขาร ใหร้ �ำ งบั หายใจออก” เธอย่อมท�ำ การฝึกหดั ศกึ ษาว่า “เราเปน็ ผู้รพู้ รอ้ ม เฉพาะซึ่งปีติ หายใจเข้า” ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะ ซง่ึ ปีติ หายใจออก” 80

เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปิด : ตามรอยธรรม เธอยอ่ มท�ำการฝกึ หัดศกึ ษาว่า “เราเป็นผู้รพู้ รอ้ ม เฉพาะซึ่งสุข หายใจเข้า” ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะ ซงึ่ สขุ หายใจออก” เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ ม เฉพาะซง่ึ จติ ตสงั ขาร หายใจเขา้ ” วา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ ม เฉพาะซ่ึงจิตตสังขาร หายใจออก” เธอยอ่ มท�ำการฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำจติ ตสงั ขาร ใหร้ �ำงบั หายใจเข้า” วา่ “เราเป็นผทู้ �ำจิตตสงั ขาร ให้ร�ำงบั หายใจออก” เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ ม เฉพาะซึ่งจิต หายใจเข้า” ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะ ซึง่ จิต หายใจออก” เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า  “เราเป็นผ้ทู ำ�จิต ให้ปราโมทย์ย่งิ หายใจเขา้ ” วา่ “เราจกั เปน็ ผู้ท�ำ จิต ใหป้ ราโมทย์ย่ิง หายใจออก” 81

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เธอยอ่ มท�ำการฝึกหดั ศกึ ษาวา่ “เราเป็นผ้ทู �ำจติ ใหต้ ั้งมนั่ หายใจเข้า” วา่ “เราเป็นผู้ท�ำจติ ใหต้ ั้งมั่น หายใจออก” เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หัดศกึ ษาวา่ “เราเป็นผทู้ �ำ จิต ใหป้ ลอ่ ยอยู่ หายใจเขา้ ” วา่ “เราเป็นผ้ทู ำ�จติ ให้ปล่อยอยู่ หายใจออก” เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาว่า “เราเป็นผ้เู หน็ ซ่งึ ความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ� หายใจเข้า” ว่า “เราเป็น ผู้เห็นซ่งึ ความไม่เทย่ี งอยู่เปน็ ประจำ� หายใจออก” เธอยอ่ มทำ�การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเป็นผเู้ ห็นซึ่ง ความจางคลายอยู่เปน็ ประจ�ำ หายใจเขา้ ” ว่า “เราเปน็ ผู้เห็นซ่งึ ความจางคลายอย่เู ป็นประจำ� หายใจออก” เธอยอ่ มทำ�การฝึกหัดศกึ ษาวา่ “เราเป็นผเู้ ห็นซึ่ง ความดบั ไมเ่ หลอื อยเู่ ปน็ ประจ�ำ หายใจเขา้ ” วา่ “เราเปน็ ผเู้ หน็ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื อยเู่ ปน็ ประจ�ำ หายใจออก” 82


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook