Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เดียนเบียนฟู

Description: เดียนเบียนฟู.

Search

Read the Text Version

เดยี นเบยี นฟู นายมงคล วิศิษฏส์ ตัมภ์ * มหี ลายทา่ นท่ไี ดเ้ คยรับรู้รบั ฟังเกี่ยวกับเร่ืองราวของเมืองเดยี นเบยี นฟูมามากบ้างน้อยบ้าง ไม่วา่ จะในแงข่ องประวัติศาสตร์ทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั เทือกเถาเหลา่ กอของกลุ่มชนคนไทในอดีต หรือสมรภมู ิรบอนั ดเุ ดือดระหวา่ งขบวนการกชู้ าตเิ จ้าของแผ่นดินกับเจา้ อาณานิคมท่เี ขม้ แข็งเมอ่ื กวา่ 50 ปีก่อน ความประทับใจ เกีย่ วกับมนตเ์ สน่หข์ องเมอื งเดยี นเบยี นฟูเม่ือครั้งได้มีโอกาสไปเยีย่ มเยือนถึง 2 ครงั้ ในระหวา่ งประจาการที่ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรงุ ฮานอยระหวา่ งปี พ.ศ. 2536 - 2540 ได้ผุดผ่านเขา้ มาในความคดิ ของผมอีกครั้ง หนง่ึ เม่ือเผอญิ ได้มโี อกาสชมรายการสารคดเี ก่ียวกับชนเผ่าไทที่อาศยั อยใู่ นดนิ แดนแห่งนที้ างสถานีโทรทัศน์ เวยี ดนามเมือ่ ราวตน้ เดือนกุมภาพันธ์ 2549 จึงเปน็ แรงบันดาลใจให้ไปศกึ ษาค้นคว้าเกยี่ วกับเมอื งแห่งน้ีเพ่มิ เตมิ และขอถ่ายทอดเร่ืองราวไว้เพ่อื ชว่ ยจดุ ประกายความคิดในการแสวงหาวิถีทางเพ่ือพัฒนาความสมั พนั ธ์ ความรว่ มมือ และการเช่ือมโยงระหวา่ งเมอื งเดยี นเบยี นฟูกับประเทศไทยให้ใกลช้ ดิ กัน ดังเช่นความรว่ มมือ ด้านการท่องเทยี่ วและการแลกเปลยี่ นด้านวฒั นธรรมทมี่ ีกับเมืองต่าง ๆ ในมณฑลยูนนานและสบิ สองปันนา ในภาคใต้ของจีน เปน็ ต้น เดียนเบียนฟูอย่ไู หน “เดียนเบยี นฟู” (Dien Bien Phu) หรอื “เดีย่ นเบยี นฝู๋” ในภาษาเวียดนาม หรอื ทีร่ จู้ ักกันใน นามเมืองแถน หรือแถง (Muong Thanh) 1 เป็นเมืองที่ตง้ั อยทู่ างทิศตะวนั ตกเฉียงเหนือในจังหวัดเดยี นเบียน ตดิ กบั แขวงพงสาลขี องสาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว อยหู่ ่างจากกรุงฮานอยเมืองหลวงโดยทาง รถยนต์ไปตามถนนหมายเลข 6 ประมาณ 400 ก.ม.เศษ มลี กั ษณะเป็นทีร่ าบหุบเขายาว 20 ก.ม. กวา้ ง 8 ก.ม. ล้อมรอบด้วยภเู ขาสูงสลบั ซบั ซอ้ น มีแมน่ า้ ไหลผ่าน เช่น นา้ รม เมอื งเดยี นเบียนฟูเพ่งิ แยกตัวออกจาก จงั หวดั ไลโจวเมอ่ื วันที่ 25 พฤศจกิ ายน 2546 ตามยุทธศาสตรพ์ ฒั นาเศรษฐกจิ และการท่องเทยี่ วในเขต 4 จงั หวดั ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ (อกี 3 จงั หวัดไดแ้ ก่ เซินลา ไลโจว และล่าวกาย) มพี นื้ ท่ี 9,554 ตร.กม. และประชากรราว 500,000 คน เมอื งเดียนเบียนฟูอยู่ห่างชายแดนลาว - เวียดนามประมาณ 25 ก.ม. 1 พงศาวดารจนี ได้บันทึกไวว้ า่ ขุนบรมราชาธิราช พระเจา้ แผน่ ดนิ อาณาจักรหนองแส หรอื นา่ นเจา้ (ปัจจบุ นั คอื ตาลฟิ ู ในเขตมณฑลยนู นานของจนี ) ทรงพจิ ารณาเห็นวา่ พวกจนี มกี าลังเข้มแข็งและเคยยกทัพมาตีหนองแสอยู่เสมอ จงึ ไม่วาง พระทยั ต่อมาในปี พ.ศ. 1227 (ค.ศ. 731) จงึ ไดย้ า้ ยไปสรา้ งเมืองใหม่ท่ี “ทงุ่ นานอ้ ยออ้ ยหน”ู โดยต้งั ชื่อเมอื งใหมน่ ีว้ า่ “เมอื งแถน” หรอื “เมอื งกาหลง” และทรงประทับอยทู่ เ่ี มืองแถนนาน 8 ปี ก่อนทจี่ ะย้ายไปประทบั ที่เมืองตาหอ้ เมอ่ื ปี พ.ศ. 1283 นอกจากน้ี ในพงศาวดารเมอื งแถงของไทดาไดก้ ลา่ ววา่ แถนเอาคนและสัตว์ใส่นา้ เตา้ ปุง เมอ่ื นา้ เตา้ แตกออก มีคน ออกมา 5 พวก คอื ขา่ แจะ ผู้ไทดา ลาวพงุ ขาว ฮ่อ และแกว และอ้างว่าเมืองแถงเป็นถนิ่ กาเนดิ ของชนชาติไท เพราะบ้าน น้าเตา้ ปุงและนาน้อยอ้อยหนูทีอ่ า้ งถงึ นัน้ มสี ถานที่จรงิ ทเี่ มอื งแถงในเวยี ดนามนั่นเอง โปรดดูรายละเอียดเพม่ิ เตมิ จาก ศิราพร ณ ถลาง, “ชนชาติไทในนทิ าน”, (กรงุ เทพฯ : สานกั พมิ พม์ ติชน, 2545) * เจา้ หน้าท่ีการทูต 6 กองเอเชยี ตะวนั ออก 2 กรมเอเชยี ตะวันออก

2 จากลาว สามารถเดินทางไปตามถนนหมายเลข 2 เข้าสู่ท่ีราบลุ่มแม่น้าอู (Nam Ou) เพื่อตอ่ ไปยังเมือง พงสาลีทางเหนอื หรือไปเมอื งไชยทางตะวนั ตกเฉยี งใต้แล้วเดนิ ทางเขา้ สปู่ ระเทศไทยทางจังหวดั น่าน โดยผ่านจดุ ผ่านแดนห้วยโก๋น - น้าเงิน หรือจะลงใต้โดยใช้ถนนหมายเลข 13 ผา่ นเมืองหลวงพระบาง ไปยังเวยี งจนั ทน์แลว้ เข้าสู่ประเทศไทยทางจังหวัดหนองคายโดยผา่ นสะพานมิตรภาพไทย - ลาว ดงั น้นั การเดินทางรถยนต์จากประเทศไทยไปยงั เมืองเดยี นเบยี นฟใู นอนาคตจึงเปน็ เรอ่ื งท่ีมีความเปน็ ไปได้หาก ถนนหนทางตา่ ง ๆ ได้รับการขยบั ขยายเพ่ือเพิม่ ความสะดวกและความรวดเรว็ นอกจากน้ี นักท่องเท่ยี ว ยงั สามารถเดินทางโดยเคร่อื งบนิ จากกรุงฮานอยไปยงั เมอื งเดียนเบยี นฟซู ง่ึ มเี ที่ยวบนิ ใหบ้ ริการเป็นประจา ทกุ วนั ต่อไปหากมีการเปิดใหบ้ รกิ ารเส้นทางเชียงใหม่ - หลวงพระบาง - เดยี นเบียนฟู จะก่อใหเ้ กิดการ เชอ่ื มโยงแหลง่ ท่องเท่ยี วท่ีสาคญั ในภาคเหนอื ของไทย - ลาว - เวยี ดนามอีกทางหนงึ่ ด้วย แผนท่ีแสดงทตี่ ั้งเมอื งเดียนเบียนฟู และอาณาบรเิ วณโดยรอบ 2 2 ศนู ย์แผนที่ พี เอ็น: pnmapthaipanit.com

3 ชนเผ่าไทในเดียนเบยี นฟู ดังทีเ่ กริน่ ไว้เมอื่ ตอนต้นวา่ เดียนเบยี นฟูเปน็ ดินแดนทีม่ ีความสาคญั ในแง่ของการศึกษาด้าน ชาตพิ นั ธุว์ ิทยาอย่างมากเพราะเปน็ ถ่ินท่ีอยู่ของชนเผ่ากลุ่มตา่ ง ๆ ถงึ 18 กลุม่ มาเป็นเวลาช้านานหลายชัว่ อายุคน ในเวยี ดนาม นักวิชาการไดแ้ บ่งชนเผา่ ต่าง ๆ ตามหลกั ชาตพิ ันธ์วุ ิทยาออกเป็น 54 กลมุ่ ใหญ่ ใน จานวนนมี้ กี ลุ่มชนท่ใี ช้ภาษาไต - ไท (Tay - Tai) จานวน 8 กลมุ่ ไดแ้ ก่ ไต ไท นุง สานจาย/กาวลานสานจี ไส ลาว ล้อื โบอี 3 สาหรับคนไทนั้น ปจั จบุ ันมอี ยู่ประมาณเกือบ 1,400,000 คน 4 มากเปน็ ลาดบั สามรอง จากชนเผา่ เวยี ตหรือกงิ (Kinh) ซงึ่ เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ (ร้อยละ 88 หรือประมาณ 70 ล้านคน) และเผา่ ไต (ประมาณ 1,500,000 คน) คนไทในเวียดนามมชี อ่ื เรียกขานแตกต่างกนั ออกไปตามลักษณะ ความเชื่อ ประเพณี วฒั นธรรม และวถิ กี ารดารงชีวิต ไดแ้ ก่ ไทขาว ไทดา ไทเมือง ไทแถง ไทเมอื ย ไทมอ็ กโจว ผู้ไทอาศัยกระจายกันอยูใ่ นหลายจังหวดั โดยเฉพาะพ้นื ท่ีแถบชายแดนลาว - เวียดนามทางภาคตะวันตก เฉียงเหนอื ได้แก่ เดยี นเบียน เซินลา ไลโจว เหงะอาน แทงหฮ์ วา ลา่ วกาย เอียนบ๋าย ฮวา่ บน่ิ ห์ เลิมด่ง การจะดูว่าคนไทที่พบเห็นสงั กดั กล่มุ ใด นอกจากจะสังเกตจากเส้ือผา้ ของผู้สวมใส่ เช่น ไทดา กจ็ ะนิยมสวมเสอ้ื ผา้ สีดา นา้ เงินแก่ คราม หรือเทาหมน่ ซึง่ ยอ้ มด้วยตน้ คราม มะเกลอื หรือไม้ชนดิ อน่ื สวมเสื้อ ทอแขนยาวทรงกระบอก สว่ นหญิงสาวมกั นุ่งผา้ ซิน่ สีดา รัดเอวดว้ ยผา้ ถักลายท้ังสี่ดา้ น หรอื “ผา้ สเ่ี อี่ยว” สวม เสือ้ พืน้ ขาว ดา เทา เหลือง แดง ชมพู ผา่ อกเย็บแถบดว้ ยสีสนั ต่าง ๆ กลัดดว้ ยกระดมุ ตลอดแนว สาหรับคนไท เผ่าอืน่ ๆ เชน่ ไทขาว กม็ กั จะนิยมแตง่ กายด้วยผา้ สีขาว หรอื ไทแดง กช็ อบทีจ่ ะใช้ผ้าสีแดงขลบิ ตกแต่งตาม ชายเสอื้ นอกจากนี้ ยังแยกได้ตามถ่นิ ท่ีอยู่อาศัย เชน่ ไทขาว จะอยู่ท่ีเมืองเติ๊ก เมอื งไล ในขณะทไ่ี ทดาจะอาศัย อย่ใู นเมืองม่วย เมอื งลา เปน็ ต้น คนไทในเวียดนามมีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเองซ่งึ อาจแตกต่าง กันไปบา้ งตามสาเนียงและภาษาถ่นิ บางคนทีเ่ คยได้ยินอาจจะนึกถงึ ไปได้ว่าเป็นสาเนียงเชยี งใหม่ปนลาว รฐั บาลเวยี ดนามเองมีความพยายามที่จะอนุรักษ์อกั ขระวธิ ีของภาษาไทเอาไว้โดยร่วมมอื กับองค์กรเพ่ือการ พัฒนาระหวา่ งประเทศและ NGOs ต่าง ๆ เพื่อใช้เปน็ ส่ือกลางให้ทางการสามารถเข้าไปบรหิ ารจัดการชุมชน เผา่ ไทไดอ้ ย่างเปน็ ระบบและมปี ระสทิ ธิภาพมากขึ้น ทง้ั ในเรอ่ื งการปกครอง เศรษฐกิจ การศึกษา สงั คม และ สาธารณสขุ ในบรรดากลมุ่ ชนคนไทที่ได้กลา่ วมาแล้ว ดูเหมือนว่าเผา่ ไทดามีความนา่ สนใจอยมู่ าก เพราะนอกจากจะเปน็ กลุ่มท่ีสามารถรกั ษาเอกลกั ษณ์ ขบนธรรมเนยี มประเพณี และวิถีชวี ิตความเป็นอยู่ ของตนเองไวไ้ ดอ้ ย่างมนั่ คงแล้ว ไทดายงั อาศัยอยใู่ นเดียนเบยี นฟูอยา่ งแนน่ หนา หมู่บา้ นตา่ ง ๆ (ซง่ึ เรียก 3 “Vietnam”, (Hanoi : The Gioi Publishers, 1995) และ Dang Nghiem Van, Chu Thai Son & Luu Hung, “Ethnic Minorities in Vietnam”, (Hanoi : The Gioi Publishers, 1993) 4 Highland Education Development Organization (HEDO) – http://hedo-vietnam.tripod.com

4 วา่ บา้ นเช่นเดียวกันกับในประเทศไทย เชน่ บา้ นหนองใหญ่ บ้านน้อง บ้านเต่า บ้านหนองแอ่น แตล่ ะบา้ น ประกอบด้วยหลายสิบหลังคาเรือนไปจนถึง 100 - 200 หลงั คาเรอื น และหลายหมู่บา้ นรวมกนั เรียกวา่ เมือง) มกั ต้ังอยู่บริเวณท่ีราบหบุ เขา หรือเรียงรายไปตามแมน่ ้าและเสน้ ทางหลักระหว่างเมืองต่าง ๆ บา้ นคนไทมี ลกั ษณะเป็นเรือนทรงสเ่ี หล่ียมผนื ผ้า มงุ ด้วยหลังคากระเบอื้ งหรือหญา้ คา ท้งั นีแ้ ล้วแต่ฐานะทางเศรษฐกิจ มีบันไดทางขึ้น 2 ทางด้านหน้าและด้านหลัง นยั วา่ เพ่อื อานวยความสะดวกให้แกค่ นเฒ่าคนแก่ ฝาบ้านอาจ เป็นไม้ขัดแตะหรอื ไมแ้ ผ่น ตัวบ้านตั้งอยู่บนเสาเรือนทรงกลมขนาดใหญ่ ใต้ถุนจงึ สูงและเป็นที่วา่ งโลง่ เหมาะ สาหรับไว้เลีย้ งสัตวแ์ ละประกอบกิจกรรมอ่ืน ๆ ภายในครัวเรอื น สว่ นภายในบา้ นนิยมปลอ่ ยโลง่ แบง่ สดั ส่วน ตา่ ง ๆ โดยใช้ผา้ ม่านกางกน้ั เป็นห้องนอน ห้องรบั แขก หรือมมุ ทอผ้า/นัง่ เลน่ สตรีเผ่าไทดาซ่งึ ยังคงรูปแบบการแตง่ กายแบบดงั้ เดมิ และมีประเพณที นี่ า่ สนใจ บา้ นคนไทดาทเ่ี มอื งเดยี นเบียนฟู 5 ไทดาในดนิ แดนสิบสองจุไทแถบลุม่ แม่นาดา - แดง ตามประวัติสร้างบ้านแปลงเมือง เดียนเบยี นฟูหรือเมืองแถน เปน็ หน่ึงใน 12 เมอื งในดินแดน ทางประวัตศิ าสตร์หรือทร่ี จู้ ักกันดใี นนาม “ดนิ แดนสิบสองจุไท” หรือ “สิบสองเจ้าไท” ซึง่ ตัง้ อยู่บริเวณท่รี าบ ลมุ่ นา้ แดงและแมน่ า้ ดาทางภาคตะวนั ตกเฉียงเหนอื ของเวยี ดนาม ได้แก่ เมอื งแถน (หรอื เมอื งแถง) เมืองไล 5 รศ. ดร. บญุ ยงค์ เกศเทศ : สืบสานวัฒนธรรม ชาติพันธ์ุ - ไทย สายใยจิตวญิ ญาณลุม่ นา้ ดา - แดง, 2546

5 เมอื งควาย เมืองเตียน (หรือเมืองสอ) เมอื งทาน เมืองลอ เมืองเตก๊ิ เมืองวาด เมอื งมวั เมืองลา เมอื งมว่ ย และ เมืองสาง ซงึ่ รศ. ดร. บุญยงค์ เกศเทศ แหง่ คณะมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม ไดอ้ ้างถึงอรรถ นันทจกั ร์ (วารสารคณะมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม ฉบับท่ี 2, 2540) เกีย่ วกับตานานบ้านเมอื งแถนมหานครของคนไทกับตานาน “เมอื งนาน้อยอ้อยหนู” ไว้วา่ ได้พบ เอกสารโบราณ “ความโทเมือง” จารึกดว้ ยอักษรไทยดา เก็บรักษาไวโ้ ดยคนในตระกลู ลอ ช่อื พ่อเฒา่ ลอ (Ong Lo Phep) ขณะน้ันมอี ายุ 90 ปี เปน็ บุตรชายคนโตรุ่นลา่ สุดของตระกูลลอซง่ึ เป็นเจ้าสายตรงของ แดนลอผู้สร้างเมอื งแถน เอกสาร “ความโทเมอื ง” บันทึกลงในกระดาษสาหรือท่ีเรียกว่า “สาสน์ ปั๊บสา” จารึก (แต้ม) ด้วยอกั ษรหางหนู มคี วามยาวถึง 90 หนา้ ป๊ับสา ข้อมลู ดงั กล่าวแสดงใหเ้ หน็ ว่ากลมุ่ ชาติพันธุ์ ไทดาเปน็ กลมุ่ ไททมี่ ีประวัติศาสตร์ วฒั นธรรม และความย่งิ ใหญม่ าแล้วในอดีตกาล 6 เกย่ี วกับกลุ่มชนเผ่าไทในเวียดนามนัน้ เปน็ ท่ีนา่ สนใจอย่างย่งิ ว่าถูกนาไปใช้ในการอธิบาย ความต่างกันระหวา่ ง “ไต” กบั “ไท” ซึง่ สจุ ติ ต์ วงษ์เทศ นกั ประวัตศิ าสตร์และโบราณคดีคนสาคญั ได้กล่าว ไวใ้ นหนังสอื เรื่อง “คนไทยมาจากไหน ?” เกย่ี วกับงานค้นคว้าของนักวิชาการหลายท่าน อาทิ รศ. ศรีศกั ร วัลลโิ ภดม (ไทยน้อย ไทยใหญ่ ไทยสยาม, 2534) ว่าท้ังสองเปน็ ช่อื ของกลุม่ ชนท่เี ป็น “ชนชาติ” เหมือนกัน ต่างกันตรงท่ี “ไต” เป็นกล่มุ ชนทต่ี งั้ ถิ่นฐานกระจายกนั อยูท่ างฝัง่ ตะวนั ตกของแมน่ า้ โขงท่ีครอบคลุมไปถงึ บริเวณลุม่ แม่น้าสาละวินและอิรวดีตอนบน ส่วน “ไท” เปน็ กล่มุ ชนที่อยทู่ างฝงั่ ตะวันออกของแมน่ า้ โขง ตง้ั แตเ่ ขตประเทศลาวผ่านเข้าไปในลุม่ แม่น้าดาและแมน่ ้าแดงในเวียดนาม ซ่งึ สอดคล้องกับอรรถาธิบาย ของจติ ร ภมู ิศักดิ์ (ความเปน็ มาของคาสยามไทย ลาวและขอม และลักษณะทางสงั คมของช่ือชนชาติ, 2519) เกีย่ วกับการแบ่งกลมุ่ ชนชาตไิ ทยออกเปน็ “ไทยใหญ่” วา่ เปน็ พวกที่อยู่ทางลมุ่ แม่น้าคง (สาละวิน) และแมน่ ้ามาว (หรือแม่น้าชเวลี ซ่งึ เป็นสาขาหนึ่งของแมน่ ้าอิรวด)ี สว่ น “ไทยน้อย” เป็นกลุ่มคนไทใน ลุ่มแม่นา้ โขงทางตะวนั ออกที่เลยเขา้ ไปในลาวและเวยี ดนาม กลุ่มน้เี ปน็ พวกท่ีเคล่ือนย้ายลงมาเป็นชาว ลา้ นนา ลา้ นชา้ ง และสุโขทัย 7 นอกจากน้ี สุจิตต์ วงษเ์ ทศ ยังได้เสนอไว้ในหนังสือเล่มเดียวกันดว้ ยว่าชมุ ชนบ้านและเมือง ของชนชาติไตและไทนนั้ มักเกิดขึ้นในบรเิ วณหบุ เขาและทุ่งราบทล่ี าน้าสาขาของแมน่ ้าใหญท่ ้ังส่ีไหลผา่ น ไดแ้ ก่ แมน่ ้าอริ วดี แม่น้าสาละวนิ แม่นา้ โขง และแมน่ า้ แดง และมักกอ่ ใหเ้ กดิ เมืองใหญ่ ๆ ขน้ึ ตรงชมุ ทาง ใกล้ ๆ กับลาแม่น้าใหญ่ และขยับขยายกลายเป็นชุมชนท่ีเปน็ ศนู ย์กลางทางการปกครอง คมนาคม เศรษฐกจิ และวฒั นธรรม ซง่ึ พฒั นาการทางสงั คมและการเมืองของชมุ ชนบ้านเมอื งของกลุม่ ชนชาติไทยกลุ่มต่าง ๆ 6 รศ. ดร. บุญยงค์ เกศเทศ, “สบื สานวฒั นธรรม ชาติพนั ธ-ุ์ ไทย สายใยจติ วญิ ญาณ ลุ่มนา้ ดา - แดง”, (กรุงเทพฯ : หลักพิมพ,์ 2546) 7 สุจติ ต์ วงษ์เทศ, “คนไทยมาจากไหน ? ”, ศลิ ปวฒั นธรรมฉบับพเิ ศษ, พมิ พค์ รง้ั ที่ 1, (กรงุ เทพฯ : สานักพิมพม์ ตชิ น, ธันวาคม 2548)

6 สอดคลอ้ งกันเปน็ อย่างดีกบั เรือ่ งราวในตานาน พงศาวดาร หรือเรื่องราวประวัติบา้ นเมอื งจากคาบอกเล่า ท่ถี ่ายทอดกนั มาช้านาน ดังเช่นตานานเมอื งแถนท่ีมกี ลา่ วถึงในพงศาวดารล้านช้างท่ีแสดงใหเ้ ห็นถึงความ สัมพันธ์ของชมุ ชนหมบู่ า้ นที่นาน้อยอ้อยหนูในลมุ่ นา้ รมกับเมอื งแถน และจากเมืองแถนไปสมั พนั ธ์กับเมอื งอู ในลุ่มแม่น้าอูกอ่ นท่จี ะไปเกีย่ วข้องกบั เมืองหลวงพระบาง เปน็ ต้น ในประเทศไทยกม็ ีไทดาอาศัยอยู่เชน่ กัน โดยคนไทยเรียกคนกลมุ่ นี้ว่า “ลาวโซง่ ” หรือ “ไทยโซง่ ” คาว่าโซง่ คงจะมาจากคาว่า ซ่วง หรือ ซง่ ซง่ึ เปน็ ภาษาไทดา หมายถึงกางเกง ไทดาอพยพเขา้ สดู่ นิ แดนของประเทศไทยตั้งแต่ครัง้ สมัยพระเจา้ กรงุ ธนบรุ ีเม่ือ พ.ศ. 2322 ครั้งกองทพั ไทยยกไปตเี มอื ง เวยี งจันทน์แลว้ กวาดต้อนไทดาท่ีอพยพมาจากดินแดนสิบสองจุไทสง่ ไปตั้งถ่ินฐานทีเ่ มืองเพชรบุรี ต่อมา ไดก้ วาดต้อนเข้ามาเพิ่มเติมอกี ในสมัยรัชกาลที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2335 และสมยั รัชกาลที่ 3 เมื่อ พ.ศ. 2381 ปจั จบุ นั ตั้งถ่ินฐานกระจายกันอยใู่ นพนื้ ท่ีหลายจงั หวัด เช่น ราชบรุ ี นครปฐม สุพรรณบรุ ี พิจติ ร พษิ ณุโลก กาญจนบุรี ลพบรุ ี สระบรุ ี ชุมพร และสรุ าษฎร์ธานี 8 วฒั นธรรมประเพณีและพธิ กี รรมของไทดาในเวียดนามแบ่งออกไดเ้ ป็น 4 ประเภท ได้แก่ (1) การนบั ถือผสี างและเซน่ ไหวว้ ิญญาณบรรพบรุ ุษ (2) วิถกี ารดารงชวี ิต เช่น ประเพณีการเกิด การแตง่ งาน การทาบุญข้นึ บา้ นใหม่ การตาย (3) พธิ กี รรมเก่ียวกับการเก็บเกยี่ วขา้ ว (4) การเฉลมิ ฉลองเนอื่ งในวาระ โอกาสพเิ ศษ เช่น วันขึ้นปีใหม่ วนั ครบรอบตา่ ง ๆ ปัจจุบนั ประเพณบี างอย่างได้เส่ือมถอยหรือสูญหายอย่าง ถาวรด้วยเหตุปจั จัยต่าง ๆ 9 ภายในครอบครวั บุตรชายจะได้รับการสั่งสอนอบรมใหร้ ู้จักการทาไร่ไถนาและ จักสาน เชน่ กระบุง ข้อง ไซ และภาชนะต่าง ๆ ซงึ่ สว่ นใหญจ่ ะเกี่ยวขอ้ งกับวิถีการดารงชวี ิตหลกั ของชาวไท ดาทว่ี นเวียนอยกู่ ับการทาไรไ่ ถนา ส่วนบุตรสาวกจ็ ะถกู บ่มเพาะใหร้ ูจ้ ักงานบ้านการเรือน เชน่ ปั่นฝ้าย เลี้ยง ไหม สาวไหม ทอผ้า และการปกั ดอกลวดลายต่าง ๆ บนผนื ผ้า เมื่อหน่มุ สาวถึงวัยหาคู่ครอง หากฝ่ายชาย เกดิ รกั ใคร่ชอบพอกันกับหญิงสาวรายใดแล้ว กจ็ ะเลา่ ให้พ่อแม่ฟัง จากนั้น จงึ เข้าสู่กระบวนการสู่ขอตาม จารตี ประเพณี “เอาผัว เอาเมีย หรือสูผ่ ัว สู่เมีย” โดยผา่ นผู้เฒา่ ผ้แู ก่ที่เคารพยกย่องหรอื “พอ่ ล่ามแมล่ า่ ม” เพ่ือทาพิธีหมัน่ หมายหรือ “มดั ” หญิงสาวกับว่าทีพ่ อ่ ตาแมย่ ายหรือ “พ่อตาแมน่ าย” ต่อไป 8 ดรู ายละเอียดเพิม่ เตมิ ไดจ้ าก www.lannaworld.com 9 Pattiya Jimreivat, “Culture and Tradition of the Tai People in Sipsongchutai: Maintenance, Revitalization and Integration into the Present Vietnamese Society”, (Mahidol University, 2001) เสนอในการประชมุ เชิง ปฏบิ ตั ิการระหวา่ งประเทศ “Inter-Ethnic Relations in the Making of Mainland Southeast Asia and Southwestern China”, Chiang Rai, Thailand, 23-24 March 2001 ดูรายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ ไดจ้ าก www.cseas.kyoto-u.ac.jp

7 ยุทธภมู ิเดยี นเบียนฟู : ความพา่ ยแพท้ ีเ่ หนือความคาดหมาย นอกจากความหลากหลายทางดา้ นชาตพิ นั ธ์ุซ่งึ เปน็ จดุ ขายท่ีสาคญั ของเมอื งเดียนเบียนฟู แลว้ ในดนิ แดนแห่งน้ียงั มีแหล่งทอ่ งเทย่ี วทนี่ ่าสนใจเก่ยี วข้องกับสมรภมู ิเดียนเบยี นฟูซึ่งเป็นฐานทม่ี ัน่ สาคญั สดุ ท้ายของฝร่ังเศสเม่ือปี ค.ศ. 1954 ต้งั เรียงรายอยู่บนท่ีราบและบริเวณรอบ ๆ หุบเขาเมืองแถน โดยเฉพาะ ฟากตะวนั ออกของหุบเขา 10 ซ่ึงจะขอเลา่ ให้ไดร้ ับทราบพอสังเขป ดังนี้ พพิ ิธภณั ฑ์แห่งชยั ชนะสงครามเดยี นเบียนฟู เป็นสถานที่ท่อี ยากจะแนะนาให้ไปเยือนเป็น ลาดบั แรก เพราะจะช่วยปูพื้นฐานใหน้ กั ทอ่ งเท่ียวไดม้ ีความรคู้ วามเข้าใจเก่ยี วกับเมืองเดยี นเบียนฟูในแงม่ ุม ตา่ ง ๆ โดยเฉพาะสภาพภมู ิศาสตร์และเร่ืองราวของสงคราม 55 วนั อันลือเล่ือง สถานทแี่ หง่ นี้จัดแสดงสิ่งของ และเอกสารต่าง ๆ ในทานองเดียวกันกบั พพิ ธิ ภณั ฑ์ทหารทก่ี รุงฮานอย ผิดกนั ตรงท่ีเน้นการศึกสงคราม ระหวา่ งขบวนการก้ชู าติเวยี ดมินห์ภายใต้การนาของอดีตประธานาธบิ ดโี ฮ จิ มินห์ กับกองทัพฝรั่งเศส ณ หบุ เขาเมืองแถน ที่น่าสนใจไดแ้ กก่ ารแสดงแสงและเสียงโดยใชแ้ บบจาลองประกอบการสาธติ ยุทธวิธีของ เวยี ดมนิ หใ์ นการสู้รบกับฝร่งั เศสตั้งแต่เริม่ ต้นจนกระท่ังส้ินสุดสงครามเม่ือวนั ท่ี 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1954 ผลของสงครามครงั้ นี้ ทาให้ฝรั่งเศสหมดความหวังท่จี ะกลับเข้าไปครอบครองอินโดจีนอกี ครงั้ และจาต้อง คืนเอกราชใหแ้ ก่เวยี ดนามในทา้ ยทสี่ ุด ภาพถา่ ยและหนุ่ จาลองแสดงใหเ้ ห็นถึงความมุมานะของฝา่ ย เวยี ดมินหใ์ นการเอาชนะอุปสรรคทางธรรมชาติเพ่ือขนสง่ ชน้ิ ส่วนอาวุธยทุ โธปกรณข์ ้ึนไปบนเขาสงู แล้วนา ไปประกอบเขา้ ด้วยกันเป็นปืนต่อสู้อากาศยานและปืนใหญ่สาหรบั ใช้ยงิ ถลม่ ทหารฝรัง่ เศสทีต่ ัง้ มั่นอยใู่ น หุบเขาเบ้ืองลา่ ง 11 ฐานบัญชาการของนายพล เดอ กาสตรีส์ (De Castries) เปน็ ศนู ยบ์ ัญชาการการรบของ ฝรั่งเศสในสมรภมู ิเดยี นเบียนฟูต้ังอยเู่ กือบกงึ่ กลางของหุบเขาเมอื งแถน รายรอบด้วยปอ้ มค่ายและเนนิ ยุทธศาสตร์ต่าง ๆ มลี ักษณะเป็นบังเกอร์มั่นคงแข็งแรงยาว 20 เมตร กว้าง 8 เมตร ห้องปฏบิ ัติการอยู่ช้ัน ใตด้ ินซึง่ แบ่งออกเป็น 4 ส่วน หลังคาเป็นเหลก็ ทรงโค้งสงู จากพ้นื ดินไม่มากนักและเสริมด้วยกระสอบ ทรายหนาหลายชั้น จึงทนทานต่อแรงอัดปะทะจากกระสนุ ปนื ใหญ่ขนาด 105 มม.ของฝา่ ยเวียดมินห์ได้ เป็นอย่างดี ปัจจุบัน ทางการเวียดนามได้เกบ็ รกั ษาสภาพเดิมทง้ั ในดา้ นโครงสร้างและรายละเอียดตา่ ง ๆ ของฐานบัญชาการนไี้ ว้เพ่ือการศึกษา และถอื ว่าเปน็ highlight ของการทัวรเ์ มอื งเดยี นเบียนฟูของ นกั ท่องเท่ียวทุกคณะ 10 ดูรายละเอียดสถานทท่ี ่องเท่ียวอ่ืน ๆ ได้จาก www.dulichdienbienphu.gov.vn 11 สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ได้เสดจ็ ฯ เยอื นเมอื งเดียนเบยี นฟู เมอื่ วันที่ 19 กมุ ภาพนั ธ์ 2536 และทรงถา่ ยทอดเรื่องราวเกยี่ วกบั สถานท่ีต่าง ๆ เชน่ หมู่บา้ นไทดาท่ีบ้านหนองใหญ่ พิพธิ ภณั ฑ์แหง่ ชยั ชนะเดยี นเบยี นฟู ฐานบัญชาการของนายพล เดอ กาสตรีส์ ฯลฯ โปรดดูพระราชนพิ นธใ์ นสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, “อนัมสยามมิตร”, พิมพค์ รั้งที่ 1, (กรุงเทพฯ : บรษิ ัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พบั ลชิ ชิง่ จากดั , 2537)

8 เนินอาโหมด (A1) เปน็ ฐานท่ีมั่นทมี่ คี วามสาคญั และมั่นคงแข็งแรงท่สี ุดแห่งหนึ่งของ ทหารฝรง่ั เศสในจานวนฐานท่ีมั่นทง้ั หมด 49 แหง่ และเป็นจดุ แตกหักสาคญั ในสงครามเดียนเบียนฟู โดยหลังจากทีฝ่ ่ายเวียดมินห์ได้ใชค้ วามพยายามอยูห่ ลายครั้งเพือ่ ยึดครองเนินอาโหมดจนสูญเสียทหาร ไปถงึ 2,516 นาย ฝา่ ยเวียดมนิ ห์จึงขุดอุโมงคย์ าว 47 เมตร เพื่อลอบเข้าไปวางระเบิดหนัก 970 กิโลกรมั จึงสามารถกดดันใหท้ หารฝรั่งเศสบนเนนิ ยอมแพ้ ซง่ึ เลา่ กันวา่ นายทหารฝร่ังเศสท่ีคุมฐานถงึ กบั มีเลือด ไหลออกทางหูตาจมกู ซงึ่ เป็นผลจากพลงั อัดอันมหาศาลของมวลอากาศ ในวันถดั มา ฝ่ายเวียดมนิ ห์จงึ เข้าโจมตแี ละปิดล้อมสนามบินเมอื งแถน และสามารถยึดป้อมบญั ชาการของนายพลเดอ กาสตรีส์ ได้ โดยเด็ดขาด ปัจจุบนั มกี ารจัดแสดงซากรถถังและบังเกอร์ของทหารฝรง่ั เศส เมอ่ื อยู่บนเนนิ แห่งนี้ สามารถ ชมทวิ ทศั น์ของหุบเขาเมอื งแถนได้โดยรอบ แมจ้ ะเหม่ือย แต่ผูเ้ ขยี นก็เดินขน้ึ เดินลงอยู่หลายคร้งั ดว้ ย ความประทับใจในทศั นียภาพ และถงึ ได้ทราบว่าทาไมเนินแห่งนจี้ ึงมคี วามสาคัญด้านยทุ ธศาสตร์สูง 12 แผนผงั การเขา้ โจมตฐี านทมี่ น่ั ของฝรงั่ เศส สนามบนิ เมืองแถน และป้อมค่ายต่าง ๆ ในท่รี าบหุบเขาเมืองแถน 13 12 General Vo Nguyen Giap, “ Memoirs of War Dien Bien Phu”, Seventh Edition, (Hanoi : The Gioi Publishers, 2004) 13 General Vo Nguyen Giap : Memoirs of War Dien Bien Phu, 2004

9 คูค่ายและฐานทม่ี น่ั ของทหารฝร่งั เศสทีน่ ่าสนใจแหง่ อนื่ ๆ มเี ปน็ จานวนมาก อาทิ เนนิ ฮมิ ลาม (Him Lam) ซึง่ เป็นสมรภูมจิ ดุ แรกทฝ่ี ่ายเวียดมนิ หเ์ ปิดฉากโจมตีทหารฝรั่งเศสเมื่อวนั ท่ี 13 มีนาคม ค.ศ. 1954 ตามดว้ ยเนนิ ด็อกเหลิบ (Doc Lap) นอกจากนี้ ยงั มีเนิน C D E รวมทง้ั เนิน D1 ซง่ึ เปน็ ท่ตี ้ังของอนุสาวรีย์ชัยชนะแหง่ เดยี นเบียนฟูท่ีเพงิ่ ก่อสรา้ งข้ึนใหม่เพอ่ื ฉลองครบรอบ 50 ปีของ ชัยชนะแหง่ เดยี นเบยี นฟู เมื่อ ค.ศ. 2004 สว่ นท่ีมนั่ และเนินอน่ื ๆ เท่าท่ผี เู้ ขียนได้เคยไปสารวจศึกษา ถูกปล่อยทง้ิ รกรา้ งหรือต้องเดินบุกสวนไรน่ าของชาวบ้านเขา้ ไป กระนนั้ ก็ดี ยังคงปรากฏร่องรอยเดิม ใหเ้ ห็นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะสนามเพลาะ ซ่งึ เมอ่ื ไปเย่ียมเยียนสถานท่ีดงั กล่าวแล้ว ก็พอจะช่วยให้ สามารถจินตนาการเก่ียวกับช่วงเวลาแหง่ ศึกสงครามขณะนั้นได้พอสมควร ฐานทม่ี ่นั ของนายพล หวอ เหวยี น ซา๊ บ (Vo Nguyen Giap) ใช้เป็นฐานบัญชาการรบ ของฝา่ ยเวียดมินห์ช่วงระหว่างวนั ที่ 21 มกราคม - 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1954 ต้ังอยู่ในป่าลกึ หนาทบึ บน เขาพูกาในเขตเมอื งพงั เพือ่ ป้องกันการตรวจการณท์ างอากาศของทหารฝรง่ั เศส ห่างจากเดยี นเบียนฟู ประมาณ 35 กิโลเมตร ณ ฐานแห่งนี้ มีการขุดอุโมงค์เข้าไปในภเู ขายาว 96 เมตรเพอื่ เช่ือมต่อกับฐานอีก แหง่ หน่ึง จงึ มีความม่ันคงแข็งแรงพอสมควร มกี ระทอ่ มสาหรบั ใชเ้ ป็นท่ีพกั ห้องประชุมและหอ้ งยุทธการ และมีจดุ ชมวิวซึ่งนายพล หวอ เหวียน ซา๊ บ สามารถมองเหน็ สมรภูมเิ ดียนเบียนฟูเบื้องลา่ งไดอ้ ยา่ งชัดเจน ชอ่ งฟ้า - ดนิ (Pha Din Pass) เปน็ ช่ือทีต่ ง้ั ขน้ึ โดยชนเผ่าไทหมายถงึ สถานทท่ี ่ฟี า้ กับดิน มาบรรจบกัน มีความยาวประมาณ 32 กิโลเมตร หากเดินทางจากกรงุ ฮานอยไปยังเมอื งเดยี นเบียนฟู จะต้องเดินทางผ่านช่องฟา้ - ดนิ ดงั กล่าวซึง่ ลดั เลาะไปตามภเู ขาสงู ชันทีร่ ะดับความสงู 1,000 เมตร นกั ทอ่ งเทยี่ วจะเพลดิ เพลนิ กับทวิ ทัศนอ์ ันงดงามของปุยเมฆที่เล็มเลียภูเขาอันเขียวขจี ระคนกับความ ตื่นเต้นทรี่ ถยนต์ต้องวง่ิ เลยี บหนา้ ผาซึ่งเปน็ ประสบการณ์ท่ียากจะลมื เลือน นอกจากเดียนเบียนฟูจะมีทิวทัศน์สวยสดงดงามของภูเขาสูง ปา่ ไม้อนั เขียวขจี และ ต้นหญา้ ตน้ ข้าวในท้องทงุ่ นาตามทร่ี าบหบุ เขาต่าง ๆ ที่พริ้วไหวแล้ว ป่าหลายแห่งยังเป็นปา่ ดึกดาบรรพ์ มถี ้า น้าพุร้อน และทะเลสาบจานวนมาก นกั ท่องเท่ยี วยังสามารถลอ่ งเรือในแมน่ ้าดา (Da River) ซึ่งมี หมู่บา้ นและชุมชนคนไทเรียงรายเปน็ ระยะ ๆ ฟงั เสียงดนตรแี ละลองลมิ้ ชิมรสอาหารพน้ื เมือง นบั ว่าได้ บรรยากาศท่สี นกุ สนานเพลิดเพลินไปอีกแบบหน่ึง เดียนเบียนฟู : จดุ เชื่อมต่อทางวฒั นธรรมและการท่องเทยี่ วไทย - เวียดนาม ปัจจบุ นั เดยี นเบยี นฟูคกึ คกั มากขน้ึ กว่าเดมิ โดยเฉพาะในตวั เมือง ซง่ึ \"คนพืน้ ราบ\" จาก จงั หวัดอืน่ ๆ ของเวยี ดนามได้หลัง่ ไหลเข้ามาตั้งรกรากและเปิดรา้ นขายของตา่ ง ๆ มากมายสารพัดชนดิ รวมท้ังเปน็ แหล่งรับซ้ือขา้ วซื้อของและสินคา้ เกษตรจากชนเผา่ นอ้ ยตา่ ง ๆ รวมทง้ั ไทดาเพอ่ื จดั ส่งเขา้ ไป จาหน่ายในจังหวดั ใกล้เคยี งและกรงุ ฮานอย ดงั นนั้ วถิ ีทางการดารงชวี ิตแบบด้ังเดิมเพื่อยงั ชีพของชาว ไทดาจึงยอ่ มได้รับผลกระทบและตอ้ งปรับตัวไปสกู่ ารผลติ เพ่ือตอบสนองตอ่ ความต้องการของตลาดและ

10 เริม่ มีการปลูกพชื ไร่มากมายหลายชนิดหมนุ เวียนกนั ไปตลอดทัง้ ปีเนื่องจากสภาพภมู ิอากาศและความ อดุ มสมบูรณข์ องผนื ดิน เช่น ข้าวโพด มนั เทศ มันสาปะหลงั ชา กาแฟ ยางพารา อ้อย ผกั และผลไม้ ซึง่ นอกจากจะจาหน่ายใหแ้ ก่พ่อค้าเวียดนามจากในเมืองแล้ว ยงั มพี ่อค้าลาวจากเมืองใหม่และเมอื งขาว จากแขวงพงสาลีของลาวซง่ึ ข้ามแดนเข้ามารับซ้ือข้าวเหนยี ว ขา้ วเจ้า และผลผลิตอ่ืน ๆ อีกดว้ ย ในอนาคตอันใกล้ เราอาจเห็นเดียนเบียนฟูมรี ะดับการพฒั นาย่งิ ข้ึนกว่านี้ ซ่ึงเป็นผลพวง จากนโยบายของรฐั บาลเวยี ดนามที่ประสงคจ์ ะผลกั ดนั ให้จังหวัดเดียนเบียนเป็นศนู ย์กลางการท่องเทย่ี ว เชงิ ประวัติศาสตร์ วฒั นธรรมชนเผ่าและธรรมชาตใิ นเขตภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนามท่ีสามารถ เชื่อมโยงเข้ากับการท่องเท่ียวในลาวและจนี ตอนใต้ โดยรัฐบาลและจงั หวัดพยายามส่งเสริมการลงทนุ จากตา่ งประเทศในสาขาดงั กลา่ ว นอกจากนี้ ยังตัง้ เป้าหมายดว้ ยวา่ จะพัฒนาให้จังหวัดเดียนเบยี นเป็น ช่องทางในการสง่ ออกผลผลิตทางการเกษตรและสินค้าอ่ืน ๆ จากภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ เพือ่ ส่งออกไปยงั ลาว หรือไปไทยโดยใช้เสน้ ทางหมายเลข 2 จากชายแดนลาว - เวยี ดนามผ่านแขวง หลวงนา้ ทาและแขวงบอ่ แก้วเพอ่ื ลงเรือทที่ ่าเรือเมอื งหว้ ยทรายฝงั่ ตรงข้ามท่าเรือเชียงของจังหวดั เชียงราย หรอื ลอ่ งเรือไปตามลานา้ โขงเพ่อื ส่งสินค้าไปยังเวียงจันทน์ และหากการคมนาคมเช่อื มต่อระหว่าง จงั หวัดเดียนเบียนกับจงั หวดั ไลโจว ไปยงั จงั หวัดล่าวกายทางภาคเหนือได้รับการพฒั นา กจ็ ะสามารถ เดินทางไปยงั เมืองคุนหมิงในมณฑลยนู นานไดท้ ง้ั โดยรถไฟและรถยนต์ซง่ึ จะชว่ ยยน่ ระยะทางได้มาก และเหน็ ทตี ้องไดร้ ับการผลักดันในระดับรัฐบาลต่อไป -------------------------------------


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook