ปราศจากความสงบ ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องก่อความไม่สงบให้ เกิดข้ึน ด้วยการกระทำคำพูด เพราะใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธาน ทกุ สิง่ สำเรจ็ คอื เกดิ ขึ้นเปน็ ไปตามอำนาจของใจ ความคดิ การ กระทำ คำพูด ก็เกดิ ขึน้ เป็นไปตามอำนาจของใจถ้าใจดคี วามคดิ กจ็ ะด ี การกระทำคำพดู กจ็ ะด ี ถ้าใจไมด่ ีความคดิ กจ็ ะไมด่ ี การ กระทำคำพูดก็จะไม่ด ี ดังน้ันถ้าใจไม่สงบความคิดก็จะเป็นไปใน ทางไม่สงบ จะเป็นไปในทางกอ่ ความไม่สงบภายนอก การกระทำ คำพูดกจ็ ะเป็นไปในทางไมส่ งบดว้ ย ในทางตรงกนั ขา้ ม ถ้าใจสงบ ความคิดก็จะเป็นไปในทางสงบ จะเป็นไปในทางก่อความสงบ ภายนอก การกระทำคำพูดกจ็ ะเป็นไปในทางก่อความสงบดว้ ย อันความสงบและความไม่สงบทั้งภายในภายนอกมีผล ดีร้ายแตกต่างกันอย่างแน่นอน ความไม่สงบไม่มีท่ีจะให้ผลด ี และความสงบก็ไม่มีที่จะให้ผลร้าย นั่นก็คือความไม่สงบมีโทษ สถานเดียว สว่ นความสงบมคี ณุ สถานเดียว ดงั นั้นผมู้ ุ่งอบรมจิต ใหม้ ีปญั ญา ให้มคี วามสขุ ให้เปน็ จติ ทมี่ ีคณุ จงึ ต้องอบรมจติ ให้ เปน็ จติ ท่มี ีความสงบ ทมี่ ีสมาธ ิ วิธีหน่งึ คือให้พิจารณากาย คือ ลมหายใจ หายใจเข้าให้รู้ หายใจออกก็ให้ร้ ู หรือหายใจเข้าจะ ภาวนาพทุ หายใจออกภาวนาโธกไ็ ด้เชน่ กนั ทำดังน้ดี ว้ ยความมสี ติ ประคับประคองอย ู่ สมาธคิ ือความสงบของจิตจะเกิดได้ จะดำรง อยู่ไดต้ ามควรแก่การปฏิบตั .ิ 139
ความไม่ร้อนอยู่ในใจของทกุ คน เป็นท่ียอมรับกันทั่วไปแล้ว ว่าทุกวันน้ีโลกยุ่ง ยุ่งจน บางคนถึงกับกล่าวเปรียบเหมือนนรก คือร้อนรุ่มไปจนหมด หาความสงบความเย็นยากเป็นอย่างย่ิง และเม่ือเปรียบไปถึงว่า เหมือนกับนรกแลว้ กเ็ ลยถึงกบั กลา่ วด้วยวา่ มีผู้มาเกิดจากนรก มาก จึงกอ่ ใหเ้ กดิ ความยงุ่ ความร้อนมาก ทน่ี ำมากล่าวนม้ี ิใช่วา่ จะ ยืนยันรับรอง แต่นำมากล่าวเพื่อจะได้กล่าวต่อไปว่า แม้ทุกแห่ง ในโลกเรานี้จะร้อนจนเหมือนท่ีเปรียบกันว่าเป็นนรก แต่ก็ยังอาจ รักษาความเย็นความไม่วุ่นไม่ร้อนให้มีอยู่ในใจของเราเองทุกคน และความไม่วุ่นไม่ร้อนในใจของเราแต่ละคนน้ีแหละที่มีความ สำคัญสำหรับเราแต่ละคนยิ่งกว่าความไม่วุ่นไม่ร้อนภายนอกใจเรา เป็นอันมาก พูดเช่นน้ีสำหรับผู้เคยได้สัมผัสความเย็นความไม่วุ่น ในใจของตนเองย่อมเห็นด้วย ย่อมยืนยันรับรองได้ว่าเป็นความ จริงแท ้ แต่สำหรับผู้ไม่เคยได้สัมผัสความเย็นความไม่วุ่นด้วยใจ 140
ตนเองมาก่อนเลย ย่อมยากจะเข้าใจและอาจไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ตาม ความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็หาอาจทำให้ความ จริงกลายเป็นอ่ืนไปได้ไม่ ความเย็นความไม่วุ่นในใจคนทุกคน ย่อมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเจ้าตัวเองอย่างแน่นอนเสมอไป ภายนอกจะสงบเพียงใดกต็ าม แต่ถ้าภายในคือใจว่นุ แลว้ ความ สุขก็จะเกิดขึ้นไม่ได ้ ในทางตรงกันข้าม ภายนอกจะวุ่นเพียงใด ก็ตาม ถา้ ภายในคอื ใจสงบแล้ว ความสุขก็จะเกดิ ขนึ้ ได ้ ดงั น้นั การทำใจให้สงบจึงเป็นความสำคัญ เป็นความจำเป็นสำหรับผู้ ปรารถนาความสุขทุกคน การจะแก้ไขเหตุการณ์ที่ยุ่งที่วุ่นให้กลับ สงบเรยี บรอ้ ยนั้น บางทกี ท็ ำกันไม่ไดเ้ สมอไป แตท่ กุ คนสามารถ จะทำใจของตนเองไม่ให้ยุ่งได้ ให้สงบเรียบร้อยได้คนมีปัญญา มากหรือปญั ญาน้อยกท็ ำได้ คนมหี รือคนจนก็ทำได้ ทุกคนทำได ้ เพียงแต่ให้มีความตั้งใจที่จะทำเช่นน้ันโดยเฉพาะพุทธศาสนิกชน แล้วย่อมเป็นการสะดวกอย่างย่ิง เพราะพระพุทธศาสนามีคำสอน แสดงวิธีทำใจให้สงบไว้เป็นอันมาก มีต้ังแต่วิธีทำใจให้สงบ เป็นคร้ังคราว ให้สงบช่ัวระยะเวลาอันสั้น ให้สงบอยู่ระยะยาว จนกระทั่งถึงให้สงบอยู่ได้สม่ำเสมอตลอดกาล ไม่มีอารมณ์ใด ๆ อาจเกิดข้ึนรบกวนจิตใจให้พ้นจากสภาพท่ีสงบสุขได้เลย พูด ถึงความสงบเช่นน้ีแล้ว ผู้ไม่เข้าใจอาจคิดไปว่าสภาพของจิตใจ เช่นน้ันน่าจะน่าเบื่อหน่าย เพราะดูราวจะเป็นสภาพท่ีแห้งแล้ง ไม่ยินดียินร้ายเหมือนคนท่ัวไป ความจริงหาได้เป็นเช่นน้ันไม่ 141
สภาพของจิตท่ีสงบไม่ใช่สภาพท่แี ห้งแลง้ น่าเบอ่ื หนา่ ย แตต่ รงขา้ ม กลับเป็นสภาพของจิตท่ีแช่มช่ืนเย็นสบายเหมือนผู้ได้อาบน้ำชำระ กายประพรมด้วยของหอมในยามรอ้ น ความรอ้ นยอ่ มไม่อาจทำให้ กระสับกระสา่ ยวุ่นวายไดใ้ นขณะน้นั วิธีทำใจให้สงบจากความวุ่นความร้อนท้ังหลายท่ีนิยม ปฏิบัติกันอยู่ท่ัวไป คือการทำสมาธิด้วยการภาวนาคำบริกรรม เช่นพุทโธเป็นต้น หรือการกำหนดดูลมหายใจเข้าออก หรือการ ทำจิตให้ว่าง คือว่างจากความคิดจากอารมณ์ทั้งหลายรวมท้ังว่าง จากการบริกรรมภาวนาด้วย ว่างจากการกำหนดดูลมหายใจด้วย นอกจากนั้นก็มีวิธีตัดอารมณ์ตัดกิเลสด้วยการใช้ปัญญาพิจารณา ให้เห็นโทษของอารมณ์ของกิเลสในจิตใจเมื่อความเห็นโทษปรากฏ ข้ึนเพียงใด ความถอดถอนจากกิเลสก็จะมากข้ึนเพียงน้ัน และ พร้อม ๆ กันนั่นเอง ความสงบของจิตใจก็จะเกิดข้ึน และแม ้ ไม่ละความเพียรพยายามท่ีจะทำให้ใจสงบ ความสงบของใจก็จะ ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นลำดบั ความย่งุ ความรอ้ นของโลกนอกใจเราก็จะลด น้อยลงเรื่อย ๆ และถึงแม้สำหรับผู้มีใจวุ่นทั้งหลายจะรู้สึกว่าโลก วุ่นโลกร้อน แต่สำหรับผู้ท่ีสามารถทำใจให้สงบ ให้ไม่วุ่นได้แม้ พอประมาณจะไมเ่ ดือดร้อน จะไม่รสู้ ึกวา่ โลกวนุ่ โลกรอ้ นนักเลย. 142
เห็นผิดเป็นชอบ ในมรรคมีองค์แปด คือทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์นั้นมี สัมมาทิฐิความเห็นชอบเป็นสำคัญท่ีสุด และในทุกกรณีสัมมาทิฐิ ความเห็นชอบมีความสำคัญที่สุดเสมอ ดังนั้นการอบรมจิตที่ สำคัญที่สุดจึงได้แก่การทำความเห็นชอบให้เกิดข้ึนขาดความเห็น ชอบในเร่ืองใด ความดำรชิ อบ ความปฏบิ ตั ิชอบ ในเรอื่ งนัน้ ก็จัก มีไม่ได ้ ผลสำเร็จในเร่ืองนั้นก็จักเกิดไม่ได้ แม้นึกดูว่าสัมมาทิฐิ ความเห็นชอบยังอาจดำเนินไปถึงความดับทุกข ์ หรือพ้นทุกข ์ อย่างสิ้นเชิงได้ ก็น่าจะเห็นด้วยได้ว่าสัมมาทิฐิความเห็นชอบย่อม จะต้องพาให้ดำเนินไปถึงความสำเร็จท่ีเล็กน้อยกว่าน้ัน ท้ังหลาย ได ้ เม่ือความสำเร็จสูงสุดคือความดับทุกข์ได้อย่างส้ินเชิงเกิดได้ จากสัมมาทิฐิความเห็นชอบ แล้วไฉนความสำเร็จที่เล็กน้อยกว่า นั้นจะเกิดจากสัมมาทิฐิความเห็นชอบไม่ได ้ จึงกล่าวไว้ข้างต้น ว่าการอบรมความเห็นชอบให้เกิดขึ้นเป็นการอบรมจิตท่ีสำคัญท่ีสุด 143
มีความจำเปน็ ท่สี ุดสำหรับผู้ปรารถนาความสำเร็จในชีวิต เก่ียวกับ ทกุ เรือ่ ง ในทางตรงกันขา้ ม ความเหน็ ผิด คอื มจิ ฉาทิฐ ิ จะเป็น ทางแห่งความหายนะได้ทุกประการ จึงพึงสำรวจตรวจดูทิฐิคือ ความเห็นของตนให้รอบคอบอยู่เสมอ ไม่ควรประมาท ไม่ควร วางใจ เพราะจกั เป็นทางแหง่ ความตายไดโ้ ดยง่าย ที่กล่าวกนั อยู่เสมอวา่ เหน็ ผิดเปน็ ชอบ กห็ มายถงึ ความเหน็ ผิดน่ันเอง ก็คงจะเห็นกันอยู่แล้วว่าทุกคราวท่ีมีการกล่าวว่าเห็น ผิดเป็นชอบจะต้องมีผลร้ายเกิดข้ึนทุกคร้ัง ไม่เคยมีผลดีเกิดข้ึน แล้วจะมีการกล่าวว่าเพราะเห็นผิดเป็นชอบเลย นี่ก็เป็นเครื่อง ยืนยันที่แน่นอนว่าความเห็นผิดเป็นสิ่งให้โทษ ตรงกันข้ามกับ ความเห็นชอบทเ่ี ป็นส่ิงใหค้ ุณแนน่ อนเสมอ ไม่มีกรณยี กเวน้ ใด ๆ เลยและไม่มียกเว้นสำหรับผู้ใดเลยด้วย ไม่ว่าจะเป็นใครทั้งน้ัน แม้เห็นผิดแล้วย่อมได้รับโทษของความเห็นผิด แต่แม้เห็นชอบ แล้วยอ่ มได้รับคุณของความเหน็ ชอบ ความเห็น ทั้งความเห็นผิดและความเห็นชอบ เป็นเร่ือง ของใจ และใจเป็นใหญ่ ใจเปน็ ประธาน ทกุ สง่ิ สำเร็จดว้ ยใจ นนั่ ก็คือใจเป็นฝ่ายบงการ และใจย่อมบงการไปตามอำนาจของความ เหน็ ใจท่ีมีความเห็นชอบยอ่ มบงการใหเ้ กดิ ความดำรชิ อบ ปฏบิ ตั ิ ชอบทางการงานและการเล้ียงชพี เจรจาชอบ เพยี รชอบ ระลกึ ชอบ ตั้งใจชอบ ส่วนใจที่มีความเห็นผิดก็ย่อมบงการให้เกิด ความดำริผิด ปฏิบัติผิดทางการงานและการเล้ียงชีพ เจรจาผิด 144
เพียรผิด ระลึกผิด ต้ังใจผิด กล่าวได้ว่าถ้าใจมีความเห็นชอบ ตลอดสายท่ีอยู่ใต้อำนาจของใจก็จะเป็นชอบทั้งหมด แต่ถ้าใจ มีความเห็นผิด ตลอดสายภายใต้อำนาจของใจก็จะเป็นผิดหมด เช่นกัน รวมทั้งผลท่ีจะต้องเป็นไปในรูปเดียวกันด้วยคือสายใดใจ เห็นผิดผลก็ผิดด้วย สายใดใจเห็นชอบผลก็ชอบด้วย ผลผิดก็ คอื ผลทีเ่ ปน็ โทษ และผลชอบกค็ ือผลที่เป็นคณุ ความเหน็ ผิดเกดิ จากโมหะคอื ความหลง มโี มหะในเรือ่ งใด จักมีความเห็นผิดในเร่ืองน้ัน เช่นหลงว่ากงจักรเป็นดอกบัวก็มี ความเห็นผิดว่ากงจักรมิใช่กงจักรแต่เป็นดอกบัว หรือหลงว่า คนเลวเป็นคนดี ก็มคี วามเห็นผิดว่าคนเลวมิใชค่ นเลวแตเ่ ปน็ คนด ี ความหลงและความเห็นผิดเช่นนี้ไม่ต้องอธิบายก็เป็นท่ีตระหนัก แก่ใจกนั ดีแลว้ ว่ามีโทษเป็นผลแน่นอน หนทางท่ีจะแก้ความหลงและอบรมความเห็นชอบให้เกิด ได้ก็คือต้องอบรมปัญญา อบรมเหตุผล โดยอาศัยพระธรรม ของพระพุทธเจ้า ใจรับพระธรรมได้เพียงใดความหลงจะน้อยลง เพียงน้ัน ความเห็นชอบในเร่ืองท้ังหลายจะเพิ่มขึ้นเพียงน้ัน แล้วจะไม่ก่อภัยให้กับตนเอง ตลอดถึงไม่ก่อภัยให้เกิดกับผู้อ่ืน อันเป็นชาติ ศาสนา พระมหากษัตรยิ ์ น่ันเอง. 145
ความหมายของคำวา่ ธรรม ทุกคนน่าจะรู้จักคำว่าธรรม แต่จะรู้จักถูกต้องเพียงไหน เป็นอีกเรื่องหน่ึง เพื่อให้ความเข้าใจเก่ียวกับธรรมเพ่ิมขึ้น จึงจะ ขออธิบายคำว่าธรรม ท่ีตรงกันขา้ มกับอธรรม คอื ธรรมหมายถึง คุณ ซึ่งเป็นเคร่ืองเกื้อกูล ส่วนอธรรมหมายถึงโทษ ซ่ึงเป็น เครื่องตัดรอน ธรรมคือคุณซ่ึงเป็นเครื่องเก้ือกูลนี้เรียกว่าความดี ก็ได้ หมายถึงเป็นความดีหรือส่วนดีแห่งกรรม คือการงานที่ กระทำทางกายทางวาจาทางใจ อันเป็นส่วนภายนอก และหมาย ถึงคณุ อนั เปน็ เครื่องเก้ือกลู หรือความดที างจิตใจ อนั ได้แก่ธรรมท่ี เป็นเครื่องเกื้อกูลใจให้บรรลุถึงความบริสุทธ์ิและความดีทุกอย่าง เป็นส่วนภายใน ธรรมดังกล่าวนี้เป็นหลักสำคัญ ที่ต้องมีคู่กับ สัจจะอันจะขาดเสียมิได ้ เพราะว่าถ้าขาดธรรมเสียแล้วสัจจะก็จะ ดำเนินไปในทางทผี่ ดิ ได ้ คือเมอื่ เปน็ สจั จะอนั ประกอบด้วยอธรรม ก็ย่อมบังเกิดผลเป็นทุกข์เป็นโทษต่าง ๆ ยิ่งเป็นสัจจะที่แรงกล้า 146
กย็ ง่ิ ประกอบดว้ ยโทษดว้ ยทุกขท์ ีแ่ รงกลา้ ดังจะพึงเห็นได้วา่ สจั จะ ของโจรเป็นสัจจะท่ปี ระกอบด้วยอธรรม คือโจรผู้กระทำการฆ่าเขา บ้างการลกั ของเขาบา้ งเปน็ ตน้ กต็ อ้ งมสี จั จะคือการทำจริง ต้องมี การฆ่าเขาจริง มีการลักของเขาจริง ประกอบด้วยความอดทน เป็นต้นในการท่ีจะประกอบทำการฆ่าการลักนั้นแต่ว่าเป็นสัจจะท่ี ประกอบด้วยอธรรม เพราะวา่ การฆ่าเขาบา้ งการลักของเขาบา้ งน้นั เป็นอธรรม คือเป็นกรรมที่เป็นโทษตัดรอน หาได้เป็นธรรมไม่ เพราะฉะนั้นผู้มีสัจจะอันประกอบด้วยอธรรมนั้นจึงกลายเป็น โจรไป ผู้ที่ทำความช่ัวอย่างอ่ืนก็เช่นเดียวกัน ย่อมมีสัจจะอัน ประกอบด้วยอธรรมจึงกระทำความช่ัวนั้น ๆ สำเร็จได ้ สัจจะอัน ขาดธรรมหรือสัจจะอันประกอบด้วยอธรรมจึงมีโทษมีทุกข ์ แต่ เม่ือมีธรรมเข้ามาประกอบสัจจะจึงจะมีการกระทำอันเป็นคุณ เก้ือกูลให้บังเกิดความสุขความเจริญได้ทุกอย่าง ดังจะพึงเห็นได้ ว่าบุคคลผู้มีจิตใจประกอบด้วยธรรมเป็นต้นว่าประกอบด้วยเมตตา กรุณาหรือประกอบด้วยความไม่โลภไม่โกรธไม่หลง และมีสัจจะ คือทำจริงพูดจริงตั้งใจจริงในการประกอบกรณีคือกิจท่ีควรทำ ด่ังนี้ย่อมอำนวยให้เกิดประโยชน์สุขต้ังแต่ส่วนน้อยจนถึงส่วนที่ ย่ิงใหญ่ไพศาล จะพึงเห็นสัจจะและธรรมดังกล่าวได้ในท่านผู้เป็น มารดาบิดาครอู าจารย์ ตลอดจนในบคุ คลทั้งหลายผู้ปฏบิ ตั ิกรณีย ให้บังเกิดสุขประโยชน์แก่ตนเองก็ตาม แก่ส่วนใดส่วนหน่ึงก็ตาม หรือแก่สว่ นใหญ่กต็ าม ถ้าแมข้ าดสัจจะและธรรมคู่นแี้ ลว้ จะทำ 147
สิ่งใดให้เกิดประโยชน์สุขขึ้นหาได้ไม ่ พึงพิจารณาดูได ้ ตั้งแต่ ตนเองออกไป หรือจากบุคคลอ่ืนภายนอกเข้ามาที่ตนเอง ก็จะ เห็นได้ว่าบรรดากรณียท่ีบังเกิดสุขประโยชน์ทุก ๆ อย่าง ของ ทุก ๆ คนไม่ว่าใคร จะต้องมาจากสัจจะและธรรมดังท่ีกล่าวมา แล้วท้ังหมดถ้าขาดเสียแล้วก็ไม่ให้บังเกิดผลสำเร็จ หรือให้บังเกิด ผลท่ีตรงกันข้าม คือท่เี ปน็ ทกุ ข์โทษ เพราะฉะนั้นพระพุทธองคจ์ ึง ทรงยกสัจจะและธรรมเป็นธรรมอันเป็นหลักสำคัญที่พึงประพฤติ ปฏิบัติทรงมพี ระพทุ ธโอวาทไว้ แปลความวา่ สจั จะ ๑ ธรรม ๑ อวิหิงสา ๑ ทมะ ๑ มใี นบคุ คลใด อริยชนทงั้ หลายยอ่ มเสพหา บุคคลน้ันสัจจะและธรรมนั้นมีความหมายดังกล่าวแล้ว อหิงสา แปลว่าความไม่เบียดเบียน ทั้งกาย วาจา ใจ สัญญมะ ก็คือ ความสำรวมระวงั และทมะคือความฝกึ ใจข่มใจ ธรรมหมวดน ้ี ควรที่ทุกคนจะได้นำมาประพฤติปฏิบัติ ใหไ้ ดผ้ ลยิง่ ๆ ขึ้น เพอ่ื ใหก้ ารอบรมจิตสมบูรณโ์ ดยแท.้ 148
พระนิพนธ ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก บรรณาธกิ ารดำเนนิ การ รศ.สเุ ชาวน ์ พลอยชุม จดั พิมพ์โดย พระโสภณคณาภรณ ์ (สมจติ ต ์ อภจิ ิตโฺ ต) ตำหนกั จนั ทร ์ วดั บวรนิเวศวิหาร โทร. ๐๘-๑๙๓๕-๕๗๕๔ จำนวนพิมพ์ ๓,๐๐๐ เลม่ พมิ พท์ ่ี หา้ งห้นุ ส่วนจำกัด โรงพมิ พ์สุรวฒั น์ เลขที่ ๘๓/๓๕-๓๙ ซอยขา้ งวดั ตรีทศเทพ ถนนประชาธปิ ไตย แขวงบ้านพานถม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ๑๐๒๐๐ โทร. ๐๒-๒๘๑-๘๙๐๗, ๐๒-๒๘๒-๓๒๗๑ โทรสาร ๐๒-๒๘๑-๔๗๐๐ นายวฒั นา สรุ มงั กรวงศ ์ ผพู้ มิ พผ์ โู้ ฆษณา พ.ศ. ๒๕๕๘ E-mail: [email protected], [email protected]
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162